กลายรักครั้งที่❧2
ตลอดเวลาตั้งแต่เกิดมาถ้ามีคนถามว่าประสบการณ์ไหนที่คุณรู้สึกตกใจหรือประหลายใจกับมันมากที่สุด ไทรแอสซิก เบนซ์ ฟงเซ่ กล้าบอกเลยว่าเป็นตอนนี้ ตอนที่ผมเห็นไดโนเสาร์ที่มีความสูงกว่า7เมตรกลายเป็นมนุษย์ไปต่อหน้าต่อตา
ภาพเหตุการณ์ยังคงติดตาผมอยู่เลยทั้งที่ตอนนี้ไดโนเสาร์ตรงหน้าถูกแทนที่ด้วยผู้ชายผิวสีแทนที่มีร่างกายสมส่วนออกบึกบึนไปสักหน่อยเมื่อเทียบกับมนุษย์ปกติ เส้นผมสีเทาที่มีบางเส้นเป็นสีส้มแซมสลับไปมา สีเดียวกับลายพาดที่หลังเมื่อตอนเป็นไดโนเสาร์...
ผู้ชายตรงหน้านอนล้มลงไปกับพื้นทำให้ไม่สามารถเห็นหน้าตาได้
“พ่อทำอะไรลงไปน่ะ?!!!”ผมหันไปตะโกนใส่พ่อเสียงดังจนใกล้เคียงกับคำว่าตวาด
“ก็แค่ผสมพันธุ์”
“ไม่ต้องมาตอบเสียงอ่อยเลย...ถ้าเป็นการผสมสายพันธุ์ของไดโนเสาร์ผมจะไม่ว่าเลยแต่นี่มันเป็นการผสมคนกับไดโนเสาร์...พ่อต้องการอะไรถึงได้ทำแบบนี้น่ะ?...ไดโนเสาร์กินเนื้อเป็นสัตว์ที่ดุร้ายจนไม่มีใครควบคุมมันได้และการที่พ่อผสมโทรโอดอนเข้าไปทำให้มันฉลาด...สุดท้ายพ่อใส่ยีนส์ของมนุษย์ลงไปเพื่อให้มันคิดเป็น!!! พ่อกำลังสร้างอะไรอยู่กันแน่?!!”ผมตะโกนออกไปอย่างเหลืออด
ไม่เข้าใจในสิ่งที่พ่อทำเลยจริงๆ
“นั่นแหละคือสิ่งที่พ่อต้องการ”พ่อตอบกลับมาก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าเป็นจริงจัง
“ห๊ะ?”
“พ่ออยากให้ไดโนเสาร์คิดเป็นและคิดมากกว่าที่ไดโนเสาร์ปกติคิด”พ่อยังคงอธิบายต่อ
“หมายความว่า...”
“ก่อนอื่นพ่อขอถามว่าลูกรู้ข่าวที่ไดโนเสาร์หลุดออกจากกรงบ่อยแค่ไหน?”พ่อหันมาถามด้วยสีหน้าที่จริงจัง
“...ประมาณเดือนละ2-3ครั้ง”
“แล้วจำนวนมนุษย์ที่ต้องตายเพราะเข้าไปจับไดโนเสาร์ล่ะ?”
“...หลายสิบคน...บางทีก็เป็นร้อย”ผมตอบไปตามที่ได้ยินข่าวมา
“พ่อรู้และคิดมาตลอดว่าไม่สมควรสร้างไดโนเสาร์ขึ้นมา...ไม่ควรทำให้มันมีชีวิตเพราะพวกมันจะล่าทุกอย่างที่มีชีวิตบนโลก ทั้งที่คิดแบบนั้นแต่ด้วยความอยากรู้อยากเห็นก็ได้ทำให้พ่อทิ้งจิตสำนึกทุกอย่างไปจนไดโนเสาร์จำนวนมากถือกำเนิดขึ้น...”
“...”ผมยืนฟังสิ่งที่พ่อกำลังบอกอย่างเงียบๆแล้วเริ่มคิดตาม
“พอมารู้ตัวอีกทีไดโนเสาร์ก็ฆ่าชีวิตไปมากมายทั้งคนที่ให้อาหารคนที่ดูแล...ทั้งที่พวกเรารักแต่ไดโนเสาร์กลับไม่รับรู้ถึงเรื่องนี้ ในทุกๆเดือนมีแต่ข่าวไดโนเสาร์หลุดและมีคนมากมายต้องตายลงและพ่อเป็นคนทำให้พวกเขาต้องตายเพราะสร้างไดโนเสาร์ขึ้นมา...”
“พ่อ...”
“พ่อรู้ว่าผิดแต่จะให้พ่อฆ่าไดโนเสาร์พวกนี้พ่อก็ทำไม่ได้...จนในที่สุดพ่อก็นึกขึ้นมาได้ว่าไดโนเสาร์แต่ละสายพันธุ์ต่างก็มีจ่าฝูงและหัวหน้า อาจมีบางสายพันธุ์ที่อยู่เดี่ยวๆแต่ก็มีศรัตรูที่ไม่กล้าเข้าใกล้...”
“หรือว่า...”ผมเริ่มรู้แล้วว่าสิ่งที่พ่อต้องการคืออะไร
“ใช่...พ่อคิดว่าถ้าไดโนเสาร์หลุดออกมาสิ่งเดียวที่จะหยุดได้ก็คือไดโนเสาร์ด้วยกันเองแต่เพราะความดุร้ายที่พอๆกันทำให้พ่อคิดว่าควรใส่ยีนส์ของโทรโอดอนที่มีสมองมากที่สุดกับมนุษย์ลงไปเพื่อให้คิดเป็น...เพื่อจะได้มีไดโนเสาร์ที่สารมารถสื่อสารทั้งมนุษย์และไดโนเสาร์ได้ รวมทั้งยังเป็นราชาของเหล่าไดโนเสาร์ในยุคนี้ ถ้าเป็นแบบนั้นก็คงการรตายอย่างเปล่าประโยชน์ของมนุษย์คงลดลง”พ่ออธิบายทุกอย่างพร้อมกับมองเข้าไปในกระจก ร่างของลูกผสมระหว่างไดโนเสาร์กับมนุษย์ค่อยลุกขึ้นยืนด้วยสองขา...
ด้วยร่างกายที่ไม่คุ้นชินกับน้ำหนักทำให้ร่างนั้นต้องทรุดตัวลงกับพื้นอีกครั้งเส้นผมสีเทายาวรกรุงรังปิดใบหน้าไว้จนแทบมองไม่เห็น
ตอนนี้ผมเข้าใจความหมายที่พ่อสร้างเขาขึ้นมาแล้วล่ะ...จริงอยู่ว่าการทำแบบนั้นจะช่วยลดการสูญเสียได้อย่างมากมายเพราะสายพันธุ์ไดโนเสาร์ที่ผสมลงไปเป็นสายพันธุ์ที่เรียกว่าเป็นสุดยอดของเหล่านักล่า ไดโนเสาร์ที่หลุดออกจากกรงคงรีบวิ่งกลับเข้ากรงทันทีเมื่อเห็นแน่
แต่นั่นหมายถึงเราสามารถสื่อสารกับเขารู้เรื่องละก็นะ
“ผมเข้าใจล่ะ...แล้วพ่อสื่อสารกับเขาได้ไหมล่ะ?”ผมถามสิ่งที่อยากรู้ที่สุดออกไป
“...”พ่อหันมามองผมด้วยสายตาเศร้าๆก่อนจะส่ายหัวไปมา
นั่นไง...
ไม่ได้จริงๆด้วย...ถึงจะมียีนส์ของมนุษย์แต่ก็มียีนส์ของไดโดเสาร์กินเนื้ออยู่ถึง4ชนิดภายในร่างไม่มีทางที่จะสื่อสารกันได้ง่ายๆแน่...
“ทำไมพ่อไม่เอายีนส์ของไดโนเสาร์กินพืชที่เป็นมิตรลงไปแทนไดโนเสาร์กินเนื้อเล่าอย่างน้อยๆก็จะได้ไม่อันตราย”ผมพูดขึ้นเมื่อนึกขึ้นมาได้ นี่ถือเป็นการทดลองแรกเพราะงั้นก็น่าจะลองอะไรที่มีความเสี่ยงน้อยๆก่อนไม่ใช่มาทีแรกก็เสี่ยงตายขนาดนี้
“...จริงด้วย”พ่อเบิกตากว้างเมื่อได้ยินคำพูดผม...
แปลว่าพ่อไม่ได้นึกถึงเลยสินะ!
ในหัวพ่อคงคิดว่าไดโนเสาร์ที่ต้องเป็นราชาของไดโนเสาร์ในยุคนี้ต้องเป็นพวกกินเนื้อเท่านั้นทั้งที่พวกกินพืชก็มีมากมายที่แข็งแกร่ง อีกทั้งยังมีเกาะป้องกันที่มากกว่าสายพันธุ์กินเนื้ออีก ดีไม่ดีถ้าสื่อสารกันเข้าใจก็สามารถให้มนุษย์เข้าไปช่วยเสริมได้
“พ่อ!!”
“ขอโทษ...พ่อลืมนึกเรื่องนี้ไปสนิทเลย”
“แล้วพ่อจะทำยังไงต่อล่ะ?...เขาอยู่ในนี้มาสองปีแล้วใช่ไหม?”ผมรัวคำถามใส่พ่อ
“พ่อไม่รู้กะว่าจะมาขอความเห็นลูก...ส่วนอีกคำถามใช่เขาอยู่ในนี้มาสองปีแล้ว”พ่อตอบคำถามผมเสียงอ่อย
“เขาได้ออกไปข้างนอกบ้างไหม?”ผมยังคงถามต่อ
“ได้ออกไปช่วง2เดือนแรกแต่หลังจากนั้นก็พาออกไปไม่ไหว...คนที่พาออกไปตอนนี้นิ้วขาดเพราะโดนเขาจัดการไปแล้ว”คำพูดของพ่อทำให้ผมอยากเป็นลมจริงๆ
“พ่อเลี้ยงเขาโดยให้อยู่แต่ในที่แคบๆแบบนี้ไม่ได้นะ!...แล้วทำไมถึงเลี้ยงตัวเดียวล่ะก็รู้นี่ว่าไดโนเสาร์ถ้าถูกเลี้ยงเดี่ยวจะเข้าสังคมไม่เป็นนี่เป็นพื้นฐานของพื้นฐานเลยนะ!!”ผมบ่นออกไปอย่างเหลืออด
“ก็พ่อคิดว่าถ้าเลี้ยงดูเหมือนเป็นมนุษย์และให้อยู่กับมนุษย์มากๆจะดีกว่า...ใครจะคิดว่ามันไม่ได้ผลล่ะ”เป็นอีกครั้งที่พ่อพูดเสียงเศร้า
“ถ้าเป็นแบบนั้นก็คงทำอะไรไม่ได้นอกจากเลี้ยงเขาเหมือนไดโนเสาร์ตัวนึงแล้วก็ปิดข่าวเรื่องการทดลองนี้ซะไม่งั้นเกิดเรื่องแน่”ตอนนี้ผมคิดหนทางอื่นไม่ออกเลยจริง
“ลูกไม่ลองไปคุยกับเขาดูหน่อยเหรอ?”
“พ่อจะให้ผมไปเป็นอาหารเขารึไงครับ!”ผมสวนกลับไปอย่างรวดเร็ว
“ไม่ใช่นะ...แค่คิดว่าลูกอาจสื่อสารกับเขาได้ขนาดไทเซอราท๊อปยังเชื่องกับลูกเลย”
“นั่นมันไดโนเสาร์กินพืช...ถ้าเข้าหาดีๆใครก็ทำได้”ผมบอกออกไปก่อนจะถอนหายใจอย่างปลงๆ...เมื่อ4ปีก่อนที่มาที่เกาะนี้ผมได้มีโอกาสเข้าไปช่วยรักษาฝูงไทเซอราท๊อปที่ป่วยเพราะโรคระบาดทำให้หลายคนที่นี่คิดว่าผมเป็นสัตวแพทย์
ถึงจะเรียนด้านการเพาะเนื้อเยื่อเป็นวิชาเอกแต่วิชาโทผมก็การแพทย์ไดโนเสาร์นะครับ
“งั้นนี่ก็ต้องทำได้เหมือนกันแหละ”
“เหมือนที่ไหนกัน”
“แล้วลูกคิดว่าพ่อในยีนส์ของมนุษย์คนไหนลงไปกันล่ะ?”คำถามของพ่อทำให้ตัวผมชะงักพร้อมกับประมวลความคิดในสมอง...
ก็ใช่ที่ยีนส์ของมนุษย์นั้นมากมายจนนับไม่ถ่วยและของแต่ละคนก็แตกต่างกันไปตามพันธุกรรม...แต่ถ้าจะเป็นยีนส์ที่ใส่ลงไปผสมกับไดโนเสาร์ก็ต้องเป็นคนที่มีความพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจพูดง่ายๆก็ต้องเป็นยีนส์ที่มีความพิเศษ
เดี๋ยวนะ...ถ้าพ่อถามว่ามนุษย์คนไหนแปลว่าต้องเป็นคนใกล้ตัวที่สามารถหาดีเอ็นเอมาได้ง่ายๆโดยไม่ถูกจับถ้าขืนวิ่งไปเจาะเลือดใครมาแล้วเอามาใส่ลงในไดโนเสาร์ถ้าเจ้าของรู้เรื่องต้องกลายเป็นเรื่องระดับประเทศแน่
คนใกล้ตัวพ่อ...
อย่าบอกนะว่า...
“...พ่อ...คงไม่ใช่ว่าเป็นยีนส์ของ...”ผมเว้นคำพูดไว้ก่อนจะชี้นิ้วเข้าหาตัวเองโดยในใจก็ภวนาขอให้ผู้ชายตรงหน้าส่ายหัวด้วยเถอะ
“...ตามที่ลูกคิดเลย”พ่อบอกพร้อมกับพยักหน้าขึ้นลง
พระเจ้า...อยากจะบ้าตายจริงๆ
มีพ่อแม่ที่ไหนเอายีนส์ลูกตัวเองไปผสมใส่ในไดโนเสาร์บ้างเล่า!!!
“พ่อจะบ้าเหรอ!...ผมฟ้องพ่อได้เลยนะ!!”
“พ่อรู้ว่าลูกไม่ทำหรอก”พ่อบอกเสียงอ้อน
“ทำไมไม่เอายีนส์ของตัวเองหรือของแม่เล่าทำไมต้องเป็นผม?”
“ก็เพราะยีนส์ลูกมีความสมบูรณ์และพร้อมที่สุดไงล่ะ”
“คำตอบสิ้นคิด!”ผมสวนกลับไปอย่างรวดเร็ว
“โหยลูกรักช่วยพ่อหน่อยเถอะ”พ่อพูดพร้อมกับวิ่งเข้ามากอดผมไว้
“ถึงจะเป็นแบบนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะสื่อสารกับเขาได้นี่”
แค่ใช้ยีนส์ผมไม่ได้หมายความว่าเขาต้องฟังผมหรือจะสื่อสารกันได้ ถ้าจะเอาตรงๆยีนส์ผมก็มาจากพ่อแม่นั่นแหละถ้าพ่อยังทำไม่ได้แล้วผมจะทำได้ยังไง!
“ลองดูก็ไม่เสียหายนี่ลูก...นะเซโคร”
ผมยังคงส่ายหัวเพื่อยืนยันคำตอบ
“น่านะเซโคร”
ผมยังคงยืนกรานคำตอบ
“นะนะนะนะครับ...นะลูกรัก”
“...ครั้งเดียวนะ”สุดท้ายผมก็ยอมจนได้
“เยี่ยม...งั้นเข้าไปเลยได้เวลาให้อาหารพอดี...เอ้ย...ได้เอาอาหารไปให้...เอ๊ะ...ทำไมคำพูดมันเหมือนจะส่งลูกไปเป็นอาหารเลยล่ะ”
“ได้เวลาไปหยิบอาหารให้เขาแล้วใช่ไหม?”ผมส่ายหัวกับความบ๊องของพ่อตัวเอง
“ใช่ๆ...ตามพ่อมาเลย”ผมตามพ่อเข้าไปที่ห้องด้านข้างภายในห้องสีขาวเต็มไปด้วยตู้เย็นขนาดใหญ่และโถวขวดแก้วที่ใส่อาหารเม็ดเรียงเอาไว้เป็นแถว
ผมมองพ่อที่เดินไปเปิดตู้เย็นยักษ์แล้วลากเนื้อวัวสีแดงฉานที่ถูกเลาะหนังและกระดูกออกมาวางไว้บนโต๊ะยาวกลางห้องก่อนจะไปหยิบมีดมาแล่มันออกเป็นชิ้นขนาดrvประมาณก่อนจะโยนใส่ถังที่เตรียมไว้ด้านข้าง
“ทำไมพ่อไม่ให้คนอื่นแล่ไว้ให้ล่ะ?”ผมถามออกไปด้วยความสงสัย ระดับหัวหน้าองค์กรทำไมต้องมานั่งแล่เนื้อเองด้วย
“คนที่ทำหน้าที่แล่เนื้อและให้อาหารพึ่งลาออกไปเมื่อวาน”
“ทำไมล่ะ?”
“เพราะมือเกือบขาดตอนที่โยนอาหารไปให้”คำตอบที่ได้รับทำให้ผมต้องกลืนน้ำลายดังเอื้อก
นี่ผมจะมีชีวิตรอดไปถึงวันพรุ่งนี้ไหมนะ
เซโครเดินหิวทั้งใส่เนื้อและอาหารเม็ดเต็มสองมือเข้าไปในห้องอีกด้านหนึ่งที่มีลักษณะเป็นห้องสี่เหลี่ยมขนาดเล็กที่พอให้คนอยู่สัก5คน ตรงหน้าเป็นกรงซี่หนาที่ถูกทำเป็นตารางถี่ๆเพื่อป้องกันอันตรายจากสิ่งมีชีวิตที่อยู่ด้านใน
(...เซโครได้ยินพ่อไหม?)เสียงของพ่อดังขึ้นมาจากบูทูธที่ติดอยู่ที่หูซ้ายของผม
“ครับ...ได้ยินชัดเลย”
(ลูกต้องระวังให้มากถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากลก็รีบหนีออกมาซะ)
“ได้ครับ”
(พ่อจะเปิดช่องกรงด้านซ้ายให้...เห็นไหม?)
“เห็นครับ”ผมตอบพ่อในขณะที่ขยับไปยังช่องกรงด้ายซ้ายที่ถูกเปิดออกเป็นช่องขนาดกลางที่เพียงพอจะส่งอาหารเข้าไปข้างในได้
(ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นให้รายงานได้เลยนะ)
“ครับพ่อ”
พอตอบกลับเสร็จผมก็หยิบเนื้อขึ้นมาชิ้นนึงแล้วใส่เข้าไปในช่องจนเนื้อตกลงไปที่พิ้นหญ้าด้างล่าง...ช่องส่งอาหารอยู่ระดับสายตาพอดีเมื่อผมนั่งลงทำให้ผมมีเวลามองสิ่งที่อยู่ภายในได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ถึงซี่กรงจะถูกทำเป็นตารางถี่ๆแต่ก็ยังสามารถมองเห็นด้านในได้แค่ไม่ชัดเท่านั้นเอง
“...”ผมเริ่มเกร็งตัวเมื่อสัมผัสได้ว่ามีเสียงอะไรบางอย่างกำลังเคลื่อนไหวตรงมาทางนี้ พอจ้องมองดีๆก็พบกับร่างมนุษย์ที่ค่อยๆคลานหมอบเข้ามายังเนื้อที่ผมหย่อนลงไป ทั้งที่สายพันธุ์ที่ผสมลงไปเป็นสัตว์ที่ใช้สองขาเดินแต่กลับคลานมาแปลว่ายังไม่ชินกับร่างกายที่เบาไม่ถึง100กิโลสินะ
กรร
ตึง
เสียงครางในลำคอดังขึ้นพร้อมกับสิ่งมีชีวิตอีกฝากหนึ่งของกรงกระแทกเข้าใส่เต็มแรงจนเกิดเสียงดังลั่น เส้นผมยาวสีเทาที่ปิดใบหน้ากับเปิดออกจนสามารถมองเห็นผิวสีแทนกับดวงตาสีอำพันได้อย่างชัดเจน ใบหน้าที่ดูไม่ออกว่าหล่อหรือขี้เหล่จากการที่มีดินติดอยู่เต็มไปหมด ริมฝีปากซีดของมนุษย์กำลังคาบเนื้อวัวสีแดงก่อนจะกลืนลงท้องไปทั้งสดๆแบบนั้น
พอเนื้อชิ้นแรกหมดผมก็ค่อยๆหย่อนเนื้อชิ้นที่สองลงไปแต่ยังไม่ทันได้ปล่อยก็ถูกปากนั่นงับเนื้อทั้งชิ้นแล้วดึงจนหลุดมือไป...เมื่อกี๊เกือบจะงับมือผมไปด้วยแล้ว
ตึก ตัก ตึก ตัก
หัวใจผมมันเต้นรัวด้วยความกลัวและตกใจโยที่ดวงตาสีเขียวอมฟ้าของตัวเองยังคงมองไปยังสิ่งมีชีวิตอีกฝากนึงของกระจกที่กลืนเนื้อลงไปอีกชิ้น...กว่าจะให้เนื้อหมดมือผมก็หวิดโดนงับไปไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบแถมยังเสียงขู่คำรามและกระแทกกรงนั่นอีก
ดวงตาสีอำพันที่จ้องมาราวกับกำลังโกรธ โมโห หงุดหงิดและเคียดแค้นทำให้ผมจ้องดวงตาคู่นั้นกลับไปอย่างต้องการคำตอบว่าอะไรที่ทำให้อีกฝ่ายเป็นแบบนั้น...มันคงไม่ใช่แค่สัญชาตญาณดิบที่ต้องการจะล่าเหยื่อเพียงเท่านั้นแต่ต้องมีอย่างอื่นด้วยสิ...
อะไรสักอย่างที่ผมก็บอกไม่ถูก
“นายโกรธอะไรน่ะ?”ผมลองถามอีกฝ่ายกลับไปแต่ก็ไม่ได้หวังว่าจะได้คำตอบหรอกนะ
กรร!
ตึง!
เป็นอีกครั้งที่เสียงครางต่ำดังขึ้นพร้อมกับแรงกระแทกที่กรงเหล็กหนา...อยากจะทำความเข้าใจแต่อีกฝ่ายคงไม่ให้ความร่วมมือ...ไม่สิ ผมยังไม่ทำแม้จะพยายามเข้าใจเลยนี่นา
ถ้าอยากได้ใจก็ต้องให้ใจ
คำพูดนี้ผุดขึ้นมาในหัวทำให้ผมทำในสิ่งที่ไม่คิดว่าตัวเองจะกล้าบ้าบิ่นถึงขนาดยื่นมือเข้าไปในกรงไดโนเสาร์พันธ์ผสมนั่น...
“โอ๊ย!!...”ผมร้องขึ้นแล้วดึงมือตัวเองกลับมาเมื่อสัมผัสได้ว่ามือตัวเองถูกกัดและกระชากอย่างแรงจนทั้งเจ็บทั้งชาไปทั้งมือ พอก้มลงมองก็เห็นมือที่โชกไปด้วยเลือดสีแดงฉานและบาดแผลบนมือ
ผมหันไปมองอีกฝากของกรงที่ไดโนเสาร์ลูกผสมยังคงจ้องมาพร้อมกับเลียเลือดผมที่ติดอยู่ที่ริมฝีปากอย่างเชื่องช้าราวกับกำลังชิมรสชาติคาวๆของเลือดผมงั้นแหละ
(เซโครเกิดอะไรขึ้น?...ลูกร้องนี่)เสียงของพ่อดังขึ้นอย่างร้อนรน
“...ผมถูกกัดนิดหน่อยครับ”ผมบอกความจริงไป
(ว่าไงนะ?...แล้วเป็นไงบ้าง...ไม่สิ...เดี๋ยวพ่อปิดกรงแล้วจะไปหานะ)พ่อบอกด้วยน้ำเสียงร้อนรนก่อนที่ช่องให้อาหารจะถูกปิดลง
ดวงตาสีอำพันจ้องมาที่ผมเหมือนกำลังจะสื่ออะไรสักอย่างก่อนที่ร่างนั้นจะทรุดลงไปกองที่พื้นหญ้าแล้วบิดเร้าตัวอย่างรุนแรง แขนและขาค่อยขยายออกแล้วเปลี่ยนเป็นสีเทาเข้มเล็บอันแหลมคมค่อยๆจิกบนพื้นหญ้าเพื่อพยุงตัวเช่นเดียวกับส่วนหัวที่ขยายออกจาเส้นผมสีเทายาวนั่นหายไปแทนที่ด้วยเขาสองอันบนหัว ปลายของหนามค่อยๆแทงขึ้นมาตามแนวสันหลังไปจนถึงปลายหางที่ค่อยๆยาวขึ้น
ร่างมนุษย์ได้กลับกลายเป็นไดโนเสาร์เหมือนเดิมแล้ว
กรร!!!
ตึง!!
เสียงขู่คำรามดังลั่นห้องก่อนที่ส่วนหัวที่มีเขาสองอันจะกระแทกเข้ามาที่กรงเหล็กที่ผมนั่งอยู่...เขี้ยวอันแหลมคมทั้งบนล่างทำให้ผมต้องถอยหลังจนชิดกำแพง...ทั้งที่ในใจกลัวแทบตายแต่สิ่งที่ผมบอกออกไปเหมือนเป็นคำกวนไดโนเสาร์ตรงหน้า...
“...ครั้งหน้าฉันจะกัดนายคืน!!”
หลังจากที่พ่อเข้ามาช่วยแล้วลากไปห้องพยายาบาลที่อยู่ชั้น1ผมก็ต้องนอนนิ่งๆให้ทั้งนายแพทย์ใหญ่ที่ประจำการอยู่ทั้ง3คนตรวจอย่างละเอียด หนำซ้ำยังต้องถูกพ่อแท้ๆของตัวเองสแกนไปทั้งตัวเพื่อดูว่ามีตรงไหนได้รับบาดเจ็บอีกกว่าจะเสร็จทุกอย่างก็ปาไปช่วงดึกแล้วพ่อเลยมาส่งผมที่ห้องพักส่วนตัวแล้วขอไปทำงานต่อ
เซโครทิ้งตัวลงบนเตียงกลางห้องแล้วยกมือข้างซ้ายที่ถูกพันผ้าไว้ขึ้นมาดู...ถือว่ายังโชคดีที่อยู่ในร่างมนุษย์เพราะถ้าอยู่ในร่างไดโนเสาร์มือข้างนี้คงถูกกลืนลงไปอยู่ในท้องแล้วย่อยสลายกลายเป็นอุนจิแล้วล่ะ
ถึงจะกลัวแต่ในใจลึกๆของผมบอกว่าน่าจะสื่อสารกับไดโนเสาร์ลูกผสมนั่นได้เพียงแค่คงต้องพยายามอย่างหนักจนถึงหนักมากที่สุด สัตว์ทุกชนิดย่อยมีสังคมและการสื่อสารที่แตกต่างกันถ้าผมพอจะจับจุดและสื่อสารได้มันจะช่วยให้ผมเข้าใจมากขึ้นว่าไดโนเสาร์ตัวนั้นกำลังคิดอะไรอยู่
การกลายร่างที่ยังไม่สเถียรเหมือนกับว่ายังควบคุมตัวเองไม่ได้ทำให้ผมคิดว่าต้องหาทางช่วยก่อนที่จะเกิดอาการคลุ้มคลั่งเพราะไม่เข้าใจในตัวเองซึ่งมันคงแย่มากถ้าอาการเป็นแบบนั้นแล้ว
เซโครนอนคิดทั้งคืนว่าควรจะทำยังไงเพื่อจะสื่อสารกันได้แต่สุดท้ายก็ยังไม่มีความคิดอะไรดีๆเลยสักอย่างเดียว...ผมเลยต้องจำใจออกจากห้องทั้งที่ไม่มีอะไรอยู่ในหัวเลยนั่นแหละ
แต่ถึงจะคิดอะไรไม่ออกแต่ผมก็ไม่มีทางยอมแพ้อย่างแน่นอน
มันคงเป็นเรื่องตลกถ้ามีใครบอกว่ามนุษย์สามารถสื่อสารกับไดโนเสาร์ได้และผมคงเป็นคนแรกที่จะหัวเราะก๊ากขึ้นมาอย่างไม่อายใครแต่ตอนนี้มันมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นจริง...
ความเป็นไปได้ที่มนุษย์สามารถสื่อสารกับไดโนเสาร์ได้และถ้าผมทำสำเร็จ...ไดโนเสาร์ตัวนั้นคงจะได้ออกมาเดินข้างนอกเหมือนกับมนุษย์คนนึง
“พ่อครับผมอยากเข้าไปในกรงให้อาหารเมื่อวานอีก”ผมเดินเข้าไปหาพ่อในห้องแล็บทดลองชั้น2
“เซโคร?...เข้าไป?...ลูกจะเข้าไปอีกเหรอทั้งที่มือลูก...”พ่อละมือออกจากเครื่องมือตรงหน้าแล้วมองลงไปยังมือข้างซ้ายที่พันผ้าพันแผลไว้
“ผมไม่เป็นไร...ผมอยากลองดูอีกครั้ง...ผมรู้สึกว่าสามารถสื่อสารกับเขาได้”ผมบอกพ่อออกไปด้วยน้ำเสียงแน่วแน่น
ดวงตาสีอำพันที่จ้องมาเหมือนจะสื่อความหมายอะไรสักอย่างก่อนที่จะกลายเป็นไดโนเสาร์...ความรู้สึกในตอนนั้นเหมือนอีกฝ่ายต้องการจะสื่ออะไรบางอย่าง
“นี่ลูกเอาจริงเหรอ?...พ่อคิดว่าควรถอดใจกับงานวิจัยนี่เพราะมีคนเจ็บตัวมากเกินไปแต่ลูกบอกว่าอยากลองอีกครั้งเหรอ?”สีหน้าของพ่อเต็มไปด้วยความกังวลแต่ประกายในแววตานั้นเหมือนกำลังคาดหวังในสิ่งที่ผมพูดออกไป
“ครับ...ผมอยากลองอีกครั้ง”
“งั้นตามมา...พ่อจะเอาลายนิ้วมือลูกไปลงทะเบียนและอนุญาติให้เข้าห้องใต้ดินชั้น2ได้ตามใจรวมถึงอุปกรณ์ทุกอย่างที่อยู่ที่นั่นด้วย”พ่อบอกแล้วลากผมออกไปจากห้องทดลอง
“ขอบคุณครับพ่อ”
“แต่ถ้าเกิดอะไรขึ้นลูกต้องกดสัณญาณฉุกเฉินทันทีสัญญานะ”พ่อกันมาบอกด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง
“สัญญาครับ”
กว่าจะลงทะเบียนลายนิ้วมือกับจัดการเรื่องต่างๆเสร็จก็กินเวลาไปหลายชั่วโมงและแล้วผมก็เข้ามาหยุดอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมที่ไว้สำหรับให้อาหารอีกครั้งนึง…
ครั้งนี้ผมเตรียมพร้อมเพราะใช้ที่คีบเนื้อแทนมือตัวเองเพื่อความปลอดภัย...แม้จะไม่ใช่เวลาอาหารแต่ในเมื่อผมอยากเจอตัวก็คงต้องล่อด้วยอาหารเท่านั้น ห้องกระจกมือพื้นที่ประมาณ30x30เมตรซึ่งถือว่ากว้างสำหรับมนุษย์แต่ก็ถือว่าแคบสำหรับไดโนเสาร์
ผมคีบเนื้อแล้วโยนลงไปบนพื้นหญ้าให้ไกลพอสมควรแล้วรอว่าเมื่อไหร่อีกฝ่ายจะโผล่ออกมา...เมื่อรอได้สักพักต้นไม้ใหญ่ด้านหลังก็เริ่มขยับพร้อมกับเสียงเดินของสิ่งมีชีวิตเพียงตัวเดียวที่อาศัยอยู่ ส่วนแรกที่ปรากฏออกมาให้เห็นคือหัวกระโหลกอันใหญ่โตตามมาด้วยร่างกายสีเทาเข้มที่มีลายพาดสีส้มที่เดินออกมา
ดวงตาสีอำพันจ้องมองมาอย่างไม่ไว้ใจก่อนจะค่อยๆก้าวเข้ามาใกล้และจัดการเนื้อที่ตกอยู่บนพื้นหญ้าผทเลยอาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายกำลังกินหย่อนเนื้อลงไปเพิ่มโดยให้ระยะหางระหว่างเราแคบลงทีละนิดๆจนในที่สุดส่วนหัวขนาดใหญ่ก็เข้ามาใกล้จนห่างกันไม่ถึงเมตร
“นี่...เมื่อวานนายกัดมือผมเป็นแผลรู้ไหม?”ผมเปิดการสนทนาพร้อมกับชูมือซ้ายที่พันแผลไว้ขึ้นไปให้ดู
อีกฝ่ายที่มองมาก็ทำเหมือนเป็นเรื่องไร้สาระก่อนจะพ่นลมหายใจออกทางรูจมูกขนาดใหญ่แล้วจัดการเนื้อชิ้นต่อไปที่อยู่บนพื้น
“ไม่คิดจะขอโทษหรือสำนึกหน่อยเหรอ?”ผมยังคงหาเรื่องพูดไปเรื่อยเพื่อดูว่าปฏิกิริยาจะเป็นยังไงแต่สิ่งที่ได้รับกลับมาก็ยังคงเป็นความเงียบและนิ่งเฉยเหมือนเดิม
“ผมชื่อเซโครนะ...ยินดีที่ได้รู้จักคุณโทรโอ ทาร์แรพ โซนอร์ ซอรัส”ผมพูดแนะนำตัวออกไปก่อนจะคลียิ้มให้ไดโนเสาร์ตรงหน้าบางๆ
“รู้ไหมว่าพอผมพูดชื่อสายพันธุ์นายที่ไรรู้สึกปวดหัวทุกทีเลย...ทั้งยาวทั้งไม่เพราะ...”
“จริงสิ...งั้นผมตั้งชื่อให้นายดีกว่า”ผมยังคงพูดกับตัวเองต่อไปโดยที่ไดโนเสาร์ลูกผสมพอกินเสร็จก็ทำท่าจะเดินกลับเข้าไปภายในป่าขนาดเล็ก
“เดี๋ยวๆ....จะไม่อยู่รอผมตั้งชื่อก่อนเหรอ?”ผมรีบบอกห้ามแต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ฟัง
“งั้นผมตั้งชื่อเห่ยๆให้เลยละกน...เป็นไดโนเสาร์ก็ชื่อเสาร์เป็นไง?...ฮะฮะฮะ”
กรร!!!
ตึง!!
ทันทีที่ผมพูดจบร่างกายอันใหญ่โตก็กระแทกเข้าที่กรงหนาพร้อมกับเสียงคำรามดังกึกก้อง...เสียงที่บ่งบอกถึงความโกรธและหงุดหงิดจนผมต้องผายยิ้มออกมาเมื่อได้รับการตอบสนอง
แปลว่าสามารถรับรู้ได้ว่าสิ่งที่ผมพูดเป็นสิ่งที่ไม่ดีต่อตัวเองก็เลยโกรธ...หรืออาจแค่รำคาญที่ผมพล่ามมากก็ไม่รู้เหมือนกัน เอาเป็นว่าขอคิดในแง่ดีไว้ละกัน
“ไม่เห็นต้องโกรธขนาดนั้นเลย...ไม่เอาชื่อเสาร์ก็ได้...อืม...นายอยากชื่ออะไรล่ะ?”ผมลองถามไดโนเสาร์ที่กำลังสะบัดหัวตัวเองเพราะมึนที่จากแรงกระแทกเมื่อครู่
“ยากเหมือนกันแฮะการตั้งชื่อน่ะ...อืมๆ...ไดโน...ซอรัส...สไป...”ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่รู้ว่าจะเอาชื่อไหนดีนะ
ยังไงก็เป็นไดโนเสาร์แถมพ่อยังตั้งชื่อสายพันธุ์ไปแล้วก็ควรเป็นชื่อที่เอามาจากสายพันธุ์สินะ...โทรโอดอน แรพเตอร์ สไปโน โซนอร์
“...ยูทาร์...ยูทาร์ดีไหม?...มาจากยูทาห์แรพเตอร์ไง?”ผมถามอย่างกระตือรือร้นที่คิดออกว่าจะเรียกชื่ออีกฝ่ายว่ายังไง
“ต่อจากนี้ผมจะเรียกนายว่ายูทาร์นะ!!”ผมประกาศก้องพร้อมรอยยิ้ม
...................................................................................
มุมให้ความรู้เรื่องไดโนเสาร์

โทรโอดอน (Troodon หรือ Troödon) เป็น ไดโนเสาร์ กินเนื้อที่จัดว่าเป็นไดโนเสาร์ทีมีความฉลาดมากที่สุด ไดโนเสาร์โทรโอดอนเป็นไดโนเสาร์ที่มีชีวิตอยู่ใน ช่วงครีเตเชียสตอนปลาย พบได้ ในประเทศอเมริกาและคานาดา ไดโนเสาร์โทรโอดอนจัดว่าเป็นไดโนเสาร์ที่มีขนาดเล็กกว่า ไดโนเสาร์พันธุ์อื่น ๆ เพราะโครงสร้างที่บอบบาง ลำตัวมีความยาวประมาณ 1.8 เมตร ข้างกะโหลกศีรษะของมัน ค่อนข้างแตกต่างจากไดโนเสาร์พันธุ์อื่น ๆ เพราะบริเวณด้านหลังและด้านข้างของจมูก จะมีโครงกระดูกแหลมโผล่ออกมา ฟันมีลักษณะแหลมและเป็นซี่เล็ก ๆ ตาโต ทำให้สามารถ มองเห็นวัตถุต่าง ๆ ได้ดี มีนิ้วมือสำหรับตะครุบ
ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก :
http://www.trueplookpanya.com/true/blog_diary_detail.php?diary_id=12890................................................................................
สวัสดีคะ
ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์ที่มากมายทั้งที่พึ่งลงเพียงตอนแรก
ดีใจมากที่มีคนสนใจแนวแปลกๆแบบนี้กันมากขนาดนี้
ปลื้มมากคะ

ตอนนี้พอจะมีความคืบหน้านิดหน่อยเนอะ...ค่อยๆเป็นค่อยๆไปละกันคะ
สำหรับการอัพจะมาอัพอาทิตย์ละครั้งนะคะหรือถ้าอาทิตย์ไหนว่างอาจมาอาทิตย์ละ2ครั้งแล้วแต่ภาระกิจที่มีคะ
ขอบคุณสำหรับทุกๆคอมเม้นท์และกำลังใจนะคะ
จะพยายามพัฒนาฝีมือในการแต่งให้มีมากขึ้นอีกคะ
ปล.มีใครอยากได้ฉากไหนเป็นพิเศษไหมคะ?(ยกเว้นncนะเพราะคงมีแน่นอนแต่ไม่ใช่เร็วๆนี้คะ)
ปล.2เรื่องนี้ปราศจากดราม่านะคะใครที่เป็นกังวลว่าจะมีฉากพระเอกตาย นายเอกถูกกิน รับรองว่าไม่มีหรอกคะ
คนแต่งชอบแนวหวานๆที่ออกแนวรักโรแมนติกค่า...อาจมีดราม่าบ้างแต่ไม่มากจนเกินไปคะ
ไว้เจอกันในตอนนหน้านะคะ

nicedog
♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪