Nightmare อยากให้คืนนี้ไม่ต้องฝันร้าย (END) #ตอนพิเศษ...คืนของรัณย์กาล...
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Nightmare อยากให้คืนนี้ไม่ต้องฝันร้าย (END) #ตอนพิเศษ...คืนของรัณย์กาล...  (อ่าน 131548 ครั้ง)

ออฟไลน์ vivacestory

  • Mare Mara
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1

ภายในห้องโดยสารที่เคยคลอไปด้วยเสียงพูดคุยเงียบไปถนัดตาเมื่อมีบุคคลที่สามร่วมเดินทางมาด้วย พะแพงเหลือบมองชายหนุ่มสองคนที่นั่งอยู่ด้านหน้า หนึ่งคือรุ่นน้องที่เคยสนิทสนมกันและอีกหนึ่งคือคนที่เอาแต่ยิ้มซึ่งเธอไม่รู้จัก รวมถึงเป็นเจ้าของห้องที่นิลไปค้างด้วยเมื่อต้องยกคอนโดของตัวเองให้เธอพักเมื่อคืน



“นิลหิวไหมครับ จะแวะทานอะไรกันก่อนรึเปล่า”



“ไม่ล่ะ ไปกินบ้านไอ้กาลทีเดียวแล้วกัน โอเคไหมพี่แพง”



นักเขียนหนุ่มตอบคำถามคนข้างกายก่อนจะหันมาพูดกับคนที่นั่งอยู่เบาะหลัง หญิงสาวพยักหน้าอย่างยอมรับแต่ภายในใจก็คิดว่าคนของบ้านพัฒนเดชาคงไม่อยากต้อนรับขับสู้เธอเหมือนเคย



“เมื่อไหร่พี่จะได้ลูกคืน...”



พะแพงถามขึ้นจนทำให้ภายในรถที่เงียบอยู่แล้วเข้าขั้นวังเวงขึ้นไปอีก นิลถอนหายใจในขณะที่ฤทธิชาติได้แต่ยิ้มอ่อนแล้วขับรถไปทั้งอย่างนั้น นักเขียนหนุ่มมองดูคนข้างๆแล้วนึกอิจฉาที่หมอนี่สามารถเก็บอาการได้เก่งเหลือเกินแม้ต้องอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกแบบนี้ก็ตาม



“ผมไม่รู้หรอก ต่อให้พี่ถามกี่รอบผมก็ไม่รู้”



“แต่...”



“ผมว่าเราอย่าเพิ่งคุยกันตอนนี้ดีกว่านะครับ”



 ผู้หมวดหนุ่มพูดตัดบทโดยไม่สนใจว่าแขกคนสำคัญจะชักสีหน้าไม่พอใจใส่หรือไม่ ฤทธิชาติยังคงยิ้มให้เธอผ่านกระจกมองหลังก่อนจะเหยียบคันเร่งให้เร็วมากขึ้นกว่าเดิมจนนิลต้องหันมามอง



“มึงเป็นอะไร”



“เปล่าครับ”



“คิดอะไรงี่เง่าอีกล่ะสิ”



“อะไรล่ะครับที่ว่างี่เง่า”



“ชาติ อย่ามากวนตอนนี้ได้ไหม”



“ฮ่าๆ ล้อเล่นครับ ไม่กวนแล้วก็ได้ ทำหน้าดีๆหน่อย คิ้วย่นหมดแล้ว”



“เห้ย ขับรถดีๆสิวะ”



ฤทธิชาติใช้มือข้างซ้ายเอื้อมไปนวดเบาๆที่หัวคิ้วของนิลที่ขมวดกันเป็นปมแน่นโดยมีสายตาของพะแพงมองมาอย่างสงสัย นายตำรวจหนุ่มไม่ได้ว่าอะไรเขากลับยิ้มกว้างให้อีกฝ่ายซึ่งมันทำให้หญิงสาวยิ่งรู้สึกว่าคนคนนี้มีอะไรมากกว่าที่ตาเห็น



รถของนายตำรวจหนุ่มเลี้ยวเข้าไปยังบ้านหลังใหญ่ที่ประตูเปิดอ้ารอรับการมาของพวกเขาอยู่ตั้งแต่เช้า ทันทีที่ล้อหยุดหมุนหญิงสาวก็รีบสาวเท้าเข้าไปในบ้านโดยไม่คิดจะหยุดทักทายจันทร์ที่ยืนรออยู่ก่อนแล้ว



หญิงแก่ส่ายหน้าพร้อมกับถอนหายใจอย่างไม่รู้เหมือนกันว่าเธอควรจะทำยังไงกับเรื่องนี้ดี ก่อนจันทร์จะหันมายิ้มทักผู้ชายทั้งสองที่ยกมือไหว้เธออย่างมีมารยาท



“ทานอะไรกันมารึยังคะ ป้าจะได้ให้เด็กจัดโต๊ะให้”



“ยังเลยครับป้า แล้วนี่ไอ้กาลเป็นไงบ้าง”



นิลเลือกที่จะถามถึงเพื่อนรักเป็นอย่างแรก ตั้งแต่รัตติกาลหอบลูกหนีขึ้นไปบนบ้านเขาก็ไม่มีโอกาสได้พูดคุยกันอีก โทรศัพท์มือถือก็ติดต่อไม่ได้



“ยังไม่ลงมาเลยค่ะ แต่คุณอารัณย์โทรลงมาตอนเช้าบอกว่าให้เตรียมยาแก้ไข้ไว้ให้ด้วย ดูเหมือนคุณรพีจะไม่สบาย”



“แล้วเมื่อคืน...”



“นอนด้วยกันทั้งสามคนแหละคะ”



นักเขียนหนุ่มพยักหน้ารับรู้แต่ก็อดที่จะชักสีหน้าเมื่อคิดถึงสิ่งที่อารัณย์ทำไม่ได้ ฤทธิชาติเองพอเห็นอาการแบบนั้นของนิลก็เข้าใจ ฝ่ามือใหญ่จึงจับเข้าที่ไหล่ลาดก่อนจะลูบมันเบาๆเพื่อให้อีกฝ่ายใจเย็นลง



“รพี!!”



เสียงตะโกนของพะแพงทำให้ทั้งสามคนหันไปมอง นิลที่ได้สติก่อนรีบวิ่งเข้าไปด้านในโดยมีนายตำรวจหนุ่มวิ่งตามกันมาจนถึงบริเวณห้องโถงที่ปรากฏร่างของหญิงสาวนั่งกุมข้อเท้าของตัวเองอยู่บนพื้นโดยมีรพีที่น้ำตาคลอหน้าแดงก่ำยืนอยู่บนขั้นบันไดของบ้านห่างออกไปเพียงเล็กน้อย พะแพงพยายามร้องเรียกให้ลูกชายเดินมาหาแต่ร่างป้อมที่กลัวอย่างเห็นได้ชัดกลับเดินหนีขึ้นไปทุกครั้งที่ถูกเรียก



“พี่แพง!”



นิลทำท่าจะเข้าไปช่วยแต่กลับถูกมือของฤทธิชาติฉุดรั้งเอาไว้ ร่างสูงหันมามองคนข้างกายอย่างไม่เข้าใจแต่สายตาของนายตำรวจหนุ่มกลับจับจ้องอยู่ที่สองคนนั้นโดยที่ไม่มองมายังเขาเลย



“ชาติ ปล่อย”



“ขอโทษทีนะครับ แต่เห็นทีจะทำอย่างนั้นไม่ได้”



“...!”



“ขอผมพิสูจน์อะไรอีกนิดเถอะครับ”



ร่างสูงไม่เข้าใจในสิ่งที่อีกคนพูด แต่ความสนใจทั้งหมดก็ถูกดึงกลับไปที่สองแม่ลูกเมื่อเสียงร้องไห้ของพะแพงเริ่มดังขึ้นมา หญิงสาวที่ร้องเรียกเท่าไหร่ลูกชายก็ไม่เดินมาหา อีกทั้งสีหน้าและแววตาที่บ่งบอกว่ากลัวเธอนั้นทำให้คนเป็นแม่รู้สึกเจ็บปวดไปถึงขั้วหัวใจ



ถึงแม้จะไม่ได้เลี้ยงดูมาตั้งแต่เล็กแต่ช่วงเวลาที่พะแพงอุ้มชูเด็กชายที่อาศัยอยู่ในครรภ์ของเธอนั้นก็ทำให้เธอรู้สึกรักและผูกผันกับรพีไปไม่น้อยกว่าใคร โดยเฉพาะกับรัตติกาลที่พะแพงคิดว่าไม่มีทางจะรักลูกของเธอได้อย่างจริงใจเป็นแน่



“รพี ฮึก รพีลูกแม่”



“คุณป้าเป็นอะไร”



เด็กชายถามขึ้นเพราะใจเสียเมื่อเห็นผู้หญิงตรงหน้าร้องไห้ออกมาราวกับว่าทรมานจนไม่อาจทนได้ รพีที่ตั้งใจจะเดินลงมาหาน้ำดื่มในระหว่างที่อารัณย์และรัตติกาลไม่ทันได้สังเกตถูกรั้งไว้ด้วยเสียงเรียกอันดังของหญิงแปลกหน้าที่เอาแต่บอกว่าเธอคือแม่ของเขาทั้งที่ไม่ใช่...พ่อกาลบอกว่าเธอไม่ใช่แม่ของเขา



รพีลังเล ใจหนึ่งก็อยากเข้าไปช่วยเหลือคนที่ต้องเจ็บตัวเพราะสะดุดล้มตอนที่วิ่งมาหาเขาแต่อีกใจก็กลับนึกถึงภาพความวุ่นวายที่เกิดขึ้นเมื่อวานและเพราะอะไรบางอย่างที่ทำให้เด็กชายนึกกลัวคนตรงหน้าทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรให้



น้ำตาที่ไหลอยู่แล้วแทบจะไหลหนักขึ้นไปอีกเมื่อโดนคนเป็นลูกเรียกว่าอย่างนั้น และนอกเหนือจากความเสียใจ ก็ยังมีความโกรธแค้นในตัวรัตติกาลที่มากขึ้นจนเธอไม่อยากเชื่อว่าครั้งหนึ่งพวกเขาเคยรักกันดี จนกระทั่งถึงวันที่น้องรหัสคนนี้คิดจะแย่งทุกอย่างไปจากเธอ



“รพี”



เสียงของรัตติกาลดังขึ้นทำให้คนทั้งคู่หันไปมอง ดวงตาคมกริบจับจ้องไปยังพะแพงที่นั่งอยู่เบื้องล่างก่อนจะเบนสายตาไปหาลูกชายที่รีบวิ่งเข้ามากอดขาของร่างโปร่งไว้พร้อมกับเอาตัวหลบไปด้านหลัง ส่วนอารัณย์ที่เดินตามกันมานั้นมองพี่สาวของตนด้วยความตกใจแต่ในขณะที่จะเดินเข้าไปหาคนรักก็หยุดเขาไว้



“กาล...”



“คุณบอกว่าจะยืนข้างผม”



“...”



“ได้เวลาพิสูจน์คำพูดนั้นแล้วอารัณย์”



ชายหนุ่มยิ้มให้แต่มันกลับทำให้คนมองไม่สบายใจนัก อารัณย์มองรัตติกาลและพะแพงสลับกันด้วยความสับสนเต็มหัวใจ ยิ่งเห็นน้ำตาที่ไหลอาบหน้าของหญิงสาวแล้วเขาก็ยิ่งอยากจะเข้าไปประคองไว้ติดแต่ว่าคำพูดของรัตติกาลนั้นมันหนักแน่นเสียจนเขาก้าวขาไม่ออก



“แค่นทีกับลูกพี่ยังไม่พออีกหรอกาล...อย่าบอกนะว่าเธอคิดจะแย่งอารัณย์ไปจากพี่ด้วย”



พะแพงพูดด้วยเสียงที่สั่นเพราะโกรธจนไม่อาจควบคุมมันได้ รัตติกาลยิ้มรับคำของพี่รหัสด้วยท่าทางที่ไม่มีความจริงใจ ก่อนร่างโปร่งจะเดินไปแล้วยื่นมือให้หญิงสาวด้วยตัวของเขาเอง



“มาครับผมช่วย”



หญิงสาวปัดมือของรัตติกาลทิ้งโดยไม่ลังเล นิลที่เห็นท่าไม่ดีก็เดินเข้ามากันเพื่อนของตัวเองไว้ อารัณย์จึงอาศัยจังหวะนั้นเข้าไปประคองให้พะแพงลุกขึ้นโดยมีสายตาของรัตติกาลมองดูอยู่ไม่ห่าง และมันก็ว่างเปล่าเสียจนคนถูกมองใจเสีย



“ถ้าเธออยากจะช่วยพี่...ก็คืนรพีมา”



พะแพงที่ยืนพิงอารัณย์อยู่พูดขึ้นโดยจับจ้องไปยังรัตติกาลอย่างไม่ยอมแพ้ ชายหนุ่มนิ่งไปเพียงครู่ก็จะยิ้มให้ก่อนจะอุ้มลูกชายเข้าไปในห้องทานอาหารที่ส่งกลิ่นหอมไปทั่ว โดยไม่ลืมที่จะหันมาชวนทุกคนให้เดินตามกันมา



“ก่อนจะคุยกัน เติมพลังกันก่อนเถอะนะครับ”



นิลรีบเดินตามพร้อมกับสบถไปตลอดทาง หญิงสาวที่โดนรัตติกาลตัดบทรีบบอกให้น้องชายเดินตามไปแต่ร่างสูงกลับหยุดนิ่งไม่ทำอย่างนั้น



“พี่แพง...ผมขอเถอะ คุยกันดีๆได้ไหม”



“ทำไมพี่ต้องพูดดีๆกับคนที่พรากลูกพี่ไปด้วย รัณย์ก็เห็นว่ารพีกลัวพี่ขนาดไหน รัตติกาลต้องทำอะไรลงไปแน่ๆไม่งั้นลูกพี่คงไม่เป็นแบบนี้!”



“ถึงรพีจะเป็นลูกพี่ แต่เป็นกาลที่เลี้ยงเด็กคนนั้นมาตลอดหกปี”



“นั่นก็เพราะมันไม่ใช่รึไง!!”



อารัณย์มองพี่สาวของตนที่แทบไม่เหลือเค้าความอ่อนโยนให้เห็น พะแพงพยายามสกัดกั้นน้ำตาไม่ให้ไหลจึงมีเพียงดวงตาแดงก่ำเท่านั้นที่บ่งบอกอารมณ์ของเธอได้ หญิงสาวหลับตาลงอีกครั้งก่อนจะจ้องมองมายังน้องชายอย่างคาดคั้น



“รับปาก...ว่าจะช่วยพี่”



“พี่แพง...”



“รับปากสิรัณย์ นั่นหลานของเรานะ ลูกของพี่! ถึงจะไม่ได้เลี้ยงแต่พี่ก็อุ้มท้องเขามาพี่จะไม่ยอมให้กาลได้ลูกพี่ไป กาลจะรักรพีเหมือนพี่ที่เป็นแม่แท้ๆได้ยังไง!!”



“ตกลงพี่รักรพีหรืออยากจะเอาชนะกาลกันแน่”



พะแพงหน้าชาเมื่อน้องชายที่เคารพตนมาตลอดพูดแบบนั้น อารัณย์ที่เพิ่งรู้ตัวว่าพูดแรงเกินไปยกมือขึ้นลูบหน้าของตัวเองเบาๆก่อนจะกล่าวขอโทษพี่สาวแล้วบอกว่าตัวเองคงเหนื่อยมากเกินไปเท่านั้น เสียงหัวเราะของฤทธิชาติที่ยังยืนอยู่ด้วยดังขึ้น นายตำรวจหนุ่มเดินมามองพะแพงอยู่เพียงครู่ก่อนจะหันไปพูดกับอารัณย์ที่ดูสับสนกับทุกสิ่งทุกอย่าง



“ไปกินข้าวกันเถอะครับ มาเถียงกันอย่างนี้ก็ไม่ได้ช่วยอะไร”



“มึงเข้าไปก่อนเถอะ เดี๋ยวกูตามไป”



“จะเอาอย่างนั้นหรอครับ แต่ผมว่า...คุณนั่นแหละที่ต้องใช้พลังงานหนักกว่าเพื่อนเลย ฮ่าๆ แล้วตามมานะ”



ฤทธิชาติเดินจากไปทิ้งให้อีกฝ่ายสบถเบาๆตามหลัง ร่างสูงดันหลังให้พะแพงเดินเข้าไปด้านในถึงแม้หญิงสาวจะไม่เต็มใจในทีแรก ทันทีที่เดินเข้ามาพะแพงก็พบเข้ากับภาพของรัตติกาลที่กำลังเช็ดมุมปากที่เลอะให้กับลูกชายของเธออยู่ ท่าทางที่แสนจะเป็นธรรมชาติจนดูเหมือนว่าสองคนนั้นเป็นครอบครัวกันจริงๆทำให้พะแพงรู้สึกอยากจะร้องไห้ออกมา แล้วยิ่งเด็กชายมีใบหน้าคล้ายกับนทีผู้เป็นพ่อและอดีตคนรักของเธออย่างมากยิ่งทำให้หญิงสาวไม่อยากจะเสียที่ตรงนั้นให้ใคร



“พี่แพง ทานข้าวด้วยกันสิครับ”



รัตติกาลพูดขึ้นพร้อมกับยิ้มให้ก่อนจะหันไปทานข้าวของตัวเองต่อราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น อารัณย์ที่เห็นพี่สาวของตนเอาแต่ยืนนิ่งเลยเดินตรงไปนั่งข้างรัตติกาลซึ่งฝั่งตรงข้ามมีรพีนั่งอยู่ทำให้พะแพงต้องมานั่งข้างน้องชายของตน



“พ่อกาล...”



“ไม่เป็นไรครับ กินข้าวต่อเถอะ”



รพีคว้ามือของรัตติกาลมาจับทันทีที่เห็นพะแพงเดินเข้ามาจนร่างโปร่งต้องพูดปลอบเพื่อให้เด็กน้อยคลายกังวล รัตติกาลตักผัดคะน้าให้ลูกชายเพิ่มโดยไม่ลืมที่จะเขี่ยพริกเม็ดโตออกให้อย่างที่เคยทำ ส่วนอารัณย์ก็ตักกับข้าวให้รัตติกาลด้วยความเคยชินเช่นกันโดยที่ร่างโปร่งมองมันอยู่พักหนึ่งก่อนจะตักไข่เจียวใส่จานให้คนรักที่รออยู่บ้าง ซึ่งการกระทำนั้นก็ทำให้รอยยิ้มบางๆถูกจุดขึ้นบนใบหน้าของอารัณย์



“เออดี แลกจานกันแดกไปเลยไหม”



นิลพูดแซวขึ้น แต่รัตติกาลกลับไม่รู้สึกสะทกสะท้าน ซึ่งนั่นก็ทำให้นักเขียนหนุ่มออกอาการหงุดหงิดเล็กๆที่อีกฝ่ายไม่ได้เขินอายอย่างที่คาด



“คุณชาติครับ รบกวนตักกับข้าวให้นิลหน่อยได้ไหม ท่าทางปากจะว่าง”



“ตามบัญชาครับ”



นายตำรวจหนุ่มยิ้มกว้างก่อนจะตักผัดคะน้าเน้นพริกเยอะๆให้นิลตามที่เจ้าของบ้านขอ นิลเองพอโดนทั้งเพื่อนและคนข้างๆรุมแกล้งแบบนั้นก็ออกอาการหน้างอจนรัตติกาลหัวเราะออกมาอย่างถูกใจ อารัณย์มองเสี้ยวหน้าของคนข้างๆที่ดูควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ดีกว่าที่เขาคิด แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่อาจคาดเดาได้เลยว่ารัตติกาลจะจัดการกับเรื่องราวทั้งหมดนี้ยังไง



“ป้าครับ แขกที่ผมเชิญมาถึงรึยัง”



รัตติกาลเอ่ยถามจันทร์ที่ยืนคอยรับใช้อยู่ใกล้ๆขึ้น ทำให้ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นแสดงความสงสัยออกมา โดยเฉพาะอารัณย์ที่ไม่รู้เลยว่าคนรักไปติดต่อเชิญใครไว้ตอนไหน ร่างโปร่งยิ้มน้อยๆให้อีกฝ่ายที่ดูไม่สบายใจก่อนจะพูดอธิบายออกมา



“ยังเลยค่ะ ถ้ามาถึงจะให้ป้าเชิญเข้ามาเลยไหมคะ”



“ครับ รบกวนหน่อยนะครับป้า”



หญิงแก่ยิ้มรับก่อนจะเดินออกจากห้องไป แม้จะเป็นเพียงครู่เดียวทั้งนิลและอารัณย์ก็สังเกตถึงความกังวลในดวงตาคู่นั้น  นักเขียนหนุ่มมองเพื่อนของตนด้วยความไม่สบายใจ หากเป็นรัตติกาลคนก่อนที่ร้องไห้โวยวายไล่พะแพงออกจากบ้านเขาคงรับมือง่ายกว่านี้ แต่นี่มันไม่ใช่เพราะเพื่อนของเขาได้เปลี่ยนไปแล้ว



“มึงคิดจะทำอะไรกันแน่ไอ้กาล”



นิลถามรัตติกาลในขณะที่ร่างโปร่งแยกตัวออกมาเข้าห้องน้ำ รัตติกาลมองเพื่อนที่แสดงความเป็นกังวลออกมา เขาหยุดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบนิลออกไปด้วยสีหน้าท่าทางแตกต่างจากตอนที่อยู่ในห้อง



“ทำให้เรื่องมันจบ”



“ทำยังไง”



“มึงไม่ต้องรู้หรอกนิล เรื่องนี้กูคงรบกวนมึงอย่างเคยไม่ได้”



นักเขียนหนุ่มมองรอยยิ้มฝืนๆของเพื่อนด้วยความเป็นห่วง เขาบีบเขาที่หัวไหล่มนของรัตติกาลพร้อมกับจ้องตาอีกฝ่ายอย่างแน่วแน่



“กูเป็นห่วงมึงนะกาล”



“กูรู้ ขอบใจมึงมากแล้วก็...ขอโทษด้วย”



“มึงไม่มีอะไรต้องขอโทษกูทั้งนั้น”



นิลคว้ารัตติกาลมากอดไว้ก่อนจะลูบเบาๆบนกลุ่มผมของเพื่อนที่ซบลงบนไหล่ เขารู้ดีว่ารัตติกาลพยายามแค่ไหนที่จะอดทนผ่านเรื่องราวต่างๆไปให้ได้โดยลำพัง กำแพงหนาที่ถูกอารัณย์พังลงไปก็ยังคงเป็นแบบนั้น รัตติกาลไม่ได้เปลี่ยนเป็นคนที่ปิดกั้นตัวเองเพียงข้ามวัน เช่นเดียวกันกับความเชื่อใจที่ถูกทำลายลงไป



“กูแปลกใจมากเลยรู้ไหม ที่กูไม่ฆ่าอารัณย์หลังจากรู้ว่ามันเป็นใคร”



“ถ้ามึงต้องการกูจะทำแทน”



“ชาติคงลำบากใจแย่ถ้าจะต้องจับมึงเข้าคุก”



“แต่ถ้ามึงทำรพีก็กำพร้า”



“ที่กูไม่ทำ...อาจจะเป็นเพราะแบบนั้นก็ได้”



รัตติกาลผละตัวออกมา ร่างโปร่งไม่ได้ร้องไห้ฟูมฟายอีกแล้วหลังจากที่ปลดปล่อยอารมณ์ทุกอย่างไปเมื่อคืนแต่ดวงตาก็ยังหลงเหลือไว้ซึ่งความเจ็บปวด



“มันคงถึงเวลาที่กูควรเรียนรู้การยืนด้วยตัวเองสักที”



“...มึงจะเลิกกับมัน?”



“ไม่...อย่างน้อยก็ตอนนี้”



สีหน้าของรัตติกาลดูสงบกว่าที่นิลคาด ร่างโปร่งทำเพียงมองปลายเท้าของตัวเองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเงยหน้าขึ้นแล้วตอบคำถามเขาด้วยน้ำเสียงอันหนักแน่น รัตติกาลกำลังวางแผนบางอย่างและมันก็เป็นการตัดสินใจที่จะส่งผลกับชีวิตของทุกคนแน่นอน เขายิ้มออกมา แม้จะไม่ราบรื่นแต่ความต้องการที่จะเห็นเพื่อนคนนี้มีชีวิตต่อไปได้โดยไม่ต้องพึ่งใครก็เป็นสิ่งที่เขาหวัง



“กูจะเป็นกำลังใจให้มึงแล้วกัน”



“อืม...แล้วกูก็จะเป็นกำลังใจให้มึงด้วย”



“...?”



“กลับเข้าไปกันเถอะ”



รัตติกาลพูดคำพูดที่น่าสงสัยเอาไว้ก่อนจะเดินกลับไปด้านใน แต่ก่อนที่จะออกพ้นประตูห้องไป ร่างโปร่งก็เห็นแผ่นหลังกว้างของอารัณย์ยืนพิงกำแพงอีกด้านอยู่ไม่ไกล เขาหยุดนิ่งเพื่อมองมัน จากระยะนั้นอารัณย์คงได้ยินบทสนทนาทั้งหมดแล้ว รัตติกาลยิ้มให้ตัวเองแต่มันช่างแสนเศร้าจนเขาอยากกลับไปเป็นคนที่อ่อนแอเหมือนเก่า แต่มันคงเป็นไปไม่ได้เพราะเขาเองก็อยากจะเข้มแข็งขึ้นเพื่อตัวเองและลูก



ร่างโปร่งเดินจากไปโดยไม่พูดอะไรกับอารัณย์สักคำ ร่างสูงเองนั้นก็ไม่ได้รั้งรัตติกาลไว้เพราะยังคงนิ่งอึ้งเมื่อได้รับรู้การตัดสินใจของคนรัก ฝ่ามือใหญ่กำกันแน่น เขาหลับตาลงไม่อยากแม้แต่จะจินตนาการถึงคราวที่ต้องสูญเสียรัตติกาลไปเพราะความคิดตื้นของตัวเอง



“น่ากลัวใช่ไหมล่ะ การที่ต้องไม่รู้อะไรเลยน่ะ”



เสียงของนักเขียนหนุ่มดังขึ้นทำให้อารัณย์ต้องหันไปเผชิญหน้ากับคนที่เดินตามรัตติกาลออกมา นิลมองร่างสูงตรงหน้าด้วยความรู้สึกเห็นใจไม่น้อยแต่ถึงอย่างนั้นความโกรธแค้นกับเรื่องที่อีกฝ่ายทำลงไปนั้นกลับมีมากกว่า



“กูไม่เคยอยากให้เรื่องมันออกมาเป็นแบบนี้”



“แน่ใจ? กล้าสาบานไหมล่ะว่ามึงไม่เคยคิดแยกไอ้กาลกับรพีออกจากกัน”



“...”



“ช่างเถอะ ต่อให้กูโกรธมึงไปก็เท่านั้นเพราะถึงยังไงคนที่ตัดสินใจคือไอ้กาลไม่ใช่กู...ยอมรับมันซะอารัณย์”



แล้วนิลก็เดินจากไปพร้อมกับทิ้งความหนักอึ้งไว้ให้อารัณย์แบกรับอีกครั้ง ร่างสูงอยากจะตะโกนออกมาดังๆแต่เขาก็ทำอย่างนั้นไม่ได้ พี่เลี้ยงหนุ่มหยิบเอาสิ่งๆหนึ่งออกจากกระเป๋ากางเกงขึ้นมาดูพร้อมกับความกลัวที่จุกแน่นอยู่ในอก



“ถ้าเป็นคุณ...คุณจะทำยังไง”



ชายหนุ่มหัวเราะเยาะความคิดฟุ้งซ่านของตัวเอง เขาเก็บของสิ่งนั้นกลับไปที่เดิมก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้องทานอาหารที่จานและชามกำลังถูกลำเลียงออกไปโดยที่แต่ละคนยังคงนั่งประจำที่ของตัวเองอยู่ อารัณย์กลับไปนั่งที่เดิมของตัวเองก่อนที่จะเอื้อมไปจับมือของรัตติกาลไว้โดยไม่แคร์สายตาใครรวมถึงคำพูดของคนรักด้วย



“ตกลงกาลจะเอายังไง พี่อยากได้ลูกของพี่คืน”



พะแพงพูดความต้องการของตัวเองออกมาทันทีที่อยู่กันพร้อมหน้า อารัณย์กระชับมือของตนให้แน่นขึ้นเพื่อให้รัตติกาลรู้ว่าเขาเป็นกำลังใจให้แต่ดูเหมือนว่าคนรักของเขาจะเตรียมใจไว้อยู่แล้วว่าต้องมาเจอคำพูดแบบนี้



“ผมคงคืนลูกให้พี่แพงไม่ได้หรอกครับ เพราะที่นี่...มีแต่ลูกของผม”



“กาล ขอร้องเถอะ อย่าให้พี่พูดเรื่องราวร้ายๆในอดีตออกมาให้รพีได้ฟังเลยนะ คืนรพีให้พี่มาแล้วเราก็จบกันเท่านี้ พี่จะไม่เอาเรื่องอะไรเธอทั้งนั้น”



หญิงสาวหันไปมองลูกชายของตนที่จ้องมองไปยังรัตติกาลด้วยความไม่เข้าใจ ก่อนจะหันมามองเธออยู่ครู่หนึ่ง พอเห็นอย่างนั้นพะแพงยิ่งอยากจะเข้าไปกอดรพีไว้แต่ในสถานการณ์ที่เด็กชายกลัวเธอมากขนาดนี้มันคงไม่ใช่เรื่องที่ฉลาดนัก



รัตติกาลยกยิ้ม ดูเหมือนว่าผู้หญิงตรงหน้าคงถูกปิดหูปิดตาไม่ต่างจากเขาเท่าไหร่ ชายหนุ่มหันกลับไปมองลูกศรที่ยืนอยู่ไม่ไกล ก่อนจะส่งสัญญาณให้พาคนที่เพิ่งมาถึงได้ไม่นานเข้ามา



“ก่อนที่พี่จะได้รู้ความจริง ผมมีอะไรบางอย่างอยากจะบอก”



“...?!”



“ผมดีใจนะครับที่พี่ยังมีชีวิตอยู่...พี่แพง”



สิ้นคำนั้นประตูบานใหญ่ก็เปิดออก พะแพงที่หันไปมองตามเสียงนั้นลุกขึ้นยืนพร้อมกับมองผู้มาใหม่ด้วยความไม่เข้าใจเช่นเดียวกับคนที่เหลือยกเว้นอารัณย์ที่เอาแต่มองหน้ารัตติกาล ร่างกายสูงโปร่งไม่ต่างจากรัตติกาลมากนักกำลังเดินเข้ามาพร้อมกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่มองไปรอบๆบ้านอย่างสนใจ ดวงตากลมโตคู่นั้นจะสอดส่ายไปบรรจบอยู่ที่รัตติกาล เธอทำหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะนึกได้ เด็กน้อยดึงมือของตนออกจากพันธนาการของพ่อแล้ววิ่งตรงเข้าไปหารัตติกาลที่มีรพีนั่งนิ่งอยู่บนตัก



“คุณน้าลูกอมนี่นา!!”



“สวัสดีครับ เจอกันอีกแล้วนะ”



 ร่างโปร่งยื่นลูกอมรสองุ่นแบบเดียวกับวันนั้นให้กับเด็กน้อยที่ยิ้มกว้างพร้อมกับเอื้อมมือออกมารับมัน แต่ก่อนที่รัตติกาลจะได้ทำแบบนั้นร่างเล็กๆนั่นก็ถูกอุ้มจนตัวลอยขึ้นจากพื้นด้วยฝีมือของพะแพงที่มองมายังเขาด้วยสายตาไม่เข้าใจมากกว่าเก่า



“นี่มันเรื่องอะไรกันกาล เธอจะเล่นตลกอะไรกับพี่อีก!!!”



“ไม่ใช่เรื่องตลกหรอกครับพี่แพง แต่ถึงจะพูดแบบนั้น...ตอนที่ผมรู้ความจริงครั้งแรกก็ตกใจไม่น้อยเหมือนกัน”



รัตติกาลพูดกับพี่รหัสก่อนจะหันมามองอารัณย์ที่หน้าแทบจะไร้สีเลือด ร่างโปร่งเค้นยิ้มที่เต็มไปด้วยความผิดหวังในตัวคนรักแล้วหันไปมองชายอีกคนที่มาพร้อมกับซองเอกสารในมือ



ชายคนนั้นมองรัตติกาลอย่างไว้เชิงก่อนจะหันไปมองภรรยาและลูกสาวที่ไม่เคยรับรู้ความจริงอะไรสักอย่าง ช่วงขายาวภายใต้กางเกงแสล็คสีขาวก้าวเข้ามาเรื่อยๆจนชายหนุ่มเดินเข้ามาอยู่ในระยะที่รัตติกาลสามารถเห็นได้อย่างชัดเจน



“คราวนี้ผมไม่ได้ทักคุณผิดแล้วนะครับ”



รัตติกาลพูดกับชายที่เขาเคยทักผิดว่าคือนที ณ ห้องอาหารของโรงแรมในคืนที่พายุเข้า ดวงตาเรียวรีในกรอบแว่นคู่นั้นยังคงจับจ้องมาที่เขาเช่นเคยแต่ไร้ซึ่งความตกใจเหมือนครั้งก่อน



“ยินดีที่ได้พบกันอีกครั้งนะครับ ทั้งในฐานะของหมอทำคลอดของรพี...และฐานะสามีของพี่แพง”



--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

คุยกับเช่!!


ตอนนี้รู้สึกพี่กาลกวนตีนมาก 555555555  :hao7: พี่กาลเวอร์ชั่นนี้ไม่วีนไม่เหวี่ยงคับ ซัดอย่างเดียวเลย หุหุ เช่ชอบบบบบ ไม่อยากให้พะแพงดูเป็นนางร้ายจนเกินไป แต่เข้าใจเนอะคนเป็นแม่ แต่ยังไงพ่ออย่างพี่กาลก็ชนะเลิศ! (ลำเอียง 5555)  o13

งวดนี้ทอล์คสั้น เพราะเช่จะหนีไปนอน  :z6: งานเยอะมาก อยากให้เดือนนึงมีสักร้อยวัน ฮือออ ขอบคุณทุกเม้นต์ทุกโหวตนะคับ ทั้งคนที่ติดตามกันมาตลอดและนักอ่านหน้าใหม่ ฝากนิยายและหนังสือที่กำลังจะออกไว้ในอ้อมใจด้วย เก็บตังกันเถอะ 555



ออฟไลน์ Niinuii

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 229
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-2

ออฟไลน์ Nankoong

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 754
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-5
กาลลลลล....สู้ตาย!!!!

ออฟไลน์ hewlett

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 560
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-3
พี่นทีมีฝาแฝด

ออฟไลน์ kanomjeeb

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 101
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ลุ้นมากกกกกนึกว่าอ่านโคนัน

ชอบกาลแบบนี้อะดีๆเอาให้เข็ด

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
มันชอคหนักมาก

ออฟไลน์ suck_love

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
ตกลงคือนทีตายคนเดียวใช่ไหม
แล้วทำไมนทีถึงกลับไปหาพะแพง
แล้วทำไมพะแพงถึงเพิ่งหารพีเจอแล้วทำไมถึงมีเอกสารการตาย
แล้วผู้ชายที่อยู่เบื้องหลังคือใครรร
งงงงงงง ค่ะ อ่านเรื่องนี้มีแต่คำถาม 55555555  :katai1:
รอเฉลยปม

ออฟไลน์ sang som

  • เจ็บจิต!!
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1609
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-6
ยิ่งกว่าอ่านโคนันอีกกก

ออฟไลน์ vivacestory

  • Mare Mara
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1

43rd Night

…Truth III...

 




“หมายความว่ายังไง”


นอกจากนิลที่พูดประโยคนี้ขึ้นแล้วยังมีพะแพงที่ดูจะช็อคไปกับสิ่งที่รัตติกาลกล่าวถึง หญิงสาวหันไปหาคนมาใหม่อยากต้องการคำตอบ แต่ชายคนนั้นกลับไม่พูดอะไร เขาเดินตรงไปที่เด็กสาวซึ่งพะแพงอุ้มอยู่ก่อนจะพูดกับร่างเล็กด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนเสียจนบรรยากาศในห้องเปลี่ยนไปครู่หนึ่ง


“พิมพ์พาน้องไปเล่นข้างนอกก่อนนะคะ เดี๋ยวขอพวกป๊าคุยธุระกันก่อน”


“น้องพีหรอคะ?”


เด็กสาวชื่อพิมพ์ชี้ไปยังรพีที่ยังคงนั่งอยู่บนตักของรัตติกาล รพีเองเมื่อเจอคนแปลกหน้าเยอะๆเข้าก็เอาแต่ซุกหน้าลงในอกอุ่นของบิดาแต่ก็ยังแอบหันหน้ากลับมามองบ้างด้วยความอยากรู้อยากเห็น


“ครับ เล่นกับน้องดีๆนะ”


“ค่ะ!”


ร่างสูงรับร่างของลูกสาวมาจากพะแพงที่เอาแต่มองเขาอย่างคาดโทษ ทันทีที่เท้าคู่เล็กนั้นแตะพื้น เด็กหญิงพิมพ์ใจก็วิ่งตรงไปที่เก้าอี้ของรัตติกาล เธอยิ้มให้คุณน้าใจดีเจ้าของลูกอมอีกครั้งก่อนจะเอ่ยชวนเด็กชายที่ตัวพอๆกัน


“น้องพี ไปเล่นด้วยกันนะ!”


รพีส่ายหน้ากับอกอุ่นของพ่อจนรัตติกาลต้องลูบกลุ่มผมนุ่มเพื่อปลอบโยน


“รพี ไปเล่นกับพี่พิมพ์เขาก่อนนะ”


“พีไม่อยากไป...”


“แต่พี่เขามาชวนแล้ว เดี๋ยวพ่อให้ยายจันทร์ทำขนมไปให้”


เด็กชายเมื่อได้ยินข้อเสนอที่แสนล่อใจก็ยอมที่จะเงยหน้าออกมาสบตากับบิดา ร่างป้อมหันไปมองคนที่เรียกเขาว่าน้องอย่างสนใจก่อนจะยอมพยักหน้าแล้วร้องขอรัตติกาลให้วางตัวเองลงกับพื้น จันทร์ที่ยืนอยู่ไม่ไกลบอกให้เด็กรับใช้พาเด็กทั้งสองคนออกไปเล่นรอบๆบ้านโดยกำชับไม่ให้ใครเดินเข้ามาในห้องๆนี้หากไม่ได้รับอนุญาตจากเธอ หญิงแก่มองคุณหนูที่เธอเลี้ยงดูมานานด้วยความเป็นห่วงแต่เมื่อได้เห็นสายตาที่มุ่งมั่นของรัตติกาลเธอก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากปิดประตูที่หนักอึ้งนั้นลง


“คุณรู้มานานเท่าไหร่แล้ว”


อารัณย์ถามขึ้นทันทีที่สาวใช้ทั้งหมดออกจากห้องไป ชายหนุ่มมองหน้าคนรักที่ดูไม่ยินดียินร้ายกับสถานการณ์ตรงหน้าผิดกับคนอื่นๆที่สับสนวุ่นวายไปกันหมด


“จริงๆก็สงสัยตั้งแต่เห็นบ้านไม้จำลองหลังนั้น แต่ถ้าพี่แพงไม่มาผมก็อาจจะยอมปิดหูปิดตาตัวเองต่อไปก็ได้”


รัตติกาลมองไปยังบ้านไม้จำลองหลังเล็กที่อารัณย์นำมาให้เป็นของขวัญวันเกิดของรพี ร่างโปร่งลุกขึ้นยืนแล้วเดินตรงไปยังกล่องกระจกนั้นซึ่งตั้งอยู่ในอีกมุมหนึ่งของห้องตามคำสั่งของเจ้าของบ้าน เขายกกรอบของมันขึ้นท่ามกลางความแปลกใจของทุกคน ชายหนุ่มลูบเบาๆไปตามแผ่นไม้ที่ถูกเหลาอย่างประณีตก่อนจะหยิบเอาไม้แผ่นเล็กๆแผ่นหนึ่งออกมาอย่างง่ายดาย


“ผมเคยซุ่มซ่ามทำมันตกอยู่ครั้งนึง หึ ไม่น่าเชื่อว่าพี่ทีจะไม่สังเกตเห็น”


ร่างโปร่งว่ายิ้มๆก่อนจะวางมันกลับไปอย่างเก่า เขาเดินกลับมานั่งเคียงข้างอารัณย์ที่เริ่มประติดประต่อเรื่องราวบางอย่างได้ก่อนจะหันไปพูดกับคนรัก


“ช่วยแนะนำพี่เขยของคุณ...และเรื่องทั้งหมดให้พวกเรารู้หน่อยได้ไหม”


“ขอให้ผมเป็นฝ่ายพูดเองเถอะครับ”


ชายผู้มาใหม่พูดขึ้นด้วยสีหน้าแน่วแน่ราวกับเตรียมใจมาก่อนแล้ว เขานั่งลงตรงเก้าอี้ว่างตัวหนึ่งเมื่อเจ้าบ้านอย่างรัตติกาลพยักหน้าให้ก่อนจะวางซองเอกสารที่ถือมาด้วยลงบนโต๊ะซึ่งนิลก็หยิบมันไปอ่านแทบจะทันที


“เอกสารนี่มัน...ใบมรณะบัตรของพี่แพง”


“ใบมรณะบัตรของพี่??”


หญิงสาวร้องขึ้นอย่างตกใจ แต่ชายคนนั้นก็ไม่ปล่อยให้ทุกคนรอนาน เขาถอดแว่นที่ตัวเองสวมออกเผยให้เห็นใบหน้าที่อ่อนล้าราวกับคนที่โหมงานอย่างหนัก


“ผมชื่อกันต์ชนก เป็นนายแพทย์ที่ทำคลอดน้องรพีเมื่อหกปีก่อนแล้วก็เป็นสามีในปัจจุบันของแพงอย่างที่คุณกาลว่า”


“เดี๋ยวก่อนนะ...กันต์ชนก”


นิลเอ่ยขัดขึ้นก่อนจะก้มลงอ่านใบมรณะบัตรอีกครั้ง ก่อนจะเห็นชื่อๆเดียวกันเซ็นกำกับอยู่ในช่องของผู้รับรองอย่างไม่มีผิดเพี้ยน


“ครับ เอกสารนั้นผมเป็นคนเซ็นเอง...ทั้งๆที่พะแพงไม่ได้ตาย”


กันต์มองภรรยาของเขาด้วยสายตาที่บ่งบอกความเสียใจอย่างสุดซึ้ง แต่เขาก็กลั้นใจพูดความจริงต่อไปโดยที่มีสายตาของทุกคนมองมาอย่างกดดันยกเว้นเพียงอารัณย์ที่แทบจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ต่างกันเลย


“เมื่อหกปีที่แล้วผมไปประจำการอยู่ที่โรงพยาบาลลำปาง ตอนนั้นเป็นช่วงปลายปีมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นแทบตลอดทำให้แม้แต่แพทย์น้องใหม่อย่างผมก็ต้องอยู่ช่วยที่นั่นแทบจะไม่ได้ปลีกตัวไปไหน จนบ่ายวันนั้นผมก็ต้องทำหน้าที่ยื้อชีวิตให้กับสามีภรรยาคู่หนึ่งที่เพิ่งประสบอุบัติเหตุมา...”


“และนั่นก็คือพี่แพงกับพี่ทีใช่ไหม”


หมอหนุ่มพยักหน้าแทนคำตอบให้นิลที่เอาแต่นั่งกุมขมับ ก่อนจะอธิบายต่อ


“คุณนที...เสียชีวิตเพราะได้รับกระทบกระเทือนที่ศีรษะอย่างแรงแทบจะทันทีที่ถึงมือหมอ ส่วนแพงถึงไม่หนักเท่าแต่เพราะตั้งครรภ์อยู่ด้วยทำให้ทุกอย่างอันตรายไปหมด เราจำเป็นต้องผ่าเอาเด็กออกทั้งๆที่ยังไม่ครบอายุครรภ์...นั่นทำให้ผมได้ชื่อว่าเป็นคนทำคลอดของน้องรพีครับ”


“โกหกกันมาตลอดเลยสินะ ทำไมคุณทำกับฉันแบบนี้!”


พะแพงลุกขึ้นไปทุบตีร่างของคนรักทั้งน้ำตานองหน้า หมอหนุ่มรับฝ่ามือที่แทบไม่เหลือเรี่ยวแรงนั้นไว้ก่อนจะกอดร่างเล็กด้วยทุกสิ่งทุกอย่างที่เขามีแม้มันจะไม่ช่วยให้เธอร้องไห้น้อยลงเลยก็ตาม


“ผมขอโทษ...มันจำเป็นจริงๆแพง ถ้าผมไม่โกหกคุณ ทั้งคุณกับลูกอาจจะโดนฆ่าไปตั้งแต่วันนั้นแล้วก็ได้”


หญิงสาวเบิกตาโพลงเช่นเดียวกับนิลที่หันมามองรัตติกาลแทบจะทันที ร่างโปร่งหันไปมองเพื่อนของตนอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันไปเผชิญหน้ากับพะแพงที่มองมาอย่างไม่เข้าใจ


“พี่คิดว่าตัวเองรู้จักผู้ชายคนนั้นดีแค่ไหนกัน...พี่แพง”


“...?”


“พี่อาจจะคิดว่าตัวเองโชคร้ายที่ครั้งหนึ่งเคยรักคนเจ้าชู้แบบนั้น แต่พี่รู้ไหม ว่านั่น...อาจจะเป็นด้านที่ดีที่สุดแล้วที่ทีจะแสดงให้พี่เห็นได้”


รัตติกาลลุกขึ้นไปหยิบเอาบ้านไม้จำลองหลักเดิมมาวางลงบนโต๊ะเพื่อให้ทุกๆคนได้เห็น ร่างโปร่งเหลือบมองฤทธิชาติที่กำลังให้ความสนใจกับวัตถุตรงหน้าอย่างมากแต่เมื่อพอรู้ตัวว่ากำลังโดนรัตติกาลจับจ้องผู้หมวดหนุ่มก็ทำเพียงแค่ยิ้มให้เหมือนกับทุกทีที่เคยทำ


“ทุกคนคิดว่าบ้านไม้หลังเล็กๆหลังนี่ ราคาเท่าไหร่ครับ”


แต่ละคนเลิ่กคิ้วขึ้นก่อนจะลองตอบราคาที่ตัวคาดไว้ตั้งแต่หลักพันไปจนถึงหลักหมื่นมีเพียงแค่ฤทธิชาติที่ไม่เสนอราคาใดๆ แต่สุดท้ายไม่ว่าคำตอบไหนรัตติกาลก็เอาแต่ส่ายหน้าก่อนที่ร่างโปร่งจะเฉลยด้วยท่าทางที่เครียดขึงกว่าเดิม


“บ้านจำลองหลักนี้...ราคาไม่ต่ำกว่าหนึ่งล้านบาท”


“ไม้เหี้ยอะไรแพงขนาดนั้นวะ!!!”


นิลร้องขึ้นทันทีที่รัตติกาลพูดจบ ชายหนุ่มหัวเราะร่าเมื่อเห็นสีหน้าตกใจของเพื่อนรัก ไม่ต้องพูดถึงอารัณย์ที่นิ่งอึ้งไปแล้วเพราะไม่เคยรู้เลยว่าของที่ตนนำมาให้รพีเป็นของขวัญมีมูลค่ามากแค่ไหน


“ไม่ใช่ไม้เหี้ย นี่มันไม้พะยูง รู้จักไหม”


นักเขียนหนุ่มร้องอ่อขึ้นทันทีที่ได้ยินชื่อไม้มงคลหายากที่ยังคงมีเหลืออยู่แค่เพียงในประเทศไทยเท่านั้น ด้วยเพราะความทนทานและความเชื่อที่สืบต่อกันมานานว่าเป็นไม้ของเทพเจ้าทำให้ไม้ชนิดนี้ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ยิ่งเมื่อมีการใช้ไม้พะยูงในการซ่อมแซมพระราชวังต้องห้ามของประเทศจีนยิ่งทำให้ความนิยมที่มากอยู่แล้วพุ่งสูงพอๆกับราคาที่มากจนคนธรรมดาไม่มีทางเอื้อมถึงได้


“พญาไม้พวกนี้  ถ้าอายุแค่สามสิบปีต้นนึงก็ตกสามถึงห้าแสน แต่ถ้าเป็นเจ็ดสิบปีก็หลักล้าน และจะอัพขึ้นเป็นสิบล้านในอีกไม่กี่ปีถ้ามันยังถูกค้าออกไปเรื่อยๆ”


“หวังว่าคงจะไม่ใช่อย่างที่กูคิดนะ”


“...เป็นอย่างที่มึงคิดนั่นแหละ”


นิลถอนหายใจยาวก่อนจะกุมขมับเมื่อสิ่งที่เพิ่งรับรู้ทำให้เขาไม่อาจจินตนาการถึงความวุ่นวายที่อาจตามมาได้ รัตติกาลหันไปหาหญิงสาวที่ยังคงไม่สามารถเดาได้ว่าความจริงที่นทีซ่อนไว้คืออะไร เพราะโลกที่นทีทำให้เธอเห็นนั้นมันเทียบไม่ได้เลยกับความเป็นจริงที่รัตติกาลต้องเผชิญ


“พี่นที...เคยมีส่วนร่วมกับการลักลอบค้าไม้ครับ”


ทั้งห้องนิ่งเงียบไปแทบจะทันที แม้แต่การเคลื่อนไหวเล็กๆตอนที่นายตำรวจหนุ่มหยิบโทรศัพท์มาปลดล็อคยังเรียกความสนใจของทุกคนได้


พะแพงพยายามหายใจเข้าลึกๆเพื่อเรียกสติ เธอปาดน้ำที่ไหลคลอดวงตาของตนออกแต่ก็ไม่อาจต้านทานความผิดหวังจากข้างใน เธอระบายมันออกมาจนหมดโดยมีกันต์ชนกคอยโอบกอดคนรักของตนไว้พร้อมกับปลอบโยนอยู่ข้างๆ


“พี่มัน...ไปขัดผลประโยชน์กับใครเข้ารึเปล่า”


“หึ สันดานแบบนั้นคิดว่าอยู่เฉยๆได้รึไง”


“ห่าเอ้ย กูรู้ว่าพี่มันโลภแต่ไม่คิดว่าจะถึงขนาดนี้”


“ความทะเยอทะยานของพี่นทีที่มึงเคยเห็นคงไม่ได้สักครึ่งของเขาที่กูรู้จัก”


รัตติกาลเค้นยิ้มก่อนจะนำกรอบแก้วครอบบ้านไม้จำลองไว้อย่างเดิม พร้อมกับมองไปที่นายตำรวจหนุ่มเพื่อดูท่าทางว่าจะจัดการยังไงกับมัน แต่ฤทธิชาติกลับหัวเราะออกมาเบาๆแล้วโบกมือไปมาเพื่อบอกว่าเขาไม่คิดจะสนใจบ้านน้อยหลังนี้


“อุบัติเหตุครั้งนั้น...มันไม่ใช่อุบัติเหตุจริงๆใช่ไหม”


พะแพงกลั้นก้อนสะอื้อของตนแล้วถามออกไปทั้งที่ดวงตายังแดงก่ำ


“ส่วนหนึ่งครับ...คนขับรถบรรทุกคันนั้นไม่ได้หลับใน แต่ไฟจราจรที่ควรเป็นสีแดง เขากลับเห็นมันเป็นสีเขียว”


“...!!!”


“มีคนปรับเปลี่ยนมันในจังหวะที่รถของพี่ไปถึงแยกนั้นพอดี เรื่องนี้มีแค่ผมกับปู่ของอารัณย์และตำรวจบางคนเท่านั้นที่รู้”


“แต่นี่มันไม่มีเหตุผลเอาซะเลย ถ้ามันมีหลักฐานว่าเป็นการฆาตกรรมจริงมึงจะปิดเรื่องไปทำไม มึงควรเล่นงานพวกมันไม่ใช่หรอ”


“ก็ใช่...ที่ว่าโลกนี้มันไม่สมเหตุสมผลเอาซะเลย”


รัตติกาลยิ้มเย็นก่อนจะตอบนิลไปแบบนั้น เขาหยิบเอาเอกสารแผ่นหนึ่งออกมาจากซองเอกสารที่ถูกวางไว้ในลิ้นชักของตู้โชว์ที่ตั้งอยู่ไม่ไกล ร่างโปร่งวางมันไปตรงหน้านายแพทย์หนุ่มที่มองรัตติกาลอยู่ก่อนแล้วด้วยแววตาที่ต้องการจะขอโทษแต่ถึงอย่างนั้น ชายหนุ่มก็ไม่ได้สนใจมันเลยแม้แต่น้อย


“คุณปู่ของพี่กับอารัณย์เป็นคนขอร้องให้ผมรับเลี้ยงรพีไว้ เพราะเรื่องนี้”


“...!!!”


“ชายคนนั้นขอให้ผมใช้ปีกของพัฒนเดชาปกป้องชีวิตเหลนของตัวเอง แลกกับการยุติความสัมพันธ์ทั้งหมด มันเป็นการสูญเสียเพื่อแลกมาซึ่งอิสรภาพอันยิ่งใหญ่ของรพี...บุตรบุญธรรมที่ถูกต้องตามกฎหมายของผม”


พะแพงพูดไม่ออก แม้แต่นิลที่มีคำถามมากมายอยู่ในหัวก็ด้วย อารัณย์หยิบเอกสารดังกล่าวขึ้นมาดูก่อนจะเห็นว่าในช่องของผู้ปกครองมีลายเซ็นของคุณปู่ตนถูกระบุไว้อย่างชัดเจน เหมือนกับสำเนาที่กันต์ชนกผู้เป็นพี่เขยของเขาเคยนำมาให้ดูในตอนที่เล่าเรื่องทุกอย่างให้เขาฟัง รวมถึงสาเหตุที่พะแพงยังมีชีวิตอยู่ด้วย


“คราวนี้พวกคุณจะอธิบายได้รึยังว่าทำไม...ถึงได้ทรยศผม”


.

.

.

.

.

.

.

.

.

.


“หมอกันต์คะ มีคนไข้ฉุกเฉินเข้ามาสองคนรีบมาทางนี้เลยค่ะ”


“ครับ นำไปเลย!”


นายแพทย์หนุ่มลากขาที่ล้าจนไม่อยากเชื่อว่าเขาจะใช้มันวิ่งไปตามทางเดินที่ทอดยาวนี้ได้ ไฟหน้าห้องฉุกเฉินเปิดขึ้นทันทีที่เขาก้าวมาถึง กันต์ชนกมองร่างของชายหญิงคู่หนึ่งที่ร่างกายต่างถูกย้อมไปด้วยเลือด เขาร้องบอกให้พยาบาลตรวจดูบาดแผลที่น้อยกว่าของฝ่ายหญิงก่อนที่จะพุ่งตรงไปยังร่างที่บิดเบี้ยวของชายหนุ่มที่ไม่เหลือสติอยู่แล้ว แขนและขาข้างขวาที่หักทำให้เขาสันนิษฐานได้ทันทีว่าคนไข้คงได้รับการกระแทกอย่างหนัก ไม่ต่างจากศีรษะที่กะโหลกบางส่วนยุบลงไปจนเห็นได้ชัด


“หมอคะ ความดันคนไข้ตกค่ะ”


ชายหนุ่มมองกราฟที่แสดงความดันและอัตราการเต้นของหัวใจซึ่งกำลังดิ่งลงจนเขาต้องปีนขึ้นไปบนเตียงเพื่อปั้มหัวใจอย่างไม่ลังเล ฝ่ามือถูกวางลงในตำแหน่งตามที่ฝึกฝนมาก่อนจะออกแรงนวดปั้มเป็นจังหวะพร้อมกับบอกให้พยาบาลฉีดยากระตุ้นหัวใจไปด้วย


“ไม่ไหวค่ะหมอ คนไข้ไม่ตอบสนองเลย!”


กันต์ชนกบอกตัวเองไม่ให้สิ้นหวัง เขาพยายามทำมันอยู่หลายครั้งทั้งด้วยมือเปล่าและเครื่องกระตุ้นแบบไฟฟ้าแต่ร่างนั้นก็ยังนิ่งไม่ไหวติง จนกระทั่งเสียงร้องลากยาวดังขึ้นก้องไปทั่วทั้งห้องและโสตประสาทของทุกคนที่ได้ยินทำให้พวกเขารู้ได้ทันทีว่าการช่วยชีวิตครั้งนี้ไม่สามารถยื้อชีวิตคนไข้ไว้ได้


“คุณคะ ทำใจดีๆไว้ค่ะ!!”


“มีเลือดออกทางช่องคลอด ระวังด้วยนะ”


หมอหนุ่มที่แม้ในใจจะยังไม่อยากทิ้งคนตรงหน้าไปแต่เขากลับไม่มีเวลาแม้แต่จะเอ่ยปากขอโทษด้วยซ้ำ กันต์ชนกรีบวิ่งไปยังเตียงทางด้านขวาที่ผู้หญิงคนหนึ่งกำลังโอบอุ้มท้องที่ใหญ่โตของตัวเองไว้ราวกับสิ่งล้ำค่า ร่างสูงใช้ไฟฉายส่องดูการขยายของรูม่านตาซึ่งสัมพันธ์กับสัญญาณชีพที่ไม่สู้ดีนัก


“หมอกันต์ค่ะ คนไข้เลือดออกเยอะมาก ฉันเกรงว่า...”


“ผมรู้แล้ว ทุกคนเตรียมตัวครับ เราต้องผ่าเด็กออกเดี๋ยวนี้!!!”


 



อุแว๊! อุแว๊!!


เสียงเด็กร้องดังขึ้นทันทีที่ผิวกายอ่อนได้สัมผัสอากาศภายนอกเป็นครั้งแรก พยาบาลรีบเข้ามารับเด็กน้อยตัวแดงแจ๋ไปเข้าทำตามขั้นตอนทันทีในขณะที่คนอื่นต้องมุ่งอยู่กับการรักษาชีวิตแม่เด็กต่อไปโดยไม่มีแม้แต่เวลาจะมาร่วมยินดีเหมือนเช่นทุกครั้ง กันต์ชนกพยายามอย่างสุดความสามารถแต่ดูเหมือนว่าหญิงสาวจะได้รับการกระทบกระเทือนไม่น้อยกว่าผู้เป็นสามี จุดสุดท้ายเขาก็ทำได้แค่ยื้อชีวิตให้เธอต่อไปด้วยท่อออกซิเจนเท่านั้น


“หมอครับ หลานกับเหลนผมเป็นยังไงบ้าง!”


กันต์ชนกมองใบหน้าตื่นตระหนกของชายแก่คนหนึ่งที่รีบก้าวยาวๆมาหาขาทันทีที่เดินออกมาจากห้อง สิ่งเดียวที่เขาเกลียดเวลาต้องทำอาชีพนี้ไม่ใช่ความเหนื่อยล้าหรือเวลาส่วนตัวที่แทบจะถูกลิดรอนไปจนหมด หากแต่เป็นช่วงเวลาที่ต้องบอกข่าวร้ายกับญาติคนไข้นี่แหละที่ชายหนุ่มรู้สึกทนไม่ได้ทุกครั้งที่ต้องเห็นสายตาพวกนั้น


“เด็กปลอดภัยดีนะครับแต่เพราะคลอดก่อนกำหนดเราเลยต้องให้อยู่ในตู้อบก่อน ส่วนแม่เด็ก...ยังอยู่ในอาการโคม่า”


ชายแก่คนนั้นแทบทรุดลงไปแต่ด้วยเพราะประสบการณ์ที่ผ่านมามากทำให้ยังคงย้ำเตือนสติตัวเองไว้ว่านี่ไม่ใช่เวลาที่เขาจะมาทำตัวอ่อนแอ เขาพาร่างที่โงนเงนนั้นไปดูอาการหลานสาวผ่านทางกระจกของห้องไอซียู ภาพของหญิงสาวที่นอนหลับใหลท่ามกลางสายของเครื่องมือช่วยชีวิตห้องระโยงระยางแทบคร่าหัวใจคนเป็นปู่ได้ตั้งแต่วินาทีแรกที่เห็น


“บาดแผลภายนอกไม่รุนแรง แต่สมองและอวัยวะภายในบางส่วนได้รับการกระทบกระเทือนอย่างหนัก เราต้องรอดูอาการอย่างใกล้ชิดกันไปก่อน อย่างน้อย...ก็จนกว่าอาการของเลือดที่คั่งอยู่จะดีขึ้น”


“แล้ว...อีกคนล่ะครับ”


“...ฝ่ายชายเสียชีวิตแล้วครับ ผมเสียใจด้วย”


“ผมขอไปดูศพเขาหน่อยได้ไหม”


กันต์ชนกพยักหน้าแล้วพาชายแก่ไปยังห้องดับจิตที่แทบจะคร่าหัวใจของญาติทุกครั้งตามที่หมอหนุ่มเคยเห็น เช่นเดียวกับครั้งนี้ที่ชายคนนั้นได้แต่ยืนมองร่างไร้วิญญาณตรงหน้าด้วยสายตาที่ทั้งเต็มไปด้วยความตำหนิและทรมานใจไปในคราวเดียวกันแม้ว่าจะไม่มีน้ำตาสักหยดให้ไหล


“ปู่บอกแล้วใช่ไหมว่าให้ระวัง...ทำไมไม่ฟังกันบ้างหึเจ้าที”


ร่างสูงถอยออกมาเพื่อให้ญาติใช้เวลาทำใจอย่างที่ควรเป็น เขาสั่งบุรุษพยาบาลถึงขั้นตอนที่จะต้องแจ้งชายแก่ให้ดำเนินการต่อไปส่วนตัวเขาเองคงจะต้องกลับไปประจำการเพื่อรอคนไข้รายใหม่เหมือนเช่นทุกครั้ง กันต์ชนกพาร่างที่อ่อนล้าเดินไปยังลิฟต์ตัวเก่าแทนการใช้บันไดที่ติดเป็นนิสัย แต่แล้วในทันทีที่ประตูเปิดออก เขาก็ต้องชะงักไปเพราะคนที่ยืนนิ่งอยู่ตรงกลางกล่องลิฟต์นั่น


“คะ คุณ...เป็นอะไรรึเปล่าครับ”


เขามองร่างที่สูงพอๆกับตนแต่ไหล่ลาดนั้นกลับลู่ลงเสียจนทำให้ดูตัวเล็กไปถนัดตา ผิวกายซีดขาวราวกับไร้เลือดหล่อเลี้ยวบวกกับดวงตาบวมช้ำทำให้นายแพทย์หนุ่มเผลอคิดไปว่าคนตรงหน้าเป็นสิ่งลี้ลับที่พวกพยาบาลชอบล้ำลือกันหากแต่แผ่นอกที่ขยับเข้าออกแล้วอาการส่ายหน้าแทนคำตอบนั้นทำให้กันต์ชนกรู้ว่าเขาคือคนไม่ใช่ผี


“ห้องดับจิต...ไปทางไหน”


“เออ เลี้ยวตรงสุดทางนี้ก็ถึงแล้วครับ”


ไม่มีการขอบคุณหรืออะไรทั้งนั้น ร่างที่ไร้เรี่ยวแรงก้าวผ่านเขาไปโดยไม่มีแม้แต่จะเปรยตามองด้วยซ้ำ ชายหนุ่มได้แต่นึกเกรงในความประหลาดนั้นแต่ก็ได้ไม่นาน เขากลับขึ้นไปชั้นบนโดยที่มีแต่เรื่องวุ่นวายของวันนี้อยู่ในหัว ร่างสูงทักทายเหล่าพยาบาลบางส่วนที่เตรียมตัวกลับบ้านตลอดทางไปยังห้องพักที่อยู่ตรงสุดทางเดิน แต่ก่อนที่เขาจะไปถึง ร่างท้วมของหญิงวัยกลางคนคนหนึ่งก็เดินมาดักเขาไว้เสียก่อน


“อ้าวป้านิ มาทำอะไรที่นี่ครับ”


“พาน้องพิมพ์ใจมาหาคุณพ่อค่ะ เห็นมืดแล้วยังไม่ยอมกลับซะที”


เธอชูร่างในอ้อมแขนไปตรงหน้านายแพทย์หนุ่มที่ยิ้มออกเป็นครั้งแรกของวัน กันต์ชนกรับร่างนุ่มนิ่มของลูกสาววัยสองเดือนเศษมาอุ้มไว้ตรงอกก่อนจะฝังจมูกโด่งลงบนแก้มนวลที่เป็นก้อนกลมไม่ต่างจากคนเป็นแม่


“น้องพิมพ์เป็นยังไงบ้างคะ คิดถึงป๊าไหมลูก”


เด็กน้อยพ่นน้ำลายใส่แทนคำตอบจนผู้ใหญ่ทั้งสองต่างก็หัวเราะร่ากับความน่ารักของเจ้าตัวเล็กที่ทำไปโดยไม่รู้ประสา กันต์ชนกอุ้มพาลูกสาวของตนและพี่เลี้ยงเด็กที่จ้างไว้ให้ดูแลเข้ามาในห้องพักก่อนจะส่งเด็กน้อยพิมพ์ใจไปให้พี่เลี้ยงอุ้มต่อ


“ช่วงสิ้นปีอย่างนี้แย่เลยนะคะ คงไม่ได้กลับบ้านกลับช่องอีกตามเคย”


“อย่างนี้แหละครับป้า แต่คิดว่าพรุ่งนี้คงได้กลับ”


“หรอคะ ดีจัง น้องพิมพ์จะได้นอนกลับคุณพ่อแล้วนะลูก ดีใจไหม”


“ไหนๆ มาให้ป๊าอุ้มหน่อยสิคะ”


ชายหนุ่มยิ้มอ่อนเมื่อเห็นเด็กสาวชูมือขึ้นกลางอากาศราวกับว่าตัวเองฟังรู้เรื่อง เขาเดินไปรับร่างของพิมพ์ใจมาอุ้มไว้แทนทันทีที่เปลี่ยนเสื้อตัวนอกเสร็จ ทันทีที่ผิวกายนุ่มได้สัมผัสตัวเขาก็พาลนึกถึงเด็กอีกคนที่เพิ่งลืมตาดูโลกได้เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้โดยที่เด็กคนนั้นคงไม่มีวันได้อยู่ในอ้อมกอดของบิดาเหมือนกับลูกของตน


“หมอกันต์เป็นอะไรคะ ทำสีหน้าไม่ดีเลย”


“ไม่เป็นอะไรครับ แค่รู้สึกแย่นิดหน่อย”


กันต์ชนกเล่ารายละเอียดคร่าวๆให้หญิงพี่เลี้ยงฟังโดยละในส่วนที่ความปกปิดข้อมูลไว้ตามจรรยาบรรณแพทย์ ตลอดการสนทนาร่างท้วมตรงหน้าก็เอาแต่ยกมือขึ้นปิดปากราวกับแทบทนไม่ได้เมื่อได้ฟังเรื่องของโศกนาฏกรรมที่เขาเพิ่งเจอมา


“คุณพระช่วย เวรกรรมแท้ๆ”


“น่าสงสารนะครับ ถ้าแม่เด็กสู้ไม่ไหวอีกคน เจ้าตัวเล็กนั่นคงแย่”


“นั่นสิคะ...ดันมาเกิดเหตุพร้อมกันทั้งสองคนแบบนี้”


เธอครวญแล้วมองไปยังเด็กน้อยที่เริ่มปรือตาลงเมื่อได้รับไออุ่นจากอกของพ่ออันเป็นที่พักพิงเดียวที่เคยได้รับ หมอหนุ่มเค้นยิ้ม เขารู้ดีว่าหญิงพี่เลี้ยงต้องการจะพูดอะไรเพราะครอบครัวของเขาเองก็เพิ่งผ่านประสบการณ์ที่ไม่ต่างกันมากนัก


“อาจฟังดูเลวร้าย แต่เพราะเรื่องวันนี้ทำให้ผมมีกำลังใจที่จะอยู่ดูแลลูกต่อไป”ถ้าผมตรอมใจตายตามอ้อมไปอีกคน...น้องพิมพ์คงไม่ต่างจากเด็กคนนั้น”


ร่างสูงนึกถึงภรรยาที่เสียไปหลังจากที่ให้กำเนิดบุตรสาวเพราะร่างกายเล็กๆนั้นอ่อนแอเกินจะรับไหว กันต์ชนกใช้เวลาอยู่เกือบเดือนกว่าจะตั้งหลักใหม่ได้ทั้งหมดก็เพียงเพื่อเป็นเสาหลักให้ครอบครัวที่เพิ่งโดนพายุร้ายเข้าถาโถมให้สามารถอยู่ต่อไปได้แม้จะสูญเสียหัวใจของบ้านไปแล้วก็ตาม


“ผู้หญิงคนนั้นต้องรอดค่ะ ป้าเชื่อว่าเธอจะต้องรอด”


“ครับ ผมเองก็จะพยายามเหมือนกัน น้องพิมพ์ก็เป็นกำลังใจให้ป๊าด้วยนะลูก ป๊าจะได้มีแรงไปช่วยคุณน้าคนนั้นนะคะ”


กันต์ชนกพูดหยอกล้อกับลูกสาวที่ตกสู่ห้วงนิทราไปเป็นที่เรียบร้อย โดยที่ไม่รู้เลยว่าหลังจากนี้ชีวิตของเขาจะต้องมาผูกผันช่วยเหลือหญิงสาวคนนั้นเหมือนเช่นกับวาจาที่เขาได้ลั่นเอาไว้



:ling1:(มีต่อเม้นต์ล่าง) :ling1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-10-2015 19:35:59 โดย vivacestory »

ออฟไลน์ vivacestory

  • Mare Mara
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1
 

“พะแพง...ตายไปแล้ว”


เท้าของนายแพทย์หนุ่มชะงักทันทีเมื่อได้ยินชื่อคนไข้ที่ตนให้การรักษาถูกเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเรียบนิ่งจากชายแก่คนนั้น เขาถอยหลังกลับมาทันทีก่อนจะเหลือบมองผ่านกระจกห้องไอซียูที่พอจะมีเงาสะท้อนกลับมาให้เห็นบ้าง เขาเห็นชายแก่ผู้เป็นญาติของหญิงสาวคนนั้นกำลังยืนเผชิญหน้าอยู่กับผู้ชายคนหนึ่งที่ยืนหันหลังอยู่ทำให้เขามองไม่เห็นหน้า แต่เพราะคำพูดแปลกๆและบรรยากาศตึงเครียดที่แผ่ออกมาทำให้กันต์ชนกไม่กล้าเดินเข้าไป


“หมายความว่ายังไง...ที่บอกว่าตายไปแล้ว”


“พะแพงอ่อนแอ หลานปู่ทนไม่ไหวแล้วกาล”


เหมือนกับไม่อาจฝืนรักษามาดนิ่งไว้ได้ เสียงที่เคยฟังดูมั่นคงแกว่งในตอนท้ายจนทำให้หมอหนุ่มเผลอคิดว่าท่าทางนั้นคือความจริงทั้งที่มันไม่ใช่ คนไข้ของเขายังไม่ตาย แม้ว่าจะยังไม่ดีขึ้นแต่ก็ยังถือว่าอยู่ทรงตัวอยู่จนกระทั่งเขาเข้ามาตรวจเมื่อหนึ่งชั่วโมงที่แล้ว


ชายอีกคนทรุดลงทันทีที่ได้ยินแบบนั้น เขายกมือขึ้นกุมหัวของตัวเองไว้ราวกับกลัวว่ามันจะระเบิดออกมาก่อนเสียงร้องไห้ระงมจะดังขึ้นจนคนที่แอบฟังอยู่สะท้อนใจ สภาพของชายคนนี้ไม่ต่างจากเขาเมื่อตอนที่สูญเสียอ้อมใจไป กันต์ชนกจึงคิดไปเองว่าชายหนุ่มคงมีเกี่ยวเกี่ยวข้องที่ลึกซึ้งกับสามีภรรยาคู่นั้น


“ทำไมทุกอย่างต้องเป็นแบบนี้ ฮึก ทำไม!”


“มันไม่ใช่อุบัติเหตุกาล...มันไม่ใช่”


ไม่ใช่แค่คนที่ชื่อกาลจะหยุดนิ่งไป แม้แต่นายแพทย์หนุ่มก็ด้วย เขาเห็นชายแก่คนนั้นหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วกดเพื่อหาอะไรสักอย่างโดยที่เขาไม่สามารถเห็นมันได้จากระยะที่ไกลเช่นนี้ต่างจากชายอีกคนที่เอาแต่จ้องมองไปยังหน้าจอตาไม่กระพริบ


“นี่มัน...”


“ใช่...เป็นพวกมันนั่นแหละ”


“...ผมจะไปฆ่ามัน”


ชายคนนั้นรีบหันหลังกับจนกันต์ชนกที่แอบฟังอยู่ต้องรีบหลบไปอีกทางเพื่อให้ไกลจากสายตาคนทั้งสอง แต่เดินไปไม่ได้นานชายแก่ก็ตรงเข้ามารั้งคนหนุ่มที่เลือดขึ้นหน้าไว้ พร้อมกับพยายามบอกให้อีกฝ่ายมาสติ


“ใจเย็นๆกาล อยากตายรึไง!!”


“ตายก็ตายสิ! แค่นี้ผมก็เหมือนตายทั้งเป็นแล้ว!!!”


จากจุดที่ยืนอยู่ทำให้กันต์ชนกสามารถเห็นชายอีกคนได้อย่างเต็มตา ใบหน้าซีดขาวและดวงตาบอบช้ำไม่ต่างจากเมื่อวานทำให้นายแพทย์หนุ่มจำได้ทันทีว่าเขาเคยเจอชายคนนี้มาก่อน หากแต่ใบหน้าที่เคยติดจะเฉยชากลับบิดเบี้ยวไปด้วยโทสะเสียจนเขาอดที่จะขนลุกไม่ได้


“ไม่ได้นะกาล ถ้ากาลเป็นอะไรไปอีกคนปู่จะทำยังไง!”


“อย่ามาพูดเหมือนห่วงผมหน่อยเลย บางทีถ้าผมตายไปอีกคนปู่คงจะดีใจ!”


ชายแก่หน้าซีดไปถนัดตา มือที่เต็มไปด้วยริ้วรอยปล่อยลงข้างตัวในขณะที่รัตติกาลก็เปลี่ยนท่าทีมาเป็นยืนจ้องมองชายตรงหน้าพร้อมกับเค้นยิ้ม แต่ดวงตาที่เหมือนกับจะแข็งกร้าวกลับแฝงความทรมานบางอย่างไว้ข้างในจนสังเกตได้


“ถ้าคนที่อยู่บนรถคันนั้นเป็นผม ทุกคนคงมีความสุขกว่านี้ใช่ไหม แม้แต่ผมก็คงตายตาหลับไปโดยที่ไม่ต้องรับรู้ว่าตัวเองมันโง่แค่ไหน”


“ปู่รู้ว่าสองคนนั้นทำผิดต่อกาล แต่นทีกับพะแพงเขารักกันจริงๆ”


“แล้วผมล่ะ...ความรู้สึกของผมมันไม่สำคัญเลยใช่ไหมปู่”


“...”


“ทั้งๆที่ผมทุ่มเทให้เขาทุกอย่าง แต่สิ่งตอบแทนที่เขาให้ผมคืออะไร พวกเขาขอให้ผมเชื่อว่าทุกอย่างมันจบไปแล้วผมก็เชื่อ เขาขอให้ผมช่วยอะไรผมก็ทำ แต่นี่มันอะไรปู่...นี่คือสิ่งที่ผมสมควรได้รับจริงๆใช่ไหม”


รัตติกาลปากระดาษที่ตนถืออยู่ใส่ชายตรงหน้าอย่างไม่คิดรักษามารยาท ชายแก่หยิบมันขึ้นมาดูก่อนจะเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ มือของเขาสั่นเทาอย่างควบคุมมันไม่ได้เช่นเดียวกับเรื่องราวต่างๆที่ยุ่งเหยิงเสียจนน่าขัน


“ปู่ไม่เคยรู้”


“งั้นปู่ก็รู้ไว้ ว่าหลานตัวเองทำอะไรกับผมไว้บ้าง”


“...”


“เรื่องเงินผมไม่เสียดาย...แต่ผมเสียใจที่คนที่ผมรักทั้งสองคนทำกับผมแบบนี้”


กันต์ชนกมองภาพที่ชายทั้งสองคนต่างก็ร้องไห้เหมือนกันด้วยความรู้สึกหนักอึ้งจากมุมมองคนละจุด เขาที่พอจะประติดประต่อเรื่องราวต่างๆได้มองดูโศกนาฏกรรมที่หลงเหลือไว้เพียงซากปรักหักพังของคนที่สูญเสียเท่านั้น รัตติกาลปาดน้ำตาพร้อมกับสูดหายใจเข้าปอดแรงๆเพื่อเรียกกำลังที่ขาดหาย ช่วงขายาวเตรียมจะก้าวออกไปแต่คำพูดของชายแก่ก็สามารถรั้งเขาไว้ได้อีกครั้ง


“อย่าไปเลยกาล...ปู่ขอร้อง”


“...”


“ขอให้ปู่ชดใช้ แทนหลานทั้งสองคนเองได้ไหม”


“ไม่มีใครใช้กรรมแทนใครได้ ปู่ก็เหมือนกัน”


“ปู่รู้...แต่ปู่ก็ปล่อยให้กาลกับเหลนของปู่มีชีวิตต่อไปอย่างนี้ไม่ได้”


ร่างโปร่งขมวดคิ้ว ในขณะที่ชายแก่คนนั้นเดินนำรัตติกาลไปอีกทางซึ่งนายแพทย์หนุ่มรู้ดีว่ามันจะนำไปทางไหน ทั้งสองคนพากันเดินผ่านห้องกระจกมากมายไปยังอีกเส้นทางที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและความปลื้มปิติของพ่อแม่ผิดกับทั้งคู่ที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้า


“เด็กในตู้อบทางนั้น...คือลูกของนทีกับพะแพง”


ปู่ชี้ไปยังทารกน้อยตัวแดงแจ๋ที่ดวงตายังไม่สามารถเปิดขึ้นมาดูโลกใบเล็กๆของตัวเองได้จึงทำเพียงขยับท่อนแขนเล็กๆนั้นไปมาเท่านั้น แววตาของรัตติกาลวูบไหวอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันไปมองทางอื่นเพื่อปิดบังความรู้สึกในใจ


“ปู่มันก็ไม่ต่างจากไม้ใกล้ฝั่ง คงไม่มีกำลังจะปกป้องใครได้อีกแล้ว”


“...ปู่คิดจะทำอะไร”


 “ทำในสิ่งที่เห็นแก่ตัวอย่างถึงที่สุด”


“...”


“ปกป้องเด็กคนนั้น...แทนปู่ด้วย”


ใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยยกยิ้ม เขาสบตารัตติกาลก่อนจะหันกลับไปมองเด็กน้อยผู้เป็นเหลนที่เขาหวังเหลือเกินว่าจะเติบโตขึ้นอย่างแข็งแรงได้โดยไม่มีตน ในขณะที่รัตติกาลนิ่งอึ้ง ทั้งความโมโหและงงงวยปะปนกันจนชายหนุ่มไม่สามารถหาคำพูดใดๆมาพูดกับอีกฝ่ายได้


“ปู่จะยกเขาให้เป็นลูกบุญธรรมของกาล”


“ปู่บ้าไปแล้วหรอ...หน้าผมดูเหมือนคนที่ใจดีพอจะอุ้มชูลูกของคนที่ทรยศตัวเองได้ลงรึไง!”


“ใช่...ปู่เชื่อว่ากาลเป็นคนแบบนั้น”


ชายแก่คว้ามือของรัตติกาลมาจับไว้ราวกับจะฝากฝังทุกอย่างไว้ ความอบอุ่นที่แทรกผ่านมาทำให้รัตติกาลไม่กล้าแม้แต่จะสะบัดมันทิ้งไปแม้ในใจจะบอกให้ตัวเองเลิกยุ่งกับครอบครัวนี้สักที


“ทำเพื่อปู่สักครั้ง...เพื่อเด็กคนนั้น และตัวกาลเอง”


“เพื่อผม?”


“ใช่...ปู่เชื่อว่ากาลจะรักเด็กคนนี้เหมือนกับที่เด็กคนนี้จะรักกาล”


รัตติกาลนิ่งไปสักพักก่อนจะหัวเราะออกมาจนคนแถวนั้นหันมามองกันหมด ใบหน้าหวานคมบิดเบี้ยวไปจนกันต์ชนกที่แอบมองอยู่ไกลๆนึกหวาด ดวงตาเรียวรีจิกมองไปยังร่างเล็กๆในตู้อบนั้นอย่างไม่น่าไว้วางใจเช่นเดียวกับริมฝีปากที่ยกยิ้มขึ้นราวกับเป็นผู้ชนะ


“ผมไม่นึกว่าปู่จะทั้งโง่และบ้าได้ขนาดนี้”


“กาล...”


“ถามจริงๆเถอะ เรื่องราวของผมไม่ได้ทำให้ปู่เข้าใจโลกนี้มากขึ้นบ้างเลยรึไง”


ร่างโปร่งหันมาเผชิญหน้ากับคนข้างๆในขณะที่มือก็หยิบเอาโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดโทรออกไปหาใครสักคน


“คุณนเรศช่วยเตรียมเอกสารรับรองบุตรบุญธรรมและหนังสือสัญญาให้ผมด้วย...ใช่...เอามาให้หมดนั่นแหละ”


รัตติกาลวางสายลงก่อนจะหยิบเอามวนบุหรี่ที่พกติดตัวเสมอคาบไว้ในปากโดยที่ไม่ได้จุดไฟ กันต์ชนกรู้สึกได้ถึงอันตรายบางอย่างที่แผ่ออกมาจากชายคนนั้นจนเขาแทบจะไม่อยากยืนฟังเรื่องราวทั้งหมดต่อไปแม้อีกวินาทีเดียว ผิดกับปู่ของพะแพงที่ยังคงยืนหยัดเผชิญหน้าด้วยท่าทางที่ไม่หวั่นเกรงใดๆ


“ปู่รู้ใช่ไหม ว่าผมมันก็ไม่ได้ต่างจากหลานเขยของปู่เลย”


“ไม่หรอก...เธอไม่เหมือนนที”


ร่างโปร่งเลิ่กคิ้วขึ้นแต่ก็ไม่ได้พูดเถียงอะไรทั้งที่ในใจอยากขำจนแทบบ้า รอยแผลเหวอะหวะจากการถูกทรยศทำให้เขาเหมือนคนที่ไม่มีอะไรจะเสียอีกต่อไปแต่ดูเหมือนชายแก่คนนี้จะไม่เข้าใจสถานการณ์เอาซะเลย


“เลิกพูดยอผมได้แล้ว มันไม่ได้ทำให้คนฟังรู้สึกดีขึ้นมาหรอก”


“ทำไมเธอถึงแบบนั้น”


“ก็เพราะว่ามันคือความจริงไง ยิ่งกับสิ่งที่ผมคิดจะทำ”


“...?”


“ผมจะรับเด็กคนนั้นมาเป็นคนของบ้านพัฒนเดชา แต่มีเงื่อนไขอยู่อย่าง”


ดวงตาที่ฝ้าฟางหรี่ลงเมื่อคนหนุ่มเว้นช่องว่างไว้ให้เขาลองจินตนาการถึงข้อแลกเปลี่ยนนั้น รัตติกาลหยิบซิปโป้อันโปรดขึ้นมาก่อนเปิดมันออกปรากฏให้เห็นดวงไฟลูกเล็กๆ เขามองมันอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะปิดมันลงเหมือนสัญญาณว่าหมดเวลา ร่างโปร่งใส่ซิปโป้ของตนลงในกระเป๋าเสื้อเชิ้ตแขนสั้นของชายชราก่อนจะบอกเงื่อนไขของตนออกไปด้วยสีหน้าที่จริงจัง


“ไม่ว่าผมจะทำอะไรหรือมีอะไรเกิดขึ้น พวกคุณจะไม่มีวันได้เขากลับคืนไป”


“...!!!”


“ถ้าคิดจะทำหัวหมอ ผมว่าปู่เล่นด้วยผิดคนแล้ว”


รัตติกาลเผยรอยยิ้มที่แสนร้ายกาจจนคนมองเสียวสันหลัง แววตาที่เคยเต็มไปด้วยความโศกเศร้ามีดวงไฟเล็กๆผุดขึ้นในนั้น


“ปู่ไม่ได้รู้จักผมเลยสักนิด”


ร่างโปร่งถอยออกมาก่อนจะเดินออกไปยังทางเดินหนีไฟทิ้งให้ชายแก่ยืนเคว้งอยู่เบื้องหลัง กันต์ชนกลอบถอนหายใจออกมาเมื่อการแอบฟังของตัวเองได้สิ้นสุดลงโดยที่ไม่มีใครจับได้แต่นอกเหนือจากความโล่งใจนั้นชายหนุ่มกลับเกิดความรู้สึกหนึ่งขึ้นมาแทนที่


“หมอกันต์มาทำอะไรที่นี่คะ”


ร่างสูงสะดุ้งโหย่งเมื่อนางพยาบาลสาวที่คุ้นหน้ากันดีทักขึ้นจนเขาเผลอชนเข้ากับวิวแชร์ที่จอดอยู่ใกล้ๆ เสียงเหล็กกระทบกันดังขึ้นไม่เพียงแค่เรียกสายตาของเหล่าพ่อแม่ให้หันมามองแต่รวมถึงชายแก่ที่ขมวดคิ้วเข้าหากันทันทีที่เห็นท่าทางเลิ่กลักของขายแพทย์หนุ่มที่หลบสายตาของตน


“คุณหมอได้ยินมันหมดแล้วใช่ไหม”


เสียงติดแหบดังขึ้นทำให้กันต์ชนกต้องยอมหันมาเผชิญหน้ากับคนที่เก็บความเศร้าสร้อยไว้ข้างในไม่อยู่ ร่างสูงพยักหน้าน้อยๆก่อนพนมมือขอโทษอย่างไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ แต่แทนที่เขาจะโดนว่า อีกฝ่ายกลับคว้าข้อมือของเขาไว้แล้วออกแรงเพียงเล็กน้อยพาเขาไปยังอีกมุมที่ลับตาคนโดยเฉพาะกับรัตติกาลที่ไม่อยู่ที่ตรงนี้


“ผมมีเรื่องจะขอร้อง”


กันต์ชนกมองคนตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ เขาผู้ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องวุ่นวายทั้งหมดจะช่วยอะไรได้ยิ่งหากมันเกี่ยวข้องกับชายที่ดูน่ากลัวคนนั้นนายแพทย์หนุ่มยิ่งไม่มีความมั่นใจว่าตัวเองจะสามารถต่อกรอะไรฝ่ายนั้นได้เลย


“ช่วยทำให้หลานสาวผมเหมือนว่าตายไปจากโลกนี้แล้วที”

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.


หากไม่นับเสียงของกันต์ชนกแล้วทั้งห้องคงตกอยู่ในความเงียบราวกับป่าช้า นิลเอาแต่จับจ้องไปยังนายแพทย์หนุ่มตลอดเวลา พยายามเก็บรายละเอียดคำพูดทุกคำเช่นเดียวกับฤทธิชาติที่ถึงแม้จะไม่ได้มองดูแต่คนเล่าก็รู้สึกถึงสายตาที่กำลังแสกนไปทั้งร่าง ส่วนอารัณย์ที่รับรู้เรื่องทุกอย่างจากปากของกันต์ชนกมาก่อนหน้าก็ลอบสังเกตกริยาอาการของรัตติกาลที่ไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิมเลยแม้แต่น้อย


“หลังจากนั้นพวกเราก็ทำราวกับว่าพะแพงได้จากโลกนี้ไปแล้ว ผลชันสูตรและใบมรณะบัตรถูกเซ็นด้วยชื่อของผมและเส้นสายของคุณปู่ที่พอมีอยู่บ้าง งานศพถูกจัดขึ้นโดยใช้ศพไร้ญาติเช่นเดียวกับกรณีของรพีที่เอกสารทุกอย่างถูกจัดการผ่านทางทนายของคุณรัตติกาล”


“รวมถึงสัญญาที่บอกว่าพวกคุณจะไม่แย่งรพีไปจากผมด้วย”


ร่างโปร่งพูดขัดขึ้นพร้อมกับมองไปยังนายแพทย์หนุ่มอย่างกดดัน กันต์ชนกลอบกลืนน้ำลายก่อนจะสูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่


“นั่นเป็นเพราะเรารู้มาว่าคุณเลี้ยงรพียังไง”


“ไม่ นั่นเป็นเพราะพวกคุณทรยศจนเคยตัวต่างหาก”


รัตติกาลลุกขึ้นแล้วทำท่าจะเดินออกไปแต่พะแพงที่ยังคงมีน้ำตานองหน้ากลับเดินมาขวางไว้พร้อมกับพูดขอร้องด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทา


“กาล ฮึก พี่ขอร้อง คืนลูกให้พี่มาเถอะ”


“ผมคงทำอย่างนั้นไม่ได้หรอกครับ”


“กาลไม่เห็นใจพี่บ้างเลยหรอ ฮึก พี่รู้ว่าพี่กับทีทำผิดแต่รพีไม่ได้รู้เรื่องอะไรด้วย ถ้าจะล้างแค้นก็ทำกับพี่เถอะ ทำกับพี่คนเดียว ฮือ พี่ขอโทษ”


กันต์ชนกรีบรุดเข้ามารับร่างของภรรยาที่ทรุดตัวลงร้องไห้ราวกับว่าจะขาดใจ อารัณย์มองดูพี่สาวของตนด้วยความเป็นห่วงแต่ในขณะเดียวกันเขาก็รู้ดีว่าภายใต้หน้ากากแสนเย็นชาที่รัตติกาลสวมไว้คนรักของเขาก็กำลังร่ำไห้ไม่ต่างกัน


“มันสายไปแล้วล่ะครับ เพราะผมไม่ได้อยากได้อะไรจากพวกพี่อีกแล้ว”


“...!”


“สิ่งเดียวที่ผมต้องการคือใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ดูแลรพีอย่างที่เคยสัญญากับปู่เอาไว้ แม้ว่าสุดท้ายจะเป็นผมฝ่ายเดียวที่เห็นค่าของมันก็ตาม”


พะแพงส่ายหน้าอย่างไม่ต้องการยอมรับความจริงเหล่านั้น เธอคว้าท่อนแขนของรัตติกาลก่อนจะกอดมันไว้พร้อมกับร้องขอในสิ่งที่เธอเพิ่งรู้สึกว่ามันเห็นแก่ตัวเกินกว่าจะรับไหว แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่อาจทำเป็นเมินเฉยต่อลูกชายได้เหมือนกัน


“พี่ไม่ยอม ฮึก พี่ไม่ยอม!”


“ยอมรับเถอะพี่...เราทุกคนมาถึงจุดที่ไม่อาจหันหลังกลับได้อีกแล้ว ถ้าพี่ยังดึงดันจะเดินทางนี้สามีและลูกของพี่จะทำยังไง”


“...!”


“ถึงแม้เขาจะโกหก แต่กันต์ชนกก็คือคนที่ดูแลพี่มาตลอดหกปีไม่ใช่รึไง แล้วยังพิมพ์ใจอีก...พี่จะทิ้งเด็กคนนั้นแค่เพราะเขาไม่ใช่สายเลือดของพี่หรอ”


หญิงสาวชะงักงันเมื่อรัตติกาลเอ่ยถึงเด็กหญิงที่เธอเข้าใจว่าเป็นลูกของตนมาตลอด หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น พะแพงได้รู้สึกตัวขึ้นมาอีกทีเมื่อครึ่งปีให้หลังภายในบ้านหลังเล็กหลังหนึ่งที่มีผู้ชายอีกคนที่เธอไม่คุ้นหน้ากำลังส่งยิ้มมาให้พร้อมกับเด็กตัวน้อยในอ้อมกอดของชายคนนั้น


“ตอนนั้นพี่ไม่รู้จริงๆ...”


“แล้วตอนนี้ที่พี่รู้ทุกอย่าง พี่รู้สึกยังไงล่ะ”


รัตติกาลพูดทิ้งไว้ก่อนจะแยกตัวออกมาปล่อยให้คนที่ตนเคยเคารพนึกคิดถึงความหมายของสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อถึง ร่างกายที่เหนื่อยล้ามากกว่าที่ตาเห็นทรุดนั่งลงบนม้าหินในมุมหนึ่งของบ้านที่เขาสามารถมองเห็นเด็กน้อยสองคนกำลังเล่นด้วยกันอยู่ไกลๆ ใบหน้าของรพีแดงระเรื่อเพราะแสงแดดเช่นเดียวกับแก้มของเด็กหญิงพิมพ์ใจที่ถูกเลี้ยงมาในฐานะลูกที่พะแพงเข้าใจว่าเป็นลูกของเธอจริงๆ


“คิดอะไรอยู่”


เสียงของอารัณย์ที่เดินตามเขามาดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง รัตติกาลไม่ได้หันกลับไปมองเขาเพียงแค่เขยิบตัวให้นั่งชิดด้านในมากขึ้นจนมีที่เหลือพอที่จะให้ผู้ชายตัวโตอีกคนนั่งเคียงข้างกันได้โดยไม่อึดอัด ร่างสูงจับมือของเขาไว้ก่อนจะยกมันขึ้นจูบเบาๆแทนคำปลอบโยนและคำว่ารักที่อยากตอกย้ำให้รู้สึก แม้ว่าลึกๆข้างในต่างฝ่ายต่างก็ยังเจ็บปวดจากเรื่องราวที่เพิ่งได้ฟังมาก็ตาม


“กำลังคิดอยู่ว่าคุณจะกลับไปทำงานจริงๆของตัวเองเมื่อไหร่ มาเล่นเป็นพี่เลี้ยงเด็กอยู่ได้ตั้งนาน...สนุกไหมอารัณย์”


“ไม่สนุก แต่มีความสุขเพราะมันทำให้ผมได้อยู่กับกาล”


อารัณย์ยิ้มให้อีกฝ่ายทั้งที่ดวงตายังแสดงความรู้สึกผิดออกมาอย่างชัดเจน เป็นอย่างที่รัตติกาลว่า ด้วยเพราะต้องการมาอยู่ใกล้ชิดกับหลานทำให้ร่างสูงต้องเลื่อนกำหนดการเข้ารับตำแหน่งที่บริษัทใหญ่แห่งหนึ่งออกไปแล้วแฝงเข้ามาในฐานะพี่เลี้ยงเด็กที่โรงเรียนของรพีแทน


“แม้ว่าตอนแรกคุณจะเกลียดผมน่ะหรอ”


“ไม่เคยเกลียด แค่ไม่เข้าใจว่าทำไมกาลต้องเอาความแค้นมาลงที่รพี”


“แล้วตอนนี้เข้าใจรึยัง”


“...”


“คุณเห็นบ้านไม้จำลองหลังนั้นใช่ไหม แต่เดิม...ผมกับพี่ทีตั้งใจจะสร้างมันให้เป็นบ้านของเรา”


ศีรษะของรัตติกาลซบลงบนบ่าของอารัณย์ที่ยกมือขึ้นลูบกลุ่มผมนุ่มนั้นเบาๆทันทีที่คนรักหลับตาลงอย่างอ่อนล้า ภายในใจของร่างสูงรู้สึกเหนื่อยเหลือเกินที่ต้องรับรู้เรื่องราวของผู้ชายคนนั้น แต่เขาก็ยังตั้งใจฟังเช่นเดียวกับรัตติกาลที่กลั่นกรองทุกอย่างออกมาด้วยความรู้สึกทั้งหมด


“ผมเป็นคนเลือกว่าอยากมีบ้านอีกหลังไว้พักผ่อนที่จังหวัดลำปาง ส่วนพี่ทีเป็นคนเลือกแบบและจัดการทุกอย่างด้วยตัวเอง เขาเป็นคนให้ผมเลือกผ้าม่าน ผ้าปูที่นอน ในขณะที่เขาเป็นคนเลือกต้นไม้ที่ปลูกไว้รอบๆ พวกปลาในบ่อก็ด้วย เราทำมันทุกอย่างจนเกือบเสร็จสมบูรณ์และตอนนั้นพี่สาวคุณก็กลับมา”


“...”


“เขาบอกกับผมว่ามันไม่มีอะไร ไม่ว่าอดีตเขาจะเคยรักพี่แพงแค่ไหนแต่ปัจจุบันผมคือคนที่เขาอยากอยู่ด้วย ผมบอกตัวเองว่าต้องเชื่อเขา ถ้าผมไม่ยอมปิดตาของตัวเองเมื่อไหร่ผมคงเสียเขาไปแน่ๆ แต่สุดท้ายเมื่อความจริงมาหายใจรดต้นคอ ผมก็ไม่อาจหลอกตัวเองต่อไปได้อยู่ดี”


“เพราะบ้านหลังนั้นใช่ไหม”


“ทั้งใช่...และก็ไม่”


รัตติกาลยันตัวขึ้นก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นโอบกอดอารัณย์ไว้แล้วปล่อยน้ำตาที่พยายามกลั้นไว้ให้รินไหลออกมาจนเสื้อของอีกฝ่ายเปียกชุ่ม แม้แต่ร่างสูงเองก็ต้องแหงนหน้ามองท้องฟ้าที่สั่นไหวไปตามหยดน้ำที่เอ่อคลอในดวงตาของตน


“ผมไม่เคยเสียดายบ้านหลังนั้น  ฮึก แต่ผมอยากได้ความรักที่ทุ่มเทให้มันไปกลับคืนมา”


อารัณย์กอดรัดรัตติกาลที่ร้องไห้ปานจะขาดใจไว้ด้วยกำลังทั้งหมดที่เขามี วินาทีนี้เขายินยอมทำทุกอย่างหากมันจะลบล้างความเลวร้ายในอดีตได้ทั้งที่มันคงไม่มีวัน หากตอนนั้นเขารู้สักนิดว่าภายใต้หน้ากากแสนโหดร้ายของรัตติกาลมีสิ่งใดซ่อนไว้เขาคงไม่ทำ...อารัณย์จะไม่ปล่อยให้ความต้องการของตัวเองย้อนกลับมาทำร้ายทั้งตัวเขาและคนรักในท้ายที่สุด




“ผมขอโทษกาล...ผมขอโทษ”



------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

คุยกับเช่!!


ปมหลักๆถูกคลายไปหมดแล้วคับ :z13: เหลือแค่รอเปิดไพ่ใบสุดท้ายของเช่เพื่อทำให้เรื่องทุกอย่างเข้าที่เข้าทางเท่านั้นเอง (น่าจะเดากันออกเนอะ ฮิฮิ) สามตอนที่ผ่านมาเป็นอะไรที่แต่งแล้วเหนื่อยมากกกกกกก นึกว่าโคนันเหอะ  :katai1: เรื่องต่อไปจะคิดให้น้อยลงกว่านี้ ลำบากมาก อ่านไปอ่านมานิยายเช่นี่มันรวมมิตรชัดๆ มีทุกรสกินแล้วระเบิดบึ้ม 5555  :really2:

สำหรับรวมเล่ม เช่คำนวนไว้คร่าวๆแล้วนะคับ ว่าตอนพิเศษ น่าจะมีให้มากถึง 10 ตอน  :fire: (รวมแล้วประมาน200หน้า) อันนี้อาจจะเปลี่ยนแปลงเพราะต้องรอดูจำนวนหน้าของเรื่องหลักก่อน ถ้าเช่ปิดเรื่องหลักได้ภายใน1000หน้า จากตอนนี้เข้า882หน้าแล้ว ก็จะจัดตอนพิเศษให้อ่านกันจุใจไปเลย มีทั้งตอนที่มาเติมเต็มเนื้อเรื่องส่วนที่ไม่สมบูรณ์นิดหน่อย รายละเอียดเล็กๆน้อยๆที่เช่ข้ามไปแต่ถ้าไม่อ่านก็ไม่มีผลต่อความเข้าใจเรื่องหลักนะคับ เป็นส่วนเติมเต็มที่เพิ่มความอินเท่านั้น แต่ก็นะ ซื้อเถอะ 5555  :hao7:

คนอ่านเยอะขึ้น เม้นเยอะขึ้น แต่เช่มีเวลาอัพน้อยลง T^T เสียใจอะ ขอโทษด้วยนะคับ งานเยอะจริงๆ พยายามจะมาอัพเร็วๆแต่ก็ไม่อยากให้งานไม่เนี้ยบ ขอบคุณจริงๆที่รอและติดตามกันมาขนาดนี้ เหลืออีกแค่โค้งสุดท้ายนิยายเรื่องนี้ก็จะจบแล้ว ไม่รู้จะพูดยังไงเลยกับสิ่งดีๆที่ได้มา เช่จะพยายามทำมันให้ดีจนถึงท้ายที่สุดนะคับ แม้ในหัวจะมีแต่พล็อตเรื่องน้องปูนก็เถอะ (คนอ่านบอก ช่วยเคลียร์เรื่องนี้ก่อนได้ไหม 5555)  :-[


สุดท้ายท้ายสุด.....ใครเรียกคุณตำรวจของเช่ว่า "ชาตี้" 555555555555555555555 ชอบบบบบบบบบบ >///////<  :hao6:



CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Nankoong

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 754
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-5
รอ...รอ...รอตอนต่อไปค่ะ...

สนุก....

ทีมกาลค่ะ

ออฟไลน์ sang som

  • เจ็บจิต!!
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1609
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-6
ค้าง สงสารกาล

ออฟไลน์ kanomjeeb

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 101
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
เมื่อไหร่จะหมดเวรหมดกรรมกันไปสักที :hao5:

ออฟไลน์ imymild

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 354
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
กาลน่าสงสารอ่า

ออฟไลน์ vivacestory

  • Mare Mara
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1
 

44th Night

…Suspicion...
                                       

 

 

 

รัตติกาลมองเหล่าชิ้นส่วนเล็กๆของโมเดลตรงหน้าหลุดออกมาเพราะเขาเผลอทำหลุดมือตอนที่กำลังจะย้ายมันไปตั้งในตู้อีกตัวเมื่อเช้านี้ ร่างสูงถอนหายใจเพราะความเสียดายหอคอยชื่อดังแห่งกรุงปารีสซึ่งเป็นสิ่งที่เขาหลงใหลแม้จะเป็นเพียงของจำลองแต่ความทรงจำจากการไปเที่ยวครั้งนั้นทำให้ชายหนุ่มนึกกนด่าตัวเองที่ช่างไม่ระมัดระวังเอาเสียเลย

 

“นั่งถอนหายใจไปมันก็ซ่อมตัวเองไม่ได้หรอก”

 

ชายหนุ่มอีกคนที่นั่งอยู่ข้างกันพูดขึ้นพร้อมกับหยิบเอาช็อคโกแลตเข้าปาก รัตติกาลเปรยตามองคนที่ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุเมื่อเช้าด้วยความไม่ชอบใจ แต่ก็เลือกที่จะเงียบใส่เพราะไม่อยากทะเลาะกัน

 

“...”

 

“ไม่ตอบอีก แบบนี้งอนชัวร์ๆ”

 

“ถ้าไม่คิดจะทำประโยชน์อะไรก็ไปนั่งที่อื่นเถอะครับ เกะกะ”

 

นทีหัวเราะในลำคอก่อนจะหยิบช็อคโกแลตอีกชิ้นป้อนใส่ปากของแฟนหนุ่มที่บ่ายเบี่ยงจะไม่รับมันแต่สุดท้ายก้อนครีมรสนุ่มนั่นก็เข้าไปละลายอยู่ในปากคอยดับอารมณ์ที่ไม่มั่นคงนั้นให้สงบลงได้ เขานำชิ้นส่วนที่ทำจากโลหะชั้นดีขึ้นมาวางไว้ในมือก่อนจะพิจารณารอยร้าวเล็กๆบนนั้น

 

“อย่าหน้าบึ้งนักเลยน่า เดี๋ยวพี่เอาไปซ่อมให้”

 

“...มันไม่เหมือนเดิม”

 

“งั้นซื้อใหม่”

 

“ไม่เอา...ผมชอบอันนี้”

 

รัตติกาลไม่ได้ยึดติดกับสิ่งของ หากแต่เป็นเรื่องราวต่างๆที่เขาได้พบเจอในช่วงเวลากว่าจะได้มันมาเป็นสิ่งมีค่าที่ไม่อาจหาอะไรมาทดแทนได้

 

“แต่มันพังไปแล้ว ถ้าไม่ซ่อม...กาลก็ต้องทิ้ง”

 

“…!!”

 

“บางทีคนเราก็ถึงจุดที่จะต้องเลือกนะกาล”

 

ร่างโปร่งลอบกลืนน้ำลายก่อนจะหันมามองคนข้างๆที่คอยลูบหัวเขาอย่างปลอบโยนเหมือนเช่นทุกครั้ง นัยน์ตาคมทอดมองคนรักอย่างเอ็นดูก่อนจะหยิบชิ้นส่วนหนึ่งที่หลุดออกมาถือไว้แล้วยื่นมันให้กับรัตติกาลที่ยังคงตัดสินใจไม่ได้

 

“แล้วกาลล่ะ...จะเลือกอะไร”

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

เปลือกตานวลกระพริบน้อยๆเมื่อรู้สึกได้ถึงความอุ่นที่เป่ารดอยู่บนใบหน้า รัตติกาลฝืนลืมตาขึ้นทั้งที่ในหัวยังคิดถึงคำถามของนทีที่ดังวนอยู่ในความฝัน เขาฝังหัวอันหนักอึ้งของตัวเองลงบนอกอุ่นของอารัณย์ที่เอนกายอยู่เคียงข้างก่อนจะถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยล้า

 

“ฝันร้ายหรอกาล”

 

อารัณย์ที่รู้สึกได้ถึงอาการหยุกหยิกของคนรักเอ่ยถามขึ้นทั้งที่น้ำเสียงแหบพร่า รัตติกาลส่ายหน้าน้อยๆก่อนจะพลิกกายที่กำลังก่ายทับร่างสูงเปลี่ยนมาเป็นนอนหงาย เขาก่ายหน้าผากครุ่นคิดถึงสิ่งที่ยังย้ำชัดอยู่ในความทรงจำโดยที่สายตาก็ชำเลืองมองโมเดลหอไอเฟลอันที่ว่าตั้งอยู่ในตู้โชว์ทั้งที่ยังไม่ได้รับการซ่อมแซมหรือซื้อใหม่อย่างที่นทีเสนอ

 

“หน้ามุ่ยเชียว เป็นอะไรรึเปล่า”

 

“ป่าว ปวดหัวนิดหน่อยน่ะ”

 

ร่างโปร่งยันกายขึ้นก่อนจะเดินไปยังโต๊ะตัวเล็กในอีกมุมห้องที่มีเหยือกน้ำวางไว้เป็นประจำและขวดยาที่เจ้าของห้องจัดหามาวางไว้ในระยะหลัง รัตติกาลหยิบเม็ดยาสีขาวออกมาหนึ่งเม็ดก่อนจะกลืนมันเข้าไปโดยอย่างเคย

 

“ช่วงนี้กินยาบ่อยนะกาล ไปหาหมอกันไหม”

 

“ไม่ต้องหรอก แค่เครียดนิดหน่อย...เพราะพี่สาวคุณ”

 

รัตติกาลว่าไปตามความจริงแต่มันกลับทิ่มแทงคนฟังจนไม่รู้จะแสดงสีหน้าออกมาอย่างไร ร่างโปร่งยิ้มมุมปากน้อยๆก่อนจะเดินกลับไปจูบเบาๆที่ไรเคราสากของคนรักพร้อมกับเอ่ยคำขอโทษที่มันช่างไร้น้ำหนักเหลือเกินสำหรับอารัณย์

 

“พี่แพง...มากวนกาลบ่อยหรอ”

 

“ฮ่าๆ ถามเขาสิ คุณเป็นน้องเขานะ”

 

“ตั้งแต่วันนั้น...เราก็ไม่ได้คุยกันอีกเลย”

 

หญิงสาวที่เพิ่งได้เห็นอีกด้านของโลกแสนสวยงามที่อดีตคนรักรังสรรค์ไว้ให้ปวดใจเกินกว่าจะยอมรับความจริง พะแพงมีอาการซึมเศร้าเสียจนกันต์ชนกพี่เขยของเขาเคยโทรมาขอให้อารัณย์เข้าไปพบ แต่เมื่อร่างสูงไปถึงหญิงสาวกลับปฏิเสธทุกทางที่จะต้องเจอกับเขาแต่อารัณย์ไม่นึกโทษใคร...นอกจากตัวเอง

 

“เอาน่า ให้เวลาเขาหน่อย”

 

รัตติกาลพูดเหมือนเรื่องทั้งหมดไม่เกี่ยวข้องกับตัวเอง เขาเข้าไปจัดการอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วปล่อยให้อารัณย์ที่ยังคงสับสนกับท่าทางของคนรักจมอยู่กับความคิดของตัวเองต่อไป ร่างสูงมองแผ่นหลังเปลือยเปล่าคนรักที่เต็มไปด้วยรอยจูบของตนด้วยความพอใจแต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังคงเจือด้วยความกังวลอยู่

 

“พ่อกาลฮะ พ่อกาลตื่นรึยัง”

 

เสียงเจื้อยแจ้วของรพีที่ดังมาจากอีกฝากฝั่งของประตูปลุกร่างสูงออกจากภวังค์ อารัณย์รีบลุกไปปลดล็อคกลอนที่ลั่นไว้ก่อนจะยิ้มรับร่างป้อมในชุดเครื่องแบบเรียบกริบเหมือนทุกวันที่เอาแต่ชะเง้อคอมองหาพ่อของตนเป็นกาลใหญ่

 

“พ่อกาลอาบน้ำอยู่ครับ พีกินข้าวรึยัง”

 

“ยังฮะ พีจะรอกินพร้อมพ่อ”

 

ร่างโปร่งครางรับก่อนจะอุ้มเด็กน้อยที่กางแขนรอไว้แล้วพากันเข้ามาข้างในพร้อมกับจังหวะที่รัตติกาลเปิดประตูห้องน้ำออกมาพอดี

 

“พ่อกาล!”

 

“อ้าว  ทำไมไม่ลงไปกินข้าวล่ะรพี”

 

“พีรอพ่อกาลฮะ”

 

“รอพ่อทำไม เดี๋ยวก็ปวดท้องหรอก”

 

“ไม่ปวดหรอกฮะ ถ้าปวดเดี๋ยวให้น้ารัณย์หายาให้”

 

เด็กชายหันไปหัวเราะคิกคักกับร่างสูงในขณะที่รัตติกาลเอาแต่ขมวดคิ้วเป็นปม เขาส่ายหน้าอย่างปลงๆกับความเอาแต่ใจของลูกชายที่เด่นชัดขึ้นเรื่อยๆในช่วงหลัง แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ถือว่ายังน้อยมากเมื่อเทียบกับเด็กในวัยเดียวกัน

 

“พีครับ สงสัยพ่อกาลโกรธแน่เลย ทำหน้าบึ้งใหญ่เชียว”

 

ร่างป้อมหน้าซีดไปทันตาเมื่อได้ยินแบบนั้น มือเล็กๆที่เกาะเกี่ยวแผ่นหลังของอารัณย์ไว้เขย่าคนตัวโตไปมาด้วยความร้อนใจเพราะเกรงว่าจะเป็นแบบนั้นจริงโดยไม่ทันได้สังเกตเห็นรอยยิ้มกริ่มของอารัณย์เหมือนที่รัตติกาลเห็น

 

“นะ น้ารัณย์ ทำไงดี พ่อโกรธพีจริงๆหรอ”

 

“พีกลัวพ่อกาลโกรธหรอครับ”

 

เด็กชายรีบพยักหน้าแรงๆจนรัตติกาลกลัวว่าคอเล็กๆนั่นจะเคล็ดไปซะก่อน แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงนิ่งเพื่อคอยดูว่าอารัณย์คิดจะทำอะไร

 

“งั้นหอมคุณพ่อเร็วครับ พ่อกาลจะได้หายโกรธ”

 

อารัณย์พยักพเยิดพร้อมกับย่อตัวลงจนรพีสามารถโน้มตัวไปหอมแก้มขาวของบิดาได้ถนัด เด็กชายฝังจมูกรั้นของตนลงบนนั้นก่อนจะสูดลมหายใจเข้าแรงๆจนเกิดเสียงฟอดเบาๆขึ้นเรียกรอยยิ้มของรัตติกาลได้เป็นอย่างดี

 

“พ่อกาล หายโกรธพีนะ”

 

เสียงเล็กๆของลูกชายพูดออดอ้อนเสียจนรัตติกาลลืมว่าเขาไม่ได้โกรธรพีจริงๆ ร่างโปร่งยกยิ้มน้อยๆก่อนจะพยักหน้าให้ร่างป้อมที่มีสีหน้าดีขึ้นทันตา

 

“เย้! น้ารัณย์ พ่อหายโกรธพีแล้ว!”

 

“หรอครับ ดีจังเลยนะ แต่...เฮ้อ”

 

ร่างป้อมที่เพิ่งโห่ร้องด้วยความดีใจไปหยกๆ เงียบลงทันทีที่เห็นว่าสีหน้าของคนที่อุ้มตัวเองไว้นั้นแย่เพียงไร

 

“น้ารัณย์เป็นอะไร”

 

“คือ...พ่อของพีโกรธน้าอยู่น่ะครับ โกรธตั้งนานแล้วไม่ยอมหายสักที”

 

รัตติกาลหุบยิ้มทันทีที่รู้ว่าเจตนาของร่างสูงคืออะไร ดวงตากรุ่มกริ่มของอารัณย์จับจ้องมายังเขาก่อนจะหันไปตีหน้าสลดใส่รพีที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ หนำซ้ำยังเป็นกังวลแทนคนเจ้าเล่ห์ซะอีก

 

“ทำไมล่ะฮะ น้ารัณย์ไปทำอะไรให้พ่อกาลโกรธหรอ”

 

“น้า...โกหกครับ น้าทำให้พ่อของรพีเสียใจ”

 

อารัณย์ตอบรพีด้วยน้ำเสียงที่จริงใจแต่ถึงอย่างนั้นดวงตากลับจับจ้องอยู่ที่รัตติกาลไม่ห่าง ร่างโปร่งเองก็ตั้งใจฟังมันโดยไม่หลบหน้า ฝ่ายรพีพอได้ยินอย่างนั้นก็ทำหน้าบึ้งไม่พอใจแล้วถามอารัณย์ต่อด้วยเสียงติดจะดุนิดๆ

 

“แล้วน้ารัณย์โกหกพ่อกาลทำไม คุณครูบอกว่าโกหกเป็นสิ่งไม่ดีนะฮะ”

 

“ตอนแรกน้าโกหกเพราะอยากอยู่ใกล้ๆพีครับ แต่หลังจากนั้นน้าต้องปิดบังทุกอย่างไว้เพราะอยากอยู่กับพ่อกาลและพี...น้าอยากให้เราทุกคนได้อยู่ด้วยกัน”

 

เสียงของอารัณย์แกว่งไปในตอนท้ายพร้อมกับการกำชับอ้อมกอดที่โอบอุ้มรพีไว้ให้มั่นคงยิ่งขึ้น ดวงตาคมกริบทอดมองคนรักที่ขอร้องให้เห็นใจและเข้าใจเหตุผลที่ตัวเองต้องทำไป รัตติกาลอยากบอกร่างสูงเหลือเกินว่าเขาเข้าใจดีว่าทำไมอารัณย์ถึงต้องปิดบังตัวตนของตัวเองไว้ แต่สิ่งทำให้รัตติกาลผิดหวังและเสียใจคือการที่เขาต้องรับรู้ทุกอย่างผ่านปากของคนอื่น

 

“แล้วน้ารัณย์...จะโกหกอีกไหม”

 

รพีที่พอได้ยินเหตุผลก็ใจอ่อนผิดจากผู้เป็นพ่อ ร่างป้อมถามด้วยน้ำเสียงอ้อมแอ้ม ทั้งสับสนว่าการโกหกไม่ดีแต่สาเหตุที่อารัณย์ให้ไว้ก็ทำให้รพีเขวไม่ใช่น้อย ยิ่งหากทำไปเพราะอยากให้พวกเขาได้อยู่ด้วยกัน ความรู้สึกนั้นมันไม่ต่างอะไรกับเขาเลย

 

“ไม่แล้วครับ น้าจะไม่โกหกอีกแล้ว”

 

“สัญญานะฮะ”

 

“ครับ...สัญญา”

 

พอได้ยินดังนั้นเด็กชายก็ยิ้มร่า รพีป้องมือของตนไปที่หูของอารัณย์ก่อนจะกระซิบบอกแผนการให้คนตัวโตได้ฟัง ฝ่ายรัตติกาลพอเห็นว่าลูกชายตนดูเหมือนจะเป็นใจยอมเข้าข้างคนรักเหลือเกินก็ถอนหายใจออกมา และพาลนึกสงสัยว่าหากวันใดที่รพีโตขึ้นและเข้าใจเหตุการณ์ต่างๆลูกของเขาจะยังเชื่อคำสัญญาของอารัณย์อยู่ไหม

 

“พ่อกาลฮะ หายโกรธน้ารัณย์นะ”

 

รพีที่ขอให้อารัณย์วางตนลงบนตักของบิดา เด็กชายกอดเข้าที่แขนขาวก่อนจะร้องขอรัตติกาลด้วยน้ำเสียงออดอ้อนและดวงตาใสแจ๋ว

 

“กาล หายโกรธผมนะ”

 

อารัณย์จับจองแขนอีกข้างที่ยังว่างเปล่า ใบหน้าคมเข้มวางลงบนบ่าลาดของรัตติกาลทำให้เสียงทุ้มนุ่มของร่างสูงดังขึ้นข้างๆหูจนทำให้เขาต้องพยายามเบี่ยงหน้าหนีลมหายใจอุ่นๆแต่ก็ทำอย่างนั้นไม่ได้เมื่อรพีลุกขึ้นมาทำสิ่งเดียวกันตาม

 

“หายโกรธนะฮะ”

 

 

ฟอด...

 

 

“หายโกรธนะครับ”

 

 

ฟอด...

 

 

แก้มเนียนของรัตติกาลถูกจู่โจมพร้อมๆกันจากคนสองคนที่ดูจะพอใจเหลือเกินเมื่อสังเกตเห็นริ้วเลือดวิ่งขึ้นไปรวมกันบนใบหน้าจนเห็นเป็นเลือดฝาด

 

“เล่นอะไรกันเนี่ย”

 

“ไม่ได้เล่นครับ ง้อแฟนอยู่ แต่ดูเหมือนจะยังไม่ได้ผล...ต้องลองอีกที”

 

อารัณย์สูดความหอมจากผิวกายของคนรักซ้ำๆอยู่แบบนั้นท่ามกลางเสียงหัวเราะคิกคักของเจ้าตัวยุ่งที่แม้จะไม่เข้าใจอะไรแต่เมื่อเห็นบิดาและคุณน้าคนสนิทดูมีท่าทางที่ดีต่อกันก็รู้สึกทั้งดีใจและปลอดภัยในคราวเดียว รัตติกาลพยายามเอนตัวหนีสัมผัสนั้นแต่ร่างสูงก็ยังตามรุกคืบไม่ห่างจนเขาหมดปัญญายอมนั่งเฉยๆให้คนตัวโตพูดขอโทษซ้ำๆแต่ทว่าก็ยังคงหนักแน่นในทุกคำที่เอ่ย

 

“รพีครับ ลงไปบอกป้าจันทร์ให้เตรียมน้ำฝรั่งให้พ่อที”

 

รัตติกาลหันมาวานลูกชายทั้งที่ยังมีอารัณย์คอยคลอเคลียไม่ห่าง รพีทำหน้ายู่เพราะยังอยากอยู่ดูน้ารัณย์ง้อพ่อกาลของตนต่อแต่ก็ยอมพยักหน้าแล้วเดินลงไปข้างล่างตามคำขอของบิดา โดยที่ไม่รู้ว่าร่างโปร่งหวังแค่กันเด็กชายออกไปเท่านั้น

 

“หายโกรธนะกาลนะ”

 

ริมฝีปากอุ่นทาบทับกลีบเนื้อนุ่มของรัตติกาลทันทีที่ประตูบานนั้นปิดลง อารัณย์ช้อนตัวร่างโปร่งให้นั่งลงบนตักของตัวเองพร้อมกับขอร้องด้วยท่าทางที่ไม่ย่อท้อต่ออะไรแม้แต่ความเมินเฉยที่รัตติกาลแสดงออก

 

“หลอกผมยังไม่พอ ยังหลอกลูกผมอีก แบบนี้จะให้เชื่อกันได้ยังไง”

 

“ไม่ได้หลอกรพีสักหน่อย ก็กาลโกรธผมจริงๆ”

 

“หลอกใช้ไง ของถนัดเลยไม่ใช่หรอ”

 

“กาล...”

 

อารัณย์ครางชื่อคนรักพร้อมกับทำหน้าคิดหนัก

 

“อย่าประชดกันแบบนี้ได้ไหม ผมรู้ว่ากาลโกรธแต่ผมก็ไม่อยากให้ทุกวันนี้ของเราแย่ลงกว่าเดิม”

 

“ถ้าปล่อยให้มันเป็นแบบนั้นไปซะ...อาจจะดีกว่านี้ก็ได้”

 

ร่างสูงจับมือของคนข้างกายไว้อย่างแน่นหนาราวกับจะกักขังอีกฝ่ายไว้ ความเมินเฉยระคนเจ็บปวดที่รัตติกาลแสดงออกมาทำให้อารัณย์รู้ได้ทันทีว่าร่างโปร่งกำลังคิดอะไร และนั่นเป็นสิ่งที่เขาจะยอมให้เกิดขึ้นไม่ได้

 

“ไม่ดีหรอก ถ้าเราไม่ได้อยู่ด้วยกันมันจะไปดีได้ยังไง...”

 

“แล้วการที่ต้องอยู่ทั้งที่ไว้ใจกันไม่ได้อย่างนี้มันดีตรงไหน”

 

อารัณย์สะดุดลมหายใจของตัวเองทันทีที่สิ้นคำพูดของคนรัก หากมันเป็นแค่คำพูดที่ทำร้ายใจคนฟังอย่างเดียวก็คงดี แต่เสียงที่สั่นจนจับสังเกตได้ของรัตติกาลนั้นบ่งบอกได้ชัดเจนว่าคนพูดกำลังรู้สึกแบบไหน ร่างสูงจูบลงบนหว่างคิ้วที่ขมวดเป็นปมแน่นของรัตติกาลก่อนจะโอบร่างนั้นไว้ พยายามถ่ายทอดความอบอุ่นของตัวเองละลายน้ำแข็งในหัวใจของรัตติกาลอีกครั้ง

 

“กาลไว้ใจผมได้ ต่อให้กาลจะไม่เชื่อมันแต่ผมจะไม่มีวันทรยศกาลอีก”

 

“ครั้งที่แล้วคุณก็พูดแบบนี้”

 

“แล้วครั้งนี้ผมก็จะพูดเหมือนเดิม”

 

”...”

 

“คงไม่มีอะไรสามารถยืนยันความคิดของผมได้ดีเท่าการกระทำและคำๆนั้น แม้กาลจะไม่อยากฟังแต่ผมจะพูดซ้ำๆและทำให้กาลรู้ว่าผมรักกาลมากแค่ไหน สักวันนะกาล...สักวันผมจะทำให้เรากลับมาเป็นเหมือนเดิมให้ได้ เพราะฉะนั้นต่อให้วันนี้กาลเกลียดผมมากแค่ไหน เราจะต้องไม่ปล่อยมือจากกันนะกาล”

 

รัตติกาลนิ่งอึ้ง เขาจ้องตาอารัณย์อยู่ครู่หนึ่งก่อนถอนหายใจยาวออกมาแล้วซบหน้าลงบนบ่าของร่างสูงที่ยังคงอยู่ตรงนี้เสมอไม่ว่าจะเกิดอะไร ถามว่าเชื่อคำพูดนั้นไหม ก็คงพูดว่าเชื่อได้ไม่เต็มปาก แต่พวกเขาก็ฝ่าฟันอะไรกันมามากจนรัตติกาลสามารถรู้ได้ว่า อารัณย์จะไม่มีวันปล่อยเขาไปจริงๆ

 

“ขอเวลาผมหน่อย...ผมไม่อยากเดินต่อไปข้างหน้าทั้งที่ยังรู้สึกแบบนี้”

 

“ทั้งชีวิตก็ยังได้ ขอแค่กาลไม่ไปไหน”

 

“หึ...นิสัยขี้ตื้อนี่ถอดแบบมาจากปู่ไม่มีผิด”

 

ร่างโปร่งหัวเราะในลำคอก่อนจะถอยออกมา อารัณย์รู้สึกแปลกใจไม่น้อยที่จู่ๆคนรักก็พูดถึงญาติผู้ใหญ่ของเขาที่จากไป จึงเอ่ยปากถามถึงสิ่งที่สงสัยมานาน

 

“กาลสนิทกับปู่หรอ”

 

“อย่าเรียกว่าสนิทเลย เราก็แค่รู้จักกันในฐานะที่ผมเป็นน้องรหัสของพี่แพงน่ะ ตอนที่ยังเรียนอยู่เลยมีโอกาสได้เจอกันเวลาที่ไปส่งพี่แพงที่บ้าน”

 

“หรอ...สงสัยตอนนั้นปู่ยังคงหาผมไม่เจอ”

 

“เป็นอะไร ทำไมทำหน้าแบบนี้”

 

อารัณย์ที่ทำสีหน้าปั้นยากยิ้มแหยออกมาก่อนจะเกาแก้มของตัวเองแก้เขิน ความคิดแบบเด็กๆแล่นเข้ามาในหัวอยู่วูบหนึ่ง แม้จะไม่อยากพูดมันออกไปแต่ก็ไม่อยากจะปิดบังอะไรต่อคนรักอีก

 

“ป่าวครับ...แค่คิดว่าถ้าผมได้เจอกับปู่เร็วกว่านี้ก็คงดี”

 

“...?”

 

“ถ้ามันเป็นแบบนั้น เราคงได้รู้จักกันในสถานการณ์ที่ดีกว่านี้ ผมอาจจะรักกาลก่อนที่กาลจะรักนที ถ้าเป็นแบบนั้น...วันนี้คงไม่มีใครต้องเจ็บ”

 

ร่างสูงพูดไปตามที่ใจคิดพร้อมกับรอยยิ้มที่แฝงความเศร้าไว้ข้างใน รัตติกาลฟังคำพูดนั้นโดยไม่พูดอะไรออกมา เขายันกายลุกขึ้นแล้วจัดเสื้อผ้าที่ยับเป็นริ้วให้เข้าที่เรียบร้อยก่อนจะหยิบเอาผ้าเช็ดตัวสีน้ำทะเลของอารัณย์ไปให้เจ้าของ

 

“ไปอาบน้ำเถอะ เดี๋ยวรพีรอนาน”

 

รัตติกาลพูดทิ้งไว้แล้วเดินออกจากห้องไปโดยพยายามไม่สนใจสายตาเว้าวอนของร่างสูงที่มองมา เขาหยุดอยู่ตรงบ่อน้ำที่หมู่มัจฉากำลังแหวกว่ายอยู่เบื้องล่างพลางคิดถึงความทรงจำเมื่อครั้งหนึ่งเขากับคนรักเคยสร้างร่วมกันไว้

 

“มาทำอะไรอยู่ตรงนี้คะคุณกาล คุณพีรอทานข้าวอยู่นะคะ”

 

จันทร์ที่เห็นคุณหนูของเธอยืนนิ่งอยู่คนเดียวเดินเข้ามาแตะข้อศอกของรัตติกาลเบาๆแล้วพูดทักด้วยน้ำเสียงที่สร้างความสบายใจให้ร่างโปร่งเสมอ ชายหนุ่มพยายามยกยิ้มให้คนเก่าคนแก่ของบ้านแต่ดูเหมือนว่าจันทร์จะรู้จักเจ้านายของเธอดีจนน่ากลัว

 

“ถ้าฝืนไม่ไหวก็อย่ายิ้มเลยค่ะ จะพาลรู้สึกแย่ลงซะเปล่าๆ”

 

“รู้ดียิ่งกว่าตาเห็นอีกนะครับ”

 

“ก็ป้าเลี้ยงของป้ามาแต่เล็ก แค่นี้ดูออกหรอกค่ะ”

 

รัตติกาลหัวเราะเบาๆก่อนจะกอดร่างอวบนั้นไว้แล้วปล่อยให้ความคิดล่องลอยไปในอากาศโดยมีมือของหญิงแก่ลูบเบาๆตามแผ่นหลัง

 

“ทำไมทุกอย่างมันถึงแย่ลงอีกครับป้า...เมื่อไหร่ผมจะมีความสุขจริงๆสักที”

 

“เรื่องคุณอารัณย์หรอคะ”

 

ร่างสูงครางฮือพร้อมกับพยักหน้า จันทร์ที่เห็นสีหน้าไม่สู้ดีนักของรัตติกาลก็หัวเราะออกมาเบาๆเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศไม่ให้แย่ลงไป

 

“ยังโกรธคุณเขาอยู่อีกหรอคะ เห็นคุณพีเล่าให้ฟังนึกว่าคืนดีกันแล้วซะอีก”

 

“...ยังครับ ผมไม่มั่นใจ”

 

“ไม่มีมั่นใจในอะไรคะ คุณอารัณย์ หรือความคิดของตัวเอง”

 

“...”

 

“ป้าเชื่อว่าคุณหนูของป้าเข้าใจว่าคุณอารัณย์มีเหตุผล แต่มันก็ช่วยไม่ได้นี่เนอะ เป็นป้า ป้าก็โกรธค่ะ แต่การที่เขายังยืนอยู่ข้างเราในวันที่ยากลำบาก มันก็เป็นการพิสูจน์ได้แล้วนะคะว่าความรู้สึกที่เขาให้มาไม่ใช่เรื่องโกหก”

 

จันทร์มองเลยขึ้นไปบนชั้นสองเมื่อสังเกตเห็นร่างกายสูงใหญ่ของอารัณย์กำลังยืนอยู่พร้อมกับมองมาเบื้องล่างยังแผ่นหลังกว้างของเจ้านายตน หญิงแก่ยิ้มออกมาน้อยๆเมื่อเห็นความอาทรในตาคู่นั้นเช่นเดียวกันกับรัตติกาลที่ถึงแม้จะแสดงความแข็งกระด้างออกมาแต่ข้างในกลับตรงกันข้าม

 

“บนโลกนี้ไม่มีใครไม่เคยมีความลับ ต่อให้เราคิดว่ารู้จักกันดีแค่ไหนแต่สุดท้ายทุกคนก็มีเรื่องที่ไม่อยากให้ใครรู้ทั้งนั้นไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม แม้แต่คุณกาลเองก็ด้วยใช่ไหมคะ”

 

ร่างโปร่งเลิ่กคิ้วขึ้นก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆเมื่อเขาไม่สามารถปิดบังอะไรหญิงคนนี้ได้เลยจริงๆ คนที่ผ่านโลกมามากมองเจ้านายของตนด้วยความรักก่อนจะลูบเบาๆที่ใบหน้าของรัตติกาลที่อ่อนล้าเหลือเกิน

 

“ไม่ว่าจะความสุขหรือทุกข์มันอยู่ที่เราเลือกจะมองให้มันเป็นแบบไหน แม้ว่าทุกอย่างจะยังไม่ลงตัวแต่ป้าก็เชื่อว่าคุณกาลสามารถมีความสุขกับวันนี้ได้หากอยากจะทำ ก็เชื่อใจใครสักคนก็เหมือนกัน อย่ามัวแต่ตั้งคำถามเลยนะคะ” 

 

“แล้วผมจะแน่ใจได้ยังไง...ว่ามันจะไม่พลาดอีก”

 

“แล้ววันนี้กับสิ่งที่เลือก คุณกาลมีความสุขรึเปล่าล่ะคะ”

 

หญิงแก่ยิ้มส่งท้ายก่อนจะเดินออกไปให้นายของเธอใช้เวลาทบทวนความคิดของตัวเอง ร่างโปร่งถอนหายใจคิดหนัก เขารู้ดีว่าสิ่งที่ควรทำคืออะไรแต่ถึงอย่างนั้นบาดแผลจากความเชื่อใจยังคงทำให้เขาไม่กล้าที่จะเดินต่ออย่างที่ใครๆว่า

 

 

“ขอเวลาผมหน่อยแล้วกันนะอารัณย์ ถ้าเกิดมัน...ไม่สายเกินไป”





:z6:(มีต่อเม้นต์ล่าง) :z6:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-10-2015 18:47:38 โดย vivacestory »

ออฟไลน์ vivacestory

  • Mare Mara
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1
 

 

นิลคิดว่าตัวเองเป็นคนที่มีความอดทน โดยเฉพาะเวลาต้องรอใครเป็นเวลานานๆแต่เมื่อได้เห็นแก้วกาแฟห้าใบที่ถูกวางทิ้งไว้จนอากาศด้านนอกควบแน่นกลายเป็นหยดน้ำ ชายหนุ่มก็พึงสังวรได้ว่าความอดทนของเขาคงสู้ไม่ได้เลยกับความรั้นของหญิงสาวอย่างพะแพง

 

“นั่งก่อนสินิล”

 

หญิงสาวเอ่ยกับชายหนุ่มรุ่นน้องที่เธอนั่งรอมาตั้งแต่เช้า อีกฝ่ายถอนหายใจก่อนจะนั่งลงตามคำเชิญอย่างไม่อิดออด ชายหนุ่มโบกมือเรียกบริกรที่ยืนทำหน้าประหลับประเหลือกอยู่ไม่ไกล นิลสั่งให้เด็กหนุ่มเก็บแก้วกาแฟที่ไม่พร่องลงไปเลยของหญิงสาวรุ่นพี่ทิ้งก่อนจะสั่งกาแฟร้อนแก้วใหม่มาแทน

 

“พี่แม่งดื้อขึ้นเยอะเลยว่ะ ผมบอกแล้วไม่ใช่หรอว่าวันนี้ติดงานจริงๆ”

 

“ไม่เป็นไร พี่รอได้”

 

“แล้วออกมานี่คุณกันต์เขารู้รึเปล่า หรือว่าพี่หนีมาอีกแล้ว”

 

นิลพูดอย่างเอือมระอา เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พะแพงพยายามมาพบเขาแม้ว่านั่นหมายถึงการที่ต้องทิ้งสามีและลูกไว้ยังบ้านที่ต่างจังหวัดก็ตาม หญิงสาวหลบสายตาตำหนิของหนุ่มรุ่นน้องจนนิลต้องยอมเป็นฝ่ายล่าถอยออกมาก่อนเพื่อไม่ให้เธอกดดันจนเกินไป ร่างสูงรับกาแฟแก้วใหม่ที่มาพร้อมกับขนมเค้กชิ้นเล็กสองชิ้น เขาเลื่อนมันไปตรงหน้าพะแพงที่คงไม่มีอะไรตกถึงท้องมาตั้งแต่เช้า

 

“ขอบใจนะ”

 

“ไม่เป็นไร แต่ถ้าทำได้ผมอยากขอให้พี่เลิกทรมานตัวเองซะที...พี่เอาชนะกาลมันด้วยวิธีแบบนี้ไม่ได้รู้ใช่ไหม”

 

“แล้วนิลจะให้พี่ทำยังไง กาลไม่ยอมคืนลูกให้พี่ อารัณย์ก็ไม่ยอมช่วย พี่คิดถึงลูกจนแทบทนไม่ไหว แค่ขอกันต์ว่าอยากมาเจอหน้ารพีเขาก็ไม่ให้มา ไม่มีเลย...ไม่มีใครเข้าใจพี่สักคน”

 

พะแพงพูดด้วยท่าทางทุกข์หนัก นิลมองมือที่จิกกันแน่นของหญิงสาวด้วยความกังวลใจก่อนจะยื่นมือออกไปช่วยคลายมันออกจากกัน

 

“คุณกันต์เขาเป็นหมอมีหน้าที่รับผิดชอบต้องทำ จะให้เขาทิ้งงานที่นู้นแล้วพาพี่มาเฝ้าตามไอ้กาลได้ยังไง แล้วไหนจะน้องพิมพ์อีก พี่เคยคิดบ้างไหมว่าถ้าเด็กคนนั้นรู้ ว่าพี่ทิ้งเขามาหารพี เขาจะรู้สึกแย่แค่ไหน ผมรู้ว่าพี่รักรพีนะ แต่อย่าลืมสิว่าก่อนหน้าที่จะรู้ความจริง พิมพ์ใจก็คือลูกที่พี่รัก"

 

“พี่รักพิมพ์ รักยังไงก็ยังคงรักอย่างนั้น ฮึก แต่พี่ทิ้งรพีไม่ได้ ลูกพี่ไม่สมควรอยู่ที่นั่น กับกาลที่เกลียดพี่กับทีขนาดนั้น พี่ปล่อยให้กาลเลี้ยงรพีต่อไปไม่ได้”

 

หญิงสาวร้องไห้ออกมาจนนิลต้องส่งผ้าเช็ดหน้าของตนเองให้ ชายหนุ่มมองใบหน้าสะสวยที่ครั้งหนึ่งเคยเต็มไปด้วยรอยยิ้มแต่บัดนี้กลับโศกเศร้าไม่ต่างจากรัตติกาลในตอนที่ยังจมอยู่กับอดีตก่อนจะมีอารัณย์เข้ามา นิลได้แต่คิดไปเองในใจว่าหากวันนี้เพื่อนของเขาไม่มีคนรักอยู่เคียงข้าง คนที่จะมาร้องไห้ฟูมฟายกับเขาคงเป็นรัตติกาลไม่ใช่พะแพงเหมือนในตอนนี้

 

“ผมว่าเรื่องนี้ พี่เป็นคนที่ควรจะเข้าใจไอ้กาลมากที่สุดนะ”

 

“...!!!”

 

“จริงอยู่ที่ตอนแรกมันเคยทำไม่ดีกับรพีไว้ แต่นั่นก็เป็นเพราะทิฐิที่ทำให้มันไม่อยากจะยอมรับหัวใจตัวเอง แต่ตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว ไอ้กาลมันก็รักรพีเหมือนที่พี่รักพิมพ์ใจถึงแม้จะไม่ใช่ลูกแท้ๆของตัวเองก็เถอะ”

 

“แล้วพี่ล่ะ ฮึก พี่เป็นแม่แท้ๆของรพีนะนิล เวลาหกปีที่เสียไปไม่ทำให้พี่รักเขาน้อยลงเลย ทันทีที่พี่รู้ว่าลูกแท้ๆของตัวเองคือใคร พี่ดีใจแค่ไหนนิลรู้รึเปล่า”

 

“ผมรู้แต่ที่สำคัญที่สุด...คือรพีรักไอ้กาล”

 

ความจริงข้อนั้นคือสิ่งที่ทำให้พะแพงคับแค้นใจมากที่สุด เธอยังจำภาพที่รพีรีบวิ่งเข้าไปหารัตติกาลทันทีที่เห็นหน้าแต่กลับเลือกที่จะเมินเธอ หนำซ้ำยังดูกลัวเธอซะอีก หัวใจคนเป็นแม่ที่อุ้มท้องลูกมารวดร้าวอย่างหนัก แม้รู้ดีว่าความผิดที่เธอกับนทีทำกับรัตติกาลไว้จะใหญ่หลวง แต่ราคาที่ต้องแลกมาด้วยลูกชายหนึ่งคนมันมากเกินกว่าที่พะแพงจะรับได้ โดยเฉพาะเมื่อเธอไม่ได้เป็นคนตัดสินใจแลกมัน

 

“พี่จะฟ้องกาล”

 

“ปู่ของพี่พยายามแล้วแต่ก็ล้มเหลว อารัณย์กับคุณกันต์ก็บอก”

 

“แต่นั่นมันในกรณีที่เราไม่มีหลักฐานว่ากาลทำไม่ดีกับรพีแค่ไหน”

 

เสียงของพะแพงเปลี่ยนไปจนนิลเริ่มรู้สึกกังวล ดวงตาที่เคยอ่อนโยนสะท้อนความโกรธเกรี้ยวออกมาโดยที่สาวเจ้าเองก็ไม่รู้ตัว

 

“พี่จะทำให้เรื่องทุกอย่างแย่ลง”

 

“มันคงไม่มีอะไรแย่ไปกว่าพี่เสียรพีไป”

 

“มีสิ...นั่นคือการที่พี่ไม่เหลืออะไรเลย ถ้าพี่ทำ ทั้งรพี คุณกันต์ พิมพ์ใจ อารัณย์ ไอ้กาล พี่จะสูญเสียพวกเขา...และแม้แต่ผมก็ด้วย”

 

พะแพงกัดริมฝีปากของตัวเองแน่นก่อนจะจับมือของหนุ่มรุ่นน้องขึ้นมา เธอซบใบหน้าของตัวเองลงบนนั้นแล้วปล่อยให้น้ำตาแห่งความขับแค้นใจให้ไหลรินจนไหล่บางของเธอสั่น นิลอยากจะปลอบโยนพะแพงมากกว่านี้แต่เขาก็ทำมันไม่ได้

 

“ทำไมเรื่องมันต้องเป็นแบบนี้ พี่แค่อยากได้ลูกคืน ขอแค่ความยุติธรรมให้พี่ทำไมทุกคนถึงให้ไม่ได้”

 

“นั่นก็เพราะว่าทุกคนต่างก็ต้องการมันเหมือนกัน พี่ไม่เหนื่อยบ้างหรอ พวกเราทำร้ายกันมามากเกินไปแล้วนะ หยุดได้แล้วพี่แพง”

 

หญิงสาวโผเข้าหานิลก่อนจะปล่อยโฮออกมา นิลลูบเบาๆไปตามแผ่นหลังเล็กนั่นพร้อมกับพร่ำบอกให้คนในอ้อมแขนหายใจเข้าลึกๆเหมือนที่เคยทำทุกครั้งที่พะแพงมาหาเขาพร้อมกับร้องไห้หลังจากรู้ว่านทีนอกใจเธอยังไง

 

“อย่าทิ้งพี่ไปนะนิล ฮึก นิลจะทิ้งพี่เหมือนกับคนอื่นไม่ได้ พี่ไม่เหลือใครแล้ว”

 

“พี่นี่นะ...เอาแต่ใจเหมือนเคยเลย”

 

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

 

 

นิลถอนหายใจยาวขณะยืนรอพะแพงเข้าไปล้างหน้าในห้องน้ำ หลังจากที่ปล่อยให้หญิงสาวร้องไห้ออกมาจนหมดร่างสูงก็จัดการจ่ายเงินและทิปให้บริกรก่อนจะพาพะแพงที่ตาบวมแดงเข้ามาจัดการตัวเองเสียใหม่ส่วนเขาก็มายืนรอด้านนอกพร้อมกับขบคิดเรื่องราวต่างๆไปด้วย

 

“ทำไมไม่รับสายวะ”

 

ชายหนุ่มสบถเบาๆเมื่อคนที่เขาพยายามต่อสายหาไม่ยอมรับโทรศัพท์สักที นิลกดโทรออกอีกครั้งพร้อมกับมองไปรอบๆอย่างเบื่อหน่ายก่อนจะสังเกตเห็นคนคนหนึ่งเข้า ชายคนนั้นหยิบมือถือไว้ในมือแต่ไม่มีวี่แววจะกดรับแต่อย่างใดทำให้คนที่กระหน่ำโทรหาเป็นบ้าเป็นหลังรู้สึกหงุดหงิดไม่น้อย

 

“กวนตีนแล้วแม่ง”

 

นิลมองกลับไปยังห้องน้ำอย่างลังเล แต่ก็คิดว่าคงใช้เวลาไม่นานเขาจึงเดินไปยังทางที่ฤทธิชาติเดินไป แผ่นหลังกว้างภายใต้ชุดไปรเวทต่างจากทุกครั้งยังคงเด่นท่ามกลางผู้คนเสมอทำให้นักเขียนหนุ่มสังเกตเห็นได้ไม่ยากนัก แต่ก่อนที่เขาจะได้เอ่ยทักออกไปผู้ชายอีกคนที่เดินมาถึงตัวนายตำรวจหนุ่มก่อนก็ทำให้เท้าของเขาชะงัก

 

“ไอ้กาล...”

 

รัตติกาลในชุดทำงานแต่ไร้เงาของอารัณย์อยู่เคียงข้างกำลังพูดคุยกับผู้หมวดหนุ่มด้วยท่าทางสบายๆไม่ต่างจากฤทธิชาติที่ยิ้มรับเหมือนเช่นทุกครั้ง นิลเดินมาหลบอยู่หลังกำแพงของร้านขายเสื้อผ้าที่อยู่ไม่ไกลจากสองคนนั้นนักโดยที่ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าตัวเองจะมาหลบทำไม แต่ลางสังหรณ์บางอย่างกลับบอกเขาว่าควรยืนดูความเป็นไปอยู่ห่างๆจะดีกว่า

 

“มันมาทำอะไรกันวะ”

 

นักเขียนหนุ่มลองกดโทรศัพท์ของตัวเองหาเพื่อนรักที่ยืนคุยกับคนของตนอยู่ไม่ไกล ทันทีที่สัญญาณต่อถึงรัตติกาลก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา นิลสังเกตเห็นแววตาวูบไหวของรัตติกาลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่ร่างโปร่งจะกดรับสายของเขา

 

“ว่าไงนิล”

 

“มึงอยู่ไหนวะกาล”

 

“ทำไม...มีอะไรหรอ”

 

“กูจะเอาต้นฉบับไปให้ดู มึงอยู่ออฟฟิศรึเปล่าเดี๋ยวกูจะเข้าไปหา”

 

“...กูติดประชุมถึงค่ำเลยน่ะ อยากให้อ่านอะไรก็เอาไปให้ที่บ้านแล้วกัน”

 

รัตติกาลบอกตัดบทแล้วตัดสายไปทิ้งให้ความผิดหวังตีตื้นจนนิลรู้สึกแน่นไปทั้งอกอย่างพูดไม่ออก นักเขียนหนุ่มมองภาพของสองคนนั้นเดินเคียงข้างกันเข้าไปยังร้านอาหารอิตาเลี่ยนที่ครั้งหนึ่งเขากับรัตติกาลมักจะมานั่งดื่มกินด้วยกันบ่อยๆเพราะถูกใจกับบรรยากาศผ่อนคลายของทางร้าน แต่บัดนี้ความรู้สึกเหล่านั้นกลับทำให้นิลรู้สึกแย่จนไม่อาจฝืนยิ้มต่อไปได้อีก

 

นักเขียนหนุ่มส่งข้อความขอโทษไปให้พะแพงที่เขาทิ้งไว้ที่ห้องน้ำก่อนจะเดินตามเข้าไปในร้านโดยขอให้บริกรจัดที่นั่งที่ใกล้กับโต๊ะของรัตติกาลให้ในจุดที่มั่นใจว่าสองคนนั้นจะมองไม่เห็นเขา ชายหนุ่มจ่ายทิปเล็กๆให้กับพนักงานคนนั้นแล้วสั่งแค่ไวน์ราคาแพงมาวางทิ้งไว้ แล้วตัวเขาเองก็พยายามตั้งสมาธิทั้งหมดไปกับการฟังว่ารัตติกาลและฤทธิชาติกำลังคุยอะไรกัน

 

“ไม่คิดเลยนะครับ ว่ากาลจะเข้ามาหาผมเร็วขนาดนี้”

 

“อย่ามาเล่นลิ้นเลย คุณเองก็กะเอาไว้แล้วไม่ใช่รึไง”

 

“ฮ่าๆ คุยกับกาลทีไรรู้สึกสนุกชัดมัดเลย ให้ตายสิ”

 

“เลิกนอกเรื่องสักที ตกลงเรื่องที่ผมบอกไปคุณคิดว่ายังไง”

 

นายตำรวจหนุ่มเท้าแขนลงบนโต๊ะพลางยกยิ้มให้รัตติกาลที่มองมาด้วยท่าทีสบายๆไม่รู้สึกกดดันอะไร ผิดกับนิลที่กำก้านแก้วของตัวเองแน่นเสียจนพนักงานที่เดินมารินไวน์ให้กลัวว่ามันจะหักคามือ

 

“เสี่ยงแต่ผมชอบ แล้วผลประโยชน์ที่กาลต้องการล่ะ คืออะไร”

 

“ไม่มีอะไรมาก ขอแค่ประกันความปลอดภัยให้ผมกับลูกก็พอ”

 

“แค่นั้น? แล้วนิลกับอารัณย์ล่ะ”

 

“สองคนนั้น...ไม่เกี่ยวมาตั้งแต่แรกแล้วไม่ใช่หรอ”

 

นิลรู้สึกเหมือนถูกค้อนใหญ่ๆทุบเข้ากลางหัว เสียงของรัตติกาลราบเรียบ ไม่มีแม้แต่อาการสับสนคิดหนักจนเขามั่นใจว่าเพื่อนรักหมายความว่าอย่างนั้นจริงๆ เสียงหัวเราะของฤทธิชาติดังขึ้นเหมือนคมมีดที่กรีดซ้ำจนได้แผล ผู้หมวดเจ้าของสายตาเจ้าเล่ห์ลุกขึ้นก่อนจะก้มลงกระซิบบางอย่างที่ข้างหูของรัตติกาล ท่ามกลางสายตาของนิลที่มองมาพร้อมกับอาการปวดร้าวในใจ

 

“ตามนั้นก็ได้...ว่าแต่คิดจะโกหกนิลไปถึงเมื่อไหร่”

 

“ยังไม่ใช่ตอนนี้ ผมยังรู้สึกสนุกอยู่เลย”

 

“น่าขยะแขยงจริงๆให้ตายสิ ถ้านิลรู้มันคงแหกอกคุณแน่”

 

“แล้วทำไมกาลไม่บอกล่ะครับ ถ้าเป็นกาลจะบอกความจริงทุกอย่างให้นิลรู้ผมก็ไม่โกรธหรอกนะ”

 

รัตติกาลยกยิ้มก่อนจะตอบออกมาด้วยคำที่เหมือนกับการเปิดบาดแผลแห่งความไม่เชื่อใจให้เกิดขึ้นในอกของนักเขียนหนุ่ม นิลมองใบหน้าไร้กังวลของเพื่อนรักที่พอหลังจากพูดเสร็จก็ลงมือทานอาหารตรงหน้าต่อก่อนที่จะส่งข้อความมาหาเขาที่นั่งมองทั้งคู่อยู่ไม่ไกล

 

“ไม่ล่ะ เห็นไอ้นิลมันพล่านบ้างก็สนุกดี”

 

 

 

‘ฝากบอกป้าจันทร์ด้วยว่ากูจะกินข้าวมาจากข้างนอก ไม่ต้องรอนะ’

 

 

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

คุยกับเช่!!!

มาช้าไม่พอ แถมสั้นอีก 55555 ที่เคยบอกไว้ในเฟสว่ามีฉากหวานๆก็มีจริงๆนะฮะ ถึงจะปวดหัวกันตอนท้ายก็เถอะ สาบานว่านี่ไม่ใช่การผูกปมแต่อย่างใด แค่มันนำไปสู่การแก้ปมใหญ่สุดท้ายนั่นแหละ >/////< หลังจากนี้เข้มข้นมาก ใกล้จะจบแล้วจริงๆ ในหัวตอนนี้มีแต่พล็อตเรื่องใหม่และเรื่องต่อๆไป (กำลังคิดว่าจะเขียนนิยายฟิลกู๊ดสักเรื่อง เอาเป็นน้องพีวัยมอปลายกับผู้ชายร่างหมี อ๊ากกกกกกกก โลลิค่อนนนนนน)




ตัวอย่างปก ฉบับ(น่าจะ)สมบูรณ์มาแล้วนะฮะ ออกแนวเรียบหรูเพื่อง่ายต่อการขนเข้าบ้าน (จริงๆคือไม่มีตังจ้างวาดแฟนอาร์ต) 555555 ของแถมน่าจะแน่นอนแล้วว่า เป็นที่คั่นหนังสือ3ลายไม่ซ้ำ + โปสการ์ดจิบิ + ตอนพิเศษ10ตอน แล้วแน่นอนว่ามาพร้อมกับ Boxset ที่เช่ยังคิดไม่ออกว่าจะออกแบบไงดี =3= ยังบอกราคาไม่ได้นะคับ เช่ขอติดต่อเรื่องน้ำหนักกับโรงพิมพ์ก่อน จะเอามาคำนวนค่าขนส่ง เพราะกลับไปบ้านลองเอาหนังสือความหนาประมาน400 3เล่มมารวมกันแม่งหนาและหนักมากกกกกก TT^TT


ช่วงนี้สปีดอัพนิยายเช่ช้ามาก บวกงานอีกเลยมาอัพช้าโคตรๆ ดีใจที่มีทวงถามแต่ก็แอบรู้สึกผิดไปด้วย ขอโทษจริงๆนะฮะ ชีวิตช่วงนี้แม่งพีคจริงๆ ขอบคุณที่รอและติดตามกันมาตลอด อดทนอีกนิดนึงนะ เช่ก็ด้วย^^



ออฟไลน์ Nankoong

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 754
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-5
ทำอะไรกันอีกนะคู่นี้....


รอเสมอค่ะ...ติดเรื่องนี้งอมแงม

รู้สึกสงสารอารัณย์ลึกๆ!!!

ออฟไลน์ กาลณัฐ

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 505
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-2
ปมเอ๋ย จงซับซ้อนยิ่งขึ้น  :hao5:

ออฟไลน์ PK13

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 149
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
โอ้โห~ นี่กำลังจะแก้ปมจริงๆใช่ป่าววววว  ยิ่งอ่านยิ่งค้าง 5555

ออฟไลน์ kanomjeeb

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 101
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ถ้ากาลเล่นอะไีรแผลงๆอีก กระโดดกัดเช่จีิงๆนะ :z6:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
อะไรกันอีกละทีนี่ เห้อ!! เอาให้เจ้บ ให้ทรยศกันไปหมดเรยสินะ

ออฟไลน์ vivacestory

  • Mare Mara
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1
 


45th Night


…Let's play the game...

 

 

 

 

 

 

 

รู้ไหม ทำไมการโดนทรยศถึงได้เจ็บปวดที่สุด?

 

 

นั่นก็เพราะ...มันไม่เคยมาจากศัตรู

 

 

 

 

 

 

 

นิลมองฤทธิชาติที่นั่งอยู่ตรงข้ามกันด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก นายตำรวมหนุ่มที่กำลังคีบเส้นก๋วยเตี๋ยวเข้าปากค้างมือไว้แล้วเลิ่กคิ้วขึ้นเชิงถามว่านิลเป็นอะไร แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาเป็นเพียงแค่ความเงียบเท่านั้น

 

 

นักเขียนหนุ่มก้มหน้าแล้วเขี่ยเส้นในชามของตัวเองไปมา ภายในหัวของนิลมีแต่เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนั้น ทั้งความไม่เข้าใจ สับสนและระแวงทำให้ร่างสูงเหม่อลอยกว่าเคยจนฤทธิชาติแปลกใจ นายตำรวจหนุ่มรวบตะเกียบของตนวางไว้ข้างชามก่อนจะเอ่ยปากถาม

 

 

“เป็นอะไรรึเปล่านิล ท้องอืดหรอ”

 

 

“อืดเหี้ยอะไรล่ะ”

 

 

นักเขียนหนุ่มพึมพำแล้วเริ่มลงมือกินส่วนของตัวเองบ้างท่ามกลางเสียงหัวเราะเบาๆของฤทธิชาติและเสียงโวยวายของผู้คนรอบข้างในตลาด นิลเขี่ยถั่วงอกที่ตัวเองไม่ชอบไปรวมกันไว้ที่ขอบชามโดยมีร่างใหญ่ตักไปกินเหมือนทุกครั้งที่เคยทำก่อนจะนำลูกชิ้นที่ถึงตัวเองจะชอบแค่ไหน ก็ต้องยกให้นิลเป็นของตอบแทน

 

 

“แดกไปเหอะ”

 

 

“ผมให้ครับ ช่วงนี้นิลผอมไปนะ”

 

 

“กูไม่อยากแดก”

 

 

นิลว่าดังนั้นก่อนจะคีบลูกชิ้นของโปรดคืนเจ้าของมันไป ฤทธิชาติมองคนที่ทำตัวแปลกตั้งแต่หลายวันก่อนด้วยความรู้สึกบางอย่าง เขาจัดการคีบลูกชิ้นลูกเดิมไปไว้ในชามของนิลอีกครั้งแต่ก็โดนร่างสูงคีบมันกลับมาคืนให้เหมือนเดิม นายตำรวจหนุ่มจึงตัดสินใจคีบลูกชิ้นเจ้าปัญหาไปจ่อที่ปากของนิลแทน

 

 

“ก็บอกว่าไม่กินไง!”

 

 

ไวกว่าความคิด นิลปัดมือของฤทธิชาติอย่างแรงจนทั้งตะเกียบและก้อนเนื้อกลมๆนั้นตกลงไปที่พื้น หนุ่มใหญ่เชื้อสายจีนผู้เป็นเจ้าของร้านมองมาที่ทั้งคู่อย่างไม่พอใจ จนนิลต้องก้มหัวให้พร้อมกับลุกขึ้นไปจ่ายเงินโดยไม่คิดจะกินส่วนที่เหลือให้หมด ชายหนุ่มพยายามกระพริบตาถี่ๆเพื่อดึงสติที่แตกกระจายของตัวเองให้กลับมา เขาเกลียดตัวเองที่กลายเป็นคนงี่เง่าแบบนี้ แต่เกลียดที่สุดคงเห็นจะเป็นคนบ้าที่เดินตามเขามาโดยไม่คิดจะพูดอะไรสักคำ

 

 

“ถ้าไม่คิดจะพูดอะไรก็กลับบ้านไป เลิกเดินตามกูต้อยๆสักที!”

 

 

นิลหันไปตวาดใส่ฤทธิชาติด้วยท่าทางเกรี้ยวกราด เขารู้ดีว่าการเล่นกับคนคนนี้หากอยากชนะต้องอย่าปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือสมอง แต่นาทีนี้นิลไม่สนอีกแล้ว การกระทำที่นายตำรวจหนุ่มกับเพื่อนของเขาทำร่วมกันทำให้เขาคิดหนัก เขาพยายามปลอบใจตัวเองอยู่นานว่าไม่มีอะไรแต่หัวใจที่มีรอยโหว่กลับไม่สามารถหยุดยั้งอารมณ์ที่ไหลทะลักได้ แล้วก็เหมือนเอาน้ำมันราดบนกองไฟ นิลแทบคุมตัวเองไว้ไม่อยู่เมื่อนายตำรวจหนุ่มกำลังยกยิ้มให้กับท่าทางของเขา

 

 

“แล้วนิลอยากให้ผมพูดอะไรล่ะครับ”

 

 

ร่างสูงคิดคำพูดไม่ออก ความรู้สึกโกรธตีตื้นขึ้นจนเขาเลือกที่จะยัดตัวเองเข้าไปในรถคันหรูโดยไม่สนใจว่าคนที่นั่งมาด้วยกันตอนขามาจะกลับยังไง แต่ดูเหมือนนายตำรวจหนุ่มจะไวกว่า ฤทธิชาติพาตัวเองเข้ามานั่งที่ข้างคนขับด้วยความเร็วพอๆกันก่อนจะตรึงแขนของนิลไว้ไม่ให้หนีไปได้อีก

 

 

“ปล่อยกูไอ้เหี้ย! ถ้าจะมากวนประสาทกันตอนนี้บอกเลยกูไม่สนุก! แล้วก็เลิกยิ้มแบบนี้สัก กูเกลียดมันจะตายแล้ว!”

 

 

สิ้นคำนายตำรวจหนุ่มก็หยุดคำพูดของคนดื้อรั้นไว้ด้วยริมฝีปากอุ่นแต่ทันทีที่นิลตั้งสติได้เขาก็ชกเข้าที่ไหลหนาของอีกฝ่ายเต็มแรงจนฤทธิชาติต้องผละออกไปอย่างไม่เต็มใจ ร่างสูงมองอีกฝ่ายอย่างตัดพ้อ เขารู้สึกเหนื่อยและเบื่อหน่ายกับการกระทำที่เดาไม่ได้ของคนคนนี้เกินกว่าจะทนไหว

 

 

“เลิกเล่นตลกกับกูสักทีได้ไหม”

 

 

“ผมก็ไม่เคยบอกนี่ครับว่ามันตลก”

 

 

นักเขียนหนุ่มยิ้มหยัน ถ้อยคำที่อีกฝ่ายพูดไว้กับรัตติกาลย้อนกลับเข้ามาในหัวตอกย้ำความสับปลับของคนคนนี้ได้อย่างชัดเจน

 

 

“มึงแม่ง...เหี้ย”

 

 

ร่างสูงหันหน้าหนีอีกฝ่ายพยายามทำให้อารมณ์ที่สั่นไหวกลับมามีสติมากขึ้น นิลขืนมือที่ฤทธิชาติคว้าไปจับออกแต่ด้วยเรี่ยวแรงที่ต่างกันมากทำให้การกระทำนั้นไม่ได้ผล คนตัวโตกำมือของอีกฝ่ายไว้แน่นก่อนจะพรมจูบลงบนนั้นอย่างที่เคยทำแต่มันกลับไม่ทำให้นิลรู้สึกอบอุ่นอย่างเคย

 

 

“เป็นอะไรไปครับ ทำไมอารมณ์ไม่ดีขนาดนี้”

 

 

“...”

 

 

“ถ้านิลไม่พูดผมคงไม่รู้”

 

 

“มึงนั่นแหละที่ไม่เคยพูด เป็นมึง...ที่ทำให้กูเป็นบ้าขนาดนี้”

 

 

ฤทธิชาตินิ่งไปนิดก่อนจะยกยิ้มมุมปาก เขายกมือขึ้นเกลี่ยแก้มเนียนของคนข้างๆก่อนจะเอ่ยออกไปด้วยท่าทางไม่รู้ร้อนรู้หนาวเช่นเคย

 

 

“นิลร้อนใจเพราะผมขนาดนี้...รู้สึกดีจังเลย”

 

 

ใบหน้าคมเข้มเคลื่อนมาใกล้ก่อนจะฝากรอยรักเอาไว้ตรงข้อมือของคนตรงหน้า ดวงตาที่เป็นปริศนาเสยขึ้นสบตากับนิลก่อนมันจะหรี่เล็กลงเพราะรอยยิ้มที่เดาทางไม่ได้ของนายตำรวจหนุ่ม

 

 

“’ผมจะบอกนิลก็ได้ แต่ต้องมีอะไรแลกเปลี่ยน ตกลงไหม”

 

 

นิลปัดมือของร่างใหญ่ทิ้งทันทีที่ได้ยินข้อเสนอนั้น ความจริงไม่ว่าสิ่งที่สองคนนั้นปิดบังเขาคืออะไรมันก็ไม่สำคัญเท่ากับความไว้ใจที่เสียไป แต่เมื่อฤทธิชาติแก้เกมเขากลับด้วยวิธีแบบนี้นิลก็เข้าใจได้ทันทีว่าอีกฝ่ายไม่คิดจะบอกเขาเลยสักนิด

 

 

“ถ้าจะไม่บอกก็พูดตรงๆกูเบื่อเกมบ้าบอของมึงเต็มทีแล้ว”

 

 

แต่ยังไม่ทันที่ฤทธิชาติจะได้เอ่ยปากพูดต่อโทรศัพท์ของผู้หมวดก็ดังขึ้นพร้อมกับชื่อของรัตติกาลที่โชว์หราอยู่บนหน้าจอ นิลขบกัดริมฝีปากของตัวเองแน่น ไม่คิดเลยว่าจะมีวันที่เขารู้สึกแย่เมื่อได้เห็นชื่อเพื่อนรัก ร่างสูงเงยหน้าขึ้นสบตากับเจ้าของโทรศัพท์ที่ยังคงไม่รับสายแล้วพูดออกไปด้วยน้ำเสียงเย็นๆ

 

 

“ทำไมไม่รับล่ะ มีอะไรที่กูไม่ควรได้ยินรึไง”

 

 

“นิลเป็นอะไร นี่เบอร์กาลนะครับ”

 

 

ร่างใหญ่มองสีหน้าเจ็บปวดที่อีกฝ่ายแสดงออกมาโดยไม่รู้ตัว นิลกระพริบตาถี่ๆก่อนจะสตาร์ทรถและขับตรงไปยังทางกลับคอนโดของนายตำรวจหนุ่มที่ยังคงมองคนข้างกายด้วยความสงสัยแต่ก็รู้ดีว่าไม่ควรตามจี้นิลมากไปกว่านี้ ทันทีที่พวกเขามาถึง นิลก็ปลดล็อคพร้อมกับหยิบเอาของของอีกฝ่ายจากเบาะหลังก่อนจะยื่นให้โดยที่ไม่แม้แต่จะมองหน้ากัน

 

 

“กูกำลังจะเปิดเรื่องใหม่ อยากอยู่คนเดียวสักพัก”

 

 

“จะเปิดเรื่อง หรืออยากหนีผมกันแน่ครับ”

 

 

“...”

 

 

 “เอาเถอะ รอให้ใจเย็นกว่านี้แล้วกัน”

 

 

ฤทธิชาติถอนหายใจแล้วก้าวลงจากรถ ทันทีที่เขาปิดประตูนิลก็เร่งเครื่องขับออกไปทันทีโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมา นายตำรวจหนุ่มมองคนที่จากไปด้วยความไม่สบายใจเช่นเดียวกับนิลที่แทบประคองสติตัวเองไว้ไม่ไหวจนต้องเลี้ยวเข้าจอดในปั้มน้ำมันที่อยู่ถัดไปไม่ไกลนัก

 

 

“ทำไมมึงเป็นแบบนี้วะนิล แบบนี้มันไม่ใช่มึงเลยนะเว้ย”

 

 

ชายหนุ่มพูดกับเงาของตัวเองที่สะท้อนในกระจกแล้วพยายามยิ้มให้มันแต่กลับดูฝืนเสียจนน่าขัน เขาหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมาเปิดอ่านข้อความที่ร่างใหญ่ส่งมาหลังจากลงจากรถไปไม่นาน มันเป็นเพียงข้อความแสดงความห่วงใยเหมือนกับที่ถูกส่งมาในทุกๆวันตั้งแต่วันแรกที่เจอกัน วันที่เขาไม่คิดจะตอบข้อความของอีกฝ่าย วันที่เขาเริ่มตอบกลับไปเป็นครั้งแรก และวันต่อๆมาหลังจากนั้นที่ทำหน้าต่างสนทนานี้เต็มไปด้วยความผูกผันที่สั่นไหวหัวใจของเขาได้

 

 

‘ผมไม่รู้ว่านิลโกรธอะไร แต่ก็ขอโทษนะครับ’

 

 

นิลมองตัวหนังสือที่บิดเบี้ยวไปเพราะรอยน้ำตาที่แม้จะไม่มากมายแต่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่สำหรับคนที่ไม่ค่อยร้องไห้อย่างเขา ร่างสูงปาดมันทิ้งแล้วเปิดประตูออกไปเพราะไม่อยากปล่อยให้ตัวเองตกอยู่ในบรรยากาศแบบนั้นอีก เขาสูดเอาอากาศที่ไม่ค่อยบริสุทธิ์นักเข้าไปเต็มปอด พยายามไม่คิดถึงสิ่งที่ยังไม่เกิด บอกตัวเองซ้ำๆว่ามันจะไม่เป็นไรแต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ทำมันไม่ได้อยู่ดี

 

 

“พี่ๆ ไม่รับโทรศัพท์หรอ”

 

 

ไม่รู้ว่านิลเหม่ออยู่นานเท่าไหร่ เด็กวัยรุ่นที่หอบพวงมาลัยที่บานไปแล้วทั้งพวงเที่ยวเร่ขายให้กับคนเดินถนนเช่นเขาสะกิดที่แขนของนิลแรงๆก่อนจะชี้ไปยังโทรศัพท์ที่กำลังส่งเสียงอย่างบ้าคลั่งอยู่ในกระเป๋ากางเกง

 

 

ร่างสูงหยิบมันออกมาพร้อมกับแบงก์ร้อยสองใบแลกมาด้วยพวงมาลัยทั้งหมดพร้อมกับบอกให้อีกฝ่ายกลับบ้าน เด็กหนุ่มคนนั้นยกมือไหว้นิลก่อนจะวิ่งหายไปจนลับตา

 

 

“ว่าไงพี่แพง”

 

 

“นิล นิลอยู่ที่ไหน!”

 

 

“ตอนนี้ผมอยู่ข้างนอก มีอะไรรึเปล่า”

 

 

“ช่วยพี่ด้วยนิล มีคนตามพี่มา ช่วยด้วย!”

 

 

เสียงของพะแพงทั้งสั่นและลนลานอย่างที่ไม่เคยเป็น ร่างสูงพยายามตะโกนถามอีกฝ่ายแต่สายก็โดนตัดไปแทบจะทันที นิลรีบวิ่งกลับไปยังรถของตัวเองที่จอดอยู่ไม่ไกลพร้อมกับพยายามติดต่อหาหญิงสาวไปด้วยแต่ก็ไม่มีใครรับสาย เขารีบกดเข้าแอพพลิเคชั่นที่พะแพงบอกเขาว่าใช้เป็นประจำแล้วไล่อ่านตามทามไลน์ที่เพิ่งอัพเดทเมื่อประมานสิบนาทีที่แล้ว นิลออกรถทันทีที่เห็นว่าหญิงสาวเช็คอินอยู่ที่ไหนพร้อมกับพยายามต่อสายหาฤทธิชาติไปด้วย

 

 

“รับสิวะแม่ง!”

 

 

นักเขียนหนุ่มพยายามต่อสายซ้ำๆแต่ก็ไร้การตอบรับจนมันถูกตัดไปในท้ายที่สุด ร่างสูงสบถอย่างหัวเสียก่อนจะเลี้ยวเข้าไปในซอยเล็กๆที่ใกล้กับสถานที่สุดท้ายที่มีเบาะแสของพะแพง แต่แล้วเขาก็ต้องคำรามออกมาดังลั่น เมื่อคนที่เขากำลังตามหาวิ่งออกมาจากอีกซอยหนึ่งด้วยสภาพที่เสื้อผ้าถูกทำลายจนฉีกขาดและใบหน้าที่เสียขวัญ

 

 

“พี่แพง!!!”

 

 

นิลจอดรถทันทีโดยไม่สนใจว่ามันจะขวางทางใคร เขาตะโกนเรียกพะแพงที่ปล่อยโฮเมื่อเห็นว่าใครอยู่ตรงหน้า ชายหนุ่มถอดเสื้อคลุมของตนออกแล้วส่งมันให้หญิงสาวก่อนจะเตรียมวิ่งไปยังทางที่พะแพงหนีออกมา แต่ร่างเล็กกลับกอดเขาเอาไว้แน่นด้วยตัวที่สั่นจนน่ากลัว

 

 

“นิล ฮึก ช่วยด้วย ช่วยพี่ด้วย!”

 

 

“ไม่เป็นไรพี่ ผมอยู่ตรงนี้แล้ว ไม่เป็นไรแล้ว”

 

 

“พี่กลัว อย่าทิ้งพี่ไว้นะนิล อย่าทิ้งพี่”

 

 

นิลรับร่างของพะแพงมากอดไว้พร้อมกับพูดปลอบให้อีกฝ่ายใจเย็นลง ชาวบ้านที่อาศัยอยู่แถวนั้นเริ่มเปิดประตูหน้าต่างออกมาดูเมื่อได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือ มีชายท่าทางภูมิฐานคนหนึ่งเดินเข้ามาถามไถ่พร้อมกับภรรยาที่หยิบเอาเสื้อผ้าของตัวเองมาเพื่อให้พะแพงใช้สวมทับเสื้อคอบัวสีฟ้าของเธอที่ถูกกระชากจนขาดวิ่น นิลมองสภาพของคนตรงหน้าด้วยความร้อนใจ แต่ก็โดนพะแพงห้ามเอาไว้เมื่อเขากำลังจะกดโทรศัพท์แจ้งตำรวจ

 

 

“อย่าโทรนะนิล ฮึก มันถ่ายรูปพี่ไว้”

 

 

“บัดซบเอ้ย! แล้วนี่พี่โดนมันทำอะไรอีกรึเปล่า”

 

 

“ไม่ มันพยายามทำร้ายพี่แต่พี่หนีออกมาได้ก่อน”

 

 

ชายหนุ่มเช็ดน้ำตาบนแก้มที่บอบช้ำนั้นอย่างเบามือ ก่อนจะหันมาขอบคุณชาวบ้านที่หวังดีทั้งหลายแม้จะต้องปฏิเสธเมื่อพวกเขาต่างเสนอตัวที่จะโทรไปเรียกตำรวจให้โดยบอกไปว่าเป็นเรื่องของความขัดแย้งส่วนตัวเท่านั้น นิลประคองร่างที่ไร้เรี่ยวแรงของพะแพงกลับมายังรถของตัวเองโดยพยายามให้อีกฝ่ายได้รับการกระทบกระเทือนน้อยที่สุด เขาพูดขออนุญาตกับหญิงที่ยังร้องไห้ไม่หยุดก่อนจะใช้ผ้าเช็ดหน้าชุบน้ำเปล่าที่มีไว้ติดรถ บิดให้หมาดแล้วลูบไปตามแขนและขาที่มีทั้งเลอะและเต็มไปด้วยแผลถลอก

 

 

“ผมว่าเราไปโรงพยาบาลกันดีกว่า จะได้ให้หมอเขาเช็คด้วย”

 

 

“ไม่เป็นไรหรอกนิล ฮึก พี่แค่ตกใจ”

 

 

“ให้ตายสิ นี่พี่ออกมาทำอะไรดึกดื่นๆ แล้วคุณกันต์ล่ะอยู่ไหน”

 

 

“กันต์ไม่อยู่ พี่แอบมาดูรพีที่โรงเรียนคนเดียว ฮึก”

 

 

นักเขียนหนุ่มกุมขมับทันทีที่ได้ยินคำตอบนั้น เขาพยายามไม่ตะคอกหญิงสาวให้ขวัญกระเจิงมากไปกว่านี้แม้ว่าความจริงจะอยากทำมากแค่ไหน

 

 

“พี่พอจะจำหน้าไอ้คนที่ทำได้ไหม แล้วทำไมถึงไปเจอมันได้”

 

 

“พี่กำลังจะไปขึ้นรถกลับบ้าน แต่ตอนกำลังจะเดินลัดไปอีกซอยจู่ๆก็รู้สึกเหมือนมีคนมอง ตอนแรกมันทำเหมือนแค่ต้องเดินทางเดียวกันแต่พอพ้นช่วงคนเยอะมันก็เริ่มวิ่งตามจนพี่ต้องโทรหานิลนั่นแหละ”

 

 

นิลฟังไปพร้อมกับลูบแผ่นหลังของหญิงสาวเบาๆเพื่อปลอบประโลมไปด้วย เขาหยิบมือถือของตัวเองขึ้นมาหวังจะโทรหาฤทธิชาติอีกครั้ง แต่มือที่มีรอยแผลของร่างเล็กก็คว้ามันไว้พร้อมกับส่ายหน้ารัวๆ

 

 

“ไม่เป็นไรพี่ ผมแค่จะโทรหาไอ้ชาติ”

 

 

“ไม่เอา ฮึก ห้ามโทรนะนิล”

 

 

“แต่...”

 

 

“พี่ไม่เชื่อใจเขา...หรือนิลจะบอกว่าเราไว้ใจเขาได้”

 

 

แม้จะเป็นคนละเรื่องแต่นักเขียนหนุ่มกลับไม่อาจตอบคำถามง่ายๆนั้นกลับไปได้ มือของเขาที่ถือโทรศัพท์ไว้ค่อยๆวางลงข้างตัวเช่นเดียวกับความรู้สึกบางอย่างที่ลดน้อยถอยลงไป หญิงสาวเอนร่างมากอดนิลไว้พร้อมกับพร่ำบอกขอบคุณเขาไม่หยุด แต่สิ่งที่ตกตะกอนอยู่ในตัวตอนนี้มีแค่ความผิดหวังในตัวเองเท่านั้น

 

 

ทั้งคู่จมอยู่ในสภาพนั้นอยู่นานสองนานก่อนร่างสูงจะขับรถพาพะแพงกลับไปยังบ้านพักของเธอและสามีที่อยู่ในจังหวัดนครปฐมซึ่งก็ถือว่าไม่ไกลนัก ก่อนที่ร่างเล็กจะเดินกลับไปในบ้านด้วยเสื้อผ้าชุดใหม่ที่นิลหาซื้อมาให้ พะแพงได้ขอเขาไว้ว่าให้ช่วยปิดเรื่องนี้เป็นความลับเพราะไม่อยากให้กันต์ชนกที่งานยุ่งต้องมาเป็นกังวลอีกทั้งเรื่องทั้งหมดก็เกิดขึ้นเพราะความดื้อรั้นของเธอเอง

 

 

“งั้นพี่ต้องสัญญากับผม ว่าจะไม่ไปไหนมาไหนคนเดียวอีก”

 

 

“แต่พี่อยากเจอลูก...”

 

 

“แล้วถ้าพี่เป็นอะไรไปมันคุ้มกันไหม อย่าลืมสิว่าพี่ไม่ได้มีรพีแค่คนเดียว”

 

 

“...ขอโทษ”

 

 

“เฮ้อ ช่างเถอะ เอาเป็นว่าถ้าพี่อยากไปหารพีก็โทรบอกผม ตกลงไหม”

 

 

หญิงสาวรับปากอย่างดีใจก่อนที่จะจากไปพร้อมรอยยิ้มผิดกับนิลที่ถอนหายใจยาวด้วยความเหนื่อยล้า เขาเก็บขวดยาและอุปกรณ์ปฐมพยาบาลที่ใช้ทำแผลให้พะแพงกลับเข้าไปในคอนโซลรถ แล้วออกตัวเพื่อเดินทางกลับกรุงเทพด้วยร่างกายที่เพลียจนต้องแวะเข้าไปซื้อกาแฟในปั้มมาดื่ม

 

 

เขากดลิฟต์ของคอนโดในชั้นที่ตัวเองอยู่ ก่อนจะเอนหลังพิงพนังพร้อมกับหลับตาด้วยความง่วงนอนเต็มที่ เสียงเตือนเบาๆดังขึ้นทำให้นักเขียนหนุ่มต้องเดินออกไปแล้วมุ่งตรงไปยังห้องของตัวเองแต่ร่างสูงใหญ่ของใครบางคนที่ยืนขวางประตูอยู่นั้นก็ทำให้เขาแทบจะตื่นเต็มตา

 

 

“มึง...”

 

 

“ผมเห็นว่านิลโทรมาหาหลายสาย แต่โทรกลับไปอีกทีก็ไม่ติดแล้ว”

 

 

นิลสบถอย่างหัวเสียพร้อมกับล้วงหยิบกุญแจห้องในกระเป๋าซึ่งมีโทรศัพท์ที่แบตหมดนอนอยู่ในนั้น ชายหนุ่มไม่เปิดไฟในห้องอย่างเคย เขาโยนสัมภาระของตัวเองไปบนโซฟาด้วยความเคยชินก่อนจะปลดเสื้อผ้าที่ผ่านการผจญภัยมาแทบทั้งวันโดยไม่สนว่าฤทธิชาติจะเดินตามเข้ามาในห้องด้วย

 

 

นายตำรวจหนุ่มนั่งลงบนโซฟาพร้อมกับมองร่างกายเปลือยเปล่าของนิลหายลับไปหลังประตูห้องน้ำ ร่างสูงชำระร่างกายของตัวเองลวกๆก่อนจะหยิบบ็อกเซอร์และเสื้อคอกลมย้วยๆตัวเก่งมาสวมแล้วเปิดประตูออกไปเพื่อจะพบว่าฤทธิชาติยังคงนั่งอยู่ที่เดิมโดยไม่แม้แต่จะลุกมาเปิดไฟ

 

 

นิลมองคนตัวโตอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเดินเข้าไปในส่วนของห้องนอนราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาทิ้งตัวลงบนเตียงกว้างแล้วหลับตาแทบจะทันทีปล่อยให้ความเงียบขับกล่อมหัวใจที่ว้าวุ่นให้ค่อยๆสงบลงแม้จะเป็นไปได้ยากก็ตาม เวลาเดินผ่านไปเรื่อยๆโดยที่ใครอีกคนในห้องยังไม่แม้แต่จะขยับตัว จนความเหนื่อยล้าและอาการปวดหัวจะค่อยๆคร่าสติของร่างสูงไปทีละนิด จนกระทั่งในห้วงสุดท้ายก่อนที่เขาจะหลับลงชายหนุ่มก็รู้สึกได้ถึงสัมผัสเย็นๆที่บริเวณหน้าผากของตน

 


:sad4:(มีต่อเม้นต์ล่าง) :sad4:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-10-2015 09:09:18 โดย vivacestory »

ออฟไลน์ vivacestory

  • Mare Mara
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 221
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-1
 

 
อารัณย์มองบ้านไม้หลังใหญ่สีขาวตรงหน้าด้วยความหนักใจกับสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นแต่ก็รู้ดีว่าไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ร่างสูงกดกริ่งที่ประตูรั้วอยู่สองครั้งก่อนจะยิ้มออกมาเมื่อเห็นร่างน้อยๆของหลานสาววิ่งมาหาเขาพร้อมกับรอยยิ้มที่สดใสเสมอ

 

 

“น้ารัณย์ สวัสดีค่ะ!”

 

 

“สวัสดีครับ ป๊ากับม๊าอยู่ไหมหนูพิมพ์”

 

 

“ป๊าล้างบ่อปลาอยู่หลังบ้านค่ะ แต่ม๊าไม่สบายนอนอยู่บนห้อง”

 

 

อารัณย์ยิ้มรับก่อนจะอุ้มเด็กหญิงเข้ามาไว้เต็มอ้อมแขนแล้วเลือกเดินไปยังหลังบ้านเพื่อทักทายพี่เขยก่อนแทนที่จะขึ้นไปหาพี่สาวของตน ร่างสูงยิ้มให้นายแพทย์หนุ่มที่กำลังทำงานบ้านจนเปียกปอนไปทั่วทั้งตัว กันต์ชนกพอได้ยินเสียงเรียกของลูกสาวก็หันมามองแล้วทักทายแขกคนสำคัญอย่างเป็นมิตร

 

 

“มาแล้วหรอรัณย์ กินอะไรมารึยัง”

 

 

“กินแล้วพี่ แล้วนี่ไม่คิดจะพักบ้างเลยรึไง นานๆจะได้หยุดแท้ๆ”

 

 

“ก็อยากพักอยู่หรอก แต่น้องพิมพ์ร้องจะเอาปลาตัวใหม่ ถ้าไม่ล้างสักหน่อยกลัวจะน็อคน้ำตาย”

 

 

กันต์ชนกว่าขำๆก่อนจะหันไปบอกลูกสาวให้เตรียมน้ำออกมารับแขก ชายทั้งสองคนมองตามร่างเล็กของเด็กหญิงไปด้วยรอยยิ้มก่อนมันจะค่อยๆคลายลงเช่นเดียวกับบรรยากาศมืดมนในบ้านที่อารัณย์สัมผัสได้

 

 

“พี่แพงยังทำใจไม่ได้อีกหรอพี่”

 

 

“คงยาก...และน่าจะเป็นไปไม่ได้”

 

 

“อาทิตย์นี้หนีไปกี่ครั้งแล้ว”

 

 

“สามครั้ง ล่าสุดเมื่อสองวันก่อน กลับมาก็เอาแต่เก็บตัวอยู่บนห้อง”

 

 

ชายหนุ่มถอนหายใจก่อนจะถอดหมวกฟางสีซีดออกจนเผยให้เห็นสีหน้าที่เป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด อารัณย์มองคนตรงหน้าอย่างเห็นใจแต่ตัวเองก็ช่วยอะไรไม่ได้เพราะอยู่สภาพที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก

 

 

“แล้วกับหนูพิมพ์...”

 

 

“ต่อหน้าลูกแพงก็ยังทำตัวเหมือนเดิม แต่ไม่รู้สิรัณย์ เด็กๆอาจจะไม่สังเกต แต่ผู้ใหญ่อย่างเราต่างก็รู้ดีว่าอะไรๆก็เปลี่ยนไปแล้ว”

 

 

“ถ้าตอนนั้นผมไม่ไปเรียนต่อ...เรื่องมันอาจจะไม่แย่ขนาดนี้”

 

 

อารัณย์พูดถึงสิ่งที่ค้างคาในใจตนมาตลอด ชายหนุ่มเฝ้าถามตัวเองว่าหากตอนนั้นเขาไม่ไปแล้วอยู่เป็นคนที่ปกป้องทั้งรพีและพะแพงไว้เรื่องต่างๆอาจจะไม่เกิดขึ้น แต่ความจริงมันกลับไม่เป็นอย่างนั้น ชายหนุ่มรู้ดีว่าทำไมปู่ถึงไม่เคยบอกถึงเรื่องราวทั้งหมดให้เขาฟัง ช่วงที่พะแพงต้องพักรักษาตัวอารัณย์รับรู้แค่ว่าเพราะพี่สาวต้องไปทำงานในที่ห่างไกลทำให้การติดต่อไม่สะดวกเหมือนเคยเท่านั้น

 

 

“ไม่หรอก ถึงรัณย์อยู่เราก็อาจทำอะไรไม่ได้มากกว่านี้ คนพวกนั้นน่ากลัวนะ ถึงจะไม่ใช่เพราะต้องการปิดบังคุณกาลเรื่องแพงยังมีชีวิตอยู่ ยังไงปู่กับพี่ก็คงต้องพาแพงหลบมาพักฟื้นที่อื่นอยู่ดี”

 

 

“แล้วตอนนี้พวกมัน...

 

 

“พี่ก็ไม่รู้ คุณนเรศทนายบ้านคุณกาลเป็นคนจัดการเรื่องทั้งหมด แต่ก็ยังมีเส้นสายของปู่ที่ให้ความช่วยเหลืออยู่ด้วย ถ้าไม่ใช่เพราะอย่างนั้นการปิดบังสถานะของแพงไม่ให้คุณกาลรับรู้มันก็เป็นไปแทบไม่ได้ พี่ถึงได้ตกใจมากตอนที่เขาติดต่อมาให้เอาเอกสารทุกอย่างขึ้นไปที่กรุงเทพพร้อมกับให้บอกความจริงทั้งหมด”

 

 

อารัณย์รู้ได้ทันทีว่าใครคือมือที่คอยช่วยหนุนรัตติกาลอยู่เบื้องหลัง ถ้าหากไม่ใช่เพราะเขาเป็นหลานที่หายสาบสูญไปนานเรื่องที่อารัณย์เป็นใครคงไม่สามารถปิดบังรัตติกาลมาได้นานขนาดนี้

 

 

“แล้วนี่กับคุณกาล คืนดีกันแล้วรึยัง”

 

 

“อะ เออ”

 

 

ร่างสูงเกาท้ายทอยเก้อๆเมื่อจู่ๆพี่เขยก็พูดถึงความสัมพันธ์ของเขาและรัตติกาลด้วยสีหน้าแสนอ่อนโยนที่แฝงไปด้วยการล้อเลียนจนผิวแก้มของอารัณย์แดงก่ำ เขาพยายามหันหน้าหนีแต่ยิ่งทำแบบนั้นอีกฝ่ายก็ยิ่งหัวเราะร่าจนอารัณย์ต้องยอมแพ้แล้วเล่าเรื่องทุกอย่างไปจนหมด

 

 

“กาลยังไม่หายโกรธผม แต่ก็ยังดีที่ยอมให้อยู่ใกล้ๆ”

 

 

“นั่นก็ดีแล้วล่ะนะ แต่จะทำไงได้ ทางนี้ก็ไม่คิดเหมือนกันว่าจากที่ตั้งใจว่าจะไปแค่สังเกตการณ์กลายเป็นคนของเราดันไปตกหลุมรักเขาซะได้”

 

 

“ไม่ต้องมาล้อผมเลย ผมรู้นะว่าพี่แพงก็ยังไม่หายโกรธพี่”

 

 

กันต์ชนกสีหน้าสลดลงเมื่ออารัณย์พูดถึงความจริงที่ยังค้างคา มุมปากอิ่มยกยิ้มออกมาด้วยท่าทางลำบากใจที่จะพูดถึง

 

 

“เรื่องนั้นพี่ทำใจแล้วล่ะ ยิ่งกว่ารัณย์ พี่โกหกแพงมาตลอดหกปี แถมยังมีหน้าเอาลูกตัวเองไปหลอกว่าเป็นลูกเขาแค่เพราะว่าอยากสร้างครอบครัวขึ้นมาใหม่ด้วยกัน ขี้ขลาดจนน่าหัวเราะชะมัดเลยว่าไหม”

 

 

อารัณย์มองชายตรงหน้าอย่างนึกเห็นใจในความรักที่บริสุทธิ์แต่กลับเต็มไปด้วยรอยด่าง ความอาทรที่ควรมีให้ในฐานะคนไข้ค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นความรักเพราะความใกล้ชิดที่เพิ่มพูนมากขึ้นทุกวันแม้อีกฝ่ายทำได้แค่นอนหลับตานิ่งอยู่บนเตียง ครั้งแรกที่เขารู้เรื่องทั้งหมดจากปากกันต์ชนกมันไร้ซึ่งความโกรธเคืองจนน่าแปลกใจ นั่นเป็นเพราะความรักที่พี่เขยมีให้กับพี่สาวของเขาอารัณย์จึงสามารถให้อภัยได้

 

 

“ผมเชื่อว่าสักวันพี่แพงจะรู้ ว่าพี่หวังดีกับเขาจริงๆ ขอบคุณนะพี่ที่ดูแลพี่สาวผมมาตลอด ไม่ว่าอดีตจะเป็นยังไงสำหรับผมพี่กันต์กับพิมพ์ใจคือครอบครัวที่สำคัญของผมเสมอ”

 

 

“ขอบใจนะรัณย์”

 

 

พวกเขาหยุดบทสนทนาไว้แค่นั้นเพราะเด็กหญิงตัวเล็กวิ่งกลับมาพร้อมน้ำเย็นๆที่หกไปกว่าครึ่ง ชายหนุ่มรับมันมาดื่มพร้อมกับลูบผมนิ่มของหลานสาวเบาๆก่อนจะตอบคำถามของพิมพ์ใจที่ถามไถ่ถึงรพีที่รัตติกาลพาออกไปทำธุระด้วยกันแต่เช้า

 

 

ทั้งสามคนคุยกันจนเวลาล่วงเลยมาถึงเที่ยง กันต์ชนกที่นานๆจะว่างสักทีจึงวานขอให้อารัณย์ขึ้นไปตามภรรยาให้ออกไปกินข้าวด้วยกันข้างนอกโดยเลือกร้านโปรดของลูกสาวที่ถูกปากพะแพงอยู่ไม่ใช่น้อย ร่างสูงเดินขึ้นไปยังชั้นสองของบ้านที่มีภาพครอบครัวของทั้งสามคนแขวนอยู่เป็นระยะ เขามองรอยยิ้มของผู้หญิงในภาพนั้นด้วยความพอใจ ถ้าเป็นไปได้อารัณย์เองก็อยากให้ทุกอย่างกลับไปเป็นเหมือนเดิม

 

 

“พี่แพง ผมเข้าไปนะพี่”

 

 

อารัณย์เคาะประตูก่อนจะเอ่ยขออนุญาต ชายหนุ่มก้าวเข้าไปในห้องนอนสีขาวเช่นเดียวกับตัวบ้าน หน้าต่างที่เปิดค้างไว้ทำให้ผ้าม่านปลิวไสว เขาสอดส่ายสายตามองหาพี่สาวแต่กลับไม่ได้ยินแม้แต่เสียงลมหายใจของคนในห้อง

 

 

“หรือว่าอยู่ในห้องน้ำ”

 

 

ร่างสูงลองเดินไปดูห้องน้ำที่อยู่ในตัวห้องแต่ก็ไม่พบใครอีกเช่นกัน อารัณย์เริ่มร้อนใจ เขาสำรวจไปทั้งตัวบ้านแต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของพี่สาว ชายหนุ่มรีบวิ่งไปยังหลังบ้านที่กันต์ชนกกำลังซ่อมเปียที่หลุดลุ่ยให้ลูกสาวอยู่ด้วยความร้อนรา นายแพทย์หนุ่มหันมามองอารัณย์ที่เหนื่อยหอบด้วยความแปลกใจ ก่อนจะเอ่ยปากถาม

 

 

“เป็นอะไรไปรัณย์ ทำไมวิ่งมาแบบนี้”

 
 

“พี่แพงไม่อยู่ในบ้าน พี่รู้รึเปล่า”

 

 

กันต์ชนกตกใจจนเผลอทำหวีในมือตก เขารีบเข้าไปในบ้านเพื่อมองหาภรรยาแต่ก็ไม่พบเช่นเดียวกับที่น้องชายภรรยาได้บอกเอาไว้

 

 

“เป็นไปได้ยังไง เมื่อตอนที่เรานั่งคุยกันพี่ยังเห็นแพงชะโงกหน้าออกมาดูทางหน้าต่างอยู่เลย”

 

 

“ผมโทรไปถามที่บ้านกาลกับไอ้นิลแล้วแต่พี่แพงไม่ได้ติดต่อทางนั้นไป เดี๋ยวผมจะไปหาดูแถวนี้ พี่กันต์รอกับพิมพ์ใจอยู่ที่บ้านก่อนแล้วกัน”

 

 

ชายหนุ่มพยักหน้ารับก่อนจะมองตามอารัณย์ไปด้วยความร้อนใจไม่ต่างกัน ร่างสูงวิ่งวุ่นไปทั่วทั้งซอยรวมถึงสอบถามชาวบ้านและวินมอเตอร์ไซด์ว่ามีใครพบเห็นพะแพงเดินผ่านมาบ้างไหมแต่กลับไม่มีเลย เขากดโทรศัพท์เข้าเครื่องของพี่สาวแต่กลายเป็นกันต์ชนกที่รับสายแทนก่อนจะบอกว่าเจอโทรศัพท์ของพะแพงตกอยู่ใต้เตียง

 

 

“พี่ว่ารัณย์กลับมาทางนี้ก่อนดีกว่า มันชักจะแปลกๆแล้ว”

 

 

“ได้ เดี๋ยวผมโทรตามไอ้ชาติด้วย”

 

 

ใช้เวลาเกือบชั่วโมงนายตำรวจหนุ่มในชุดเครื่องแบบเต็มยศก็มาถึงบ้านพักของกันต์ชนกที่แทบจะนั่งไม่ติดพื้น อารัณย์พยักหน้าให้ร่างใหญ่รวมถึงอีกสองคนที่เดินตามหลังมาคือนิลที่บังเอิญอยู่กับฤทธิชาติพอดี และรัตติกาลที่เขาโทรไปบอกให้รู้

 

 

“คุณเห็นคุณพะแพงตอนสุดท้ายเมื่อไหร่ครับ”

 

 

“ประมานชั่วโมงกว่าครับ ตอนผมคุยกับอารัณย์อยู่หลังบ้าน ผมเห็นเธอชะโงกหน้ามาดูทางหน้าต่าง”

 

 

ฤทธิชาติฟังคำให้การนั้นพร้อมกับสำรวจหน้าต่างบานที่ว่าไปด้วย เช่นเดียวกับนักเขียนหนุ่มที่เดินไปเดินมาอย่างร้อนใจจนรัตติกาลต้องคอยบอกให้เพื่อนใจเย็นลงอีกนิด นิลมองหน้ารัตติกาลด้วยสายตาที่แปลกไปจนร่างโปร่งรู้สึกได้แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเชื่อฟังก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้นวมตัวหนึ่ง

 

 

“ระหว่างทางที่มาผมประสานงานให้ตำรวจในพื้นที่ตรวจกล่องวงจรปิดบริเวณใกล้ๆให้แต่ก็ไม่พบคุณพะแพงหรือความผิดปกติอะไร แน่ใจรึเปล่าครับ ว่าเธอไม่ได้ออกไปเอง”

 

 

กันต์ชนกตอบไม่ได้ เพราะภรรยาของตนมีพฤติกรรมแปลกไปตั้งแต่วันที่ความจริงทุกอย่างถูกเปิดเผย รวมถึงการแอบออกไปพบรพีแม้ว่าจะเป็นการมองดูอยู่ห่างๆก็ตาม ชายหนุ่มเล่าทุกอย่างให้นายตำรวจฟังโดยไม่ลืมพูดถึงอาการเก็บตัวที่เกิดขึ้นหลังจากการขึ้นไปกรุงเทพครั้งสุดท้าย พอพูดถึงตรงนี้ ฤทธิชาติก็สังเกตเห็นท่าทีที่แปลกไปของนิล ทำให้เขามั่นใจว่าในวันนั้นต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่ๆ เพราะมันเป็นวันเดียวกัน กับวันที่นิลกลับมาที่คอนโดในสภาพที่เหนื่อยล้าและมีไข้อ่อนๆ

 

 

“ก่อนเดินเข้ามา ผมสังเกตว่าบ้านตรงหัวมุมมีกล้องวงจรปิด”

 

 

คำพูดของรัตติกาลเหมือนจุดประกายความหวังทั้งในเรื่องของการตามตัวหญิงสาวและความสัมพันธ์ที่ย่ำแย่ของทั้งคู่ อารัณย์ยิ้มกว้าง เขาจูงมือรัตติกาลให้เดินไปด้วยกันแม้อีกฝ่ายจะขัดขืนบ้างแต่เมื่อโดนเซ้าซี้ชายหนุ่มก็ต้องยอมตามใจทั้งที่ตัวเองไม่อยากจะไปเลยสักนิด

 

 

กันต์ชนกลูบหัวลูกสาวที่มองตามคุณน้าลูกอมไปอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว โดยที่ในอีกมุมหนึ่งของห้อง ฤทธิชาติกำลังจับจ้องไปยังนักเขียนหนุ่มไม่วางตา จนนิลทนไม่ไหว ต้องเป็นฝ่ายเอ่ยปากขึ้นก่อน

 

 

“มองกูแบบนี้มีอะไร อยากพูดก็พูด”

 

 

“ในคืนนั้นมันเกิดอะไรขึ้น”

 

 

“...คืนไหน”

 

 

“นิลรู้ว่าผมหมายถึงอะไร ทำไมนิลถึงกระหน่ำโทรหาผม ทำไมนิลถึงกลับมาในสภาพที่เหนื่อยขนาดนั้น แล้วที่สำคัญ...น้ำมันรดที่หมดไปค่อนถัง จะบอกว่าโกรธผมเลยหนีไปขับรถเล่นรอบกรุงเทพก็ออกจะเกินจริงไปสักหน่อย”

 

 

“หึ มึงเป็นตำรวจหรือสโตรกเกอร์กันแน่”

 

 

“มันก็คล้ายๆกันนั่นแหละ แค่ต่างวัตถุประสงค์ เลิกบ่ายเบี่ยงแล้วตอบมาได้แล้วครับ อยากรอให้มีใครเป็นอะไรก่อนรึไง”

 

 

นิลฮึดฮัดอย่างไม่พอใจที่โดนคนตรงหน้าไล่ต้อนราวกับเขาเป็นคนร้ายของมัน ทีตัวเองปิดบังเรื่องสำคัญไว้และทำอะไรลับหลังเขา ยังไม่ยอมแม้แต่จะปริปากพูด

 

 

“วันนั้นพี่แพงโดนทำร้ายร่างกายตอนที่จะกลับบ้าน เขาโทรมาขอให้กูไปช่วย แต่ไอ้เลวนั้นดันถ่ายรูปพี่แพงไว้ด้วยเราเลยไม่ได้แจ้งความ”

 

 

“แม้แต่กับผมเนี่ยนะครับ?”

 

 

“กูโทรหามึงแล้วแต่มึงไม่รับ...ไปทำอะไรอยู่ล่ะ อย่าบอกนะว่าคิดหาวิธีง้อกูอยู่ตอนนั้น”

 

 

ร่างสูงยิ้มเยาะเมื่อได้ถากถางอีกฝ่ายกลับบ้าง แต่ฤทธิชาติกลับไม่สะทกสะท้าน เขามองหน้านิลนิ่งอยู่อย่างนั้นก่อนจะยื่นบางอย่างออกไปให้

 

 

“ถึงจะไม่ใช่ทั้งหมด แต่ก็ถือว่าถูกส่วนหนึ่งครับ”

 

 

นักเขียนหนุ่มมองปากกาลูกลื่นอย่างดีในมือพร้อมกับอาการกระตุกที่หัวใจ เขารู้จักรุ่นนี้ดีเพราะมันรุ่นและยี่ห้อที่เขาอยากได้มานานแต่ก็ไม่เคยตัดใจซื้อสักที ตัวด้ามที่ทำจากเงินถูกสลักเป็นชื่อของเขาอย่างสวยงามบ่งบอกว่ามันถูกสั่งมาเพื่อเขาไม่ผิดแน่ ร่างสูงมองคนตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ ก่อนที่ฤทธิชาติจะเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางที่นิ่งเฉยผิดกับทุกครั้ง

 

 

“ถึงจะโกหกว่าเปิดรอบใหม่ แต่ผมก็อยากให้อยู่ดี”

 

 

นิลไม่รู้สึกดีใจมากมายอย่างที่คิด กลับกันเขามองของในมือนั้นพร้อมกับกำมันแน่นด้วยความปวดใจ สิ่งที่เขาอยากได้จากคนตรงหน้าไม่ใช่สิ่งของราคาแพงหรือความเอาใจใส่ทะนุถนอมราวกับว่าเขาเป็นผู้หญิง หากแต่เป็นบางสิ่งที่ร่างสูงรู้สึกว่าเขาไม่เคยได้รับมันเลย

 

 

“กูจะรับมันไว้ ก็ต่อเมื่อมึงให้สิ่งหนึ่งกับกู”

 

 

“...”

 

 

“บอกความจริงมาชาติ เลิกโกหกกันได้แล้ว”

 

 

เสียงของนิลสั่นเครืออย่างไม่อาจห้ามไหว แม้ไม่มีน้ำตาแต่ดวงตาคู่นั้นก็แดงก่ำเสียจนคนมองสะท้อนใจ นายตำรวจหนุ่มใช้มือลูบไปตามผิวแก้มเรื่อยไปถึงเปลือกตานวลและหว่างคิ้วที่เครียดขึง เขาเผยรอยยิ้มออกมาอยู่ครู่หนึ่งก่อนมันจะหายไปพร้อมกับความหวังของคนฟัง

 

 

“ผมยังให้นิลไม่ได้ ส่วนปากกาถ้านิลจะทิ้งผมคงต้องยอม”

 

 

“...!!!”

 

 

เขารู้สึกเหมือนหัวใจตัวเองถูกทุบอย่างแรงจนมือที่ถือปากกาไว้คลายออก แท่งเงินเรียวรีกลิ้งตกไปบนพื้นเช่นเดียวกับหัวใจที่เหมือนถูกเหวี่ยงตกจากที่สูง ไม่มีน้ำตาให้ไหลมีแต่ความรู้สึกเจ็บในหัวใจที่ยืนยันบางอย่างกับนิลได้

 

 

เขารักคนคนนี้

 

 

แต่เรายังเลือกอีกฝ่ายไม่ได้

 

 

ประตูหน้าถูกเปิดออกพร้อมกับการกลับมาของรัตติกาลและอารัณย์ที่สังเกตได้ถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไปในห้องรวมถึงสีหน้าหนักใจของกันต์ชนกที่ถึงแม้ไม่อยากได้ยินแต่ก็รับรู้ทุกการกระทำของสองคนนั้น อารัณย์ทำเป็นไม่สนใจ เขายื่นแผ่นดิสก์ที่บ้านหลังนั้นใส่ข้อมูลจากกล้องวงจรปิดไว้ให้ทั้งหมดเมื่อได้ยินว่าภรรยาของหมอกันต์หายไปจากบ้าน

 

 

พวกเขาทั้งหมดยกเว้นพิมพ์ใจที่โดนผู้เป็นพ่อหลอกล่อให้ไปเล่นอยู่ในห้องนอนกำลังยืนมุงกันอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ที่ฉายภาพวีดิโอที่ส่วนหนึ่งมีภาพของหน้าบ้านหลังนี้ติดมาด้วย ฤทธิชาติไล่ดูภาพตั้งแต่ช่วงที่อารัณย์เข้ามาในบ้านโดยมีพิมพ์ใจวิ่งออกมารับก่อนจะหายเข้าไปข้างในเกือบชั่วโมงโดยไม่มีใครเข้าออกจากบ้านหลังนั้นอีก จนกระทั่งเวลาประมานสิบเอ็ดโมงครึ่ง กล้องวงจรปิดตัวนี้ก็สามารถบันทึกภาพบางอย่างไว้ได้

 

 

“ไอ้ชาติ หยุดตรงนี้!”

 

 

ภาพของรถปิกอัพสีดำคันใหญ่ไม่ติดแผ่นบ้านทะเบียนจอดลงตรงมุมหนึ่งของถนนใกล้กับถังขยะก่อนที่ชายในชุดสีเดียวกันคนหนึ่งพร้อมหมวกอำพรางใบหน้าได้ปีนรั้วเข้าไปในจุดที่ห่างไกลจากบริเวณที่ทั้งสามคนอยู่ในตอนนั้น หลังจากนั้นไม่นาน ชายคนเดิมก็ออกมาจากประตูหน้าบ้านอย่างอาจหาญโดยมีร่างไร้สติของพะแพงพาดอยู่บนบ่า มันจับหญิงสาวยัดใส่เข้าไปในรถพร้อมกับลงมือทำบางสิ่งที่สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นการมัดมือมัดเท้า ก่อนจะขับรถออกไปในทิศทางตรงข้ามกับที่มันมา

 

 

“แพง...”

 

 

นายแพทย์หนุ่มครางชื่อภรรยาออกมาอย่างร้อนใจระคนสงสารเมื่อเห็นว่าคนรักของตนโดนกระทำอย่างไร ฤทธิชาติรีบติดต่อไปยังเจ้าหน้าที่เพื่อให้ขอภาพจากกล้องวงจรปิดในช่วงเวลาที่ปรากฏในภาพ บรรยากาศเปลี่ยนไปแทบจะทันที กันต์ชนกทรุดนั่งลงกับพื้น แม้แต่อารัณย์ก็ไม่รู้จะทำยังไงกับสถานการณ์ตรงหน้า ส่วนนิลก็เอาแต่ย้อนเทปนั้นดูซ้ำไปซ้ำมาโดยมีรัตติกาลคอยดูอยู่ไม่ห่างเช่นกัน

 

 

“แบบนี้มัน...”

 

 

“มีอะไรไอ้กาล”

 

 

นักเขียนหนุ่มหันไปถามรัตติกาลที่ทำหน้าเหมือนคิดอะไรออก

 

 

“กูยังไม่แน่ใจ...รอข้อมูลจากตำรวจก่อนแล้วกัน”

 

 

“แล้วทำไมบอกตอนนี้ไม่ได้ มึงต้องรอให้พี่แพงเป็นอะไรไปก่อนใช่ไหมถึงจะยอมปริปากอีกคน”

 

 

นิลไม่ได้ตะคอกหรือแดกดันคนข้างๆ เขาทำเพียงมองรัตติกาลไปตรงๆแล้วพูดในสิ่งที่ใจคิดด้วยใบหน้าเคร่งขึงที่แม้แต่อารัณย์ยังแปลกใจ

 

 

“มึงคิดว่ากูอยากให้พี่แพงตายรึไงไอ้นิล กูดูเหมือนคนแบบนั้นหรอ”

 

 

รัตติกาลตอกกลับไปด้วยท่าทีนิ่งๆไม่แพ้กัน แต่คำพูดที่เอ่ยมานั้นกลับสื่อได้ดีจนคนฟังรู้สึกว่าตัวเองกล่าวหาเพื่อนของตนแรงเกินไป นิลถอนหายใจก่อนจะขอโทษรัตติกาลด้วยท่าทางคิดหนัก

 

 

“ไม่ใช่กูไม่อยากบอก แต่ถ้าพูดไปมั่วๆตอนนี้ผลร้ายมันจะมากกว่าผลดี กูรู้ว่ามึงห่วงพี่แพง แต่อย่าลืมสิว่าตอนนี้สิ่งที่เราควรทำคือจับคนร้าย...ไม่ใช่จับผิดกันเอง”

 

 

รัตติกาลมองเพื่อนรักของตนด้วยแววตาที่บ่งบอกว่ารู้ทัน นักเขียนหนุ่มเสหน้าหันหลบไปอีกทางเมื่อครั้งนี้กลายเป็นเขาที่โดนร่างโปร่งไล่ต้อนไม่เหมือนทุกครั้ง  พวกเขาที่เหลือนั่งรอข้อมูลจากฝั่งฤทธิชาติท่ามกลางความตึงเครียด โดยที่รัตติกาลเองก็ติดต่อทนายของตนให้ใช้เส้นสายที่มีหาข้อมูลให้ได้มากที่สุดอีกที

 

 

จนเวลาล่วงไปกว่าบ่ายสาม นายตำรวจหนุ่มก็ได้รับข้อมูลที่ต้องการจากผู้ใต้บังคับบัญชา ทั้งภาพจากกล้องวงจรปิดเพิ่มเติมและข้อมูลเกี่ยวกับรถที่คนร้ายใช้ก่อเหตุ รวมไปถึงรูปสเก็ตของคนร้ายด้วย

 

 

“นี่มันบังเอิญไปหน่อยรึเปล่า”

 

 

อารัณย์พูดออกมาเมื่อพวกเขาเปิดวีดิโอทุกไฟล์จนหมด แต่มันช่างน่าขันที่สถานการณ์ตอนนี้เหมือนกับสิ่งที่เคยเกิดขึ้นกับเขาและรัตติกาลราวกับมีใครเล่นตลก ไม่มีกล้องตัวไหนจับภาพของคนร้ายได้ทั้งขาเข้าและขาออก แม้แต่รถที่น่าจะมีให้เห็นวิ่งตามท้องถนนบ้างก็แทบจะไม่มี ส่วนคันที่กล้องตรวจจับได้เมื่อนำไปตรวจสอบก็พบว่าไม่มีพิรุธอะไรแม้แต่น้อย กันต์ชนกที่พยายามทำใจเย็นอยู่นานทุบโต๊ะเสียงดังด้วยความคับแค้นใจ จนอารัณย์ที่ถึงแม้จะร้อนรนไม่ต่างกันก็ต้องพยายามมีสติและกล่าวห้ามพี่เขยไม่ให้ทำร้ายตัวเองมากไปกว่านี้

 

 

“เป็นไปได้ไหม ว่าคนที่จับตัวพี่แพงไปจะเป็นพวกเดียวกับคนที่เคยพยายามตามฆ่ามึง”

 

 

นิลถามขึ้นด้วยสีหน้าไม่สบายใจนัก แม้ใจหนึ่งจะยังคงแคลงใจกับความลับที่รัตติกาลปกปิดไว้แต่ทุกอย่างก็ถูกกลบไปด้วยความมาดร้ายของคนรักที่ดูเหมือนจะวางแผนมาดีกว่าที่คิด

 

 

“...ไม่ใช่แค่เคย ตอนนี้ก็คงจะยังอยากทำแบบนั้นอยู่”

 

 

ทันทีที่สิ้นคำนั้นโทรศัพท์ของรัตติกาลก็ดังขึ้น ทุกคนหันมามองร่างโปร่งพร้อมๆกันโดยที่อารัณย์รีบไปยืนเคียงข้างคนรักแล้วหยิบเอาโทรศัพท์ซึ่งมีเบอร์โทรที่ไม่ได้ถูกบันทึกไว้ปรากฏขึ้นมาดู รัตติกาลแย่งมันกลับมาเมื่ออารัณย์ทำท่าเหมือนกับจะรับสายแทนเขา ก่อนจะกดรับพร้อมกล่าวทักทายออกไป

 

 

รัตติกาลขมวดคิ้วเมื่อเสียงที่ได้ยินมาจากปลายสายคือเสียงดนตรีบรรเลงอย่างที่เขาชอบฟัง ร่างสูงยืนฟังมันอยู่สักพักก่อนจะมีเสียงๆหนึ่งดังแทรกเข้ามา

 

 

 

 

 

 

“มาเล่นเกมกันเถอะ~”

 

 

 

----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

คุยกับเช่!!!

ไคล์แมกซ์แล้วววววววววววว หลังจากปล่อยให้คนนอยไปต่างๆนาๆเมื่อตอนที่แล้วเลยจัดดราม่าคู่รองให้จี๊ดนึง ต้องให้พี่กาลกับชาติออกมาร้องเพลงโปรดอย่าเข้าใจฉันผิดเลยนะ แต่การปิดบังไม่ยอมบอกมันก็น่าเจ็บปวดพอๆกันนั่นแหละ ต้องคอยดูว่าอะไรทำให้กาลที่เกลียดการโดนปิดบังถึงกลืนน้ำลายตัวเองแล้วมาทำแบบนั้นบ้าง งานหนักของเช่จริงๆหลังจากนี้ ปวดตับ ปวดไต ปวดตัวไปหมดเลยคับบบบบบ

 

แล้วนอกจากนี้ เปิดให้จองหนังสือกันแล้วนะจ๊ะ >3< แต่เพื่อให้เป็นไปตามกฎของเล้า จนกว่าเช่จะลงเรื่องหลักจบจะไม่สามารถให้รายละเอียดในนี้ได้ หากใครสนใจเชิญตามอ่านที่แฟนเพจก่อนได้นะคับ

งานนี้เปิดให้จองและโอนกันยาวๆถึง 4 ก.พ. 2559 ที่ต้องนานขนาดนี้ด้วยเพราะราคาหนังสือที่สูงตามจำนวนหน้าและการทำ boxset นะคับ คนที่หวังราคาถูกกว่านี้เช่ต้องขอโทษด้วยจริงๆ ตอนแรกกะจะให้เปิดจองทั้งแบบมีboxและไม่มี แต่เกรงว่าจะได้จำนวนขึ้นต่ำไม่เท่ากับที่โรงพิมพ์กำหนดไว้ แต่คิดซะว่า 3 เดือนกว่าๆ เก็บตังวันละ 15 บาทก็ได้แล้วคับ 5555 งานนี้เช่อยากขายจริงๆเพราะคิดว่าคงเปิดพิมพ์แค่รอบเดียวเท่านั้น ไม่รี ไม่สต็อก หมดแล้วหมดเลย ใครพลาดไปอดฟัดพี่กาลกันยาวๆนะจ๊ะ

 

ออฟไลน์ Nankoong

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 754
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-5
รอต่อไป....ลุ้นๆๆๆๆๆ

ออฟไลน์ nunnan

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2275
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-6
สงสารนิลมากตอนนี้อยากให้นิลใจแข็งเข้าไว้

ออฟไลน์ กาลณัฐ

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 505
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +18/-2
ครับ แล้วมันก็เริ่มจะงงอีกครั้ง  :hao5:

ออฟไลน์ imymild

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 354
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
ยิ่งอ่านยิ่งเหนื่อย

ออฟไลน์ PK13

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 149
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
โอ้โหหหหหหค้างงงงงงงงงมากกกกกกกก!!!

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8

ออฟไลน์ kanomjeeb

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 101
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
 :katai1: เอาตอนต่อไปมาเลยนะเช่ เราจะไม่ทน

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด