Miracle of LOVE ผมเรียกมันว่าปาฏิหาริย์แห่งรัก
-26-
ผมคือลูกชายคนโตของคุณพ่อคุณแม่ เป็นความหวังและความภูมิใจของวงศ์ตระกูล เป็นหลานชายคนแรกของสองตระกูลใหญ่
‘ชนะวิรุณพล’ และ
‘อัศววิรุณฉาย’ แม้ว่าทุกคนจะไม่พูดออกมาหรือไม่มีใครแสดงออกอย่างชัดเจนว่าต้องการให้ผมเดินไปในทางไหน แต่ผมก็รู้ว่าพวกท่านได้ขีดกรอบของผมไว้ตั้งแต่วินาทีแรกที่ผมปฏิสนธิขึ้นมาบนโลกใบนี้ แต่สำหรับนั้นได้ถือคติที่ว่าถ้าหากทำแล้ว
‘โอเค’ ผมก็จะทำ แต่ถ้า
‘ไม่’ ก็คือไม่ทำเด็ดขาด และที่สำคัญก็คือขอแค่อย่าล้ำเส้นความเป็นส่วนตัวของผมมากเกินไป
“อธิบายให้คุณยายฟังสิคะคุณเปรมว่ามันเกิดอะไรขึ้น?”
ผู้หญิงวัยเกษียณที่ดูอ่อนกว่าวัยตรงหน้ามองผมด้วยสายตาตำหนิ ท่านเป็นอดีตนางพยาบาลที่ได้ชื่อว่าสวยและเก่งที่สุด เก่งทั้งงานในสายอาชีพและงานบ้านงานเรือน ท่านเป็นผู้หญิงที่เข้มงวด รักความเป็นระเบียบเรียบร้อย ท่านคือคุณยายของผมเองครับ
“เมื่อครู่ปุ๋ยน้อยแค่ตกใจแมลงสาปเท่านั้นเองค่ะ” หญิงสาวรุ่นราวคราวเดียวกับผมร้องตอบออกมาโดยที่ผมไม่ได้ร้องขอใดๆ และมันก็ทำให้ผมต้องหัวเราะขำกับฉากละครตรงหน้าอยู่ในใจ
“แน่ใจนะลูกว่าเจอแมลงสาป” คุณยายหันไปถามย้ำ ก่อนจะหันมามองผมอีกครั้งราวกับกำลังจะจับผิด ซึ่งผมก็ทำได้แค่ยืนเงียบๆ นิ่งๆ รอฟังละครบทต่อไป
“จริงๆ ค่ะคุณยายวรรณ เมื่อครู่ปุ๋ยน้อยแค่ตกใจแมลงสาปค่ะ มันบินตัดหน้าปุ๋ยน้อยพอดี ปุ๋ยน้อยก็เลยร้องกรี๊ดเสียงดังไปหน่อย ไม่เกี่ยวอะไรกับคุณเปรมทั้งนั้นแหละค่ะ” สาวสวยส่งยิ้มอ่อนหวานปิดท้าย
สามสาวสองวัยหันมามองผมเป็นตาเดียว คุณย่าอรส่งยิ้มขอโทษ ในขณะที่ปุ๋ยน้อยส่งสายตาเหมือนว่ากำชัยชนะอยู่เหนือผม มีเพียงแค่คุณยายของผมเท่านั้นดูเหมือนว่าจะยังไม่ปักใจเชื่อเท่าไหร่ ท่านมองผมจนทะลุถึงแกนกลางใจ และผมเองก็ไม่ใช่ผู้ชายที่ตอแหลเก่งซะด้วย สำคัญก็คือผมไม่ชอบแพ้ใครโดยที่ผมยังไม่ได้ต่อสู้ ถ้าคิดว่าการกุมความลับของผมไว้แล้วจะชนะ ผมขอบอกว่าคิดผิด เพราะผู้ชายแบบผมไม่ชอบทำอะไรแบบลับๆ
“ถ้าหากแมลงสาปคือต้นเหตุ ผมก็จะได้สบายใจว่าไม่เกี่ยวอะไรกับการที่ผมคุยกำลังโทรศัพท์อยู่กับคนรักของผมนะครับ” ไม่รู้ว่าผมพูดอะไรผิดไปรึเปล่า ปุ๋ยน้อยถึงได้ปล่อยรังสีตกใจปนเคียดแค้นใส่ผม
“คนรัก?!” ผู้อาวุโสสองคนประสานเสียงพร้อมกันแล้วมองหน้าผมราวกับผู้ต้องหาคดีฆาตกรรม
“ครับ ผมมีคนรักแล้ว” และรักมากด้วยครับ
“คุณเปรม!” คุณยายของผมตวาดกร้าว
“นี่มันอะไรกันคะ?” คุณย่าอรซึ่งเป็นคุณย่าของปุ๋ยน้อยและเป็นเพื่อนสนิทของคุณยายพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยพอใจนัก
“ขอโทษด้วยนะอร คุณเปรมคงแค่ล้อเล่น” คุณยายหันไปขอโทษเพื่อน
ผมคงเป็นผู้ชายที่โง่เอาการเพราะไม่เข้าใจความคิดของผู้หญิงว่าต้องการอะไรกันแน่ ผมพูดจริงก็หาว่าล้อเล่น
“ผมพูดจริงครับ ทุกคำพูดไม่ได้ล้อเล่นแม้แต่คำเดียว”
“หยุดเดี๋ยวนี้นะคุณเปรม!”
“คุณเปรมมีคนรักแล้วค่ะคุณย่า” จากผู้กำชัยชนะเมื่อครู่ เปลี่ยนมาเป็นบทโศกได้ฉับพลัน บีบน้ำตาได้รวดเร็วยังกับเปิดก๊อก
“ว่าไงคะวรรณ?”
“คุณเปรมยังไม่มีใครทั้งนั้นแหละค่ะ” คุณยายตอบคำถามแทนผมอีกครั้ง ซึ่งมันไม่ใช่ความจริง
“ผมมีคนรักแล้วครับ” ย้ำอีกครั้ง หนักแน่น และมั่นคง
“คุณเปรม! หยุดพูดเรื่องไร้สาระสักที!” นานมากแล้วที่ผมไม่ได้เห็นคุณยายโกรธมากขนาดนี้
ผมตัดปัญหาด้วยการหุบปากเงียบ
“ขอโทษนะอร ขอโทษหนูปุ๋ยน้อยด้วยนะ ไว้คุณยายจะจัดการเรื่องนี้ให้นะลูก” เสียงคุณยายที่ขอโทษเพื่อนและปลอบใจหลานของเพื่อนทำให้ผมต้องแอบส่ายหน้าเบาๆ
“ยังไงซะคนรักของคุณเปรม และตำแหน่งสะใภ้คนโตของชนะวิรุณพล ก็ต้องเป็นหนูปุ๋ยน้อยคนเดียวแน่นอน” นั่นคือประโยคที่คุณยายทิ้งท้ายไว้อย่างหนักแน่นก่อนที่ผมจะยกมือไหว้ลาคุณย่าอร แล้วหันหลังเดินออกมา
เมื่อวานผมกลับจากชลบุรีมาถึงบ้านเกือบจะเที่ยงคืน ทั้งที่ตั้งใจว่าจะแวะไปหาพบรักก่อนแต่เพราะคุณยายโทรไปขอให้ผมช่วยมาเป็นเพื่อนเยี่ยมคุณย่าอรที่สระบุรี ผมจึงต้องเปลี่ยนแผนยกหนึ่งวันให้คุณยายด้วยความเต็มใจ แม้จะพอรู้เจตนาของคุณยายอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้คิดว่าจะถึงขั้นมัดมือชกให้ผมนอนค้างที่นี่เพื่อที่จะได้ทำความคุ้นเคยและสนิทกับปุ๋ยน้อยมากขึ้น ซึ่งผมคิดว่ามันค่อนข้างจะก้าวข้ามความเป็นส่วนตัวของผมเยอะเกินไป
ผมรู้จักคุณย่าอรและปุ๋ยน้อยมาตั้งแต่เด็ก ท่านเป็นเพื่อนสนิทของคุณตาคุณยาย และยังเป็นคุณย่าของริยาซึ่งเพื่อนสนิทในกลุ่มของผมด้วย ส่วนปุ๋ยน้อยก็เป็นลูกพี่ลูกน้องกับริยา ผมจึงมองปุ๋ยน้อยเป็นเพียงน้องสาวคนหนึ่งเท่านั้น
ลงจากบ้านไม้เรือนไทยหลังใหญ่มายืนรอคุณยายใกล้รถตู้ของครอบครัว ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดดูรูปภาพและข้อความที่ถูกส่งมาจาก
‘รักแรกพบ’ แล้วก็ได้แต่ขมวดคิ้ว
“คุณเปรมยิ้มอะไรเหรอครับ?” ลุงศักดิ์ที่วันนี้ทำหน้าที่พลขับมองผมด้วยสายตายิ้มๆ
ผมนี่นะกำลังยิ้มอยู่?ลุงศักดิ์คงจะตาฝาด ผมขมวดคิ้วอยู่ชัดๆ มามองว่าผมยิ้มได้ยังไง ผมเก็บโทรศัพท์ลงในกระเป๋ากางเกง แล้วเงยมองท้องฟ้าที่มีดวงดาวพราวระยับ และไม่นานนักคุณยายก็เดินลงมาจากบ้านเรือนไทยด้วยสีหน้าบึ้งตึง ผมเปิดประตูรถตู้ให้คุณยายก่อนจะตามขึ้นไปนั่งถัดหลังไปอีกแถว ไม่กี่นาทีสี่ล้อก็ขับไกลออกมาสู่ถนนใหญ่
“คุณยายจะต้องบอกเรื่องนี้กับคุณตา และเราจะต้องคุยกัน” คุณยายพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งที่ฟังก็รู้ได้ทันทีว่าท่านกำลังพยายามข่มอารมณ์โกรธอยู่
หลานชายอย่างผมก็ได้แต่เงียบ เพราะรู้ดีว่าเรื่องนี้คงไม่ได้จบง่ายๆ และผมก็ไม่ใช่ผู้ชายที่ชอบหนีปัญหา
.
.
.
.
จากสระบุรีกลับถึงกรุงเทพฯ ไม่มีบทสนทนาใดๆ ระหว่างผมกับคุณยายอีกเลย ผมล้มตัวลงนอนบนเตียงตอนเที่ยงคืนครึ่ง ตั้งใจว่าพรุ่งนี้จะออกจากบ้านตอนเช้าเพื่อไปหาพบรัก แต่ปรากฏว่าผมนอนไม่หลับ เพราะจิตใจถูกรบกวนด้วยรูปถ่ายของหมาหนึ่งตัวกับเด็กหนุ่มที่งับกล้วยหอมไว้คาปากพร้อมข้อความบอกว่าฝันดี ด้วยเหตุนี้ผมจึงต้องลุกขึ้นมาหยิบกุญแจรถและขับออกไปหาตัวการร้ายตอนตีสาม
ผมจอดเมอร์ซิเดสเบนซ์ สปอร์ตคูเป้ คู่กับ รถมินิ คันทรีแมน คูเปอร์ แล้วเดินเข้าไปในบ้านที่เงียบเชียบ แม้จะไม่ได้เปิดไฟให้สว่าง แต่แสงจากเสาไฟฟ้าตรงประตูรั้วบ้านก็ทำให้พอมองเห็นได้เลือนราง ผมล็อคประตูบ้านแล้วเดินขึ้นไปชั้นสองด้วยความคุ้นเคย ผมชอบบ้านหลังนี้ มันทำให้ผมรู้สึกสงบและสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นของความเป็นครอบครัวอย่างแท้จริง และเมื่อผมเปิดประตูห้องนอนที่ใหญ่ที่สุดของบ้าน ผมก็ถูกเจ้าของดวงตากลมโปนจ้องมองทันที
“บ๊อกๆ” ก้อนตะคุ่มๆ ขยับเคลื่อนตัวอย่างไวแล้วพุ่งเข้าหาผมด้วยสันชาตญาณของสัตว์โลกอมตีน
“เบาๆ แม่มึงนอนอยู่” ผมจับไอ้เปี๊ยกขึ้นอุ้ม แล้วพากลับลงไปนอนในตะกร้า ห่มผ้าและเอาไอ้ตุ๊กตาน้องเน่าสุดที่รักของมันวางข้างๆ ลูบหัวเล็กๆ อยู่ครู่หนึ่งไอ้เปี๊ยกก็เคลิ้มงีบหลับไป ผมจึงได้ลุกขึ้นไปหาเป้าหมาย
ร่างที่นอนซุกหลับอยู่ใต้ผ้าห่มผืนหนาบนเตียงใหญ่ทำให้ผมต้องค่อยๆ ก้าวอย่างระมัดระวัง ปกติถ้าไอ้ดีนไม่มานอนที่นี่ พบรักก็จะไปนอนที่บ้านโน้น แต่เพราะผมบอกว่าผมจะมาหาในตอนเช้าตรู่ พบรักเลยนอนคนเดียวด้วยกลัวว่าผมจะมาถึงก่อนที่ตัวเองและไอ้ดีนจะตื่น ดูๆ ไปก็เหมือนว่าเมียกำลังมีชู้ ประมาณว่าเมื่อผมมาเค้าจะไปยังไงชอบกล นี่ถ้าไม่ติดว่าผมเชื่อใจเมียตัวเอง ไอ้ดีนคงได้ตายคาตีนผมไปนานแล้ว
ผมค่อยๆ แทรกตัวเข้าใต้ผ้าห่ม แม้จะพยายามขยับตัวแผ่วเบาแค่ไหน แต่ก็ทำให้เจ้าของเตียงก็รู้สึกตัวจนได้
“พี่เปรม?” ถามออกมาทั้งที่เปลือกตายังไม่ลืมด้วยซ้ำ
“นอนต่อเถอะ” ผมรวบเอวคอดเข้ามาไว้ในอ้อมแขน แล้วจูบหน้าผากไปสองสามฟอด
ร่างเล็กส่งเสียง
‘อือ’ ตอบรับในลำคอ จากนั้นไม่ถึงนาทีใบหน้าที่ซุกอยู่แนบอกก็หายใจเข้าออกสม่ำเสมออีกครั้ง และความอบอุ่นและกลิ่นกายที่คุ้นเคยก็ทำให้ผมเข้าสู่ห้วงนิทราอย่างง่ายดาย
.
.
.
.
ได้นอนแค่ไม่กี่ชั่วโมง ผมก็ตื่นขึ้นมาทำอาหารมื้อเช้าง่ายๆ ให้เมียเด็กและหมาน้อยกินก่อนจะออกไปโรงพยาบาล
“มึงผอมลง?” ถามเด็กหนุ่มที่กำลังกัดแซนวิชเข้าปาก
ผิดสังเกตตั้งแต่นอนกอดบนเตียงแล้วล่ะครับ จนเมื่อเช้าตอนที่พบรักเดินออกมาจากห้องน้ำยิ่งเห็นได้ชัดว่าผอมลงไปเยอะ แค่สามอาทิตย์ที่ไม่ได้เจอกันไม่น่าจะผอมลงขนาดนี้
คนถูกถามเบิกตากว้างแล้วก้มลงสำรวจตัวเอง ในปากก็เคี้ยวตุ้ยๆ ไปด้วย จนเมื่อกลืนลงคอจนหมดจึงค่อยตอบ
“คงเพราะไอเร่งปั่นโปรเจคน่ะ เครียดๆ นิดหน่อย” ตอบเสร็จก็กินต่อ ท่าทางอร่อยจนผมอดยิ้มไม่ได้ ยิ่งหันไปมองไอ้เปี๊ยก รายนั้นผมเอาทูน่ากระป๋องคลุกมายองเนสให้กิน ไม่ถึงสองนาทีไอ้เปี๊ยกก็จัดการเรียบแถมเลียจนถ้วยสะอาด
“สอบปลายภาคเมื่อไหร่?”
“ต้นเดือนหน้า อ่อ พี่เปรมก็จะเอ็กเทอร์นจบด้วยสินะ”
ผมพยักหน้าตอบแล้วรินนมใส่แก้วให้คนตรงหน้าและตัวเอง ที่เหลือก็เทใส่ถ้วยให้ไอ้เปี๊ยก
ไม่แปลกใจว่าทำไมผมถึงหลงรักเด็กหนุ่มคนนี้ได้ง่ายดาย ยิ่งรู้จักก็ยิ่งรักมากขึ้น พบรักเป็นประเภทที่ไม่จู้จี้มากความ รู้จักว่าเวลาไหนควรทำตัวยังไง ใช้ชีวิตแบบมีเหตุและผล อย่างเช่นเรื่องเมื่อวานหลังจากเสียงกรี๊ดแหลมของปุ๋ยน้อยเงียบไป ผมก็ได้ยินแค่เสียงหัวเราะเบาๆ ของพบรัก แค่นั้นจริงๆ แล้วก็ไม่มีการพูดหรือถามอะไรต่อ ซึ่งทั้งหมดเกิดขึ้นจากความเชื่อใจและเข้าใจในกันและกัน
“ต้องฝึกงานมั๊ย?” ผมชวนคุยต่อ
“ฝึกๆ ไอกับไอ้ดีนดูๆ ไว้แล้วล่ะ”
“อืม” ผมพยักหน้าอีกครั้ง
ปลายเดือนหน้าพบรักก็จะจบปีสามและขึ้นปีสี่ซึ่งเป็นปีที่จะต้องฝึกงาน ส่วนผมก็ฝึกเอ็กซ์เทอร์นจบแล้วล่ะครับ หลังจากนั้นก็รอจับฉลากโรงพยาบาลเป็นคุณหมออินเทอร์นแบบเต็มตัว ซึ่งไม่ว่าจะจับฉลากได้โรงพยาบาลไหนผมก็พร้อมจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ผมตั้งใจไว้ว่าจะเรียนด้านศัลยศาสตร์เพื่อเป็นศัลยแพทย์ควบคู่ไปด้วย แต่ที่ห่วงมากกว่าอะไรทั้งหมดก็คือเด็กหนุ่มตรงหน้าผมนี่แหละครับ สมมติว่าถ้าผมจับฉลากได้ไปโรงพยาบาลไกลปืนเที่ยง พบรักเองก็ฝึกงานคงยุ่งพอดู โลกของพบรักจะต้องกว้างขึ้น เจอผู้คนมากขึ้น ผมหวงและห่วงจริงๆ กลัวจะมีปลิงมาเกาะติดเมียของผม งานนี้ผมคงจะต้องติดสินบนไอ้ดีนหนักๆ แล้วล่ะสิครับ
“งานแต่งงานของพี่หมอโก้และไอ้ยุ้ยจัดปลายเดือนหน้า มึงสอบเสร็จพอดี” พี่หมอโก้เป็นเพื่อนสนิทกับพี่หมอดินซึ่งเป็นพี่รหัสของผม ส่วนไอ้ยุ้ยก็เพื่อนสนิทของผมเองครับ ทั้งคู่คบหาดูใจกันมาหลายปี จึงถือโอกาสอันดีฉลองมงคลสมรสคู่กับฉลองเรียนจบเลยครับ
“เฮ้ย! เจ๋งอะ! พี่ยุ้ยเรียนจบปุ๊ปแต่งปั๊บเลย” ทำท่าทางตื่นเต้นได้น่าหมั่นเขี้ยวมากครับ
“ไอไปร่วมงานกับพี่เปรมด้วยได้ป่ะ?”
“มึงไม่ไปกับกูแล้วจะไปกับเหี้ยที่ไหน”
ริมฝีปากสีชมพูซีดอมยิ้มจนแก้มป่องกับประโยคของผม แต่สักพักก็เปลี่ยนเป็นสีหน้าเศร้า
“เป็นไร?”
“เป็นแขกรับเชิญ”
“หื๊อ?”
“งานแต่งที่ใด เป็นได้แค่แขกรับเชิญ
อยากแต่งกับเขาเหลือเกิน ขัดเขินที่ยังไร้คู่”
กำลังยกนมขึ้นซด พอเพลงมาทำเอาผมแทบสำลักเลยครับ ร้องเพลงไปก็ทำตาละห้อยเป็นหมาหงอยไปด้วย อินเนอร์มาเต็มตลอด
“อวยพรบ่าวสาว หลายคราวแอบนึกอดสู
ตัวเราไม่รู้ เนื้อคู่จะมาขอวันไหน”
จบเพลงด้วยเสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ราวกับว่าปลงชีวิตซะเหลือเกิน ผมกลั้นหัวเราะจนปวดกรามไปหมด ไม่รู้จะพูดว่ายังไงดีครับ แล้วดูสิมีการส่งสายตารันทดมาให้ผมด้วย
“มึงเรียกกูแพงหูฉี่ ชาตินี้ไม่รู้ว่ากูจะทำงานเก็บเงินได้พอค่าสินสอดมึงรึเปล่า”
“พี่เปรมรู้ได้ไงว่าไอเรียกเท่าไหร่อะ?”
ผมไม่ตอบ แค่ยกยิ้ม แล้วยกนมขึ้นซดรวดเดียวจนหมดแก้ว
“อย่าบอกนะว่าพี่เปรมคุยเรื่องนี้กับแม่แล้ว” ฉลาดจริงๆ ครับเมียผม
ยักคิ้ว และกระตุกยิ้มให้สุดที่รักแทนคำตอบว่า
‘ใช่’ ผมคุยเรื่องนี้กับคุณน้าเจโกะตั้งแต่ได้ลูกชายของคุณน้าเจโกะเป็นเมียนั่นแหละครับ และตอนนี้ก็พยายามหาเงินค่าสินสอดอยู่ แม้ครอบครัวของผมจะฐานะดีชนิดที่เหลือกินเหลือใช้ แต่สำหรับคนที่ผมรัก ผมก็อยากจะสร้างฐานะและใช้ชีวิตกับคนๆ นั้นด้วยตัวของผมเองมากกว่า
“อั่ยย่ะ!!” ใบหน้าน่ารักทำหน้าทำตาถูกใจแล้วยิ้มเต็มแก้ม ส่งสายตาฟรุ้งฟริ้งกรุบกริบให้ผม
“ไม่ต้องมาทำตาเชื่อม มึงจะแดกข้าว หรือจะให้กูแดกมึง”
“ทั้งสองอย่าง” ยักคิ้วท้าทาย
ยอดเยี่ยมครับ ผมเลือกเมียได้ดีจริงๆ นี่ถ้าหากไม่ติดว่ามีนัดพาคนตรงหน้าไปตรวจร่างกายกับคุณแม่ ผมคงได้จัดการตรวจสภาพภายในเมียเด็กก่อนแน่ๆ
.
.
.
.
เวลานัดคือสิบโมงครึ่ง เรามาถึงกันก่อนเวลาสิบห้านาที ผมเอาไอ้เปี๊ยกใส่ถุงผ้าหอบหิ้วพาไปยังตึกตรวจเฉพาะทาง ตึกนี้ไม่มีข้อห้ามเรื่องการนำสัตว์เลี้ยงเข้ามา ผมจึงพาไอ้เปี๊ยกเข้ามาให้กำลังใจแม่มันด้วย หลังจากยื่นบัตรนัดตรงเคาท์เตอร์พี่พยาบาลก็เดินนำไปยังห้องตรวจเลยโดยไม่ต้องรอคิว ซึ่งป้ายหน้าห้องติดชื่อแพทย์หญิง ดร.สายธาร ชนะวิรุณพล ไว้ชัดเจน คุณแม่ของผมแม้จะแต่งงานจดทะเบียนกับคุณพ่อแต่ก็ไม่ได้เปลี่ยนนามสกุล ยังคงใช้นามสกุลของคุณตาเหมือนเดิม
“จะให้กูเข้าไปด้วยมั๊ย?” ผมแค่เป็นห่วงครับ ท่าทางพบรักเหมือนจะตื่นเต้นและประหม่า ตรวจเช็คเสื้อผ้าหลายรอบ เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ผมเป็นคนพามันมาหาหมอหรือจะเรียกว่าพามาหาแม่ผัวก็ได้ครับ
วันนี้พบรักแต่งตัวได้เป็นที่พอใจมากครับ กางเกงยีนส์ขาเต่อสีซีดมีรอยขาดหน่อยๆ กับเสื้อยืดคอวีลายขวาง แล้วทับด้วยเสื้อสูทพอดีตัวสีเข้ม ผมสีอ่อนก็จัดทรงเรียบร้อย ดูดีไปทั้งตัวจนผมอยากจะเก็บไว้ดูคนเดียว
“ไม่ต้องเลยนะ พี่เปรมกับน้องเปี๊ยกรอข้างนอกนี่แหละ”
โอเคครับ เมียว่ายังไงผมก็ว่าอย่างนั้น ผมจึงถอยไปนั่งรอตรงเก้าอี้กับไอ้เปี๊ยก หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากะว่าจะเปิดเล่นเกมส์ฆ่าเวลาสักหน่อย แต่เพิ่งนึกได้ว่าแบตหมดตั้งแต่เมื่อคืน และยังไม่ได้ชาร์จ ผมจึงเก็บมันกลับเข้ากระเป๋ากางเกงแล้วเปลี่ยนมานั่งคุยกับไอ้เปี๊ยกแทน เห็นพบรักคุยกับไอ้เปี๊ยกได้เป็นวรรคเป็นเวรก็อยากจะลองบ้าง แต่ไปไม่รอดครับ
ผ่านไปเกือบสิบห้านาทีบานประตูเปิดออก พี่พยาบาลเดินนำออกมาก่อน เธอส่งยิ้มแล้วค้อมศีรษะให้ผมเล็กน้อย ผมเองก็ค้อมศีรษะกลับไปตามมารยาทเช่นกัน ถัดไปอีกไม่กี่สิบวินาทีร่างเล็กก็เดินออกมา หน้าตาไม่สู้ดีนัก ทำเอาผมคิ้วขมวดด้วยความเป็นห่วงทันที โดนคุณแม่ดุมารึไง?!
“เป็นไร?”
“ปวดฉี่”
พูดเสร็จก็วิ่งฉิวตัวปลิวไปห้องน้ำ ทิ้งให้ผมยืนขำอยู่กับไอ้เปี๊ยก ผมตั้งท่าจะเคาะประตูเข้าไปทักทายคุณหมอสักหน่อย แต่บานประตูห้องตรวจก็เปิดขึ้นก่อน
“ว่าไงจ๊ะน้องเปี๊ยก จำคุณแม่ได้มั๊ยเอ่ย?”
“บ๊อกๆๆ”
“โตเป็นหนุ่มแล้วนะคะ หล่อเหมือนคุณเปรมเลยค่ะ”
ผมโดนไอ้เปี๊ยกขโมยซีนอีกแล้วครับ และก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากยืนเป็นตัวประกอบจนกว่าจะถึงคิวของผม แต่ก็ไม่นานหรอกครับ แค่อึดใจเดียวคุณหมอก็เปลี่ยนมาส่งยิ้มให้ผม
“พรุ่งนี้คุณเปรมต้องพาน้องมาหาคุณแม่อีกรอบนะคะ” คุณหมอหรือคุณแม่ของผมพูดด้วยรอยยิ้ม แต่คนฟังอย่างผมคิ้วผูกโบว์แทบจะทันที
“มีอะไรรึเปล่าครับ?”
“คุณเปรมไม่รู้เหรอคะว่าน้องผิดนัดคุณแม่มาสองครั้งแล้ว และที่สำคัญเมื่อกี้น้องบอกว่ามีอาการปวดหัวตอนกลางคืนค่อนข้างบ่อย คุณแม่จึงคิดว่าควรจะทำเอ็มอาร์ไอ”
เอ็มอาร์ไอ คือการตรวจวินิจฉัยโรคของผู้ป่วยด้วยเครื่องสร้างภาพด้วยสนามแม่เหล็กไฟฟ้า ให้ความถูกต้องและแม่นยำสูง สามารถใช้ตรวจได้ทุกระบบของร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของระบบสมอง แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับการที่พบรักผิดนัดตรวจกับคุณแม่มาถึงสองครั้ง แล้วยังมีอาการปวดหัวอีก ทำไมผมไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน ทั้งที่คุยโทรศัพท์กันทุกวัน แล้วตลอดสี่เดือนที่ผ่านมาทุกครั้งที่ผมกลับมาจากชลบุรีผมก็มาหาและอยู่ด้วยกันตลอด แล้วทำไมพบรักถึงไม่เคยบอกผมเลย
“คุณเปรมอย่าไปดุน้องเลยนะคะ น้องคงไม่ได้ตั้งใจจะผิดนัดหรอกค่ะ” คงจะเห็นสีหน้าเคร่งเครียดของผมคุณแม่จึงพูดดักทางไว้ก่อน แต่จะไม่ให้ดุได้ยังไงล่ะครับ ถ้าจับตีก้นได้ผมทำไปนานแล้ว
“คืนนี้คุณเปรมไม่กลับบ้านใช่มั๊ยคะ?” คุณแม่แกล้งเปลี่ยนเรื่องคุยด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
“ครับ”
ผมรู้ว่าคุณแม่ไม่ได้ยินดีเรื่องที่ผมมีคนรักเป็นผู้ชายสักเท่าไหร่ และคุณแม่เองก็ปวดหัวกับการกระทำของไอ้ปลื้มอยู่ไม่น้อย ยิ่งล่าสุดที่ไปโกหกคุณยายว่าผมยังโสดแล้วตัวเองเป็นแฟนกับพบรัก ทำให้คุณแม่ไม่พอใจมากแต่ไอ้ปลื้มก็ยังคงเป็นไอ้ปลื้ม ก่อเรื่องเสร็จก็ชิ่งหนีหายหัวไป
“คุณแม่ไม่ได้ว่าอะไรหรอกค่ะ แต่เมื่อวานคุณเปรมไปก่อคดีอะไรไว้คะ เมื่อเช้าตื่นมาคุณตากับคุณยายไม่เจอคุณเปรมท่านโกรธมากเลยรู้มั๊ยคะ?” น้ำเสียงของคุณแม่เต็มไปด้วยความห่วงใย
“ผมไม่ได้หนีครับ ตั้งใจไว้ว่าพรุ่งนี้ตอนเย็นผมจะเข้าไปครับ” ผมตั้งใจไว้อย่างที่พูดจริงๆ
“พาน้องไปด้วยมั๊ยคะ?”
“ครับ”
“แสดงว่าคุณเปรมแน่ใจ ไม่เปลี่ยนใจแน่นอนแล้วนะคะ”
“ครับ” ยืนยันด้วยเสียงหนักแน่นให้คุณแม่มั่นใจ ท่านจึงส่งยิ้มให้ผม
“ไว้คุณแม่ออกเวรแล้วจะรีบกลับบ้านไปเตรียมมื้อเย็นไว้ให้นะคะ ว่าแต่น้องชอบทานอะไรเป็นพิเศษรึเปล่าคะ?”
“เห็นตัวเล็กๆ แบบนั้นกระเพาะหลุมดำมากเลยครับ ทานได้ทุกอย่าง” ตอบคุณแม่ตามความจริง แล้วหันมองร่างเล็กที่กำลังเดินมาทางนี้ คุณแม่หันไปมองตามสายตาของผมด้วยสายตาเอ็นดู
“ไว้พรุ่งนี้เจอกันนะคะ” ท่านบอกเด็กหนุ่มคนไข้ในการดูแล ฝ่ายนั้นก็รีบรับปาก
‘ครับ’ แล้วก้มหัวค้อมตัวยกมือไหว้ตามแบบฉบับเด็กมารยาทงาม จนผมต้องกลั้นยิ้มขำกับท่าทางนอบน้อมนั้นจนเมื่อยแก้ม
“ยังไงก็ย้ำเรื่องเตรียมตัวมาทำเอ็มอาร์ไอกับน้องอีกรอบนะคะ” คุณแม่ตีต้นแขนของผมเบาๆ แล้วส่งสายตาดุที่ผมบังอาจไปหัวเราะคนไข้ของท่าน
“ครับ ขอบคุณมากครับคุณแม่” นี่แหละครับคุณแม่ของผม ท่านเป็นแม่ที่รักลูกมากกว่าตัวเอง เป็นแม่ที่ยินดีกับการเห็นลูกมีความสุขในการดำรงชีวิต ดังนั้นคุณแม่จึงยอมสละเสียงคัดค้านในหัวใจของตัวเองทิ้งแล้วเลือกที่จะฟังเสียงหัวใจของลูกแทน
จากห้องตรวจ มาถึงลานจอดรถผมก็ไม่ได้เอ่ยอะไรกับพบรักสักประโยค ฝ่ายนั้นชวนคุยผมก็นิ่งไม่ตอบ จนพบรักเงียบไปเอง ถ้าหากไม่มีเสียงเห่าของไอ้เปี๊ยกดังเป็นระยะผมคงคิดว่านั่งอยู่ในรถคนเดียว และเมื่อรถแล่นมาได้ครึ่งทาง ระหว่างที่รถจอดติดสัญญาณไฟจราจร ผมนั่งมองตัวเลขสีแดงสามหลักค่อยๆ นับถอยหลังเป็นวินาที
“พี่เปรม โกรธไอเรื่องอะไรรึเปล่า?” ในที่สุดเสียงอ่อนก็เอ่ยขึ้นเบาๆ ทำให้ผมต้องหันไปมอง ดวงตาเรียวเล็กนั่นสบตากับผมอย่างกล้าๆ กลัวๆ
“ทำไมไม่บอกว่ามึงผิดนัดตรวจมาหลายรอบแล้ว”
“อ่อ”
“แล้วทำไมมึงไม่เคยบอกกูว่ามึงปวดหัวหรือไม่สบายตรงไหน”
“ไอไม่ได้เป็นอะไรมากนี่นา กินยาแล้วก็หาย” เถียงเสียงงุ้งงิ้งอยู่ในลำคอ แถมยังก้มหน้าหลบตาซะจนคางชิดอก คงรู้ตัวแล้วสินะว่าทำผิด
“ต่อให้มึงปวดหรือเจ็บเท่าขี้เล็บมึงก็ต้องบอกให้กูรู้ มึงเห็นกูเป็นอะไร?” ทำไมถึงไม่รู้บ้างว่าผมเป็นห่วงมากแค่ไหน ถ้าเป็นเรื่องอื่นผมอาจจะไม่โกรธมากขนาดนี้ แต่เพราะพบรักเคยเจออุบัติเหตุร้ายแรงมาก่อน ผมจึงเป็นห่วงสุขภาพมากกว่าทุกๆ เรื่อง
“มึงมัน! แมร่ม!” ผมทุบกำปั้นลงบนพวงมาลัยเพื่อระบายความโกรธ ทำเอาอีกฝ่ายลนลานด้วยความตกใจ ขนาดไอ้เปี๊ยกยังสะดุ้งแล้วรีบหลบหลังเจ้านายมันอย่างไว
จริงๆ แล้วผมไม่ได้โกรธพบรักทั้งหมด เพราะจะโทษพบรักอย่างเดียวก็คงไม่ได้ เป็นผมเองด้วยเช่นกันที่ไม่ดูแลพบรักให้ดี นี่ถ้าหากเกิดอะไรขึ้นคนที่ไม่ควรได้รับการอภัยที่สุดก็คงจะเป็นผมนี่แหละครับ
“ไอขอโทษ ต่อไปไอจะบอกพี่เปรมน๊า ปวดขี้ ปวดเยี่ยว เล็บขบ หรือตาปลาอักเสบ ไอจะบอกพี่เปรมหมดเลย” มือบางจับแขนของผมแล้วเขย่าเบาๆ
“พี่เปรม ไอขอโทษ” ดวงตาเรียวเล็กแดงเรื่อ
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ อยากจะโกรธให้มากกว่านี้แต่ก็ทำไม่ลงจริงๆ ผมลูบผมนุ่มสีอ่อนแล้วจูบหน้าผากเพื่อปลอบโยนพร้อมกับขอโทษที่ทำให้ตกใจ แต่เพราะผมเป็นห่วงจริงๆ ผมเองก็แปลกใจตัวเองเหมือนกัน มีแฟนมาหลายคนแต่ก็ไม่เคยมีใครที่ผมจะทั้งรักและห่วงขนาดนี้มาก่อน
ตัวเลขสีแดงหายไป เปลี่ยนเป็นตัวเลขสีเขียว รถเคลื่อนตัวไม่ช้าไม่เร็วไปข้างหน้า สถานการณ์ทุกอย่างกลับมาปกติ พบรักนั่งปลอบไอ้เปี๊ยกที่เมื่อครู่ตกใจผมจนขี้แทบขึ้นหัว ผมเหลือบไปมองอยู่หลายรอบ อดจะยิ้มออกมาไม่ได้ที่เห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งนั่งคุยกับหมาได้เป็นเรื่องเป็นราว จนเมื่อรถติดสัญญาณไฟอีกรอบ ผมจึงปล่อยมือจากพวงมาลัยข้างหนึ่งแล้วดึงมือบางมาจับไว้ ประสานนิ้วเข้าไว้ด้วยกัน
“พรุ่งนี้เย็นกูจะพามึงไปบ้านกู”
“เอ๋???”
“หลังจากหาหมอกูจะพามึงไปรู้จักกับทุกคนที่บ้านกู”
ผมจ้องมองเข้าไปในดวงตาเรียวที่เบิกกว้างเล็กน้อย พร้อมกระชับมือที่กุมไว้ให้แน่นขึ้น และบอกกับตัวเองว่าจะไม่มีวันปล่อยมือนี้ไปเด็ดขาด
.
.
.
.
.
TBC..
ดีใจที่มีคนอ่านมารอ และคิดถึงน้องไอกับพี่เปรม 
ปล.แก้ไข ค่ะ และ คะ ให้แล้วนะคะ ขอโทษด้วยค่ะ เมื่อคืนมาลงดึกไปหน่อย เลยไม่ทันได้ตรวจก่อนค่ะ