บทที่ 28 สิ่งที่ต้องแลก
[/b]
Yonah Say รอทออกไปรับพี่หมอในตอนเช้า เมื่อดูให้แน่ใจว่าไปแล้วจึงออกไปบ้าง โดยไม่ลืมทิ้งจดหมายอธิบายเรื่องทั้งหมดเอาไว้ ผมรู้ว่ามันคงโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงแน่ถ้าอ่านจบ แต่ก็นะ ผมไม่มีทางเลือกมากนัก และผมก็มั่นใจว่ามันต้องตามมาช่วยผมทันแน่นอน ผมโกหกคนของพ่อว่าจะออกไปถ่ายรูปเล่นรอบๆ โรงแรม โชคดีที่ไม่มีใครเอะใจและไม่ได้ตามมา ผมถามคนแถวนั้นไปเรื่อยๆ จนถึงที่หมาย ลำบากมากครับเพราะคนส่วนใหญ่พูดอังกฤษไม่ค่อยได้ แหงละที่นี่เยอรมันนะ ส่วนผมก็ไม่ได้เก่งอะไร มาถึงจุดหมายปลายทางแบบเที่ยงพอดี
ที่นี่เป็นโบสถ์ไม่ใหญ่ไม่เล็กมีทุกอย่างครบครัน สถาปัตยกรรมแบบตะวันตกสไตล์อาร์ตนูโวหากมีเวลาผมคงหลงไหลไปกับสุนทรียของที่แห่งนี้แน่ แต่ตอนนี้ผมมีสิ่งสำคัญที่ต้องทำ ก้าวยาวๆ เข้าไปในโบสถ์ เงียบสงัดจนพาใจให้สั่นไหว คนที่นัดผมนั่งฉีกยิ้มอยู่โต๊ะไม้ตัวยาวแถวหน้ากับบรรดาสมุนสวะของมันอีกหลายตนที่นั่งบ้างยืนบ้างประปราย เหมือนคนธรรมดาจะถูกกันออกไปจากที่นี่เสียแล้ว...แบบนี้คงยากที่จะเล่นบทชิงตัวประกัน ทำได้เพียงแลกตัวกับข้าวหอมตามที่มันขอเท่านั้น ผมนั่งลงข้างๆ ไอ้สารเลวอาร์วาร์คเว้นระยะห่างเป็นช่วงตัว ส่วนหนึ่งคือระแวงอีกส่วนคือขยะแขยงมัน
“ข้าวหอมอยู่ไหน” ผมเข้าประเด็น
“ใจคอจะไม่ทักทายพ่อหน่อยหรอ” ...ยังกล้าเรียกตัวเองว่าพ่ออีกนะ
“ไม่จำเป็น ข้าวหอมอยู่ไหน” ผมย้ำพร้อมดึงปืนมาจ่อใต้คางตัวเอง ในเมื่อสิ่งที่มันต้องการคือร่างนี้ถ้าตายก่อนพิธีทุกอย่างก็จบ อยู่ในวงล้อมแบบนี้อดหวั่นใจไม่ได้เลย ถ้ามันเล่นตุกติกไม่ปล่อยเราทั้งคู่...ผมยิงตัวเองทิ้งแน่...ทั้งที่ตั้งใจแบบนั้นแต่มันก็ยากเหลือเกินที่จะคุมมือตัวเองไม่ให้สั่น “ว่าไง...ปืนลั่นไม่รู้ด้วยนะ”
“หึ...ฉลาดต่อรองเสียจริง” มันพยักเพยิดให้ลูกน้องพาเพื่อนผมออกมา ข้าวดูตกใจระคนดีใจที่เห็นผม พวกมันดันร่างเล็กๆ นั่งลงข้างกาย ผมถอนหายใจอยากโล่งอกที่ตัวมันไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วนเว้นแต่ขอบตาแดงๆ ที่บ่งบอกว่าเจ้าตัวร้องไห้อย่างหนักมาก่อนหน้า
“มึงโอเคมั้ยวะ” ผมถามพร้อมลุกไปดึงมันเข้ามากอดไว้แน่น ข้าวพยักหน้าตอบพลางสะอื้นตัวสั่นผมว่ามันคงกลัวจริงๆ “ไอ้ธีรคงไม่อยากให้มึงตามไปตอนนี้หรอก...เลิกร้องได้แล้ว”
“มึงมาทำไม...มึงก็รู้ว่ามันจะเอามึงไปทำอะไร” คนตัวเล็กบอกเสียงเครือ
“กูไม่มามึงก็ตายสิ”
“มึง...กู...ฮึก ขอโทษ กูทำมึงเดือดร้อนอีกแล้ว” ทีนี้มันร้องไห้หนักเลยครับ ผมต่างหากที่ต้องขอโทษ ถ้ามันไม่ใช่เพื่อนผม คงไม่โดนลักพาตัวข้ามน้ำข้ามทะเลมาถึงนี่หรอก ที่บ้านมันคงวุ่นที่จู่ๆ มันหายไป
“เออ กูรู้มึงไม่ได้ตั้งใจ”
“ไป...หนีกัน” ผมหลุดขำที่มันพูดตาตื่น...ข้าวก็คือข้าวละว้า...มันไม่ได้ดูเลยหรือไงว่ามีอมนุษย์ล้อมเราอยู่กี่ตีน
“ไม่ได้หรอก....มึงดูรอบตัวหน่อยสิวะ” มันมองรอบแล้วทำสีหน้าปลงตก
“กูจะให้พวกมันเอามึงไปส่งโรงแรมที่กูพัก”
“กูไม่ไป กูจะอยู่กับมึง ตายกับมึง” ซึ้งใจครับที่มันพูดแบบนี้ แต่ไม่มีทาง มันเป็นเพื่อนสนิทคนเดียวของผมในตอนนี้ ผมเคยสัญญาแล้วว่าจะทำเพื่อมันและก็กำลังทำอยู่
“นี่ไอ้เตี้ย อย่าทำให้ความพยายามกูเสียเปล่า กูยอมมาให้มันจับเพื่อให้มึงปอดภัย” จ้องตามันจริงจัง “เดี๋ยวไอ้รอทก็ตามมาช่วย” ผมบอก คิดว่าตอนนี้คงกลับมาเจอจดหมายผมแล้วละ ผมเชื่อในตัวมัน “มึงไปเถอะไม่ต้องห่วง...กูเก่งเอาตัวรอดได้”
“มึงนี่มัน...แต่ขอบใจนะ สัญญานะเว้ย ว่ามึงจะกลับมาหากู” ผมพยักหน้ารับ พร้อมดึงมันลุกขึ้นส่งให้ไอ้ฝรั่งตัวใหญ่ที่ยืนรอ พร้อมยื่นนามบัตรโรงแรมที่เขียนเบอร์โทรห้องของรอทไว้
“ช่วยเอามันไปส่งที่นี่...อย่าตุกติก กูจะไม่ไปไหนทั้งนั้น จนกว่าจะแน่ใจว่ามันปลอดภัย” ผมยื่นคำขาด แล้วเอาปืนจ่อตัวเองไว้ดังเดิม อาร์วาร์คยักไหล่...มันคงจนใจกับผมเหมือนกัน
“แล้วทำไมต้องทำตาม หึๆ” ไม่วายกวนตีน ไอ้เวรนี่
“ถ้านี่เป็นการขอร้องละ” อาร์วาร์คเลิกคิ้วน้อยๆ คล้ายรอฟัง “ขอร้องในฐานะลูกคนหนึ่งที่ไม่เคยได้อะไรจากพ่อเลยนอกจากความเจ็บปวด ขอแค่ชีวิตเพื่อนคนนี้ ให้ได้หรือเปล่า” ผมพูดเสียงอ่อน ยอมลดศักดิ์ศรีขอร้องให้เพื่อนที่เหลือคนเดียวของผมพ้นภัย อาร์วาร์คสบตาผมด้วยสีหน้าอ่านยาก ไม่รู้ว่าคำขอร้องนี้จะซึมถึงจิตใจมันไหม ได้ภาวนากับคำว่าพ่อลูกที่มันชอบพูดย้ำยังมีคุณค่าอยู่
“หากลูกต้องการแบบนั้นพ่อก็ยินดี”
ข้าวหอมงอแงพอตัวกว่าจะยอมไปกับไอ้ร่างยักษ์นั่น ผมนั่งรออยู่นั่นเนิ่นนานปราศจากบทสนทนาใดๆ จนคนของซาโตนี่วิดีโอคอลมาให้เห็นว่าส่งไอ้ข้าวถึงที่จริงๆ จึงวางใจ เผลอลดปืนลงจึงโดนอาร์วาร์คแย่งไปจากมือ...คงไม่ยอมให้มึงพาตัวไปง่ายๆ หรอกนะ... ตอนนี้มีแค่ผมไม่ต้องกลัวใครโดนลูกหลงจึงทุ่มสุดแรงจู่โจมใส่อาร์วาร์ค...คิดเพียงสิ่งเดียวคือ ฆ่ามัน!
โครม!!!! โต๊ะไม้ตัวยาวล้มระเนระนาดไปตามแรงปะทะเมื่อผมกระโจนใส่คนที่ทำให้ผมเกิดพร้อมมีดเงินในมือ ร่างของเราล้มกลิ้งไปกับพื้นจบลงด้วยการที่ผมคร่อมร่างของมันไว้ พยายามจนสุดแรงที่จะกดมีดลงบนอกมัน แต่มือที่รั้งข้อมือผมไว้กลับไม่ขยับ
“แก...” ผมกัดฟันกรอดหายใจแรงอย่างเดือดดาลเมื่อมันเพียงแค่ยิ้มเยาะ คนของซาโตนี่รอบๆ ทำแค่ยืนมองคล้ายมั่นใจว่าผมไม่มีทางทำอะไรนายของมันได้
“แววตาแน่วแน่ดี แต่แรงแค่นี้พอหรอที่จะแก้แค้น” เสียงทุ้มเอ่ยล้อดูสนุกเต็มทน
“อ๊ะ!”
เคร้ง! มือทั้งสองของผมโดนบิดจนเจ็บก่อนมีดจะหลุดออกไปอย่างง่ายดาย อาร์วาร์คพลิกร่างผมลงกับพื้นพร้อมกดไหล่แรงจนหินอ่อนเริ่มร้าว พลังกดดันมหาศาลแทบจะฝังร่างผมลงตรงนั้น ความขุ่นแค้นถูกกลบด้วยความอึดอัดและหวาดกลัว ผมจ้องเข้าไปในดวงตาสีเทาที่เหมือนของผม ทั้งที่ดูว่างเปล่าแต่เหมือนมันเจือความเศร้าอยู่ภายใน ผมตระหนักดีว่าพลังของผมกับมันช่างห่างไกล สวรรค์ไม่ได้เข้าข้างเราเสมอ นึกสมเพชตัวเองเต็มทน ช่วงเวลาที่ทุ่มเทฝึกฝนนั้นเพื่ออะไร ยังไงผมก็แค่เลือดผสมส่วนไอ้สารเลวนี่เป็นถึงเลือดบริสุทธิ์ แถมพลังของผมที่มีก็ได้จากสายเลือดของหมอนี่ที่ไหลเวียนอยู่ในตัว...หมดหวังแล้วจริงหรือ!?
“เอาละคงไม่มีเวลามาเล่นสนุกนัก คงต้องไปกันแล้ว” อาร์วาร์คบอก ผมสะดุ้งสุดตัวเมื่อถูกเข็มปักลงหัวไหล่ รับรู้ถึงตัวยาที่ไหลผ่านเส้นเลือดเข้าสมองจนเริ่มชา รอทเคยบอกว่ายาสลบขนานแรงก็มีผลกับอมนุษย์เช่นกัน ตอนนี้พิสูจน์มันด้วยตัวเองเสียแล้ว ภาพตรงหน้าเริ่มเบลอเรี่ยวแรงเริ่มหดหาย รับรู้เลือนรางว่าร่างกำลังถูกช้อนอุ้ม...มันกำลังจะพาผมไปไหน!? ในสภาวะที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ในใจกลับร่ำร้องชื่อใครคนหนึ่งอย่างแจ่มชัด จดหมาย...ไอ้ข้าว...รอท...ตอนนี้นายคงรู้แล้วว่าผมหายไป...รอท ได้โปรด ผม...รอนายอยู่
..............................................................................
Kawhom Say วันที่ไปส่งไอ้โยที่สุวรรณภูมิ ล่ำลากับมันอยู่นาน ห่วงมากครับแต่มนุษย์อย่างผมก็ทำอะไรไม่ได้ จึงเลือกที่จะอยู่เฉยๆ เพื่อไม่ให้เป็นภาระใคร เข็ดแล้วครับกับความดื้อดึงที่ทำเพื่อนเดือดร้อนแบบในครั้งก่อน สงครามขนาดย่อมๆ ของพวกเหนือธรรมชาติ ตำนานเก่าแก่ และพิธีอัญเชิญซาตานที่ผมไม่เคยคิดเลยว่ามันจะมีอยู่จริง แต่ในเมื่ออมนุษย์ยังมีอยู่บนโลก ผมว่าตำนานหลายๆ อย่างที่เราเคยได้ยินอาจเป็นจริงเช่นกัน พี่หมอขึ้นเครื่องไปเวียนนาตั้งแต่เมื่อวานแล้วครับ ผมอยากตามไปนะ แต่จะตอบคำถามที่บ้านยังไงละ นั่นคือประเด็น อีกอย่างพี่เขายังต้องตามไปสมทบกับโยอีกที ซึ่งไอ้โยมันก็ไม่ต้องการให้ผมไปเสี่ยงเช่นกัน
ส่งเพื่อนเสร็จเดินออกมายังไม่ทันถึงคิวแท็กซี่ก็โดนใครไม่รู้เอาถุงดำคุมหัวลากขึ้นรถ ตอนนั้นผมตกใจมากทั้งดิ้นตั้งเตะทั้งถีบแต่ไร้ผลกลับโดนแม่งต่อยท้องจนตัวงอ นอนสิ้นฤทธิ์ให้มันพาตัวไป มารู้ตัวอีกทีตอนมันพาขึ้นเครื่องบินส่วนตัว ดึงผ้าคลุมหัวออก ใบหน้าแรกที่เจอคืออาร์วาร์คที่แสยะยิ้มมาให้ ไหนว่าแม่งอยู่เยอรมันวะ ผมจำท่าทางร้ายกาจมันได้ วันนั้นที่บ้านโยวันที่แม่มันตายผมก็อยู่ ทั้งกลัวทั้งกังวลผมมั่นใจว่ามันจับผมมาต้องมีเอี่ยวกับโยแน่ และมั่นใจว่าในบรรดาคนของอัลสไวเดอร์ต้องมีสายของพวกเชี่ยนี่แฝงตัวอยู่ ถึงได้รู้เวลาที่ผมอยู่ตัวคนเดียวได้เป๊ะขนาดนี้
ยังไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจแต่ต้องมานั่งเครื่องบินเป็นสิบชั่วโมง จึงเลี่ยงไม่ได้กับอาการเจ็ทแลคที่เกิดขึ้นกับร่างกาย ผมทั้งอ๊วกทั้งเวียนหัวแม่งเอ้ย! นี่กูคงไม่ตายก่อนถึงที่หมายหรอกนะ...ผมหมดสติไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้หลับยาวเลยครับทีนี้ ตื่นมาอีกทีก็อยู่บนเตียง ถามไอ้หน้าโหดที่ยืนเฝ้าได้ใจความว่าผมถูกพามาเยอรมัน เมืองเดียวกับที่ไอ้โยมา
แล้วสิ่งที่ทำให้ผมกลัวก็เป็นจริงเมื่ออาร์วาร์คมันต่อรองชีวิตของผมกับตัวโย ได้ยินแบบนั้นมันก็เศร้านี่เป็นอีกครั้งที่ผมนำโชคร้ายมาสู่เพื่อน และที่น่าเศร้ายิ่งกว่าคือผมรู้ดีว่ามันต้องมาแบบไม่ลังเล คิดได้แบบนั้นก็อดไม่ได้ที่จะร้องไห้กับความไร้ประโยชน์ของตัวเอง ยิ่งเห็นมันมายืนตรงหน้ายิ่งปล่อยโฮออกมาแบบไม่อายใคร ผมกอดมันแน่น อีกแล้วมันช่วยผมอีกแล้ว ตั้งแต่มัธยมจนถึงตอนนี้มันก็มาช่วยผมตลอด ผมจำใจต้องทำตามมันบอกเพราะไม่อยากให้ความพยายามมันเสียเปล่า
“ข้าว!” พี่หมอวิ่งลงมารับผมหลังจากโทรขึ้นไปที่ห้องพักพี่รอทตามเบอร์โทรโยที่ทิ้งไว้ “เป็นอะไรหรือเปล่า”
“ผมไม่เป็นไร...แต่ไอ้โย...”
“รอทรู้แล้วละ โยเค้าทิ้งจดหมายไว้ ไปคุยกันที่ห้อง” เขาจูงมือผมเดินนำไปห้องพัก ได้ยินเสียงพี่รอทเถียงกับอัลสไวเดอร์จนดังออกมาข้างนอก พี่แกคงอยู่ในสภาวะเดือดจัดจนแอบรู้สึกหวั่นเพราะผมดันเป็นตัวต้นเหตุเสียด้วย
ผมเล่าให้พี่หมอฟังว่ามาที่ได้ยังไง เขาขอโทษผมยกใหญ่ที่ทิ้งผมไว้ทั้งที่ไม่จำเป็นเลย ใครมันจะคิดว่าอาร์วาร์คจะเล่นแผนสกปรกแบบนี้
“พี่...ผมอยากไปช่วยไอ้โย” ผมบอกไปอย่างจนใจ
“แต่เราจะไปยังไง เราเป็นมนุษย์นะ” พี่หมอว่าพลางดึงผมเข้าไปกอดลูบหัวเบาๆ อย่างปลอบใจ
“งั้นพี่หมอเปลี่ยนผมสิ”
“มันไม่ง่ายเลยนะ คิดดีแล้วหรือไง” ดวงตาสีน้ำตาลจ้องผมจริงจัง ขนาดไอ้โยมันยังไม่ลังเลที่จะช่วยผม ผมก็คงไม่ลังเลเช่นกัน
“ใช่ ผมคิดดีแล้ว ขอแค่ได้ช่วยมัน ผมไม่อยากต้องทนดูอยู่เฉยๆ แบบนี้ ทั้งที่เป็นต้นเหตุให้เพื่อนเสี่ยงตาย” พี่หมอพยักหน้าเข้าใจ “งั้นพี่จะช่วยเปลี่ยนผมใช่ไหม”
“เฮ้อ!....ให้ช่วยเปลี่ยนนะได้ แต่ตอนนี้คงทำให้ไม่ได้” เสียงทุ้มกล่าวอย่างอ่อนใจ
“ทำไมละพี่”
“พี่ธีถ่ายพลัง ผู้ให้จะสูญเสียพลังไประยะหนึ่ง สำหรับอมนุษย์ธรรมาดาคงเป็นเดือน ส่วนพวกตระกูลใหญ่อย่างพี่คงเป็นอาทิตย์ แต่รอทคงจะบุกเข้าไปช่วยโยในคืนนี้ ไม่มีทางที่พี่จะฟื้นพลังทัน ขอโทษด้วยนะข้าวหอม พี่เข้าใจนะว่าเราอยากช่วยเพื่อนจริงๆ”
“ผม...เข้าใจครับ” คงได้แต่ถอนหายใจอย่างปลงตก ถึงผมกลายเป็นอมนุษย์ไปจริงๆ แต่ถ้าแลกกับการเสียกำลังของคนที่ผมรักในตอนนี้ถือว่าไม่คุ้ม...ยังไงสายเลือดตระกูลใหญ่คงทำอะไรได้มากกว่าอยู่ดี
“พี่จะพยายามเต็มที่เลย พยายามแทนส่วนของเราด้วย ตัวเล็กเป็นแฟนพี่หมอทำให้แทนให้ได้อยู่แล้ว” พี่หมอลูบหัวพร้อมกอดผมโยกตัวน้อยๆ อย่างปลอบใจ...เชี่ยกูไม่ใช่เด็ก แต่ก็อดยิ้มไม่ได้
“ต้องจ้างปะ”
“จ้างดิ...จ่ายแพงด้วย” พี่หมอยิ้มผมก็ยิ้ม...รู้สึกเบาใจไปเยอะ
ไม่นานพี่รอทก็มาตามหมอไปเตรียมตัว เห็นหน้าเครียดๆ ของพี่แก ก็อดหวั่นใจไม่ได้ เจ้าตัวเลยเอ่ยปลอบว่าไม่ได้คิดโทษผม...แต่ก็รู้สึกผิดอยู่ดีเปล่า ผัวไอ้โยดึงคนของสภามาช่วย ทั้งอาวุธทั้งจำนวนบอกให้รู้ว่าพี่แกเอาจริง ส่วนเรื่องพ่อโยกับสภาเห็นว่าไว้เคลียทีหลังตอนนี้จำต้องร่วมมือกันไปก่อน ผมลงไปส่งพี่หมอขึ้นรถหน้าโรงแรม คนรอบข้างเริ่มแตกตื่นที่เห็นคนของสภาพร้อมอาวุธครบมือ แต่มันไม่ใช่เวลาที่ต้องมาเสนใจ เดี๋ยวเรื่องก็คงเงียบหายอย่างเคย
“พี่ไปแล้วนะ” พี่หมอว่าก่อนหันมาจุ๊บปากผมไปที
“ดูแลตัวเองดีๆ ให้คุ้มกับที่โยมันยอมเสี่ยงละ” พี่รอทว่าก่อนเดินนำขึ้นรถไป โดยทิ้งคนคุ้มกันผมได้ด้วย
“พาเพื่อนผมกลับมาไวๆ นะพี่” หมอยิ้มรับก่อนขึ้นรถตามไป เฝ้ามองพวกนั้นจากไปจนลับตา เฮ้อ!...เหนื่อยใจที่ได้แต่นั่งรอ ห่วงแต่ทำอะไรก็ไม่ได้ ในขนาดที่กำลังทดท้อกับความไร้น้ำยาของตัวเอง ผมต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อใครบางคนตบไหล่ผมแรงๆ
“ได้ข่าวว่ามีเด็กน้อย อยากเปลี่ยนเป็นอมนุษย์เอาพลังไปช่วยเพื่อน” เสียงหวานคุ้นหูดึงผมให้หันไปมอง “คงไม่รังเกียจใช่ไหม ถึงไม่ใช่สามตระกูลใหญ่ แต่ในบรรดาซักคิวบัสนะ สายเลือดฉันแกร่งสุดนะ”
“พี่ยูจีน!!!!!”....................................................................
Talk Talk
[/b]
-อืม...บู๊กันเนอะ บทหน้า เป็นพาทของรอทแล้วละ ถึงรอทจะดูเป็นพระเอกที่เเข็งทือเป็นท่อนไม้คนหนึ่งก็ตาม 555

-ขอโทษที่อัพช้านะ ยิงบทหลังยิ่งต้องระวังกลัวเขียนแล้วมันจะแย่กว่าของเก่า ไม่รู้สิแค่รู้สึกไม่มันใจในบางครั้ง เหมือนยังไงก็ไม่พอใจกับงานตัวเอง ฟุ้งซ่านเนอะ

-ขอบคุณที่ติดตามอ่าน ถ้าจบแล้วใจจริงอยากทำเป็นหนังสือนะ อาจเป็นหนังสือทำมือเก็บไว้เป็นที่ระทึกแก่ตัวเอง หรือตีพิมพ์หรือรีไรท์ไหม่ก็สุดแท้แต่อนาคต แต่ฝันของเราคืออยากวาดภาพหน้าปกให้ตัวเองซักครั้ง