Miracle of LOVE ผมเรียกมันว่าปาฏิหาริย์แห่งรัก
-39-
ตั้งใจไว้ว่าจะเคลียร์เรื่องบอร์ดี้การ์ดของผมหล่อมากกับพี่เปรม แต่จนแล้วจนรอดผ่านมาสองวันก็ไม่ได้ความอะไร เมื่อวานผมลองเกริ่นเรื่องพี่โทชิโอะไป พี่เปรมก็นิ่งใส่ไม่ได้ถามหรือใส่ใจแม้แต่น้อย และเพราะมีเรื่องอื่นให้คิดมากมายผมจึงเลิกใส่ใจเรื่องนี้ไปครับ
“ขี้ไม่ออกรึไงว่ะ?”
สำนวนวาจาแบบนี้เป็นใครไปไม่ได้หรอกครับนอกจากไอ้เพื่อนดีน ผมเหวี่ยงตาใส่ไปทีนึง ไอ้ดีนหัวเราะแหะๆ
“สงสัยวันนั้นของเดือน”
ปากมันยังไม่หยุด รอบนี้ผมส่งค้อนวงใหญ่ไปให้ ไอ้ดีนยกมือยอมแพ้ขอศิโรราบแทบไม่ทัน แต่ก็ยังได้ยินเสียงบ่นอุบอิบมากระทบหูเบาๆ ผมแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน อารมณ์ของผมในช่วงนี้ก็ไม่ค่อยจะคงที่ ยิ่งวันนี้น้องเปี๊ยกถูกแม่กักตัวไว้อยู่เป็นเพื่อนที่บ้านผมจึงฟุ้งซ่านหนักเป็นสองเท่า ผมหมุนเก้าอี้หันออกด้านนอกหน้าต่าง มองท้องฟ้าและต้นไม้เพื่อให้จิตใจสงบ
“เฮ้ย! นี่มันโรงพยาบาลของครอบครัวน้องปิ่นนี่หว่า?”
ความเงียบสงบของถูกไอ้ดีนกวาดล้างเผ่าพันธุ์ไปจนสิ้น แต่รอบนี้ผมไม่ได้เหวี่ยงมันแต่อย่างใด ไอ้ดีนเปิดหน้าหนังสือพิมพ์ปักษ์วันนี้ส่งให้ผมอ่าน มันเป็นข่าวซุบซิบในวงสังคม กรอบเล็กๆ ลงไว้ว่าโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งได้ร่วมทุนกับบริษัทต่างชาติเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในด้านการแพทย์ของไทย ผมคงไม่ต้องอ่านชื่อโรงพยาบาลออกมานะครับ เอาเป็นว่าขอให้เข้าใจตรงกันว่ามันคือโรงพยาบาลของตระกูลชนะวิรุณพล ซึ่งจากเนื้อหาข่าวก็เป็นไปในทางที่ดี ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ผมจึงลุกขึ้นกะจะไปล้างหน้าล้างตาสักหน่อย
“อ้าว จะไปไหนอีกว่ะ”
“ส้วม”
“อ้อ จะไปเปลี่ยนผ้าอนามัยล่ะสิ ตามสบายเพื่อน” พูดจบก็เหมือนจะรู้ชะตากรรมของตัวเอง ไอ้ดีนลงไปมุดใต้โต๊ะอย่างว่องไวพร้อมยกแขนขึ้นตั้งการ์ด แต่ช้าไปเพียงเสี้ยววินาที ตีนของผมยันโครมใส่ไปเต็มแรงจนเพื่อนรักลงไปชักดิ้นชักงอร้องโอดครวญขอความเป็นธรรม จากนั้นผมก็เดินจากมาด้วยความรำคาญ
ผมกวักน้ำล้างหน้าอย่างเอาเป็นเอาตายจนเสื้อเปียกไปครึ่งตัว
“คุณหนู เสื้อเปียกครับ”
สัส!! ตกใจจนแทบกรี๊ดเลยครับ กำลังยืนเป็นพระเอกเอ็มวีอยู่ดีๆ โผล่มาตอนไหนเนี่ยตัวก็ใหญ่ยังกับยักษ์แต่ทำไมมีเสียงสักแอะ
“อ่อ เดี๋ยวก็แห้ง” พยายามควบคุมสติ เก๊กหน้านิ่งๆ เพื่อไม่ให้เสียฟอร์ม
หลังจากแอบสูดลมหายใจเรียกขวัญกลับมาอยู่สองเฮือก ผมก็ดึงทิชชู่มาเช็ดมือแบบลวกๆ ซึ่งในระหว่างนั้นเอง ผู้ชายตัวใหญ่ที่ยืนอยู่นิ่งๆ ก็ดึงผ้าเช็ดหน้าออกมาจากในกระเป๋าเสื้อแล้วซับลงบนผิวเนื้อที่เปียกชื้นบนต้นคอของผม
“พี่โทชิโอะทำแบบนี้ทำไม?”
“คุณหนูเป็นเจ้านายของผมครับ”
ตอบโดยที่สีหน้าและแววตายังคงนิ่งเรียบ ผมไม่สามารถจะจับกระแสความรู้สึกหรือความคิดใดๆ ได้เลย
“ไม่ต้องดูแลขนาดนี้ก็ได้”
พี่โทชิโอะไม่ได้ว่าอะไรครับ เก็บผ้าเช็ดหน้ากลับเข้าที่เดิม แล้วยืนมองผมอยู่แบบนั้น ผมจึงต้องเป็นคนหลบสายตาและเดินออกไปเอง
“คุณเปรมนทีป์ยังไม่ได้เข้าพิธีของตระกูลเลยนะครับ”
เสียงทุ้มพูดขึ้นขณะที่ผมกำลังจะเปิดประตูออกจากห้องน้ำ และมันก็ทำให้ผมต้องหยุดชะงัก กลับไปหันมองคนพูด
“ต่อให้คุณเปรมนทีป์เป็นคนของตระกูลอย่างถูกต้องแล้ว เจ้านายของผมมีแค่คุณหนูคนเดียวครับ”
ใบหน้าและดวงตาเล็กเฉี่ยวเหมือนพญาเหี่ยวนั้นยังคงเรียบเฉย สิ่งที่พี่โทชิโอะพูดออกมาคือธรรมเนียมของตระกูลทางญี่ปุ่นของผมเองครับ ซึ่งผมเองก็เพิ่งจะได้เรียนรู้กฎระเบียบและธรรมเนียมต่างๆ จากแม่เมื่อไม่นานมานี้ และเพื่อความสบายใจของแม่ผมก็พร้อมจะปฏิบัติตาม
ข้อตกลงตามธรรมเนียมก็ไม่ได้ยากมากมายอะไร แค่ผมต้องมีบอร์ดี้การ์ด ผมต้องรับงานที่ตระกูลมอบหมายให้ และเพราะว่าผมมีคนรักเป็นผู้ชาย ผมจึงต้องกลายเป็นโอโจซามะหรือคุณหนูที่ต้องเข้าพิธีแต่งงานเพื่อให้สามีเข้ามาเป็นเขยของตระกูลอย่างถูกต้อง แม้ผมจะเกลียดการถูกมองว่าอ่อนแอและเกลียดการถูกล้อว่าเหมือนผู้หญิงสักแค่ไหน แต่สำหรับเรื่องนี้ผมยอมได้แค่ให้ทุกคนยอมรับพี่เปรมแค่นั้นก็เพียงพอแล้ว จะว่าไปผมกับพี่เปรมเหมือนกันตรงที่ความรักของพวกเราไม่สามารถตายแทนกันและกันได้ แต่ยอมทำในบางสิ่งบางอย่างเพื่อความสุขของกันและกันได้ พี่เปรมทำเพื่อผมตั้งมากมายแล้วทำไมผมจะทำเพื่อพี่เปรมบ้างไม่ได้ล่ะครับ
แต่.. เดี๋ยวนะ..
“พี่โทชิโอะรู้จักพี่เปรมด้วย?”
ทำไมผมถึงได้มองข้ามเรื่องนี้ไปนะ และนี่ก็คงเป็นเหตุผลว่าทำไมพี่เปรมถึงไม่ถามผมเกี่ยวกับเรื่องบอร์ดี้การ์ดเลย ก็เพราะว่าพี่เปรมรู้เรื่องทุกอย่างอยู่แล้วนี่เอง
“ทุกเรื่องของคุณหนู คือเรื่องที่ผมต้องรู้ครับ”
โอเคครับ จบประเด็นแบบไม่ต้องสืบสาวเท้าความให้มากเรื่อง ผมผิดเองที่ถามคำถามโง่ๆ ออกไป
“พี่โทชิโอะขับรถผมกลับบ้านไปก่อนเลยนะ วันนี้ผมจะกลับกับไอ้ดีน”
ศีรษะของผู้ชายสูงใหญ่กำยำตรงหน้าค้อมให้ผมเล็กน้อยเป็นการรับทราบคำสั่ง ผมจึงกลับเข้ามานั่งเคลียร์งานที่นักศึกษาฝึกงานอย่างผมกับไอ้ดีนได้รับมอบหมายให้จัดการจนเสร็จเกือบหนึ่งทุ่มจึงได้กลับบ้าน
ผมกลับมาถึงบ้านก็ต้องตกใจแทบช็อคกับสภาพ เอิ่ม.. ผมควรจะเรียกว่าอะไรดีครับ
“บ๊อกๆ หงิ๊งง”
ไม่ๆ ผมส่ายหน้ารัวให้กับตัวประหลาดที่พยายามส่งเสียงอธิบายว่า ‘ผมคือน้องเปี๊ยกไงพี่ไอ ช่วยเปี๊ยกด้วยยยยย’ แกอย่าคิดมาหลอกกันเลย น้องเปี๊ยกของผมน่ารักน่าเอ็นดูแต่นี่มันตัวอะไร? หลุดมาจากดาวนาเม็กรึไงเนี่ย?!
“หงิ๊งงๆๆ”
ไม่ต้องมาทำเสียงเล็กเสียงน้อยให้ดูน่าสงสาร และอย่าเข้ามานะ ผมมีพระนะเฟ้ยยย
“แม่!!” ผมเรียกพระมารดาอย่างไวครับ
“จ๋า” อื้อหือ แม่ขานรับเสียงหวานมาแต่ไกลเลยครับ
“แม่นี่มันตัวอะไร? แม่เอาน้องเปี๊ยกของน้องไอไปไหน?!”
แม่ทำหน้างง มองหน้าผมสลับกับสัตว์ประหลาดที่ขยับและส่งเสียงร้องตรงหน้า แต่ผมนี่ใจสั่นมากครับ มันกินน้องเปี๊ยกของผมเข้าไปแน่ๆ
“แกกินน้องชายชั้นเข้าไปใช่มั๊ย?! คายออกมาเดี๋ยวนี้นะ!!”
เพี๊ยะ!ฝ่ามือแม่ฟาดเข้าตรงต้นแขนของผมครับ ว่าแต่แม่ตีผมทำไมเนี่ย?! ตีแรงซะด้วย ฮือออ แม่ตีน้องไอ น้องไอจะฟ้องพ่อที่อยู่บนฟ้า ชักช้าอยู่ทำไมครับ ยกมือลูบต้นแขนป้อยๆ แล้วเบะปากตีหน้าเศร้าสิครับ แต่ดูแม่สิ แม่ยังทำหน้าดุใส่ผม แถมยังก้มลงอุ้มสัตว์ประหลาดนั่น ยิ้มหวานให้มันแถมยังชื่นชมว่า
‘คาวาอิ’ ไม่หยุดปาก แม่ไม่ได้สนใจลูกชายที่แสนน่ารักแบบผมเลยสักนิด
“แง้!!!” แหกปากบีบน้ำตาเรียกร้องความสนใจ
“โตจนมีผัวแล้วยังแหกปากร้องอยู่ได้”
แสรดดดดดดดดด! ใครบังอาจมาขัดจังหวะฟร๊ะ! ผมหันขวับไปอย่างไว พร้อมกับต้องหยุดสำออยในทันทีเพราะคนที่เดินเข้าประตูบ้านมาพร้อมกับพี่โทชิโอะคือพี่ชายที่แทบจะไม่เจอหน้ากันมานานนับเดือน
“พี่ดิน”
“เห็นเป็นไอ้หมอเปรมรึไง?”
วาจาเชือดเฉือนขนาดนี้ ผมไม่กล้ามองผิดเป็นพี่เปรมหรอกครับ ว่าแต่ทำไมพี่ดินมาพร้อมพี่โทชิโอะล่ะนั่น อ่อ บางทีคงจะเจอกันตรงหน้าบ้าน ผมมองพี่ดินสลับกับพี่โทชิโอะอย่างสงสัย แต่ก็ไม่มีอะไรผิดสังเกต พี่โทชิโอะค้อมศีรษะให้แม่และผมก่อนจะเดินอ้อมเข้าไปด้านหลังบ้าน ผมจึงเลิกสนใจครับ พี่ดินยกมือไหว้แม่แล้วก็ผลักหัวผมเบาๆ
“ว่าแต่แหกปากร้องทำไม?”
“ผมแค่บอกว่าไอ้ตัวนั่นมันกินน้องเปี๊ยกเข้าไป แม่ก็ตีเลยอ่ะ เจ๊บเจ็บ ฮืออ” ฟ้องสิครับ ฟ้องเลยๆ แม่จึงตั้งท่าจะยกมือขึ้นตีผมอีกรอบ แต่ผมไหวตัวเข้าหลบหลังพี่ดิน แต่พี่ชายที่เคารพไม่ได้ช่วยผมสักนิด มิหนำซ้ำยังมีการทับถมด้วยคำว่า ‘สมน้ำหน้า’ อีก แค่นั้นยังไม่พอยังขออุ้มสัตว์จากดาวนาเม็กนั้นด้วย
“ใส่ชุดนี้เด็กน้อยออกจะน่ารัก แต่ถ้าคุณน้าเจโกะจะพาเจ้าเปี๊ยกออกไปข้างนอกคงต้องถอดชุดออกนะครับ เพราะหมาพันธุ์นี้ทนความร้อนได้น้อยมากครับ”
“ฮนโต๊ะ?” แม่ถามพี่ดินย้ำว่าจริงเหรอ พี่ดินก็พยักหน้าแข็งขันกลับ แม่จึงร้องอ้อยาวอย่างเข้าใจ
จังหวะนั้นผมจึงจัดการเอาน้องเปี๊ยกออกมาจากร่างปิศาจประหลาดนั่นครับ และวินาทีที่ผมรอคอยก็มาถึง ผมได้เจอน้องเปี๊ยกสักที
“บ๊อกๆๆ” น้องเปี๊ยกร้องดีใจว่า
‘เย้! หลุดพ้นแล้ว’ ผมจึงตั้งท่าจะจับน้องเปี๊ยกมาจูบเรียกขวัญสักฟอด แต่ด้วยความที่เจ้าตัวน้อยดีใจจนเกินไปร่างกายจึงผลิตก๊าซพิษออกมา ทำเอาทั้งแม่ พี่ดิน และผม ถึงกับส่ายหน้าและถอยกรู ขำกันยกใหญ่
“วันหลังแม่ไม่ต้องซื้อชุดปัญญาอ่อนแบบนั้นมาให้น้องเปี๊ยกใส่แล้วนะ น้องเปี๊ยกไม่ชอบ” ผมหมายถึงเจ้าซากประหลาดจากดาวนาเม็กนั่นแหละครับ จริงๆ แล้วมันคือชุดน้องหมาธรรมดานี่แหละ เพียงแต่มันเป็นชุดที่ออกแบบมาให้ตรงฮู้ดหน้าตาคล้ายๆ น้องเปี๊ยก ดังนั้นเมื่อน้องเปี๊ยกใส่จึงดูเหมือนถูกปิศาจกินเข้าไปอยู่ในท้อง เชื่อผมเถอะครับว่ามันดูน่ากลัวจริงๆ
“ไม่ใช่แม่สักหน่อยน๊า” แม่ส่ายหน้าไปมาปฏิเสธด้วยท่าทางน่ารัก
“ลูกเขยแม่ซื้อมาให้ต่างหาก”
“พี่เปรม?”
แม่พยักหน้ารัว
“ก็ตอนบ่ายไอ้หมอเปรมไปหาเราที่บริษัทไม่ใช่รึไง เมื่อเที่ยงพี่ยังเจอมันอยู่เลย ไม่เจอกัน?”
พี่เปรมกลับบ้าน แล้วไปหาผมที่บริษัทเมื่อบ่าย นี่ทุกคนไม่ได้อำผมอยู่ใช่มั๊ยครับ แล้วทำไมผมถึงไม่รู้ล่ะ พี่เปรมไม่ได้โทรบอกผม แม้แต่ข้อความก็ไม่มีนะครับ ผมมั่นใจเพราะผมเช็คทุกสิบนาที ว่าแต่ถ้าพี่เปรมไปหาผมก็ต้องเจอกับพี่โทชิโอะ ถ้าอย่างนั้นพี่โทชิโอะจะต้องรู้เรื่องนี้ ผมเดินฉับๆ ไปหาพี่โทชิโอะในห้องนั่งเล่นทันที
“วันนี้พี่เปรมมาหาผมที่บริษัทแล้วเจอกับพี่โทชิโอะด้วยใช่มั๊ย?”
“ครับคุณหนู”
“แล้วทำไมพี่โทชิโอะถึงไม่บอกผม”
“คุณหนูไม่ได้มีคำสั่งให้ผมรายงานทุกเรื่องครับ”
ตอบด้วยน้ำเสียงนิ่ง หน้าตาก็นิ่ง แต่อารมณ์ของผมขึ้นสูงเลยครับ
“มันไม่ใช่ความผิดของโทชิโอะ” แม่พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง ร้อยปีพันชาติแม่จะทำเสียงดุใส่ผมแบบนี้ ซึ่งนั่นหมายความว่าผมเป็นคนผิดจริงๆ
แม้จะรู้ว่าทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ผมจะต้องเรียนรู้ในฐานะคุณหนูของตระกูล แต่ผมก็ห้ามความโกรธของตัวเองไม่ได้อยู่ดี และก่อนที่มันจะระเบิดออกมาผมจึงหันกลับไปอุ้มน้องเปี๊ยกแล้วเดินหนีขึ้นห้องนอน ถ้าถามผมว่ากำลังโกรธใครมากที่สุด ผมขอตอบว่าผมโกรธตัวเองครับ
ผมเปิดฝักบัวใช้น้ำเย็นรดหัวเพื่อสงบสติอารมณ์ ชีวิตเรียบง่ายสบายๆ ของผมดูหักเหและเปลี่ยนแปลงไปแทบทั้งหมด ถ้าหากเป็นเมื่อก่อนผมคงจะไม่เดือดร้อนอะไร แต่เพราะครั้งนี้มีพี่เปรมเป็นเดิมพัน และเงื่อนไขของคุณตาคุณยายก็ไม่ได้ยากถึงขั้นฮาร์ดคอร์ เพียงแค่มันเป็นเงื่อนไขที่ผมเกลียดที่สุด นั่นคือผมจะต้องอยู่ในฐานะคุณหนูหรือจะพูดให้ถูกต้องก็คือถ้าผมมีสามีก็ต้องเป็นหลานสาวไม่ใช่หลานชาย แค่นี้พอจะเข้าใจกันรึยังครับ แม้ว่าไม่ได้ร้ายแรงถึงขนาดจะต้องแปลงเพศ หากทว่ามันเป็นสิ่งที่ผมเกลียดที่สุด และผมก็ต้องยอมรับและทำในสิ่งที่ตัวเองกำลังเกลียดด้วยเหตุผลเดียวนั่นคือผู้ชายที่ชื่อเปรมนทีป์ อัศววิรุณฉาย ผู้ชายคนนี้ทำเพื่อผมมามาก แล้วทำไมผมจะทำเพื่อพี่เปรมบ้างไม่ได้ครับ
ได้อาบน้ำก็รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมานิดหน่อย แต่ที่ทำให้ผมยิ้มได้คงเป็นเจ้าตัวน้อยที่ยืนคอยด้วยความเป็นห่วงอยู่หน้าห้องน้ำนี่แหละครับ
“พี่ไอไม่เป็นอะไรแล้วล่ะ เดี๋ยวโทรหาพ่อเปรมกันดีกว่าเนอะ”
“บ๊อกๆ” น้องเปี๊ยกดีใจใหญ่ครับ
อุ้มน้องเปี๊ยกขึ้นวางบนเตียง ผมดูเวลาแล้วพี่เปรมคงจะกำลังเข้าเวร แต่ก็เลือกโทรแบบวิดีโอคอลครับ เพราะผมอยากจะเห็นหน้า เสียงรอสายดังอยู่ไม่กี่อึดใจใบหน้าหล่อๆ ก็ฉายเต็มจอไอโฟนของผม
“พี่เปรมไอถึงบ้านแล้วนะ” ฉีกยิ้มกว้างๆ ให้คนหล่อในชุดกาวน์สีขาว
‘งานเยอะ?’ เพราะผมกลับถึงบ้านสองทุ่มครึ่ง มันผิดเวลาไปมากครับ
“อืม”
‘อาบน้ำแล้วพักผ่อนซะ’“อืม”
ปกติผมเป็นคนพูดมากเมื่อเทียบกับพี่เปรม แต่ตอนนี้ผมไม่อยากจะพูด ผมแค่อยากมองหน้าพี่เปรมอยู่อย่างนี้ และมันคงทำให้พี่เปรมผิดสังเกต ดวงตาคู่คมหรี่ลงเล็กน้อย
‘เป็นไร?’อยากตอบออกไปว่า
‘เป็นเมียพี่เปรมไง?’ แต่ในอกมันแน่นจุกไปหมดครับ ผมยกนิ้วจิ้มบนหน้าจอโทรศัพท์ สงสัยพี่เปรมจะจั๊กจี้ ริมฝีปากบางจึงได้ระบายรอยยิ้มออกมา
“พี่เปรมไม่คิดถึงไอเหรอ?”
‘คิดถึง’ ตอบไวมากครับ แม้จะเป็นคำสั้นๆ แต่ในน้ำเสียงทุ้มนั่นผมกลับได้ยินว่า
‘คิดถึงมากที่สุด’ ‘เมื่อเช้าคุณแม่โทรมาบอกว่ามีธุระด่วนอยากจะเจอ กูรีบจึงไม่ทันได้โทรหามึง กูเข้าไปหาคุณแม่ที่โรงพยาบาล กลับบ้านแล้วก็ไปหามึง โทรศัพท์ดันแบตหมดเลยไม่ได้โทรบอกล่วงหน้า แต่บอร์ดี้การ์ดมึงบอกว่ามึงยุ่งอยู่ กูเลยฝากเค้าบอกมึง’พี่เปรมไม่ใช่คนที่ชอบอธิบายอะไรยืดยาว แต่เป็นเพราะผมพี่เปรมจึงได้ทำอะไรน่ารักแบบนี้ วันนี้พี่เปรมบินมากรุงเทพฯ โดยไม่ได้บอกผมล่วงหน้า แล้วก็กลับสกลนครในตอนเย็นเลยแสดงว่าต้องมีธุระอะไรเร่งด่วนอย่างที่บอกนั่นแหละครับ ผมเข้าใจในจุดนี้ แต่ประโยคสุดท้ายนั่นต่างหากคือสิ่งที่ตอกย้ำว่าผมพลาด ผมประมาทเอง มันเป็นความผิดของผมเอง ผมจะไม่โทษใครทั้งนั้น
“ไอคิดถึงพี่เปรม”
ผมเอนตัวลงนอนตะแคงมองหน้าคนที่คิดถึง น้องเปี๊ยกมาคลอเคลียอยู่ใกล้ๆ
‘กูรู้’ใบหน้าคมจุดยิ้มตรงมุมปาก และมันก็ทำให้ผมยิ้มตาม
“ไอเหนื่อย” เหนื่อยกับหลายๆ เรื่องที่กำลังพบเจอ แม้เรื่องเหล่านั้นเมื่อเทียบกับเรื่องของพี่เปรมแล้วมันแทบจะไม่ได้ครึ่งหนึ่งของความเหนื่อยด้วยซ้ำ แต่พี่เปรมก็ไม่เคยบ่นหรือแสดงความเหนื่อยออกมาให้ผมเห็นหรือได้ยินแม้แต่นิดเดียว แตกต่างจากผมที่อยากจะได้กำลังใจจากพี่เปรมเป็นเครื่องเยียวยา
‘เหนื่อยก็พักผ่อนซะ’ นิ้วเรียวยาวเกลี่ยไปมาอยู่บนหน้าจอโทรศัพท์
“อืม”
‘พบรัก..’ เสียงเรียกจากพี่เปรมทำให้ผมต้องลืมตาขึ้นอีกครั้ง
ผมหยุดรอฟังเงียบๆ เรามองตากันนิ่งๆ ผ่านเครื่องมือสื่อสารอิเล็กทรอนิกส์
‘มึงคือรักแรกพบของกู.. และจะเป็นรักสุดท้ายของกู..’นี่เป็นครั้งแรกที่ผมอยากจะร้องไห้เพราะคำบอกรักจากพี่เปรม ความเหนื่อยล้า ท้อแท้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่อัดอั้นไว้ทั้งหมดถูกทำลายหายเป็นซากเศษฝุ่นละออง ไม่หลงเหลือแม้ตะกอนให้ได้เห็น
“พี่เปรมคือปาฏิหาริย์แห่งรักของไอนะ”
รอยยิ้มบางๆ กับเสียงหัวเราะเบาๆ ทำให้ผมหยดน้ำที่เอ่ออยู่ตรงหางตาของผมร่วงลงบนหมอน พี่เปรมมักจะขำทุกครั้งที่ผมพูดแบบนี้ เพราะมันเหมือนคำพูดของเด็กน้อยในนิทาน และผมก็ชอบที่จะเป็นแบบนั้นให้เจ้าชายในนิทานเอ็นดูแบบนี้ตลอดไป..
.
.
.
.
วันหยุดสุดสัปดาห์มาถึง ผมมองกากบาทสีแดงปฏิทินที่ขีดเอาไว้เพื่อให้รู้ว่าอีกเจ็ดวันข้างหน้าผมจะได้เจอพี่เปรม วันนี้ผมตื่นเช้ามาทำบุญตักบาตรกับแม่ แล้วผมกับไอ้ดีนก็พาน้องเปี๊ยกออกไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะในหมู่บ้าน จนสายๆ แดดเริ่มแรงจึงพากันกลับ พี่โทชิโอะรอรับผมอยู่หน้าบ้าน
“มีคนมารอเจอคุณหนูครับ”
ผมหรี่ตามองดวงตาที่เหมือนเหยี่ยวนั่น ไม่ต้องถามว่าใครผมก็รู้ได้ในทันที หลุมที่ผมขุดไว้ล่อเหยื่อเมื่อสัปดาห์ก่อนสำเร็จแล้วสินะ ผมพยักหน้าให้พี่โทชิโอะอย่างพอใจ แล้วหันมาหาไอ้ดีน แต่ฝ่ายนั้นเดินคุยโทรศัพท์กับน้องปิ่นกลับบ้านไปแล้วล่ะครับ ผมจึงอุ้มน้องเปี๊ยกเข้าบ้านของตัวเอง
ริมฝีปากของผมวาดรอยยิ้มอ่อนให้เด็กหนุ่มที่นั่งอยู่บนโซฟา ฝ่ายนั้นไม่แม้แต่จะหันมามองหน้าผมหรือยกมือไหว้ผมสักนิด แต่ผมก็ไม่ยี่หระครับ ผมนั่งลงบนโซฟาฝั่งตรงกันข้าม จัดท่วงท่าให้เป็นแบบเดียวกับที่ไอดอลเกาหลีเค้าชอบทำกัน นั่นคือยกขาขึ้นไขว่ห้าง เอียงตัวเล็กน้อย เท้าแขนพิงพนักโซฟาไว้ แล้วมองตรงไปยังด้านหน้า
“ว่ามาสิ”
“มึงมีวิธีอะไร?”
“ไม่รู้จักมารยาทรึไงว่าเวลาพูดกับผู้ใหญ่หรือคนที่อายุมากกว่าควรพูดยังไง?”
เด็กหนุ่มตรงหน้ามองผมตาข้นเลยครับ แต่ผมก็จ้องกลับแบบไม่กลัวเหมือนกัน จนในที่สุดฝ่ายตรงข้ามก็ทนไม่ไหวตั้งท่าจะลุกหนี พอดีกับที่พี่โทชิโอะยกถาดของว่างและเครื่องดื่มเข้ามา
“โอกาสมีแค่ครั้งเดียวเท่านั้น”
ประโยคเดียวของผมทำให้ขาที่กำลังก้าวต้องหยุดชะงักครับ แม้จะเห็นแค่แผ่นหลังแต่ผมก็มั่นใจว่าสีหน้าของอีกฝ่ายกำลังลังเลมากเพียงใด ซึ่งไม่นานเกินรอ ร่างเล็กนั่นก็ถอยกลับมานั่งที่เดิม และพี่โทชิโอะก็เดินออกไป แต่ผมรู้ว่าพี่โทชิโอะไม่ได้ไปไหนไกลหรอกครับ
“บอกเรื่องม... กับพี่ปลื้มก่อน และไปรู้เรื่องมาจากไหน? และรู้อะไรบ้าง?”
ดีนะที่ไม่หลุดคำว่า
‘มึง’ ออกมา ไม่งั้นผมคงได้สั่งสอนเด็กไปอีกยกแน่ ผมยิ้มอ่อนให้เขื่อน
“เรื่องชั้นกับพี่ปลื้มไว้นายไปถามกับพี่ปลื้มเองจะดีกว่า” ที่ไม่ตอบเนี่ยไม่ใช่อะไรหรอกครับ เพราะจนถึงปัจจุบันผมเองก็ยังไม่สามารถตอบความสัมพันธ์อันน่าอดสูนั้นว่าอะไรดี แต่ผมมั่นใจว่าพี่ปลื้มรู้สึกดีๆ กับผมแน่นอนครับ
“ส่วนคำถามที่ว่ารู้เรื่องมาจากไหน ง่ายๆ ชั้นก็แค่ให้คนไปสืบมา.. และคำถามสุดท้ายชั้นรู้อะไรบ้าง” เว้นจังหวะเพื่อสบตา “ชั้นรู้ทุกอย่างแม้กระทั่งกรุ๊ปเลือดและเลขบัตรประจำตัวประชาชนของนาย..”
ดวงตาเหมือนกวางน้อยเบิกโตขึ้นแว่บนึงก่อนจะหลุบหลบลงต่ำ แต่ผมก็สามารถจับกระแสความตื่นตกใจ ความหวาดกลัว และความเจ็บปวดที่สะท้อนออกมาจากดวงตาคู่นั้นได้อย่างชัดเจน
ถ้ามองแค่ผิวเผินเด็กตรงหน้าผมก็เป็นแค่เด็กผู้ชายธรรมดาที่น่าสงสารคนหนึ่งเท่านั้น แต่เพราะต้องผ่านเรื่องราวอะไรมามากมายทำให้จิตใจที่บริสุทธิ์ต้องกลายเป็นสีดำ ภายนอกดูหยาบกระด้างแต่ในจิตใจบางเบายิ่งกว่าปุยนุ่น และจุดอ่อนนี้ก็ทำให้ผมจัดการได้ง่ายขึ้น ผมนั่งเล่นกับน้องเปี๊ยกเพื่อปล่อยเวลาให้อีกฝ่ายได้คิดและตัดสินใจ ผ่านไปหลายนาที ความเงียบจึงถูกทำลาย
“กูเกลียดไอ้แก่กับอีแก่นั่น” มือขาวกำแน่น
ผมไม่ได้ตกใจ แปลกใจ หรือประหลาดใจกับสิ่งที่ได้ยิน แต่กลับดีใจจนต้องยิ้มออกมา ผมใจเย็นรอให้เด็กหนุ่มระบายความในใจที่เก็บกดไว้ออกมาทั้งหมด
“มันเป็นคนผลักให้ชีวิตของกูตกนรกทั้งเป็น”
การเป็นผู้รับฟังที่ดีคือต้องนิ่งและเงียบครับ สิ่งที่ผมต้องการในเวลานี้ไม่ใช่การเอาชนะหรือแก้แค้นเหมือนเมื่อก่อนแต่ผมต้องการที่จะให้เด็กคนหนึ่งได้ระบายระเบิดก้อนใหญ่ที่ฝังอยู่กลางใจออกมาเท่านั้น
ชีวิตของเขื่อนก็เหมือนนิยายเรื่องหนึ่งมันทั้งน้ำเน่าและรันทด ทั้งๆ ที่เขื่อนถือว่าเป็นเด็กโชคดีคนหนึ่งที่เกิดมาในครอบครัวที่มีฐานะร่ำรวยในสายของตระกูลชนะวิรุณพล ในวัยเด็กทุกอย่างสดใสพ่อแม่รักใคร่ปรองดอง แต่โชคชะตาพลิกผันเมื่อพ่อแม่ของเขื่อนติดการพนัน ซ้ำยังไม่ช่วยบริหารงานในตระกูลแถมยังผลาญเงินตระกูลจนหมด จึงต้องเกาะผู้นำตระกูลสายหลักซึ่งนั่นก็คือคุณตาของพี่เปรม
ความเลวร้ายที่ทำให้ชีวิตของเด็กผู้ชายคนหนึ่งพลิกผันชนิดที่ตกเหวลงสู่นรกได้เกิดขึ้นตอนที่เขื่อนมีอายุเพียงสิบสองปี เมื่อบุพการีอับจนหนทางจนต้องขายลูกกิน ฟังไม่ผิดหรอกครับ ผมขอใช้คำนี้แหละ
‘ขาย’ เด็กผู้ชายตัวเล็กๆ ที่ไร้เดียงสาเพียงเพื่อให้ได้เงินบำเรออบายมุข และทั้งที่คุณตาและคุณยายของพี่เปรมรู้เรื่องนี้ดีแต่กลับเพิกเฉย ปล่อยให้เด็กตาดำๆ โดนย่ำยี ถึงขึ้นที่เขื่อนถึงกับคลานเข่าขอความเมตตาช่วยเหลือแต่ก็ถูกปฏิเสธด้วยความรังเกียจและเย็นชามาโดยตลอด เมื่อไหร่ที่มีคนสงสัยคุณยายก็จะใช้เหตุผลว่าเขื่อนเป็นเด็กเกกมะเหลกเกเรมีเรื่องทะเลาะวิวาทจึงได้แผลกลับบ้านมาบ่อยครั้ง จึงไม่มีใครสงสัยและก็ปล่อยให้มันผ่านพ้นไป จนกระทั่งพี่ปลื้มได้มาล่วงรู้ความลับทั้งหมด ด้วยความโกรธแค้นและสงสารน้องชาย พี่ปลื้มจึงลงไม้ลงมือกับพ่อแม่เขื่อนจนถึงขั้นปางตาย แต่แทนที่คุณตาและคุณยายจะช่วยหลาน กลับขับไล่พี่ปลื้มออกจากตระกูลโดยไม่เปิดโอกาสให้พี่ปลื้มได้อธิบายใดๆ สักคำ
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาพี่ปลื้มก็ไปอยู่กับคุณปู่คุณย่า แต่ก็ยังพยายามหลายต่อหลายครั้งเพื่อที่จะพาเขื่อนหนีออกไปด้วยกัน แต่ก็ถูกจับได้ตลอด เรื่องทั้งหมดพี่ปลื้มไม่สามารถขอความช่วยเหลือจากใครได้สักคนแม้กระทั่งคุณพ่อคุณแม่หรือพี่เปรม ทั้งนี้เพราะเป็นห่วงสวัสดิภาพของเขื่อน และด้วยความคับแค้น ผิดหวัง เสียใจ กับการที่ตัวเองไม่สามารถช่วยน้องชายได้ พี่ปลื้มกินไม่ได้นอนไม่หลับและกลายเป็นคนเก็บตัวไม่ยอมสุงสิงกับใครจนคุณปู่และคุณย่าต้องส่งพี่ปลื้มไปรักษาตัวที่ต่างประเทศ แต่ก่อนที่จะไปพี่ปลื้มตัดสินใจขอถอนหุ้นและส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมดในตระกูลชนะวิรุณพล ยอมที่จะเป็นคนนอกตระกูลเพื่อแลกกับพันธนาการจากนรกที่ผูกติดอยู่กับน้องชาย ซึ่งนับว่าเป็นการลงทุนที่ได้ผล เขื่อนหลุดพ้นจากขุมนรกนั่น แต่สิ่งที่หลงเหลือไว้นั้นยากจะลบเลือน
“ฮึก...” มือขาวอันสั่นเทายกขึ้นปิดกั้นเสียงสะอื้นของตัวเอง
ผมมองเด็กหนุ่มข้ามที่ตัวสั่นกึกๆ ใบหน้าซีดเผือด ขดตัวงอเกร็งเหมือนกำลังหวาดกลัวอะไรบางอย่างก็รู้สึกใจคอไม่ดี ผมลุกขึ้นแล้วเข้าไปโอบกอดร่างแบบบางนั้นไว้ และผมก็ได้รู้ว่าเขื่อนนั้นตัวเล็กกว่าผมมากเพียงไร เขื่อนเป็นแค่เด็กผู้ชายตัวเล็กๆ คนหนึ่งอย่างที่พี่เปรมบอกผมบ่อยๆ
v
v
v
v
v
v
v
ต่อด้านล่างจ้า