Miracle of LOVE ผมเรียกมันว่าปาฏิหาริย์แห่งรัก
-42-
ชีวิตของผมกลับสู่สภาวะปกติ เพราะคุณยายกลับไปญี่ปุ่นและพี่เปรมก็กลับไปทำงานตามหน้าที่ได้หนึ่งเดือนแล้วครับ และวันเกิดพี่เปรมอายุครบยี่สิบหกปีเพิ่งจะผ่านมาเมื่อสองอาทิตย์ก่อน ซึ่งผมก็ทำได้แค่ร้องเพลงและเป่าเค้กวันเกิดผ่านวีดีโอคอล แตกต่างจากวันเกิดของเขื่อนในวันนี้ เราจัดงานปาร์ตี้บาร์บีคิวเล็กๆ กันที่สนามหน้าบ้านของผม และไหนๆ ก็ใกล้จะถึงวันคริสมาตส์และวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ คุณลุงเด่นจึงถือโอกาสจัดรวบเป็นงานเดียวกันซะเลย เชิญแขกประจำอย่างคุณลุงศักดิ์และน้าทิพย์ อีกทั้งยังมีแขกพิเศษอย่างพี่ปลื้มและน้องปิ่นก็มาด้วยครับ และซึ่งถ้าหากพี่เปรมอยู่ด้วยก็คงดี แต่ผมก็ได้แค่คิดเท่านั้นครับ
เขื่อนบอกกับผมว่าครั้งสุดท้ายที่มีงานวันเกิดคือเมื่อตอนอายุเจ็ดขวบ แต่พี่ปลื้มไม่เคยลืมวันเกิดของเขื่อนและยังเป็นคนเดียวที่มอบของขวัญให้เขื่อนมาโดยตลอด ซึ่งของขวัญที่ได้จากพี่ปลื้มไม่ว่าจะเป็นอะไรเขื่อนก็ดีใจจนร้องไห้ทุกครั้ง อย่างครั้งนี้ที่ผมเพิ่งได้มาเห็นกับตา เขื่อนเลือกแกะของขวัญจากพี่ปลื้มเป็นกล่องสุดท้าย และรเขื่อนก็โผเข้ากอดพี่ปลื้ม ฝ่ายนั้นรับกอดอย่างเดียวไม่พอยังมีจูบกระหม่อมไปสองสามครั้งด้วย แล้วดูสิขนาดงานใกล้จะเลิกทั้งคู่ยังไม่ห่างจากกันเลย แบบนี้จะไม่ให้ผมคิดว่าคู่นี้มีอะไรเกินพี่น้องได้ยังไงล่ะครับ
“กูจะฟ้องพี่เปรม” จู่ๆ ไอ้เพื่อนรักก็เอ่ยชื่อบุคคลอันเป็นที่เคารพของผมขึ้นมา ผมจึงต้องหันไปมองไอ้ดีนอย่างไว
“มึงหึงพี่ปลื้มกับน้องเขื่อน กูมีคลิปเป็นหลักฐาน สายตาและสีหน้าของมึงชัดเจนมาก และกูก็มีน้องปิ่นกับน้องเปี๊ยกเป็นพยาน งานนี้มึงดิ้นไม่รอดแน่ พี่เปรมเอามึงจนลุกไม่ขึ้นแน่”
ไอ้ดีนพล่ามจบ ผมนี่ขึ้นเลยครับ ไม่ใช่ลุกขึ้นนะครับ แต่ตีนกระดกขึ้นถีบเก้าอี้มันไปแบบเต็มแรงจนไอ้ดีนกลิ้งไปนอนหงายเงิบอยู่บนสนามหญ้า ส่วนน้องปิ่นก็แทนที่จะช่วยแฟนตัวเองกลับนั่งหัวเราะจนน้ำตาเล็ดน้ำตาไหล ไอ้ดีนลุกขึ้นมาโอดครวญโกรธแค้นผมอยู่พักใหญ่ น้องปิ่นคงจะสงสารเลยชวนไอ้ดีนให้ช่วยยกถาดผลไม้ไปให้ผู้ใหญ่ที่กำลังร้องคาราโอเกะกันอยู่ในบ้านครับ ซึ่งสวนทางกับพี่ดินที่เดินออกมาพอดี
“น้องอยากกินกุ้ง” ทำหน้าตาปริบๆ อ้อนไปด้วย พี่ชายที่กำลังจะเดินมาทางผมเลยต้องวกกลับไปตรงเตาปิ้งย่าง ให้พี่แม่บ้านช่วยหนีบกุ้งหนีบปูเผาใส่จานพร้อมน้ำจิ้มซีฟู้ดมาให้
นอกจากพ่อ ก็มีพี่ดินนี่แหละครับที่คอยแกะกุ้งแกะปู ปอกโน่นปอกนี่ให้ผมกินตั้งแต่เด็กยันโตจนป่านนี้ก็ไม่เคยบ่นสักคำ
“พี่ดิน”
“อืม?”
“พี่ดินคิดยังไงกับเขื่อน?”
“หืม?” พี่ชายเลิกคิ้วแล้วมองผมสลับกับเขื่อนแว่บหนึ่ง จากนั้นก็ส่งกุ้งที่แกะเสร็จแล้วให้ผม
“พี่รักเรามากกว่าอยู่แล้ว อิจฉาเป็นเด็กไปได้”
แทบสำลักกุ้งเลยครับ โอเค ผมยอมรับว่าเรื่องอิจฉามันก็มีบ้างอะไรบ้าง แต่สำหรับคำถามนี้พี่ชายกำลังเข้าใจน้องผิดประเด็นอยู่นะ เอาเป็นว่าผมจะขอต้องตั้งคำถามใหม่ล่ะกัน
“พี่ดินแยกห้องนอนกับเขื่อนแล้วเหรอ?”
“ตอนนี้เขื่อนสามารถควบคุมอารมณ์และเปิดใจยอมรับคนรอบข้างได้มากขึ้น สามารถอยู่คนเดียวได้และรู้จักที่จะอยู่ร่วมกับคนอื่นได้แล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังอยู่ในระยะที่ต้องดูแลอย่างใกล้ชิด” ร่ายยาวมาเป็นวิชาการงานหมอกันเลยทีเดียว
“การรักษาล้วนๆ?”
“อะไรของมึง?” คิ้วเริ่มขมวดแล้วครับ ผมจึงต้องรีบหาเรื่องแถออกนอกประเด็น
“น้องอยากกินปู” ทำปากจู๋น่ารักไปด้วย และมันก็ได้ผล พี่ดินเลิกขมวดคิ้วแล้วแกะปูให้ผมต่อ
สรุปประเด็นดินเขื่อน ไม่มีอะไรซัมติ้งในกอไผ่ ผมหันสบตาโตๆ ของน้องเปี๊ยกที่กำลังเล่นมุ้งมิ้งอยู่กับน้องเน่า เด็กน้อยส่งซิกสัญญาณไปทางเตาปิ้งย่าง ตรงนั้นมีพี่แม่บ้านกำลังจัดเก็บของและมีพี่โทชิโอะกำลังช่วยเขี่ยถ่ายในเตาไฟ
ผมหันกลับมารับก้ามปูเนื้อแน่นๆ ชุ่มไปด้วยน้ำจิ้มซีฟู้ดรสเด็ดฝีมือคุณป้าพิมพ์ ทันทีที่เข้าปากผมสัมผัสได้ถึงความสดที่ผสานลงตัวกับความแซ่บ อร่อยเหาะไปเลยครับ
“พี่ดิน”
“อืม?”
“พี่ดินว่าเขื่อนกับพี่โทชิโอะดูเหมาะสมกันป่ะ?”
พี่ดินส่งปูที่แกะแล้วให้ผมอีกชิ้น จากนั้นก็หันมองพี่โทชิโอะกับเขื่อนสลับกันไปมา แล้วหันมามองผม
“ก็เค้าเป็นแฟนกัน”
“อ้อ” แบบนี้นี่เอง
เฮ้ย!! ไม่ใช่สิ! เดี๋ยวนะ!?!“เห๋-----------?!” ลากเสียงยาว เบิกตาโต อ้าปากค้าง
นี่คืออาการของการตกอยู่ในสภาวะเงิบบวกสตั๊นอย่างสมบูรณ์แบบ ผมพลาดเรื่องนี้ตอนไหน?! อะไร? เมื่อไหร่? ยังไง? แวร์ ว๊อท เว็น ฮาววววว?!! ผมมองพี่โทชิโอะสลับกับเขื่อนไปมาจนรู้สึกว่าโลกมันหมุนได้
คิ้วเข้มๆ ของพี่ดินเลิกขึ้นเล็กน้อย จากนั้นใบหน้าหล่อตี๋ก็ระบายยิ้มออกมา พี่ดินใช้ข้อนิ้วชี้และนิ้วกลางเคาะหน้าผากของผมเบาๆ
“เอาปูอีกมั๊ย?”
พยักหน้ารัวๆ เอาครับเอา แม้จะงงปนสะอื้นรู้สึกช้ำใจ ปวดใจ เจ็บใจ ร้องไห้กระซิกๆ กับการพลาดจุดพีคของการกินเผือกกินมัน แต่ถึงอย่างนั้นมันก็คนละเรื่องกับการที่ผมยังอยากกินปู
“ไม่ต้องกลัวเสียฟอร์ม ยังไม่มีใครรู้เรื่องนี้”
แน่ะ มีรู้ทันอีกว่าที่ผมทำหน้าเศร้าชอกช้ำอยู่นี่เพราะเสียฟอร์ม เบื่อพี่ชายคนนี้จริงๆ แต่เอาเถอะถ้าเรื่องนี้มีพี่ดินรู้แค่คนเดียว ผมก็ใจชื้น ยืดอก ขึ้นมาหน่อยครับ
“จริงอะ?”
“เออ”
พี่ดินยืนยันขนาดนี้ผมก็ยิ้มออกแล้วครับ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อแล้วล่ะ เพราะ ณ เวลานี้คนที่ใกล้ชิดเขื่อนมากที่สุดก็คือพี่ดินนี่แหละ ว่าแต่พี่ชายของผมทั้งหล่อ ใจดี แสนดี อาชีพดี ฐานะดี ทุกอย่างดีไปหมดขนาดนี้ทำไมยังโสดล่ะครับเนี่ย
“พี่ดิน”
“อืม?”
“พี่ดินคิดจะหาพี่สะใภ้ให้น้องรึยังเนี่ย?”
กุ้งตัวใหญ่เนื้อแน่นถูกส่งมาให้ ผมรับเข้าปากอย่างไว
“ไว้แน่ใจแล้วจะบอก”
ตอบแบบนี้แสดงว่ามีคนที่คบอยู่แล้วแน่นอนครับ
“ผู้หญิง หรือ ผู้ชาย?”
“แม่ของลูก” ผู้หญิงชัวร์ครับ
“บอกน้องคนแรกนะ”
“เออ”
แม้จะเป็นการตอบเหมือนตัดรำคาญ แต่ผมรู้ว่ายังไงพี่ดินก็จะบอกผมเป็นคนแรกอยู่ดี เพราะอะไรน่ะเหรอครับ ก็เพราะถ้าผมงอน พี่ดินจะขี้เกียจมาตามง้อน่ะสิ อิอิ พอคิดถึงตรงนี้ก็ทำให้ผมนึกถึงพี่ปลื้มกับเขื่อนได้ครับ ผมมีพี่ดินที่ดูแลและเอาใจรักและเคารพมากมายเหมือนพ่อคนที่สอง เขื่อนเองก็คงจะคิดแบบนั้นกับพี่ปลื้มเหมือนกัน
จุ๊บ...ผมจุ๊บแก้มพี่ดินตอนที่เจ้าของแก้มไม่ทันตั้งตัว
“สัส! หน้ากูเลอะหมด” พี่ดินโวยวายเสียงดังลั่น ในขณะที่ผมหัวเราะขำด้วยความสนุก
ผมหอมแก้มพี่ดินบ่อยครับ ไม่ใช่เฉพาะพี่ดินหรอก ไอ้ดีนผมก็จับมันมาหอมบ่อยๆ มันเป็นการแสดงออกถึงความรักในครอบครัว แต่แค่ตอนนี้ปากของผมเลอะน้ำจิ้มซีฟู้ด พี่ดินเลยโวยวายยังไงล่ะครับ
“เช็ดเลยมึง!” รีบดึงทิชชู่เช็ดแก้มให้พี่ดินจนสะอาด เมื่อพี่ดินพอใจก็นั่งแกะกุ้งให้ผมต่อ
“ทำอะไรกัน?” ผมเงยหน้าขึ้นมองคนถาม พี่ปลื้มมายืนอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่
“แกะกุ้ง แกะปู” พี่ดินตอบพี่ปลื้มแบบสบายๆ แต่ผมเห็นนะในแววตาของทั้งคู่มีประกายไฟต่อสู้กันอยู่
เอาง่ายๆ คือพี่ปลื้มไม่พอใจพี่ดินเรื่องเขื่อนอยู่ก่อนหน้าแล้ว และครั้งนี้ก็ดันมีผู้ชายหน้าตาดีแบบผมเข้ามาเพิ่ม ก็ไม่อยากจะเข้าข้างตัวเองหรอกครับพี่ปลื้มกำลังหึงผม
“ผมถามถึงเมื่อกี้”
“ก็... แกะกุ้ง แกะปู”
นี่เค้าเรียกตอบแบบกวนตีนแล้วครับพี่ชาย พี่ปลื้มเค้าแค่อยากได้คำตอบว่าผมจูบแก้มพี่ดินทำไมต่างหาก ใจจริงผมก็อยากเห็นทั้งคู่กวนตีนใส่กันอีกหน่อย แต่ดูจากสีหน้าของเขื่อนแล้ว ผมคิดว่าผมคงต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อให้สถานการณ์ดีขึ้นโดยเร็วที่สุด
“เมื่อกี้ผมแค่แกล้งพี่ดิน ว่าแต่พี่ปลื้มกินด้วยกันมั๊ย? สดๆ ทั้งนั้นเลยนะ” เอียงคอเชิญชวนให้กิน(ของทะเล)เต็มที่ ใบหน้าหล่อคมเข้มที่บึ้งตึงอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด ผมควรจะภูมิใจในเสน่ห์ของตัวเองดีมั๊ยครับ
“เอ๋ พี่ปลื้มแพ้อาหารทะเลนี่นา” แอ๊บแบ๊วตกใจเล็กน้อย
“จำได้?” พี่ปลื้มกระตุกยิ้มมุมปาก หล่อทีเดียวครับ แต่ไม่ได้ทำให้หัวใจของผมเต้นแรงแบบพี่เปรม
“จำได้สิ” ผมยิ้มหวาน และเวลาเดียวกันนั้นผมก็ได้ยินเสียง
‘อ๊วก’ ดังมาจากพี่ชายที่นั่งข้างๆ
ใจเย็นๆ ครับพี่ชายอย่าเพิ่งอาเจียนออกมา ได้โปรดทนดูน้องสกิลแอ๊บแบ๊วอีกนิดนึง
“พี่ปลื้มเอาเป็นบาร์บีคิวหมูกับไก่ดีกว่านะ อร่อยเหมือนกัน” พูดจบก็หันไปส่งซิกให้เขื่อน ฝ่ายนั้นรีบวิ่งไปหาอาหารมาทันทีครับ
ครืดๆแรงสั่นสะเทือนจากน้องไอโฟนในกระเป๋ากางเกงทำให้ผมต้องหยิบขึ้นมาดู แค่เห็นรูปหน้าจอผมก็รีบอุทานออกมาอย่างน่ารัก
“อุต๊ะ! สามีโทรมา”
ไม่ต้องสนใจว่าพี่ดินจะหัวเราะขำเสียงดังแค่ไหน และพี่ปลื้มจะทำหน้าผิดหวังเพียงใด ผมลุกขึ้นขอตัวออกไปจากตรงนั้นในทันที ซึ่งพอดีกับที่ไอ้ดีนกับน้องปิ่นเดินออกมาจากบ้าน ผมเลยกวักมือให้สองคนนั่นมานั่งร่วมวงสร้างบรรยากาศกระชับความสัมพันธ์ให้พี่ปลื้มกับพี่ดิน ส่วนผมขอพักยกเข้าสู่โหมดส่วนตั๊วส่วนตัวฉบับครอบครัวกับสุดที่รักและน้องเปี๊ยกก่อนนะครับ
.
.
.
.
วันเกิดเขื่อนเพิ่งผ่านไปไม่ทันไรก็เข้าสู่ปีใหม่ ซึ่งพี่เปรมก็ยังไม่ได้กลับบ้าน เนื่องจากช่วงเทศกาลงานฉลองรื่นเริงถือเป็นช่วงของการเฝ้าระวังอุบัติเหตุ คุณหมอทุกคนต้องอยู่ประจำที่โรงพยาบาล ผมเข้าใจครับ พบรักซะอย่างไม่เจอคนรักแค่สองสามเดือนและไม่ได้อยู่ด้วยกันในคืนข้ามปีผมไม่มีงี่เง่าแน่นอน ก็แค่นอนไม่หลับและให้พี่เปรมเปิดวีดีโอคอลอยู่ด้วยกันจนถึงเช้าเท่านั้นเอง
ในวันที่อากาศดี๊ดีหลังปีใหม่ ผมช่วยแม่ทำอาหารมื้อเที่ยง ในขณะที่หลังบ้านพี่โทชิโอะกำลังทำความสะอาดอ่างปลาให้แม่โดยมีเขื่อนคอยเป็นลูกมือ ผมแอบมองทั้งคู่อย่างพินิจวิเคราะห์ แต่ไม่ว่าจะยังไงก็ไม่มีวี่แววว่าทั้งคู่จะสวีทหวานกันแม้แต่น้อย ยิ้มให้กันสักนิดก็ไม่มีให้เห็น หรือจะพูดกันแต่ละครั้งก็แค่ประโยคสั้นๆ พี่โทชิโอะหน้าตานิ่งเรียบเช่นใดก็ยังคงเช่นนั้น ส่วนเขื่อนก็ยังคงหน้าตาบึ้งตึงเหมือนโกรธใครมาสักสิบชาติ หากจะมีพิรุธก็เพียงจุดเดียวนั่นคือทั้งคู่เข้ากันได้ดีเกินไปครับ
“น้องไอจางงง!”
เสียงแม่ที่ดังขึ้น ทำให้ผมรีบดึงความเผือกกลับมาและตระหนักได้ว่าเกือบจะได้เทแกงทั้งหม้อลงในอ่างล้างจานแล้วครับ แม่ทำหน้าดุใส่ ผมจึงต้องขอโทษอย่างไว
“ซึมิมาเซน โอก้าซัง”
“โด๊ ชิมาชิตะ กะ?” แม่ถามผมด้วยความเป็นห่วงว่าเป็นอะไรรึเปล่า?
จะตอบยังไงดีล่ะครับ ถ้าตอบไปตามความจริงว่าน้องไอมัวแต่กินเผือกกินมันเรื่องชาวบ้าน แม่คงได้ตีผมแน่ๆ แต่ถ้าไม่ตอบเลยก็กลัวแม่จะเป็นกังวล ผมกลอกตาไปมาอย่างใช้ความคิด แต่แม่ไม่รอคำตอบของผมสักนิด แม่ขอเดาไปก่อนครับ
“คินิกาการุ? เคคคงชิคิ?” กังวลใจ? พิธีแต่งงาน?
“เอ๋-------- เคคคงชิคิ? นานิ???” ผมทำตาโตกับเรื่องที่แม่กำลังคิดอยู่ พิธีแต่งงานอะไรล่ะแม่? ไปกันใหญ่แล้ว
แม่อมยิ้มอย่างมีพิรุธ และผมก็รู้สึกร้อนๆ หนาวๆ กับรอยยิ้มของแม่
“ชิมไป ดะเนะ” น่าเป็นห่วงจังเลยนะ... นั่นคือประโยคสุดท้ายที่แม่ทิ้งไว้ก่อนจะเดินไปตามพี่โทชิโอะและเขื่อนมาทานข้าวด้วยกัน
“แม่พูดเรื่องอะไรเหรอน้องเปี๊ยก??” ไม่ได้คำตอบจากแม่ผมก็ขอถามร่างทรงอับดุลตัวน้อยของผมแทนละกันครับ
น้องเปี๊ยกเอียงคอมองหน้าผมตาแป๋ว จากนั้นก็ส่ายหน้าไปมา ท่าทางแบบนั้นของเด็กน้อยทำให้ผมรู้สึกถึงเขาที่งอกอยู่บนหัวของตัวเอง
“บ๊อกๆ บ๊อกๆ” เด็กน้อยบอกผมว่า ‘ทำไมพี่ไอน่าเป็นห่วงแบบนี้นะ’ จากนั้นก็หันหลังเดินไปอ้อนแม่
เดี๋ยวสิครับ ทำไมไม่มีใครสนใจหรือคิดจะอธิบายผมสักคน ได้โปรดอย่าทิ้งไว้แบบนี้ ใครจะแต่งงาน? พิธีแต่งงานอะไร? ผมยืนงงเป็นไก่ตาแตกอยู่พักใหญ่ แต่สุดท้ายรสชาติแกงกะหรี่สูตรเด็ดของแม่ก็ทำให้ผมลืมมันไปเสียสนิท กินอิ่มนอนหลับสบายดีเป็นปกติครับ
.
.
.
.
เสาร์ที่สองของเดือนมกราคม พี่เปรมบินกลับมาวันนี้ไฟท์เจ็ดโมงเช้า แต่ผมกับน้องเปี๊ยกมายืนรอรับที่สนามบินก่อนเวลาเกือบสามชั่วโมง ไม่ได้ตื่นเต้นหรอกนะ แค่กลัวรถติดเท่านั้นเอง
“รอนานมั๊ย?” ประโยคแรกที่เจอกันครับ จากนั้นพี่เปรมก็โอบไหล่รั้งผมเข้าไปจูบกระหม่อม ก่อนจะลูบหัวทักทายน้องเปี๊ยก
ปากของผมมันฉีกยิ้มจนหุบไม่ลงแล้วล่ะครับ รู้สึกว่าไม่ได้เจอกันเกือบสามเดือนพี่เปรมคล้ำขึ้นนิดหน่อย ซึ่งคงเป็นเพราะต้องลงพื้นที่ไปตรวจรักษาดูแลชาวบ้านที่อยู่ห่างไกลออกไป พี่เปรมดูหล่อคมเข้ม สมบูรณ์แบบเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว ยิ่งเวลาที่ยิ้มมุมปากนิดๆ หล่อซะจนผมแอบหลงคิดว่าเป็นพี่ท็อปบิ๊กแบง
เราเดินกันไปลานจอดรถ ระหว่างทางไม่ได้คุยอะไรกันมากมาย วันนี้คนค่อนข้างเยอะและวุ่นวาย ดังนั้นกว่าจะเดินกันมาถึงรถก็ใช้เวลาหลายสิบนาทีครับ แต่พอขึ้นรถมาเท่านั้นแหละผมกระชากคอพี่เปรมมาจูบทันที เป็นจูบที่ไม่ได้ดูดดื่มลึกล้ำแต่เต็มไปด้วยความรู้สึกมากมายที่ล้นอยู่ในอก
“คิดถึง” คำสั้นๆ จากผมแต่ในความรู้สึกคือมากถึงมากที่สุดครับ
“อืม” พี่เปรมหอมแก้มของผมตอบรับว่าคิดถึงมากที่สุดเช่นกัน
“บ๊อกๆ” อ่อ น้องเปี๊ยกรีบส่งเสียงว่าตัวเองก็อยู่ตรงนี้นะ
“อ้าวไอ้เปี๊ยก กูคิดว่าหนอนด้วง”
“พี่เปร๊ม!!”
“หงิ๊งงงงง”
อารมณ์สวีทหวานเมื่อครู่หายวับไปกับอากาศ ผมรีบอุ้มน้องเปี๊ยกที่น้อยอกน้อยใจตัดพ้อว่าพ่อเปรมรังเกียจอย่างน่าสงสารมาโอ๋ปลอบ
“พ่อเปรมไม่รักแต่พี่ไอรักน้องเปี๊ยกนะ น้องเปี๊ยกของพี่ไอน่ารักจะตายไป เห็นมั๊ยน้องเน่าก็รักน้องเปี๊ยกนะ” เด็กดีของพี่ไอไม่เสียใจนะคนเก่ง
กำลังจะร้องไห้อยู่รอมร่อเพราะสงสารเด็กน้อยเหลือเกินครับ จริงๆ น้องเปี๊ยกน่ารักนะครับ เฟรนชี้ ปั๊ค ถึงจะตาโต หูตั้ง หน้าย่น ตดเหม็น คอสั้น ตัวตัน แต่ผมเชื่อครับว่าใครเห็นน้องเปี๊ยกเป็นต้องหลงรักทุกคน และผมก็ยังคงรักน้องชายของผมเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
“ขี้งอนนะมึง”
ผมยู่หน้าใส่พี่เปรมไปหนึ่งที ชิส์ ไม่ต้องมาทำเป็นพูดดีเลย และจังหวะที่กำลังจะสะบัดหน้าใส่ พี่เปรมก็แย่งน้องเปี๊ยกไปจากอก จะแย่งกลับก็ไม่ทัน น้องเปี๊ยกไปห้อยต่องแต่งอยู่หน้าพ่อเปรมแล้วครับ
“บอกสิแม่มึงน่ารักมั๊ย?”
“บ๊อกๆ” น้องเปี๊ยกต้องตอบว่าน่ารักแน่นอนครับ
“เตี้ย แขนสั้น ขาสั้น ตาชั้นเดียว แต่กูก็รัก”
ไม่ทราบว่าพี่เปรมกำลังหมายถึงใครครับ ทำไมฟังดูขี้เหร่จัง
“มึงเองก็เหมือนกัน”
“หงิ๊งงงงง” อ้าวเฮ้ย! พ่อเปรมพูดแค่นั้นแต่ทำไมน้องเปี๊ยกซึ้งใจจนน้ำตากระเฉาะเลยครับ
พี่เปรมจุ๊บหน้าผากย่นๆ ของน้องเปี๊ยกหนึ่งทีแล้วส่งกลับมาให้ผม
“เมื่อกี้พี่เปรมพูดถึงใคร?” ไอ้ขี้เหร่เตี้ย แขนสั้น ขาสั้น ตาชั้นเดียวที่พี่เปรมไปหลงรักมันเป็นใคร ไอจะสั่งให้พี่โทชิโอะไปจับมันถ่วงน้ำ
พี่เปรมหันมายักคิ้วให้ผม
“คนในกระจก” จากนั้นก็สตาร์ทรถมินิคูเปอร์ของผม สี่ล้อเคลื่อนตัวออกไปข้างหน้า ในขณะที่ผมก็ได้แต่นั่งมองกระจกตาปริบๆ แล้วกระตุกยิ้มมุมปาก
“สุดหล่อ” ผมยักคิ้วให้คนในกระจก และได้ยินเสียงหัวเราะ
‘หึ’ เบาๆ ลอยมา
เห็นทีผมคงต้องให้พี่โทชิโอะหายาลดความหน้าตาดีมาให้ผมหน่อยซะแล้วมั้งครับ
.
.
.
.
ออกจากสนามบินพี่เปรมก็ขับรถออกไปนอกเมือง ฝ่าสภาพการจราจรที่แน่นขนัด ยิ่งจุดไหนที่ผ่านสถานที่จัดงานวันเด็กตรงนั้นแทบจะเป็นอัมพาต เราจึงแวะร้านอาหารทานมื้อเที่ยงกันก่อนแล้วค่อยเดินทางต่อ ซึ่งจุดหมายของเราก็คือพ่อของผมครับ
“พ่อ” ผมนั่งลงยกมือไหว้พ่อ มองรูปพ่อ และยิ้มให้ท่านเหมือนอย่างเคย
แม้ว่าตอนนี้พ่อของผมจะไม่ได้คอยดูแลและปกป้องผมและแม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นพ่อก็ยังอยู่ในใจของผมและแม่เสมอ ผมไม่รู้ว่าตอนนี้พ่ออยู่ที่ไหน อยู่บนฟ้านั่น หรือบางทีพ่ออาจจะมาเกิดใหม่อยู่ที่ใดสักที่บนโลกใบนี้ หรือไม่พ่ออาจจะรอแม่อยู่ในภพภูมิที่ดีที่ไหนสักแห่ง ตั้งแต่วันที่พ่อส่งน้องเปี๊ยกกลับคืนมา ผมก็ไม่เคยฝันหรือสัมผัสถึงพ่อได้อีกเลย
พี่เปรมวางดอกไม้ รินน้ำใส่แก้ว จากนั้นก็พนมมือ มองรูปพ่อนิ่งๆ อยู่นานสองนาน ผมไม่รู้ว่าพี่เปรมอยากจะมาหาพ่อของผมทำไม แต่ผมก็ไม่ได้ทักท้วงใดๆ เพราะผมเองก็คิดถึงพ่อเช่นกัน ผมนั่งมองรูปพ่ออย่างเงียบๆ ภายในจิตใจของผมจะเบาโล่ง รอบตัวมีแต่ความเงียบสงบ ไม่มีสายลมเย็นสบายพัดผ่านมาให้ชื่นใจเหมือนทุกครั้ง จนเวลาผ่านไปนานพอสมควรเราทั้งคู่ลุกขึ้นแล้วบอกลาพ่อ
“พี่เปรมรู้มั๊ยว่าพ่อเป็นคนสร้างปาฏิหาริย์ให้เราเจอกันนะ”
“หืม?”
ผมยิ้ม ไม่ตอบหรืออธิบายอะไรมากกว่านั้น พี่เปรมเองก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ หรือต่อให้พี่เปรมถาม ผมเองก็ไม่คิดจะอธิบายอะไรเหมือนกัน น้องเปี๊ยกเงยหน้ามองผมแล้วยิ้ม ผมจึงกดจูบไปบนหน้าผากย่นๆ หนึ่งที ถ้าไม่มีพ่อและไม่มีน้องเปี๊ยกผมคงไม่ได้เดินอยู่ข้างพี่เปรมแบบนี้
“ว่าแต่พี่เปรมอยากจะเจอพ่อทำไมเหรอ?” ผมอยากรู้จริงๆ ครับ พี่เปรมชวนผมมาหาพ่อแบบนี้แสดงว่าต้องมีอะไรแน่ๆ แต่คำตอบของพี่เปรมมีเพียงรอยยิ้มมุมปาก ประโยคสนทนาจึงจบลงแค่นั้น
สี่ล้อคู่ใจของผมเคลื่อนตัวมุ่งหน้ากลับบ้าน ระหว่างทางเราคุยกันเรื่องสัพเพเหระ ส่วนใหญ่ผมจะถามเรื่องงานของพี่เปรมครับ และคนตอบก็ตอบแค่สั้นๆ เอาแค่รู้แต่ไม่มีการอธิบายเจาะลึกใดๆ ส่วนน้องเปี๊ยกก็ส่งเสียงแซวผมกับพี่เปรมเป็นระยะ จนกระทั่งเข้าเขตกรุงเทพฯ เสียงทุ้มก็เอ่ยขึ้นตอนที่สัญญาณไฟจราจรเปลี่ยนเป็นสีแดงพอดี
“เรียนจบเมื่อไหร่?”
“อีกสามเดือน”
พี่เปรมเงียบไปครู่หนึ่ง เหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่
“อีกสามเดือนคุณตาจะสั่งย้ายให้กูกลับมาทำงานที่โรงพยาบาล”
“หืม?” แสดงว่าอีกสามเดือนพี่เปรมได้กลับเข้าตระกูลชนะวิรุณพลแล้วสินะ
สายตาของผมประสานกับดวงตาคู่คมพอดี พี่เปรมดีดจมูกผมเบาๆ
“คุณตาคุณยายจะขอเมียให้กู”
วินาทีนี้นี่เองที่ผมได้ยินเสียงของแม่ลอยแว่วเข้ามาในโสตประสาทว่า ‘เคคคงชิคิ..’ ถึงบางอ้อเลยครับ นี่สินะพิธีแต่งงานที่แม่พูดถึงในวันนั้น
“คิดว่าจะเป็นหลานเขยยากูซ่าได้ง่ายๆ รึไง?” ผมจึงยักคิ้วให้พี่เปรม
“แล้วมึงคิดว่าง่ายมั๊ยล่ะ?”
อื้อหือออ ย้อนกลับแบบนี้สู้บีบคอกันให้ตายไปเลยดีกว่ามั๊ยครับ คนอย่างผมไม่เคยง่ายหรอกนะ แมนๆ ชวนกันเตะบอลแบบพบรัก ไม่เคยอ่อย ไม่เคยให้ท่า ไม่เคยมารยา แม้แต่นิดเดียว
“ถึงจะถนัดท่าง่าย แต่ใช่ว่าจะเอาได้ง่ายๆ นะ” ผมเชิดหน้าตอบอย่างมั่นใจ
ดวงตาคู่คมทอประกายกรุ่มกริ่ม เวลาพี่เปรมทำท่าทางเจ้าชู้ใส่แบบนี้ทีไร ในอกด้านซ้ายของผมนี่เต้นระริกเลยครับ ผมเหลือบหางตามองคนพูดเล็กน้อย
“ทำไงดีวะ?” ใบหน้าคมหันมามองหน้าผม
ทำไงดีอย่างนั้นเหรอ? พี่เปรมถามผมแต่ความหมายในคำถามนั้นไม่ได้ต้องการคำตอบ เราจ้องตากันนิ่งๆ อยู่หลายสิบวินาที ตัวเลขสีแดงที่นับถอยหลังบนเสาสัญญาณไฟค่อยๆ เหลือน้อยลงทุกที แต่หัวใจของผมกลับเต้นระทึกราวกับจะกระเด็นออกมาจากนอกอก
“แต่งงานกับกูมั๊ย?”
การรับรู้ดับวูบไปหลายวินาที เมื่อกี้พี่เปรมพูดว่าอะไรนะ ผมได้ยินไม่ชัด ฟังไม่ถนัด รู้แค่ว่าในดวงตาคู่คมนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความจริงจัง และฉายชัดถึงความจริงใจ ทำเอาก้อนเนื้อในอกด้านซ้ายของผมเต้นตุบตับรุนแรงจนแทบจะกระเด็นออกมา
“ไอ.. จะแต่งงานกับพี่เปรมรึเปล่า?”
สันญาณไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียว
“แต่งดิ” รีบตอบอย่างไว กลัวพี่เปรมจะเปลี่ยนใจ
ใบหน้าคมเผยรอยยิ้มเต็มแก้มแบบที่นานทีปีหนผมจะได้เห็นสักครั้ง ส่วนผมนะเหรอฉีกยิ้มทั้งเขินทั้งดีใจจนหน้าบานเป็นจานดาวเทียมเลยครับ
.
.
.
.
.
.
.
TBC..

ขออภัยที่มาลงช้านะคะ ตั้งแต่ปีใหม่มางานมะรุมมะตุ้มรุมรักรินจนแทบไม่มีเวลาว่างเลย
และขอบคุณมากๆ สำหรับการติดตาม
ตอนหน้าก็จบแล้วค่ะ ดีใจกันใช่มั๊ย จบสักทีสินะ
ติดตามการอัพเดทนิยายเรื่องนี้ได้ทางเพจนะคะ >>

ใครมีเรื่องสงสัยหรือติชม หรืออยากพูดคุยเชิญที่เพจได้เลยนะคะ
เพจจะมีแอดมินชื่อริยาคอยดูแลอยู่อีกคนนะคะ
ขอบคุณอีกครั้งสำหรับการติดตามและกำลังใจที่มีให้กันมาตลอดค่ะ

ตอนจบ... ขอลงให้อ่านในเดือนแห่งความรักล่ะกันนะคะ
