Only You EP.15 :: [100%]เราเดินมาหน้าห้องคุณเบน เคาะเรียกพวกเขา ไม่นานประตูก็เปิดออก แล้วสามหนุ่มก็เดินออกมาในชุดหล่อ หรืออาจเป็นเพราะหน้าหล่ออยู่แล้ว เลยทำให้ชุดหล่อ เอ๊ะ สรุปหล่อเพราะอะไร แต่ในบรรดาห้าคนเนี่ย ผมเตี้ยสุด หน้าตาธรรมดาสุด รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นจุดบอดอย่างไรอย่างนั้น ให้ฟีลว่า กล้องจับมุมสูงไปสี่ช็อตแต่พอช็อตที่ห้ากล้องต้องกดลงมุมต่ำ
“จะไปวัดไหนอ่ะแมท” บาสถามตอนที่เราเดินไปรอลิฟต์พร้อมกัน
“วัดพระแก้ว วัดฮิตของฝรั่ง” บาสพยักหน้าเข้าใจ ผมยังไม่เคยเข้าไปด้านในเลย เคยไปแต่รอบนอกวัด เห็นแต่กำแพงสีขาวสะอาดตาล้อมวัดไว้ เวลาไปแถวนั้นผมก็มักไปทำอย่างอื่น ไม่เคยคิดแวะเข้าไปด้านใน อาจมีพลังงานบางอย่างต้านทานผมอยู่ก็เป็นได้
“เราจะไปยังไงกัน” บาสถามอีกครั้งตอนที่เราเดินออกจากลิฟต์หลังจากถึงชั้นหนึ่งแล้ว
“กำลังคิดว่าพาขึ้นตุ๊กตุ๊กดีมั้ย เวลาแมทไปแถวนั้น แมทชอบนั่งตุ๊กตุ๊กนะ เพลินดี”
“ก็ดีนะ จะได้เห็นวิวเมืองกรุงด้วย แต่เดี๋ยวลองถามราคาก่อน” ผมพยักหน้า ปล่อยให้วิคเตอร์เดินจูงมือผมไปเรื่อยจนออกมาถึงหน้าโรงแรม ผมบอกสามฝรั่งหนุ่มว่าให้รอบาสไปถามตุ๊กตุ๊กที่จอดอยู่แถวๆ หน้าโรงแรมก่อน ทุกคนดูตื่นเต้นกันใหญ่ที่ผมจะพาเขานั่งตุ๊กตุ๊ก
“เขาคิดเป็นราคาเหมา พาไปถึงวัด และจะพาเที่ยวรอบๆ แล้วก็พากลับมาส่งโรงแรมด้วย”
“เหรอ ดีจัง เขาคิดเท่าไหร่อ่ะ” บาสบอกราคามา และบอกว่าลองคำนวณแล้วก็คิดว่าคุ้มอยู่เหมือนกัน ผมหันไปบอกวิคเตอร์และทุกคน สามหนุ่มดูพึงพอใจกับราคาที่บอกไป วิคเตอร์ตอบตกลง เขาไม่มีปัญหาเรื่องราคาแต่ขอคนขับดีๆ หน่อย ซึ่งบาสก็การันตีว่าที่หามานั้นไม่น่ามีปัญหาอะไร
พอตกลงกันเรียบร้อย บาสก็ให้พนักงานโรงแรมเรียกตุ๊กต๊กให้เข้ามารับด้านหน้า วินาทีที่รถตุ๊กตุ๊กคันกะทัดรัดแล่นเข้ามาจอดตรงตีนบัน สามฝรั่งก็ยิ้มร่าและส่งเสียงฮือฮาชอบอกชอบใจ ส่งเสียงเย้วๆ กันใหญ่ว่า น่าตื่นเต้น คันเล็กมากเลย แต่ดูท่าจะซิ่งนะ เหมือนพาเด็กมาทัศนศึกษาไม่มีผิด ก่อนขึ้นรถพ่อสามหน่อขอถ่ายรูปกับตุ๊กตุ๊กและคนขับก่อน พอได้รูปหนำใจก็พากันขึ้นรถ แบ่งฝั่งกันนั่ง แอบเบียดกันนิดหน่อยด้วยความที่พ่อสามหรั่งนั้นตัวบึ้กกันทั้งนั้น วิคเตอร์เลยจับผมนั่งตักเพื่อให้มีที่ว่างเพิ่มอีกที่
“Are you ready? (พร้อมมั้ยค้าบ)” พี่คนขับเอ่ยถามสำเนียงไทยแต่มาพร้อมรอยยิ้มจริงใจ อันเดรกับเบนเนดิคท์ส่งเสียงเฮชอบใจใหญ่ที่ได้ยินพี่โชเฟอร์พูดอังกฤษ
“Let’s go! (ไปเลยครับ!)” อันเดรตะโกนตอบเสียงคึก พี่คนขับพุ่งตัวออกไปจากหน้าโรงแรมท่ามกลางเสียงเฮฮาด้วยความตื่นเต้นของสามฝรั่ง สร้างรอยยิ้มให้พนักงานโรงแรมที่ยืนมองอยู่
ผมถอดหมวกวางไว้บนตัก นั่งพิงอกวิคเตอร์ เลือกรูปที่จะอัพลงอินสตาแกรมให้เขา วิคเตอร์ชี้ว่าเอารูปที่ถ่ายกับเพื่อนเขาลง ผมก็ไม่ขัดเพราะภาพนั้นพวกเขายิ้มเริงร่ามาก แถมรอยยิ้มพี่โชเฟอร์ก็เป็นมิตรสุดๆ ได้ทีก็ถือโอกาสโปรโมตประเทศไทยผ่านผัว เอ้ย ผ่านสามีผู้มีชื่อเสียงระดับโลกหน่อยก็แล้วกัน
Tuk-Tuk of Thailand. Say cheese! ผมใส่แคปชั่นก่อนจะอัพรูปลงไอจีของเขา อันเดรกับเบนเนดิคท์กำลังนั่งกดมือถือพร้อมรอยยิ้มร่า สงสัยคงกำลังเลือกรูปลงโซเชียลอยู่เหมือนกัน ส่วนบาสเอากล้องโปรมาด้วย เลยกดถ่ายรูปตามวิวข้างทางที่เราผ่าน ซึ่งก็ไม่มีไรมากหรอก มีสะพานข้ามคลอง เสาไฟฟ้า ตึกสูง รถรา มีอยู่ไม่กี่อย่าง ก็มีตามสภาพการณ์ของกรุงเทพฯ นั่นแหละ
ผมหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายรูปคู่กับวิคเตอร์ กดถ่ายหลายมุมหลายช็อต วิคเตอร์ไม่ได้มองกล้อง เขาหันข้างมองออกไปทางวิว แต่กดจมูกลงบนขมับผมไม่ขยับไปไหน เลยมีผมทำหน้าผีบ้าผีบออยู่คนเดียว พอได้รูปจนหนำใจผมก็เลิกถ่ายและมานั่งเลือกรูปเพื่ออัพลงอินสตาแกรม ผมเลือกรูปที่เห็นหน้าผมเกือบเต็มจอ มีหน้าวิคเตอร์ครึ่งล่างบริเวณปากติดมาด้วย ผมว่ามันดูเท่ดี
“ลงรูปนี้ได้มั้ย” ต้องขออนุญาตเขาก่อน เดี๋ยวจะทำให้เขาเสียหายรึเปล่า ลงในไอจีเขาไม่เท่าไหร่ แต่จะลงไอจีตัวเองต้องมีการบอกกล่าวเขากันบ้าง
“ทำไมไม่เอารูปที่เห็นหน้าฉันเต็มๆ ลง” เขาไม่ได้แสดงสีหน้าไม่พอใจหรือเคือง แต่เขาแค่ถามตามปกติ
“ผมว่ารูปนี้เท่ดี” เขายิ้มนิดหน่อย และพยักหน้าอนุญาต ผมยิ้มตอบกลับไป นอนพิงอกเขา เอาหัวซุกกับซอกคอเขาไว้ วิคเตอร์นั่งกอดผมไว้แน่น จมูกคลอเคลียที่หัวผมไม่ยอมห่าง ผมนั่งปรับแสงให้รูปอีกนิด แล้วครุ่นคิดแคปชั่น
Big-bro อันนี้น่าจะดี จะได้คล้องจองกับรูปคู่เราสองคนที่เขาลงไอจีไปเมื่ออาทิตย์ก่อน ผมกดอัพรูป และแวบไปดูข้อความของอดัมในเฟซ นึกด่าตัวเองในใจว่าช่างกล้า นี่ทำใต้จมูกเขาเลยนะเนี่ย แต่อย่างว่าที่ที่อันตรายที่สุดมักเป็นที่ที่ปลอดภัยที่สุด เล่นเนียนๆ เนี่ยแหละ ผมรีบเลื่อนอ่านข้อความที่เขาส่งมา ก็ไม่มีอะไรมากเขาแค่มาตอบเรื่องที่เราคุยค้างไว้จริงๆ แต่ประโยคสุดท้ายคือเขาถามประเด็นใหม่คือเรื่องระหว่างผมกับวิคเตอร์ ผมไม่สะดวกพิมพ์ยาวๆ เลยได้แต่ส่งอีโมติคอนรูปยิ้มไปให้ กดปิดหน้าต่างแชทนั้น และเปิดอย่างอื่นดูแทน
เรามาถึงวัดกันตอนบ่าย แดดเปรี้ยงสว่างไสวอันตรายไปทุกที่จริงๆ ดีนะที่วิคเตอร์ให้หมวกผมมากันแดด พี่โชเฟอร์จอดรถแถวศาลหลักเมืองที่อยู่ใกล้กับวัด และบอกว่าจะนั่งรออยู่แถวนี้ ระหว่างทางที่เดินเท้าไปทางวัดที่มีกำแพงสีขาวล้อมรอบ ผมก็พาสามฝรั่งยกมือไหว้ศาลหลักเมืองด้วย บอกพวกเขาว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สามหนุ่มก็ทำหน้าตื่นเต้นและยกมือไหว้ตามผมเงอะๆ งะๆ กันยกใหญ่ เล่นเอาผมกับบาสยิ้มขำ เพราะพวกเขาทำน่าเอ็นดูมาก วิคเตอร์ดูจะไหว้สวยสุดเพราะเคยผ่านการไหว้พ่อกับแม่ผมมาแล้ว
ผมไม่ได้พาเขาไหว้เป็นจริงเป็นจังแค่ยกมือไหว้รอบนอกเท่านั้น เพราะกะพาไปไหว้พระแก้วมรกตทีเดียว เราหยุดถ่ายรูประหว่างทางบ้าง เอาวิวมุมกว้างของวัดพระแก้วด้านนอกที่มีกำแพงขาวเป็นแบ็คกราวด์และมียอดเจดีย์ ยอดมณฑป ยอพระปรางค์โผล่มาให้ลิบๆ ผมเคยอ่านเจอตอนสมัยเรียนมัธยมปลายว่าประตูทุกบานของวัดนั้นมีชื่อคล้องจองกันทั้งหมด แต่ผมไม่รู้หรอกว่าประตูมีทั้งหมดกี่บาน และชื่อประตูแต่ละบานนั้นชื่อว่าอะไรบ้าง เพราะผมเพิ่งเคยเข้ามาครั้งแรก และที่สำคัญผมคืนอาจารย์ไปหมดแล้ว
ผมพาพวกวิคเตอร์ไปซื้อตั๋ว เพราะคนต่างชาติต้องเสียค่าเข้า ส่วนคนไทยนั้นเข้าฟรี พอได้ตั๋วเสร็จเราก็พากันเดินเข้าไปด้านใน คนเยอะมากมีทั้งนักท่องเที่ยวชาวไทย ชาวต่างชาติและยังมีน้องๆ วัยมัธยมอีกด้วย ผมเคยได้ยินคนบอกว่าวัดพระแก้วนั้นสวยมาก สถาปัตยกรรมของทางวัดนั้นแสนล้ำค่า วันนี้พอมาได้เห็นได้ตาตัวเองก็ต้องบอกว่าสมคำล่ำลือ ทุกอย่างดูงามวิจิตร เบนเนดิคท์กับอันเดรสนุกสนานกับการถ่ายรูป ทั้งถ่ายวิววัดและถ่ายตัวเอง โดยจะมีบาสเป็นตากล้องให้ในยามที่ทั้งสองคนต้องการถ่ายคู่กัน บางครั้งก็เรียกวิคเตอร์กับผมเข้าไปถ่ายด้วย หากต้องการจะถ่ายรูปหมู่พร้อมกันหมด บาสก็เตรียมพร้อมด้วยไม้เซลฟ์ฟี่ที่ฝากไว้ในกระเป๋าเป้ของผม
เราตกลงกันว่าจะพาไปไหว้พระแก้วก่อน เสร็จแล้วจะได้เดินชมวัดรวดเดียว ผมจูงมือวิคเตอร์ไปตามทางเดินของวัด โดยไม่ต้องกลัวว่าจะหลงทาง เพราะในวัดมีป้ายบอกหมดว่าอะไรอยู่จุดไหน และเอาเข้าจริงแล้ว เหล่าสถาปัตยกรรมต่างๆ ของวัดนั้นก็ตังเรียงติดๆ กันหมด
“เดี๋ยวแมทยืนเป็นเพื่อนพวกนี้แหละ บาสไปเอาดอกไม้ธูปเทียนให้เอง” ผมยืนคุมฝรั่งสามหน่อรูปหล่อทั้งสามคนให้อยู่ใกล้ๆ เข้าไว้จะได้ไม่ไปซนที่ไหน พ่อสามหนุ่มนั้นตกเป็นเป้าสายตาจากผู้คนมาก คงด้วยเพราะรูปร่างสูงใหญ่บวกกับความหน้าตาดี ไม่รู้จะมีใครจำวิคเตอร์ได้มั้ย ผมเคยเห็นข่าวว่าดาราฮอลลีวูดมาไทยหลายคน แต่น้อยคนนักจะสังเกตว่าเป็นคนดัง แต่ถึงจะไม่รู้ว่าเขาเป็นดาราดัง แต่หนังหน้าเขาก็เป็นที่สังเกตอยู่ดี
“เก็บดอกบัวไว้นะ ป้าเขาบอกว่าให้เอาไปจุ่มน้ำมนตร์ตรงหน้าโบสถ์อ่ะ จุ่มแล้วเอามาพรมหัวตัวเอง เขาบอกว่าเป็นน้ำที่ใช้สรงพระแก้วมรกต” ผมพยักหน้ารับหงึกหงัก พาพ่อยักษ์สุดที่รักกับผองเพื่อนเคลื่อนขบวนขึ้นบันไดไปบนโบสถ์ที่มีพระแก้วมรกตประทับอยู่ที่นั่น พวกเราทุกคนต้องเก็บกล้องลงกระเป๋าเพราะทางเจ้าหน้าที่แจ้งว่าห้ามถ่ายรูป แต่จริงๆ ผมก็ไม่ได้คิดจะถ่ายรูปพระแก้วอยู่แล้วละ กะแค่มาไหว้เพื่อความเป็นสิริมงคลให้กับชีวิตเท่านั้น ผมหันไปสะกิดวิคเตอร์ว่าให้ถอดแว่นออก เขาถอดออกแล้วเอาไปเหน็บไว้ตรงปกเสื้อ ผมเองก็ต้องถอดหมวกเก็บไว้กระเป๋าเป้เช่นกัน
“Make a wish with him like you ask a wish from God in your religion. (อธิษฐานขอพรจากท่านเหมือนที่คุณขอจากพระเจ้าในศาสนาคุณนั่นแหละครับ)” ผมบอกวิคเตอร์ที่นั่งมองผมด้วยสายตาเหมือนเด็กน้อยที่คอยให้ผู้ปกครองบอกว่าต้องทำอะไร เขานั่งคุกเข่าตามผม พนมมือไหว้ตามที่ผมทำให้ดู แล้วก้มลงกราบพระสามครั้ง วิคเตอร์ยกมือขึ้นจรดหัวราวกับกำลังถวายบังโคม ผมต้องกลั้นหัวเราะเอาไว้เพราะกลัวจะไม่สุภาพ กระซิบบอกเขาว่าไม่ต้องทำถึงขนาดนั้น และทำตัวอย่างให้เขาดูใหม่ เขาพยายามลองทำตาม แม้จะยังไม่เหมือนเวลาคนไทยทำเป๊ะๆ แต่ก็ถือว่าเขาทำได้ค่อนข้างดี ยิ่งพอหันไปมองเบนเนดิคท์กับอันเดร ผมยิ่งคิดว่าวิคเตอร์นั้นทำได้ดีทีเดียว
“ฮู่ว! ยากจัง” คุณเบนบ่นออกมาเสียงเบา บาสต้องพยายามสอนใหม่ ไหนจะต้องคอยสอนอันเดรอีกคน ผมหันกลับมามองวิคเตอร์ที่ยังคงพนมมืออยู่ที่อก
“ครบสามครั้งรึยังครับ” เขาพยักหน้าหงึกๆ ผมยิ้มให้เขาและบอกว่าให้มองไปทางพระ พร้อมกับตั้งจิตอธิษฐานอะไรก็ได้ตามที่ใจอยากขอ เน้นย้ำกับเขาอีกครั้งว่ามันไม่ได้ต่างจากการอ้อนวอนต่อพระเจ้าในศาสนาคริสต์มากนัก
ผมเองก็ยกมือไหว้ขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองบ้าง นึกแต่เรื่องราวดีๆ เข้าไว้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเรียน เรื่องงาน เรื่องสุขภาพของตัวเองและพ่อกับแม่ แล้วแน่นอนว่าต้องเรื่องความรักด้วย แต่โดยส่วนตัวผม ผมไม่ค่อยชอบขอพรความรักจากพระนะ เพราะผมคิดว่าพวกท่านตัดทางโลกไปแล้ว ไม่น่าจะมาเกี่ยวข้องอะไรแบบนี้ ฉะนั้นสิ่งที่ผมขอในเรื่องความรักคือไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นขอให้ผมมีสติมากๆ เข้าไว้ อันที่จริงผมขอให้ตัวเองมีสติกับทุกๆ เรื่องนั่นแหละ
“ทำไมนายขอนานจัง” วิคเตอร์เอี้ยวตัวมากระซิบในขณะที่ยังไม่เอามือที่พนมไว้ลงจากอก ผมยกมือขึ้นจรดที่ระหว่างคิ้วพร้อมกับพูดสาธุเบาๆ ก่อนจะหันไปมองวิคเตอร์ที่นั่งมองผมตาแป๋ว ผมส่งยิ้มอ่อนๆ ไปให้
“แล้วทำไมคุณขอเร็วจัง”
“ฉันขอแค่ให้นายมีความสุข ยิ้มให้ฉันทุกวันและวันละหลายครั้ง ที่สำคัญคืออย่าทิ้งฉันไปไหน” เขาพูดหน้าตาใสซื่อบริสุทธิ์ หัวใจผมพองโต ริมฝีปากบิดเป็นรอยยิ้มขำน้อยๆ พอเห็นผมยิ้ม วิคเตอร์เลยยิ้มกลับมา รอยยิ้มเขาเหมือนเด็กไม่มีผิด ยิ้มเหมือนกับว่าเห็นผู้ใหญ่ยิ้มให้เลยยิ้มตาม
“Thank you.” ผมบอกเสียงเบา ถ้าอยู่ข้างนอกวัดจะหอมแก้มเขาแรงๆ สักที แต่ที่นี่คงไม่เหมาะแน่นอน เลยทำได้แค่เอื้อมมือไปจับมือเขาไว้แน่น ส่งรอยยิ้มอิ่มใจให้กันและกัน
“ไปพรมน้ำมนต์ข้างนอกดีกว่าครับ” เขาไม่รู้หรอกว่าน้ำมนต์คืออะไร แต่ก็พยักหน้ารับคำผมแล้วลุกขึ้นยืน พวกคุณเบนก็ไหว้เสร็จพอดี เราเลยพากันเดินออกมาพร้อมกัน มีผู้คนกำลังยืนรุมอ่างใส่น้ำมนต์คล้ายบาตรพระขนาดใหญ่ เราไปยืนต่อคิวเพื่อที่เราทั้งหมดจะได้เข้าไปพร้อมๆ กัน รออยู่ไม่นานบริเวณนั้นก็โล่ง มีเพียงคุณป้ากับคุณลุงคู่หนึ่งกำลังยืนพรมน้ำมันให้กัน และพูดพึมพำเหมือนท่องคาถาให้กัน เป็นภาพที่น่ารักจนอดยิ้มไม่ได้
เราห้าคนไปยืนใกล้ๆ อ่างน้ำมนต์ ยื่นดอกบัวในมือลงไปจุ่มในนั้น พอดึงออกมาก็เอาแตะๆ ที่หัวเบาๆ วิคเตอร์มองแล้วทำตามที่ผมทำ ผมอมยิ้มกับภาพที่เห็น ช่วงเวลานี้เขาเหมือนเด็กจริงๆ นั่นแหละ ใครทำยังไงก็ทำตามเขาไปหมด แม้กระทั่งทำตามคุณลุงกับคุณป้าเมื่อกี้ เขาเอาดอกบัวมาเคาะหัวผมเบาๆ แล้วงึมงำเหมือนท่องคาถา
“Body is mine, heart is mine, your love is mine, and you’re only mine. (ตัวเป็นของฉัน ใจเป็นของฉัน รักนายเป็นของฉัน และนายเป็นของฉันคนเดียว)” ผมอยากจะหัวเราะก๊ากออกมากับรอยยิ้มใสซื่อและเสียงที่พูดเจื้อยแจ้วคล้ายเด็ก (โข่ง) แต่ที่ทำได้คือยกมือปิดปากกลั้นขำเอาไว้ พอหันไปมองคนที่รอเข้ามาจุ่มน้ำมนต์ หลายคนมองวิคเตอร์แล้วก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ส่วนเจ้าตัวนั้นยังคงยิ้มหล่อมาให้ ดอกบัวก็แตะหัวผมแปะๆ ไม่หยุด ผมพยายามกลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้ และยืดแขนยื่นดอกบัวไปเคาะหัวเข้าเบาๆ บ้าง แต่ไม่ได้ท่องคาถาอะไรแบบเขาหรอก ได้แต่ส่งรอยยิ้มกว้างขำขันกลับไปให้ รู้สึกเอ็นดูยักษ์ตัวโตนี่เสียจริง
“Why don’t you say anything to me? (ไม่เห็นนายพูดอะไรกับฉันบ้างเลยล่ะ)” เขาถามสีหน้าสงสัยอย่างใสซื่อ ผมหันไปมองคนรอบข้างที่มองมาที่เราแล้วยิ้มเล็กยิ้มน้อยมาให้ พวกคุณเบนก็กำลังสนุกกับการเอาดอกบัวเคาะหัวกันเองอยู่ข้างๆ กัน นึกไม่ออกจริงๆ ว่าจะพูดอะไร อีกอย่างเกรงใจคนที่เขารอต่อคิวอยู่ด้วย
“The
happiness will be with you all the time. (
ความสุขจะอยู่กับคุณทุกเวลา)” ผมพูดแค่นั้น แต่ใช้ความหมายที่เรารู้กันสองคน เขายิ้มกว้างเหมือนเด็กดีใจ ผมยิ้มตอบกลับไป ดึงดอกบัวออกจากมือเขาและเอาไปวางไว้ข้างอ่างน้ำมนต์ หันไปเรียกพวกบาสให้เดินออกจากอ่างน้ำมนต์เพื่อจะได้ให้คนอื่นเข้ามา
เราพากันเดินดูสถาปัตยกรรมอื่นๆ ของวัดอย่างเชื่องช้า ไม่ได้รีบร้อนอะไร แม้แดดจะร้อนมากก็ตาม วิคเตอร์เหงื่อไหลจนเสื้อเปียกชุ่ม เขาคอยจับปกเสื้อเขย่าตลอดเวลา ผมต้องคอยใช้ทิชชูซับเหงื่อบนหน้าให้เขาตลอด
“What’s that? (นั่นอะไรน่ะ)” เสียงคุณเบนถาม พวกเราเลยหันไปมอง ก็เห็นว่าคุณเบนกำลังชี้รูปปั้นยักษ์สองตนที่ยืนเฝ้าประตูในวัดอยู่ ผมหันไปมองวิคเตอร์ ส่งยิ้มกว้างไปให้เขา คนตัวโตทำหน้างง
“That’s your old brother! (นั่นพี่ชายคุณไง)” เขาทำหน้าว่า ฉันเหรอ ผมพยักหน้าหงึกๆ พาเขาเดินไปตรงรูปปั้นยักษ์สีเขียวกับน้ำเงิน บอกเขาว่านี่คือยักษ์ในวรรณคดีไทย พอรู้ว่าสองสิ่งนี้เรียกว่าอะไร วิคเตอร์ก็ยิ้มหัวเราะน้อยๆ
“When you call me Giant—you think about them, eh? (เวลาที่เรียกฉันว่ายักษ์ นายคิดถึงพวกนี้สินะ)” เขาถามยิ้มๆ แหงนหน้าไปมองยักษ์ใหญ่สองตนที่ถือกระบองไว้ในมืออยู่
“Especially when you are angry. (โดยเฉพาะเวลาคุณโกรธ)” เขาก้มลงมายิ้มให้ผม ยกมือซ้ายมาโยกหัวผมเบาๆ ผมเสนอให้เขาถ่ายรูปกับพี่น้องตัวเอง เขาตอบรับอย่างกระตือรือร้น ท่าทางจะถูกใจอยู่เหมือนกัน เรารอให้คุณเบนกับอันเดรถ่ายรูปกับยักษ์ทวารบาลจนเสร็จ ก็เป็นคิวของวิคเตอร์ ผมยกมือถือเขาขึ้นมากดถ่ายแนวนอนเพื่อจะได้ให้ยักษ์สามตนนั้นอยู่ในเฟรมเดียวกัน
“แมท ไปถ่ายกับวิคเตอร์ดิ เดี๋ยวบาสถ่ายให้” ผมหันไปมองเหลอหลาแวบหนึ่ง แล้วพยักหน้ารับหงึกๆ บาสดันให้ผมเข้าไปหาวิคเตอร์ เราต้องรีบถ่ายกัน เพราะบริเวณนี้ผู้คนเดินเข้าออกกันเยอะ ถ่ายนานๆ เดี๋ยวจะกลายเป็นยืนขวางทาง เราเลยต้องรีบถ่ายหลายช็อตติดต่อกัน วิคเตอร์โอบเอวผมไว้บ้าง โอบไหล่บ้าง ดันผมไปยืนข้างหน้าแล้วกอดเอาไว้บ้าง ถ่ายได้ประมาณสี่ห้าภาพเราก็รีบเดินออกจากจุดกึ่งกลางของยักษ์สองตน เพราะมีคนรอเดินผ่านอยู่
“ออกไปเลยมั้ย จะได้พาพวกนี้ไปเที่ยวที่อื่นด้วย” บาสเสนอ ผมเองก็เห็นด้วยเลยพาสามหนุ่มฝรั่ง เดินตรงไปที่ทางออก วิคเตอร์กำลังกดดูภาพในกล้องบาสอยู่ ส่วนคุณเบนกับอันเดรเดินไปคุยไปอย่างออกอรรถรส ได้ยินแว่วๆ ว่าคุยเรื่องฟุตบอล
“Basketball. Can I get all pictures of me and Matt? (บาสเก็ตบอล ถ้าฉันจะขอรูปของฉันกับแมททั้งหมดได้มั้ย)” บาสตอบว่าไม่มีปัญหาและเดี๋ยวจะส่งรูปให้ผมในเฟซบุ๊คก็แล้วกัน
“I love this pic. (ฉันชอบรูปนี้)” เขาเลื่อนกล้องลงมาให้ผมดู ผมยื่นหน้าไปดูก็เห็นว่าภาพที่เขาชอบนั้นเป็นภาพบนรถตุ๊กตุ๊กที่ผมนั่งเอาหัวซุกซอกคอเขาไว้ สองแขนเขากอดร่างผมแน่น จมูกเขากำลังสูดดมกลุ่มเส้นผมสีดำของผม ดวงตาผมจ้องมองมือถือ ส่วนเขามองวิวด้านข้างที่ตุ๊กตุ๊กแล่นผ่าน
“Lovely. (น่ารักเนอะ)” ผมยิ้มยิงฟัน ห่อไหล่ด้วยความเขิน วิคเตอร์ยิ้มละมุนมาให้และยื่นกล้องคืนให้บาส ฝีมือการถ่ายภาพของบาสถือว่าใช้ได้เลย แม้อาจไม่ได้เป็นมืออาชีพมาก แต่มุมที่บาสถ่ายออกมาก็ถือว่าใช้ได้
ตอนที่เรากำลังจะเดินออกจากประตูวัดไป ก็มีน้องผู้หญิงมอปลายกลุ่มหนึ่งเข้ามาขอถ่ายรูป ตอนแรกผมคิดว่าคงมาขอถ่ายกับวิคเตอร์ตามปกติ แต่พวกน้องบอกว่าขอถ่ายผมด้วย ผมหน้าเอ๋อไปนิด น้องเลยต้องบอกว่าอยากได้รูปคู่ผมกับวิคเตอร์มากกว่า เพราะพวกเขาเป็นแฟนคลับของผมกับวิคเตอร์ นั่นยิ่งทำให้ผมเอ๋อเข้าไปอีก ไม่คิดว่าชีวิตนี้จะมีแฟนคลับ น้องๆ เลยอธิบายว่าเห็นที่เขาแชร์ในเฟซบุ๊คและทวิตเตอร์ ก็เลยเริ่มติดตามผมกับวิคเตอร์ ไม่คิดว่าจะเจอที่นี่ พอได้เจอน้องๆ บอกว่าดีใจมาก
“พวกหนูไฟท์กับพวกที่มาด่าพี่แล้วนะคะ ไม่ต้องห่วงค่ะ” ผมยิ้มเอ๋ออ๋า กล่าวขอบคุณงงๆ น้องเลยเล่าเพิ่มว่ามีบางคน (ทั้งเพศหญิงเพศชาย) รับไม่ได้ที่วิคเตอร์รักกับผู้ชายเลยด่าเขาเสียหายมาก แถมยังลามมาด่าผมด้วย พวกน้องเลยช่วยกันปกป้องเท่าที่ทำได้ น้องบอกว่าอันที่จริงข่าวนี้ก็ยังไม่มีการคอนเฟิร์มที่แน่ชัด เพราะวิคเตอร์ยังไม่ได้ออกมาพูดเอง มีแต่ทีมงานส่วนตัวเขาที่ต่างประเทศพูดแทนอยู่ตลอด แต่คนในโซเชียลก็ฟันธงแล้วว่าผมกับวิคเตอร์นั้นคบกันแน่นๆ ยิ่งมาเจอวันนี้ น้องๆ ก็ยิ่งมั่นใจ
“มีเพจของพี่สองคนด้วยนะ พวกหนูไม่ได้ทำหรอก มีคนทำให้ค่ะ ตอนนี้ยอดกดไลค์ขึ้นเอาๆ”
“อะ… เอ่อ ขอบคุณนะครับ” ผมยังรู้สึกงงๆ อยู่เล็กน้อย คือผมใช้ชีวิตตามปกติมาตลอด พอมีคนมาบอกแบบนี้ก็เลยรู้สึกงงอยู่เหมือนกัน
ผมกับวิคเตอร์ยืนฉีกยิ้มถ่ายรูปกับน้องๆ หลายสิบคน ยิ้มจนเหงือกจะแห้ง ผมแหงนมองวิคเตอร์ เขายังคงยิ้มตามปกติ ก็ไม่ได้ยิ้มกว้างหรือยิ้มใหญ่เท่าเวลาอยู่ด้วยกันสองคนหรอก แต่ก็ดีกว่าเขาทำหน้านิ่งถ่ายรูปก็แล้วกัน น้องๆ บางคนที่ถ่ายรูปกับผมและวิคเตอร์ไปแล้ว พอหันไปเห็นสามหนุ่มที่เหลือก็ส่งสัญญาณขออนุญาตถ่ายรูปด้วย สามหนุ่มนั้นงงไม่ต่างจากผมในตอนแรก แต่ก็ยอมให้สาวๆ ถ่ายรูปด้วยแต่โดยดี
“ขอบคุณมากนะคะ วันที่พี่วิคเตอร์กลับ พวกหนูจะขอไปส่งได้มั้ยป้ะคะ” ผมหันไปบอกวิคเตอร์ตามที่น้องขอ เขาทำหน้านิ่งแต่ก็มีแววครุ่นคิด สักพักเขาก็พยักหน้าเล็กน้อย ผมหันไปบอกพวกน้องๆ ว่าเขาอนุญาต ทุกคนก็ส่งเสียงเฮดีใจเบาๆ แล้วก็ขอแยกตัวออกไป
“ขอสัมภาษณ์ความรู้สึกคนดังหน่อยได้มั้ยครับ” บาสหันมาแซวพร้อมเสียงหัวเราะ ผมยิ้มเขิน ณ ตอนนี้ผมยังทำตัวไม่ถูกอยู่เลย เมื่อกี้เผลอทำหน้าเหลอหลาไปมากแค่ไหนก็ไม่รู้
เราพากันเดินออกมาข้างนอก และพากันเดินกลับไปหาพี่โชเฟอร์ตุ๊กตุ๊กที่นอนรออยู่บนรถ พอพี่แกเห็นพวกเราก็เด้งตัวขึ้นมาอย่างฉับพลันและเข้าประจำที่ พวกเราเองก็กลับขึ้นไปนั่งที่เดิม ผมนั่งพิงอกวิคเตอร์ เปิดรูปในมือถือเขาดู พอเห็นรูปที่เขาถ่ายกับยักษ์หน้าประตูวัด ก็อดยิ้มขำไม่ได้ ให้ฟีลเหมือนน้องเจอพี่เลย
“ผมอัพรูปนี้อีกรอบนะ”
“ตามใจสิ” แฟนคลับเขาคงแปลกใจว่าทำไมพ่อพระเอกที่ไม่ค่อยจะติดโซเชียล ทำไมเดี๋ยวนี้อัพรูปบ่อยจัง ผมกดเลือกรูปที่เขายิ้มแยกเขี้ยวเหมือนยักษ์อัพลงอินสตาแกรม ใส่แคปชั่นเก๋ๆ ที่ว่า
I met my family. วิคเตอร์เห็นแคปชั่นก็ขำ แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร ผมกดอัพรูปลงในไอจีเขาและเข้าไปดูรูปก่อนหน้านี้ที่เขาถ่ายคู่รถตุ๊กตุ๊กกับเบนเนดิคท์และอันเดร ยอดกดไลค์เป็นแสน ช่างแตกต่างจากของผมนัก มีคอมเม้นต์ของคนไทยมาแสดงการยินดีต้อนรับกันยกใหญ่ ผมเห็นมีคนคอมเม้นต์คุยกันประมาณว่าโรงแรมไหน โรงแรมอะไร พวกนี้ทำท่าจะตามมาแน่ๆ ผมรีบตรวจสอบดูรูปว่ามีจุดไหนที่บ่งบอกว่าเราอยู่โรงแรมอะไรหรือเปล่า แต่ก็ไม่พบ หวังว่าพวกนั้นคงไม่ไปใช้เอฟบีไอสืบโรงแรมที่วิคเตอร์พักหรอกนะ
“นี่ รู้รึเปล่าว่ายักษ์ที่คุณถ่ายรูปด้วยเขามีหน้าที่อะไร” ผมละสายตาจากหน้าจอ แหงนหน้าขึ้นไปมองเขา วิคเตอร์ก้มหน้าลงมองผมนิดหนึ่ง เขาส่ายหัวช้าๆ กลับมา หน้าตาบอกว่าไม่รู้จริงๆ
“ผมจำได้ว่าเคยเรียนสมัยมัธยม อาจารย์บอกว่ายักษ์ในวัดมีหน้าที่ปกป้องสิ่งชั่วร้ายไม่ให้เข้ามาในวัด” จำได้ว่าอาจารย์สอนภาษาไทยเคยบอกตอนเรียนเรื่องเกี่ยวกับวัดไทย ยักษ์ในวัดนั้นรู้จะมีสิบสองตนมั้งถ้าจำไม่ผิด
“หน้าที่ยักษ์พวกนั้นคือปกป้องวัดว่างั้น” เขาถามเสียงทุ้ม ผมพยักหน้า
“ตามความเชื่อไทย เขาเชื่อกันแบบนี้” วิคเตอร์เลิกคิ้วขึ้นนิดหนึ่ง เขามองหน้าผมด้วยสายคาครุ่นคิดเล็กๆ
“งั้นก็เหมือนฉันที่มีหน้าที่ปกป้องเอเลี่ยนตัวนี้” เขายิ้มละมุน ผมคลี่ยิ้มกว้างไปให้ รู้สึกร้อนวูบที่สองแก้ม ผมขยี้หัวลงบนอกเขา รู้สึกเขินเวลาเขาพูดอะไรแนวนี้จริงๆ
“ปากหวานอีกแล้ว” ผมแหงนหน้าบอก วิคเตอร์ยิ้มอ่อน ก้มลงมาจูบปากผมแผ่วเบา
“เฮ้ๆ นี่บนรถนะไม่ใช่เตียง” เสียงขัดของอันเดรดังแข่งกับเสียงรถตุ๊กตุ๊ก วิคเตอร์ผละออกไปแล้วยักคิ้วกวนๆ ไปให้เพื่อนตัวเอง อันเดรทำท่าพะอืดพะอมใส่เราสองคน ผมยิ้มเขิน ก้มหน้าก้มตาหลบสายตาของคนอื่น โดยมีเสียงอันเดรกับเบนดิคท์คอยจิกกัดเราสองคน ส่วนบาสก็เอาแต่นั่งหัวเราะอารมณ์ดี
ยักษ์ในวัดมีกี่ตนไม่รู้ แต่ที่รู้คือยักษ์ตนนี้ที่ผมนั่งตักอยู่นั้นมีตนเดียวบนโลก
TBC.
เข้าวัดเข้าวากันบ้างละกันเนาะ -..- เรื่องดอกบัวพรมน้ำมนต์นี่ ต้องขอบคุณบล็อกท่องเที่ยวบล็อกหนึ่ง (ซึ่งจำไม่ได้แล้ว T_T) พอดีเคยเดินผ่าน เคยไปเที่ยวแถวนั้น แต่ไม่รู้รายละเอียดเกี่ยวกับวัดมากนักเลยลองเสิร์จข้อมูลดู ก็เจอดีเทลตรงนี้เลยนำมาเขียน ตอมว่าน่ารักดีอะค่ะ ฮิๆ คาถานั่นยืมมากจากเจ้พลอยเฌมาลย์ในละคร บ่วงบาป นะ 555555
ใครอยากได้หนังสือรอบรีปริ้น เข้าไปอ่านรายละเอียดได้ที่โพสปักหมุดของเพจนะคะ (ยังไม่คอนเฟิร์มว่าจะรีน้าา อ่านรายละเอียดก่อนน้อ)
ขอบคุณคนอ่าน ณ เล้าเป็ดมากๆ เลยนะคะที่อยู่เป็นเพื่อนกันเสมอ