Miracle of LOVE ผมเรียกมันว่าปาฏิหาริย์แห่งรัก
-28-
อาหารที่กินไปเมื่อเที่ยงเหมือนจะไม่ย่อย และรู้สึกว่ามันกำลังจะขย้อนออกมาแบบไม่มีการบอกกล่าวล่วงหน้า ผมจึงรีบวิ่งเข้าห้องน้ำ โก่งคอกับชักโครก แล้วอ๊วกออกมาหมดไส้หมดพุงเลยครับ
แทบจะคลานออกมาจากห้องน้ำ หมดแรง เข่าอ่อนไปหมด เมื่อคืนก็ปวดหัว ตื่นมาตอนใกล้เที่ยง ทานโจ๊กที่พี่เปรมแวะเข้ามาทำไว้ให้ไปได้ไม่ถึงครึ่งถ้วยก็รู้สึกอิ่ม และหลังจากคุยโทรศัพท์กับแม่และนั่งเล่นกับน้องเปี๊ยกได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ผมก็เป็นแบบนี้แหละครับ
“บ๊อกๆ”
“สงสัยพี่ไอจะเป็นโรคกระเพาะ”
“บ๊อกๆๆ”
“เดี๋ยวพี่ไอนอนพักสักงีบก็คงจะหายแล้วล่ะ”
น้องเปี๊ยกเป็นห่วงผมมากครับ ผมจึงต้องส่งยิ้มอันแสนจะเหนื่อยอ่อนไปให้เพื่อยืนยันว่าไม่เป็นอะไรจริงๆ แต่น้องเปี๊ยกก็ยังไม่เชื่อ ตั้งหน้าตั้งตาจะวิ่งออกนอกบ้านไปตามพ่อเปรมอย่างเดียว
“น้องเปี๊ยก” ผมเรียกน้องเปี๊ยกด้วยเสียงที่อ่อนล้า ยกมือที่ควบคุมไม่ให้สั่นขึ้นลูบหัวน้อยๆ
เมื่อคืนพี่เปรมก็แทบจะไม่ได้หลับไม่ได้นอนกับอาการปวดหัวของผม กลางวันก็ยังต้องมาคอยดูแลผมอีก แม้โรงพยาบาลกับบ้านพักจะอยู่ใกล้กันแค่ไม่กี่ร้อยเมตร แต่ผมไม่ใช่เด็กสาวผู้อ่อนแอที่จะต้องให้พี่เปรมมาคอยเอาอกเอาใจดูแลยี่สิบสี่ชั่วโมง เพราะฉะนั้นผมจึงไม่อยากจะรบกวนเวลางานของพี่เปรม ยกเว้นถ้าหากพี่เปรมว่างจริงๆ เมื่อไหร่ผมจะอ้อนให้หนักเลยครับ
ผมพยายามพยุงตัวลุกขึ้นยืนกะจะเดินไปหาอะไรแก้เลี่ยนกิน แต่ก้าวได้แค่ไม่กี่ก้าว ร่างก็ยวบทรุดลงบนพื้น
“บ๊อกๆๆ” เด็กน้อยตกอกตกใจโวยวายเสียงดังลั่น และยังไม่ทันที่ผมจะได้ขยับตัว เจ้าตัวเล็กก็วิ่งฉิวออกนอกบ้านไปโดยไม่ฟังเสียงเรียกของผมสักนิด ร่างน้อยๆ นั่นหายไปพร้อมกับสติของผมที่พร่าเลือน
.
.
.
.
ไม่รู้ว่าผมมานอนอยู่บนเตียงได้ยังไง นอนตั้งแต่เมื่อไหร่ เพราะจำได้ว่าก่อนหน้านี้ผมยังนั่งหมดแรงข้าวต้มอยู่ตรงห้องรับแขกชั้นล่างกับน้องเปี๊ยกอยู่เลย
“ไอ้เปี๊ยกไปแดกข้าวได้แล้วมึง”
“บ๊อกๆๆ”
ลืมตาตื่นขึ้นมาพร้อมอาการหนักหัว แต่เสียงพ่อลูกเค้าสนทนาภาษาดอกไม้กันอย่างหวานชื่นรื่นหูอยู่ที่ชั้นล่างทำให้ผมยิ้มได้ทั้งที่ยังมึนงง
“เฮ้ยๆ จะรีบไปหาพ่องมึงรึไง ไม่มีใครแย่งมึงกินหรอก ค่อยๆ กินสิว่ะ” พี่เปรมคงจะดุน้องเปี๊ยกที่รีบกินข้าวครับ ความจริงน้องเปี๊ยกไม่ได้รีบกินเพราะหิวหรอกครับ แต่เพราะฝีมือการคลุกข้าวของพ่อเปรมอร่อยถูกปากน้องเปี๊ยกต่างหาก และผมก็อยากบอกจริงๆ ว่า
‘พ่อง’ ของน้องเปี๊ยกก็คือพี่เปรมนั่นแหละ แต่ด้วยความเกรงใจผมจึงขอเก็บไว้ในใจคนเดียวดีกว่า
ผมลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียง มองไปทางบานประตูห้องนอนที่เปิดอยู่และฟังเสียงฝีเท้าที่กำลังเดินขึ้นบันไดมา เมื่อร่างสูงสมส่วนปรากฏสู่สายตาผมก็ส่งยิ้มให้ทันที
“ไอ” พี่เปรมส่งยิ้มกลับให้ผม แล้วนั่งลงบนเตียงข้างๆ
“พี่เปรมออกเวรแล้วเหรอ?”
“พักช่วงเย็น”
ผมพยักหน้ารับทราบ แล้วหันไปมองนาฬิกาที่บอกเวลาว่าอีกไม่กี่นาทีก็จะหกโมงเย็นเป็นเวลาพักของพี่เปรมจริงๆ แต่เดี๋ยวนะครับ หกโมงเย็นอย่างนั้นเหรอ?? ผมเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เพราะจำได้ว่าก่อนหน้านี้เพิ่งจะบ่ายสอง นี่ผมหลับไปนานขนาดนี้เลยเหรอ?!
“ปวดหัวมั๊ย?” มือใหญ่จับมือของผมไปกุมไว้ ผมส่ายหน้า
“ไอเป็นอะไรอ่ะ แล้วพี่เปรมพาไอมานอนบนเตียงเหรอ?”
“มึงนอนเล่นอยู่บนพื้นหน้าทีวี ไอ้เปี๊ยกมันเลยแบกมึงขึ้นมา”
ขออนุญาตเหวี่ยงตาใส่พี่หมอหน่อยนะครับ ถ้าจะกวนตีนกันแบบนี้จับผมปี้สักยกสองยกซะยังดีกว่า แต่ผู้ชายแบบพี่เปรมไม่รู้สึกรู้สาหรอกครับ ใบหน้าหล่อๆ ยังคงนิ่ง ยกมือขึ้นลูบแก้มผมเบาๆ
“ยังรู้สึกคลื่นไส้อยู่มั๊ย?”
ผมส่ายหน้าอีกครั้ง ตาก็จ้องดวงตาคู่คมไปด้วย แต่พี่เปรมกลับหลบตาผม หันไปมองทางประตูแทน
“ถ้ามึงรู้สึกทรงตัวไม่อยู่ก็ให้หยุดนั่งพัก อย่าฝืน เพราะถ้าเกิดหกล้มขึ้นมาจะเป็นอันตราย ลงไปกินข้าวกัน จะได้กินยา” พี่เปรมพูดเร็วแล้วรีบเปลี่ยนเรื่องจบประเด็นแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ก่อนจะลุกขึ้นช่วยผมประคองให้ลงจากเตียง
เดินลงบันไดมาก็เจอเจ้าตัวน้อยยืนรออยู่ตรงตีนบันได ผมหันไปมองถ้วยข้าวน้องเปี๊ยกที่เกลี้ยงกริบก็รู้สึกหิวขึ้นมาทันที
“พี่เปรมทำอะไรอะ หอมจัง” หอมจริงๆ นะครับ
“แกงจืดหมูสับ กับไข่เจียว”
“เดี๋ยวพรุ่งนี้ไอขอแสดงฝีมือบ้างนะ ว่าแต่แถวนี้มีตลาดรึเปล่า?”
“มีตลาดเมื่อตอนเย็น กูซื้อของสดมาใส่ไว้ในตู้เย็นแล้ว มึงอยากกินหรืออยากทำอะไรก็ได้”
โอเคเลยครับ ผมขยิบตาให้ แล้วรับจานข้าวสวยร้อนๆ สองจานมาวางตรงโต๊ะเตี้ยหน้าทีวี ส่วนพี่เปรมก็ยกถ้วยแกงจืดกับไข่เจียวเดินตามมา บ้านพักหลังนี้มีครัวและอุปกรณ์ทำครัวพร้อมใช้งาน ซึ่งผมคิดว่าพี่เปรมน่าจะเตรียมมาเองทั้งหมดเพราะพี่เปรมไม่ชอบซื้อข้าวถุงแกงถุง และไม่ชอบร้านอาหารตามสั่งสักเท่าไหร่
ผมเปิดทีวีเก่าๆ ให้พอมีเสียงดังสร้างบรรยากาศตอนกินข้าวบ้าง ผมหันมองน้องเปี๊ยกวิ่งเล่นสำรวจสถานที่อยู่แถวๆ นั้น พี่เปรมตักไข่เจียวใส่จานให้ผม เรานั่งกินข้าวกันและคุยเรื่องสัพเพเหระ ดูข่าวในทีวีแล้ววิจารณ์บ้างอะไรบ้างไปตามประสา บรรยากาศธรรมดา นั่งกินข้าวกับพื้นแบบธรรมดา อาหารที่กินก็แสนจะธรรมดา แต่ความสุขที่เกิดขึ้นมันคือความพิเศษที่ไม่สามารถประเมินราคาได้
“ถ้าพี่เปรมอินเทอร์นได้อยู่โรงพยาบาลต่างจังหวัด ไอมาอยู่ด้วยได้มั๊ย?”
“แล้วถ้ากูได้ในกรุงเทพฯ ล่ะ?”
“พี่เปรมไปอยู่บ้านไอไง” พูดจริงๆ นะครับ ไม่ได้พูดเล่น
ใบหน้าคมจุดยิ้มตรงมุมปาก แล้วตักหมูสับในแกงจืดใส่จานให้ผม ผมยิ้มตาหยีแล้วตักข้าวใส่ปากกินอย่างอร่อยและมีความสุขจนอิ่มแน่นไปหมด กินเสร็จผมจึงอาสาล้างถ้วยล้างจานเอง ส่วนพี่เปรมนั่งเล่นกับลูกชายครู่หนึ่ง คุยอะไรกันก็ไม่รู้งุ้งงิ้งอยู่ครู่หนึ่งก็เตรียมตัวจะกลับไปโรงพยาบาล
“พี่เปรมไปทำงานเถอะ ไออยู่กับน้องเปี๊ยกได้” โรงพยาบาลก็แค่นี้เองครับ มองจากตรงนี้ไปก็เห็นชัดเจนแล้วว่ามันเวิ้งว้างมากแค่ไหนเมื่อตะวันตกดิน
“มึงไม่ต้องอยู่รอกูหรอก อาบน้ำแล้วก็นอนก่อนได้เลย กูออกเวรแล้วจะรีบกลับ” มือใหญ่ยกมือลูบหัวผมอ่อนโยน
แหม บรรยากาศเหมือนสามีภรรยาและลูกน้อยมั๊ยละครับ ผมยกมือโบกให้คุณสามี ฝ่ายนั้นเดินออกไปไม่กี่ก้าวก็หันกลับมามอง พี่เปรมทำท่าเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่จนแล้วจนรอดก็เดินจากไป และผมก็ยืนมองจนพี่เปรมขึ้นตึกโรงพยาบาลไป แล้วจึงปิดประตูบ้าน หันกลับมาย่อตัวลงนั่งตรงหน้าน้องเปี๊ยก
“พ่อเปรมคุยอะไรกับน้องเปี๊ยก บอกพี่ไอมาให้หมดเลยนะ”
“บ๊อกๆ” เจ้าตัวเล็กส่ายหน้าหวือ ปฏิเสธแบบนี้มีพิรุธร้อยเปอร์เซ็นต์ครับ ซึ่งถ้าหากเป็นแบบนี้ต่อให้ง้างปากน้องเปี๊ยกก็ไม่มีทางคายความลับออกมาเด็ดขาด ยกเว้นจะมีไพ่ใบสำคัญมาล่อครับ
“แต๊นแต่น อยากได้มั๊ย?” ตุ๊กตาน้องเน่าสุดที่รักของน้องเปี๊ยกลอยต่องแต่งอยู่ในมือของผม แค่นั้นแหละครับดวงตาโตๆ แทบจะหลุดออกจากเบ้า
“บ๊อกๆ บ๊อกๆ” กระโดดดึ๋งๆ เชียวครับ แต่ผมไม่ให้ง่ายๆ หรอก
“ถ้าคืนนี้อยากได้สุดที่รักไปนอนงับนอนกอดก็บอกมา”
“หงิ๊งงงง” ยอมจำนนอย่างง่ายดายโดยไม่มีข้อแม้ใดๆ ทั้งสิ้น
ผมอุ้มเด็กดีขึ้นมานั่งคุยกันตรงโซฟา น้องเปี๊ยกมองหน้าผมและผมก็จ้องตาน้องเปี๊ยก เรามีบางอย่างที่สื่อถึงกันได้ น้องเปี๊ยกกำลังกังวลและลำบากใจ ซึ่งนั่นทำให้ผมยิ่งอยากรู้ และเมื่อผมลูบหัวลูบหลังกล่อมอยู่พักหนึ่งน้องเปี๊ยกจึงยอมบอกออกมา
.
.
.
.
พี่เปรมบอกว่าไม่ต้องรอ ผมก็ไม่ได้รอหรอกครับ อาบน้ำเสร็จก็นอนเลย แต่นอนเท่าไหร่ก็ไม่ยอมหลับ พลิกไปพลิกมาอยู่หลายรอบ ส่วนน้องเปี๊ยกนอนกอดตุ๊กตาน้องเน่าหลับอยู่ข้างเตียงไปตั้งแต่ผมยังไม่ปิดไฟด้วยซ้ำ ผมจึงได้แต่นอนมองน้องเปี๊ยกอยู่แบบนั้น ความรู้สึกหลายอย่างตีวนอยู่ในอก
ผมรู้สึกว่ารอบตัวมันเงียบจนวังเวง ผมได้ยินเสียงเข็มนาฬิกาที่เดินบอกเวลาว่าอีกไม่กี่นาทีก็จะเข้าสู่วันใหม่ ผมได้ยินเสียงลมแรงด้านนอกราวกับว่ามีใครกำลังมาวิ่งอยู่รอบบ้านแต่มันไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกกลัว
แสงจากโคมไฟหัวเตียงสะท้อนให้เห็นปลอกคอของน้องเปี๊ยก มันเป็นเข็มขัดหนังแบรนด์เนมเส้นเล็กๆ ตรงปลายมีแผ่นหนังสี่เหลี่ยมสลักตัวอักษรภาษาอังกฤษ P E A K
“เผียก” ออกเสียงเบาๆ แล้วยกยิ้มให้กับตัวเอง
น้องเปี๊ยกเป็นน้องชายของผม ถ้าหากวันนั้นผมไม่ได้ช่วยน้องเปี๊ยกก็คงไม่มีผมในวันนี้ และถ้าหากไม่มีพี่เปรมบางทีผมและน้องเปี๊ยกก็คงไม่ได้มีชีวิตอย่างเช่นตอนนี้ ผมได้กลับมาเป็นตัวเอง เป็นนายพบรัก รัชชารักษ์ เด็กหนุ่มธรรมดาที่หน้าตาดีมากคนหนึ่ง ซึ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับผมในช่วงเวลาเพียงแปดเดือนที่ผ่านมาทำให้ผมเรียกมันว่าเป็นปาฏิหาริย์
ผมคิดถึงหลายสิ่งหลายอย่างในช่วงเวลาที่ผ่านมาอยู่เงียบๆ เพียงลำพัง และอย่างกับรู้ว่ามีคนมอง น้องเปี๊ยกปรือตาขึ้นมามองผม ผมจึงส่งยิ้มให้พร้อมยื่นมือไปลูบหัวเล็กๆ นั่น
“นอนซะเด็กดีของพี่ไอ”
“หงิงงง”
เด็กน้อยรับคำแล้วเลียฝ่ามือของผมเพื่อปลอบโยน ผมจึงยิ้มกว้างกว่าเดิมเพื่อให้น้องเปี๊ยกได้วางใจ ไม่ถึงนาทีน้องเปี๊ยกก็งีบหลับไป เหลือไว้เพียงผมที่ยังคงหลับตาไม่ลง ซึ่งความเงียบมันก็ทำให้ผมคิดย้อนไปถึงวันแรกที่ได้เจอพี่เปรม และช่วงเวลาที่พี่ปลื้มเข้ามาแทรกทำให้ชีวิตของผมหักเหและเปลี่ยนไปจนไม่สามารถย้อนกลับมาบรรจบลงที่เดิมได้ ผมเกลียดการหลอกลวงและคิดว่าคนทั้งโลกก็คงจะเกลียดเหมือนกับผม ดังนั้นผมจึงเข้มแข็งและเดินหน้าต่อไปโดยไม่ย้อนกลับไปมองอดีต
เสียงเปิดปิดประตูบ้านด้านล่างทำให้ผมหยุดคิดเรื่องต่างๆ ไม่นานนักน้องเปี๊ยกก็ลืมตาแล้วผงกหัวขึ้นมองร่างสูงที่ค่อยๆ เข้ามาให้ห้องนอน ในขณะที่ผมหลับตาลงแล้วนอนนิ่งในท่าเดิม
“บ๊อก” น้องเปี๊ยกทักทายพ่อเปรม
“ชู่วว์ แม่มึงนอนอยู่ไม่เห็นรึไง?” พ่อเปรมดุลูกชายว่าเสียงดัง ทำเอาน้องเปี๊ยกต้องบ่นน้อยใจหงิงๆ เบาๆ ที่พ่อเปรมไม่เคยเข้าใจอะไรเปี๊ยกเลย ผมล่ะอยากจะจับอุ้มเจ้าตัวน้อยมาโอ๋ปลอบใจ แต่ก็ทำได้แค่นอนนิ่งๆ ทำเป็นไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น
จากเสียงฝีเท้าทำให้รู้ว่าพี่เปรมกำลังเดินมาที่เตียง พี่เปรมห่มผ้าให้ผม จากนั้นผมก็ได้ยินเสียงน้องเปี๊ยกร้องหงิงอีกครั้ง พ่อเปรมคงจะลูบหัวง้อ เด็กน้อยจึงหายงอนพ่อเปรมแล้วครับ ผมรอจนพี่เปรมเดินเข้าห้องน้ำจึงค่อยลืมตาขึ้น ฟังเสียงน้ำกระทบพื้นและความเคลื่อนไหวเบาๆ อยู่หลายสิบนาที แล้วค่อยหลับตาลงอีกครั้ง
เตียงยวบเบาๆ แขนแกร่งค่อยๆ พาดลงบนเอวของผม แล้วร่างของผมก็ค่อยๆ ถูกรั้งให้แนบชิดกับอกแกร่ง กลิ่นสบู่หอมสะอาดแตะจมูก แล้วจู่ๆ ความง่วงก็พุ่งเข้าโจมตีจนเปลือกตาหนักอึ้ง ผมพลิกตัวกลับเข้าหาอกแน่น ขยี้จมูกสูดกลิ่นสะอาดแล้วเข้าสู่ห้วงนิทราไปพร้อมๆ กับความรู้สึกอบอุ่นจากฝ่ามือใหญ่ที่ลูบแผ่นหลังกล่อมผมเบาๆ ทำให้คืนนี้ผมนอนหลับฝันดีให้ถึงเช้า
.
.
.
.
เพราะได้นอนเต็มอิ่ม ผมจึงตื่นพร้อมพี่เปรม และลงมาทำอาหารมื้อเช้าง่ายๆ กินกันก่อนพี่เปรมจะออกไปอยู่เวร ถ้าหากไม่ติดว่าพรุ่งนี้ผมต้องมีนำเสนอโปรเจ็คผมคงจะโดดเรียนอยู่กับพี่เปรมอีกสักวัน
พี่เปรมออกไปทำงานก็เหลือแค่ผมกับน้องเปี๊ยก ผมไม่ชอบพวกงานทำความสะอาดบ้านแต่เพื่อพี่เปรมผมสามารถทำได้ครับ และหลังจากซักผ้า กวาดบ้าน ขัดห้องน้ำให้พี่เปรมเสร็จแล้วก็ได้เวลาต้องเข้าครัวทำมื้อเที่ยง ผมสำรวจวัตถุดิบที่มีอยู่เยอะพอสมควรในตู้เย็นก็ได้เมนูทอดมันข้าวโพดกุ้งสับ เห็ดฟางผัดใบโหระพา และซุปเต้าหู้สาหร่ายสูตรเด็ดจากแม่เอาไว้ซดให้คล่องคอครับ ทำมื้อเที่ยงเสร็จก่อนเวลาที่พี่เปรมจะได้พักเที่ยงเกือบสี่สิบนาที หันไปมองโรงพยาบาลแล้วหันกลับมามองน้องเปี๊ยกที่กำลังกินข้าวฝีมือผมอย่างอร่อย มองสลับไปสลับมาอยู่หลายครั้งจนน้องเปี๊ยกจัดการอาหารหมดถ้วย เจ้าตัวน้อยก็มองหน้าผม
“ไปดีมั๊ยน้องเปี๊ยก?”
“บ๊อกๆ” ดีครับผม เหมาะสมครับพี่ไอ
ได้รับคำยืนยันจากน้องชายสุดที่รักผมก็ลุกขึ้นทันที จัดเอาหารใส่ปิ่นโตเถาเล็ก เตรียมช้อนและน้ำดื่มเอาใส่ในตะกร้ายังกับว่าจะไปปิ๊กนิก แต่เมื่อจัดอาหารเรียบร้อยก็ก้มลงมองตัวเอง เพราะมาแบบกะทันหันเสื้อผ้าจึงต้องใช้ของพี่เปรม ขนาดว่าเลือกหาไซด์เล็กสุดแล้วนะครับ เสื้อยืดก็ต้องคอยถลกคอเสื้อที่ชอบไหลตกจากไหล่บ่อยๆ ส่วนกางเกงขาสั้นที่พี่เปรมใส่ระดับเหนือเข่า ผมเอามาใส่แทบจะกลายเป็นกางเกงสามส่วนขาก๊วย และเพื่อให้ดูดีขึ้นมาหน่อยผมจึงเอาชายเสื้อที่ยาวรุ่มร่ามยัดลงไปในขอบเอวยืดของกางเกง จากนั้นก็ดึงเอวกางเกงให้ต่ำลงอีกหน่อยให้ดูว่าเป็นแฟชั่นฮิปฮอปเสื้อผ้าตัวใหญ่ และด้วยที่ผมมีความหน้าตาดีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ต่อให้จะแต่งตัวแบบไหนก็ไม่สามารถกลบรัศมีความหล่อไปได้หรอกครับ
ผมเดินออกจากบ้านพร้อมน้องเปี๊ยกด้วยความมั่นหน้าและมั่นใจ ช่วงกลางคืนโรงพยาบาลดูสงบเงียบจนน่ากลัว แต่กลางวันตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง แม้จะเป็นโรงพยาบาลเล็กๆ แต่ก็มีคนใช้บริการพอสมควร และเจ้าหน้าที่ พยาบาลก็เดินไปเดินมา ผมพยายามเล็งคุณพยาบาลหน้าตาใจดีสักคนเพื่อที่จะถามหาคุณหมอเปรม แต่เจ้าที่เจ้าทางกลับส่งคุณป้าพยาบาลหน้าตาถมึงทึงมาให้แทน
“สวัสดีครับคุณพยาบาล ผมมาหาคุณหมอเปรมนทีป์น่ะครับ ไม่ทราบว่าจะพบคุณหมอได้ที่ไหนเหรอครับ?” พูดจาเพราะพริ้ง ส่งรอยยิ้มอ่อนหวาน
คุณป้าปลายตามองผมตั้งแต่ปลายเส้นผมยันเล็บขบ แต่ผมก็ยังคงยิ้มสดใสส่งไปให้ด้วยมั่นใจว่าความหล่อของผมจะเข้ากระแทกใจให้คุณป้ายิ้มอ่อนให้สักครั้ง
“แฟนคลับ?”
ห ห๊า? “เป็นเด็กเป็นเล็กไม่ไปโรงเรียนรึไง?”
ด เดี๋ยวๆ ครับป้า ผมเรียนมหาลัยแล้วนะครับไม่ใช่เด็กน้อย กรุณาอย่ามองแค่หน้าตาอันอ่อนใสและส่วนสูงอันน้อยนิดของผมแล้วมาตัดสินว่าผมนั้นเล็ก ของผมไม่เล็กนะครับ มันบิ๊กเบิ้มเหิมเกริมสมอายุ ยกเว้นเมื่อเทียบกับพี่เปรมเท่านั้นแหละของผมกลายเป็นหนอนน้อยทันที
“วันๆ มากันเยอะแยะ หมอเปรมเค้าไม่ว่างให้ใครมาเล่นหูเล่นตาใส่หรอกนะ หมอเค้าต้องทำงานทำการ น่าเบื่อจริงๆ”
เฮ้ยยย! อะไรนะ?! “หมอเปรมมีแฟนคลับเยอะเหรอครับ?” ทำหน้าตาแบ๊วๆ เป็นหมางง
คุณป้าทำหน้าเอือมโลกแล้วปรายสายตาไปทางซ้ายมือ ผมจึงหันตาม
แม่จ้าววว!! ผมอยากจะกรีดร้องออกมาให้เป็นภาษาดาวแม่ ที่ได้เห็นสาวน้อยสาวใหญ่นั่งเรียงรายตรงระเบียงทางเดิน แต่ละคนมีอาวุธเป็นปิ่นโต บ้างก็หอบหิ้วตะกร้าผักผลไม้ แต่นั่นไม่เท่ากับเสื้อผ้าหน้าผมที่แต่ละนางแต่งกันมาประชันกันเต็มที่ แล้วผมล่ะ แทบไม่มีอะไรเลยนอกจากความหน้าตาดีที่พ่อกับแม่ให้ติดตัวมาตั้งแต่เกิด
“ตัดใจซะเถอะไอ้หนู หมอเปรมเค้ามีเมียแล้ว รักเมียมากด้วย เดี๋ยวเค้าก็กลับบ้านพักไปกินข้าวกับเมียไม่มาสนใจใครหรอก”
“อ่อ ครับ” ทั้งอึ้งและก็เขินในเวลาเดียวกันครับ
คุณป้าพยาบาลบ่นอะไรพึมพำอีกสองสามประโยคแล้วเดินจากไปอย่างไร้เยื่อใย ระหว่างนั้นมีพี่พยาบาลสาวสวยสองคนเดินสวนทางมา ผมสังเกตเห็นในมือของคุณพี่ถือถุงขนมเดินผ่านบรรดาแฟนคลับของคุณหมอเปรมนทีป์ผ่านไปทางห้องริมสุดของตึก ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคุณพี่พยาบาลสองคนนั้นใช้เส้นสายในอาชีพเข้าถึงตัวคุณหมอ ผมกับน้องเปี๊ยกจึงมองหน้ากันว่าจะเอายังไงดี
“บ๊อกๆ” น้องเปี๊ยกยังยืนยันคำเดิมครับ
ผมจึงพยักหน้าแล้วเดินไปนั่งต่อแถวตามลำดับคิวครับ พ่อแม่ผมสอนมาดีต่อให้มีเส้นสายใหญ่โตมาจากไหนก็ต้องทำตามลำดับขั้นตอน ผมนั่งต่อจากสาวหมวย ผิวขาว หน้าอกหน้าใจล้นทะลัก อายุน่าจะยี่สิบต้นๆ เธอมาในชุดลายดอกสีสันสดใส เธอหันมามองสำรวจผมไม่ต่างจากคุณป้าพยาบาลเมื่อครู่ เธอแสยะยิ้ม ก่อนเปิดกระเป๋าหยิบตลับแป้งขึ้นมาส่องและซับหน้า
หลังจากพี่พยาบาลสองคนเมื่อครู่เดินออกมา เสียงซุบซิบและสายตาจากหลายคู่ก็พุ่งตรงเข้าฟาดฟัน แต่พี่พยาบาลเค้าไม่สนใจหรอกครับ เธอทั้งคู่เดินเชิดหน้าอย่างผู้ที่อยู่เหนือกว่าจากไปแบบสวยๆ
เข็มนาฬิกาบอกเวลาเที่ยงสิบห้านาที บานประตูห้องตรวจก็เปิดออก ทุกคนที่นั่งอยู่ริมระเบียงต่างพร้อมใจกันลุกขึ้นพรึ่บพร้อมกับเสียงราวกับผึ้งแตกรัง ทำเอาผมกับน้องเปี๊ยกตกใจแล้วรีบกระเด้งตัวยืนตาม จากอันดับสุดท้ายปลายแถวก็ขอชะเง้อชะโงกมองสักนิดครับว่าเค้ามีเคารพธงชาติกันตอนเที่ยงเหรอ? แต่ผมก็ไม่เจอเสาธงสักต้น จะมีก็แค่ผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งที่มีใบหน้าคมเข้มและจมูกโด่งสันยังกับหลุดมาจากประติมากรรมกรีกโบราณ แต่ด้วยรังสีและรัศมีแห่งความเรียบเฉยและเย็นชาที่แผ่กระจายทำให้บรรดาแฟนคลับต่างไม่กล้าจะอ้าปากทักสักคน ยกเว้น..
“คุณหมอคะ นุ่มเอากับข้าวมื้อเที่ยงมาให้คุณหมอค่ะ” สาวสวยหมวยเอ็กซ์ที่อยู่ลำดับก่อนหน้าผมใช้ความกล้าพุ่งตัวขึ้นไปดักหน้าคุณหมอ และดวงตาคมคู่นั้นก็ได้สบกับผม
“นุ่มทำเองกับมือเลยนะคะ ป๊ากับม๊าชมว่าอร่อย จึงคะยั้นคะยอให้นุ่มเอามาให้คุณหมอค่ะ” มือขาวส่งปิ่นโตเถาใหญ่ให้คนตรงหน้าเธอ
แน่นอนครับว่าคู่แข่งทั้งหลายต่างส่งสายตาดั่งมีดดาบมาให้เธอกันยกใหญ่ แต่เธอก็ไม่ได้สนใจ ณ วินาทีนี้ใครกล้าหน้าด้านกว่าถือว่าเป็นผู้ชนะ แต่สุภาพบุรุษแบบผมไม่แย่งชิงอำนาจอย่างผู้หญิงหรอกครับ ผมทำแค่ยืนถือตะกร้าแล้วมองสถานการณ์ตรงหน้าด้วยรอยยิ้มอันนุ่มละมุนอยู่ที่เดิม
“ขอบคุณครับ” เสียงทุ้มบอกกับหญิงสาวที่ชื่อนุ่มตามมารยาท แล้วเบี่ยงตัวเดินหลบออกมาด้วยใบหน้านิ่งเรียบ ไม่แม้แต่จะแตะปิ่นโตสักนิด
คุณหมอย่อตัวลงอุ้มเจ้าตัวเล็กที่ยืนอยู่บนพื้นด้วยมือข้างเดียว แล้วยกแขนข้างที่ว่างขึ้นพาดไหล่ผม แล้วลากออกมาจากจุดเกิดเหตุท่ามกลางสายตานับสิบคู่ที่อึ้ง ตะลึง งง และอีกหลากหลายความรู้สึกที่ผมไม่สามารถบรรยายได้ สาบานนะครับว่าผมไม่ได้ตบตีแย่งชิง ลัดคิว หรือใช้วิธีสกปรกใดๆ กับบรรดาแฟนคลับพี่เปรมสักคน ผมยืนอยู่กับน้องเปี๊ยกแบบเจียมเนื้อเจียมตัว ถ้าจะผิดก็คงเป็นคุณหมอสุดหล่อที่ลากผมออกมานั่งบนม้าหินใต้ต้นชงโคข้างโรงพยาบาลต่างหาก
ดวงตาคู่คมมองผมไม่วางตาตั้งแต่หย่อนก้นลงนั่ง จนตอนนี้ผมจัดอาหารให้เรียบร้อยเตรียมกินก็ยังมองอยู่ จนผมคิดว่าพี่เปรมคงจะมองผมทะลุให้ไปถึงลิ้นปี่เลยกระมัง
“มองอะไร?”
“ผัวมองเมียไม่ได้?” โอเค ชัดเจนดีครับ ผมฉีกยิ้มแทบไม่ทัน
พี่เปรมกระตุกยิ้มแล้วจับช้อนตักทอดมันข้าวโพดกุ้งสับชิ้นใหญ่ที่สุดใส่จานให้ผม ก่อนจะตักชิ้นเล็กกว่ากินเอง ดูแล้วอาจจะเป็นแค่เรื่องเล็กน้อยแต่สำหรับผมมันคือการเอาใจใส่ที่ทำให้ผมรู้สึกดีเสมอ เริ่มต้นเป็นยังไงปัจจุบันก็ยังคงเป็นแบบนั้น มันเป็นความสุขแบบเรียบง่ายไม่ได้เฟอร์เฟคสวยหรูแบบที่ใครหลายคนใฝ่ฝัน ซึ่งมันเป็นอะไรที่พอดีสำหรับผม
“มีอะไร?” พี่เปรมคงจะสงสัยน่ะครับ เพราะผมกินไปแล้วก็อมยิ้มไปด้วย
“มีความสุข”
คำตอบของผมทำให้ใบหน้าหล่อคมระบายยิ้มเต็มแก้ม มันเป็นความหล่อระดับร้อยล้านที่ผมคงจะได้เห็นเพียงคนเดียว พี่เปรมตักเห็ดฟางผัดใบโหระพาใส่เพิ่มในจานให้ผม
“พี่เปรมกินเยอะๆ นะ เพราะพี่เปรมต้องใช้พลังงานเยอะกว่าไอ” ผมตักให้พี่เปรมบ้าง แต่ดวงตาคู่คมกลับหรี่ลงจ้องมองผมวิบวับ
“กินมึง?”
“อ อะไรเล่า ไอหมายถึงกินข้าว” จะมากงมากินอะไรตอนนี้
ผมรีบเปลี่ยนประเด็นบทสนทนาแก้เขิน ไม่งั้นผมคงได้ลุกขึ้นนอนแผ่ให้พี่เปรมกินตรงนี้ล่ะครับ พี่เปรมเติมข้าวสองครั้ง กินทุกอย่างเรียบไม่เหลือแม้แต่ใบโหระพา
“ฝีมือไออร่อยล่ะสิ”
คิ้วเข้มยักขึ้นพร้อมยกยิ้ม ผมล่ะภูมิใจในเสน่ห์ปลายจวักของตัวเองจริงๆ ครับ
“ฝีมือมึงอร่อย แต่ที่อร่อยสุดคือมึง” แค่พูดไม่พอยังส่งสายตากรุบกริบมาให้ด้วย
พอเห๊อะ!!เขินจนปิ่นโตในมือแทบร่วง และไม่รู้จะเอาหน้าไปแช่น้ำที่ไหนให้หายร้อนวูบวาบ ตอนนี้หน้าของผมคงจะแดงแจ๋แน่ๆ
“บ๊อกๆ บ๊อกๆ” น้องเปี๊ยกที่คงจะทนฟังไม่ไหวอยู่นานร้องแซวขึ้น ผมจึงจับอุ้มขึ้นมาวางบนโต๊ะ แล้วเกาพุงน้องเปี๊ยกให้อีกฝ่ายจั๊กจี้โดยมีพ่อเปรมคอยเป็นแรงหนุนในการแกล้งลูกชาย
นั่งเล่นกันอีกครู่ใหญ่ พี่เปรมก็เดินมาส่งผมที่บ้านพัก แต่ก่อนที่พี่เปรมจะกลับไปทำงานโทรศัพท์มือถือของพี่เปรมก็ดังขึ้น คุยกันอยู่แค่ไม่กี่ประโยค ผมเองก็ไม่ค่อยได้สนใจที่จะฟังเพราะมัวแต่ล้างปิ่นโตและถ้วยชามที่ใช้กินมื้อเที่ยงเมื่อครู่ ผมดูเป็นศรีภรรยาที่ดีใช่มั๊ยล่ะครับ เอาจริงๆ แล้วผมถนัดแค่งานครัวเท่านั้น ถ้าเป็นประเภทงานบ้าน ปัด กวาด เช็ด ถู และซักผ้า ไว้เป็นหน้าที่ของพี่แม่บ้านที่คุณป้าพิมพ์จัดมาให้ดีที่สุดแล้วล่ะครับ ยกเว้นเมื่อได้มาอยู่กับพี่เปรมนี่แหละที่ผมต้องทำเอง
“อ้าว พี่เปรมไม่ไปทำงานเหรอ?” ผมมองนาฬิกาสลับกับพี่เปรม บ่ายโมงกว่าแล้วแต่พี่เปรมยังนั่งเล่นกับน้องเปี๊ยกอยู่เลย
“หมอยุทธ์ขอแลกเวร”
หมอยุทธ์คือหมอเอ็กเทอร์นเหมือนกับพี่เปรมนี่แหละครับ เพิ่งมาฝึกที่โรงพยาบาลนี้ได้เดือนกว่าๆ เวลาพี่เปรมจะไปไหนมาไหนหรือได้หยุดกี่วันก็จัดสับเปลี่ยนกันอยู่แค่สองคน
“ถ้างั้นพี่เปรมนอนสักงีบก่อนมั๊ยล่ะ?” ถามด้วยความเป็นห่วงครับ ผมว่าในแต่ละวันพี่เปรมได้นอนน้อยเหลือเกิน
ผมนั่งลงบนโซฟาข้างๆ พี่เปรม แต่ก็โดนมือใหญ่ดันเบาๆ ให้ผมเขยิบไปนั่งชิดพนักพิงอีกฝั่ง จากนั้นก็ล้มตัวลงนอนบนตักของผม ใบหน้าคมหันมาซุกกับหน้าท้องจนผมรู้สึกเสียววูบจนเผลอแขม่ว สองแขนโอบรอบเอวผมไว้ แล้วเปลือกตาคมก็ปิดลง ผมยกมือขึ้นลูบเส้นผมหนาแต่ลื่นมือของพี่เปรมเบาๆ ไม่กี่นาทีต่อมาพี่เปรมก็หายใจเข้าออกสม่ำเสมอ
เมื่อก่อนผมเคยคาดหวังความรักในแบบที่อยากอยู่ใกล้กันตลอดเวลา อยากดูแล อยากเข้าใจ อยากเอาใจใส่ในทุกสิ่งทุกอย่างและอยากจะให้เค้ารักเราเพียงคนเดียว เป็นเพียงหนึ่งเดียวในหัวใจของเค้าเท่านั้น แต่ตั้งแต่ที่ได้รู้จักกับพี่เปรมมุมมองความรักของผมก็เปลี่ยนไป ผมเพียงแค่ต้องการมีใครสักคนที่เข้าใจและพร้อมที่จะเผชิญปัญหาต่างๆ ด้วยกันเพียงแค่นั้นผมก็มีความสุขแล้วล่ะครับ และผู้ชายคนนี้ เปรมนทีป์ อัศววิรุณฉาย คือคนที่ทำให้ผมมีความสุข และคือความรักของผม
“พี่เปรม” ผมเรียกชื่อพี่เปรมแผ่วเบา มองเสี้ยวใบหน้าคมแล้วยกยิ้มอยู่คนเดียว
“คุณหมอควรจะบอกอาการป่วยกับคนไข้นะ” เสียงของผมดังขึ้นในระดับเดียวกับยุงกระพือปีก เพราะไม่ต้องการให้คนที่นอนหลับได้ยิน
.
.
.
.
.
TBC
มาต่อแล้วค่าาาา
ณ วันหนึ่งของน้องเปี๊ยก
น้องเปี๊ยก : อะไร ไหนใครต้มมาม่า ได้กลิ่นลอยมานะ ฟุดฟิดๆ 
ตอนนี้รินตรวจคำผิดไปรอบหนึ่งแล้ว แต่ถ้าคนอ่านผู้ใจดีเจอจุดไหนอีกก็บอกได้นะค๊าาาาา
รินรักคนอ่านทุกคนเลย และรักที่สุดคือทุกๆๆๆ ความคิดเห็น เพราะทุกข้อความของคนอ่านคือแรงสะท้อนและกำลังที่ยอดเยี่ยมมากๆ ค่ะ 