Miracle of LOVE ผมเรียกมันว่าปาฏิหาริย์แห่งรัก
-22-
“ไอ้ดีนมึงดูนี่สิว่ะ แมร่ม แฟชั่นสนามบินล่าสุดของจีดราก้อน โดนใจกูชิปเป๋ง” ผมยื่นรูปในหน้าจอไอโฟนให้ไอ้เพื่อนรักดู ไอ้ดีนที่กำลังปรับเลื่อนสายรองเท้าอยู่แค่ชำเลืองมองด้วยหางตา
“ตุ๊ด” เต็มหน้าผมเลยครับ แต่ผมก็ยังใจเย็นเพราะรู้ว่าไอ้ดีนมันปากมอมเป็นปกติ
“ดูนี่ดิ จีดราก้อนใส่เสื้อลูกไม้ซีทรูโชว์ไลฟ์เมื่อวานด้วย เจ๋งว่ะ”
“ตุ๊ด” อีกครั้งครับเต็มๆ กลางแสกหน้าแบบไม่มีกั๊กไว้บ้างเลย
“ไอ้สัสดีน! มึงหยุดว่าไอดอลกูเป็นตุ๊ดได้มั๊ยว่ะ” ต่อให้เป็นเพื่อนรักก็เหอะ ผมเคืองนะเว้ย!
ผมผลักไอ้ดีนจนแทบตกเก้าอี้ ใบหน้าหล่อตี๋มองผมด้วยสายตาเอือมๆ ส่ายหัวไปมาแล้วก้มลงผูกเชือกรองเท้าต่ออย่างบรรจง ปล่อยให้ผมนั่งกัดฟันกรอดๆ อยู่เพียงลำพัง แต่อย่าคิดว่าผมจะยอมง่ายๆ นะครับเพราะจีดราก้อนเป็นไอดอลของผมนี่นา แถมยังเป็นแฟชั่นนิสต้าในดวงใจของผมด้วย การแต่งตัวเสื้อผ้าหน้าผมของผมทุกวันนี้ก็ได้รับอิทธิพลมาจากไอดอลเกาหลีคนนี้ทั้งนั้น ผมตั้งท่าจะยกหมัดขึ้นยันไอ้ดีนไปอีกโครม แต่มันก็ยืดตัวขึ้นมานั่งหลังตรงแล้วหันมามองผมพร้อมถอนหายใจเฮือกใหญ่
“มึงนั่นแหละ ตุ๊ด!”
ห๊า?!ตกใจตาเหลือกเลยสิครับ มันย้ำชัดขนาดนั้นผมก็ต้องตกใจเป็นธรรมดา ผมยกนิ้วชี้หนังหน้าหล่อๆ ของตัวเองเพื่อจะเตือนสติให้คุณเพื่อนรักได้เห็นกันชัดๆ ว่า
“หล่อเกาหลีสาวกรี๊ดอย่างกูนี่นะตุ๊ด มึงเอาตาตุ่มมองรึไง?”
ไอ้ดีนมองหน้าผมแล้วถอนหายใจอีกเฮือกใหญ่ราวกับจะปลงชีวิต
“เออ ไอ้คนหล่อ” พูดเสียงเนือยๆ เหนื่อยๆ แต่ผมก็ทำให้ผมพอใจในระดับหนึ่ง
“มึงอิจฉากูล่ะสิ” กอดคอปลอบใจสักหน่อย ไอ้ดีนคงจะน้อยใจล่ะสิท่าเพราะตั้งแต่เริ่มงานกีฬาประเพณีมาสาวๆ กรี๊ดผมมากกว่ามันนะสิครับ
งานกีฬาประเพณีระหว่างมหาลัยเป็นงานกีฬาที่รวมมหาลัยทั่วฟ้าเมืองไทยไว้ด้วยกัน ซึ่งผมกับไอ้ดีนเป็นหนึ่งนักกีฬาบาสเก็ตบอลของมหาวิทยาลัย เมื่อถึงงานกีฬาประเพณีระหว่างมหาวิทยาลัยทีไรผมกับไอ้ดีนก็กลายเป็นซุปตาร์ของทีมกันตลอด ต่อให้ไม่ได้ถ้วยรางวัลหรือแม้กระทั่งตกรอบตั้งแต่รอบแรกก็ไม่เป็นไรเพราะผมกับไอ้ดีนคว้ารางวัลนักกีฬาขวัญใจมหาลัยมาครองทุกปี
ปีนี้ก็เช่นเดียวกันกองเชียร์ของพวกผมมาจนแน่นอัฒจันทร์ และยิ่งคึกคักมากกว่านั้นก็คือทีมบาสเก็ตบอลมหาลัยของผมทะลุเข้ามาถึงรอบชิงชนะเลิศได้แบบงงๆ ก็จะไม่ให้งงได้ยังไงละครับ ก็เด็กมหาลัยศิลป์อย่างพวกผมเล่นกันเอามันส์มากกว่าเอาจริง เห็นซ้อมๆ กันทุกวันหลังเลิกเรียนนั่นก็ซ้อมแบบติสสไตล์นั่นคือขอท่าสวยให้สาวกรี๊ดไว้ก่อน แต่ไม่ใช่ว่าพวกเราจะเล่นกันไม่เอาไหนนะครับฝีมือทีมของพวกผมนี่ขั้นเทพเชียวนะ และในเมื่อหลุดมาถึงรอบชิงชนะเลิศได้พวกผมก็ขอเอาจริงบ้างละครับยังไงซะก็จะขอสร้างตำนานด้านกีฬาให้มหาลัยสักหน่อย
“เฮ้ยๆ ผัวเมียคู่นั้นสวีทกันพอรึยังว่ะ?” ไอ้อ๊อฟปากหมามาอีกคนแล้วครับ ผมล่ะเบื่อพวกนี้จริงๆ ชอบกล่าวหาว่าผมเป็นผัวไอ้ดีนอยู่เรื่อย แต่ก็ชินซะแล้วล่ะครับ ล้อผมกับไอ้ดีนแบบนี้มาตั้งแต่ปีหนึ่งยันปีสามเหลืออีกปีเดียวก็จะจบกันไปแล้วไอ้พวกนี้จะได้ตาสว่างสักทีว่าผมกับไอ้ดีนเคมีไม่เข้ากันสักนิด
“เอ๊าๆๆ” โค๊ทโตที่เป็นทั้งรุ่นพี่ อาจารย์ และโค๊ทของทีมเดินมายืนกลางห้องพักนักกีฬาแล้วปรบมือเรียกนักกีฬาในทีมทุกคน
ลูกทีมอย่างพวกผมทั้งตัวจริงตัวสำรองก็เดินอย่างห้าวหาญมากอดคอล้อมวงกันโดยมีโค๊ทโตเป็นจุดศูนย์กลาง วันนี้คู่แข่งของเราเป็นทีมมหาหินเป็นเจ้าของแชมป์ติดต่อกันแทบทุกปี มีนักกีฬาเก่งๆ เยอะมาก แถมเป็นนักกีฬาหัวกะทิอีกด้วย เป็นมหาลัยที่ขึ้นชื่อเรื่องนักศึกษาเก่งทั้งเรียนและกีฬา ผมพูดขนาดนี้แล้วคงไม่ต้องเดากันแล้วละมั้งครับว่ามหาลัยที่ว่าก็คือมหาลัยที่พี่เปรมกับพี่ดินเรียนนั่นแหละครับ ดูอย่างพี่เปรมกับพี่ดินที่เรียนหนักขนาดนั้นก็ยังเป็นนักกีฬาฟุตบอลของมหาลัย ยิ่งพี่เปรมเนี่ยเคยเป็นกัปตันทีมถึงสองปีซ้อนเลยนะครับ แต่พอขึ้นปีห้าก็ปลดระวางจากกีฬาและกิจกรรมต่างๆ มุ่งหน้าเรียนอย่างเดียว ผมเลยอดเห็นความเท่ห์ของพี่เปรมตอนที่อยู่กลางสนาม เสียดายจริงๆ ครับ
“พร้อมกันมั๊ยพวกเรา?!”
“พร้อม! ฮุย! ฮุย ฮุย ฮุย!!”
พวกเราปรบมือให้กำลังใจตัวเองกันอีกรอบก่อนจะเดินออกไปสู่สนามการแข่งขันที่เต็มแน่นไปด้วยกองเชียร์จากทั้งสองทีมแน่นขนัดทั้งอัฒจันทร์
กรี๊ดดดดดด ไม่ต้องตกใจครับ นั่นคือเสียงของสาวๆ ที่มีทั้งชายแท้ ชายเทียม สาวแท้ สาวเทียม รุ่นน้อง รุ่นพี่ และรุ่นเดียวกันจากหลากหลายคณะที่รวมตัวพร้อมใจกันตั้งกลุ่มแฟนคลับ ‘ดีน-ไอ’ ไว้เชียร์ผมกับไอ้ดีนโดยเฉพาะ สาวๆ คงเห็นว่าผมกับไอ้ดีนเป็นเพื่อนคู่หูดูโอ้อะไรประมาณนั้นแหละครับ
ผมรู้นะว่าหลายคนคงจะสงสัยว่าในเมื่อผมเป็นนักกีฬาบาสเก็ตบอลระดับนี้แล้วทำไมความสูงถึงยังได้เท่านี้ จะให้โทษกรรมพันธุ์อย่างเดียวก็คงดูไม่ดี เอาเป็นว่าผมสูงได้ขนาดนี้พ่อกับแม่ก็ภูมิใจจะแย่แล้วครับ อีกอย่างกีฬาระดับมหาลัยก็ไม่ได้วัดส่วนสูงของนักกีฬาสักหน่อย ผมมาถึงจุดนี้ได้ด้วยความสามารถล้วนๆ ส่วนเรื่องหน้าตาและผิวพรรณนั่นคือของแถมที่ผมมาเสริมสร้างภาพลักษณ์ให้กับทีมครับ
ไอ้ดีนหันไปมองอัฒจันทร์ฝั่งตรงข้ามอยู่หลายครั้ง แถมยังโบกมือให้อีกด้วย อิจฉานิดนึงครับเพราะไอ้ดีนมีดาวคณะอักษรอย่างน้องปิ่นหรือปิ่นธารามานั่งเด่นยิ้มหวานงามสง่าเป็นกำลังใจให้ถึงขอบสนาม ต่อให้อยู่คนละฝ่ายแต่ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าน้องปิ่นมาเชียร์ใคร ผมจึงลองกวาดสายตามองหาสุดที่รักของผมบ้าง
ว่างเปล่า.. ในอกด้านซ้ายมันร้องไห้กระซิกๆ ไหนพี่เปรมบอกว่าถ้าผมเข้ารอบชิงก็จะมาเชียร์ยังไงล่ะ อีกไม่กี่นาทีก็จะเริ่มแข่งแล้วยังไม่โหล่หน้ามาเลย เดือนกว่าแล้วนะที่ไม่ได้เจอกัน ทั้งคิดถึงและอยากได้กำลังใจ ผมอยากให้พี่เปรมมาเห็นว่าพบรักของพี่เปรมนั้นเก่งและเท่ห์แค่ไหนตอนที่อยู่ในสนามการแข่งขัน
กำลังปลงตกอยู่แล้วครับ จู่ๆ สายตาก็เหลือบไปเห็นชั้นบนสุดของอัฒจันทร์ฝั่งตรงข้าม พี่ดินที่อุ้มน้องเปี๊ยกอยู่ในอ้อมแขนยืนหล่ออยู่กับพี่หมอโก้ และเพื่อนๆ ของพี่เปรมอย่างพี่เจมส์ พี่วิทย์ พี่เอื้อ พี่โบว์ พี่ยุ้ย และพี่ริยา พี่ๆ เค้ายืนถือป้ายตัวอักษรกันอยู่ครับ ผมอ่านได้ว่า
‘แม่-ไอ้-เปี๊ยก-สู้-สู้’ แล้วพี่ดินที่ยืนอยู่คนสุดท้ายก็ยกชูน้องเปี๊ยกจนสุดแขนจนผมกลัวว่าน้องเปี๊ยกจะหลุดมือหล่นลงมาจริงๆ พวกพี่มารวมกันครบองค์ประชุมขนาดนี้ทั้งๆ ที่ทุกคนอยู่ในช่วงเอ็กซ์เทอร์น สงสัยพี่เปรมจะยัดเงินมาเยอะแน่ๆ แต่ก็ช่วยไม่ได้นี่นาก็สามีผมรวย
โค๊ทโตเรียกประชุมทีมเสริมสร้างกำลังใจอีกนิดหน่อยพอเป็นพิธี จากนั้นกรรมการก็เรียกให้นักกีฬาทั้งสองทีมได้ทักทายกัน แน่นอนว่าในบรรดาคู่แข่งทุกรายจะต้องมีสายตาดูถูกเหยียดหยามในความสูงของผม แต่ไอด๊อนท์แคร์ครับ เพราะเดี๋ยวผมจะทำให้รู้ว่าเล็กพริกขี้หนูมันเป็นยังไง
เสียงกรี๊ดดังกระหึ่มอีกครั้งเมื่อนักกีฬาทั้งสองฝ่ายพร้อมเพรียงกันอยู่กลางสนาม แต่ชั่วอึดใจก็เงียบลง กรรมการเดินถือลูกบาสมายืนจุดกึ่งกลาง หัวใจของผมไม่สงบเลยครับ มันยังไม่มีสมาธิ ผมเหลือบมองขึ้นไปบนอัฒจันทร์อีกรอบ แต่คราวนี้น้องเปี๊ยกถูกเปลี่ยนมือให้ไปอยู่ในอ้อมแขนของใครอีกคน
พี่เปรม.. ริมฝีปากบางเฉียบนั้นขยับว่า
‘สู้ๆ’ ให้ตายเหอะ! หัวจิตหัวใจของผมสั่นระริกระรี้เลยครับ ในที่สุดพี่เปรมก็มาทันเวลา พี่เปรมมาเชียร์ผมตามที่ให้สัญญาไว้ เพราะฉะนั้นศึกครั้งนี้ผมสู้ยิบตาครับ เป้าหมายของผมไม่ใช่ถ้วยรางวัลแต่ที่ผมมุ่งมั่นก็คืออยากจะให้พี่เปรมภูมิใจในตัวผมต่างหาก
สู้ๆ เว้ยพบรัก! เสียงนกหวีดยาวดังขึ้นพร้อมกับที่ลูกกลมๆ สีแดงอิฐลอยขึ้นสูงจากมือกรรมการ ทีมคู่แข่งปัดลูกได้ และไม่กี่วินาทีก็นำไปก่อนสองคะแนนตามที่คาดไว้ ไม่ต้องซีเรียสครับทีมของผมถือคติไว้ว่าอย่าไปยึดติดกับลูกกลมๆ กลิ้งไปฝั่งโน้นได้เดี๋ยวก็กลิ้งมาฝั่งเราได้เหมือนกัน
ผ่านไปสิบกว่านาทีสกอร์คะแนนทีมของผมยังไม่พ้นหลักสิบในขณะที่อีกฝ่ายนำไปมากกว่าสิบแต้ม แต่ลีลาของทีมผมนี่คะแนนเกินร้อยไปแล้วครับ เล่นกันตามแบบฉบับนักกีฬามหาลัยศิลป์ที่พลิ้วไหวดั่งปลายพู่กัน ซึ่งเรียกเสียงกระหน่ำกรี๊ดจากสาวๆ ได้อย่างล้นหลาม
การแข่งขันดุเดือนขึ้นตามลำดับ เมื่อทีมของผมทำคะแนนได้ติดๆ กันถึงสามครั้ง คู่แข่งไม่ค่อยสนใจผมเท่าไหร่หรอกครับ เพราะไม่ค่อยจะมีใครส่งลูกบาสมาให้ผมและที่สำคัญคือผมแทบจะไม่อยู่ในสายตาของศัตรูด้วยซ้ำ ผมก็ไม่แยแสหรอกครับ วิ่งเท่ห์ๆ เรียกเสียงกรี๊ดไปเรื่อยๆ เอาให้คู่ต่อสู้ตายใจ จนจบครึ่งแรกคะแนนทีมผมก็ยังคงเป็นรองอยู่พอสมควร แต่พวกเราก็ยังยิ้มได้
“พร้อมกันรึยังพวกเรา?!” เสียงห้าวหาญปลุกกำลังของโค๊ทโตตะเบ็งถามพวกเราในทีมด้วยรอยยิ้มที่เหี้ยมโหดโฉดชั่ว ซึ่งทุกคนในทีมก็พวกเรากอดคอกันล้อมวงตะเบ็งเสียงตอบกลับเหมือนเดิม
“ฮุย! ฮุย ฮุย ฮุย!!” พร้อมเอาจริงแล้วโว้ย!
เสียงนกหวีดดังขึ้นอีกครั้งส่งสันญาณเริ่มการแข่งขันครึ่งหลัง แค่เริ่มเกมส์ก็มันส์เลยครับ ใช้จังหวะที่ทีมคู่แข่งชะล่าใจสอยคะแนนมาได้อย่างไวหลายแต้ม จากนั้นก็ถึงคิวพระเอกตัวจริงอย่างผมสักที ขณะที่ไอ้โต๊ดโดนสกัดรอบด้าน มันก็หันมาสบตากับผมที่ไม่มีใครสนใจสักคน ผมใช้ความพลิ้วและความไววิ่งอ้อมไปด้านหลัง รับลูกบาสมาอย่างเหนือความคาดหมาย จากนั้นก็วิ่งไปหยุดยืนเกือบชิดเส้นหัวกะโหลก กระโดดลอยตัวสูงแล้วปล่อยลูกกลมๆ ในมือให้หมุนแบบแบ็คสกินลงห่วงไปอย่างสวยงามสามคะแนนท่ามกลางสายตาอึ้งทึ่งเสียวของทีมคู่แข่งและเสียงกรี๊ดสนั่นของกองเชียร์
มีลูกที่หนึ่งก็ต้องมีลูกที่สองสามสี่ห้าและเรื่อยๆ จนคะแนนตีตื้นมาเสมอกัน และอีกทีมต้องขอเวลานอกไปตั้งหลักใหม่อีกครั้ง ระหว่างนั้นผมกับไอ้ดีนก็ขอเซอร์วิสแฟนๆ หน่อยครับ กอดคอกันส่งยิ้มหวานพร้อมโบกมือให้กองเชียร์ทั้งอัฒจันทร์ เล่นเอาหลายคนกรี๊ดแบบชักดิ้นชักงอ ผมล่ะมีความสุขจริงๆ กับการเป็นซุปตาร์ แต่พอหันกลับไปอีกฟากอัฒจันทร์ พี่หมอสุดหล่อของผมยืนหน้านิ่งเป็นรูปปั้นกรีกเลยครับ ผมเลยต้องทำท่าส่งวิ้งรูปหัวใจไปให้สักหน่อย พี่หมอที่รักก็กระตุกยิ้มขึ้นนิดนึง ทำเอาผมอยากจะได้กระด้งมากระพือขึ้นไปกินตับพี่เปรมซะเดี๋ยวนี้เลย
หมดเวลานอก ได้ลงสนามกันอีกยก แน่นอนว่ารอบนี้ผมต้องโดนสกัดดาวรุ่งจากคู่แข่งอย่างหนัก แล้วก็เป็นจริงตามคาด พี่ถึกพี่ยักษ์พี่โย่งมายกแขนโชว์รักแร้ให้ผมชมความงามกันจริงจังมาก ขยับตัวไปไหนแต่ละก้าวก็ยากลำบาก แต่บอกแล้วไงว่าอย่าวัดความสามารถกันแค่ความสูงและขนาดตัว ผมหันไปสบตากับไอ้อ๊อฟตอนที่ถูกหนุ่มๆ สูงใหญ่กำยำล้อมหน้าล้อมหลัง จากนั้นไอ้อ๊อฟก็วิ่งเข้ามาหาผม ในขณะที่อีกฝั่งไอ้ดีนก็ตั้งท่ารอรับลูกจากผม คู่ต่อสู้จึงแยกออกไปสกัดไอ้อ๊อฟกับไอ้ดีนเพิ่ม เหลือที่ผมแค่คนเดียว ผมจึงบิดซ้าย บิดขวา กะระยะแป้นบาสด้วยสายตาจากนั้นก็กระโดดขึ้นกลางอากาศ ดันลูกบาสให้ลอยหวือเข้ามือกาวของไอ้ดีน ผมก็ได้รับอิสรภาพ สามารถขยับตัววิ่งไปข้างหน้าได้อีกสองสามก้าว แล้วกระโดดตัวขึ้นอีกรอบเมื่อไอ้ดีนส่งลูกบาสกลับมา จากนั้นก็ย่อตัวลงก่อนจะเขย่งจิกปลายเท้าให้แน่นเพื่อถีบตัวเองให้ลอยสูงสู่อากาศแล้วส่งลูกกลมๆ ลงห่วงสามแต้มไปอย่างง่ายดาย และยังทำให้คะแนนของทีมผมขึ้นนำด้วยครับ
ไอ้โต๊ด ไอ้อ๊อฟ วิ่งมาเคาะหัวผมคนละที ในขณะที่ไอ้ดีนวิ่งมาหยิกแก้ม แค่นั้นแหละครับเสียงกรีดร้องโหยหวนก็กระหึ่มดังทั้งสนามยิ่งกว่าตอนผมชู้ตลูกลงห่วงซะอีก และอีกไม่กี่สิบนาทีก็จะหมดเวลาคะแนนทั้งสองทีมสูสีกันมาก ผลัดกันนำผลัดกันตามตลอด ตอนแรกทีมผมก็กะว่าจะเล่นเอามันส์แต่เมื่อครู่โค๊ทโตบอกว่าถ้าหากชนะคณบดีจะมอบเงินรางวัลพิเศษให้เป็นขวัญกำลังใจ นักศึกษาศิลปะผู้หิวโซอย่างพวกผมจึงสู้ยิบตาครับ ยิ่งเวลากระชั้นชิดขึ้นเรื่อยๆ ก็เล่นกันมันส์เลยทีเดียว จนทีมแชมป์เก่าเริ่มฟึดฟัด มีพลาดศอกพลาดกระแทกกันแรงขึ้น แต่ทีมผมก็ใช่ย่อยครับเค้าเนียนๆ มาเราก็เนียนๆ ไป เพราะลูกล่อลูกชนเรามีเยอะ
เหลืออีกหนึ่งนาทีสุดท้าย คะแนนทีมผมยังตามอยู่สองแต้ม ผมเหลือบไปมองพ่อน้องเปี๊ยกนิดนึง เป้าหมายอันยิ่งใหญ่ในการชนะของผมไม่ได้อยู่ที่เงินรางวัล แต่อยู่ที่พ่อน้องเปี๊ยกนี่แหละครับ เพราะถ้าหากชนะผมก็จะได้มีข้ออ้างไปฮุยเลฮุยเล่นยิงประตูกับพี่เปรมได้แบบไม่น่าเกลียดเท่าไหร่ และตอนนี้ลูกบาสก็อยู่ในมือของผมซึ่งมีกำแพงห้อมล้อมรุมรักมากมาย ถ้าหากเปรียบกับสถานการณ์ในหนังเอวีก็คงคล้ายๆ ว่าผมกำลังจะโดนรุมโทรม แต่ขอโทษด้วยนะครับ ผมมีผัวแล้วและผัวกับลูกชายผู้น่ารักก็กำลังมองผมอยู่ ดังนั้นผมต้องฮึดสู้ขาดใจ
นับถอยหลังอีกสามสิบวินาที เพื่อนๆ ในทีมไม่สามารถวิ่งเข้ามารับลูกจากผมได้อย่างแน่นอน ผมจึงต้องอาศัยความสามารถของตัวเองล้วนๆ ในเมื่อผมเตี้ยและถูกสกัดด้วยร่างสูง ทำให้ผมกระโดดไม่ได้ วิ่งกระแทกออกไปก็หมดหวัง เหลือทางเดียวเท่านั้นก็คือมุดครับ ผมใช้จังหวะการเคลื่อนไหวจากการเคยเรียนบัลเล่ย์สมัยเด็กๆ สไลด์ตัวลอดใต้หว่างขาพี่โย่งเสาไฟฟ้าออกไป และท่ามกลางความมึนงงและสับสนทั้งหมดทั้งมวล ผมก็สะพานโค้งยกตัวขึ้นราวกับนักยิมนาสติกลีลากระโดดส่งลูกลงห่วงเก็บสามแต้มสุดท้ายได้ทันเสี้ยววินาทีของเสียงนกหวีดยาวเฟื้อยที่บอกให้รู้ว่าหมดเวลาการแข่งขัน
“เยส!” ผมกระโดดด้วยความดีใจเสียงดัง แล้วตั้งท่าจะหันไปแตะมือกับเพื่อนร่วมทีม ที่วิ่งเข้ามาหาผมแบบอึ้งๆ
“สุดยอดเลยพี่!!” ไอ้แมครุ่นน้องเข้ามากอดผมเป็นคนแรก แล้วทุกคนก็กระหน่ำซัมเมอร์เซลล์กันตามมา
ไอ้โต๊ดจับผมขึ้นขี่คอแห่เป็นนางแมวรอบสนาม พอลงจากคอไอ้โต๊ดได้ ผมก็กระโดดขี่หลังไอ้ดีนทันที งานเซอร์วิสแฟนต้องมา คราวนี้ทำเอามิตรรักแฟนเพลงกรี๊ดชักดิ้นชักงอกันยกใหญ่
ไอ้ดีนขยี้หัวผมจนยุ่งเหยิง ใครจะคิดล่ะครับว่าเราจะได้เป็นแชมป์ และใครจะคิดบ้างครับว่าผมกลายเป็นฮีโร่ซุปเปอร์สตาร์ภายในพริบตา
“ไอ้สัสพบรัก มึงเหี้ยมาก!” คำชมสุดประเสริฐจากไอ้ดีนเพื่อนรักครับ
“พวกมึงเลี้ยงเหล้ากูเลย” ผมหันไปชี้หน้าบอกทุกคน แค่คิดก็เปรี้ยวปากขึ้นมาแล้วครับ
และเพื่อเป็นการตอบแทนกองเชียร์ ทีมของผมก็เต้นโชว์เพลงเชียร์มหาลัยกันอย่างเมามันส์ ส่วนผมนะเหรอ ได้แต่ยืนยิ้มมองพวกบ้าๆ มันเต้นแร้งเต้นกากันครับ ผมไม่ถนัดเรื่องเต้นจริงๆ ผมไม่ได้มาสายนี้ ถ้าหากเป็นแนวเกาหลีผมจะจัดเต็มที่เลย ขณะที่ความครื้นเครงกำลังดำเนินไป ผมก็ส่งสายตามองไปอัฒจันทร์ฝั่งตรงข้ามแล้วอารมณ์ดีๆ ก็ลดวูบในทันทีที่คนสำคัญของผมหายไป
รับเหรียญรางวัลกันเสร็จ โค๊ทโตก็นัดฉลองทีมกันเย็นวันนี้เลย แต่ผมไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ ทั้งนั้น พี่เปรมหายไปไหนนะ ทำไมไม่อยู่รอดูตอนผมรับเหรียญ นี่เป็นครั้งแรกและอาจจะครั้งเดียวในชีวิตของผมเลยนะเนี่ย
“ทำหน้ายังกับขี้ไม่ออก เป็นไร?” ไอ้ดีนถามผมตอนที่เรากำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องแต่งตัว
“เออ ขี้ไม่ออก”
“สัส!” ผลักหัวผมจนหน้าแทบทิ่มเลยครับ พอผมเงยหน้าขึ้นมาจะด่าสักหน่อย ไอ้ดีนก็พูดขึ้นเบาๆ ดักปากผมซะก่อน
“ไปหาผัวมึงเห๊อะไป๊ เดี๋ยวทางนี้กูรับหน้าให้เอง” มันโยนกระเป๋าเป้ให้ผม แล้วชำเลืองตาไปยังประตูอีกฝั่ง
จะบอกยังไงดีกับความรู้สึกขอบคุณในครั้งนี้ สมแล้วล่ะครับที่มันเป็นเพื่อนรักของผม ไม่ต้องพูดอะไรก็รู้ใจไปซะทุกอย่าง ผมยกมือตบไหล่เป็นการขอบคุณ
“กูก็หวังว่าความดีความชอบในครั้งนี้จะส่งให้กูเป็นน้องเขยพี่เปรมในเร็ววัน”
คิดซะว่าความรู้สึกของคุณเมื่อครู่เป็นเพียงเสียงลมๆ แล้งๆ แล้วกันนะครับ ผมจิกตาใส่ไอ้ดีนไปหนึ่งที ไอ้ดีนก็หัวเราะหึหึแล้วยกตีนถีบส่งผมออกจากห้องมาอย่างนิ่มนวลจนหน้าแทบคว่ำลงในถังขยะ โชคดีที่การทรงตัวของผมดีเยี่ยมเลยรอดมาได้
ผมหยิบไอโฟนขึ้นมาดู มีข้อความจากพี่เปรม เปิดดูก็มีข้อความที่ส่งมาตั้งแต่เมื่อสี่สิบห้านาทีที่แล้วว่า
‘รออยู่ที่รถ ข้างโรงยิม’ กับรูปภาพป้ายทะเบียนรถ ที่ผมไม่คุ้นชิน ผมเดินออกจากโรงยิมทางด้านหลังเพื่อหลบหลีกบรรดาแฟนคลับที่มายืนรอแสดงความดีใจ เช็คกลิ่นตัวนิดหน่อยเพื่อความมั่นใจ แล้วจึงมุ่งหน้าไปยังลานจอดรถ
เดินมายังไม่ทันจะพ้นเขตโรงยิม ผมก็เจอผู้ชายร่างสูงสมส่วน หน้าตาหล่อคมเข้ม แต่งตัวในชุดเสื้อเชิ้ตพอดีตัวกับกางเกงสแล็ค หล่อหรูดูดีมีระดับ ยืนอยู่ข้างๆ เสาอาคาร ฝ่ายนั้นหันมามองผมด้วยใบหน้านิ่งเรียบ
“พ..”
ครืดๆๆๆยังไม่ทันจะได้เอ่ยเรียกหรอกครับ เสียงคอลก็ดังขึ้นก่อน ผมก้มลงมองชื่อหน้าจอแล้วกดรับสายทันที
“โอก้าซางงงงงงงงงงงง”
“ชนะสิครับ น้องไอลูกแม่สุโค่ยยยย”
“กำลังจะกลับครับ พี่เปรมรอ... เอ๋??” ผมกวาดสายตามองจนทั่ว และยังเดินวนรอบเสาก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของคนที่ยืนอยู่ตรงนี้เมื่อครู่
“อ่อ ไม่มีอะไรครับแม่”
“ครับๆ เดี๋ยวน้องไอกลับถึงบ้านแล้วจะรีบคอลกลับหาแม่นะครับ โอก้าซังไดสุกิ”
วางสายแล้วก็หมุนตัวมองรอบๆ อีกครั้ง นักศึกษาและผู้คนเดินกันประปราย แต่ไม่มีคนที่ผมกำลังหาอยู่
“เล่นอะไรของเค้ากันเนี่ย?” ผมบ่นกับตัวเองแล้วเดินไปยังลานจอดรถ
เดินไปแค่ไม่กี่ก้าว เท้าของผมก็ต้องหยุดลงเพราะสมองของผมก็ฉุกคิดขึ้นได้ พี่เปรมแอบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าตั้งแต่เมื่อไหร่?? ตอนอยู่บนอัฒจันทร์พี่เปรมใส่เสื้อยืดสีขาวกับกางเกงยีนส์สีซีดไม่ใช่รึไง และที่สำคัญคือถ้าเป็นเวลาส่วนตัวพี่เปรมแทบจะไม่เคยใส่เสื้อเชิ้ตกับกางเกงสแล็คเลย
คิ้วของผมกระตุก มือเผลอกำโทรศัพท์แน่นจนชื้นไปด้วยเหงื่อ ผมสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ แล้วผ่อนออกมายาวๆ จากนั้นก็ก้าวเดินต่อไปโดยไม่คิดจะหันหลังกลับไปมองหาอะไรทั้งนั้น เดินไปยังทันจะถึงลานจอดรถสายตาของผมก็ไปสะดุดเข้ากับรถปอร์เช่ เคย์แมน สีขาวอย่างหรูคันหนึ่งที่จอดโดดเดี่ยวอยู่ใต้ร่มเงาของต้นหูกวาง สองเท้าของผมนำให้เดินเข้าไปใกล้ เห็นป้ายทะเบียนมาแต่ไกลก็รู้ว่าใช่ รถคันนี้ก็หรูและสวยดีแต่ผมรู้สึกชอบเมอร์ซิเดสเบนซ์ สปอร์ตคูเป้ สองศูนย์หนึ่งห้า สีขาวมุกคันเดิมมากกว่า
เดินเข้ามาจนถึงประตูฝั่งคนขับ ตอนแรกตั้งใจจะเคาะกระจกเรียก แต่ที่ไหนได้พี่เปรมเปิดกระจกฝั่งคนขับลงทั้งหมด แล้วเจ้าตัวก็นอนหลับอยู่บนเบาะที่เอนลงจนแทบราบ น้องเปี๊ยกนอนขดอยู่เบาะข้างๆ ชะโงกหน้ามามองผม
“บ๊อกๆ”
“ชู่วว์” ผมยกนิ้วชี้ขึ้นชิดริมฝีปากของตัวเอง น้องเปี๊ยกก็เงียบลงแล้วมองผมตาแป๋วน่าเอ็นดู
ผมขยับริมฝีปากถามอะไรบางอย่างกับน้องเปี๊ยกไป ฝ่ายนั้นทำหน้างง ส่ายหน้าไปมา แล้วคราง
‘หงิงง’ เบาๆ บอกผมว่าพี่เปรมหลับไปเป็นชั่วโมงแล้วตั้งแต่ออกมาจากโรงยิม
‘เข้าใจแล้วล่ะ’ ผมบอกกับตัวเองในใจแล้วถอยหลังลงไปนั่งลงบนม้าหินเก่าๆ ที่วางอยู่ชิดโคนต้นหูกวาง ทิ้งระยะห่างจากรถประมาณสามเมตร แต่ก็ยังมองเห็นคนที่หลับอยู่ในรถได้ชัดเจน
นั่งมองใบหน้าเรียวคม คิ้วเข้ม จมูกโด่งเป็นสัน ยามหลับนิ่งสงบราวกับประติมากรรมชิ้นเอก ผู้ชายคนนี้ขับรถเกือบห้าชั่วโมงเพื่อมาให้ทันดูผมแข่งบาสตอนบ่าย และไม่รู้ว่าก่อนหน้านั้นได้หลับได้นอนบ้างรึเปล่าแต่ถ้าให้เดาคงจะอยู่เวรทั้งคืนเป็นแน่ตอนนี้ถึงได้หลับลึกขนาดนี้
นานพอดูจนแสงแดดขยับเลื่อนลอดเงาไม้ส่องโดนซีกใบหน้าคม ผมจึงลุกขึ้นเดินไปยืนข้างรถแล้วเอาเสื้อบาสในกระเป๋าเป้กางออกบังแสงแดดให้คนหลับ ไอโฟนในกระเป๋ากางเกงของผมสั่นครืดๆ แต่ผมก็ไม่คิดจะลดมือลงไปหยิบขึ้นมารับสายเพราะรู้ว่าเป็นพวกในทีมที่คงจะตามตัวผมให้จ้าละหวั่น เพื่อนก็สำคัญสำหรับผมนะครับ แต่คนที่อยู่ตรงหน้าสำคัญมากกว่าเท่านั้นเองและที่ผมอยากจะชนะให้ได้ในวันนี้ก็เพราะคนๆ นี้นี่แหละ ดังนั้นขอผมฉลองกับคนสำคัญที่สุดสองต่อสองก่อนนะครับ
โทรศัพท์สั่นสะเทือนอยู่นานคงจะเกือบยี่สิบสาย แดดร่นจากใบหน้าหล่อเหลาลงมาอยู่ตรงต้นแขนมัดกล้าม ผมก็เลื่อนเสื้อบังตามแสงแดด แล้วพลิกข้อมือดูนาฬิกาห้าโมงเย็นกับสามสิบแปดนาที พี่เปรมหลับสนิทแบบนี้นานเกือบสองชั่วโมง และผมก็มายืนบังแดดให้อยู่แบบนี้ได้ยังไงนะตั้งชั่วโมงกว่า ส่วนน้องเปี๊ยกก็หลับสลับตื่นอยู่อย่างนั้นสองสามรอบ ไม่ใช่ว่าไม่เมื่อยแขนนะครับแต่พอดีความสุขมันมีมากกว่าผมเลยทำได้ ต่อให้ยืนจนแสงแดดลับฟ้าผมก็ยังทำได้เลย
“คิดถึงชะมัด” บ่นไปตามเสียงที่ดังอยู่ในหัวใจครับ
เงยหน้ามองฟ้า ชมนกชมไม้เพลินๆ สลับกับการจ้องหน้าคนหล่อ ใจจริงก็อยากจะมองหน้าพี่เปรมอย่างเดียวนั่นแหละครับ แต่กลัวจะอดใจไม่ไหวได้ลักหลับไปซะก่อน
“เหี้ย!” จู่ๆ ข้อมือถูกกระชากจับไว้แบบไม่ทันตั้งตัว พี่เปรมตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่ทำไมไม่ยักกะรู้ตัว แล้วน้องเปี๊ยกก็ไม่มีบอกกล่าวกันบ้างเลย แน่ะ ขยับตัวนอนหันหลังให้อีก
“เอาดีๆ เหี้ยหรือผัว”
สติมาปัญญาเกิดครับ ผมมองผู้ชายที่นั่งกระตุกยิ้มอยู่ในรถ พี่ดินเคยบอกผมว่าพี่เปรมเป็นเสือยิ้มยาก ถ้าหากไม่อยู่ในชุดกาวน์ก็อย่าหวังจะได้เห็นพี่เปรมยิ้ม แต่สำหรับผมพี่เปรมเป็นผู้ชายที่ยิ้มง่ายมาก
“ผัว” เติมคำว่า
‘ที่เคารพรัก’ ต่อท้ายด้วย
“มานานแล้วทำไมไม่เรียก” มือใหญ่เปลี่ยนจากจับที่ข้อมือเป็นกุมมือเอาไว้แทน
“ก็ไม่อยากเรียก” อยากให้พักผ่อนบ้างนี่นา
พี่เปรมดึงเสื้อในมือของผมไปวางไว้ข้างๆ น้องเปี๊ยก แล้วหันกลับมาส่งยิ้มละมุนให้ผม เป็นรอยยิ้มที่มอบให้ผมเพียงคนเดียว
“พบรัก”
“ครับ” ตอบพี่เปรมแล้วก้มหน้างุดด้วยความเขินสุดๆ แต่ก็ยังช้อนตามองใบหน้าหล่อคมปริบๆ
คนที่เรียกไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่ทำเพียงดึงให้ผมโน้มตัวลงไปใกล้ ใกล้มากจนลมหายในรินรดและริมฝีปากของเราแตะชิดกันนิ่งๆ แต่ก็เล่นเอาหัวใจของผมสะท้านไหว เมื่อเราผละออกจากกันผมก็รู้สึกวูบโหวงในใจอยากบอกไม่ถูก
“พี่เปรม” ผมเรียกพี่เปรมที่กำลังปรับเบาะที่นั่งให้พอดี
พี่เปรมคราง
‘อือ’ รับในลำคอ แล้วพยักเพยิดให้ผมขึ้นรถ แต่ผมกลับเลือกที่จะส่งกระเป๋าเป้ให้พี่เปรมก่อน แล้วยื่นมือออกไปตรงหน้าพี่เปรม
“รางวัล”
“ขึ้นรถ” พี่เปรมมองหน้าผมแล้วบอกเสียงเข้มซะจนผมที่กำลังที่ยืนยิ้มแฉ่งได้แต่ยืนยิ้มค้างเลยครับ
ผมตั้งใจเล่นเต็มที่เพื่อพี่เปรมเลยนะ มาดุหน้านิ่งคิ้วขมวดแบบนี้หมายความว่าไง
“กูบอกให้ขึ้นรถเดี๋ยวนี้ ไม่อยากกลับบ้านไปรับรางวัลรึไง?”
อ่อ...แล้วจะชักช้าอยู่ใย ผมกระโดดขึ้นเป็นตุ๊กตาหน้ารถคู่กับน้องเปี๊ยกในทันที จะเว่อร์ไปมั๊ยนะถ้าผมจะยิ้มหน้าบานแบบนี้จนถึงบ้าน ก็มันตื่นเต้นนี่นา หุหุ
.
.
.
.
.
TBC...
