Miracle of LOVE ผมเรียกมันว่าปาฏิหาริย์แห่งรัก
-24-
“หน้าซีดๆ ไม่สบายรึไง?”
“อือ ปวดหัว”
“กินยารึยัง?”
“อือ”
“นอนดึก?”
“สี่ทุ่มเองนะ”
“เครียด?”
“ไม่มีอะ”
“เป็นมานานแค่ไหน พี่หมายถึงว่าปวดตั้งแต่เมื่อไหร่? ปวดแบบนี้บ่อยรึเปล่า?”
“ก็....... เพิ่งเป็นหนักๆ แบบทนไม่ไหวต้อนตื่นขึ้นมากินยาก็เมื่อคืนนี้แหละ” ตอบพร้อมกับเขี่ยเส้นขนมจีนในจานไปมาก่อนจะตักเข้าปาก แล้วเคี้ยวช้าๆ เพื่อลิ้มรสความกลมกล่อม
ไม่ต้องแปลกใจหรอกครับ ตอนนี้ผมไม่ได้กำลังนั่งอยู่ที่คลินิกหรือโรงพยาบาลแต่อย่างใด ผมแค่กำลังนั่งกินอาหารมื้อเที่ยงอยู่กับน้องเปี๊ยกและพี่ดิน ซึ่งเมนูวันนี้ก็คือขนมจีนแกงไก่ฝีมือคุณป้าพิมพ์อยู่ครับ คุณป้าพิมพ์และคุณลุงเด่นออกไปสมาคมกับเพื่อนฝูง แต่ก็ยังใจดีทำอาหารไว้ให้พวกเราได้กินกันอย่างอร่อย
วันนี้ไอ้ดีนเพื่อนรักก็หนีไปเดทกับน้องปิ่นให้ผมอิจฉาเล่น ตอนแรกก็อยากจะตามไปเป็นก้างขวางคอมันอยู่หรอกนะครับ แต่มาคิดๆ ดูเมื่อสัปดาห์ที่แล้วมันอุตส่าห์ช่วยรับหน้างานฉลองแชมป์บาสเก็ตบอลแทนผมเพื่อให้ผมได้มีความสุขกับพี่เปรมอย่างเต็มที่ ดังนั้นรอบนี้ผมจึงปล่อยให้ไอ้ดีนมีความสุขบ้าง และคนที่ซักไซ้อาการของผมอยู่ตอนนี้คือกุมารแพทย์ที่ชื่อภูริช พี่ชายของนายภูฤกษ์ หรือเรียกง่ายๆ ว่าพี่ดิน พี่ชายของไอ้เหี้ยดีน และยังเป็นพี่ชายสุดที่รักของผมด้วย พี่ดินเพิ่งออกเวรเมื่อเช้าหลังจากหลับยาวจนอิ่มก็ตื่นมากินมื้อเที่ยงกับผม จะว่าไปผมเองก็เพิ่งตื่นเหมือนกันครับ เมื่อคืนปวดหัวแทบทั้งคืนกว่าจะได้หลับก็เกือบเช้าเหมือนกัน
“หมายความว่าก่อนหน้านี้มึงก็เคยปวดหัวบ่อย?”
“สักประมาณหนึ่งเดือนที่ผ่านมาได้มั้ง แต่กินยาก็หายนะ”
ผมเคี้ยวขนมจีนรสชาติกลมกล่อมพลางมองพี่ดินที่คิ้วขมวดแทบจะติดกันดูจริงจังซะจนผมรู้สึกเกร็ง มองตาพี่ดินกลับปริบๆ ตกลงพี่เป็นห่วงผมหรือกำลังสอบสวนผมอยู่ครับเนี่ย ไม่ต้องทำหน้าเครียดขนาดนั้นก็ได้ เวลาพี่ตรวจเด็กน้อยพี่ดุแบบนี้รึเปล่า เด็กๆ ไม่กลัวกันขี้เยี่ยวเล็ดรึไงครับ
“มึงไปหาหมอตามตารางนัดรึเปล่า?”
เจอคำถามนี้ของพี่ดินเข้าไป ก็ทำให้ผมเพิ่งระลึกได้ว่าเมื่อวันก่อนโรงพยาบาลส่งข้อความเตือนแจ้งเรื่องวันนัดพบหมอ จะว่าไปผมก็ผิดนัดมาสองรอบแล้วนี่นา ก่อนหน้านั้นทางโรงพยาบาลก็โทรมาแต่ผมก็มัวยุ่งอยู่กับการแข่งกีฬาเลยไม่ได้รับและไม่ได้ติดต่อกลับ และที่ยิ่งรู้สึกแย่กว่านั้นก็คือคุณแม่พี่เปรมเป็นคุณหมอประจำตัวของผม นี่ผมลืมนัดกับคุณแม่สามีเหรอเนี่ย?!
ตายห่าล่ะ!“ว่าไง?” กดเสียงต่ำ หน้าก็ดุ เล่นเอาไม่กล้ากลืนเส้นขนมจีนเลยครับ
“ล ลืมครับ” ตอบเบาๆ แล้วก้มหน้าช้อนตามองหน่อยๆ ให้ดูน่าสงสาร
“ลืม!?” มือใหญ่ตบโต๊ะเสียงดังแข่งกับเสียงที่ตะโกน
ปังงง! ตกใจแทบสำลัก พี่ดินจะตะโกนทำไมล่ะครับเนี่ย นั่งกันอยู่ใกล้แค่นี้เอง หูผมก็ไม่ได้ตึงสักหน่อย ผมรีบยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม เหลือบมองน้องเปี๊ยกที่รอบปากเลอะน้ำแกง ยืนตัวแข็ง มองนิ่งเลยครับ สาบานได้ว่าถ้าหากพี่ดินถือไม้เรียวอยู่ด้วยผมจะวิ่งให้เร็วยิ่งกว่าสี่คูณร้อยไปจากตรงนี้ทันที
“ไอ้เปรมรู้บ้างรึเปล่าเนี่ย?!”
“ก เกี่ยวอะไรกับพี่เปรมเล่า อ่อ ครับ” ก็ไม่เคยบอกพี่เปรมจะรู้ได้ไง อีกอย่างตอนอยู่กับพี่เปรมก็ไม่เคยมีอาการอะไรนี่นา
ผมพยายามหดตัวให้เล็กลงกว่าเดิมเผื่อพี่ดินจะสงสารบ้างอะไรบ้าง ปกติพี่ดินใจดียิ่งกว่าพ่อพระ ดุไปงั้นแต่สุดท้ายใจอ่อนตลอด แต่ก็นานๆ ครั้งที่พี่ดินจะมาแนวโหดแบบนี้ครับ ผมจึงรู้สึกเกรงใจเป็นธรรมดา
“หยิบโทรศัพท์โทรหาผัวมึงเดี๋ยวนี้ บอกว่ากูสั่งให้มันกลับมาพามึงไปหาหมอ!”
ตกใจตาเหลือกเลยครับ พี่ดินก็รู้ว่าพี่เปรมเอ็กเทอร์นอยู่ชลบุรีโน่น กว่าจะลางานกลับมาได้ยากเย็นแค่ไหน แล้วเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาก็เพิ่งลางานตั้งสี่วันเพื่อฉลองรางวัลให้ผมโดยเฉพาะ ยังไม่ทันจะครบอาทิตย์ก็จะให้มาอีกเนี่ยนะ แบบนั้นคงไม่ไหวมั้งครับพี่ชาย
“ผมไปเองก็ได้จะให้พี่เปรมขับรถกลับมาทำไมไม่ใช่ใกล้ๆ นะ แล้วพี่ดินอ่ะ ไปกับน้องไม่ได้รึไง” ขยับดึ๊บๆ ไปใกล้พี่ดินอีกนิด แล้วส่งสายตาปริบๆ มองพี่ชายสุดหล่อ
“ไม่ได้! มีผัวแล้วก็ต้องให้ผัวมึงดูแล กูสั่งให้โทร! เดี๋ยวนี้!!”
อยากจะเถียงแทบขาดใจว่ามีผัวแบบไม่ได้ตบแต่งหรือจดทะเบียนแล้วจะเรียกร้องให้เค้ามารับผิดชอบได้ยังไงล่ะครับ ถ้าให้ดีพี่ดินช่วยไปบังคับให้พี่เปรมยกขันหมากมาสู่ขอผมก่อนจะดีกว่านะเนี่ย แต่ก็ทำได้แค่เถียงอยู่ในใจนั่นแหละครับ ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา มองหน้าจอพร้อมกับพยายามบีบน้ำตากระซิกๆ เพื่อขอความเห็นใจ
“กู-สั่ง-ให้-โทร-เดี๋ยว-นี้” ช้าๆ ชัดๆ ทุกคำอีกรอบ
“หรือถ้ามึงไม่โทร เดี๋ยวกูโทรเอง”
“โทรแล้วๆ” กดเบอร์อย่างไวเลยครับ สมองก็คิดหาคำพูดไปด้วย และก็ภาวนาขอให้พี่เปรมกำลังยุ่งอยู่ไม่สามารถรับสายได้ในตอนนี้
เสียงสัญญาณรอสายแต่ละวินาทีทำผมเหงื่อตก อย่ารับนะพี่เปรม อย่ารับสายตอนนี้นะ ผมบอกความจริงให้ก็ได้ว่าผมไม่ได้เกรงใจเรื่องที่พี่เปรมจะต้องบึ่งขับรถมาเพื่อผมหรอกนะครับ แต่ผมกลัวว่าผมจะโดนพี่เปรมสวดยับยิ่งกว่าพี่ดินหลายเท่าแน่นอน ลืมอะไรไม่ลืมแต่ลืมไปตรวจร่างกายตามนัดหมอ แล้วแถมหมอคนนั้นยังเป็นคุณแม่ของพี่เปรมอีก แค่คิดถึงอารมณ์โหดโหมดเปรมนทีป์ผมก็รู้สึกเสียวสันหลังแล้วล่ะครับ
“คุณพบรักคะ พี่นิดเห็นมีแขกมาหาน่ะค่ะ เห็นยืนอยู่หน้ารั้วบ้านสักพักนึงแล้ว” ผมกดวางสายแล้วรีบเก็บไอโฟนลงในกระเป๋ากางเกงทันทีที่ได้ยินเสียงที่สวรรค์ส่งมา
“ขอบคุณมากครับพี่นิด” กระเด้งตัวลุกขึ้นราวกับติดสปริงที่ก้น
“เดี๋ยว ผมไปก่อนนะพี่ดิน” หันไปบอกพี่ดินที่กำลังอ้าปากพูดอะไรบางอย่าง แต่โชคก็เข้าข้างอีกรอบเมื่อน้องไอโฟนของพี่ดินร้องแหกปากขึ้นขัดจังหวะซะก่อน ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องงานซะด้วย
ไม่ให้เสียเวลา ผมใช้ความพลิ้วและความไวคว้าตัวน้องเปี๊ยกขึ้นอุ้มแล้วเอาตัวรอดออกมาแบบเนียนๆ แต่ก็เกือบลืมไปครับว่าทั้งผมและน้องเปี๊ยกยังกินไม่อิ่ม
“รบกวนพี่นิดยกของกินไปบ้านโน้นให้ผมด้วยนะครับ” หันไปตะโกนบอกพี่นิดแล้ววิ่งฉิวติดจรวดเลยครับ
ผมกับน้องเปี๊ยกใช้วิธีมุดรั้วจากบ้านไอ้ดีนกลับบ้านตัวเอง โผล่มาปุ๊ป ก็มองไปตรงประตูรั้วทันที ตรงนั้นมีรถปอร์เช่ เคย์แมน รุ่นเดียวกับของพี่เปรมจอดอยู่ จะต่างกันก็ตรงที่สีของรถที่เปลี่ยนจากสีขาวมาเป็นสีดำ
น้องเปี๊ยกเงยหน้ามองผมในขณะที่ผมก็ก้มลงมองดวงตาคู่โตนั่นเหมือนกัน เราทั้งคู่ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาเพราะแค่มองตาก็เข้าใจกันทุกอย่าง ผมสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ แล้วผ่อนออกมายาวๆ อยู่สองสามครั้ง จากนั้นผมและน้องเปี๊ยกจึงเดินไปที่ประตูรั้ว
“บ๊อกๆๆ” น้องเปี๊ยกทักทายผู้ชายร่างสูง หน้าตาคุ้นเคย แต่อยู่ในชุดเรียบหรูที่ไม่คุ้นชิน
ฝ่ายที่ยืนอยู่นอกรั้วขมวดคิ้วแสดงออกถึงความไม่ชอบใจเล็กน้อยกับเสียงทักทายของน้องเปี๊ยก แต่เมื่อเจอรอยยิ้มของผม ใบหน้าหล่อคมก็ปรับเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มอ่อนโยนได้แนบเนียนในพริบตา
“จะให้พี่ยืนอยู่ตรงนี้ทั้งวันรึไงครับ?”
ผมปลดล็อคประตูรั้วเล็ก แล้วส่งยิ้มเชื้อเชิญให้ผู้มาเยือน ก่อนจับน้องเปี๊ยกขึ้นอุ้ม รอจนอีกฝ่ายผ่านประตูรั้วเข้ามาผมจึงค่อยหันไปปิดล็อคแล้วเดินนำเข้าบ้าน และให้นั่งตรงห้องรับแขก ผมไม่ได้รู้สึกตื่นเต้น แปลกใจ หรือหวาดกลัวอะไรทั้งนั้นกับการปรากฏตัวของ
‘พี่ปลื้มชลล์’ เพราะผมเป็นคนขอให้พี่เปรมอนุญาตให้อีกฝ่ายมาหาผมที่บ้านได้ และเหตุผลที่ต้องเป็นที่บ้านเท่านั้นก็เพราะว่ามันเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุด ต่อให้เป็นวันหยุดหรือวันไหนๆ ผมก็ไม่เคยถูกปล่อยให้อยู่ในบ้านหลังนี้คนเดียว แม่บ้านและพี่ๆ คนรับใช้เดินเข้าออกกันแทบตลอดเวลา ยิ่งวันนี้เป็นเวรของพี่นิดกับป้าสวย โน่นแน่ะครับ ทั้งคู่ยกขนมจีนและของกินมากมายมาวางไว้ในครัว แล้วเดินไปหยิบไม้ถูพื้น ไม้กวาดเตรียมตัวทำความสะอาดบ้านตามหน้าที่อยู่แถวๆ นี้ไม่ไกลจากสายตา
ระหว่างนั้นหลายนาทีไม่มีใครพูดอะไร แต่ในขณะที่ผมเข้าไปรินน้ำและหาขนมว่างอยู่ในครัว ผมได้ยินเสียงพี่ปลื้มคุยโทรศัพท์กับใครบางคน น้ำเสียงทุ้มนุ่มอ่อนโยนในแบบที่ผมเคยชอบเมื่อในอดีต ผมเดินถือถาดน้ำและของว่างไปยังห้องรับแขก โดยมีน้องเปี๊ยกเดินประกบอยู่ข้างๆ ตลอดเวลา คนที่กำลังคุยโทรศัพท์หันมามองทางผม ส่งยิ้มบางๆ ให้ตอนที่ผมวางจานคุกกี้ที่อบทิ้งไว้ตั้งแต่เมื่อวานตอนค่ำลงตรงหน้า
“เดี๋ยวค่อยคุยกันนะเขื่อน ตอนนี้พี่ติดธุระอยู่”
คิ้วของผมกระตุกทันทีที่ได้ยินชื่อ
‘เขื่อน’ แต่ด้วยความมีมารยาทอันดีงาม ผมไม่ได้แสดงอาการใดๆ ออกไป จะทำก็แค่อุ้มน้องเปี๊ยกที่ส่งเสียง
‘แง่งงง’ ขึ้นมานั่งบนตักแล้วลูบหัวปลอบโยน
อีกฝ่ายเก็บโทรศัพท์กลับเข้าในกระเป๋ากางเกง ดวงตาคู่คมจ้องมองผม ใบหน้าหล่อระบายรอยยิ้มบางเบา ดูสุขุม นุ่มนวล ไม่มีท่าทีของการคุกคามใดๆ ซึ่งท่าทางแบบนี้ครั้งหนึ่งเคยทำให้หัวใจของผมสั่นไหวและลุ่มหลงจนถอนตัวไม่ขึ้น ในตอนนั้นผมคิดว่ามันคืออาการของ
‘ความรัก’ ในแบบที่อยากอยู่ใกล้ตลอดเวลา อยากดูแล อยากเข้าใจ อยากเอาใจใส่ในทุกสิ่งทุกอย่างและอยากจะให้เค้ารักเราเพียงคนเดียว เป็นเพียงหนึ่งเดียวในหัวใจเท่านั้น แต่มาในตอนนี้เมื่อได้ลองย้อนกลับไปคิดถึง ผมก็รู้สึกสมเพชความโง่ของตัวเองขึ้นมาแทบจะทันที
“น้องพบรักของพี่ดูเปลี่ยนไปเยอะเลยนะ” หลังจากส่งยิ้มและสำรวจด้วยสายตาอยู่นานเสียงทุ้มก็เอ่ยขึ้นก่อน
“ของพี่?” ผมเลิกคิ้วขึ้นเป็นคำถามแบบงงๆ
เสียงถอนหายในหนักๆ ดังขึ้น ร่างสองเอนแผ่นหลังพิงโซฟาแล้วมองผมด้วยสายตาสำนึกผิด
“ไม่เอาน่า พี่รู้ว่าพี่ผิด พี่มาขอโทษแล้วนี่ไง”
สงสัยมั๊ยล่ะครับว่าทำไมผู้ชายตรงหน้าของผมถึงพูดแบบนี้ นั่นเพราะเหตุเกิดเมื่อกลางเดือนก่อนโน้นครับ ในวันนั้นผมที่ผ่านศึกรักอันร้อนแรงครั้งแรกและได้ตื่นขึ้นมาจากการพักผ่อนร่างกายเต็มที่ เดินลงมาจากห้องนอนก็ได้ยินเสียงคอลโทรศัพท์ดังอยู่ในครัว ผมเดินไปดูจึงได้รู้ว่าเสียงมาจากไอโฟนของพี่เปรม มองดูชื่อหน้าจอแล้วใช้เวลาห้าวินาทีในการไตร่ตรองก่อนจะตัดสินใจกดรับสาย ผมแนะนำตัวไปว่า
‘พบรัก เป็นคนรักของพี่เปรมครับ’ เพียงเท่านั้นแหละรู้เรื่องเลยครับ เราคุยยาวกันสามนาทีกว่า อันที่จริงผมแทบจะไม่ได้คุยอะไรเลยด้วยซ้ำ เป็นปลายสายมากกว่าที่พร่ำพรรณนาร่ายยาวยกแม่น้ำห้าสายมารวมเป็นความเศร้าโศกเสียใจและตัดพ้อพร้อมขอคืนดี แบบพระเอกในละครน้ำเน่าหลังข่าวทุกอย่าง ซึ่งผมเองก็ยืนฟังไปอ้าปากหาวไปเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา
“ผมให้อภัยพี่ปลื้มนานแล้วครับ” ส่งยิ้มที่แสนจะใสซื่อ
“เพราะไอ้เปรมใช่มั๊ย?” แม้น้ำเสียงจะแข็งกระด้าง แต่ในแววตาคู่คมนั้นสั่นไหว
“พี่ชายแท้ๆ กับแฟนของตัวเอง หึ” มือใหญ่กำแน่นราวกับกำลังโกรธแค้น
“แฟนผมชื่อเปรมครับ
‘เปรมนทีป์ อัศววิรุณฉาย’ ชีวิตนี้ของผมมีแฟนเป็นผู้ชายแค่คนนี้คนเดียวเดียว คนแรก และคนสุดท้ายครับ” ชัดถ้อย ชัดคำ และชัดเจน
“พบ.. รัก..” ชื่อของผมถูกเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ราวกับเชือกเส้นสุดท้ายได้ขาดลง
ผมมองปฏิกิริยาของผู้ชายที่มีท่าทีเหมือนหัวใจแตกสลายแล้วก็ได้แต่แอบถอนหายใจเบาๆ เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกแย่กับรูปร่างหน้าตาที่แสนเพอร์เฟคของตัวเอง เกิดมายี่สิบปีเคยเจอแต่สาวๆ มาตบตีแย่งชิง ไม่เคยคิดไม่เคยฝันว่าจะกลายเป็นชนวนแห่งความรักของเพศเดียวกันแบบนี้ แต่มันก็ช่วยไม่ได้นี่นา จะให้ผมลดความหน้าตาดีลงกว่านี้ผมก็ทำไม่ได้จริงๆ
ผู้ชายตรงหน้ามีรูปร่างหน้าตาเหมือนกับคนรักของผมแทบจะทุกระเบียบนิ้ว ถ้าหากเป็นเมื่อก่อนผมคงไม่มีทางแยกออกว่าคนไหนเป็นใคร แต่ในตอนนี้หลังจากได้พิจารณาใกล้ๆ อย่างถี่ถ้วนผมก็พบว่ามีหลายจุดที่แตกต่างกัน อย่างเช่น การแต่งกายที่เนี๊ยบเรียบหรู ท่าทางและการพูดสุภาพอ่อนโยน หรือแม้กระทั่งไฝตรงต้นคอด้านซ้าย และการเจาะหู ทั้งหมดนี้ไม่มีอยู่ในพี่เปรมเลย ถ้าหากตอนนั้นผมฉลาดสักนิด เรื่องมันคงไม่ยุ่งยากเหมือนในตอนนี้ แต่ถ้าคิดอีกทีถ้าหากไม่มีคนตรงหน้าบางทีผมอาจจะไม่มีวันเจอความรักที่แท้จริงก็เป็นไปได้ อย่างน้อยหนึ่งปีนั้นก็ทำให้ผมฉลาดขึ้นเยอะเลยล่ะครับ
ก้มลงมองน้องเปี๊ยกที่ร้อง
‘หงิงง’ ให้กำลังใจผมอยู่ ผมสูดลมหายในเข้าปอดลึกๆ และผ่อนออกมาอีกครั้ง ยืดอก หลังตรง ก่อนจะมองใบหน้าหล่อคมแบบจริงจัง
“ผมยอมรับนะครับว่าแรกๆ ก็คิดจะแก้แค้นพี่ปลื้มเหมือนกัน แต่คิดไปคิดมาผมเองก็ตอแหลกับพี่ปลื้มมาตลอด จริงๆ แล้วผมไม่ได้ใสซื่อ แอ๊บแบ๊ว ว่านอนสอนง่ายขนาดนั้นหรอกครับ ที่แสดงออกไปทั้งหมดก็แค่ละครฉากหนึ่งที่อยากจะให้คนๆ หนึ่งมาหลงรัก” คนฟังขมวดคิ้วเล็กน้อย
“เรื่องนี้ผมควรจะขอบคุณพี่ปลื้มด้วยซ้ำที่ทำให้ผมกับพี่เปรมได้รักกัน เพราะถ้าหากตอนนั้นพี่ปลื้มไม่หลอกผมว่าเป็นพี่เปรม เราทั้งคู่ก็คงยังจมอยู่ในความขี้ขลาดของตัวเอง ไม่ได้คุยกันและไม่กล้าเปิดใจกันสักที” ผมส่งยิ้มขอบคุณให้พี่ปลื้ม
“หึ.. ตอแหลสินะ” มุมปากกระตุกยิ้ม ไม่ผิดหรอกครับที่พี่ปลื้มจะด่าผมแบบนี้ เพราะมันคือเรื่องจริง
“ก็ไม่ต่างจากพี่ปลื้มหรอกครับ จริงมั๊ย?” เอียงคอถาม พร้อมส่งสายตาใสๆ
พี่ปลื้มไม่ได้ตอบ แต่ก็ไม่คิดจะหลบตา ผมจึงพูดต่อ
“เพราะฉะนั้นเรื่องทั้งหมดถือว่าเจ๊ากันไปนะครับ แต่ขออย่างเดียวคือพี่ปลื้มอย่าหลอกตัวเองอีกเลยครับ ผมรู้นะว่าพี่ปลื้มรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าผมแอบชอบพี่เปรม แล้วพี่ปลื้มก็รู้ด้วยว่าพี่เปรมคิดยังไงกับผม เพราะถ้าหากว่าพี่ปลื้มรักผมจริงๆ พี่ปลื้มจะต้องแสดงตัวจริงออกมาให้ผมรู้ตั้งแต่แรก ไม่ใช่เป็นแค่
‘เงา’ ของพี่เปรมอยู่แบบนั้น” ผมจ้องตาพี่ปลื้มไม่กระพริบ และผมก็เห็นว่าในแววตาคมคู่นั้นสั่นไหวเล็กน้อย แค่เพียงเศษเสี้ยวแล้วก็หายไป แต่มันก็ทำให้ผมพอจะเดาได้ลางๆ ว่าสิ่งที่ผมพูดไปคงจะโดนจุดโดนใจเข้าบ้างไม่มากก็น้อย
“บ๊อกๆๆ” น้องเปี๊ยกที่เห็นด้วยกับที่ผมพูดออกไปทุกอย่าง แต่ทันทีที่น้องเปี๊ยกส่งเสียง ปฏิกิริยาของพี่ปลื้มก็เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ ใบหน้าคมดุกร้าวจ้องเขม็งไปที่น้องเปี๊ยกด้วยสายตารำคาญเต็มทน
“แง่งงงงงง!”
“ไอ้!”
“พี่ปลื้มครับ” ผมรีบเรียกสติพี่ปลื้ม แล้วยกมือลูบหัวน้องเปี๊ยกเพื่อปลอบโยน
พี่ปลื้มถอนหายใจแรงๆ อีกครั้งแล้วส่ายหัวไปมาก่อนจะหลบสายตาของผมไปมองหน้าจอทีวีที่มืดทึบไร้เสียงและภาพเคลื่อนไหว ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่โทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงของผมสั่นครืดๆ สะเทือนไปทั้งต้นขายันสะโพก ผมปล่อยให้สั่นแล้วดับ ดับแล้วสั่น วนอยู่แบบนั้นหลายรอบจนสงบนิ่งไปเอง
“อย่าคิดว่าเรื่องนี้จะจบง่ายๆ นะ” จู่ๆ พี่ปลื้มก็พูดขึ้น
หนึ่งปีที่อยู่ด้วยกันทำให้ผมรู้จักพี่ปลื้มในหลายๆ มุม พี่ปลื้มชอบหรือไม่ชอบอะไร ลักษณะนิสัยเป็นแบบไหน ผมรู้ทุกอย่าง ยิ่งหลังจากที่ผมได้รู้ความจริงผมก็คิดว่าผมได้รู้จักผู้ชายตรงหน้ามากขึ้น และอีกอย่างที่ผมสัมผัสได้ก็คือเหมือนกับว่าเราทั้งคู่กำลังแสดงละครกันอยู่ พี่ปลื้มมีหน้ากากหนึ่งอัน ส่วนผมก็มีหัวโขนเป็นของตัวเอง แม้แต่ตอนนี้มันก็ยังเป็นแบบนั้น ตรงกันข้ามกับพี่ปลื้มที่อีกฝ่ายแทบจะไม่รู้จักอะไรผมเลย แม้แต่บ้านหลังนี้พี่เปรมคงเป็นคนบอกทางมา หรือแม้กระทั่งชื่อเล่นจริงๆ ของผมที่พี่ปลื้มจะไม่มีวันได้เรียกผมด้วยชื่อนั้นเด็ดขาด
“รู้อะไรมั๊ย? แม้ไอ้เปรมจะเป็นฝาแฝดกับพี่ แต่ไอ้เปรมมันเป็นหลานรักหลานโปรดหัวแก้วหัวแหวนของคุณตาคุณยาย ซึ่งพวกท่านรังเกียจและเกลียด
‘เกย์’ ยิ่งกว่าอะไร” ใบหน้าคมยังไงมองไปทางอื่น แต่ผมก็ยังเห็นรอยยิ้มที่แสยะขึ้นตรงมุมปากนั่นอย่างชัดเจน
“ถ้าอย่างนั้นก็รังเกียจพี่ปลื้มด้วยสิครับ..” แบบนี้ใช่มั๊ย พี่ปลื้มถึงไม่ค่อยจะไปเหยียบคฤหาสน์หลังงาม หรือแม้แต่โรงพยาบาลก็น้อยครั้งที่จะย่างกลายไป
“พี่ไม่สนใจหรอก” พี่ปลื้มยักไหล่ แล้วหันกลับมาส่งยิ้มให้ผม
“เพราะพี่ปลื้มมีคุณปู่คุณย่าสินะครับ”
“ฉลาดนี่นา”
“ผมรู้ครับว่าเรื่องไหนควรโง่ เรื่องไหนควรฉลาด” ผมยักไหล่บ้าง
คู่สนทนาหัวเราะ
‘หึหึ’ ในลำคอ หลังจากนั้นหัวข้อของเรื่องก็เปลี่ยนไป ผมถามเกี่ยวกับการเรียนและเรื่องงานของพี่ปลื้ม ในขณะที่พี่ปลื้มก็ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบของผม ถ้าหากมีใครมาได้ยินเราทั้งคู่คุยกันคงคิดว่าสนิทสนมคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ทั้งที่ความจริงเราทั้งคู่ต่างกำลังแอบซ่อนมีดคมเอาไว้ด้านหลังพร้อมจะจ้วงแทงกันได้ทุกเมื่อ
เราคุยกันต่ออีกครึ่งชั่วโมง พี่ปลื้มดื่มน้ำและทานคุกกี้หน้าตาแย่ๆ แต่รสชาติยอดเยี่ยมหมดจาน ก็ลุกขึ้น ผมจึงลุกขึ้นตาม และเดินมาส่งถึงรถ
“หวังว่าจะได้เจอกันอีกนะครับ”
คิ้วเข้มเลิกสูง ดูเหมือนจะแปลกใจกับประโยคของผมไม่น้อย เพราะถ้าหากเป็นคนอื่นคงจะไม่อยากพบเจอกันอีก ซึ่งถ้าเป็นเมื่อก่อนผมก็คิดแบบนั้น และเพราะประสบการณ์ในอดีตทำให้ผมไม่อยากจะอ่อนแอและงี่เง่าซ้ำสอง ผมในตอนนี้เข้มแข็งและแข็งแกร่งมากพอที่จะไม่เอาอดีตมาทำร้ายตัวเอง ต่อให้ผมไม่อาจจะอ่านจิตใจของศัตรูหรือคู่ต่อสู้ได้แต่ผมก็ไม่เคยคิดจะประมาท
“แหม ก็พี่ปลื้มเป็นน้องพี่เปรมนี่ครับ แม้คนอื่นๆ ในครอบครัวของพี่เปรมจะไม่ชอบและไม่ยอมรับผม แต่อย่างน้อยผมก็รู้ว่าพี่ปลื้มไม่ใช่คนใจร้ายแบบนั้น”
พี่ปลื้มกระตุกยิ้ม ดูหล่อร้ายแบบที่สามารถทำให้คนมองใจสั่นได้ แต่ผมกลับคิดว่าพี่เปรมทำแล้วหล่อกว่าเป็นล้านเท่า ไม่ใช่แค่ทำให้ผมใจสั่น แต่ยิ้มของพี่เปรมทำให้ผมสั่นไปทั้งตัวเลยทีเดียว
เสียงเครื่องยนต์ดังขึ้น ผมยังคงยืนอุ้มน้องเปี๊ยกอยู่ที่เดิม กะจะรอให้รถคันหรูเคลื่อนตัวออกไปก่อนจึงค่อยเข้าบ้านปิดประตู แต่จู่ๆ เจ้าของรถก็เลื่อนกระจกลง
“คุกกี้.. ฝีมือพัฒนาขึ้นเยอะนะ” ใบหน้าคมระบายรอยยิ้มเต็มแก้ม ก่อนจะเลื่อนกระจกปิดขึ้นจนสุด แล้วสี่ล้อก็เคลื่อนตัวออกไป
ผมมองส่งจนรถปอร์เช่ เคย์แมน จนลับตา พร้อมกับที่รอยยิ้มบนใบหน้าของผมจางหายไป พี่ปลื้มเป็นผู้ชายที่อันตราย และยิ่งเพิ่มความน่ากลัวมากยิ่งขึ้นเมื่อมีบุคคลที่ชื่อ
‘เขื่อน’ เข้ามาเกี่ยวข้อง ผมไม่แน่ใจว่าพี่เปรมรู้เรื่องนี้รึเปล่า แต่การที่พี่เปรมอนุญาตให้พี่ปลื้มมาเจอกับผมในครั้งนี้อาจจะเพราะรู้จักน้องชายของตัวเองดี และที่สำคัญก็คือพี่เปรมไว้ใจผม เราไว้ใจซึ่งกันและกัน
หลังจากปิดประตูรั้วเข้ามาในบ้าน วางน้องเปี๊ยกลงบนพื้นให้วิ่งเล่น ผมก็รีบล้วงหยิบไอโฟนที่สั่นครืดๆ อีกระลอกขึ้นมากดรับสายอย่างไว
‘โทรตั้งหลายรอบทำไมไม่รับ’ เสียงเข้มมาเชียว
“ขอโทษครับ พอดีไอคุยอยู่กับพี่ปลื้มน่ะ”
‘ไอ้ปลื้ม?’ “อืม พี่ปลื้มมาหาที่บ้าน เพิ่งกลับไปเมื่อกี้” ผมตอบตามความจริงทุกอย่างขณะที่เดินเข้าไปในครัว เปิดฝาชีดูของกินที่พี่นิดขนมาจัดวางไว้ให้ตอนที่ผมกำลังคุยอยู่กับพี่ปลื้มในห้องรับแขก
พี่เปรมเงียบไป ผมจึงดูหน้าจอเพราะคิดว่าสายหลุด แต่ปรากฏว่าพี่เปรมยังอยู่ในสาย มันทำให้ผมยิ้มกว้างออกมาแล้วอยากจะเปลี่ยนเป็นวิดีโอคอลหรือเฟสไทม์คุยกันจริงๆ เลยครับ เพราะผมรู้ว่าตอนนี้พี่เปรมคงกำลังคิ้วขมวดหน้าเรียบตึงอยู่แน่ๆ
“คุยกันรู้เรื่องแล้ว” ผมหุบยิ้มไม่ได้เลย
‘ว่า?’ “ไอ-รัก-พี่เปรม” จูบม๊วฟใหญ่บนหน้าจอ
‘หึ’ ใบหน้าโคตรหล่อคงกำลังกระตุกยิ้มด้วยความชอบใจ ถ้าหากอยู่ใกล้ๆ ผมจะจับจูบให้หายใจไม่ทันเลยทีเดียว
ผมขัดจังหวะอารมณ์ของตัวเองด้วยการหยิบคุกกี้ที่เหลือในเตาอบออกมาเทลงในถังขยะ
‘แล้วก่อนหน้านี้โทรมามีอะไรรึเปล่า?’ ผมลืมสนิทเลยครับว่าก่อนหน้านี้ถูกพี่ดินบังคับให้โทรหาพี่เปรมเรื่องอะไร นี่ถ้าหากพี่เปรมไม่ถามผมก็ลืมไปแล้วจริงๆ
“อ้อ.. พอดีจะถามว่าพี่เปรมจะกลับกรุงเทพอีกทีวันไหนเหรอ?”
‘น่าจะอีกสองอาทิตย์ มีอะไรรึเปล่า?’“แค่อยากจะให้พี่เปรมไปโรงพยาบาลเป็นเพื่อนไอหน่อยน่ะ”
‘ไม่สบาย?’ “เปล่า แค่ไปตรวจตามนัดเฉยๆ”
‘อืม’ ความหมายก็คือตกลง
‘วันนั้นมึงห้ามแต่งตัวโป๊เด็ดขาด’“อ เอ๋?!” งงสิครับ ปกติพี่เปรมไม่เคยสนใจเรื่องการแต่งตัวของผมนี่นา
‘คิดถึงมึงโคตรๆ เลยว่ะ’ผมได้ยินเสียงจุ๊บเบาๆ กับเสียงหัวเราะ
‘หึหึ’ ก่อนพี่เปรมจะวางสาย ส่วนผมได้แต่ยืนอึ้ง แต่หัวใจเต้นโครมคราม ผมมองหน้าจอที่เพิ่งดับไปตาปริบๆ แล้วก็คิดโทษตัวเองว่าผมพลาดไปแล้วล่ะครับ พลาดที่ไม่เปลี่ยนไปเป็นเฟสไทม์หรือวิดีโอคอลตั้งแต่แรก ผมเลยอดเห็นผู้ชายหล่อเถื่อนอย่างคุณหมอเปรมนทีป์มุ้งมิ้งเลย ฮืออออ T^T
.
.
.
.
.
.
TBC..
