บทที่ 23 moonlight romance
[/b]
เสียงเพลงแจสเปิดคลอเบาๆ ท่ามกลางบรรยากาศหรูหราของร้านอาหานตะวันตกในกรุงเวียนนา เมืองแสนสงบที่ขึ้นชื่อเรื่องสถาปัตยกรรมของอาคารบ้านเรือนที่ยังคงความคราสสิกหรูหราอันเป็นเสน่ห์ดึงดูดทุกคนให้มาเยือน อุษานั่งจิบไวน์พลางกวาดตามองบรรยากาศภายนอกหน้าต่างร้านอย่างเพลิดเพลิน มุมนี้ถูกกั้นไว้เป็นห้องส่วนตัว ในใจนึกถึงลูกชายตัวดีที่ชื่นชอบศิลปะยิ่งกว่าสิ่งใด คงจะดีไม่น้อยหากพาโยนาห์มาเที่ยวที่นี่ซักครั้ง
เธอเหลือบมองนาฬิกาใกล้จะหนึ่งทุ่มซึ่งเป็นเวลานัดของวันนี้ การเป็นดีลเลอร์นำเข้าเครื่องสำอางค์ทำให้เธอต้องเดินทางศึกษาตลาดในประเทศต่างๆ มีบ้างที่ลูกค้าอยากจะนัดดินเนอร์เป็นการส่วนตัวเพราะจริงๆ แม้อายุจะย่างเข้าเลขสี่แต่ไม่ได้ทำให้ใบหน้านี้งดงามน้อยลง กลับมีเสน่ห์ตามวัยไปอีกแบบ และแล้วประตูร้านก็เปิดออกพร้อมร่างสูงที่เดินตรงมายังเธอ ผมสีบรอนเงินยาวถูกรวบหลวมๆกับดวงตาสีเทาและใบหน้าที่แทบไม่เปลี่ยนไปเลยจากเมื่อสิบกว่าปีก่อนทำเอาแก้วไวน์แทบหลุดมือด้วยความประหลาดใจ
“อัล!?” ริมฝีปากสวยระบายยิ้มอย่างดีใจ “อัลสไวเดอร์! ใช่คุณจริงๆ หรอ”
“อืม...ไม่เจอนานเลยนะที่รัก” ร่างสูงระบายยิ้มก่อนนั่งลงตรงข้าม “คุณยังสวยเหมือนเดิมเลย คงจะดีถ้ามันจะเป็นอย่างนี้ไปนานๆ” มือเย็นเอื้อมมาจับมือเธอก่อนลูบเบาๆ อย่างสื่อความหมาย เธอยิ้มรับเจื่อนๆ จังหวะเดียวกับที่อาหารมาเสริฟ ที่นี่สามารถสั่งเมนูไว้ล่วงหน้าหรือไม่ก็มีชุดอาหารตามเทศกาลเปลี่ยนทุกๆ สองอาทิตย์
“รู้ได้ไงว่าฉันอยู่นี่” อุษาถามคนตรงหน้าอย่างแปลกใจ
“จริงๆ ก็ตามข่าวคุณกับลูกอยู่ตลอดนั่นแหละ แต่ที่ผมไม่เข้าใกล้คุณเพราะอยากให้โยได้เติบโตและใช้ชีวิตแบบคนธรรมดาอย่างที่คุณต้องการ” เขาอธิบายพลางลงมือทานอาหาร “โยเป็นยังไงบ้าง”
“เอาจริงๆ ฉันก็ไม่ได้อยู่กับลูกมาก อย่างที่เห็นทำงานเดินทางตลอด โทรไปหาบ้าง ส่งเมลไปคุยบ้าง แต่ก็ดี เสเพลบ้างตามประสาวัยรุ่น ตอนนี้เรียนศิลปกรรมอยู่ จริงๆ เขาเพิ่งจะเสียเพื่อนสนิทไปนะแต่ดูเหมือนจะดีขึ้นแล้ว”
“ยังชอบวาดรูปไม่เปลี่ยนเลยสินะ ถึงจะจำตอนเด็กไม่ได้”
“ฉันก็ไม่อยากให้ลูกจำ”
“แล้วคิดจะบอกเรื่องแวมไพร์กับลูกเมื่อไหร่” เธอส่ายหัว “แต่ท้ายที่สุดโยก็ต้องรู้นะ”
“เขาไม่มีทางรู้ หลังจากวันนั้นเขาไม่เคยเจอคุณเลยด้วยซ้ำ ไหนจะตราผนึกของคุณอีก และฉันก็จะเลี้ยงเขาในฐานะมนุษย์แบบนี้แหละ” โลกของอมนุษย์มีอันตรายมากมาย จะดีกว่าถ้าโยได้เติบโตและมีความสุขแบบวัยรุ่นทั่วไป
“แต่คิดว่าถึงเวลาที่โยต้องรู้แล้วละ” ร่างสูงแย้ง “อาร์วาร์ค แหกคุกนิฟเฮมออกมาแล้ว”
เคร้ง!? ร่าบางเผลอปล่อนช้อนส้อมในมืออย่าตกใจ
“ เขาอยู่นิ่งๆ มานานแล้ว คุกนิฟเฮม ตระกูลอาร์เคนเป็นคนสร้าง อาร์วาร์คเข้าใจมันดี เดาว่าเขาต้องรู้ว่าโยยังมีชีวิตอยู่จึงเริ่มเคลื่อนไหว ผมมั่นใจว่าคุณกับลูกต้องโดนตามล่าแน่ๆ ผมน่าจะฆ่าเขาทิ้งซะตอนนั้น” ดวงตาสีเทาดูเศร้าสร้อยเมื่อพูดถึงแฝดผู้พี่ของตน “อย่างน้อยถ้าโยรู้ว่าตัวเองเป็นอะไร รู้ว่าทำอะไรได้ เขาน่าจะปกป้องตัวเองไหว”
“งั้นฉันควรจะรีบกลับไปหาโย” เธอมีทีท่ารีบร้อน อาหารตรงหน้าหมดความอร่อยไปทันที
“ใจเย็นก่อนษา อาร์วาร์คคงยังไม่ไม่ทำอะไรตอนนี้ เขาโดนขังมานานพลังก็ยังไม่คงที่ เขายังต้องรวบรวมคน” อัลสไวเดอร์ว่าพลางกุมมือเธอแน่น “
“ไม่รู้ล่ะฉันจะเคลียงานให้เสร็จแล้วกลับพรุ่งนี้เลย ฉันเป็นห่วงลูก” ร่างบางร้อนรนกับข่าวที่ได้รับสิ่งที่เธอกลัวมาตลอดสุดท้ายมันก็เกิด
“งั้นผมจะรวบรวมคนเก่าๆ เดี๋ยวตามไปให้เร็วที่สุด อ๊ะ ษาคุณจะรีบไปไหน” เขาว่าพลางรั้งมือนิ่มๆ นั้นไว้ ดินเนอร์ของเขาและเธอเพิ่งเริ่มด้วยซ้ำ
“ไปเตรียมตัว กับหาซื้อตั๋วเครื่องบินไง”
“ครับ จะรีบตามไปนะ” เสียงทุ้มตอบรับก่อนจุมพิตหลังมือบางนั้นไปทีเรียกรอยยิ้มหวานจากเจ้าตัว
................................................................
Kawhom Say ...Last night...
“พี่บอกให้รอที่รถทำไมไม่รอละ” เสียงทุ้มดุผม
“ก็ผมได้ยินเสียงปืน...เลยวิ่งเข้าไปดู” ผมก้มหน้างุด รู้ตัวว่าผิดเต็มๆ
“คนปกติที่ไหนเขาวิ่งเข้าหาเสียงปืนวะ!” พี่หมอเริ่มเสียงดัง
“ก็ผมเป็นห่ว...”
“ห่วงตัวเองเถอะ!” เจ้าตัวพูดขัด “แล้วนี่ดูสิ ถ้าโยช่วยช้าไปนิดเดียวเราคงตายไปแล้ว” มือหนาเชยคางผมขึ้นสำรวจรอยมือช้ำๆ ที่โดนเมนอสบีบคออย่างขุ่นเคือง
“ผม...ขอโทษ ผมก็แค่อยากช่วย”
“ข้าวหอม ลืมไปแล้วหรอว่าตัวเองยังเป็นมนุษย์นะ เข้าไปแบบนั้นนอกจากจะไม่ช่วยแล้วยังเป็นภาระคนอื่นเขา โยบาดเจ็บขนาดนั้นส่วนหนึ่งเพราะต้องปกป้องเรารู้ตัวมั้ย” พี่หมอร่ายยาวในสิ่งที่ผมก็รู้ดี เออผมมันก็แค่มนุษย์ ทำอะไรก็ไม่ได้ ได้แต่นั่งง่อยลุ้นทั้งที่เป็นห่วงแทบตาย...แม่งเอ้ย
“ก็ผมขอโทษแล้วไง พี่ไม่อยากให้ผมเป็นภาระก็เปลี่ยนให้ผมเป็นแบบพี่สิ” ผมเถียงออกมาในที่สุด
“คิดว่ามันง่ายหรือไง” ดวงตาสีน้ำตาลดูแข็งกร้าว “ถ้าเราเป็นแบบพี่มันเลี่ยงที่จะมีเรื่องกับคนอื่นไม่ได้หรอกนะ อมนุษย์อย่างเรายังคงใช้ชีวิตด้วยสัญชาติญาณ การไล่ล่าแย่งชิงเป็นเรื่องปกติ แล้วครอบครัวเราก็ต้องมาเดือดร้อนไม่ช้าก็เร็ว ข้าวจะไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับพวกเขาได้อย่างปกติ ยอมได้หรือเปล่าละ”
“พี่หมอยังอยู่กับผมได้เลย” ผมเถียงค้างๆ คูๆ ใจนึกถึง ป๊า ม้า พี่ฟ่างและก็อาม่า
“พี่แกร่งพอจะปกป้องเราได้”
“ผมก็จะแกร่งให้พอปกป้องคนอื่นได้”
“ข้าวมันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ นะ”
“ผมไม่ได้เล่น!” ผมเริ่มเสียงดังบ้าง...ทำไมการที่ผมเป็นมนุษย์มันมีปัญหามากหรือไง!? ผมก็แค่อยากทำอะไรได้บ้างไม่ใช่ไร้ค่าอยู่แบบนี้ พี่หมอเก่งจะตาย...จะไปเข้าใจความรู้สึกผมได้ไง
“พี่ว่าเราพูดไม่รู้เรื่องแล้วนะ” พี่หมอมีท่าทีเหนื่อยหน่าย...เหนื่อยมากใช่มั้ย!?...เออ
“งั้นก็ไม่ต้องพูดกับผม” ผมตัดบทด้วยอารมณ์คุกรุ่นในตอนนั้น ก่อนจะหนีเข้าห้องนอนปิดประตูดังลั่น
...Back to present…
แม่งเอ้ย! ผมลุกพรวดจากโซฟาเพราะทนบรรยากาศอึดอัดไม่ไหว พี่หมอเงียบผมก็เงียบราวกับว่าใครพูดก่อนแพ้ ดวงตาสีน้ำตาลเอาแต่จ้องผมนิ่งๆ จนผมทนไม่ไหวลุกพรวดไปคว้าเอาหมอนกับผ้าห่มในห้องเดินไปที่ประตู มือสากคว้าแขนผมไว้พร้อมมองด้วยสายตาประมาณว่า...จะไปไหน!?
“จะไปนอนกับไอ้โย” ผมตอบห้วนๆ
“ไม่ต้องไปกวนสองคนนั้นเลย” เสียงทุ้มเรียบนิ่ง “ถ้าไม่อยากอยู่ใกล้ขนาดนั้นเดี๋ยวพี่ไปเองก็ได้ นอนนี่ละ ไม่ต้องออกไปไหนด้วย ดึกแล้ว” ยังไม่ทันที่ผมจะปฏิเสธอะไรร่างสูงก็ปิดประตูเสียงดังจากห้องไปเสียแล้ว
ผมล้มตัวลงนอน ทำยังไงก็ไม่อาจข่มตาหลับทั้งที่เหนื่อยล้าเต็มทนจากการเล่นน้ำมาทั้งวัน เหลือบเห็นหมอนอีกใบข้างๆ ที่ว่างอยู่แล้วใจมันโหวงๆ บางทีผมอาจงี่เง่าเกินไปก็ได้ แต่ไม่มีใครชอบโดนดุหรอกจริงไหมถึงผมจะรูว่าพี่เขาห่วงผมมาก็ตาม ตอนนี้พี่หมอไปไหนนะ จะไปนอนที่ไหนกับใคร...ความคิดมากมายตีกันวุ่นอยู่ในหัว
“แม่งเอ้ย!” ผมลุกขึ้นทึ้งหัวอย่างหงุดหงิด ไม่นงไม่นอนมันละ คว้ากางเกงยีนมาใส่หยิบกระเป๋าตังกับโทรศัพท์ มือกดโทรหาเบอร์ที่ทำผมนอนไม่หลับก่อนจะกระชากประตูห้องนอนเปิดอย่างร้อนใจ แต่ก็ต้องชะงักงันเมื่อเจอคนที่ผมตามหานั่งกระดกเหล้าอยู่ตรงโซฟากลางห้อง ส่วนโทรศัพท์ยังคงสั่นครืดอยู่บนโต๊ะภายใต้แสงสีเงินของดวงจันทร์ที่สาดเข้ามา
“ไหนพี่บอกจะไปข้างนอก” ผมถามอย่างประหลาดใจ
“บอกแล้วว่าไม่ต้องออกไหน” ไม่มีคำตอบกลับพูดไปอีกเรื่อง ดวงตาสีน้ำตาลนั่นยังคงมองแก้วในมือ
“ผมจะออกไปตามหาพี่” ใบหน้าหนวดๆ หันมองผมแวบหนึ่งพลางกระตุกยิ้มที่มุมปากแต่ก็พยายามเก๊กไว้เหมือนยังโกรธผมอยู่ ทำผมหลุดขำเบาๆ...นี่สินะเจ้าตัวถึงกลับมา รู้สึกใจชื้นขึ้นมานิดๆ จึงทำใจดีสู้หมา!?ไปนั่งลงข้างๆร่างสูงนั่น แต่คนตัวโตใจน้อยยังทำเป็นไม่สนใจ
“ขอโทษ” ผมว่าพลางเอนหน้าไปซุกไหล่หนานั่น รู้สึกอุ่นอยู่ข้างแก้ม “ที่ทำให้เป็นห่วง” ตอนนี้รู้แล้วครับโกรธกันไปก็เท่านั้นต่างคนต่างไม่สบายใจเปล่าๆ พี่หมอวางแก้วเหล้าลงก่อนถอนหายใจออกมาดังๆ
“ไม่ให้อภัย” อะไรวะคนอุส่าง้อ
“ตามใจ...เฮ้ย!” ผมทำท่าจะลุกหนีแต่กลับถูกดึงเสียหลักไปนั่งบนตักคนตัวโต ไอ้ยินเสียงหัวเราะหึๆ เริ่มสังหรณ์ใจไม่ดี “ไม่ให้อภัยแล้วมากอดทำไมเนี่ย” แขนแกร่งรัดผมไว้แน่นพร้อมก้มหน้าซุกต้นคอผม ไรหนวดที่คลอเคลียเล่นเอาขนลุกซู่เลยครับ
“อยากให้อภัยต้องไถ่โทษสิ” ผมหันกลับไปมองก็พบกับรอยยิ้มของหมาป่าชั่วร้าย รับรู้ถึงสัญญาณอันตรายที่นำพาให้หน้าร้อนผ่าว
“อย่ามาฉวยโอกาส”
“เปล่านี่ ใครก็ไม่รู้ทำพี่เป็นห่วงแทบคลั่ง กลับมา ยังมางอนไม่ยอมคุยด้วย นอนหันหลังให้ทั้งคืนแถมไม่ยอมให้กอด จะขาดใจตายแล้วเนี่ย” พี่หมอบ่นอุบ พร้อมทำหน้าเหมือนจะขาดใจจริงๆ...ทั้งหมั่นไส้ ทั้งสงสารเลยทีนี้
“โอ๋ๆ อย่าพึ่งตายนะพี่” ผมยิ้มขำพร้อมโน้มคออีฝ่ายลงมาจูบ ทั้งที่กะจูบปลอบเบาๆ กลายเป็นร้อนแรงไปซะได้ ริมฝีปากอุ่นบดเบียด ลิ้นร้อนลุกล้ำเข้ามาอย่าหิวกระหาย จาบจ้วงดูดกลืนเอาเรี่ยวแรงผมไปสิ้นจนสมองพล่าเบลอ รู้ตัวอีกทีแผ่นหลังก็สัมผัสเตียงแล้วครับ ไม่รู้โดนอุ้มมาตอนไหน
“อื้อ...แปป...แฮกๆ ผมหายใจไม่ทัน” พี่หมอผละออกอย่าว่าง่ายแต่มือกลับลูบไล้ไปทั่วตัวจนสั่นสะท้าน ไม่วายเอาหนวดแข็งๆ มาซุกไซซอกคอผมอีก ผมได้แต่สะดุ้งเฮือกในทุกครั้งที่พี่หมอกดจูบไปตามร่าง ขบกัดทิ้งรอยบ้าง ก่อนจะวกกลับมายึดครองริมฝีปากผมอีกครั้งมือก็จัดการลอกคราบผมออกอย่างรวดเร็ว ก่อนที่เสื้อผ้าจะถูกโยนทิ้งไปซักที่ในห้อง
“อ๊ะ...อย่าพึ่ง” ห้ามไปก็ไร้ผลเพราะพี่หมอตอนนี้เหมือนสติหลุดจู่โจมผมไปทุกส่วน นี่แค่อินโทรยังทำผมแทบบ้าจนได้แต่ร้องครางเหมือนลูกกวางที่โดนหมาป่าขย้ำ พอจะเข้าใจครับ...เราไม่ได้มีอะไรกันบ่อยเหมือนคู่เพื่อนซี้ เพราะพี่หมอกลัวผมช้ำตายไม่ได้ฟื้นตัวไวแบบไอ้โย ส่วนใหญ่เราก็แค่กอดกัน จูบกันและก็นอนกอดกัน มีจัดหนักก็แค่สุดสัปดาห์ หมาป่าตัวร้ายของผมจึงอยู่ในสภาวะหิวโซเก็บกด พอได้เริ่มอะไรๆ ก็ฉุดไม่อยู่ เลยต้องปล่อยเลยตามเลย
“พะ...พอแล้วพี่ผมเหนื่อย” ผมร้องห้ามคนตัวโตที่ตอนนี้ทาบทับกดจูบไปตามตัวหลังจากผ่านไปสองยก รู้สึกได้ถึงน้ำอุ่นๆ ที่ยังคั่งค้างข้างใน บ้างไหลเลอะมาตามโคนขาที่แทบจะไม่มีแรงขยับ
“ยังไม่พอหรอก” ใบหน้าคมยิ้มเจ้าเล่ห์สายตาทอดมองจันทร์เพ็ญนอกหน้าต่างนั่น “คืนนี้พระจันทร์เต็มดวงนะ”
“ละ...แล้วทำไม อื้อ...” ผมถามเสียงสั่น เมื่อมือสากๆ เริ่มระรานยอดอก
“แวร์วูฟมักจะออกล่า เพราะ
แข็งแกร่ง! ที่สุดในเวลานี้” ทำไมต้องเน้นด้วยอ๊าก!!!...แล้วยังจะเอาไอ้ความแข็งแกร่งที่ว่ามาถูไถปากทางผมเล่นให้ผมบิดเร่า...อือเสียวนะเว้ย เริ่มรู้สึกร้อนๆ แล้วสิ “นอกจากการล่า สิ่งที่สัญชาตญาณต้องการอีกอย่างก็คือ...
เซ็กซ์!”
“อ๊า!...” ผมครางลั่นเมื่อสิ่งที่ถูไถอยู่นั่นกดเข้ามามิดลำ แม้จะผ่านศึกมาไม่นานแต่ขนาดก็ยังทำผมเจ็บปนเสียวอยู่ดี พี่หมอยิ้มร้ายบอกถึงชะตากรรมของผมในคืนนี้ก่อนที่เอวหนาจะขยับกระทั้นรัวแรงจนจับจังหวะร้องไม่ถูกเลย...ให้ตายสิ พรุ่งนี้ผมจะลุกได้ไม่เนี่ย ทำอ้างสัญชาติญาณนี่มันความหื่นล้วนๆ พี่หมอแม่งๆ ๆ... โอ๊ย! คิดคำด่าไม่ออก สมองขาวโพลนไปหมด ตอนนี้ขอร้องครางให้หมาบ้าคลั่งตายก่อนละกัน
Talk Talk
[/b]
-สองบทที่ผ่านมาหวานแววเบาๆ สบายๆ ไปแล้ว บทหน้าเตรียมตัวรับอะไรหนักๆ กันเถอะ
-น้องข้าวยังแอบเวิ่นให้ได้ปวดหัวนิดๆ ตามไสตล์แหละจ้า
-รูปวาด เราจัดให้แล้วนะในเม้นบน คนอื่นๆ ขอเข้ามาได้นะ จัดได้ทุกเรท แต่ถ้าแรงมากเดี๋ยววาดส่งให้หลังไม อิอิ
-ขอบคุณทุกแรงใจแรงเชีย เรารู้แหละ เรื่องเรามันค่อนข้างจะอินดี้ แต่ยังมีรีดเดอร์คนดีคอยให้กำลังใจเราอยู่ตรงนี้ สู้ตายเลยจ้า