Miracle of LOVE ผมเรียกมันว่าปาฏิหาริย์แห่งรัก
-30-
“คุณเปรมตัดสินใจแบบนี้แล้วจะไม่เสียใจในภายหลังแน่นะคะ”
“ผมแน่ใจครับคุณแม่”
ผมมองใบหน้าของบุพการีที่แม้จะประดับรอยยิ้มอ่อนๆ ทว่าในแววตากลับฉายแววความกังวลและผิดหวังเอาไว้ แต่คุณแม่ก็ให้โอกาสผมในการตัดสินใจด้วยตัวเอง คุณแม่ของผมเป็นแพทย์หญิงที่เก่ง เข้มแข็ง และอ่อนโยน ท่านเป็นแบบอย่างของผู้หญิงในอุดมคติที่ผมวาดหวังเอาไว้ว่าอยากจะได้มาเป็นแม่ของลูก ซึ่งผมคิดว่าผมได้เจอคนๆ นั้นแล้ว แม้เค้าจะไม่ใช่ผู้หญิงและมีลูกให้ผมไม่ได้ ก็ไม่สำคัญเท่ากับผมมีความสุขในทุกวันที่มีเค้าอยู่ข้างๆ
“ไม่ว่าอนาคตจะเป็นยังไง คุณเปรมก็ยังคงเป็นลูกชายที่คุณแม่และคุณพ่อภูมิใจเสมอ คุณแม่และคุณพ่อรักและจะคอยเป็นกำลังใจให้คุณเปรมนะคะ”
“ขอบคุณครับคุณแม่”
ดวงตาของคุณแม่แดงก่ำแต่ก็ยังพยายามยิ้มให้ผม
“คุณเปรมจะกลับเลยใช่มั๊ยค่ะ?”
“ใช่ครับ คุณแม่ไม่ต้องห่วงครับผมเรียกแท็กซี่ไว้แล้ว”
ผมลดตัวจากนั่งบนเก้าอี้ลงมานั่งบนพื้นด้านหน้าคุณแม่ จากนั้นก็ก้มลงกราบลงบนตักท่าน เพื่อขอบคุณที่ให้ชีวิตและเลี้ยงดูผมมาอย่างดี และเพื่อขอโทษที่ทำให้ท่านต้องผิดหวังและเสียน้ำตา
คุณแม่รีบปาดเช็ดน้ำตาบนแก้ม แล้วระบายยิ้มสดใสให้ผม สองมือที่เลี้ยงดูผมมาลูบหัวอย่างอ่อนโยน
“ไว้เดี๋ยวให้การรักษาของน้องผ่านไปด้วยดีและเสร็จสิ้นลงเมื่อไหร่ เราค่อยนัดดินเนอร์กันนะคะ”
“ครับ” รับคำจากคุณแม่
“ส่วนเรื่องน้องเขื่อน ถ้ามีข่าวอะไรคืบหน้าบอกคุณแม่ด้วยนะคะ คุณพ่อกับคุณปลื้มก็ให้คนออกตามหาอยู่ น้องเขื่อนยังเด็ก คุณแม่เป็นห่วงจริงๆ ค่ะ” คุณแม่ถอนหายใจเบาๆ กับเรื่องราวของไอ้เขื่อน
ไอ้เขื่อนหายไปหลังจากวันที่ผมพาพบรักมาแนะนำตัวที่บ้านหลังนี้ คุณตากับคุณยายไม่ให้คนออกตามหาเพราะคิดว่าเดี๋ยวไอ้เขื่อนก็กลับมาเองเหมือนทุกครั้ง ส่วนพ่อกับแม่ไอ้เขื่อนยิ่งแล้วใหญ่ไม่สนใจจะถามด้วยซ้ำว่าลูกชายหายไปไหน แต่จนถึงวันนี้ก็เกินครึ่งเดือนแล้วที่ไอ้เขื่อนหายไป คุณแม่อยากจะไปแจ้งความให้รู้แล้วรู้รอดแต่ก็โดนคุณตาห้ามทุกครั้ง คุณพ่อกับไอ้ปลื้มจึงให้คนจากบ้านคุณปู่คุณย่าช่วยกันออกตามหาแทน
“ถ้ามีอะไรคืบหน้าผมจะรีบส่งข่าวครับคุณแม่” ผมเองก็เป็นห่วงไอ้เขื่อนยังไงซะก็ญาติกันเห็นกันและยังเห็นกันมาตั้งแต่เด็ก
ผมกำลังจะลุกขึ้นเพื่อขอลากลับ แต่เพราะได้ยินเสียงสะอื้นเบาๆ จากด้านหลังทำให้ผมและคุณแม่ต้องหันไปมอง ไม่ใช่ใครหรอกครับ คุณป้าแม่บ้านที่คอยดูแลผมกับไอ้ปลื้มรวมทั้งน้องปิ่นมาตั้งแต่แบเบาะ
“โถ่ คุณเปรมของป้า” มืออวบยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นเช็ดน้ำตาป้อยๆ
คุณแม่พยักเพยิดหน้าให้ผมไปปลอบป้าน้อยสักหน่อย ผมจึงลุกขึ้นไปเดินไปหาป้าน้อย
“ดูแลตัวเองด้วยนะครับป้าน้อย และฝากดูแลคุณแม่ด้วยนะครับ” สองแขนของผมโอบร่างอวบอ้วนเอาไว้
“ทางนี้ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ป้าน้อยเป็นห่วงแต่คุณเปรมนั่นแหละ” มีการส่งสายตาตัดพ้อใส่ผมซะด้วย ผมได้ยินเสียงคุณแม่หัวเราะเบาๆ
“จะเป็นห่วงคุณเปรมทำไมล่ะป้าน้อย คุณเปรมของป้าจะไปอยู่กับคนที่เค้ารักนะ” คุณแม่กระเซ้าใส่ป้าน้อย ทำให้ป้าน้อยต้องส่งเสียงกระเง้ากระงอดกลับไปเบาๆ คุณแม่ก็ยิ่งหัวเราะชอบใจ
“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวป้าออกไปส่งหน้าประตูใหญ่ค่ะ”
ผมพยักหน้ารับ
“พรุ่งนี้เจอกันที่โรงพยาบาลนะคะ” คุณแม่บอกส่งท้าย
ผมยกมือไหว้ท่านอีกครั้งก่อนจะออกจากรั้วคฤหาสน์ชนะวิรุณพลที่ผมอาศัยอยู่มาตั้งแต่ลืมตาดูโลก ไม่ว่าตอนนี้หรือในอนาคตจะเป็นยังไงผมก็จะคิดเสียดายหรือเสียใจใดๆ กับการตัดสินใจในครั้งนี้
.
.
.
.
วันรุ่งขึ้น ผมพาพบรักมาที่โรงพยาบาลตามนัด วันนี้จะเป็นวันแรกที่พบรักจะต้องเข้ารับการรักษาด้วยการฉายรังสีครับ บ้านพี่ดินตามมาให้กำลังใจกันยกครัว ซึ่งไม่รู้ว่าเพราะกำลังใจดีรึเปล่าพบรักถึงได้ดูเข้มแข็งขึ้นมากกว่าวันแรกที่ได้รู้อาการของเอง มันทำให้ผมจึงรู้สึกเบาใจลงไปได้เยอะเพราะสภาพจิตใจเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการรักษา
การรักษาเนื้องอกในสมองด้วยการการฉายรังสี เป็นการรักษาโรคในรูปของคลื่นที่มีพลังงานสูงและมีความสามารถในการทะลุผ่านสิ่งต่างๆ ได้ดี ซึ่งจะใช้รังสีในปริมาณที่สูงเพียงพอที่จะสามารถทำให้เซลล์ตายหรือทำให้เซลล์หยุดการเจริญเติบโตและหยุดการแบ่งตัวได้ โดยแพทย์จะใช้ความระมัดระวังในการกำหนดขอบเขตและปริมาณรังสีทั้งหมด กรณีของพบรักคุณแม่กำหนดการรักษาเบื้องต้นว่าจะฉายรังสีครั้งละไม่เกินสิบนาที แต่เมื่อรวมกับการจัดตำแหน่งและอื่นๆ อีกหลายอย่างรวมเวลาทั้งสิ้นประมาณครั้งละเกือบครึ่งชั่วโมง โดยพบรักจะต้องมาทำการฉายรังสีสัปดาห์ละห้าวัน ประมาณห้าถึงหกสัปดาห์ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับผลจากการรักษา
เมื่อถึงเวลาคุณพยาบาลก็เดินมาเชิญให้พบรักไปเตรียมตัวในห้อง ผมมองแผ่นหลังร่างที่เดินห่างออกไป พบรักในสายตาของผมตอนนี้ดูตัวเล็กและบอบบางลงไปมากกว่าเมื่อหลายเดือนที่ผ่านมา แต่ท่วงท่าเดินด้วยแผ่นหลังที่ตรงและการก้าวย่างที่มั่นคงทำให้ผมวางใจได้ว่าพบรักพร้อมจะสู้กับโรคนี้จริงๆ
วันแรกผ่านไปด้วยดีครับ พอให้กองเชียร์ได้หายใจหายคอกันคล่องขึ้น กลับมาถึงบ้านพบรักก็ล้มตัวลงนอนบนโซฟาแล้วหลับยาว ผมก็ไม่ได้ห้ามเพราะจนกว่าการรักษาจะเสร็จสิ้นพบรักจะต้องนอนกลางวันวันละอย่างต่ำสองชั่วโมง และกลางคืนอีกหกถึงแปดชั่วโมง
“มึงโอเคนะ?” ผมถามตอนที่พบรักตื่นนอนในตอนบ่ายสามโมงเย็น
“อืม” เจ้าตัวพยักหน้า
“บ๊อก!” ไอ้เปี๊ยกก็เป็นห่วงไม่ต่างกันครับ ตอนเจ้านายมันนอนหลับไอ้เปี๊ยกก็นอนเฝ้าไม่ห่างเลย แถมยังอุตส่าห์ลากตุ๊กตาน้องเน่ามาซุกกอดไว้ด้วยนะครับ
“หิวรึยัง?” ตั้งแต่กลับมาจากโรงพยาบาลก็ยังไม่ได้กินข้าวครับ มาถึงปุ๊ปก็ล้มตัวลงนอนบนโซฟาเลย
“น้องไอจางงง แม่กับคุณป้าพิมพ์ทำชิคเก้นฮิจิกิไว้ให้ด้วยน๊า” สำเนียงญี่ปุ่นดังมาจากห้องครัว
“ถ้ามึงช้ากูกินหมดนะเว้ย!” ไอ้ดีนเดินถือส้อมที่จิ้มเนื้อไก่ชิ้นพอดีคำมายั่วเพื่อน
คนที่เพิ่งตื่นนอนยกมือชี้หน้าแล้วทำปากด่าขมุบขมิบ ผมส่ายหน้าไปมาก่อนจะสั่งให้คนป่วยลุกขึ้นไปล้างหน้าล้างตา แล้วกลับมาทานอาหารที่คุณแม่และคุณป้าพิมพ์เตรียมไว้
ในการฉายรังสี ร่างกายจะต้องการพลังงานสูงครับ ดังนั้นพบรักต้องทานอาหารที่มีพลังงานและโปรตีนสูงกว่าปกติ เพื่อให้น้ำหนักคงที่และมีสภาพร่างกายแข็งแรงพอที่จะรับการรักษาจนครบ ผม น้าเจโกะและคุณป้าพิมพ์ จึงช่วยกันทำตารางอาหารให้พบรักโดยเฉพาะครับ และมื้อเย็นวันนั้นพบรักทานอาหารได้ดีครับ ยังคงสดใสร่าเริง ผม อยากเห็นรอยยิ้มและเสียงหัวเราะแบบนี้ตลอดไป
แต่อย่างที่ใครหลายคนบอกไว้ว่าความสุขมักจะสั้นเสมอ หลังจากที่พบรักเข้ารักษาตัวได้แค่เจ็ดครั้ง คุณน้าเจโกะก็ได้รับโทรศัพท์ทางไกลบอกว่าคุณโทมัสและลูกสาววัยสองขวบเศษประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ คุณโทมัสขาหักต้องเข้าเฝือกส่วนลูกสาวแค่หัวแตกและร้องไห้หาแม่ทุกวัน คุณน้าเจโกะพยายามเข้มแข็งและไม่อยากบอกเรื่องนี้กับลูกชายที่ยังป่วย แต่มีเหรอที่ร่างทรงอับดุลอย่างพบรักจะไม่รู้
คืนนั้นพบรักบอกผมว่าจะไปนอนกับแม่ ผมก็ไม่ได้ห้ามหรอกครับเพราะแม่กับลูกนานๆ จะเจอกันทีและอีกอย่างก็อยู่ในช่วงสถานการณ์ที่ควรดูแลสภาพจิตใจด้วยกันทั้งคู่ ผมไม่รู้ว่าเมื่อคืนแม่ลูกคุยอะไรกัน แต่เช้าขึ้นมาคุณน้าเจโกะก็ลากกระเป๋าเดินทางออกมาจากห้องแล้วพบรักก็บอกกับผมว่าเสร็จจากโรงพยาบาลแล้วให้ผมช่วยขับรถไปส่งคุณน้าเจโกะที่สนามบินด้วย แม้จะสงสัยแต่ก็ต้องตอบตกลงอย่างเดียวครับเพราะรถที่ผมใช้อยู่ทุกวันนี้คือรถมินิ คันทรีแมน คูเปอร์ และบ้านที่อยู่อาศัยปัจจุบันก็บ้านของเจ้าของรถครับ
ระหว่างทางพบรักกับคุณน้าเจโกะก็ยังคงคุยกันมุ้งมิ้งตามประสาแม่ลูกเหมือนเดิม จนกระทั่งหลังจากส่งคุณน้าเจโกะที่สนามบินแล้วกลับขึ้นรถเท่านั้นแหละครับ ผมสัมผัสได้ถึงบางอย่างที่เปลี่ยนไป แม้แต่ไอ้เปี๊ยกที่เป็นหมาไฮเปอร์ก็กลับนิ่งเงียบไปด้วย
.
.
.
.
ระหว่างการยื่นเรื่องขอจบกับทางมหาลัยฯ รอใบรับรองการเอ็กซ์เทอร์นจากโรงพยาบาล จับฉลากเลือกโรงพยาบาลอินเทอร์น และการเตรียมตัวเพื่อไปรายงานตัว ผมจึงมีเวลามากพอที่จะดูแลพบรักจนกว่าจะทำการรักษาเสร็จ และนี่ก็ย่างเข้าสู่สัปดาห์ที่สามของการรักษาแล้วล่ะครับ
ช่วงสองสัปดาห์แรกพบรักสามารถปรับตัวได้ดีแม้แต่คุณแม่ยังเอ่ยปากชม แต่พอถึงสัปดาห์ที่สามดูเหมือนว่าหลายอย่างค่อนข้างแย่ลงโดยเฉพาะสภาพจิตใจ ซึ่งผมคิดว่าสาเหตุน่าจะเป็นเรื่องที่คุณน้าเจโกะต้องกลับสวิสเซอร์แลนด์ด่วนในครั้งนั้น เพราะพบรักรักแม่มาก ดูจากภายนอกอาจเป็นคนที่เข้มแข็งแต่ภายในอ่อนไหวพอดู ต้องเสียพ่อไปตั้งแต่เด็ก แล้วแม่ก็แยกไปมีครอบครัวใหม่อยู่ไกลอีกซีกโลก บางครั้งผมก็ยังสงสัยว่าพบรักอยู่บ้านหลังนี้คนเดียวมาตั้งแต่อายุน้อยๆ แค่นั้นได้อย่างไร ต่อให้มีครอบครับของพี่หมอดินคอยดูแลแต่ก็ต้องมีเวลาที่เหงาบ้างไม่มากก็น้อย
เสียงออดหน้าบ้านดังขึ้นตอนที่ผมทำกับข้าวเสร็จพอดี ผมหันไปมองประตูหลังบ้านพบรักอาบน้ำให้ไอ้เปี๊ยกตรงลานซักล้างครับ ชั้นสองของบ้านก็ได้ยินเสียงเครื่องดูดฝุ่นยังทำงาน แม่บ้านจากบ้านพี่ดินกำลังทำความสะอาดบ้านเหมือนอย่างปกติ ผมถอดผ้ากันเปื้อนแล้วเดินไปดูที่หน้าประตูรั้ว ซึ่งแค่เห็นรถปอร์เช่ เคย์แมน สีดำจอดอยู่และถ้าไม่ติดตรงที่ผู้ชายที่มีรูปลักษณ์ภายนอกเหมือนกับผมยืนจ้องมองมาอย่างท้าทาย ผมก็คงจะเดินกลับเข้าบ้านไปแล้วล่ะครับ
“ชั้นมาเยี่ยมพบรัก”
“พบรักกำลังพักผ่อน”
“พี่ชาย.. นายทำตัวเป็นหมาหวงก้างตั้งแต่เมื่อไหร่?”
ใบหน้าที่มีพิมพ์แบบเดียวกับผมกำลังส่งรอยยิ้มและสายตากวนเบื้องล่างของผมอยู่ครับ
“อย่าทำตัวเป็นพระเอกไปหน่อยเลย คิดรึไงว่าทำแบบนี้แล้วจะมัดใจเด็กนั่นอยู่”
“เรื่องของกู”
มันเป็นเรื่องระหว่างผมกับพบรักจริงๆ นะครับ และผมก็ไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นพระเอกแสนดีเหมือนนิยาย ผมแค่ทำทุกอย่างตามที่ผมคิดและอยากจะทำ อยากอยู่กันแบบเงียบๆ ตามแบบของเราโดยไม่คิดจะทำให้ใครเดือดร้อนก็เท่านั้น ที่ผ่านมาก็เห็นมีแต่คนอื่นที่พยายามเหลือเกินที่จะมายุ่งวุ่นวายกับชีวิตของผมและพบรัก
“อย่าโง่หน่อยเลยพี่ชาย โดนไล่ออกจากบ้านเพราะเป็นเกย์ บ้านก็ไม่มีอยู่ รถก็ไม่มีขับ เงินในบัญชีก็ทุ่มรักษาเด็กนั่นไปเกือบครึ่ง ความก้าวหน้าในสายอาชีพก็ดับวูบ นายคิดเหรอว่าเด็กนั่นจะทนได้ เด็กนั่นอยู่สบายมาตลอดนะ เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อแบบนั้นจะทนอยู่กับหมอจนๆ ที่บ้านนอกได้รึไง นี่มันชีวิตจริงไม่ใช่นิยาย” ไอ้ปลื้มพูดด้วยเสียงจริงจังโดยเฉพาะในแววตาไม่มีความเจ้าเล่ห์อยู่เลยแม้แต่น้อย
“กูรู้จักเมียกูดี”
“เชื่อชั้น ไปหาคุณปู่คุณย่ากับชั้นดีกว่า ยังไงท่านก็เป็นห่วงนาย”
“ไว้กูจะเข้าไปเยี่ยมท่านตอนที่รู้ผลการเลือกโรงพยาบาลอินเทอร์น” ตั้งใจไว้ตั้งแต่แรกแล้วครับว่าจะต้องเข้าไปเยี่ยมคุณปู่คุณย่า ต่อให้ท่านไม่ได้รักผมเท่าไอ้ปลื้มแต่พวกท่านก็ไม่เคยลืมว่าผมเป็นหลานชายอีกคน
“เรื่องไอ้เขื่อนเป็นไงบ้าง?” ผมเปลี่ยนเรื่องคุย
“ตอนนี้คิดว่ามันโอเค”
คิดไว้แล้วครับว่าไอ้ปลื้มจะต้องรู้เรื่องที่ไอ้เขื่อนหายตัวไป
“ที่ไอ้เขื่อนเป็นแบบนี้เพราะมึงใช่มั๊ย?” ยังไม่ทันที่ไอ้ปลื้มจะได้ตอบผมก็เพิ่งนึกได้ว่าผมใช้ประโยคคำถามผิดไป
“ไม่ใช่สิ กูต้องถามมึงว่าที่ไอ้เขื่อนเกลียดกูเพราะมึงใช่มั๊ย?”
ไอ้ปลื้มหรี่ตามองผมก่อนจะเบนสายตาไปทางอื่น
“ไม่คิดจะให้ชั้นเข้าไปเยี่ยมพบรักหน่อยรึไง” พอหมดทางไปไอ้ปลื้มก็แถวกกลับเข้ามาเรื่องเดิม
“เลิกวุ่นวายกับเมียกูสักที”
“ไม่ได้หรอกว่ะ”
กลับมากวนตีนอีกครั้ง ไอ้ปลื้มกระตุกยิ้มแล้วขยับเข้ามาใกล้ผมมากขึ้น ดวงตาคู่คมของเราที่ถอดแบบมาจากคุณพ่อจ้องมองกันอย่างไม่มีใครยอมแพ้
“เพราะเมียนายเคยเป็นของชั้นมาก่อน และชั้นก็ยังไม่หมดรัก ยังคิดถึงคืนวันที่แส..”
อั่ก!ผมปล่อยหมัดใส่ไอ้น้องชายปากหมาไปเต็มแรงแบบที่ไอ้ปลื้มไม่ทันได้ตั้งตัว
“สัส!” ไอ้ปลื้มสบถพร้อมกับถุยน้ำลายปนเลือดออกมา มันจ้องหน้าผมอย่างคาดโทษ
“กลับไปก่อนที่กูจะกระทืบมึงตายหน้าบ้าน” ผมเองก็คาดโทษมันเหมือนกัน
“ชั้นจะคอยดูว่าพวกนายจะไปได้สักกี่น้ำ”
ไอ้ปลื้มยอมกลับขึ้นรถไปครับ เพราะคนที่ผ่านไปผ่านมาเริ่มหันมามอง
“เรื่องของนายไม่ได้จบง่ายๆ หรอกนะ ชั้นขอเตือนในฐานะน้องชาย ว่านายยังไม่รู้จักคุณตาและคุณยายดีพอ ดูแลเมียนายดีๆ ละกัน” ยังอุตส่าห์เปิดกระจกลงมาต่ออีกครับ
“ขอบใจละกัน” เรื่องนี้ไอ้ปลื้มก็พูดด้วยความหวังดีจริงๆ ครับ
“เอานี่!” ไอ้ปลื้มโยนซองสีน้ำตาลขนาดเอสี่ให้ผม
“คุณปู่คุณย่าฝากมาให้ แล้วอย่าลืมเข้าไปหาท่านบ้างล่ะ” พูดจบก็เลื่อนกระจกขึ้นแล้วขับรถออกไปฉิวเลยครับ ผมเปิดดูของในซองก็พบกุญแจรถยี่ห้อออดี้และซองสีขาวที่ใส่บัตรเครดิตการ์ดแพลตตินั่มแบบไม่จำกัดวงเงินเอาไว้ พร้อมด้วยการ์ดใบเล็กๆ หนึ่งใบที่ระบุข้อความสั้นๆ
‘ของขวัญแด่นายแพทย์เปรมนทีป์ อัศววิรุณฉาย
คุณปู่และคุณย่า’ ท่าทางงานนี้ถ้ารู้ถึงหูคุณตาและคุณยายคงได้เป็นเรื่องใหญ่โตแน่ แต่ผมคิดว่าคุณปู่คุณย่าคงจะเตรียมหาเหตุผลแก้ตัวไว้แล้วล่ะครับ ผมเก็บของขวัญที่อยู่ในมือเข้ากลับไปในซองแล้วเดินเข้ามาในบ้าน พบรักกำลังนั่งเอาไดร์เป่าผมเป่าขนให้ไอ้เปี๊ยกอยู่บนพื้นหน้าทีวี
“ใครมาเหรอพี่เปรม?”
“ไอ้ปลื้ม”
“เอ๋??” เอียงคอด้วยความแปลกใจ
ผมไม่ได้ตอบหรืออธิบายอะไร ทำเพียงหันไปมองในครัวแล้วหันกลับมามองใบหน้าขาวซีดแต่ยังคงน่ารักสำหรับผม
“หิวรึยัง?”
พบรักส่ายหน้าไปมา ปิดสวิทซ์ไดร์เป่าผมแล้วปล่อยให้ไอ้เปี๊ยกวิ่งเล่น
“ไอขอนอนหนุนตักพี่เปรมได้มั๊ย?”
ไม่ตอบเป็นคำพูด แต่ใช้วิธีนั่งลงบนโซฟาแล้วยกมือตบหน้าตักของตัวเอง พบรักก็ระบายรอยยิ้มออกมาก่อนจะค่อยๆ ล้มตัวลงนอน
“วันนี้ไอรู้สึกเหนื่อยจังเลยล่ะพี่เปรม”
“เหนื่อยก็นอนพัก”
ผมยกมือลูบหัวให้คนบนตักอย่างที่ชอบทำ แต่แล้วก็ต้องชะงักมือลง
“มีอะไรเหรอพี่เปรม?”
ส่ายหน้าแล้วใช้ข้อนิ้วเกลี่ยแก้มที่ไร้เลือดฝาด
“นอนพักเถอะ”
ดวงตาคู่เรียวที่ดูเหนื่อยคู่นั้นก็ค่อยๆ ปิดลง ผมนั่งฟังเสียงลมหายใจแผ่วเบาที่เข้าออกอย่างสม่ำเสมอของอีกฝ่ายอยู่เงียบๆ แต่ขณะเดียวกันมืออีกข้างของผมที่ยังวางอยู่บนหัวของอีกฝ่ายไว้กลับสั่น และหัวใจของผมบีบรัดจนเจ็บร้าวไปทั้งอกเมื่อเส้นผมที่ย้อมสีอ่อนนุ่มมือบางส่วนได้ถูกเปลี่ยนเป็นสีขาวดอกเลาและบางส่วนก็ร่วงหลุดติดมือโดยไม่ได้ออกแรงกระชากสักนิด
.
.
.
.
การเป็นหมอที่ดีไม่ควรเลือกปฏิบัติกับคนไข้ ให้คิดว่าทุกคนเป็นญาติของเราและปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน นี่เป็นจรรยาบรรณในวิชาชีพขั้นพื้นฐานที่นักเรียนแพทย์ทุกคนรู้ดี แต่เมื่อถึงเวลาปฏิบัติจริงผมกลับทำไม่ได้ ยิ่งถ้าหากคนไข้ของผมคือพบรัก ผมคงจะไม่สามารถทำใจให้สงบได้ บางทีผมไม่อาจจะทำใจจับมีดผ่าตัดกรีดลงบนผิวขาวๆ นั่นได้ด้วยซ้ำเพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะต้องเจ็บ น้ำตาจะต้องไหล ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมไม่อยากให้เกิดขึ้นกับคนที่ผมรักแม้แต่น้อย
ในเวลานี้ก็เช่นเดียวกัน เหลืออีกแค่สัปดาห์เดียวการรักษาก็จะเสร็จสิ้นสมบูรณ์ เซลล์ก้อนเนื้อไม่มีการเจริญเติบโตเพิ่ม ที่เหลือก็แค่ฉายรังสีซ้ำเพื่อให้เซลล์ก้อนเนื้อนั้นตายสนิทแล้วพบรักจะหายทรมานจากโรคนี้เสียที แต่สิ่งที่คุณแม่และผมกำลังวิตกอยู่ก็คือสภาพจิตใจของพบรัก ที่พักหลังมานี้แม้แต่คุณป้าพิมพ์ คุณลุงเด่น ไอ้ดีน และพี่หมอดินก็พากันเครียดและกังวล พยายามหาทางช่วยทุกทางถึงขนาดที่ไอ้ดีนแทบจะจับไอ้เปี๊ยกมาเล่นตลกให้เพื่อนดู แต่ก็ถูกคุณป้าพิมพ์ดุว่าไร้สาระ ถือว่าโชคดีของไอ้เปี๊ยกไปครับ
ผมไม่แน่ใจว่าสาเหตุหลักมาจากคุณน้าเจโกะรึเปล่า แต่สิ่งที่ผมรู้ก็คือผมไม่สามารถจะปล่อยพบรักให้เป็นแบบนี้อีกต่อไปได้ เพราะสภาพจิตใจมีผลต่อการรักษาเป็นอย่างมาก และเพราะผมไม่อยากเห็นคนรักต้องร้องไห้แบกความทุกข์ไว้เพียงคนเดียว ดังนั้นผมต้องทำอะไรสักอย่างกับเสียงสะอื้นเบาๆ ที่ดังอยู่หลังบานประตูห้องน้ำนั่น
“พบรัก” เคาะประตูห้องน้ำเรียกคนที่อยู่ด้านใน
เสียงจากด้านในเงียบไปในทันที พบรักคงไม่อยากให้ผมรู้ว่าตัวเองกำลังร้องไห้ ตอนนี้คงกำลังปาดเช็ดน้ำตาแล้วหาทางกลบเกลื่อนผมอยู่อย่างแน่นอน
“ไอจัง” เปลี่ยนมาเรียกชื่อเล่นแทนเมื่อยังไม่ได้ยินเสียงตอบรับ
ยังไม่มีการขานตอบ แต่ผมได้ยินเสียงน้ำไหลและเสียงกุกกักอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่บานประตูจะเปิดออก
“ม มีอะไรหรือพี่เปรม?” เหลือบตามองผมแค่แว่บเดียวก่อนจะรีบก้มหน้าหลบ แต่ผมก็ยังทันเห็นดวงตาที่บวมช้ำนั้นได้ชัดเจน
ผมกุมมือเล็กเอาไว้แล้วพาเดินมาหยุดยืนหน้ากระจก เปิดตู้เสื้อผ้าหยิบชุดนอนตัวโปรดให้อีกฝ่าย จังหวะนั้นผมสังเกตเห็นว่าพบรักไม่แม้แต่จะมองสำรวจตัวเองในกระจกอย่างภูมิใจแบบที่เคยทำและมือบางที่อยู่ข้างลำตัวกำแน่นจนสั่น เพียงเท่านี้ก็ทำให้ผมรู้ว่าสาเหตุที่ทำให้คนรักของผมอ่อนแอลงไม่ใช่เพราะเรื่องของคุณน้าเจโกะเพียงอย่างเดียว แต่เพราะผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นจากการรักษาด้วยการฉายรังสีทำให้เส้นผมกลายเป็นผมหงอกทั้งหมดเหมือนคนอายุหกสิบปี และจุดบริเวณที่ถูกรังสีฉายลงโดยตรงเส้นผมก็ร่วงหายไปทั้งกระจุก ซึ่งต่อให้รักษาโรคนี้ได้หายขาดผมก็ไม่สามารถงอกใหม่หรือทำให้กลับมาเป็นดังเดิมได้อีก
พบรักเป็นคนที่มั่นใจในหน้าตาและรูปลักษณ์ของตัวเอง เพราะฉะนั้นเรื่องนี้จึงกระทบต่อจิตใจไม่น้อย ผมดึงร่างผอมบางนั่นเข้ามาในอ้อมกอด จูบซับบนขมับย้ำๆ คนในอ้อมแขนก็ร้องไห้ออกมาจนตัวโยน การร้องไห้ไม่ได้หมายความว่าต้องอ่อนแอเสมอไป ในน้ำตาของคนเรามีแร่ธาตุชนิดหนึ่งที่เรียกว่าแมงกานีสอยู่มากกว่าเลือดถึงสามสิบเท่า ซึ่งเจ้าแร่ธาตุชนิดนี้นี่ล่ะที่มีส่วนทำให้ร่างกายเกิดความเครียด การร้องไห้จึงเป็นวิธีขจัดแมงกานีสที่ดีที่สุด และยังทำให้ความเครียดลดลงได้อย่างน่าอัศจรรย์ ดังนั้นผมจึงปล่อยให้อีกฝ่ายร้องไห้จนพอใจโดยไม่คิดจะห้าม จนเหนื่อยและผล็อยหลับไปเอง ผมก็ได้แต่หวังว่าพรุ่งนี้เช้าผมจะได้เห็นรอยยิ้มสดใสจากเด็กหนุ่มที่มีจิตใจเข้มแข็งและร่าเริงคนเดิมกลับมา
.
.
.
.
.
.
TBC
อยากจะบอกดังๆ ว่า รินรักคนอ่านทุกคนจังเลยค่ะ ติชมและแสดงความคิดเห็นได้ทุกอย่างเลยนะคะ รินเปิดกว้างและรับฟังค่ะ 