Miracle of LOVE ผมเรียกมันว่าปาฏิหาริย์แห่งรัก
-33-
เมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้ผมยังเดินอยู่ในห้างหรูใจกลางเมือง แต่ตอนนี้กลับอยู่ในโกดังร้างที่ส่งกลิ่นน่าสะอิดสะเอียนที่ไหนสักแห่งในเมืองหลวงเหมือนในหนังหรือละครที่ดูๆ กันนั่นแหละครับ สภาพแวดล้อมและคนพวกนี้มันก็ไม่ได้ทำให้ผมสะเทือนใจเท่ากับการเห็นน้องชายสุดที่รักถูกทำร้ายต่อหน้าต่อตา
“เอ๋งง!!!”
“หยุด!!! กูบอกให้หยุดเดี๋ยวนี้!!”
ไอ้เหี้ย! ไอ้สัส!! ไอ้จัญไรนรก!!! ถ้าผมไม่โดนมัดมือมัดเท้านอนงออยู่บนพื้น สาบานเลยครับว่าผมจะลุกขึ้นฆ่าได้ควายเผือกสองตัวนั่นให้ล้มตายคาตีนของผมโทษฐานที่มันบังอาจมาทำร้ายน้องชายสุดที่รักของผม
“กูบอกให้มึงหยุด!! มึงอยากได้อะไรมาเอากับกูนี่!!!” ไอ้ชาติชั่ว!!
ไอ้เลวหัวหน้ามันยกมือขึ้นห้าม ไอ้ควายเผือกก็หยุด
“น้องเปี๊ยก!! อย่าเป็นอะไรนะ!” ผมตะโกนบอกก้อนสิ่งมีชีวิตเล็กๆ ที่บัดนี้ดูเล็กยิ่งกว่าเดิมขดตัวแน่นิ่งอยู่ตรงมุมห้อง พยายามอย่างที่สุดเพื่อจะไม่ร้องไห้และไม่ให้เสียงสั่น แต่น้ำตามันไหลออกมาไม่ยอมหยุด
“น้องเปี๊ยก ขานรับพี่ไอสิ น้องเปี๊ยกกก!!!” ได้โปรดขานรับพี่ไอ บอกพี่ไอว่าน้องเปี๊ยกไม่เป็นอะไร อย่านอนนิ่งแบบนั้น ได้โปรดลืมตามามองพี่ไอสักนิดก็ยังดี
“แม่มึงอยู่ไหน?”
“มึงไม่รู้แล้วกูจะรู้เหรอ?!” ไอ้กร๊วก!
เพี้ยะ!!ผ่ามือใหญ่ซัดเข้ามาจนหน้าของผมหันไปตามแรง
เพี้ยะ!!ซ้ำลงมาอีกครั้งมันเจ็บและทำให้ผมสัมผัสได้ถึงคาวเลือดที่คลุ้งอยู่ในปาก
“ตอบกูดีๆ ไม่งั้นกูจะกระทืบมึงเหมือนไอ้หมานั่นให้ตายคาตีนเดี๋ยวนี้!”
ผมถุยน้ำลายลงบนพื้น ซึ่งมีแต่ของเหลวสีแดง แต่มันไม่ได้ทำให้ผมเจ็บใจเท่ากับที่ไอ้พวกห่านี่ทำกับน้องเปี๊ยก ถ้าน้องเปี๊ยกเป็นอะไรไปผมก็ไม่มีหน้าที่จะยืนอยู่บนโลกนี้อย่างมีความสุขได้หรอก ผมมองหน้าไอ้ฝรั่งตัวโตที่ผมรู้จักมันดีในฐานะนักธุรกิจชาวสวิตเซอร์แลนด์ เพื่อนทางธุรกิจของคุณลุงเด่นและคุณป้าพิมพ์ ผู้ชายต่างชาติที่พูดไทยได้แค่นิดหน่อย ใจดีอ่อนโยน และคนรักใหม่ของแม่ ถูกต้องแล้วล่ะครับ คนตรงหน้าของผมคือลุงโทมัส หรือไอ้เหี้ยคนหนึ่งที่พูดไทยได้ชัดแจ๋วและชั่วจัญไรแบบสุดๆ ทำร้ายแม้กระทั่งสัตว์ตัวน้อยที่ไร้ทางสู้
อย่าถามผมนะครับว่าเกิดอะไรขึ้น? เพราะผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่านี่มันเรื่องเหี้ยอะไร แรกๆ ก็พยายามหลอกตัวเองว่าคงเป็นรายการอะไรสักอย่างที่มีกล้องแอบถ่ายไว้ พอใกล้ถึงจุดพีคพิธีกรก็กระโดดออกมาเซอร์ไพร้ ซึ่งมันไม่มีในความเป็นจริงสักนิดครับ
นัยน์ตาสีเทาฟ้าของมันจ้องผมเขม็ง ผมเองก็จ้องมันกลับ ผมไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่คิดว่านี่คงจะเป็นสาเหตุที่ทำให้แม่ของผมเปลี่ยนไป และต่อให้ผมสงสัยในตัวแม่แค่ไหนสิ่งหนึ่งที่มั่นใจก็คือแม่รักผมมากกว่าใครทั้งหมดบนโลกนี้และไม่มีวันคิดจะทำร้ายผมเด็ดขาด และมันก็ทำให้ผมนึกอะไรขึ้นมาได้
“แม่อยู่กับผู้ชายไทยคนหนึ่ง กูโทรไปทุกครั้ง ผู้ชายคนนั้นรับสายตลอด” พูดโดยไม่แม้แต่จะหนีสายตาไปไหน ผมอยากจะกระตุกยิ้มให้ดูเท่ห์สักนิด แต่เจ็บไปหมดทั้งปาก เลยทำได้แค่กัดฟันอย่างอดทน
ไอ้โทมัสยกมือขึ้น ลูกน้องของมันก็เอาไอโฟนของผมมาส่งให้ทันที มันเปิดโทรศัพท์แล้วดวงตาคู่ชั่วๆ ก็มองผมสลับกับหน้าจอไอโฟนแว่บนึง
“ศูนย์แปดหนึ่งแปด” พาสโค้ดของผมครับ
บอกเสร็จผมก็ละสายตาไปมองน้องเปี๊ยกที่ยังคงนอนนิ่งอยู่ที่เดิม ลมหายใจแผ่วๆ นั่นทำให้หัวใจของผมบีบรัดอย่างรุนแรงและมันก็พอกพูนเป็นความแค้นอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหันกลับมาจ้องไอ้โทมัสที่รอคำตอบจากผม ผมรู้ได้ทันทีว่ามันไม่รู้ว่าชื่อไหนเป็นเบอร์ของแม่เพราะทุกคนที่อยู่ในรายชื่อผมพิมพ์ด้วยตัวอักษรญี่ปุ่นทั้งหมด
“เบอร์ล่าสุดก่อนที่มึงจะให้คนจับกูมา”
ดวงตาโฉดหรี่มองผมอย่างไม่ไว้ใจ แต่ก็จิ้มกดโทรออกครับ มันมองรูปหน้าจอซึ่งผมเพิ่งเปลี่ยนเป็นรูปรถออดี้คันหรูอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกดเป็นโหมดสปี๊กเกอร์โฟนตอนที่มีคนกดรับสาย
‘Hello’ ปลายสายกรอกเสียงทุ้มเรียบนิ่งสำเนียงชัดเป๊ะ อย่างกับรู้ล่วงหน้าว่าใครจะโทรมา
“Where’re Chieko?”
‘I don’t know’ ชัดถ้อยชัดคำมากครับ
และขาดคำของพี่เปรมไอ้โทมัสตัดสายแล้วเขวี้ยงน้องไอโฟนรุ่นใหม่ล่าสุดของผมไปกระแทกผนังแตกกระจายในพริบตา แต่ผมไม่เสียดายหรอกครับ สิ่งของพังไปแล้วก็หาใหม่ได้ แต่ชีวิตของน้องเปี๊ยกถ้าเป็นอะไรไปผมจะไม่มีวันให้อภัยตัวเองเด็ดขาด
“Son of a bitch!!”
อั่ก!!หมัดเน้นๆ เข้าเต็มหน้าเจ็บจนชาไปหมด ผมล้มลงแล้วงอตัวหลับตาปี๋ทันทีที่รับรู้ว่าเท้าใหญ่ๆ นั่นกำลังจะยกกระทืบตามลงมา
ตุบ!!ผมตั้งกาดปิดหัวกับหน้าแล้วเหวี่ยงตัวไปทางขวา
พลั่ก!!หมุนตัวหลบด้วยความพลิ้วไปทางซ้าย
อั่ก!!ขดตัวให้เล็กที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อลดแรงกระแทก
แต่......
รอแล้วรอเล่าก็ไม่มีความเจ็บปวดใดๆ เอิ่มม.. เดี๋ยวนะ ผมพลาดอะไรไปรึเปล่า? ผม ลดแขนที่ตั้งกาดลงช้าๆ พร้อมกับค่อยๆ ลืมตาขึ้นมอง และผมก็ได้พบกับภาพอันน่าสยดสยองชวนคลื่นไส้อาเจียนอย่างถึงที่สุด เพราะห่างจากสายตาของผมไปแค่ไม่กี่ฟุต มันคือซากสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดหนึ่งที่อาศัยอยู่ตามแหล่งอับชื้นและสกปรก ร่างของมันอืดบวมจนขนาดตัวไม่ต่างจากน้องเปี๊ยก แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับแมลงตัวเล็กสีเข้มนับสิบที่บินตอมไปทั่วพร้อมกันนั้นก็มีสิ่งมีชีวิตอีกชนิดเคลื่อนไหวยั้วเยี้ยเต็มไปหมด พลันของกินที่ลงกระเพาะไปเมื่อบ่ายก็เริ่มออกฤทธิ์ ขย้อนม้วนตัวเป็นเกลียวก่อนพุ่งตัวออกมาทักทายโลกกว้างอย่างสวยงาม
“อ๊วกกก!!”
กำลังมึนงงได้ที่ โสตประสาทก็แว่วเสียงแม่ลอยมา
“ไอจางง โดอุ ชิมาชิตะ ก๊า!?”
“อ่อกก อ๊วกก!” กินไปเท่าไหร่ปล่อยออกมาให้หมด เรี่ยวแรงก็หายเกลี้ยงไปพร้อมกับสติที่เหมือนจะดับวูบลงทุกที
“ไอ!! เหี้ยเอ้ย!!”
มีคนเคยบอกว่าช่วงเวลาที่ใกล้ตายคนเราจะคิดถึงคนที่รักมากที่สุด สงสัยผมคงจะใกล้ตายเต็มแก่แล้วละครับ ได้ยินทั้งเสียงของแม่และเสียงของพี่เปรมพร้อมกันก่อนที่โลกของผมจะกลายเป็นสีดำทะมึน..
.
.
.
.
ไม่บ่อยนักที่ผมจะฝันถึงพ่อ แทบจะนับครั้งได้ด้วยซ้ำ ซึ่งโดยส่วนใหญ่ก็เป็นช่วงเวลาที่ชีวิตของผมคล้ายจะดิ่งลงเหวและทุกครั้งในความฝันนั้นก็ราวกับว่าผมสัมผัสพ่อได้จริงๆ เช่นเดียวกับครั้งนี้ที่พ่อยืนอยู่ตรงหน้าผม ในอ้อมแขนของพ่อมีน้องชายที่ผมรักมาก และผมก็จำได้ว่าก่อนที่ผมจะได้มายืนอยู่ตรงหน้าของพ่อ น้องเปี๊ยกและผมมีสภาพไม่ต่างกัน หรือว่าบางทีนี่อาจจะเป็นดวงวิญญาณของเราทั้งคู่ เราถึงได้มาเจอพ่อพร้อมกัน
“พ่อ” ผมเรียกพ่อก่อนจะเดินเข้าไปหา กอดพ่อไว้โดยที่มีน้องเปี๊ยกอยู่ตรงกลาง
“หงิงง” เด็กน้อยส่งเสียงสุขใจที่ได้อยู่ในอ้อมกอดอันแสนอบอุ่นและแข็งแรง
ซึบซับความเข้มแข็งจากพ่ออยู่ครู่หนึ่ง อ้อมกอดก็คลายออก พ่อมองหน้าผม ใบหน้าหล่อคมคายประดับรอยยิ้มบางๆ ของพ่อไม่เปลี่ยนไปจากเมื่อสิบกว่าปีก่อนแม้แต่น้อย
“พ่อมารับน้องไอกับน้องเปี๊ยกใช่มั๊ย?”
ไม่มีคำตอบ พ่อทำเพียงมองผมด้วยสายตาอ่อนโยน แต่ผมก็พอจะเดาออกว่าคำตอบของพ่อคืออะไร พ่อหันหลังกลับแล้วออกเดินนำ น้องเปี๊ยกชะโงกหน้ามามองตาแป๋ว ผมเดินตามหลังพ่อเหมือนตอนเด็กๆ ไม่ผิดเพี้ยน แต่ตอนนี้ต่างกันที่ไม่ว่าผมจะหันมองไปทางไหนก็มีแต่ความเงียบและมืดครึ้ม มองไม่เห็นแม้กระทั่งถนนที่กำลังเดินไปข้างหน้า ผมจับชายเสื้อของพ่อไว้
“เราจะไปไหนกันเหรอพ่อ?” พ่อยังคงไม่ตอบ ผมจึงไม่ถามอะไรอีก เดินตามพ่อไปเงียบๆ นานเกือบยี่สิบนาทีพ่อก็หยุดเดิน
พ่อหันมามองผม แล้วก้มมองน้องเปี๊ยกที่ยังคงอยู่ในอ้อมแขน
“พ่อคงต้องไปแล้ว”
“กับน้องเปี๊ยก?” งงสิครับ? พ่อไปกับน้องเปี๊ยกแล้วจะทิ้งผมไว้คนเดียวนะเหรอ?
“แล้วน้องไอล่ะพ่อ?” ไม่ยอมนะงานนี้ ยังไงพ่อก็ต้องพาผมไปด้วยสิ
พ่อส่ายหน้า
“น้องไอต้องกลับไป” แม้ใบหน้าจะระบายรอยยิ้มอ่อน แต่เสียงนิ่งของพ่อบอกให้รู้ว่ามันคือคำสั่ง
ผมมองพ่อ และมองน้องเปี๊ยกที่ตอนนี้กลายเป็นเด็กดีเรียบร้อย น้องเปี๊ยกสบตาของผมครู่หนึ่งก่อนจะซุกเข้าในอ้อมแขนของพ่อ ทำไมนะ ก้อนเนื้อในอกด้านซ้ายของผมถึงได้รู้สึกปวดร้าวแบบนี้
“น้องไอขอแลกกับน้องเปี๊ยก”
ดวงตาของพ่อฉายแววตกใจแค่วูบหนึ่ง วูบเดียวเพียงเศษเสี้ยวแล้วหายไป พ่อมองผมอย่างอ่อนโยนเพื่อรอฟังคำอธิบายจากผม และผมก็มองพ่อไม่ได้หลบสายตาไปไหน
“พ่อก็รู้นี่นาว่าน้องเปี๊ยกสำคัญกับน้องไอมากแค่ไหน พ่อเป็นคนสร้างปาฏิหาริย์นั้นขึ้นมา พ่อก็ต้องให้ปาฏิหาริย์นั้นอยู่ต่อไปสิ” เรื่องที่ผมพูดออกไปถือเป็นความลับอันยิ่งใหญ่ระหว่างผมกับน้องเปี๊ยกครับ
“และถ้าน้องไอกลับไปก็มีคนที่รักรอน้องไออยู่เยอะแยะ แต่ถ้าน้องไอไม่กลับน้องไอก็ยังได้อยู่กับคนที่รักเหมือนกัน เพราะฉะนั้นน้องไอจะไม่มีวันเหงาหรือรู้สึกโดดเดี่ยว แต่น้องเปี๊ยกไม่ใช่ น้องเปี๊ยกจะต้องกลับไปเท่านั้น” ชีวิตของน้องเปี๊ยกมีแค่ผมกับพ่อเปรม ถ้าหากน้องเปี๊ยกกลับไปก็ยังมีพ่อเปรมคอยดูแลและมอบความรัก ตรงกันข้ามถ้าผมกลับไปแล้วน้องเปี๊ยกจะเหลือใคร
เพราะผมเคยอยู่ในร่างเล็กๆ นั้นมาแล้ว เคยใช้หัวใจดวงน้อยนั่นเลี้ยงจิตวิญญาณให้อยู่รอดปลอดภัยมาได้ ผมจึงเข้าใจดีครับว่าความรู้สึกตอนที่ถูกมองข้ามและละเลยในฐานะที่เป็นแค่สัตว์ตัวหนึ่งนั้นมันเจ็บปวดแค่ไหน ผมจึงไม่สามารถเห็นแก่ตัวทำร้ายหัวใจเล็กๆ ที่บริสุทธิ์ด้วยการคิดเพียงแค่ว่า
‘หมาตัวนึงตายไปก็ไม่เป็นไร’ ได้ ผมทำแบบนั้นไม่ได้จริงๆ
“น้องไอจะไม่เสียใจ?”
“น้องไอดีใจที่ได้อยู่กับพ่อ” นี่คือความรู้สึกจากใจของผมครับ แม้จะรู้ว่าคนที่รออยู่อีกฝั่งจะเสียใจมากแค่ไหน แต่ผมรู้ดีว่าในสักวันหนึ่งแม่กับพี่เปรมจะต้องเข้าใจว่าทำไมผมถึงเลือกแบบนี้
พ่อเงียบไปนาน แต่ดวงตาคู่นั้นยังมองผม มันเป็นความรู้สึกกังวลปนความห่วงใย จนในที่สุดพ่อก็ระบายยิ้มออกมา
“ลูกชายของพ่อโตขึ้นมากจริงๆ”
“น้องไอสูงตั้งเกือบร้อยเจ็ดสิบนะพ่อ” ผมไม่ไห้หมายถึงระดับมาตรฐานความสูงของชายไทยนะครับ แต่ผมกำลังเปรียบเทียบกับตัวเองในวัยเด็ก สูงได้แค่นี้แม่ก็ภูมิใจจะแย่แล้วครับ
เสียงถอนหายใจดังขึ้นแล้วตามมาด้วยเสียงหัวเราะเบาๆ พ่อยกมือขึ้นลูบหัวเกรียนๆ ของผม ผมจึงจับมือของพ่อไว้ มือใหญ่ที่แข็งกร้านเพราะผ่านการทำงานมาโชกโชนแต่ทว่าอบอุ่นและแข็งแกร่งสำหรับผม
“เพราะพ่อเป็นห่วงน้องไอและเป็นห่วงแม่ พ่อถึงยังไม่ไปไหน น้องไอรู้นะว่าพ่อเหนื่อยแค่ไหน” ถ้าจะให้พูดกันตามตรง นายพบรัก รัชชารักษ์ ถึงคราวมรณะไปนานแล้วล่ะครับ แต่ที่มีชีวิตอยู่ถึงทุกวันนี้ได้เพราะบุญบารมีที่พ่อสะสมไว้ทั้งนั้น พ่อทำทุกวิถีทางแม้กระทั่งการแลกชีวิตกับน้องเปี๊ยก เพื่อให้ผมมีชีวิตอยู่ต่อไปบนโลกใบนี้ และมันก็ส่งผลให้พ่อยังวนเวียนอยู่กับผมและแม่ไม่ได้ไปในที่ที่สุขสว่างสักที
“ให้น้องไอไปกับพ่อนะ” มันคือคำขอร้องจากของผม
พ่อมองตาผมอยู่ครู่ใหญ่โดยไร้คำพูดใดๆ ก่อนจะก้มลงมองเจ้าตัวน้อย
“ว่าไงน้องเปี๊ยก?”
“บ๊อกๆ บ๊อกๆ” เมื่อได้โอกาสน้องเปี๊ยกก็รีบเชียวครับ นั่นคือน้องเปี๊ยกไม่ยอมรับในการตัดสินใจของผม แต่มีเหรอที่ผมจะยอม ผมส่งสายตาดุใส่ไปทีเดียวน้องเปี๊ยกก็ร้องหงิงแล้วเงียบกริบไปเลยครับ
“ถ้าน้องไอตัดสินใจดีแล้ว พ่อก็จะเคารพในการตัดสินใจของลูกนะ”
“ขอบคุณครับพ่อ”
หลังจากนั้นพ่อก็พาผมออกเดินอีกครั้ง โดยที่พ่อไม่ได้ปล่อยน้องเปี๊ยกลงจากอ้อมแขน บนถนนสายที่โอบล้อมด้วยความมืดเย็นยะเยือกแต่มันไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกกลัวหรือเหน็ดเหนื่อยเลยสักนิด แต่ทำให้ผมรู้สึกถึงช่วงเวลาวัยเด็ก และผมก็ร้องเพลงออกมา เป็นเพลงที่ผมเคยร้องกับพ่อเมื่อนานมาแล้ว เสียงของพ่อยังก้องกังวานเหมือนเดิม ผมมีความสุขที่ได้เดินตามแผ่นหลังกว้างของพ่อ ได้จับมือพ่อ และร้องเพลงไปด้วยกัน ผมจำไม่ได้ว่าเราเดินไปอีกไกลแค่ไหน นานเท่าไหร่ มีเพียงสิ่งเดียวที่รับรู้คือความรักอันยิ่งใหญ่จากผู้ชายคนหนึ่ง
พ่อ.. ของผม...
.
.
.
ปวดหัว..ความรู้สึกนั้นแล่นจี๊ดไปทั่วทั้งสมอง มันไม่ได้รู้สึกปวดเหมือนตอนเป็นโรคเนื้องอกในสมอง แต่มันคืออาการของคนเป็นไข้มากกว่า ผมพยายามบังคับเปลือกตาอันหนักอึ้งให้ลืมขึ้น แสงจากภายนอกจ้าเกินไปเล็กน้อยจึงต้องหรี่ตาอยู่หลายครั้งกว่าจะเปิดตาได้เต็ม ซึ่งถ้าเป็นนางเอกในละครไทย ตื่นมาต้องถามว่าที่นี่ที่ไหนใช่มั๊ยครับ? แต่คือตื่นมาแล้วแค่เห็นสีฝ้าเพดาน ชุดที่ใส่ และองค์ประกอบรอบกาย คำตอบก็ชัดเจนว่ามันคือโรงพยาบาล แล้วจะถามอีกทำไมล่ะครับ
“คอนนิจิวะ” เสียงแรกที่ได้ยินคือเสียงของแม่สวัสดียามบ่ายกับผมครับ
“อ..” แค่ขยับจะอ้าปากตอบแม่ ก็เจ็บร้าวไปหมดทั้งสันกรามจนต้องร้องซี๊ดเบาๆ
“ดื่มน้ำก่อนน๊า น้องไอจะได้รู้สึกแช่มชื่นขึ้นไงจ๊ะ” แม่ยื่นแก้วน้ำให้ผม และผมก็ซดจนหมดแก้ว มันทำให้รู้สึกดีขึ้นจริงๆ ครับแม้จะแค่นิดหน่อยก็ตาม
“น้องไอไม่ได้เป็นอะไรน๊า แค่อ๊วกแล้วหมดสติไป ตามร่างกายก็มีแค่แผลฟกช้ำ ดีจริงๆ เลยน๊า” แม่ยิ้มแย้มบอกผม และที่แม่ว่าดีนี่ไม่ใช่อะไรหรอกครับ ผมเข้าใจว่าที่ผ่านมาผมเจอเรื่องร้ายๆ มาเยอะ เพราะฉะนั้นแค่แผลฟกช้ำจึงถือว่าเล็กน้อยมากสำหรับคนที่เคยเหยียบเส้นตายมาแล้วถึงสองครั้ง
ผมมองไปรอบห้องของโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งที่ไม่ค่อยจะคุ้นตาสักเท่าไหร่ ผมพยายามคิดว่าทำไมตัวเองถึงได้มานอนอยู่ที่นี่ ก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง ผมจำได้เกือบทั้งหมดครับ ตั้งแต่ที่ห้างยันโกดังร้าง จะมีเลือนรางราวกับความฝันอยู่แค่เรื่องของพ่อเท่านั้น ผมเจอพ่อแล้วเราก็คุยอะไรกันสักอย่างซึ่งเป็นเรื่องที่ผมจำไม่ได้แม้แต่น้อย มองรอบห้องอีกครั้งทั้งห้องไม่มีใครนอกจากแม่ที่กำลังมองผมด้วยรอยยิ้มละมุน ผมจึงขยับตัวลุกขึ้นนั่งโดยมีแม่ช่วยประคองเพราะรู้สึกว่าเนื้อตัวระบมไปหมด จากนั้นก็หยุดมองหน้าแม่
“ฮนโทนิ โกะเมนนาไซ ไอจางงง” แม่ขอโทษผมยกใหญ่ ทำหน้าเศร้าตาละห้อยอีกต่างหาก แบบนี้ใครจะโกรธลงละครับ ผมยังไม่รู้เรื่องอะไรสักอย่าง จับต้นชนปลายก็ยังไม่ถูกด้วยซ้ำ แต่ที่แน่ๆ แม่ของผมนี่แหละคือตัวแปรสำคัญ
“คินิ ชินะอิเดะ โอก้าซัง” เรื่องขอโทษน่ะช่างมันก่อนเถอะครับแม่ ลูกชายขอคำอธิบายดีกว่าครับว่ามันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย
แม่ส่งยิ้มอ่อน ถอนหายใจเบาๆ แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียง แม่จับมือผมไว้ เรามองหน้ากันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่แม่จะเป็นคนเริ่มต้น
“แม่กับลุงโทมัสไม่ได้รักกัน แม่ไม่ได้รักคนชั่วคนนั้น ทั้งหมดเป็นแผนการ” เสียงของแม่หนักแน่นเหมือนในดวงตาที่แข็งกร้าวแบบที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน และมันก็ทำให้ผมเงียบเพื่อฟังอย่างตั้งใจ
“โอจีซังและโอบาซังของน้องไอเป็นนักธุรกิจที่มีชื่อเสียงมากคนหนึ่งในญี่ปุ่น แม่มีพี่น้องสามคน และแม่ก็เป็นลูกสาวคนกลางเพียงลำพัง”
ขอเว้นจังหวะแปลภาษาไทยของแม่นิดหนึ่งนะครับ คุณแม่กำลังพูดถึงคุณตาคุณยาย และแม่ของผมก็เป็นลูกคนกลาง และเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียว
“การที่แม่แต่งงานกับพ่อ โอจีซังและโอบาซังไม่ยอมรับ ท่านมีคนที่อยากให้แม่แต่งงานด้วยอยู่แล้วแต่แม่ก็หนีมากับพ่อ แม่ไม่รู้หรอกว่าคนที่โอจีซังและโอบาซังเลือกไว้คือใคร แต่เมื่อแม่หนีออกมาแล้วแม่ก็ไม่คิดจะกลับไปอีก จนเมื่อวันที่พ่อจากเราไป แม่สงสัยว่ามันไม่ใช่อุบัติเหตุ แม่จึงตัดสินใจติดต่อกลับไปญี่ปุ่น”
แม่มองหน้าผมอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหลบสายตาไปทางอื่น ผมรับรู้ได้จากน้ำเสียงและแววตาของแม่เมื่อได้พูดถึงพ่อว่ามันเจ็บปวดมากแค่ไหน ผมบีบมือแม่เบาๆ และรอแม่อยู่เงียบๆ เป็นผู้ฟังที่ดี จนแม่เริ่มปรับอารมณ์ได้จึงหันกลับมามองหน้าผมอีกครั้ง ซึ่งรอบนี้แม่เล่ายาวไม่มีสะดุดอารมณ์เลยครับ จะมีก็แค่ภาษาไทยที่เพี้ยนๆ ไปบ้างเท่านั้น แต่เอาเป็นว่าผมฟังเข้าใจทั้งหมด
สิ่งที่แม่เล่ามาคือสิ่งที่ผมไม่เคยรู้มาก่อนทั้งสิ้น โดยเฉพาะเรื่องของพ่อที่ทำให้ผมกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ พ่อของผมถูกฆาตกรรมแล้วสร้างอำพรางว่าเป็นอุบัติเหตุ ซึ่งเมื่อแม่ติดต่อกลับไปญี่ปุ่นเล่าเรื่องที่สงสัยให้พี่ชายหรือคุณลุงของผมฟัง ท่านจึงช่วยแม่ตามหาหลักฐานจนเจอว่าพ่อเสียชีวิตอย่างทรมานและโหดเหี้ยม ด้วยฝีมือของไอ้โทมัส มันแค้นที่พ่อมาแย่งแม่ไป ทำให้มันไม่ได้ฮุบสมบัติของตระกูลแม่ และไอ้โทมัสก็ไหวตัวทันจึงส่งคนมาปิดปากคุณลุงที่ญี่ปุ่นอีกคน ซึ่งการเสียชีวิตของคุณลุงทำให้คุณตาและคุณยายตาสว่างยอมรับให้แม่กลับสู่ตระกูล จากนั้นก็วางแผนจัดการกับไอ้โทมัส โดยคุณแม่ขอเป็นคนลงมือแก้แค้นเอง ทั้งนี้มีคุณลุงเด่นและคุณป้าพิมพ์เป็นหนึ่งในแผนการด้วยการติดต่อธุรกิจกับไอ้โทมัส แล้วทำเป็นแนะนำให้รู้จักกับแม่ ฟังมาถึงตรงนี้แล้วผมก็ได้แต่คิดว่าคุณลุงเด่นกับคุณป้าพิมพ์แสดงละครเก่งจริงๆ เลยนะครับ ที่ผมเห็นพูดคุยกันเรื่องชีวิตครอบครัวของแม่ในต่างแดนอย่างมีความสุขนั้นก็แค่ให้ผมตายใจสินะ ผมยกนิ้วให้เลย
แม่บอกว่าที่ใช้เวลานานร่วมสิบปีเพราะต้องค่อยๆ ยักย้ายถ่ายโอนทรัพย์สินทั้งหมดของไอ้โทมัสออกมาอย่างแนบเนียนที่สุด ซึ่งปัจจุบันก็อยู่ในบัญชีของผมหลายสิบหลักเชียวล่ะครับ แหม ที่ผ่านมาผมก็คิดว่าพ่อเลี้ยงใจดีส่งเงินมาให้ผมใช้จ่ายอย่างสบายซะอีก ที่ไหนได้ฝีมือแม่ผมเองทั้งนั้น จนกระทั่งปัจจุบันธุรกิจของไอ้โทมัสล้มไม่มีชิ้นดี ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ผมป่วย แม่จึงหาข้ออ้างหนีออกมา และในที่สุดไอ้โทมัสก็รู้ตัวแกล้งให้คนโทรมาบอกว่าตัวเองเกิดอุบัติเหตุเพื่อให้แม่กลับไปแล้วจะได้ล้างแค้น แต่แม่ของผมไหวตัวเร็วกว่าครับ แม่จึงต้องตัดใจทิ้งผมไว้แล้วกลับไปผนึกกำลังกับคุณตาคุณยายที่ญี่ปุ่น จนกระทั่งไอ้โทมัสตามมาที่ไทยและจับตัวผมไว้ ทางแม่เองก็ซ้อนแผนไว้แล้วเช่นเดียวกันเพราะเดาเกมส์ออกว่าไอ้โทมัสต้องใช้ผมเป็นตัวบีบให้แม่ออกมา เพราะแบบนี้สินะตอนที่ผมหลอกให้ไอ้โทมัสโทรหาพี่เปรม พี่เปรมถึงได้รับสายเหมือนรู้ว่าใครโทรมา แล้วหลังจากวางสายไม่กี่นาทีผมก็จำอะไรไม่ได้อีก
หนังสือพิมพ์กรอบข่าวเช้านี้ถูกยื่นมาตรงหน้า ผมรับมันมาจากแม่แล้วอ่านพาดหัวข่าวใหญ่การเสียชีวิตของนักธุรกิจข้ามชาติรายหนึ่ง ผมดูรูปประกอบเห็นแค่รูปรถคันหนึ่งที่ถูกอัดกับเสาไฟฟ้าจนพังยับเยิน
“มันมาตบหน้าน้องไอได้ยังไง คุณเปรมเลยซัดไม่ยั้งเลย” แม่พูดไปยิ้มไปอย่างกับว่ามันเป็นเรื่องตลก แต่ผมไม่ตลกด้วยนะครับแม่ เพราะลูกเขยแม่คือว่าที่ศัลยแพทย์คนเก่งของประเทศเชียวนะครับ แล้วทำไมมือหนักตีนหนักแบบนี้ล่ะ น่ากลัวชะมัด และอย่าบอกนะว่าพี่เปรมซ้อมไอ้โทมัสจนตาย
“แม่ มันตายยังไง?”
แม่ยักไหล่แทนคำตอบเหมือนไม่ยี่หระต่ออะไรทั้งนั้น ทำไมผมถึงได้รู้สึกกลัวแม่แบบนี้นะ ผมจึงเปิดอ่านเนื้อข่าวด้านใน ตำรวจสรุปประเด็นว่าเป็นอุบัติเหตุรถชนกับเสาไฟฟ้าข้างทาง ไม่มีชื่อผม ไม่มีชื่อครอบครัวหรือตระกูลของแม่ และไม่มีแม้กระทั่งบุคคลที่ทำร้ายร่างกายก่อนเสียชีวิตไม่ยั้ง แต่ทั้งหมดนั้นไม่ได้ทำให้ผมตกใจเท่ากับความรู้สึกที่สะเทือนใจอยู่ลึกๆ ในขณะนี้ เรื่องของพ่อ ตอนนั้นพ่อคงจะโดนแบบนี้สินะ
ผมปิดหนังสือพิมพ์ลง แม่ก็รับมันกลับไปแล้วทิ้งลงถังขยะ เพื่อบอกให้รู้ว่าเรื่องทุกอย่างได้จบลงแล้ว จากนี้ชีวิตของผมและแม่ก็จะกลับเข้าสู่วงจรปกติ และพ่อก็ได้รับความยุติธรรมเสียที ผมจึงล้มตัวลงนอนอีกครั้ง มองแม่นั่งร้องเพลงและปักผ้าแบบที่ชอบทำ ใบหน้าของแม่สดใส รอยยิ้มมีความสุข ทำให้ผมต้องยิ้มตาม
“น้องไอด้า?” เพิ่งนึกออกครับแม่ไม่ได้พูดถึงน้องไอด้าเลย
“นั่นไม่ใช่ลูกแม่ เป็นแค่เด็กในสถานสงเคราะห์ที่แม่เอามาใช้หลอกไอ้โทมัส แต่แม่ก็จะส่งเสียเด็กนั่นจนเรียนจบละน๊า” แม่เงยหน้ามาส่งยิ้มให้ผม
มิน่าละครับ ผมสงสัยมานานว่าทำไมน้องไอด้าไม่มีส่วนไหนคล้ายแม่หรือผมเลยสักนิด ผมนอนใช้ความคิดกับเรื่องราวมากมายอยู่คนเดียวอีกครั้ง พร้อมกับฟังเสียงฮัมเพลงของแม่ไปเพลินๆ แค่ไม่กี่สิบชั่วโมงที่ผ่านมาผมเจอเรื่องอะไรเยอะแยะไปหมด คุณยายของพี่เปรม ไอ้โทมัส การตายของพ่อ และครอบครัวของแม่ อย่างกับว่ามีคลื่นลูกใหญ่สาดโครมลงมาบนตัวผม ทั้งเร็วและแรงจนสำลักน้ำเกือบจมหายไปในทะเล แต่แล้วก็รอดชีวิตมาได้อย่างกับปาฏิหาริย์ แต่เดี๋ยวนะครับผมคิดว่าผมลืมบางอย่างไปนะ..
“แม่..”
“หืม?”
“น้องเปี๊ยกละแม่?”
“อ่อ?”
แม่มีท่าทางอึกอักทันทีที่ผมถามเรื่องน้องเปี๊ยก มันผมถูกจู่โจมด้วยความสงสัยและเป็นกังวลทันที และยังไม่ทันที่จะได้ถามอะไรแม่ต่อ บานประตูห้องนอนก็เปิดออก พี่เปรมเดินเข้ามาในห้องพร้อมด้วยถุงมากมายที่หอบหิ้วเข้ามา รวมทั้งช่อดอกไม้น่ารักหนึ่งช่อ แต่มันไม่ได้ทำให้ผมสนใจไปมากกว่าเรื่องน้องเปี๊ยกครับ
“พี่เปรม น้องเปี๊ยกล่ะ?”
สองขาเรียวยาวของพี่เปรมชะงักลงกลางห้อง แล้วมองมาที่ผมนิ่งๆ ด้วยสายตาที่ผมไม่สามารถอ่านความหมายได้ ริมฝีปากของผมยังคงระบม สองข้างแก้มก็ยังบวมช้ำ แต่มันก็ไม่เท่ากับในอกด้านซ้ายที่มันเจ็บแปลบขึ้นมาอย่างกระทันหัน
“ทำไมไม่ตอบ!” จู่ๆ ผมก็รู้สึกว่าขอบตาของตัวเองร้อนผ่าว
ผมมองแม่และพี่เปรมสลับกันไปมา พี่เปรมยังคงนิ่งในขณะที่แม่มีท่าทางร้อนรน
“ไออยากเจอน้องเปี๊ยก!” ใครจะมองว่าผมเอาแต่ใจก็ช่างมันประไรครับ น้องเปี๊ยกไม่ได้ทำผิดอะไรและไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องราวมากมายที่พวกมนุษย์เป็นคนก่อไว้แล้วทำไมถึงต้องมารับกรรมแทนผมด้วย
“ไปพาน้องเปี๊ยกมาให้ไอเดี๋ยวนี้นะ!!” ผมตวาดออกไปสุดเสียงเท่าที่มีพร้อมๆ กับน้ำตาที่กลั้นเอาไว้ไหลทะลักอาบแก้มและกลางอกจุกแน่นจนหายใจไม่ค่อยสะดวก
.
.
.
.
.
.
TBC
รินมาลงตอนนี้ไวไปมั๊ยคะ 
เดี๋ยวรินอาจจะหายไปหลายวันเพราะต้องเอาหม้อมาม่าไปแอบ 
จะมีคนคิดถึงรึเปล่าก็ไม่รู้ แต่จะพยายามกลับมาให้ไวที่สุดคะ 
อ่านความคิดเห็นของทุกคนแล้วชอบจังเลย รักจังเลย มีใครเดาตอนต่อไปถูกบ้างน้า ขอบคุณมากๆ นะคะสำหรับทุกการติดตามและกำลังใจ 