บทที่ 21 ผู้ล่า (part1)
[/b]
มหาสมุทรอาร์คติก ทะเลไซบีเรียนตะวันออก เกาะแห่งหนึ่งซ่อนตัวจากมนุษย์มาแสนนาน อำพรางด้วยเวทย์ไม่อาจเห็นได้ด้วยตา แสกนไม่เจอในเรดาร์ และไม่อาจตรวจจับด้วยดาวเทียม นิฟล์เฮม หมายถึงโลกแห่งความมืดมิดชั่วนิรันดร์(ในตำนานนอร์ท) ซึ่งคุกแห่งนี้ดูไม่ได้ไกลจากชื่อของมันเลยแม้แต่น้อย ในดินแดนที่หนาวเหน็บเกินกว่ามนุษย์จะอยู่อาศัยแสงแดดไม่อาจส่องได้แม้ในยามกลางวัน เป็นที่ตั้งของปราสาทเหล็กกล้าสไตล์โกธิคให้ความรูสึกงามสง่าและน่ากลัวในตัวมันเอง ลึกลงไปใต้ดินเป็นดินแดนคุมขังเหล่านักโทษที่ไม่ใช่มนุษย์ ยิ่งลึกยิ่งแน่นหนา และมืดมน ไม่ใช่แค่มันถูกสร้างอย่างแข็งแกร่งหากแต่ทุกห้องขังยังถูกผนึกด้วยเวทย์มนต์และไม่เคยมีใครทำลายมันได้
ตึก ตึก ตึก...เสียงรองเท้าหนังดังกึกก้องโถงทางเดิน ร่างระหงนวยนาดไปตามทางอย่างอ้อยอิ่งดุจอสรพิษร้าย ก่อนจะหยุดอยู่หน้าประตูหินสลักบานใหญ่ที่มีเพียงช่องเล็กๆ ให้มองลอดเข้าไปสู่ความมืดด้านใน
“ยังสบายดีไหมที่รัก” เสียงหวานเอ่ยถามแต่ไร้ซึ่งเสียงตอบ “อย่าเย็นชานักสิ ไม่เจอกันตั้งนานไม่คิดถึงกันบ้างหรือไง”
“คิดถึงหึ? ยังเป็นพวกสำคัญตัวไม่เปลี่ยนเลยนะ” เสียงทุ้มตอบกลับเนือยๆ
“โดนขังอยู่แบบนี้คงน่าเบื่อแย่” รมฝีปากสวยยกยิ้ม
“ต้องการอะไร” จิตสังหารรุนแรง จนคนหน้าห้องขังต้องผงะแต่ก็ยิ้มสู้
“ใจเย็นสิ แค่มีเรื่องดีๆ มาบอก บางทีอาจทำให้หายเบื่อได้นะ” ผู้ถูกคุมขังยังคงเงียบคล้ายรอฟัง “เด็กคนนั้นยังมีชีวิตอยู่”
“ไปรู้มาจากไหน” เสียงทุ้มเอ่ยอย่างสนใจ
“เด็กนั่นบังเอิญเข้ามาในสภากลางโซนเอเชียเมื่อไม่กี่วันก่อน กลิ่นเลือดนั่นมันพิเศษถ้าเป็นคนเก่าๆ ของซาโตนี่ละก็ต้องรู้ได้แน่นอน” ผู้มาเยือนยังคงอธิบายด้วยความตื่นเต้น
“งั้นก็...ได้เวลาสะสางเรื่องเก่าให้มันเสร็จไปซักที” อีกเสียงตอบกับอย่างถูกใจ
“เตรียมตัวเลยที่รัก เดี๋ยวช่วยออกไป...อะ!?” ร่างบางผงะถอยเมื่อประตูลงเวทย์ตรงหน้าค่อยๆ ร้าว รับรู้ถึงพลังมหาศาลที่พวยพุ่งออกมานำพาความกลัวอย่างฉุดไม่อยู่
“ไม่จำเป็น ลืมไปแล้วหรอ ว่าที่นี่ใครสร้าง!”
...........................................................
ผมฝัน!...เป็นอีกครั้งที่ต้องมาอยู่ในร่างของวัยเด็ก ผมกำลังถูกอุ้มและพาไปซักที่ พอกวาดตามองรอบๆ ก็พบกับชั้นหนังสือเรียงราย ที่นี่ใหญ่พอๆ กับหอสมุดที่สภากลางหากแต่ตกแต่งแบบโรมาเนส ให้ความรู้สึกอึมครึมกว่ามาก เรามาอหยุดอยู่หน้าเตาผิงหินสลักอันใหญ่ก่อนที่คนอุ้มจะกดหัวรูปปั้นทางซ้ายแล้วได้ยินเสียงกลไกที่ซ่อนอยู่ภายใน เตาผิงค่อยๆ เลื่อนออกเผยให้เห็นบันไดหินทอดยาวสู่เบื้องล่างมีเพียงคบไฟสองข้างทางส่องสว่างตามทางเดิน
ความหวาดกลัวโถมเข้ามาในใจอย่างไร้ที่มา เมื่อเขาเก้าเท้าลงไปตามบันไดนั้น มันมากขึ้นๆ จนร่างกายสั่นสะท้าน ผมพยายามดิ้นพล่านเพื่อให้หลุดพ้นจากอ้อมกอดนั่น กรีดร้องอย่างบ้าคลั่งราวกับปลายทางตรงหน้ามันคือนรกอเวจี
“โย!! โยเป็นอะไร” เสียงหนึ่งดึงผมกลับมาให้ลืมตามองโลกแห่งความจริง รอทมองผมอย่างวิตก นี่ผมหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่จำได้ว่าผมนอนอ่านหนังสือของอาร์เคนอยู่บนโซฟาหลังจากเลิกเรียนกลับมา ใจผมยังคงสั่นพอๆกับลมหายใจที่ขาดห้วง เหมือนความกลัวมายังตกค้างในความคิด...กลัว!? ผมกลัวอะไร
“ฝันร้ายหรอ” รอทถามเมื่อผมยังคงเงียบ จึงพยักหน้าแทนคำตอบ มันดึงผมเข้าไปกอดพลางลูบหัวเบาๆ อย่างปลอบขวัญ
“เป็นไปได้ไหมว่านั่นเป็นความทรงจำ ไม่ใช้ฝัน” ผมสบตาสีฟ้าคู่นั้นที่มองตอบผมอย่างครุ่นคิด หากนั่นมันคือความทรงจำเหมือนอดีตของผมคงไม่ได้สวยงาม
“ผมก็ไม่แน่ใจ แต่ผมหวังให้มันเป็นแค่ฝัน”
ผมอ่านบันทึกของอาร์เคนไปไม่มากนักอาจเพราะไม่ใช่ภาษาพ่อแม่เลยเสียเวลาแปลอยู่นานโข เชื่อกันว่าตระกูลนี้สืบเชื้อสายจากเฮลล่าซึ่งเป็นลูกสาวของโลกิ(ซาตาน/ลูซิเฟอร์) เหมือนกับซานซิโอตระกูลของรอท เพียงแต่แข็งแกร่งกว่า(มั้ง)เพราะกฎเหล็กของตระกูลนี้คือห้ามแต่งงานกับมนุษย์ ทำให้สายเลือดแวมไพร์ไม่ถูกเจือจาง อาร์เคนนั้นเชี่ยวชาญในเรื่องวิทยาการความรู้รวมไปถึงเวทย์มนต์ พิธีกรรมโบราณต่างๆ ผิดไปจากซานซิโอที่ถนัดด้านการรบการต่อสู้ ส่วนเรื่องอื่นๆ คงไม่พ้นการสรรเสริญเยินยอในสายเลือดอาร์เคนจนรู้สึกว่าไอ้ตระกูลห่านี่มันบ้าในอำนาจหลงตัวเองไปไหน คิดแล้วก็รู้สึกแหยงๆ ที่ดันมือสายเลือดนี้อยู่ตั้งครึ่งหนึ่ง แถมตัวผมเองยังเป็นสิ่งที่ผิดกฎเพราะดันมีสายเลือดมนุษย์ปนอยู่...เพราะนี่หรือเปล่า ครอบครัวผมเลยเหลือแค่ผมกับแม่
“โย สัปดาห์นี้มีเรียนหรือเปล่า” รอทถามขึ้นตอนเราทานข้าวเย็น
“มีสิ เพิ่งวันจันทร์เอง นายไม่มีหรือไงถามแปลกๆ” ผมวางช้อนในมือแล้วมองหน้ามัน ทำงานเยอะจนเพี้ยนหรอผัวกู
“แล้วลาได้มั้ย?”
“ก็น่าจะได้ ไม่น่ามีอะไรสำคัญ เพราะสอบอาทิตย์หน้า” ผมเรียนศิลปกรรมจึงไม่มีหนังสือต้องอ่านเยอะ สอบแค่2-3วิชา ส่วนใหญ่ทำงานส่ง “นายจะไปไหนหรอ”
“ป่าตอง ภูเก็ต!”
“ไปทำอะไร”
“ก็เรื่องคดีนั่นละ ผมหาตัวหมอนั่นเจอแล้ว เอ่อหมายถึงแกนนำของซาโตนี่ที่หนีเข้ามาในไทย มันกบดานอยู่กับผู้มีอิทธิพลที่นั่น เพราะซอนเน่บ่นกรอกหูทุกวันแถมยิ่งเอาไว้นานสาวกซาโตนี่ในไทยยิ่งถูกปลุกให้ลุกมาเคลื่อนไหว ผมกลัวว่าเรื่องมันจะบานปลายเกินควบคุม ” รอททำหน้าเครีย ผมพอจะรู้ว่าช่วงนี้มันยุ่งแค่ไหนนั่นเป็นส่วนหนึ่งว่าทำไมผมต้องมางมอ่านไอ้หนังสือบ้าๆ นั่นเอง
“แล้วทำไมผมต้องไป” นั่นสิเอาไปจะช่วยอะไรได้ ถึงมันจะสอนผมสู้สอนผมยิงปืนแต่กับคดีจริงจังแบบนี้ไม่น่าจะช่วยได้
“ก็แค่ไม่อยากปล่อยนายไว้” ดวงตาสีฟ้ามองผมอย่างจริงจัง “นะที่รัก อย่างน้อยผมก็สบายใจ ไปเป็นกำลังใจให้ด้วยไง” อ๊าก!!!...มันเรียกที่รักทีไรขนลุกทุกที อดเขินไม่ได้กับลูกอ้อนมัน
“แล้วจะให้ลาเรื่องอะไรล่ะ!” จู่ๆ จะให้ลาทั้งสัปดาห์มันบ้าหรือเปล่า
“ป่วย!ก็ได้ เดี๋ยวผมให้ไอ้หมอมันเซ็นใบให้” เหอะๆ มีเพื่อนเป็นหมอมันดีแบบนี้นี่เอง ถึงว่าผมเห็นมันโดดไปทำงานที่สภาบ่อยๆ “จะรีบเคลียให้เสร็จๆ เดี๋ยวพาเที่ยว คิดซะว่าไปฮันนี่มูน นะครับ!” ยัง...ยังไม่เลิกเกลี้ยกล่อม พร้อมทำตาวิ้งๆ คือมึงเปลี่ยนอารมณ์ไวดีเนอะ
“ฮันนีมูนบ้านแกสิ!” ผมสวนมันไปทันที...ไอ้แวมไพร์นี่เพ้อเจ้อว่ะ แล้วคือกูใจเต้นทำไม เชี่ย!
“นะ นะ นะครับ” ดู ดูมันอ้อน มันอายุหาสิบกว่าหรือห้าขวบวะ!
“เออ!!!!”
.................................................................................
วันถัดมาเราทั้ง 5 คน?ก็มาถึงหน้าโรงแรมที่ภูเก็ต ดูหรูดีครับมันบอกทางสภากลางจัดมาให้ ผม ไอ้รอท ยูจีนคนสวย พี่หมอ แล้วก็เมียพี่หมอ (เพื่อนผมนั่นแหละ) ไอ้ 3 ตนแรกเข้าใจครับมาทำงานส่วน ผมโดนบังคับมา แต่ไอ้ข้าว!?
“สัดข้าว มึงมาทำไมวะ...” ผมถามไอ้ตี๋ที่ยืนดี้ด้าอยู่ข้างๆ “ไม่เรียนหรอ”
“แล้วมึง ไม่เรียนหรอ!” ไอ้เตี้ยมันย้อน!
“กูโดนบังคับมา” ไอ้รอทยิ้มรับ รู้ตัวด้วย!?
“กูเหงา ถูกเพื่อนทิ้งเลยตามมา” ข้าวบ่นหน้าหงิก นั่นสิ กลุ่มเรามีแค่ผมกับมันแล้วนิ “ไม่อยากอยู่กับกูหรอ” มันว่าพลางเกาะแขนผมเอาหน้าถูๆ มันก็ออเซอะผมมาแต่ไหนแต่ไรแล้วเพราะมันอ้อนไอ้ธีรไม่ค่อยได้อะไร
“สัดนี่...ทำไรเกรงใจพี่หมอมั่ง” ผมแกล้งดุมัน
“พี่หมอไม่ว่าหรอก” มันหันไปยิ้มหวานให้พี่ริคก่อนที่เขาจะขยี้หัวมันอย่างเอ็นดูแล้วเดินนำเข้าไป
เราพากันเอาของไปเก็บที่ห้องของตัวเอง ผมอยู่กับผัว ข้าวอยู่กับหมอ ส่วนยูจีนโดดเดี่ยวแต่ดูเธอไม่มีปัญหาหรอกครับเดี๋ยวคงเกี่ยวหนุ่มๆ แถวนี้ได้เอง ในสายตาคนอื่นเธอดูง่ายแต่ผมเข้าใจครับ พลังงานของซักคิวบัสนั้นมาจากเซ็กซ์ หรือมีกามารมณ์เป็นอาหาร อย่างน้อยๆ ก็ต้องอาทิตย์ละครั้ง พวกเขาถึงจะเหนือมนุษย์แต่ต้องมีชีวิตโดยกระหายในสิ่งคาวมันก็เหมือนคำสาปนั่นแหละ ผมคิดว่าพวกเขาคงไม่สุขกับมันเท่าไหร่มั้ง
ห้องพักของผมอยู่ชั้นบนสุดหันไปทางทิศตะวันตกเพราะทะเลที่นี่เป็นฝั่งอันดามัน เป็นห้องชุดมีห้องนอน ห้องนั่งเล่นและห้องน้ำ ใจกลางมีอ่างจากุสซี่ขนาดใหญ่ ที่ด้านหนึ่งเป็นกระจกทำให้เห็นวิวทะเลและขอบฟ้าด้านนอก เวลาอาบน้ำคงอย่างให้รู้สึกว่าแช่ตัวในทะเลละมั้ง เห็นแล้วหวิวๆ ดี ห้องคงแพงน่าดู สภากลางนี่คงรวยล้นฟ้าเลยสินะ เก็บขอตัวเองเสร็จพวกเราก็มารวมตัวกันที่ห้องพี่หมอ ก่อนที่เจ้าตัวจะเอาเอกสารคดีมากางบนโต๊ะแล้วเริ่มอธิบายตามประสาคนฉลาดอย่างเคย
“นี่คือคนที่เราตามหา คงไม่ต้องแนะนำเยอะ” หมอว่าพลางชี้ลงไปบนกระดาษบนโต๊ะ แนะนำก็ดีนะผมอยากเสือกง่ะ T^T “และนี่ ชื่อ อรรถพล เป็นพวกแวร์วูฟและเป็นนักการเมืองท้องถิ่น ทำธุรกิจมืดทุกประเภท ซ่อง บ่อน ยา คุมผับใหญ่ๆ ที่นี่ และก็เป็นคนให้เงินสนับสนุนกลุ่มซาโตนี่ในไทย” ผมมองภาพไอ้หนวดหน้าเหี้ย(ม) คุณสมบัติดีเด่นแท้...ภูเก็ตก็ไม่ต่างจากพัทยาหรอกครับรวมด้านมืดหลายๆอย่าง ที่มีชื่อในต่างชาติคงไม่พ้นโสเภณี ซึ่งหลายคนในไทยยังหลับหูหลับไม่ยอมรับความจริงนี้ จึงไม่แปลกที่ที่นี่จะกลายเป็นที่กบดานของอาชญากรหลายๆ คนรวมไปถึงพวกอมนุษย์
“แก๊งค่ายา ค้ามนุษย์ มันดูไม่ใช่งานของสภาเลยด้วยซ้ำ” ยูจีนบ่น “มันควรจะเป็นงานของตำรวจท้องที่ไม่ใช่หรอ หรือโดนซื้อไปหมดแล้ว”ผมก็ว่างั้น
“แต่ในเมื่อมีซาโตนี่มาเอี่ยวมันก็กลายเป็นงานของเรา” พี่ริคอธิบายต่อ
“เอาน่าคิดซะว่าสงเคราะห์ พวกมนุษย์ไปละกัน” รอทบอก
“แล้วจะไปเมื่อไหร่” ผมถามขึ้น หลังจากไร้ตัวตนอยู่กับไอ้ข้าวหอมมาซักพักเพราะไม่ได้รู้เรื่องอะไรกับเขามาก
“คืนนี้เลย ผมเตรียมกำลังคนไว้แล้ว เราจะบุคไปที่ผับ...ตามพิมเขียวข้างใต้มีชั้นใต้ดินเป็นที่รวมของพวกอมนุษย์ด้านบนเปิดเผ็นผับบังหน้า อาวุธก็ในลังนั้นเลย” หมอพยักเผยิดไปทางลังไม้ขนาดใหญ่ 2 ลังทั้งที่ตอนมาไม่เห็นมีบนรถคงให้คนของสภากลสงเตรียมมาให้
“แผนการไม่ยาก จับเป็นเท่าที่ทำได้เพราะเราอยากขยายผลตามซาโตนี่ที่เหลือ แต่ถ้าไม่สะดวกก็ฆ่าทิ้งตามสบาย” ดวงตาสีน้ำตาลแข็งกร้าวขึ้นมาชั่วครู่ ทำเอาไอ้ข้าวหอมข้างๆ สะดุ้งมองอย่างหวาดๆ เหมือนหมอริคจะรู้ตัวเลยหันไปขอโทษคนตัวเล็ก...มันไม่เหมือนผมที่ต้องออกไปช่วยรอททำงานบ้างเลยชินกับเรื่องพวกนี้
“ผมไปด้วย” ทุกคนหันมามองผมเป็นตาเดียว...ทำไมวะ ผมอยากช่วยนิ
“โย มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ นะ” รอทบอกเสียงดุ
“ก็ไม่ได้เล่นไง นายสอนผมเยอะแค่ไหนไม่ลงสนามจริงก็เท่านั้น” ผมเถียง
“แต่โย...”
“มันก็ไม่ต่างกับการทิ้งให้อยู่คนเดียวที่คอนโดไม่ใช่หรอ แล้วจะพามาทำไม บอกไม่อยากอยู่ห่างนิ ก็ให้ไปด้วยสิ” ผมร่ายยาวเลยครับ...นี่กูเอาแต่ใจขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ รอทมองผผมแล้วถอนหายใจออกมาดังๆ “ผมไม่ได้อ่อนแอ อย่างน้อยครึ่งหนึ่งก็เหมือนพวกนาย”
“แต่พวกเราก็ตายเป็น” มันทำท่าครุ่นคิด “นายว่าไงริค”
“คนของนายตัดสินใจเอง” พี่ริคบอก มันเลยหันไปหายูจีนแต่เธอก็ยักไหล่แบบไม่ขอออกความเห็น
“ก็ได้” มันพูดออกมาในที่สุด “แต่ถ้าผมเห็นว่ามันไม่ไหวแล้วบอกให้ถอย นายต้องถอยห้ามเอาตัวเองไปเสี่ยง”
“ตกลง”
เรามาจัดแจงเตรียมตัวกัน รอทเลือกปืนสั้นกึ่งออโต้ให้ผม2 กระบอก พร้อมแมกกาซีนอีกหลายอัน ผมซ้อมยิงปืนหลายครั้งและค่อนข้างแม่นครับ อาจเพราะเลือดแวมไพร์ครึ่งหนึ่งทำให้สายตาดี มีดสั้นอีก 3เล่มตอนนี้ผัวผู้น่ารักกำลังบังคับผมใส่เสื้อกันกระสุนไว้ด้านใน อึดอัดชิบหายก่อนจะทับด้วยเสื้อเชิทสีดำ มันจัดเจงติดกระดุมให้เหมือนพ่อที่กำลังส่งลูกไปเรียนไม่มีผิด
“ขอบใจ”
“รู้ใช่ไหมว่ามันอันตราย” เสียงทุ้มเอ่ยเรียบๆ ดูสีหน้ามันคงเคืองเรื่องที่ผมจะไปด้วย
“รู้ แต่ก็อยากไป อยากช่วย อยากทำอะไรบ้าง” ผมร่ายยาว
“นายมันดื้อ” รอทว่าผมอย่างอ่อนใจ ดวงตาสีฟ้าใสมีแต่ความกังวล
“ก็แค่อยากแกร่งขึ้น อยากดูแลตัวเองให้ได้ ไม่อยากให้นายต้องลำบาก” ผมจ้องตาคู่นั้น ผมคิดแบบนั้นจริงๆ รอทเฝ้าผมไม่ได้ตลอด หากผมโดนจู่โจมก็ควรจัดการเองได้ หรือปกป้องคนรอบๆ ตัวผมได้โดยเฉพาะไอ้ข้าวกับแม่ษา
“แต่ผมเต็มใจปกป้องนาย” คิ้วเข้มขมวดมุ่น...เครียดอีกแล้ว ผมชักกลัวว่าผัวผมจะหน้าแก่แล้วสิ
“อื้อ รู้ ขอบคุณนะ” ผมบอกพลางโน้มคอร่างสูงลงมาจูบอย่างอ้อยอิ่งและอ่อนหวาน ส่วนหนึ่งเพราะอยากขอบคุณอีกส่วนคืออยากให้มันเบาใจขึ้นในเรื่องของผม
ผมอดตื่นเต้น และหวาดหวั่นกับสิ่งที่กำลังจะทำไม่ได้ แต่ผมเลือกแล้วที่จะแกร่งขึ้น
...เปลี่ยนจากเหยื่อล่อให้กลาย เป็นผู้ล่า...
[/i]
Talk Talk
[/b]
-เราว่าเรื่องของเรามันห่างจากคำว่าโรแมนติกไปไกล จนดูไม่เป็นบอยเลิฟไปเสียแล้ว เรากลัวคนอ่านจะเบื่อจัง ไม่ค่อยมีเรื่องหัวใจมาให้ลุ้น
-ขออภัยที่อัพช้านะ อย่าโกรธเค้าเลย มัวแต่ออเซอะที่รักอยู่นานๆเจอที
-บทหลังๆ จะหนักเอาการ กล่าวถึงโน่นนี่นั่นเยอะไปหมดอย่าเพิ่งสับสนกันนะ มีอะไรถามทิ้งไว้ก็ได้เดี๋ยวเรามาตอบนะจ้ะ
-เอ้อแล้วการที่เราเขียนบทพูดอะจ้ะ เราใช้ผมกับนายเพราะ รอท ริค ไม่ใช่ไทยแท้จึงไม่เชี่ยวชาญการใช้สรรพนามที่หลากหลาย อาจทำให้เรื่องนี้ขาดอรรถรสไปบ้างต้องขออภัย เพราะในชีวิตจริงเราก็เป็นคนเงียบๆ ด้วยสิ
-ท้ายที่สุดนี้ขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจ ที่ทำให้คนแต่งมีแรงพิมพ์ต่อไป ขอบคุณจากใจเลยจ้า