Miracle of LOVE ผมเรียกมันว่าปาฏิหาริย์แห่งรัก
-14-
นักศึกษาแพทย์โดยส่วนใหญ่จะพยายามสอบใบประกอบโรคศิลป์ให้ผ่านในตอนปลายเทอมก่อนจะจบชั้นปีที่ห้า เพราะจะได้ไม่ต้องมาลำบากลำบนอ่านหนังสือไปพร้อมกับเอ็กซ์เทอร์นในปีที่หก ผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้นที่สามารถสอบผ่านมาได้ และอาจจะโชคดีตรงที่จับฉลากเอ็กซ์เทอร์นได้โรงพยาบาลในจังหวัดที่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ มากนัก แต่ในความโชคดีก็มาพร้อมกับความโชคร้ายเพราะโรงพยาบาลที่ผมจะต้องไปเป็นแพทย์ฝึกหัดหรือที่เรียกว่าเอ็กซ์เทอร์นนั้นขึ้นชื่อเรื่องความเข้มงวดของอาจารย์หมอ ผมเองก็เตรียมใจที่จะรับมือในเรื่องนี้เอาไว้แล้ว อย่างน้อยผมก็ได้รับภูมิคุ้มกันที่แข็งแกร่งเข้มงวดทุกรายละเอียดมาจากคุณตามากมาย ดังนั้นผมจึงคิดว่ามันก็คงจะไม่หนักหนาเกินความสามารถที่ผมมี
เช้าวันที่ผมต้องเดินทางมารายงานตัวที่โรงพยาบาลในจังหวัดชลบุรีไม่ค่อยจะสดใสมากนัก เพราะสองคืนก่อนหน้านั้นมีเรื่องที่ทำให้ผมนอนไม่หลับ ผมยังจำได้ดีในวินาทีที่เห็นร่างของไอ้เปี๊ยกโดนทารุณกรรมอยู่ในกระสอบป่าน ลมหายใจของมันผะแผ่วเต็มทน ผมพยายามดึงเครื่องพันธนาการอันโหดเหี้ยมออกจากตัวไอ้เปี๊ยกอย่างเบามือและรวดเร็วที่สุด ก่อนจะขับรถพาไอ้เปี๊ยกไปโรงพยาบาลสัตว์ ซึ่งโรงพยาบาลสัตว์ที่เปิดยี่สิบสี่ชั่วโมงในประเทศไทยก็มีน้อยเหลือเกิน ในเมืองหลวงก็มีเพียงแค่ไม่กี่แห่งและมันก็อยู่ไกลจากบ้านของผมพอสมควร แต่ก็ยังดีที่มาถึงทันเวลาและที่โรงพยาบาลก็มีสัตวแพทย์อยู่ประจำ ไอ้เปี๊ยกจึงรอดมาได้
ในคืนนั้นผมอยู่เฝ้าไอ้เปี๊ยกจนสัตวแพทย์ยืนยันอาการว่ามันปลอดภัย เพียงแต่ต้องอยู่ให้น้ำเกลือและรอดูเผื่อมีอาการแทรกซ้อนจะได้ช่วยได้ทันท่วงที ผมจึงคิดว่าจะกลับไปพักผ่อนที่บ้านก่อนและพรุ่งนี้ค่อยกลับมาดูไอ้เปี๊ยกอีกรอบ
ขณะที่ผมกำลังขับรถกลับบ้าน เสียงเตือนข้อความก็ดังขึ้น ผมเปิดดูตอนที่ติดสัญญาณไฟ จึงรู้ว่าเป็นข้อความจากไอ้ปลื้มน้องชายฝาแฝดของผม และก็มีอีกข้อความที่ถูกส่งมาตั้งแต่เมื่อตอนเที่ยงคืนกว่าๆ มันเป็นข้อความจากแม่ ตอนนั้นผมกำลังวุ่นวายกับไอ้เปี๊ยกจึงไม่ได้เปิดอ่าน ผมจึงเลือกเปิดอ่านข้อความจากแม่ก่อนข้อความของไอ้ปลื้ม
‘น้องไอรู้สึกตัวแล้วนะคะ’ จากนั้นก็ตามด้วยอีโมหน้ากลมสีเหลืองอมยิ้มแก้มแดง
ข้อความเพียงสั้นๆ แต่ทำให้ผมต้องชะลอรถแล้วจอดลงข้างทาง หยุดอ่านทุกตัวอักษรซ้ำไปซ้ำมานับครั้งไม่ถ้วน หัวใจของผมเต้นแรงโดยไม่ทราบสาเหตุ และนั่นก็ทำให้ผมพอจะรู้ว่าทำไมจู่ๆ ไอ้ปลื้มถึงได้ส่งข้อความหาผม ทั้งๆ ที่ปกติถ้ามันไม่มีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจก็ไม่มีทางติดต่อผมก่อน ผมจึงยังไม่คิดจะเปิดอ่านข้อความของไอ้ปลื้ม แต่ตัดสินใจขับรถกลับบ้านไปพักผ่อนแทน
สามชั่วโมงคือเวลาที่ผมได้นอน และหลับไม่ค่อยจะสนิทสักเท่าไหร่ เพราะมีเรื่องมากมายให้คิดและเป็นกังวล ผมออกจากบ้านตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อกลับไปดูอาการไอ้เปี๊ยก หวังว่ามันคงจะไม่มีอาการแทรกซ้อนใดๆ และมันก็โชคดีที่ไอ้เปี๊ยกเป็นชิวาวาที่อึดสุดยอด ตอนนี้เหลือแค่ให้มันฟื้นตัวจากอาการอ่อนเพลียเท่านั้น ซึ่งต้องรอให้น้ำเกลือหมดถุงซะก่อน สัตวแพทย์ก็ใจดีบอกให้ผมกลับไปก่อนเย็นๆ ค่อยแวะเข้ามารับมันกลับบ้านได้ ผมรู้สึกโล่งอกเรื่องไอ้เปี๊ยกเป็นอย่างมาก และยังรู้สึกโกรธตัวเองที่ประมาทเลินเล่อไม่ดูแลมันให้ดี แม้แต่คุณพ่อที่ไม่ชอบหมาแมวสักเท่าไหร่เพียงแค่รู้ว่าไอ้เปี๊ยกโดนกระทำยังไง คุณพ่อก็ถึงกับออกปากว่าสงสาร ความจริงผมก็พอจะรู้ว่าไอ้คนที่โหดเหี้ยมทำร้ายมันขนาดนี้เป็นใคร เพียงแต่ยังหาหลักฐานมัดตัวไม่ได้ก็เท่านั้น ไว้มีหลักฐานเมื่อไหร่ผมไม่มีวันปล่อยไว้เฉยๆ แน่
ติ๊งเสียงเตือนข้อความ ทำให้ผมที่เพิ่งเดินออกจากโรงพยาบาลสัตว์ต้องหยุดหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดดู ข้อความจากพี่ทิพย์เจ้าของร้านดอกไม้ที่ผมเป็นลูกค้าประจำ พี่ทิพย์ส่งข้อความแจ้งมาว่าดอกไม้ที่ผมสั่งไว้จัดช่อให้เรียบร้อยแล้ว ให้ผมเข้าไปรับได้เลย ผมตอบข้อความพี่ทิพย์ไปว่าอีกครึ่งชั่วโมงจะเข้าไปที่ร้าน จากนั้นก็ได้แต่ถามใจตัวเองว่าทำแบบนี้มันดีแล้วเหรอ? สิ่งที่ผมกำลังทำอยู่มันถูกต้องแล้วรึเปล่า? ผมก้มลงมองข้อความที่ยังคงโชว์ตัวเลขสีแดงว่ายังไม่ได้เปิดอ่าน ข้อความจากไอ้ปลื้ม ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะที่ผมไม่คิดอยากจะเปิดอ่านข้อความหรือรับสายทางไกลจากน้องชายฝาแฝดคนนี้ ผมคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเปิดอ่าน
‘อีกสามเดือนจะเรียนจบปอโทแล้วนะ’
‘คุณแม่บอกว่าแฟนชั้นรู้สึกตัวแล้ว’
‘จะว่าไปตั้งแต่กลับมานี่ก็คิดถึงตลอดเลยนะ’ สามประโยคที่ทำให้ผมพ่นลมหายใจออกมากับความอึดอัดใจและความสับสนที่ปนเปกันอยู่ในอก ผมขับรถออกไปโดยที่ในสมองยังคงวนเวียนอยู่กับประโยคจากไอ้ปลื้ม ผมไม่ได้ส่งข้อความใดๆ กลับ และไม่คิดอยากจะถามว่า ‘แฟน’ ที่มันพูดถึงคือใคร? เพราะผมรู้ดีว่าต่อให้ไอ้ปลื้มเป็นผู้ชายที่เจ้าชู้สักแค่ไหน แต่สันดานของมันก็ไม่เคยมั่วและไม่เคยคบใครซ้อนกัน ไอ้ปลื้มจะคบและรักทีละคน จะมีคนใหม่ก็ต่อเมื่อได้เคลียร์และเลิกรากับคนเก่าแล้วเท่านั้น แต่ในกรณีของเด็กนั่นคือยังไม่ได้บอกเลิก และคุณแม่ก็สั่งห้ามไม่ให้ไอ้ปลื้มทำแบบนั้น บางทีไอ้ปลื้มอาจจะรู้ใจตัวเองแล้วก็ได้ว่ารักเด็กนั่นจริงๆ และกำลังจะกลับมาไถ่โทษในสิ่งที่ตัวเองเคยทำลงไป ผมในฐานะพี่ชายก็ควรจะดีใจที่เห็นน้องชายคิดได้สักที
ในสมองคิดเรื่องไอ้ปลื้มกับเด็กนั้นวกไปวนมา จนผมขับรถเลยร้านพี่ทิพย์ไปทำให้ต้องเสียเวลาวนกลับมาอีกรอบ จากที่บอกว่าจะถึงร้านพี่ทิพย์ในครึ่งชั่วโมง แต่กลายเป็นใช้เวลาเกือบชั่วโมงแทน แต่มันก็ไม่ใช่ปัญหา ผมรับดอกไม้แล้วไปต่อที่โรงพยาบาล คุณแม่เพิ่งจะออกเวรกลับบ้านไปเมื่อตอนเช้า และคุณตาก็มารับเวรต่อ ผมจึงเลือกใช้ลิฟท์ของอีกตึกแล้วเดินอ้อมอีกหน่อย เพราะผมไม่อยากจะให้คุณตารู้ว่าผมมาเยี่ยมเด็กนั่นพร้อมดอกไม้ทุกวัน ถ้าหากเรื่องนี้เข้าหูคุณตามันคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ
ตรงหน้าห้องผมเจอคุณน้าเจโกะที่กำลังจะออกไปรับสามีกับลูกสาว คุณน้าเจโกะจึงฝากคนในห้องไว้กับผม ผมเดินเข้ามาในห้องมองเจ้าชายนิทราบนเตียง เพราะเมื่อคืนคุณแม่บอกว่าจู่ๆ เจ้าชายนิทราก็รู้สึกตัวลืมตาขึ้นมาพูดคุยหลายๆ อย่างอยู่หลายนาที แม้จะดูเหมือนคนละเมอที่คุยไม่ค่อยรู้เรื่องแต่นั่นถือว่าเป็นเรื่องที่ดี ยิ่งได้เห็นสีหน้าที่ดูสดใสขึ้นอย่างผิดหูผิดตากว่าที่ผ่านๆ มาผมยิ่งมั่นใจว่าเวลาแห่งการหลับใหลอันยาวนานกำลังจะหมดลงในอีกไม่ช้านี้แน่นอน
“ว่าไงเจ้าชายนิทรา เมื่อคืนนอนละเมอรึไง ฝันถึงอะไรอยู่นะ?” ทักทายเจ้าชายพร้อมกับเอาดอกไม้ช่อใหม่ใส่ในแจกันข้างหัวเตียงแทนช่อเก่าที่เริ่มเฉา
“ตื่นมาเล่าให้ฟังหน่อยสิ” ผมนั่งลงตรงเก้าอี้ข้างเตียง
ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม ไม่เคยมีคำตอบใดๆ กลับมา ยังคงมีแต่ความเงียบ จะมีแตกต่างกันก็ตรงที่จังหวะผ่อนลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอมันคล้ายกับคนที่กำลังนอนหลับมากกว่าทุกวัน
“วันนี้อากาศดีนะ ฟ้าใสเชียว” ผมหันมองออกไปนอกหน้าต่าง ฤดูร้อนของไทยร้อนระอุแต่ท้องฟ้าก็สดใสทุกครั้งที่มอง
“อ้อ วงเกาหลีของจีดราก้อนน่ะ จะมาจัดคอนเสิร์ตที่ไทยนะ กำหนดอีกสองเดือนข้างหน้า จะไม่ไปดูรึไง” ผมเพิ่งเห็นโฆษณาแว่บๆ ผ่านตาจากในทีวีไปเมื่อหลายวันก่อน จึงลองเสิร์ชหาข่าวในอินเตอร์เน็ตดูจึงรู้ความเคลื่อนไหว เจ้าชายนิทราชื่นชอบวงนี้มาก เป็นแฟนบอยพันธุ์แท้เลยก็ว่าได้โดยเฉพาะหัวหน้าวงที่ชื่อจีดราก้อนจะปลาบปลื้มมากเป็นพิเศษ
“นอนนานๆ สมองฝ่อ โง่กว่าเดิมไม่รู้ด้วยนะเว้ย” ผมหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อนึกถึงสีหน้าของเด็กนั่น
เสียงหัวเราะของผมดังก้องอยู่ภายในห้องเพียงลำพัง ทำไมผมถึงรู้สึกว่าเสียงหัวเราะของตัวเองในวันนี้มันเหมือนตัวตลกโง่ๆ ตัวหนึ่งเท่านั้น
“พรุ่งนี้... พี่ต้องไปเอ็กซ์เทอร์นล่ะนะ” นี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมจะได้มาเยี่ยมอีกฝ่าย ยิ่งเมื่อได้รู้ว่าไอ้ปลื้มกำลังจะกลับมา สิ่งที่ผมควรจะทำก็คือกลับไปเป็นเปรมนทีป์คนเดิมเสียที
จบประโยคนั้นผมก็ไม่ได้พูดอะไรอีกเลย ผมทำเพียงแค่นั่งมองเจ้าชายน้อยเงียบๆ และยังคงมีเพียงความเงียบที่เป็นคำตอบเช่นกัน ไม่ใช่ว่าไม่มีเรื่องที่อยากจะคุย แต่มันมีมากมายเสียจนคิดว่าวันนี้วันเดียวก็คงไม่พอ ผมไม่ใช่คนพูดมาก ไม่ใช่คนช่างพูด แต่ที่ผ่านมาผมนั่งพูดได้เป็นวันๆ สารพัดเรื่อง ยกเว้นแค่วันนี้เท่านั้น อาจจะเป็นเพราะว่านอนน้อยสมองเลยตื้อไปหมด คิดอะไรแทบไม่ออก หรือบางทีมันอาจจะถึงสุดทางตันแล้วก็ได้ ผมควรที่จะหยุดเดินแล้วเปลี่ยนทางใหม่เสียที เดินไปยังทางที่เป็นของผมเองโดยไม่ทับซ้อนกับใคร
ถ้าไม่นับวันแรกๆ ที่ผมมาเยี่ยมเจ้าชายนิทราที่นี่ ผมยังคงทำตัวไม่ถูก วันทั้งวันก็ได้แต่นั่งมองอีกฝ่ายเงียบๆ โดยไม่พูดไม่จา จนเมื่อคุณน้าเจโกะเดินทางกลับมาถึงประเทศไทย คุณน้าได้ขอร้องให้ผมช่วยชักชวนลูกชายของเธอคุยบ้างสักเล็กน้อยก็ยังดี แต่จนแล้วจนรอดผมก็กลายเป็นคนพูดมากไปโดยปริยาย สรรหาเรื่องมากมายมาเล่าให้เจ้าชายได้ฟังทุกวี่วัน โดยเฉพาะเรื่องของไอ้เปี๊ยก แต่ตอนนี้แม้แต่บทสนทนาดีๆ สักประโยคผมยังไม่รู้ว่าควรจะเริ่มยังไง
มันคงจะนานหลายชั่วโมงที่ผมนั่งเงียบมองอีกฝ่ายอยู่อย่างนั้น มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่คุณน้าเจโกะเปิดประตูเข้ามาในห้องพร้อมคุณโทมัสและน้องไอด้าที่หลับคาบ่าคุณพ่อ ผมลุกขึ้นทักทายคุณโทมัส อีกฝ่ายพยักหน้ารับไหว้ผมด้วยรอยยิ้มจากนั้นก็อุ้มลูกสาวไปวางนอนบนโซฟา คุณน้าเจโกะชวนผมทานมื้อเที่ยงด้วยกันก่อน เธอบอกว่าซื้อของกินมาเยอะแยะ แต่ผมต้องเสียมารยาทปฏิเสธไปเพราะต้องฝ่ารถติดไปอีกซีกเมืองหลวงเพื่อรับไอ้เปี๊ยกกลับบ้าน
“พี่ไปก่อนนะ” นั่นเป็นคำพูดสุดท้ายของผมก่อนจะเดินจากมา และตั้งใจไว้ว่าจะไม่กลับไปอีก ทุกสิ่งทุกอย่างจบลงแล้ว
.
.
.
.
โรงพยาบาลศูนย์กลางชลบุรี ตั้งอยู่กลางเมืองชลบุรี และเพราะเป็นเมืองท่องเที่ยว อุบัติเหตุจึงมีค่อนข้างเยอะ มีตั้งแต่โดนหอยบาดนิ้วไปจนถึงรถเฉี่ยวรถชน แผนกที่ผมต้องเอ็กซ์เทอร์นมีทั้งหมดสามแผนก คือ อายุรกรรม ศัลยกรรม และออร์โธปิดิคส์ อาจารย์หมอของผมคือศาสตราจารย์นายแพทย์วิโรจน์ แต่งงานแล้วแต่ยังไม่มีลูก ภรรยาของท่านก็เป็นพยาบาลอยู่ที่โรงพยาบาลเดียวกันนี่แหละครับ อาจารย์หมอท่านเป็นลูกศิษย์คนเก่งของคุณตา และเคยเป็นว่าที่คู่หมั้นของคุณแม่ด้วย ฟังแบบนี้เหมือนว่าผมจะได้อาจารย์หมอที่ดีและคงจะผ่านเอ็กซ์เทอร์นแบบสบาย แต่เปล่าเลยครับ มันถือว่าเป็นความซวยซ้ำซวยซ้อนอย่างมหันต์เลยก็ว่าได้ จริงอยู่ที่อาจารย์หมอท่านยังคงเป็นเพื่อนที่ดีกับคุณแม่ของผม แต่กับคุณพ่อนี่เรียกได้ว่าเป็นไม้เบื่อไม้เมากันเลยทีเดียว สาเหตุก็ตามเนื้อผ้าครับ คุณพ่อมาแย่งคุณแม่ไปจากท่าน เห็นคุณตาเล่าให้ฟังว่าตอนนั้นอาจารย์หมอท่านเสียใจหนักมากจนแทบไม่เป็นผู้เป็นคน กว่าจะดึงกลับมาได้ก็ใช้เวลานานพอดู และจนถึงตอนนี้แม้ต่างฝ่ายจะมีครอบครัวแล้วแต่ท่านก็ยังไม่ถูกชะตากับคุณพ่อของผมอยู่ดี ดังนั้นการผมที่ได้สำเนาถูกต้องจากคุณพ่อมาตั้งแต่หัวจรดเท้าจึงถือว่าผิดครับ ทำอะไรก็ขัดหูขัดตาไปหมดทุกอย่าง ซึ่งผมในฐานะเอ็กซ์เทอร์นก็ทำได้เพียงแค่ต้องอดทนและทำให้ดีที่สุด คุณแม่ของผมก็คอยเป็นกำลังใจให้ตลอด แต่อย่าให้คุณพ่อรู้เรื่องว่าอาจารย์หมอของผมเป็นใครนะครับ ไม่เช่นนั้นเรื่องยาวแน่นอน
แพทย์ฝึกหัดหรือเอ็กซ์เทอร์นจะถูกจัดให้อยู่หอพักของโรงพยาบาล ห้องค่อนข้างกว้างและสะอาดสะอ้าน อยู่คนเดียวเดี่ยวๆ ไม่ต้องแชร์กับใคร แต่มันก็ไม่ค่อยจะจำเป็นสักเท่าไหร่เพราะตั้งแต่ผมมาอยู่ที่นี่ได้หนึ่งเดือน ผมแทบจะนับชั่วโมงที่ได้นอนบนเตียงในหอพักได้เลยครับ แม้แต่ภาพฟ้าเองที่ได้มาเอ็กซ์เทอร์นโรงพยาบาลเดียวกัน ในแต่ละวันได้เจอหน้ากันแทบจะนับครั้งได้ แต่ภาพฟ้าถือว่าเป็นหญิงสาวที่มีความพยายามและอดทนสูงครับ ถ้าเธอว่างเมื่อไหร่เป็นต้องมาหาผมทุกครั้ง
แผนกแรกที่ผมต้องเรียนรู้คือแผนกอายุรกรรม ถ้าจะให้พูดกันตามตรงของแผนกนี้ก็คือมีสภาพเหมือนตลาดสด นั่นคือมีเตียงเสริมมากมาย กระทั่งเตียงผ้าใบยังมี แทรกทุกที่จนแทบไม่มีช่องให้เดินต้องค่อยๆ ตะแคงตัวเดิน แล้วก็จะมีชื่อเรียกเตียงแบบแปลกๆ หวังว่าไม่นานคงจะชิน เช่น เตียงเสริมระเบียง เสริมหน้าบันได เสริมหน้าลิฟท์ ฯลฯ ก็แล้วแต่ว่าคุณพยาบาลจะเรียกว่ายังไง ตั้งแต่มาถึงจนเริ่มงานอาจารย์หมอท่านมาคุยกับผมแค่ไม่กี่ประโยค หน้าก็แทบจะไม่มองด้วยซ้ำ บอกแค่ว่าให้รับผิดชอบคนไข้ในวอร์ดและรับผิดชอบคนไข้อายุรกรรมแบบฉุกเฉิน ฟังดูเหมือนงานจะน้อย แต่ไม่ใช่หรอกครับ แค่วันแรกกว่าข้าวจะได้ตกถึงท้องก็ตอนหกโมงเย็น วันต่อๆ มาก็ไม่ต่างกัน จะมีเพิ่มก็ตรงที่อาจารย์หมอมักจะให้ผมขึ้นเวรแทนในช่วงดึกจนถึงหกโมงเช้า ผมมีเวลาพักแค่วันละสามชั่วโมง ถ้าง่วงมากจริงๆ ส่วนใหญ่ก็อาศัยนอนแถวๆ หน้าห้องดับจิตเอา
วันนี้ก็เช่นกัน ผมที่เพิ่งออกเวรเมื่อตอนหกโมงเช้า และมีเวลาพักแค่ไม่กี่สิบนาที จึงแอบมานั่งหน้าห้องดับจิตแบบเงียบๆ คนเดียว ทานแซนวิชกับนมถั่วเหลืองที่ภาพฟ้าฝากให้คุณพยาบาลเอามาให้ แต่เพราะข้อความจากน้องปิ่นน้องสาวของผมที่ขยันส่งคำโอดครวญร่ำร้องว่าคิดถึงไอ้เปี๊ยกมากมาย อยากจะให้ผมช่วยคุยกับคุณพ่อขออนุญาตให้น้องปิ่นเลี้ยงน้องหมาแบบไอ้เปี๊ยกให้ได้ ผมก็ได้แต่ยิ้มกับตัวสติ๊กเกอร์ที่น้องปิ่นระรัวส่งมา และตอบไปเพียงสั้นๆ ว่าจะลองพูดกับคุณพ่อให้ดูนะ แค่นั้นน้องปิ่นก็ดีใจมากแล้วครับ
ก่อนผมจะมาที่นี่ผมฝากไอ้เปี๊ยกไว้ให้น้องปิ่นช่วยดูแล รอว่าเมื่อไหร่ที่เจ้าของไอ้เปี๊ยกฟื้นขึ้นมาและคุณแม่อนุญาตให้กลับบ้านได้ ก็ให้ช่วยเอาไอ้เปี๊ยกไปคืนให้ถึงบ้าน วันรุ่งขึ้นซึ่งตรงกับวันที่ผมเดินทางมาถึงชลบุรีพอดี เจ้าของไอ้เปี๊ยกก็ฟื้น และอีกสี่วันต่อมาก็ได้รับอนุญาตให้กลับบ้าน ผมไม่ได้ถามคุณแม่ว่าอาการของอีกฝ่ายหลังจากฟื้นขึ้นมาเป็นยังไงบ้าง คุณแม่ก็ไม่ได้บอกอะไรผมเพราะคนที่ควรจะรู้เรื่องพวกนั้นคือไอ้ปลื้มไม่ใช่ผม ผ่านไปหลายวันน้องปิ่นก็เริ่มงอแงเพราะติดไอ้เปี๊ยก จนผมต้องโทรไปดุ น้องปิ่นจึงยอมส่งไอ้เปี๊ยกคืนสู่เจ้าของสักที ตอนนี้ไอ้เปี๊ยกก็คงจะมีความสุข ไม่ต้องถูกทิ้งถูกขว้างเหมือนตอนที่อยู่กับผม
ผมเปิดเฟสบุ๊คดูความเป็นไปของเพื่อนๆ แต่ละคนอีกเล็กน้อย เห็นพี่ดินพี่รหัสของผมลงรูปกับผู้หญิงสองคนที่ตลาดเช้าเมื่อสิบห้านาทีที่ผ่านมา คนหนึ่งน่าจะเป็นคุณแม่ของพี่ดินส่วนอีกคนผมจำได้แม่นยำว่านั่นคือคุณน้าเจโกะ ว่าแต่คุณน้าเจโกะมาเที่ยวชลบุรีกับครอบครัวพี่ดินด้วยอย่างนั้นเหรอ? เพราะผมรู้แค่ว่าพี่ดินมาเที่ยวพักผ่อนกับครอบครัว เมื่อสัปดาห์ที่แล้วพี่ดินโทรมาก็นัดแนะกันเป็นอย่างดีว่าจะเจอกันที่ไหนยังไงบ้าง โรงแรมที่พี่ดินมาพักก็ไม่ได้ไกลจากโรงพยาบาลเลยสักนิด แต่มันติดตรงที่ผมไม่สามารถจะปลีกตัวไปไหนได้เลยต่างหาก ขนาดเมื่อวานผมมีว่างช่วงเที่ยงสามชั่วโมงและได้ฝากเคสสำคัญไว้กับภาพฟ้าเรียบร้อยแล้ว แต่อาจารย์หมอกลับให้ผมไปอ่านผลวินิจฉัยของคนไข้แทน ทำให้ผมต้องพลาดนัดทานข้าวมื้อเที่ยงกับครอบครัวพี่ดินไปอย่างน่าเสียดาย ส่วนวันนี้อาจารย์หมอก็ทิ้งงานไว้ให้ผมเต็มวันเลยครับ
หมดเวลาพักผมก็เข้าตรวจวอร์ด แต่ก็โดนตามาดูเคสฉุกเฉินหรืออีอาร์ที่แผนกอายุรกรรมเป็นระยะๆ เคสฉุกเฉินที่หนักสำหรับผมในวันนี้เป็นช่วงเที่ยง ตอนที่ผมกำลังจะตักข้าวเข้าปากพอดี คุณพี่พยาบาลก็วิ่งมาตามทำให้มื้อเที่ยงของผมเป็นอันต้องปิดฝากล่องไว้ก่อน ผู้ป่วยอาเจียนเป็นเลือดเพราะไปกินแมงดา แต่ดันกินผิดไปกินตัวเหรา อ่านว่า เห-รา นะครับ ชาวบ้านที่พาคนป่วยมาเค้าบอกว่าตัวเหรามันเหมือนกับแมงดาแต่มีพิษถึงตาย ผมให้ผู้ป่วยล้างท้องและต้องใช้ท่อช่วยหายใจ กว่าจะเสร็จเคสนี้ผมก็ได้กินข้าวมื้อเที่ยงตอนบ่ายสามโมงเย็น และต้องเดินตรวจดูคนไข้ในวอร์ดต่อให้ครบทุกเตียงซึ่งต้องใช้เวลาประมาณสองถึงสามชั่วโมง ผมตรวจไปเรื่อยๆ คุยกับคนไข้ไปด้วยก็เพลินดีครับ ได้ความรู้อะไรใหม่ๆ จากชาวบ้านเพิ่มมาด้วย และอีกไม่กี่เตียงก็จะเสร็จแล้วครับ
“คุณหมอเปรมคะ เชิญที่ห้องอีอาร์ค่ะ” คุณพี่พยาบาลวิ่งกระหืดกระหอบมาตามผม ทำให้ผมต้องขอโทษผู้ป่วยที่เหลือแล้วรีบไปห้องยังฉุกเฉิน
“คนไข้เป็นอะไรครับ?”
“เปลือกหอยตำเท้าค่ะ”
ผมแทบจะหยุดเท้าที่กำลังวิ่งลง เพราะไม่เข้าใจว่าแค่เปลือกหอยตำเท้าทำไมถึงต้องเข้าห้องอีอาร์ และคุณพี่พยาบาลคงจะรู้ได้จากคิ้วของผมที่ขมวดเข้าหากันแทบจะทันทีที่ได้รับรู้อาการของผู้ป่วยฉุกเฉิน เธอจึงรีบอธิบายต่อ
“เปลือกหอยใหญ่มีหนามแหลมขรุขระ ตำลงไปในฝ่าเท้าของผู้ป่วยค่อนข้างลึกค่ะ”
แบบนี้ค่อยฟังดูดีขึ้นมาหน่อย ผมพยักหน้ารับแล้วเร่งฝีเท้าขึ้นไปอีกเพราะกลัวว่าผู้ป่วยจะเสียเลือดเยอะ แต่ก็ต้องแปลกใจเมื่อผมได้เจอกับพี่ดินและสองสาวที่ผมเห็นรูปจากในเฟสบุ๊คเมื่อเช้านี้ด้วย
“อ้าว ไอ้เหี้ยเปรม กูกำลังจะโทรหามึงพอดีเลย” ผมยกมือไหว้พี่ดินและผู้ใหญ่อีกสองท่าน
“เกิดอะไรขึ้นรึเปล่าครับ?” ผมถามด้วยความเป็นห่วง
“มึงเข้าไปดูน้องกูหน่อย แมร่มร้องไห้ยังกับควายจะออกลูกแล้วโน่น” พี่ดินผลักผมเข้าไปในห้องอีอาร์
น้องพี่ดินก็ไอ้ดีนสินะ ถ้าอย่างนั้นไอ้ดีนก็โดนเปลือกหอยตำเท้า แล้วไอ้ดีนผู้ชายตัวโตๆ ความสูงก็ไล่เลี่ยกับผมกำลังร้องไห้ยังกับควายออกลูกนี่ผมนึกภาพไม่ออกเลย แต่ตอนที่ผมหยุดทำความสะอาดมือ ใส่ถุงมือ และมาร์คปิดหน้าอยู่หน้าห้องผมได้ยินเสียงร้องไห้ดังออกมาชัดเจนเลยครับ มันเหมือนควายออกลูกจริงๆ
“ขอโทษครับ” ผมเปิดประตูอย่างเร็ว
ลมหายใจของผมสะดุดแทบจะทันทีที่เห็นเด็กผู้ชายรูปร่างบอบบางคนหนึ่งกำลังร้องห่มร้องไห้น้ำมูกน้ำตาเลอะเทอะเปรอะไปทั้งหน้า ตาบวมเป่ง จมูกและหน้าเน่อก็แดงเถือกไปหมด ร้อยทั้งร้อยเห็นแล้วก็ต้องใจอ่อนยวบด้วยความสงสาร แต่ทำไมผมถึงต้องกลั้นขำจนปวดขากรรไกร แต่ผมก็มีจรรยาบรรณในวิชาชีพที่จะไม่หัวเราะออกไป
“ไหนขอคุณหมอดูแผลหน่อยครับ” ผมเห็นแผลแล้วก็ต้องตกใจแผลค่อนข้างจะลึก และลักษณะของหนามเปลือกหอยขรุขระจะดึงออกตรงๆ ไม่ได้ กรณีนี้อาจต้องมีการเย็บแผลหลายเข็มพอดู และบอกได้เลยว่าคงมีแต่คนตาบอดหรือไม่ก็คนโง่เท่านั้นที่จะเหยียบเปลือกหอยใหญ่ขนาดนี้ได้
ขณะที่ผมกำลังตรวจดูแผล ผมรู้สึกได้ถึงแรงดึงตรงชายแขนเสื้อ เหลือบตามองไปหน่อยก็เห็นของเหลวหนืดติดอยู่บนแขนเสื้อกาวน์ของผมก้อนใหญ่เชียว แต่ผมก็ไม่ได้หันไปสนใจเท่าไหร่เพราะตอนนี้ที่สำคัญที่สุดคือต้องเอาชิ้นส่วนจากธรรมชาติชิ้นใหญ่นี่ออกไปจากฝ่าเท้าผู้ป่วยให้ได้ก่อน
“อ๊ากก จ เจ็บ” เด็กโง่ร้องเสียงหลงตอนที่ผมลองแตะขยับเปลือกหอยเบาๆ
เห็นว่าเป็นเคสเล็กๆ แต่ดูแล้วไม่เล็กอย่างที่คิด ผมบอกให้คุณพี่พยาบาลเตรียมอุปกรณ์ เราจะทำการผ่าตัดขนาดย่อยเอาเปลือกหอยออกกัน
“เจ็บนิดนึงนะครับ เพราะหมอจะต้องเอาเปลือกหอยออกให้หมดก่อน” ผมขยิบตาให้คุณพี่พยาบาลอย่างรู้กัน และทันใดนั้นเรียวขาขาวเนียนๆ ก็ถูกคุณพี่พยาบาลรวบไว้แบบแน่นหนาชนิดที่อีกฝ่ายขยับไม่ได้เลย
“เจ๊บบ จ เจ๊บบบบบบบ อ๊ากกกก” เด็กโง่แหกปากร้องลั่นน้ำมูกน้ำตาไหลพรากๆ ตอนนี้ผมชักจะสงสารแล้วล่ะครับ
หน้าที่ของหมอคือรักษาผู้ป่วย ผมพยายามทำทุกขั้นตอนอย่างเบามือและรวดเร็วที่สุดเพื่อที่จะให้เด็กโง่เจ็บปวดน้อยลง จะว่าไปผมเคยเจอเคสผู้ป่วยที่หนักกว่านี้มาแล้วนับสิบ แต่ทำไมครั้งนี้แค่ผมถึงรู้สึกประหม่าพอดู ผมรู้สึกได้ถึงเหงื่อที่ซึมอยู่ตรงหน้าผาก ผมใช้เวลาเกือบสิบนาทีกว่าจะจัดการกับเศษซากเปลือกหอยนั่นจนหมดพร้อมเย็บปิดแผลให้อย่างดี
คุณพี่พยาบาลจัดการเช็ดทำความสะอาดแผลและพันผ้าก็อตในขั้นตอนสุดท้าย ส่วนผมก็ล้างทำความสะอาดมือด้วยน้ำยาฆ่าเชื้ออีกครั้ง เสียงแหกปากเงียบไปแล้วแต่ก็ยังไม่เสียงสะอึกสะอื้นเป็นระยะ พร้อมกับเสียงสั่งน้ำมูกฟืดใหญ่จนผมแทบจะหลุดขำออกมา
คุณพี่พยาบาลจะเดินออกไปแล้ว ผมหยิบกระดานการตรวจขึ้นมาจดบันทึกแล้วเหลือบมองเด็กโง่ที่นั่งทำหน้าโง่ๆ อยู่บนเตียงแล้วก็อดที่จะอมยิ้มไม่ได้ แถมยังจะอวดเก่งขาเดี้ยงขนาดนั้นยังจะลุกเดินลงจากเตียงเอง ผมเห็นแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้าวางกระดานลงบนโต๊ะตั้งใจว่าจะไปช่วย แต่สายตาก็ไปจ๊ะเอ๋เข้ากับคราบสีเขียวข้นเสียก่อน จึงต้องดึงทิชชู่มาสี่ห้าแผ่น เอาไปเช็ดคราบเหนอะหนะตรงชายเสื้อให้
“กลับบ้านไปแล้วทานยาตามที่หมอสั่งด้วยนะครับ แผลจะได้ไม่อักเสบ แต่คืนนี้อาจจะเจ็บแผลก็ให้ทานยาแก้ปวด ไม่กี่วันก็หายแล้วครับ” ผมพูดโดยไม่ได้มองหน้าคนฟังแม้แต่น้อย
เช็ดเสร็จก็เอาทิชชู่ไปทิ้ง ล้างมืออีกครั้งก่อนจะหันกลับมามองอีกฝ่ายที่ดวงตาบวมๆ นั่นจ้องมองผมตาแป๋ว ผมจึงตัดสินใจปลดมาร์คปิดหน้าออก เพียงเท่านั้นทำนบน้ำตาของเด็กโง่ก็แตกพลั่กสะอึกสะอื้นตัวสั่นจนผมตกใจ หากจะปล่อยให้ร้องไห้อยู่อย่างนั้นก็ดูจะใจร้ายใจดำเกินไป สุดท้ายผมจึงยอมเคลื่อนตัวเข้าไปใกล้หวังจะลูบหัวปลอบโยนอย่างที่ครั้งหนึ่งเคยทำ แต่วงแขนเล็กนั่นกลับคว้าคอผมไว้อย่างไวแล้วโน้มลงไปแนบกับริมฝีปากอ่อนนุ่ม มันเป็นวินาทีที่โลกทั้งโลกของผมแทบจะหยุดเคลื่อนไหว นี่ไม่ใช่จูบแรกของผม และไม่ใช่คนแรกที่ผมเคยจูบด้วย แต่หัวใจที่เต้นรุนแรงจนแทบจะทะลุออกมานอกอกนี้ผมยืนยันได้ด้วยตัวเองว่าเป็นปฏิกิริยาทางร่างกายครั้งแรกที่ผมเพิ่งเคยพบเจอ รวมทั้งความรู้สึกอบอุ่นและสุขซ่านที่อิ่มล้นอยู่ในหัวใจก็เป็นครั้งแรกสำหรับผมเช่นกัน
ดวงตาคู่สวยที่บวมช้ำปิดลง ก่อนจะเริ่มละเลียดริมฝีปากของผมด้วยลิ้นอย่างช้าๆ ตอดเม้มเบาๆ ทั้งบนและล่างสลับกันไป ให้ตายเหอะ นี่มันเป็นจูบของเด็กอนุบาลชัดๆ แต่ทำไมถึงทำให้ผมขาดการควบคุมตัวเองได้ อีกทั้งยังต้องการมากกว่าเดิม ราวกับว่านี่คือสิ่งที่ผมรอคอยและเฝ้ารอมานานแสนนาน ผมตอบรับด้วยการค่อยๆ แทรกลิ้นผ่านกลีบปากนุ่มเข้าไปทักทายลิ้นเล็กพอเป็นพิธีแล้วจึงผละออก ผมจ้องมองเข้าไปในดวงตาที่ชื้นฉ่ำไปด้วยน้ำ มันมีเงาสะท้อนของผมอยู่ในนั้น เงาที่ผมมั่นใจว่าเป็นของ ‘เปรมนทีป์’ ไม่ใช่ของใครอื่น แล้วใบหน้าแดงซ่านที่แสนน่ารักก็ฉีกยิ้มกว้างให้ผมโดยที่น้ำตาก็ยังไหลอาบแก้ม
“เด็กโง่ หยุดร้องได้แล้ว” ผมปาดเช็ดน้ำตาให้เด็กโง่ ซึ่งพอดีกับที่บุรุษพยาบาลเปิดประตูเข้ามาพร้อมรถเข็น ผมจึงต้องถอยห่าง แล้วให้พี่บุรุษพยาบาลทำหน้าที่แทน โดยที่ทุกการเคลื่อนไหวอยู่ในสายตาของผมตลอด หรือจะให้พูดให้ถูกก็คือ ตั้งแต่วันแรกจนถึงตอนนี้ผมไม่สามารถละสายตาไปจากเด็กที่ชื่อ
‘พบรัก’ ได้เลย
สิ่งที่ผมกำลังทำอยู่นี้มันผิดหรือถูกกันนะ คำถามผุดขึ้นมาในห้วงลึกของหัวใจ ทำไมผมถึงหนีเด็กโง่คนนี้ไม่พ้นสักที และผมควรจะทำยังไงกับความรู้สึกสับสนเช่นนี้ดี
.
.
.
.
.
.
TBC..
ตอนนี้เป็นพี่เปรมค่ะ
ขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่ติดตามกันมาจนถึงตอนที่ 14 ค่ะ
เดี๋ยวรินขอเอาผ้าเย็นไปซับหน้าให้พี่เปรมหน่อยนะคะ 