Miracle of LOVE ผมเรียกมันว่าปาฏิหาริย์แห่งรัก
-40-
หลังจากทำงานได้ตามกำหนดของแพทย์บรรจุใหม่ผมจึงขอใช้สิทธิในการลางานสี่วัน แต่การลางานของแพทย์ไม่ใช่ว่าลาได้ง่ายๆ นะครับ ผมจะต้องฝากคนไข้ในการดูแลให้ไว้กับเพื่อนร่วมงานอีกคนเพราะถ้าหากเกิดกรณีฉุกเฉินเร่งด่วนขึ้นมาจะได้ช่วยเหลือคนไข้ได้ทันท่วงที และเพื่อนร่วมงานที่ผมฝากไว้คือแพทย์หญิงวิริยาหรือหมอคัทครับ
เธอบอกผมว่าเธอเป็นสาววายสายเคะ ยกให้พบรักเป็นเคะในดวงใจ เอาจริงๆ ผมไม่เข้าใจที่หมอคัทพูดหรอกครับ รู้แค่ว่าเธอปลื้มเมียผมมากประหนึ่งพวกแฟนคลับไอดอลเกาหลี จะหึงก็ไม่รู้จะหึงยังไงดีเพราะดูจากท่าทางจะไม่ได้ไปในทางชู้สาว ผมจึงปล่อยเลยตามเลย เอาไงก็เอา ขอแค่อย่ามาคิดเกาะแกะเกินเลยกับเมียผมก็พอ อย่างอื่นก็เอาที่สาววายเธอสบายใจนั่นแหละครับ
ผมมาถึงกรุงเทพฯ ในตอนสาย คนที่มารับผมที่สนามบินดอนเมืองคือน้องชายฝาแฝดของผมเอง เมื่อวานไอ้ปลื้มโทรมาหาผม ถามเรื่องกลับบ้านและก็อาสาบอกว่าจะมารับ ผมไม่ได้ปฏิเสธและไม่ได้ถามเหตุผล เพราะพักหลังมานี้ไอ้ปลื้มค่อนข้างจะมีเรื่องเครียดพอดู ผมเองก็ไม่ค่อยจะรู้เรื่องและเข้าใจมากนัก แต่การที่ไอ้ปลื้มโทรหาผมบ่อยขึ้น และถึงขั้นอยากเจอนั่นแสดงว่ามันมาถึงจุดที่อึดอัดเต็มทนแล้ว และนานมากแล้วครับที่เราไม่ได้นั่งบนรถคันเดียวกัน หรือจะพูดง่ายๆ ว่านานมากแล้วที่เราทั้งคู่ไม่ได้อยู่ด้วยกันเพียงลำพัง
“อยากเจอเมียกูทำไม?”
ไอ้ปลื้มไม่ได้บอกผมหรอกครับ แต่ผมรู้ว่าที่มันมารับผมด้วยเหตุผลอะไร
“คิดถึง”
เพราะไอ้ปลื้มมันเป็นแบบนี้ยังไงล่ะครับ ผมจึงไม่อยากจะคุยด้วย ไอ้ปลื้มเป็นประเภทที่ชอบกวนประสาท และแม้ผมจะรู้ว่าสิ่งที่ไอ้ปลื้มพูดออกมาเป็นความจริงแต่ผมก็จะทำเป็นว่าไม่ได้ยิน และหลังจากนั้นเราทั้งคู่ก็เงียบ ผมนั่งมองการจราจรในกรุงเทพไปเรื่อยๆ ผ่านไปครู่ใหญ่โทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงของผมสั่นครืดๆ พบรักส่งข้อความมายาวพรืดบอกว่ากำลังรอทานมื้อเที่ยงพร้อมรูปประกอบเซลฟี่ตัวเองคู่กับคุณแม่และไอ้เปี๊ยก เห็นแล้วก็อดจะยิ้มตามไม่ได้
“เมื่อก่อนพบรักก็ทำแบบนี้กับชั้น”
ผมหันไปมองไอ้ปลื้ม ฝ่ายนั้นก็หันมามองผม เรากำลังต่อสู้ทางสายตากันเงียบๆ ระหว่างที่สัญญาณไฟจราจรเป็นสีแดง
“ชั้นไม่ได้พูดเล่น”
“มึงอยากบอกอะไรกู?”
“ชั้นแค่อยากจะบอกว่าความรู้สึกของชั้นที่มีให้พบรักไม่ใช่เรื่องเล่นๆ”
คำพูดและสายตาบ่งบอกชัดเจนถึงความจริง และมันก็ทำให้ผมต้องเก็บกดอารมณ์ด้วยความเงียบ ไอ้ปลื้มหันหน้ากลับไปมองถนนเบื้องหน้า ผมเองก็เช่นกัน บางทีการที่เราคุยกันน้อยลงทำให้ความสัมพันธ์ของเราเหมือนมีถนนมากั้นตรงกลาง ซึ่งถนนสายนั้นยาวแบบไม่มีที่สิ้นสุดทำให้เราทั้งคู่เดินไปข้างหน้าเป็นเส้นขนานของกันและกัน ตราบใดที่เราทั้งคู่ไม่หยุดเดินแล้วหันมาคุยกันก็จะไม่มีวันที่จะบรรจบกันได้ เพราะฉะนั้นในฐานะพี่ชายผมจะเป็นฝ่ายหยุดก่อนเพื่อให้เราเข้าใกล้กันมากขึ้น
“ชั้นเจอพบรักตอนที่ไปรับน้องปิ่นที่มหาวิทยาลัยหลายครั้งแต่ก็ไม่กล้าเข้าไปคุย จนวันหนึ่งน้องปิ่นพูดชื่อของพบรักขึ้นมาให้ชั้นได้ยิน หลังจากนั้นชั้นจึงลองเสี่ยงเข้าไปชวนคุยดู”
คนเล่าเว้นจังหวะไปครู่หนึ่ง ผมเหลือบมองไอ้ปลื้มเล็กน้อย ซึ่งใบหน้าพิมพ์เดียวกับผมกำลังยกยิ้มบางๆ แต่ก็แค่แว่บเดียว ไม่กี่วินาทีถัดมาก็เปลี่ยนเป็นความเย็นชา
“ประโยคที่เด็กคนนั้นพูดออกมาตอนเห็นหน้าชั้นคือ..พี่เปรม.. ” ไอ้ปลื้มเหลือบหางตามาที่ผมพร้อมกับจุดยิ้มตรงมุมปาก
“นั่นหมายความว่า.. ชั้นแพ้นายอีกแล้วล่ะพี่ชาย..”
ผมไม่แน่ใจว่าเพราะเราเป็นฝาแฝดกันหรือเพราะไอ้ปลื้มไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ผมถึงสัมผัสได้ในน้ำเสียงที่เจ็บปวดนั้นได้อย่างชัดเจน
“กูเจอกับพบรักตอนค่ายซัมเมอร์ของเด็กเตรียมเข้ามหาวิทยาลัย”
เสียงหัวเราะ ‘หึๆ’ เบาๆ ดังในลำคอของไอ้ปลื้ม
“ทุกครั้งที่เจอ.. เด็กนั่นก็เอาแต่เรียกชั้นว่าพี่เปรม.. ทั้งน้ำเสียงและแววตาเวลาที่เอ่ยชื่อนายมันทำให้ชั้นเจ็บปวดก็จริงแต่ชั้นก็มีความสุขทุกครั้งที่ได้เห็นรอยยิ้มนั่น.. จนชั้นกลัวว่าถ้าหากบอกความจริงออกไปว่าชั้นไม่ใช่นายแล้วเด็กนั่นจะยังยิ้มให้ชั้นแบบเดิมรึเปล่า..”
เพราะแบบนี้สินะไอ้ปลื้มถึงต้องหลอกพบรักว่าเป็นผม เพราะมันชอบพบรักจริงๆ
“ยิ่งได้รู้จัก.. ยิ่งได้อยู่ด้วยกัน.. ชั้นก็ชอบพบรักมากขึ้น.. แต่การที่ยิ่งชอบและยิ่งรักก็เหมือนว่าเรายิ่งห่างกันมากขึ้นเพราะไม่ว่าจะยังไงในสายตาของพบรักชั้นก็คือนาย.. ชั้นจึงต้องตัดใจทิ้งพบรักไว้ให้นายรับผิดชอบ” ไอ้ปลื้มหันมายักคิ้วให้ผมด้วยท่าทางที่กวนบาทา
“ขอบคุณที่นายไม่ผลักไสเด็กคนนั้น.. และขอบคุณที่นายรักษารอยยิ้มของพบรักไว้ได้อย่างดี”
น่าแปลกครับที่ประโยคของไอ้ปลื้มทำให้ผมพูดอะไรไม่ออก ผมว่าผมเข้าใจความรู้สึกของไอ้ปลื้มแล้วล่ะครับ เพราะถ้าเป็นผมบางทีผมอาจจะทำแบบนั้นก็ได้ ความรักไม่ใช่เพียงเพื่อต้องการครอบครองแต่เพียงแค่ต้องการจะรักษาซึ่งความรู้สึกดีๆของคนๆ นั้นเอาไว้ต่างหาก
ผมมองไอ้ปลื้มนิ่งๆ โดยไร้ซึ่งคำพูดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเบือนหน้าไปมองสัญญาณไฟจราจร
“ชั้นอยากไปเจอพบรักเพราะคิดถึงก็จริง แต่ชั้นก็อยากจะไปดูให้เห็นกับตาว่าเขื่อนสบายดีรึเปล่า”
“พี่หมอดูแลไอ้เขื่อนเป็นอย่างดี.. ที่นั่นปลอดภัยและดีที่สุดสำหรับเขื่อน” ผมพูดความจริงครับ เพราะสิ่งที่ชีวิตของเขื่อนขาดมาตลอดคือความอบอุ่นและการเอาใจใส่ที่ดี ซึ่งครอบครัวของพี่ดินมีให้อย่างเพียบพร้อม การที่ให้เขื่อนไปอยู่กับไอ้ปลื้มก็ดีครับ แต่บ้านหลังใหญ่แบบนั้นถ้าไอ้ปลื้มไม่อยู่บ้าน ไอ้เขื่อนก็ต้องอยู่คนเดียว สุดท้ายแล้วมันก็ไม่ต่างจากสภาพเดิมๆ
“นายอยากรู้มั๊ยว่าทำไมเขื่อนถึงเป็นแบบนั้น?”
“กูไม่อยากรู้”
เสียงหัวเราะในลำคอดังขึ้นอีกครั้ง
“นายรู้แล้วสินะ”
และผมก็เงียบไม่ได้ตอบหรือพูดอะไรต่อเพราะสำหรับผมแล้วอดีตของไอ้เขื่อนเป็นสิ่งที่ไม่ควรจะรื้อฟื้น สิ่งที่ผมจะทำเพื่อน้องชายที่น่าสงสารคนหนึ่งได้คือปูพื้นอนาคตที่ดีให้ไอ้เขื่อนได้เดินไปอย่างมั่นคงต่างหาก ไอ้เขื่อนต้องเดินไปข้างหน้าโดยไม่ต้องหันกลับไปมองข้างหลังอีกเป็นอันขาด..
สัญญาณไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียว สี่ล้อขยับ พร้อมกับที่ไอ้ปลื้มได้ทำลายความเงียบ
“เขื่อนเป็นน้องชายที่น่าสงสาร”
คิ้วของผมขมวดเล็กน้อย
“กูเป็นพี่ชายที่แสนดีของน้องเท่านั้น”
คำพูดของไอ้เขื่อนชัดเจนจนผมไม่สามารถปฏิเสธความจริงตามที่ไอ้ปลื้มบอกได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างไอ้ปลื้มกับไอ้เขื่อนเป็นเพียงพี่และน้องเท่านั้น แม้อาจจะมีบ้างที่ผมสงสัยในพฤติกรรมของทั้งคู่ เพราะคนหนึ่งก็ดูจะหวงน้องชายจนเกินเหตุ ในขณะที่อีกคนก็บูชาพี่ชายไว้บนหิ้งห้ามใครแตะต้อง ทั้งนี้เพราะไอ้ปลื้มและเขื่อนต่างผ่านเรื่องอะไรต่อมิอะไรมาด้วยกันมากมายความผูกพันจึงมีมากเป็นธรรมดา ซึ่งถ้าจะให้พูดกันตามตรงผมต่างหากที่ดูเป็นพี่ชายที่แย่ ไม่เคยรู้และไม่เคยสนใจอะไรน้องชายของตัวเองเลย มันจึงสมควรที่ผมจะโดนน้องชายทั้งสองคนเกลียดครับ ว่าแต่ทำไมจู่ๆ ไอ้ปลื้มถึงได้เอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาล่ะครับ ผมหันไปมองไอ้ปลื้ม แต่ยังไม่ทันไรเจ้าตัวก็เฉลยความสงสัยของผมออกมา
“พบรักชอบมีสมมติฐานแปลกๆ คงคิดว่าชั้นหลงรักน้องชายตัวเองอยู่” คิ้วของไอ้ปลื้มขมวดน้อยๆ ก่อนจะเผยรอยยิ้มบางๆ
“แต่ก็น่ารักดี” ประโยคแผ่วเบาเหมือนว่าไอ้ปลื้มกำลังพูดกับตัวเอง แต่ผมได้ยินชัดเต็มสองหูเลยครับ ถ้าไม่ติดว่าไอ้ปลื้มกำลังขับรถอยู่คงได้โดนไปซักหมัด
“ไม่เกี่ยวกับพบรัก” ผมไม่ได้หึงนะครับ เพียงแต่บอกก่อนที่ไอ้ปลื้มจะเข้าใจผิดไปมากกว่านี้
หลังจากนั้นราวกับว่าบทสนทนาจบลงโดยปริยาย ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมาอีก เราทั้งคู่ต่างเงียบจนถึงบ้านของพบรัก แต่ก่อนจะลงจากรถไอ้ปลื้มรั้งผมไว้ด้วยคำถามของไอ้เขื่อน
“เรื่องเขื่อนนายจะเอาไงต่อ?”
“ให้ไอ้เขื่อนอยู่กับพี่หมอไปก่อน.. มึงเชื่อกูสักครั้ง.. พี่หมอดูแลไอ้เขื่อนได้ อีกอย่างพบรักก็อยู่ด้วยทั้งคน”
ไม่รู้เพราะชื่อของพบรักรึเปล่าไอ้ปลื้มจึงยอมพยักหน้าอย่างง่ายดาย ผมสาบานเลยครับว่าถ้าไม่เป็นแก่ความเป็นพี่น้องไอ้ปลื้มไม่มีวันเจอหน้าเมียผมแน่ๆ
เดินเข้าประตูรั้วมาก็เจอเจ้าของบ้านยืนอุ้มลูกชายยิ้มกว้างจนลักยิ้มบุ๋มลงไปทั้งสองข้างแก้ม ผมเดินเข้าไปกอดร่างบอบบางนั่นเต็มอ้อมอกแทบจะทันที
“คิดถึง” คนในอ้อมแขนบอกตอนที่เราผลัดกันหอมแก้มคนละฟอดสองฟอด
“บ๊อกๆ” เกือบลืมไปครับว่ามีไอ้เปี๊ยกอยู่ด้วย
“นี่มันหมาหรือหนอน?”
“บ๊อกๆ”
“พี่เปรมอ่ะ.. น้องเปี๊ยกงอนแล้วเนี่ย น้องเปี๊ยกก็คิดถึงพี่เปรมนะ”
“เออๆ กูก็คิดถึงมึง” ลูบกระหม่อมปลอบไปสองสามทีครับ ไม่ได้เอาใจไอ้เปี๊ยกหรอก เอาใจแม่ไอ้เปี๊ยกนี่แหละครับ
“อะแฮ่มๆ” เสียงขัดจังหวะดังขึ้นอย่างจงใจทำให้พบรักต้องผละอ้อมกอดของผมออก
“พี่ปลื้ม?”
“อย่าบอกนะว่าเพิ่งเห็นพี่.. แล้วนี่ใคร?”
“อ่อ.. นั่นพี่โทชิโอะ.. พี่ชายของผมเองเพิ่งมาจากญี่ปุ่น”
“พี่ชาย?” ไอ้ปลื้มทำหน้าตาเหมือนไม่เชื่อแต่เอาจริงๆ ถ้าผมเป็นไอ้ปลื้มผมก็ไม่เชื่อครับ
“มายืนคุยอะไรกันตรงนี้.. เข้ามาคุยในบ้านสิจ๊ะ” ขอบคุณคุณแม่เจโกะที่มาช่วยลูกชายได้ทันเวลา
ผมมองไปที่คุณโทชิโอะ ฝ่ายนั้นมองผมกลับแบบนิ่งๆ ซึ่งด้วยอีกฝ่ายอายุมากกว่าดังนั้นตามมารยาททางสังคมผมจึงต้องเป็นฝ่ายค้อมศีรษะลงก่อน ทักทายกันแค่นั้นก่อนจะเดินเข้าบ้านไปเงียบๆ
อาหารมื้อเที่ยงผ่านไปด้วยดี แม้ว่าผมอยากจะลุกขึ้นคว่ำโต๊ะหลายรอบเพราะสายตาและคารมกรุบกริบของไอ้ปลื้มที่ทำเอาแม่ยายของผมเขินอายม้วนหรือแม้แต่คุณเมียตัวดียังหัวเราะชอบใจไปกับมุกฝืดๆ ของไอ้ปลื้มด้วย แต่นอกจากผมแล้วคงมีคุณโทชิโอะอีกคนมั้งครับที่นิ่ง สงบ สยบทุกอย่างจริงๆ
“เดี๋ยวพี่ขอไปหาเขื่อนก่อนนะ” หลังจากสนทนาพาเพลินหลังมื้อเที่ยงกับคุณแม่ยายของผมได้พักใหญ่ไอ้ปลื้มก็ขอตัวไปหาไอ้เขื่อนครับ
พบรักอาสาไปส่งไอ้ปลื้มที่บ้านโน้น ผมอยากจะรั้งเอาไว้ แต่เพราะมีสายตานิ่งๆ ของคุณโทชิโอะคอยจับจ้องอยู่ ผมจึงต้องเก็บความรู้สึกและนิ่งขรึมให้มากที่สุด ก่อนจะขอตัวคุณแม่ยายขึ้นมาพักผ่อนบนห้องนอน
ผมโทรหาคุณแม่คุยเรื่องกำหนดการงานเลี้ยงของโรงพยาบาลที่จะจัดขึ้นในวันพรุ่งนี้ มันเป็นงานเลี้ยงที่โรงพยาบาลได้ร่วมทุนกับบริษัทผลิตเครื่องมือแพทย์รายใหญ่ของต่างชาติแห่งหนึ่ง คุณตากับคุณยายดูจะภูมิใจมากเพราะนอกจากจะถือเป็นความก้าวหน้าทางการแพทย์อีกขั้นของไทยแล้วยังหมายถึงกำไรมหาศาลด้วยยังไงล่ะครับ ถ้าจะให้พูดกันตามตรงผมก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้ แต่เนื่องจากเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมาจู่ๆ คุณแม่ก็โทรมาหาผมบอกว่ามีธุระด่วนจะคุยด้วยทำให้ผมรีบมาจากสกลนคร ซึ่งเรื่องที่ว่าก็คือคุณแม่ขอร้องให้ผมไปร่วมงานเลี้ยงในวันพรุ่งนี้ด้วยในฐานะลูกชายของคุณพ่อและคุณแม่ ซึ่งถ้าหากคุณแม่ลงทุนขอร้องผมขนาดนี้แน่นอนครับว่าไอ้ปลื้มก็ไม่รอดเหมือนกัน
นัดแนะกับคุณแม่เสร็จเรียบร้อย ผมก็เดินไปดูตรงหน้าต่างว่าทำไมป่านนี้แล้วพบรักถึงยังไม่กลับมา ไปส่งกันถึงไหน บ้านพี่หมอก็อยู่แค่นี้ ใจหนึ่งอยากจะตามไปดูแต่อีกใจก็คิดว่าผมควรจะใจเย็นให้มากกว่านี้ ผมควรให้พบรักมีชีวิตของตัวเองบ้าง เพราะฉะนั้นผมจึงต้องลดระดับความฟุ้งซ่านของตัวเองด้วยการอาบน้ำ
ผ่านไปหลายสิบนาที อารมณ์ของผมกลับมาคงที่ และมันยิ่งดีขึ้นเมื่อเปิดประตูห้องน้ำมาแล้วได้เจอเด็กหนุ่มหัวเกรียนกับน้องหมาที่หน้าตาอมตีนตลอดเวลา ผมยักคิ้วให้เด็กหนุ่มที่ส่งสายตาลวนลามมาให้ ก่อนจะเดินไปหาเสื้อผ้าใส่ จากนั้นจึงหยิบผ้าขนหนูมาซับผมที่ชื้น
“ไอช่วย” ผ้าขนหนูในมือโดนแย่งไป ผมถูกลากให้มานั่งตรงเก้าอี้หน้ากระจกจากนั้นก็ยัดเยียดสัตว์โลกหน้าย่นหูตั้งมาให้ ผมจับมันอุ้มขึ้นห้อยโตงเตงตรงหน้า เมื่อได้มองหน้าไอ้เปี๊ยกแบบชัดๆ ก็อดที่จะยิ้มไม่ได้
“โตขึ้นนะมึง” จากตัวแค่คืบโตขึ้นเป็นสองคืบแล้วครับ
“บ๊อกๆ”
“ไม่ต้องมาเห่าใส่กูเลย เหม็นน้ำลาย”
“พี่เปรม”
ว่านิดว่าหน่อยไม่ได้ครับส่งเสียงต่ำปรามมาทันที
“บ๊อกๆๆ”
ไอ้เปี๊ยกก็ใช่ย่อยมีแม่ให้ท้ายหน่อยส่งเสียงข่มผมใหญ่เชียวหมั่นไส้จริงๆ
“หล่อสัส! เลยนะมึง”
“พี่เปร๊ม!”
นอกจากเสียงที่สูงปรี๊ด แล้วยังมีหมัดหลุนๆ ต่อยลงบนต้นแขนผมด้วย เห็นพบรักตัวเล็กๆ แบบนี้แต่ก็แรงผู้ชายนะครับ เจ็บใช่ย่อย แต่ผมจะทำอะไรได้ล่ะครับนอกจากวางไอ้เปี๊ยกลงบนตักแล้วลูบหัวปลอบ
“หงิ๊งงงง” ร้องเสียงเคลิ้มแบบนี้แสดงว่าผมทำถูกใจไอ้เปี๊ยกครับ แล้วก็ยังทำให้แม่ไอ้เปี๊ยกพอใจอีกด้วย ผมมองใบหน้าน่ารักที่กำลังอมยิ้มแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้า
พบรักช่วยเช็ดผมจนหมาด ผมก็ลุกขึ้นไปนั่งทำงานที่โต๊ะคอมพ์ ในขณะที่พบรักนั่งเล่นอยู่บนพื้นตรงปลายเตียงกับไอ้เปี๊ยก และนานพอดูที่ผมตกอยู่ในโหมดของการทำงานอย่างจริงจัง กว่าจะรู้สึกตัวก็ตอนที่เหมือนมีสายตาของใครบางคนกำลังจับจ้องอยู่ ทำให้ผมต้องหันไปมอง ก็ได้พบกับดวงตาสีดำกลมโตกำลังมองผมจากพื้นตาแป๋ว มีการเอียงคอไปมาทำหน้าตาเป็นเด็กปัญญาอ่อนขี้สงสัยอีกต่างหาก
“มีไร?”
“บ๊อกๆ บ๊อกๆ”
“น้องเปี๊ยกอยากถามพ่อเปรมว่าพี่ปลื้มกับเขื่อนไม่ได้.. ซัมติ้งกันเหรอ?”
ไอ้เปี๊ยกเห่าตอบ แต่เสียงพูดอธิบายเป็นเสียงของแม่ไอ้เปี๊ยกครับ แม่ลูกคู่นี้เค้าเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยมาตั้งแต่สมัยไอ้เปี๊ยกยังเป็นเวอร์ชั่นชิวาวาโน่นแหละครับ
ผมปิดคอมพ์ แล้วหันไปมองพบรักที่นั่งส่งสายตาใสๆ มาให้ เห็นแล้วก็อยากจะเดินไปเขกกบาลเหม่งๆ เกรียนๆ นั่นสักที ก่อนหน้านี้ผมอุตส่าห์มั่นใจแก้ตัวไปกับไอ้ปลื้มว่าพบรักไม่ได้เกี่ยวข้องกับความสงสัยในความสัมพันธ์ของทั้งคู่แม้แต่น้อย แล้วนี่มันอะไรกัน มาตอกย้ำเข้าไปอีกว่าไอ้ปลื้มรู้จักพบรักดีแค่ไหน แต่แม้จะรู้สึกหงุดหงิดในหัวใจก็จริงแต่ก็ใช่เรื่องที่ผมจะต้องมานั่งหึงกับอดีตที่ไม่มีทางกลับไปได้ ผมจับไอ้เปี๊ยกขึ้นอุ้มด้วยแขนข้างเดียวแล้วลุกขึ้นเดินไปหย่อนก้นลงนั่งข้างๆ แม่ไอ้เปี๊ยก
“ไปญาติดีกับไอ้เขื่อนตั้งแต่เมื่อไหร่?” เรื่องนี้ผมสงสัยมาตั้งแต่ตอนมื้อเที่ยงแล้วครับ พบรักเรียกเขื่อนว่าน้อง และดูจากที่ฟังๆ แล้วเหมือนว่าไอ้เขื่อนเองก็นับถือพบรักมากๆ
“เมื่อสองสัปดาห์ที่แล้ว เดี๋ยวไอค่อยเล่าให้พี่เปรมฟัง ตอนนี้ตอบคำถามไอมาก่อนเรื่องพี่ปลื้มกับเขื่อน”
“แค่พี่น้อง” ตอบตามความจริง แต่คนฟังนี่เบิกตาโตไม่เชื่อเต็มที่ ผ่านไปหลายวินาทีพบรักคงจะเห็นว่าผมยังคงนิ่ง จึงยอมเชื่อครับ
“พี่โทชิอะทำงานพลาดนะเนี่ย” บ่นพึมพำเบาๆ ก่อนจะทำปากยื่นกลบเกลื่อนอาการเสียฟอร์ม น่ารักดีเหมือนกันครับ นานๆ ที่ผมจะได้เห็นพบรักในท่าทางแบบนี้ และจากประโยคพึมพำเมื่อครู่ก็ทำให้ผมรู้ว่าพบรักคงจะให้คุณโทชิโอะไปสืบอะไรมาแน่ๆ บางทีตอนนี้พบรักอาจจะรู้เรื่องของไอ้เขื่อนดีกว่าผมอีกก็เป็นได้
“ไอ้ปลื้มมันมีคนที่ชอบอยู่แล้ว” หยิกจมูกไปหนึ่งทีด้วยความหมั่นเขี้ยว
“นั่นสินะ” เอียงคอกลอกตาไปมาก่อนจะระบายยิ้มเจ้าเล่ห์
ใบหน้าน่ารักยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนปลายจมูกของเราแทบจะชนกัน
“หึงเหรอ?”ดวงตาคู่ใสทอประกายวิบวับแฝงไปด้วยความขี้เล่น
ผมประคองใบหน้าของพบรักไว้ แล้วจูบเบาๆ ที่ริมฝีปากนิ่ม
“ถ้ากูหึงจริงๆ มึงได้นอนซมอยู่บนเตียงทั้งอาทิตย์แน่” ขู่ขนาดนี้ แต่สุดที่รักของผมกลัวซะที่ไหน มีการยักคิ้วและกระตุกยิ้มท้าทายซะด้วย
ผมจับพบรักขึ้นมานั่งคร่อมตักแล้วแรงโน้มถ่วงของโลกก็ทำให้ริมฝีปากของเราดึงดูดเข้าหากันแบบอัตโนมัติ นอกจากความคิดถึงก็คงจะเป็นความโหยหาซึ่งกันและกัน ทุกสิ่งทุกอย่างของพบรักทำให้ผมคลั่งได้เสมอ ริมฝีปากนิ่มๆ กลิ่นกายหอมๆ และร่างเล็กที่ไม่ว่าจะบีบขย้ำตรงไหนก็พอดีมือไปซะหมด แต่ผมต้องควบคุมอารมณ์เอาไว้แค่นี้ครับ
พบรักจ้องหน้าผมแบบงงๆ และแฝงไปด้วยความไม่พอใจ ผมเกลี่ยแก้มใสที่ขึ้นสีระเรื่อเบาๆ
“พรุ่งนี้กูไปงานเลี้ยงของโรงพยาบาล มึงต้องไปกับกู” บอกให้รู้ว่าที่หยุดเพราะพรุ่งนี้มีงาน เพราะถ้าสานต่อผมไม่หยุดแค่หนึ่งหรือสองยกแน่นอนครับ
ผมไม่มั่นใจว่าผมพูดอะไรผิด ทำไมพบรักถึงได้ดูตกใจและลนลานผิดปกติ
“พรุ่งนี้? พี่เปรมต้องไปด้วยเหรอ?”
“อืม”
“คุณตากับคุณยายของพี่เปรมให้อภัยแล้วเหรอ?”
ที่แท้พบรักก็คงจะกังวลเรื่องครอบครัวของผม
“เปล่า”
“แล้ว พ พี่เปรมไปทำไมอะ?”
“ไปในฐานะลูกชายของคุณพ่อคุณแม่” แม้คุณตากับคุณยายจะตัดผมออกจากความเป็นหลาน แต่ผมก็ยังเป็นลูกชายของคุณพ่อและคุณแม่ครับ
แก้มใสๆ เมื่อครู่เปลี่ยนเป็นซีดเผือดจนผมแปลกใจ ในขณะที่ผมพยายามจ้องในดวงตาคู่ใส แต่พบรักกลับหลบสายตา ดูไม่เป็นตัวของตัวเองอย่างชัดเจน
“เป็นไร?”
“คือพรุ่งนี้ ไอ ไอนัดกับไอ้ดีนไว้ ว่าจะ..”
“ยกเลิก”
“แต่คุณป้าพิ..”
ขณะกำลังจะหาข้ออ้างพบรักเงยหน้าขึ้นพอดี เราจึงได้สบตากันตรงๆ และมันก็ทำให้พบรักเปลี่ยนคำตอบออกมาเสียงแผ่วว่า
‘ยกเลิกก็ได้’ แถมยังทำปากยื่นแก้มป่องให้รู้ว่างอนอีก ผมจึงต้องยกมือขึ้นลูบหัวเกรียนเพราะใจไม่แข็งพอ
“นัดกี่โมง”
“แต่เช้าเลย เช้ามาก แบบตั้งแต่หกโมงเช้าเลย”
“งั้นเจอกันที่โรงแรมตอนสิบเอ็ดโมง”
คนฟังทำท่าคิดนิดนึง ก่อนจะพยักหน้าแบบจำยอม
.
.
.
.
เช้าวันรุ่งขึ้น พบรักออกไปตั้งแต่เช้าจริงๆ ครับ พาไอ้เปี๊ยกไปด้วยออกไปพร้อมกับคุณแม่ยายและคุณป้าพิมพ์ โดยมีคุณโทชิโอะเป็นสารถี ในขณะที่ผมนัดกับคุณพ่อ คุณแม่ และน้องปิ่นไว้สิบโมงที่โรงแรม ผมจึงไม่รีบเท่าไหร่ ไปถึงงานก็ไม่ต้องไปยืนต้อนรับแขกเหมือนเมื่อก่อนแล้วครับ เพราะแค่ผมจะเข้าไปทักทายคุณตากับคุณยาย ท่านทั้งสองยังไม่รับไหว้หรือมองหน้าผมด้วยซ้ำ
“น้องพบรักล่ะคะ คุณเปรม?” คุณแม่เดินมาถามผมหลังจากที่ผมแยกออกมาจากไอ้ปลื้มและน้องปิ่นได้พักใหญ่เพื่อมารอพบรัก
“นัดไว้สิบเอ็ดโมงครับ ยังไงคุณพ่อกับคุณแม่เข้าไปด้านในก่อนดีกว่าครับ”
“ไว้เดี๋ยวถ้าลูกสะใภ้คุณพ่อมาก็พาเข้ามาเลยนะ วันนี้คุณตาคุณยายไม่สนใจใครหรอกนอกจากผู้ร่วมทุน” คุณพ่อเอ่ยล้อคุณตาคุณยาย แต่ผมก็เห็นด้วยกับคุณพ่อนะครับ ตั้งแต่งานเริ่มคุณตากับคุณยายยังไม่ห่างจากเจ้าของบริษัทผลิตเครื่องมือแพทย์ยักษ์ใหญ่จากญี่ปุ่นที่มาร่วมทุนกับโรงพยาบาลเลยแม้แต่วินาทีเดียว
คุณพ่อคุณแม่เดินเข้างานไปครู่ใหญ่แล้ว ไอ้ปลื้มเพิ่งมาเมื่อครู่ทักทายกันแค่ไม่กี่คำน้องปิ่นก็ออกมาตาม ผมจึงให้ทั้งคู่เข้าไปก่อน และตอนนี้อีกห้านาทีจะสิบเอ็ดโมง แต่ผมโทรหาพบรักเป็นสิบรอบก็ไม่ยอมรับสาย
“คุณเปรม?”
ผมหันมองตามเสียงที่เรียก
“ไม่คิดว่าคุณเปรมก็มาด้วย ปุ๋ยน้อยดีใจจังเลยค่ะ ว่าแต่ทำไมคุณเปรมไม่เข้าไปด้านในล่ะคะ?”
เธอมองหน้าผมอย่างคาดหวัง จะว่าไปปุ๋ยน้อยก็นับว่าเป็นผู้หญิงที่น่ารักคนหนึ่งเลยครับ ยิ่งวันนี้เธอสวมชุดเดรสสั้นสีหวานดูเรียบร้อยยิ่งทำให้เธอดูน่ารักสดใสมากยิ่งขึ้น แต่เธอก็ไม่ใช่คนที่ผมจะมอบหัวใจให้อยู่ดี
“ไปกับปุ๋ยน้อยมีแต่คุณตากับคุณยายจะดีใจนะคะ”
เพราะผมไม่ตอบ ปุ๋ยน้อยจึงคะยั้นคะยอและเพิ่มลูกอ้อนด้วยการเกาะแขนของผมเขย่าเบาๆ
“ขอโทษนะปุ๋ยน้อย ผมรอเมียอยู่”
ผมไม่ได้สะบัดมือของเธอออกครับ แต่คำตอบของผมทำให้ปุ๋ยน้อยชะงักไปครู่หนึ่ง ดวงตาสดใสที่เต็มไปด้วยประกายเริงร่าเมื่อครู่หายไปทันที
“ไม่กระดากปากบ้างรึไงคะ เรียกผู้ชายด้วยกันว่าเป็น...”
“เมียก็คือเมีย” จะเปลี่ยนให้เมียเป็นแม่หรือเป็นผัวมันก็ไม่ใช่วิถีชีวิตของผมครับ
“คุณเปรม!”
“พี่เปรม”
ชื่อของผมถูกเปล่งออกมาพร้อมกันจากคนสองคนที่ต่างอารมณ์
“คุณแม่ให้มาตามค่ะ” น้องปิ่นเดินมาเกาะแขนของผมอีกข้างแล้วพาลากเข้างานโดยไม่สนใจหรือรออะไรทั้งนั้น
สิบเอ็ดโมงสามสิบนาทีผมยังติดต่อพบรักไม่ได้ ลองถามจากเพื่อนสนิทของพบรักอย่างไอ้ดีนฝ่ายนั้นก็ส่ายหน้าท่าเดียว ขนาดน้องปิ่นช่วยถามมันก็ยังส่ายหน้าบอกไม่รู้เลยครับ อาการแบบนี้ส่อพิรุธอย่างชัดเจน แต่ผมก็ไม่โทษคนอื่นหรอก คนที่ทำให้อารมณ์ของผมก็อยู่ในระดับที่หงุดหงิดและเป็นกังวลคือพบรักคนเดียวต่างหาก
ผมเดินแยกออกมาจากน้องปิ่นและไอ้ปลื้ม แต่เพราะถูกเพื่อนของคุณตาเรียกไว้ก่อนจึงทำให้ปุ๋ยน้อยได้โอกาสเข้ามาเกาะแขนผมอีกรอบและผมก็มีมารยาทพอที่จะไม่สะบัดเธอออกไปต่อหน้าผู้ใหญ่ คุยกันไม่นานผมก็ขอปลีกตัวออกมา แต่สายตาของผมก็บังเอิญไปเจอกับใครบางคนที่สะดุดตาจนทำให้ผมต้องหยุดมอง เธอเป็นเด็กสาว ผมยาวเป็นลอนด์ช่วงปลาย สวมเสื้อแขนยาวสีอ่อนคู่กับกระโปรงบานลายสก๊อตสีเข้ม สวมรองเท้าทรงบัลเลย์สีเดียวกับกระโปรง เป็นการแต่งตัวที่ดูง่ายๆ แต่งตัวดูดี มีชาติตระกูล เพียงแค่นี้ก็รู้แล้วว่าเด็กสาวคงเป็น
‘คุณหนู’ อย่างแท้จริง และตอนนี้ดูเหมือนว่าเธอกำลังจะมองมาทางผม ในเศษเสี้ยววินาทีที่เราสบตากันและก่อนที่เธอจะหันกลับไปนั้นผมเห็นสีหน้าที่แสดงถึงความไม่พอใจ
“ปุ๋ยน้อยเรียกคุณเปรมตั้งนานแล้วนะคะ ใจลอยไปถึงไหนเนี่ย?”
แรงกระตุกที่แขนทำให้ผมออกจากภวังค์ ผมมองปุ๋ยน้อยก่อนจะดึงเอาแขนตัวเองออกจากการเกาะเกี่ยวอย่างมีมารยาทที่สุด จากนั้นสองเท้าของผมก็เดินตรงไปยังเป้าหมาย โดยไม่ได้สนใจสายตาหรือคนอื่นใด ผมจึงไม่รู้ว่าคุณตาและคุณยายกำลังทำสีหน้าแบบไหนตอนที่ผมเดินเข้าไปแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย เพราะตอนนี้คนที่อยู่ในความสนใจของผมในขณะนี้มีแค่คนเดียวนั่นคือสาวน้อยตรงหน้านี่แหละครับ
ใบหน้าที่ฉาบด้วยเครื่องสำอางโทนอ่อนทำให้เด็กสาวดูสวยใสและน่ารักสมวัย แม้การแสดงออกจะเรียบนิ่งและออกจะติดบึ้งตึงด้วยซ้ำ แต่ผมก็คิดว่ามันน่ารักอยู่ดี
“ท่านนี้คือคุณอิเคดะ ยูมิโกะ ผู้บริหารระดับสูงของอิเคดะกรุ๊ป ส่วนนั่นหลานสาวคนเดียวของท่าน คุณหนูอิเคดะ ไอ.. ส่วนนี่หลานชายดิชั้นเองค่ะ ชื่อเปรมนทีป์ เพิ่งเรียนจบแพทย์เมื่อไม่นานมานี้” คุณยายแนะนำผมให้อีกฝ่ายรู้จักด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แต่ผมรู้ครับว่าคุณยายทำไปเพียงเพราะรักษามารยาททางสังคมเท่านั้น เพราะจะให้ไล่ผมออกไปตอนนี้คงจะดูไม่ดีแน่ๆ
ผมค้อมศีรษะให้อีกฝ่าย ซึ่งเป็นผู้หญิงอายุน่าจะไล่เลี่ยกับคุณยาย ท่านแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าเรียบหรูสมวัย กิริยามารยาทและบุคลิกท่าทางสมกับเป็นผู้ดีตามแบบฉบับสาวญี่ปุ่นโดยแท้ ซึ่งรูปร่างหน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกับคนที่ผมรู้จักมากๆ แต่นั่นไม่สำคัญไปกว่า..
หลานสาว? ขณะที่ล่ามกำลังอธิบายภาษาไทยจากคุณยายให้ฝ่ายตรงข้ามฟัง ผมก็ไม่สามารถละสายตาไปจากคุณหนูอิเคดะได้เลยครับ ฝ่ายคุณหนูเองก็ไม่ได้หลบตาผมแต่อย่างใด จะมีเพียงแค่ปฏิกิริยาเผลอกัดริมฝีปากตัวเองเพราะกำลังรู้สึกประหม่า ยิ่งทำแบบนั้นอารมณ์หงุดหงิดขุ่นมัวและความกังวลต่างๆ ก่อนหน้านี้ได้หายไปในพริบตา
จนเมื่อคุณอิเคดะ ยูมิโกะ พยักหน้ารับคำแปลจากล่ามแล้วมองผมด้วยรอยยิ้มบางๆ ท่านเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างแต่สุดท้ายก็ไม่พูดแต่เปลี่ยนไปทางหลานสาวแทน ก่อนจะมองมาที่ผมด้วยใบหน้านิ่งเรียบแตกต่างจากเมื่อครู่
“คุณเปรม.. กำลังเสียมารยาทอยู่นะ” คุณยายปรามผมด้วยเสียงไม่พอใจ
ผมหันไปมองคุณตาและคุณยาย แล้วกลับมาค้อมศีรษะให้คุณคุณอิเคดะ ยูมิโกะ
“ผมว่าผมเจอแล้วล่ะครับ”
“เจออะไร?” คุณตาถามด้วยเสียงนิ่งทุ้มต่ำนั่นแสดงว่าท่านกำลังโกรธ แต่ผมไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะสนใจ ใครหรืออะไรทั้งนั้น เพราะวินาทีนี้ในสายตาของผมมีเพียงคนๆ เดียว ผมกระตุกยิ้มให้ตัวเองก่อนจะตอบคำถามของคุณตาอย่างมั่นใจ
“ผมเจอภรรยาของผมครับ”
จะมีผู้ชายสักกี่คนที่จำ
‘เมีย’ ของตัวเองไม่ได้บ้างครับ?
.
.
.
.
.
TBC..
ขอบคุณทุกคะแนนจากการโหวต SENGPED AWARDS 2015 [ครั้งที่ 9] รอบตัดสิน หัวข้อ นายเอกยอดเยี่ยม ที่มีให้น้องไอนะคะ แม้จะรั้งท้ายแต่ก็ดีใจมากๆ ที่มีคนอ่านคิดถึงและรักน้องไอ ในฐานะแม่น้องไอ(?) รินขอขอบคุณคนอ่านทุกคนมากๆๆ นะคะ
รินขอฝากเพจด้วยนะค่ะ
รินยังเป็นนักเขียนมือใหม่เพจแรกในชีวิต บอกตามตรงว่าตื่นเต้นมากค่ะ
ยังไงฝากเพจไว้แนะนำ ติชม และติดตามกันด้วยนะคะ
