Miracle of LOVE ผมเรียกมันว่าปาฏิหาริย์แห่งรัก
-13-
เมื่อวานหลังจากทานมื้อเที่ยงกันอย่างอิมหนำสำราญ โปรแกรมแรกก็คือไปสักการะหลวงพ่อเฉยที่วัดใหญ่อินทาราม และก็แวะถ่ายรูปสวยๆ ที่ปราสาทสัจธรรม จากนั้นตอนเย็นก็เดินตลาดนัดกลางเมือง หาของกินมื้อเย็นกันที่นั่นเลย กว่าจะกลับถึงที่พักก็เกือบสองทุ่ม ทุกคนต่างแยกย้ายเข้าห้องพักของตัวเองเพื่อพักผ่อน เพราะฉะนั้นเช้าวันนี้ทุกคนจึงสดใสและกระปรี้กระเปร่าเป็นพิเศษ
วันนี้โปรแกรมหลักของเราคือเกาะสีชัง ที่เลือกเกาะนี้แทนจะเป็นเกาะล้านเพราะคุณป้าพิมพ์อยากจะไปสักการะรอยพระพุทธบาท ที่อยู่บนยอดเขาเหนือศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่บนเกาะสีชัง และเพื่อความสะดวกสบายคุณลุงเด่นได้ให้เพื่อนติดต่อเช่าเรือส่วนตัวเอาไว้ให้สำหรับการเดินทางเรียบร้อยแล้ว กำหนดเรือออกจากท่าตอนแปดโมงตรง ดังนั้นช่วงเช้าตรู่ก่อนพระอาทิตย์จะขึ้นทักทายขอบฟ้า พี่ดินจึงพาแม่และคุณป้าพิมพ์ไปเดินดูของทะเลสดๆ ที่ตลาดเช้ากันก่อน ส่วนไอ้ดีนยังนอนหลับอยู่บนห้อง ในขณะที่ผมและคุณลุงเด่นออกมาเดินเล่นที่ชายหาด แต่เมื่อครู่คุณลุงเด่นแกปวดท้อง เลยขอกลับเข้าห้องพักไปก่อน ตอนนี้จึงเหลือแค่ผมกับน้องเปี๊ยกเท่านั้น
“น้องเปี๊ยก” ผมเรียกน้องชายตัวน้อย
“บ๊อกๆ” น้องชายผมขานรับ แต่ก็ไม่ได้คิดจะสนใจผมสักนิด เพราะกำลังติดพันกับการวิ่งหมุนวนรอบตัวงับหางของตัวเองอยู่ครับ เห็นแล้วก็อดจะหัวเราะกับความไร้เดียงสาออกมาไม่ได้
น้องเปี๊ยกอายุสามเดือน เป็นน้องหมาชิวาวา ขนสีขาวแซมน้ำตาล ตาโตโปน หูตั้ง น่ารักน่าเอ็นดูมากๆ น้องเปี๊ยกจัดเป็นน้องหมาที่ถูกสั่งสอนมาดี นอกจากไม่ซุกซนจนน่ารำคาญแล้วยังเชื่อฟังคำสั่งอีกต่างหาก ทุกคนจึงหลงรักน้องเปี๊ยกกันทั้งนั้น
“น้องเปี๊ยก บอกพี่ไอได้รึยังว่าระหว่างเรามันเกิดอะไรขึ้น?” มองซ้ายมองขวาให้แน่ในว่าไม่มีใครอยู่แถวนี้ ผมจึงเอ่ยเรื่องความลับระหว่างผมกับน้องเปี๊ยกขึ้นมา
น้องชายตัวน้อยของผมหยุดงับหางตัวเอง แล้วมองหน้าผมนิ่งๆ ผมจึงยื่นมือไปลูบหัวเล็กๆ พร้อมกับเอนกายนอนลงบนหาดทราย ใช้แขนอีกข้างรองหนุนหัวเอาไว้ ท้องฟ้าที่มืดครึ้มค่อยๆ มีแสงสีส้มอ่อนๆ ปรากฏ อีกไม่นานแสงตะวันของวันใหม่กำลังจะเริ่มขึ้น
“หงิงงง” น้องเปี๊ยกขยับตัวมานอนลงข้างๆ ผม เอาหัวเกยตรงสีข้างของผมไว้
ถ้าจะให้พูดกันตามตรงว่าผมจำเรื่องราวหลังจากเกิดอุบัติเหตุได้บ้าง ผมก็บอกได้ว่าผมจำได้แทบทุกเรื่องโดยเฉพาะในส่วนที่ทำให้หัวใจของผมบอบช้ำ แต่ภาพความจำมันลางเลือนราวกับเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นเพียงความฝัน ภาพเหล่านั้นไม่ชัดเจนสักเท่าไหร่จนทำให้ผมไม่แน่ใจว่ามันคือเรื่องจริงหรือแค่ฝันไปเอง
ผมมองเห็นตัวเองในห้องสี่เหลี่ยมคล้ายห้องคอนโด และแผ่นหลังกว้างที่อบอุ่นของใครคนหนึ่ง กำลังยืนทำอาหารอยู่ในครัว ยืนคุยโทรศัพท์อยู่ตรงระเบียง นั่งดูทีวีตรงโซฟา นั่งอ่านหนังสืออยู่ตรงเก้าอี้ริมหน้าต่าง นอนอยู่บนเตรียง แทบจะทุกอิริยาบถและทุกความเคลื่อนไหวของคนๆ นั้นอยู่ในสายตาของผมตลอด ผมจำได้แม้กระทั่งเสียงทุ้มนุ่มที่เอ่ยเรียก
‘ไอ้เปี๊ยก’ มันเป็นคำที่ไม่ได้เพราะพริ้งแต่กลับสัมผัสได้ถึงความเอาใจใส่และเอ็นดูจนบางครั้งผมรู้สึกอิจฉาเจ้าของชื่อนี้ ผมเรียกคนๆ นั้นว่า
‘พี่เปรม’ ซึ่งเป็นชื่อเดียวกับคนที่ผมเคยรัก ผมจำชื่อนี้ได้ดี ชื่อที่ทำให้ผมเจ็บเจียนตายและในขณะเดียวกันก็เป็นชื่อที่ทำให้ผมอบอุ่นและอยากจะพึ่งพิง แต่เสียงที่ผมเรียกกลับไม่เคยไปถึงอีกฝ่ายเลย และสำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือทุกครั้งที่ผมเห็นเงาสะท้อนของตัวเองในกระจกภาพๆ นั้นก็เหมือนกับน้องเปี๊ยกในตอนนี้ อย่างกับว่าผมคือน้องเปี๊ยก
นั่นคือสิ่งที่ผมจำได้และไม่แน่ใจว่ามันคือความฝันหรือความจริง และมีเหตุการณ์ใดหรือส่วนสำคัญใดที่ผมพลาดไปบ้าง แต่ที่แน่ๆ คือทุกครั้งที่ได้ยินชื่อ
‘เปรม’ หัวใจของผมก็สั่นไหวแปลกๆ และผิวหน้าก็ร้อนผ่าวๆ มันเป็นปฏิกิริยาที่ผมเองก็ยังคงสับสน และคนที่จะตอบคำถามของผมได้มีเพียงแค่น้องเปี๊ยกเท่านั้น
“เล่ามาทั้งหมดเลยนะ ตั้งแต่เริ่มเลย” ผมยังคงลูบหัวน้อยๆ อยู่
“บ๊อกๆๆ” เสียงเห่าที่น้องชายของผมกำลังพูดมีความหมายว่า
‘ผมจะเล่าทั้งหมดที่ผมรู้นะครับพี่ไอ’ และ
‘ขอให้มันเป็นความลับระหว่างเราเท่านั้น’ ผมพยักหน้าให้สัญญา น้องเปี๊ยกจึงเริ่มเล่าตั้งแต่จุดเริ่มต้นของเราทั้งคู่ ผมรับฟังเรื่องราวมากมายจากน้องเปี๊ยก แสงตะวันยามเช้าทอผืนฟ้าเป็นสีส้มเรืองรอง ไออุ่นของเช้าวันใหม่เริ่มต้นขึ้นอย่างสดใส เสียงคลื่นที่ซัดสาดหาดทรายราวกับจังหวะดนตรีอันไพเราะที่ธรรมชาติได้รังสรรค์ขึ้น บนโลกใบนี้มีอะไรอีกหลายอย่างที่ไม่สามารถหาคำตอบได้ และไม่เคยคิดเลยว่าครั้งหนึ่งกับเพียงแค่การได้ช่วยหนึ่งชีวิตให้อยู่รอดปลอดภัยกลับกลายเป็นผลอันยิ่งใหญ่ที่ทำให้ได้ผมกลายเป็นพบรักคนใหม่ที่มีหัวใจแข็งแกร่งมากกว่าเดิม
จะเรียกมันว่า
‘ปาฏิหาริย์’ ได้มั๊ยนะ??
ผมนึกสงสัยอยู่ในใจ แต่เหนือสิ่งอื่นใดจากเรื่องราวทั้งหมดที่ได้รับรู้จากน้องเปี๊ยก มีอยู่เพียงเรื่องเดียวที่ไม่ว่ายังไงจะต้องแก้แค้นให้ได้นั่นคือเรื่องเกี่ยวกับไอ้เด็กที่ชื่อ
‘เขื่อน’ ไม่เป็นไรนะน้องเปี๊ยก พี่ชายคนนี้จะจัดการในส่วนที่น้องไม่สามารถทำได้เอง
“พบรัก! โว้ย! เล็ทสะโก!” เสียงไอ้ดีนตะโกนเรียกมาจากระเบียงโรงแรมให้รู้ว่าโปรแกรมเที่ยวสำหรับวันนี้ได้เริ่มขึ้นแล้ว ผมและน้องเปี๊ยกจึงพากันเดินย่ำพื้นทรายกลับเข้าโรงแรมด้วยรอยยิ้ม
.
.
.
.
.
กลับมาจากเกาะสีชังถึงโรงแรมก็ตะวันคล้อยต่ำ วันนี้เราทานมื้อเย็นกันที่โรงแรม ทานกันเสร็จทุกคนก็ออกมาเดินย่อยกันที่ชายหาด อย่างที่บอกว่าโรงแรมมีชายหาดส่วนตัวค่อนข้างจะกินพื้นที่กว้าง บรรยากาศจึงค่อนข้างจะสงบและปลอดภัย เดินมาได้สักพักพวกผู้ใหญ่ก็หยุดเดินแล้วกลับไปนั่งรับลมตรงระเบียงของโรงแรม ส่วนน้องเปี๊ยกที่หลังจากโดนคลื่นซัดใส่จนตัวเปียกม่อล่อกม่อแลก พี่ดินคุณหมอสุดหล่อที่รักเด็ก และเพิ่มรักสัตว์เข้าไปด้วย ก็ใจดีอุ้มน้องชายของผมไปเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้แห้ง ตอนนี้จึงยังเหลือผมกับไอ้ดีนแค่สองคน
ไอ้ดีนหยุดเดินแล้วนั่งยองๆ ลงขีดเขียนรูปทรงต่างๆ บนพื้นทราย น้ำซัดมาทีก็หายไปที เหมือนยางลบขนาดใหญ่จากธรรมชาติ ถ้ามองจากมุมนี้ไอ้ดีนมันก็เท่ห์อยู่หรอกนะ ดีกรีเดือนคณะก็การันตีความหน้าตาดีของมันอยู่ทนโท่ แต่ทำไมผมถึงอยากจะเตะมันให้หน้าคว่ำลงกับผืนทรายก็ไม่รู้
ขณะที่ผมมองไอ้ดีนกำลังเขียนทรายเล่นเพลินๆ อยู่นั้น สายตาก็ไปจ๊ะเอ๋กับเปลือกหอยขนาดใหญ่เท่ากำปั้น มันโผล่ขึ้นมาจากพื้นทรายที่ถูกคลื่นน้ำซัด ลักษณะขรุขระมีแหลมๆ เต็มเปลือก ผมมองมันอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะอ้าแขนออกรับแรงลมที่หอบกลิ่นไอทะเลเข้าเต็มปอด จากนั้นก็เดินเตะทรายเล่นไปมา ไอ้ดีนก็ไม่ได้คิดจะสนใจผมสักเท่าไหร่เพราะมัวแต่สนุกกับการเล่นวาดรูปบนทรายให้ทันก่อนจะถูกคลื่นซัดลบหายไป
“โอ๊ยยย!”
“เฮ้ย!!”
เสียงแรกเป็นของผม ส่วนเสียงตกใจนั่นเป็นของไอ้ดีนครับ มันลุกพรวดขึ้นอย่างรวดเร็วแล้วพุ่งตัวด้วยความไวมาหาผมที่ล้มนั่งก้นจ้ำเบ้าอยู่บนทรายที่เปียกชื้น
“เหี้ย! ปัญญาอ่อนจริงมึง เดินยังไงมึงเนี่ย!” ถึงปากมันจะหมา แต่ใบหน้าที่ซีดก็บอกให้รู้ว่าไอ้ดีนตกใจมากที่เห็นเท้าข้างซ้ายของผมอาบไปด้วยเลือด โดยมีหลักฐานเป็นเปลือกหอยชิ้นใหญ่ปักอยู่กลางฝ่าเท้าแบบทนโท่
“กูเจ็บ..” เจ็บจริงๆ นะ ไม่ได้โกหกเลย ฮืออ
ไอ้ดีนจับผมอุ้มขึ้นหลังแล้วพาวิ่งกลับไปทางโรงแรม ดีที่มันตัวใหญ่กว่าผมมากมันจึงแบกผมได้สบาย และทันทีที่แม่กับคุณป้าพิมพ์เห็นของเหลวสีแดงสดที่เท้าผม ทั้งคู่ก็โวยวายเสียงสั่นเครือด้วยความตกใจ
“น้องดีนไปเรียกพี่ดินสิลูก” คุณลุงเด่นมีสติมากที่สุด ทริปนี้เรามีคุณหมอมาด้วยก็ต้องใช้งานให้เป็นประโยชน์สักหน่อย
“น้องไอเจ็บมากมั๊ยจ๊ะ” ดวงตาแม่แดงก่ำ ทำเอาผมรู้สึกถึงคำว่าบาปที่เกาะกินอยู่กลางใจ
“น้องไอไม่ระวังตัวเอง น้องไอขอโทษครับแม่” ขอโทษนะครับแม่
ไม่นานนักก่อนที่ผมจะร้องไห้โฮเพราะความเจ็บและความรู้สึกผิดไปมากกว่านี้ คุณหมอดินสุดหล่อก็วิ่งหน้าตาตื่นมาพร้อมไอ้ดีนที่อุ้มน้องเปี๊ยกไว้ ผมสบตากับน้องเปี๊ยกแว่บนึง
“เฮ้ย! ไม่ใช่เล็กๆ เลย เดินไงว่ะเนี่ย” ไม่แปลกหรอกครับที่พี่ดินเองก็ตกใจ เพราะเปลือกหอยมันใหญ่มาก แถมหนามแหลมยังขรุขระอีก ฝังจมลงลึกในฝ่าเท้าจนเลือดอาบขนาดนั้นแม้แต่พี่ดินก็ไม่กล้าจะดึงเปลือกหอยออกเองเพราะมันจะเสี่ยงต่อการที่เศษของเปลือกหอยจะหักติดอยู่ด้านใน
“บอกลุงทินเตรียมไปโรงพยาบาลกัน” คุณหมอเด็กตัดสินใจได้เฉียบขาดสมกับเป็นมืออาชีพจริงๆ ครับ
คนที่ไปโรงพยาบาลกับผม มีแม่ คุณป้าพิมพ์ พี่ดิน และลุงทินที่ทำหน้าที่ขับรถ ไอ้ดีนอยากจะตามมาด้วย แต่ผมสั่งให้มันอยู่กับน้องเปี๊ยกที่โรงแรม คุณลุงเด่นจึงต้องอยู่เป็นเพื่อนกับลูกชายคนเล็ก ผมไม่รู้ว่าพี่ดินจะพาผมไปโรงพยาบาลไหน หรืออาจจะเป็นคลินิกใกล้ๆ แถวนี้เพราะได้ยินพี่ดินถามถึงคลินิกจากพนักงานโรงแรมก่อนจะขึ้นรถ แต่ไม่ว่าจะพาไปหาคุณหมอที่ไหนตอนนี้ผมก็ได้ทั้งนั้น เพราะโคตรเจ็บเลยครับ เจ็บจนขาข้างซ้ายของผมชาไปหมดแล้ว แล้วดูท่าปฐมพยาบาลเบื้องต้นของพี่ดินสิ ให้ผมยกขาข้างซ้ายไว้สูงๆ เพื่อจะให้เลือดหยุดไหล กางเกงก็สั้น ยกขาซะสูงขนาดนั้นไม่คิดว่าผมจะอายบ้างรึไง แต่ ณ จุดนี้คงไม่ต้องคิดถึงเรื่องอายแล้วล่ะครับ
เร็วที่สุดเท่าที่ลุงทินแกจะสามารถขับรถได้ เราก็มาถึงโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง บุรุษพยาบาลช่วยกันอุ้มผมลงนั่งบนรถเข็นอย่างง่ายดาย แล้วพาเข็นยังกับผมเป็นตัวเอกในเรื่องฟาสต์แอนด์ฟิวเรียส สิ้นสุดปลายทางที่เตียงผู้ป่วยในห้องๆ หนึ่ง คุณพยาบาลคนสวยใส่มาร์คปิดไปครึ่งหน้ามาดูแผลที่ฝ่าเท้าของผมอย่างพินิจพิเคราะห์ ผมเริ่มใจคอไม่ดีแล้วครับ ผมกุมมือแม่ไว้แน่น
“เชิญญาติผู้ป่วยรอข้างนอกก่อนนะคะ เดี๋ยวคุณหมอจะเข้ามาดูแผลค่ะ” พี่พยาบาลไล่แม่อย่างสุภาพ ทำให้แม่ต้องออกไปรอผมนอกห้องอย่างจำใจ มันช่างเป็นการพรากแม่พรากลูกที่โหดร้าย
ฮือออ จะหาแม่ จะหาแม่!ผมร่ำร้องโอดครวญอยู่ในใจ คุณพยาบาลเมื่อครู่หายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ ทิ้งให้ผมนอนหวาดกลัวอยู่บนเตียงคนเดียว ผมไม่ชอบบรรยากาศโรงพยาบาลในตอนนี้เลยจริงๆ มันเคว้งคว้างน่ากลัวยังไงชอบกล ยิ่งคุณพี่พยาบาลทำตัวเย็นชายังกับหุ่นยนต์ก็ทำเอาผมจิตตกยิ่งกว่าเดิม
ไม่นานนักบานประตูก็ถูกเลื่อนออก พี่พยาบาลเมื่อครู่กลับมาพร้อมกับผู้หญิงในชุดกาวน์สีขาวสะอาดปิดมาร์คไปครึ่งหน้า ขนาดเห็นแค่ดวงตาผมก็รู้ได้ว่าอีกฝ่ายคงจะสวยมาก สิ่งแรกที่ผมทำคืออ่านชื่อตรงหน้าอกหลังคำนำหน้าวิชาชีพ ‘ภาพฟ้า ตฤณวิกุลชร’ คิ้วของผมกระตุกเล็กน้อยกับคุณหมอฝึกหัดคนสวย ไม่แปลกหรอกครับที่หมอเอ็กซ์เทอร์นจะมาดูอาหารของผมเพราะมันเป็นแค่อุบัติเหตุเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น
“เดินยังไงคะเนี่ย ถึงได้เหยียบเปลือกหอยใหญ่ขนาดนี้ได้” น้ำเสียงของคุณหมอไพเราะมากครับ แต่ผมกลับรู้สึกว่าไม่อยากตอบเลยจริงๆ
“ทนเจ็บหน่อยนะคะ เดี๋ยวหมอจะต้องเอาเปลือกหอยออกก่อน” คุณหมอหันไปสั่งพยาบาลให้ทำความสะอาดแผลและเตรียมอุปกรณ์การแพทย์
ผมยังคงนอนเงียบ ยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่ทะลักไหลออกมาไม่หยุด ผมแค่เจ็บแผลครับอย่าเข้าใจผิดว่าผมเจ็บอย่างอื่น
“คุณหมอฟ้าคะ อาจารย์หมออารีย์เชิญที่ห้องตรวจสองค่ะ” พี่พยาบาลคนหนึ่งเปิดประตูเข้ามา ทำให้คุณหมอภาพฟ้าต้องพยักหน้ารับแล้ววางอุปกรณ์ในมือก่อนจะเดินออกไป มาไวไปไวจริงๆ ครับ การทำงานของโรงพยาบาลนี้ แล้วคุณหมอเค้าทิ้งผู้ป่วยกันง่ายๆ แบบนี้เลยเหรอว่ะ??
“สักครู่นะคะเดี๋ยวคุณหมออีกท่านจะมาแทน” พี่พยาบาลที่อยู่ก่อนหน้าหันมาบอกผม ดวงตาคู่นั้นหยีเล็กลงบอกให้รู้ว่าภายใต้มาร์คปิดหน้าเธอกำลังยิ้มให้ผม เป็นรอยยิ้มปลอบใจและขอโทษ เอาเป็นว่าผมจะให้อภัยก็ต่อเมื่อช่วยทำให้ผมหายเจ็บ อย่างน้อยก็ช่วยเอาเปลือกหอยนั่นออกไปที
น้ำมูกและน้ำตาผสมกันจนเลอะเทอะไปทั้งหน้า ปล่อยแมร่มมันแล้วครับ ขี้เกียจปาดขี้เกียจเช็ด เจ็บจะตายห่าทำไมหมอถึงไม่มาสักที รู้มั๊ยว่าแค่วินาทีเดียวผมก็ไม่อยากจะรอแล้ว
“ขอโทษครับ” บานประตูถูกกระชากออกอย่างไวพร้อมคำขอโทษ อยากด่าว่าไอ้จั๊ดง่าว! มึงลองมาเป็นกูมั๊ยให้กูรอทั้งที่เจ็บเหี้ยๆ เนี่ยแล้วยังจะมาให้ยกโทษได้ยังไง แต่ผมเจ็บแผลอยู่ครับ แค่จะให้พูดสวัสดีสักคำยังไม่มีอารมณ์จะพูดเลย
“ไหนขอคุณหมอดูแผลหน่อยครับ” เดี๋ยวนะๆ เสียงนี้ เสียงแบบนี้....
ผมยกมือขึ้นปาดน้ำตาแบบลวกๆ มีน้ำมูกเหนียวๆ ติดมาด้วย เลยยื่นมือไปจับแขนเสื้อกาวน์สีขาวของคุณหมอสักนิดเอาพอให้ไอ้เหนียวๆ ข้นๆ มันออกจากง่ามนิ้ว คุณหมอที่ยังคงคอนเซ็ปต์ปิดมาร์คครึ่งหน้าก็ใจดีไม่ได้ว่าอะไรสักคำ ก้มหน้าก้มตาสำรวจเปลือกหอยบนฝ่าเท้าของผมอย่างระเอียดราวกับศิลปินผู้ชื่นชอบงานศิลปะ
“อ๊ากก จ เจ็บ” จู่ๆ คุณหมอก็เอามือขยับเปลือกหอย ผมรู้ว่าหมอแค่แตะเบาๆ เบาหวิวเลยนะแต่แรงสะเทือนน้อยๆ นั่นมันโคตรเจ็บเลย
“เจ็บนิดนึงนะครับ เพราะหมอจะต้องเอาเปลือกหอยนี่ออกก่อน” พูดเสร็จก็จิ้มเข็มฉีดยาชาแบบไม่รอช้า ก่อนจะหันไปหยิบอุปกรณ์คล้ายๆ แหนบ ทำงานไวดีมาก แต่ไม่คิดจะให้ยาชาออกฤทธิ์ก่อนรึไง ไม่ไหวนะ เฮ้ยยยย
“เจ๊บบ จ เจ๊บบบบบบบ อ๊ากกกก” เจ็บก็ต้องร้องสิครับ แหกปากน้ำตาไหลพรากๆ เลยทีเดียว
ขาทั้งสองข้างของผมโดนพี่พยาบาลจับหนีบเอาไว้แน่น ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อล่ะครับว่าเห็นพี่พยาบาลตัวเล็กๆ แบบนั้นแต่แรงมหาศาลเชียวนะ สองแขนที่หนีบขาผมไว้ไม่ต่างจากคีมเหล็กอย่างดี แน่นจนผมขยับไม่ได้เลย ความเจ็บปวดที่ถาโถมทำให้เวลาหนึ่งวินาทีราวกับสิบนาที สิบนาทีก็ราวกับชั่วกัปชั่วกัลป์ ผมไม่ได้โอเว่อร์แอคติ้งแต่อย่างใด นี่คือของจริง เล่นจริง ร้องจริง ไม่มีแสตนอินใดๆ ทั้งสิ้น
“เรียบร้อยแล้วครับ”
ห๊ะ!!??อะไรคือเสร็จแล้ว เร็วไปมั๊ย? เพิ่งแหกปากได้แป๊ปเดียวเอง ผมกระพริบตาไล่หยดน้ำ ขาข้างซ้ายของผมเป็นอัมพาตไปชั่วขณะเพราะฤทธิ์ยาชาและผลจากแรงหนีบของพี่พยาบาล งานนี้เลยได้แต่วางขาไว้นิ่งๆ อย่างเรียบร้อยให้พี่พยาบาลเช็ดทำความสะอาดแผลและพันผ้าก็อต
ผมที่สติสตางค์กลับมาครบครับบริบูรณ์ หันไปมองคุณหมอที่กำลังล้างมือตรงอ่างเล็กๆ แผ่นหลังกว้างแบบนั้นที่คุ้นเคย ระดับความสูงที่คุ้นตา น้ำเสียงที่คุ้นชิน และอะไรอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่ทำให้หัวใจดวงน้อยในอกด้านซ้ายมันเต้นระทึกครึกโครม อะไรๆ ก็กำลังจะเป็นไปตามที่วางไว้ จะติดอยู่อย่างเดียวก็ตรงที่น้ำมูกนี่แหละ และวิถีเด็กไทยก็ได้สอนเอาไว้ว่าเมื่อถึงคราวจำเป็นให้ถลกชายเสื้อขึ้นแล้วสั่งมันออกมาเต็มอัตรากำลังแรงสูบเลยครับ
ฟืดดดจมูกโล่งเลยทีเดียว พี่พยาบาลมองหน้าผมแบบอึ้งๆ แกมรังเกียจ แต่ผมก็ไม่คิดจะแคร์สื่อ ก็ผมหาทิชชู่ไม่ทันจะให้ผมกลืนน้ำมูกลงคอหรือเอาหมวกพี่พยาบาลมาสั่งน้ำมูกก่อนรึไงละครับ เสื้อก็เสื้อผม น้ำมูกก็ของผม ไม่ได้เอาไปป้ายทำเสน่ห์ใส่ใครสักหน่อย อ้อ ยกเว้นคุณหมอนะ
พี่พยาบาลเก็บข้าวของแล้วเดินออกไปจากห้อง ไม่คิดจะช่วยผมลงจากเตียงก่อนรึไง ผมมองเท้าข้างที่พันผ้าก็อตไว้แล้วก็ค่อยๆ ขยับช่วยตัวเอง แต่ท่าทางของผมคงจะดูทุลักทุเลมากไปหน่อย คุณหมอที่กำลังจดอะไรอยู่ยิกๆ จึงต้องรีบวางปากกาและกระดานลงบนโต๊ะแทบจะทันที พุ่งตัวทั้งท่าจะเข้ามาประคองช่วยผม แต่ก็ชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะหันกลับไปดึงทิชชู่จากกล่องติดมือมาสี่ห้าแผ่น แล้วเอาเช็ดตรงคราบเหนอะหนะตรงชายเสื้อให้ผม
“กลับบ้านไปแล้วทานยาตามที่หมอสั่งด้วยนะครับ แผลจะได้ไม่อักเสบ แต่คืนนี้อาจจะเจ็บแผลมาหน่อยก็ให้ทานยาแก้ปวด ไม่กี่วันก็หายแล้วครับ” คุณหมอพูดอะไรบ้างมันไม่ได้เข้าหูผมสักนิด เพราะผมเอาแต่จ้องมือของคุณหมอที่กำลังเช็ดคราบน้ำมูกให้ผม เช็ดเสร็จก็เอาทิชชู่ไปทิ้ง ล้างมืออีกครั้งแล้วหันมามองผม และปลดมาร์คปิดหน้าออก
ผมเคยได้ยินและเคยเห็นคนฮิตติดแฮชแท็กร้องไห้หนักมากกัน แต่ผู้คนเหล่านั้นกำลังร้องไห้หนักจริงรึเปล่าผมก็ไม่รู้ เพราะผมในตอนนี้เรียกได้ว่าทำนบน้ำตาแตกเลยก็ว่าได้ น้ำตามันไหลทะลักออกมาด้วยความดีใจ ความตื้นตันใจ ความสุขใจ อิ่มเอมใจ และอีกๆ หลายความรู้สึกที่มันอัดแน่นอยู่ในอกราวกับได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระ มันเป็นช่วงเวลาที่ผมอยากจะประกาศให้คนทั้งโลกรู้ว่า ผมเจอเค้าแล้ว คนที่อยู่ในฝันของผมมาตลอด..
ใบหน้าหล่อคมแสดงอาการตกใจพอควร มันก็ควรจะตกใจอยู่หรอกที่จู่ๆ ผมก็ร้องไห้โฮเป็นบ้าเป็นหลังแบบนี้ อีกฝ่ายแสดงอาการลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยอมเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้
เพียงแค่คิดว่าถ้าหากไม่คว้าเอาไว้ทุกสิ่งทุกอย่างจะหายไปในพริบตา ผมจึงยกแขนขึ้นคล้องคอคุณหมอเอาไว้แล้วกระชากใบหน้าคมเข้าหาตัว ประกบริมฝีปากของตัวเองแนบกับริมฝีปากบาง ผมหลับตาลงเพื่อปิดกั้นสายตาคู่คมที่ตกตะลึงนั้น ก่อนจะเริ่มละเลียดริมฝีปากบางที่อ่อนนุ่มด้วยลิ้นอย่างช้าๆ ตอดเม้มเบาๆ ทั้งบนและล่างสลับกันไป จนลิ้นร้อนสนองตอบรับและค่อยๆ ลอดผ่านกลีบปากเข้ามาทักทายในปากของผมเพียงชั่วครู่ แล้วก็ผละจากไป
ผมลืมตาขึ้น หยดน้ำยังคงไหลจากดวงตา ผมจ้องมองดวงตาคู่คมที่อยู่ตรงหน้า มันมีเงาสะท้อนของผมอยู่ในนั้น ทำไมกันนะผมถึงได้รู้สึกดีใจขนาดนี้ ดีใจจนหุบยิ้มไม่ได้
“เด็กโง่ หยุดร้องได้แล้ว” มือใหญ่ที่ผมจดจำไออุ่นจากสัมผัสนี้ได้ดียกขึ้นปาดหยาดน้ำบนแก้มของผม แล้วถอยออกเว้นระยะห่างเล็กน้อย ซึ่งพอดีกับที่บุรุษพยาบาลเปิดประตูเข้ามาพร้อมรถเข็น ผมอยากจะหันไปขอบคุณพี่เค้าจริงๆ ที่เข้ามาได้ถูกจังหวะ แต่ผมก็ขอโทษอีกเช่นกันที่ตอนนี้ในสายตาของผมมีเพียงแค่คุณหมอตรงหน้าเพียงคนเดียว
เมื่อตอนวันเกิดครบสิบเก้าปีของผม วันนั้นผมนั่งรอคนที่ผมรักเพื่อกลับมาฉลองวันเกิดด้วยกัน ผมยอมยกเลิกนัดทุกคนเพื่อเค้าคนนั้น ผมจำได้ดีในช่วงเวลาที่ผมนั่งมองเข็มนาฬิกาที่เดินผ่านไปเรื่อยๆ จนเหลืออีกไม่กี่สิบนาทีก็จะเลยผ่านวันเกิดของผม คนๆ นั้นก็เพิ่งจะมาถึง ผมร้องไห้ออกมาทั้งดีใจที่อีกฝ่ายมาทันแต่ในขณะเดียวกันความน้อยใจก็ยังมีอยู่เต็มอก วันนั้นผมได้สารภาพรักไป คำตอบที่ผมได้รับคือรอยยิ้มและอ้อมกอดที่อบอุ่น ไม่มีคำพูดที่หวานหู ไม่มีของขวัญหรือช่อดอกไม้สักช่อที่ทำให้ดูโรแมนติก ผู้ชายคนนั้นไม่ได้ดึงผมเข้าไปกอด แต่ทำเพียงแค่ยื่นมือมาเช็ดน้ำตา ลูบหัวปลอบโยนพร้อมกับพูดว่า
‘เด็กโง่ หยุดร้องได้แล้ว’ มันเป็นประโยคที่ราวกับมีเวทมนต์ทำให้ผมตกหลุมหลงรักผู้ชายคนนั้นจนถอนตัวไม่ขึ้น ผู้ชายที่ชื่อ
‘เปรมนทีป์ อัศววิรุณฉาย’ ตอนนี้ผมก็ได้เจอเค้าอีกครั้ง
นับว่าการลงทุนของผมได้ผลเกินคุ้มเลยล่ะครับ.
.
.
.
.
.
TBC
มาแล้วคะ รินมาตามสัญญา ขอเวลาอีกนานๆ
ไม่ใช่แระ มาพร้อมกับบอกว่าราตรีสวัสดิ์ค่ะ 