กลายรักครั้งที่❧4 (ครึ่งแรก)
ตั้งแต่ลืมตาขึ้นมาสิ่งเดียวที่รับรู้ได้คือการล่าและฆ่าสิ่งใดก็ตามที่มีชีวิตและเคลื่อนไหว ห้องแคบที่อยู่เพียงลำพังยิ่งสร้างความสับสนให้มากขึ้น...สิ่งเดียวที่มองเห็นข้างนอกได้คือแผ่นใสๆที่อยู่ตรงหน้า
สิ่งมีชีวิตที่ยืนอยู่ด้านอกนั่นมองเข้ามาเหมือนเห็นสิ่งที่แปลกประหลาดและน่าขยะแขยง ในวันแรกๆที่มีชีวิตจำได้ว่าถูกสัมผัสและพาออกไปยังที่กว้างที่มีสายลมเข้ามาปะทะร่างทำให้รู้สึกอยากวิ่งแต่พอออกวิ่งกลับถูกอะไรสักมาคลุมร่างกายไม่ให้ขยับแล้วหลังจากนั้นก็ไม่เคยได้ออกไปที่กว้างนั่นอีกเลย
วันแล้ววันเล่าที่ต้องอยู่ภายในพื้นที่แคบๆที่ไม่มีอะไรนอกจากต้นไม้สูง อาจเพราะขนาดตัวที่ไม่เหมือนเดิมทำให้ห้องยิ่งแคบลงเรื่อยๆ ทั้งที่ส่งเสียงเรียกร้องออกไปแต่สิ่งที่ได้รับกลับมามีเพียงความเงียบและว่างเปล่า
สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์บอกว่าสามารถสื่อสารกันได้รู้เรื่อง...ทั้งที่บอกแบบนั้นแต่กลับไม่เคยเข้าใจ
เพียงแค่คำรามเหล่ามนุษย์ที่ให้อาหารก็ต่างพากันหวาดกลัว ยิ่งหวาดกลัวสัญชาตญาณในตัวก็ยิ่งถูกปลุกให้ไล่ล่าพวกมัน...
ยิ่งวิ่งหนียิ่งอยากไล่
ยิ่งกรีดร้องยิ่งอยากได้ยิน
เหมือนสัญชาตญาณที่ถูกปลุกขึ้นแล้วก็ไม่สามรถหยุดมันได้
กลิ่นและรสสัมผัสของเลือดที่คาวๆยิ่งทำให้ไม่อาจหยุดตัวเองได้ทั้งที่ในหัวสั่งห้ามแต่ร่างกายบอกให้ทำ บอกให้ฝังเขี้ยวลงบนร่างของสิ่งมีชีวิตที่แสนอ่อนแอนั่น
แต่บางครั้งร่างกายกลับแปลกไปไม่เหมือนเดิม...ห้องที่แคบกลับดูกว้างขึ้นอย่างน่าประหลาดทั้งที่อยากเดินไปดูรอบๆแต่สิ่งที่ทำได้มีแค่นอนแผ่อยู่กับที่ เพียงแค่ลองยกตัวเองขึ้นร่างกายก็ฮวบลงอย่างไม่ทันตั้งตัว เขี้ยวเล็บปลายแหลมกลับหายไปกลายเป็นเพียงเนื้อหนังกุดๆสีแปลกตาและสัมผัสของเส้นบางอย่างที่อยู่บนหัวจนสู้สึกรำคาญ
ความเจ็บปวดและทรมานเกิดขึ้นในทุกวันเมื่อร่างกายขยายและหดเล็กลง...เมื่อก่อนมีมนุษย์อยู่นอกแผ่นใสๆนั่นมากมายแต่ตอนนี้กลับไม่เหลือเลยสักคน มีเพียงอาหารและมนุษย์หน้าใหม่กลิ่นใหม่เข้ามาในทุกๆวัน
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปแค่ไหนยิ่งฝืนอยากออกไปโดยการวิ่งชนแผ่นใสหรือกรงที่อยู่รอบๆก็จะโดนอะไรบางอย่างที่เจ็บแปร๊บแล่นเข้ามาจนแทบไม่อยากขยับเขยื่อน
ยิ่งเคลื่อนไหวยิ่งเจ็บปวนจนไม่เข้าใจว่าตัวเองทำอะไรผิด
มนุษย์โหดร้าย...ทุกครั้งที่เข้ามาจะได้รับแต่ความเจ็บปวด
อยากฆ่า
อยากล่า
อยากทำทุกอย่างเพื่อระบายสิ่งที่อัดอั้นนี่ให้ทุกคนได้รู้
ชีวิตที่ดำเดินไปอย่างที่ไม่รู้ว่าสิ้นสุดลงเมื่อไหร่ ความเงียบและความเหงาที่ต้องอยู่เพียงลำพังไม่มีแม้เสียงของสิ่งมีชีวิตอื่น
จำได้ว่าก่อนมนุษย์เข้ามาจะมีเสียงดังขึ้นนั่นเป็นสิ่งที่จำได้ขึ้นใจเลยมักจะไปหลบอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ไม่ให้ใครได้เห็น...อาหารส่วนมากก็จะถูกเทกองไว้อย่างไม่ใยดีพอเสียงนั่นดังขึ้นอีกครั้งก็เป็นสัญญาณว่ามนุษย์ไปแล้ว
ยิ่งต่อต้านยิ่งเจ็บปวดเลยเรียนรู้ที่จำทำยังไงไม่ให้เจ็บอีก
มีสองทางคือหลบเลี่ยงกับขู่คำรามและพุ่งชน
นั่นทำให้พวกมนุษย์ไม่กล้าเข้ามา...
และทำให้พื้นที่นี่เงียบสงบทว่าแสนเหงา
มนุษย์ไม่พยายามแต่หวังจะเข้าใจ...
ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเห็นแก่ตัวนัก
ความคิดแบบนั้นวนเวียนอยู่ในหัวมาตลอดจนถึงวันหนึ่ง...วันที่มนุษย์หน้าแปลกกลิ่นแปลกที่ไม่เคยเห็นเข้ามา ทั้งที่คิดว่าเป็นเพียงคนให้อาหารใหม่เลยออกไปดูแต่ดวงตากลมโตสีสวยราวกับทุ่งหญ้าเขียวขจีนั่นทำให้บางอย่างเริ่มไม่ปกติเลยขู่คำรามเสียงดังเป็นการไล่ไม่ให้เข้ามาใกล้มากกว่านี้
แต่นอกจากมนุษย์นั่นจะไม่ฟังยังเข้ามาให้อาหารเหมือนไม่กลัวเสียงคำรามที่ส่งไปเลยสักนิด...ร่างกายที่หดลงทำให้เคลื่อนไหวไม่สะดวกนักเลยต้องคลานเข้าไปตรงที่ให้อาหาร
กลิ่นที่ไม่คุ้นเคยแต่กลับดึงดูดอย่างน่าประหลาด...มือของมนุษย์ที่ยื่นเข้ามาทำให้เผลอกัดเข้าไปเต็มแรงเพราะนึกว่าเป็นอาหาร ของเหลวสีแดงสดและกลิ่นเลือดที่อบอวนอยู่ในปากช่างหอมหวานกว่าเลือดของมนุษย์คนไหนที่เคยสัมผัส
สีหน้าที่เจ็บปวดทำให้คิดว่าคงไม่ได้เจอกันอีกเป็นครั้งที่สองแน่แต่คำพูดที่เหมือนคำยียวนที่ส่งมาแม้จะไม่เข้าใจความหมายแต่กลับรู้สึกแปลกเหมือนนี่จะไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่เจอกัน
‘ยูทาร์’
มนุษย์คนนั้นเรียกแบบนั้นและยังเรียกติดต่อกันมานานจนไม่รู้ว่านานแค่ไหนแถมยังแทนตัวเองว่า ‘ผม’...งั้นก็ควรแทนตัวเองแบบนั้นด้วยสินะ...
ผมไม่รู้ว่าคำว่า ‘ชื่อ’ ที่ว่าคืออะไรแต่เห็นเรียกบ่อยๆคงเป็นตัวแทนของสิ่งมีชีวิตนั้นๆแล้วคนที่ตั้งชื่อยูทาร์ให้ผมก็มีชื่อว่า ‘เซโคร’
“...กรร..โกร”เมื่อพยายามจะออกเสียงแต่เสียงที่ได้มากลับไม่เป็นอย่างที่ตั้งใจ
ในทุกๆวันมนุษย์ที่ชื่อเซโครจะเข้ามาให้อาหารและเล่าเรื่องหลายๆอย่างให้ฟังถึงจะน่ารำคาญจนต้องเดินหนีแต่ช่วงหลังๆกลับรู้สึกอยากฟังเสียงนั่นขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกจนถึงวันหนึ่งที่เซโครหลับอยู่ข้างหน้าผม...
ใบหน้าตอนหลับทำให้ผมเผลอมองอยู่นานจนผล่อยหลับตามไปด้วยพอตื่นมาอีกทีใบหน้าขาวๆก็มาซบอยู่ข้างๆซะแล้ว...ดวงตาสีสวยที่สบมาพร้อมยิ้มทำให้เกิดความรู้สึกแปลกๆที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนตั้งแต่เกิดมา
มือที่วางทาบลงมาทำให้เผลอสูดดมกลิ่นและจดจำเอาไว้ ความจริงผมก็จำกลิ่นของเซโครได้ตั้งแต่วันแรกที่กัดมือแล้วล่ะ...
‘เพื่อน’
เป็นคำที่เซโครพูดขึ้นด้วยยิ้มและผมไม่เข้าใจความหมายมัน...เหมือนกับการอยู่รวมกันเป็นฝูงใช่ไหม?
น่าแปลกที่ไม่เคยมีฝูงแต่กลับรู้สึกราวกับรู้จักคำคำนี้ดี...ไม่ใช่แค่คำนั้นคำเดียวแต่มีอีกมากมายทั้งที่ไม่รู้จักแต่กลับเข้าใจ
ทั้งที่พยายามจะเข้าใจแต่เสียงนึงก็ดังขึ้นพร้อมกับร่างของมนุษย์อีกคนที่เดินเข้ามา…นั่นเหมือนสวิทช์บางอย่างที่ปิดอยู่ถูกเปิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนควบคุมตัวเองไม่ได้พอรู้อีกทีร่างกายก็พุ่งเข้าหามนุษย์คนนั้นพร้อมกับปากที่อ้าออกราวกับจะฆ่าคนที่เข้ามาให้ตาย
ไม่อยากให้ชื่อ ‘เซโคร’ ดังออกมาจากปากใคร
ไม่อยากให้มนุษย์ที่ชื่อเซโครออกไปแล้วทิ้งกันไว้แบบนี้
พอมองไม่เห็นเลยตัดสินใจเดินไปทางผนังใสๆที่เห็นมนุษย์สองคนยืนคุยกันอยู่ก่อนที่เซโครจะเดินเข้ามาใกล้แล้วชี้นิ้วไปทางห้องให้อาหาร...
หมายถึงให้ไปทางนั้นใช่ไหม?
ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจแต่ก็ยอมทำตามโดยการก้าวเข้าไปที่เดิมแล้วเดินเข้าไปหาเซโครที่ยืนยิ้มอยู่ตรงหน้า...คำที่เหมือนเอ่ยชมทำให้รู้สึกดีใจอย่างประหลาด
‘เชื่อใจ’
คำคำนั้นคืออะไร?
ไม่เข้าใจแต่กลับรู้สึกอบอุ่นอย่างน่าประหลาด
ผมเลยพยายามจะเรียกเซโครแต่ดูเหมือนจะทำได้เพียงแค่อ้าปากกว้างๆเท่านั้นแต่อีกฝ่ายกลับหลุดหัวเราะออกมาก่อนจะบอกลาแล้วออกไปจากห้อง
และอีกครั้งที่เซโครเข้ามาให้อาหารผมแต่สิ่งที่ไม่เหมือนเดิมคือของอะไรสักอย่างที่เป็นเครื่องสี่เหลี่ยมทันทีที่เซโครยกมันขึ้นแสงสีขาวก็สว่างออกมาจนผมคิดว่าเกิดอะไรขึ้นกับคนตรงหน้าเลยขู่คำรามและวิ่งชนหมายจะให้สิ่งที่ขวางกั้นอยู่นั้นหายไป
‘จะไม่ยอมให้อะไรมาทำร้ายเซโคร!’
ความนึกคิดดแปลกๆที่ไม่เคยเกิดขึ้นกลับเด่นชัดขึ้นมาอย่างหน้าประหลาด
ร่างกายขยับไปก่อนที่จะรู้ตัว โดนสติและสัญชาตญาณดิบกลืนกินจนแทบไม่รับรู้อะไรนอกจากจะทำลายสิ่งที่ขวางอยู่เท่านั้นกว่าที่จะรู้ตัวดวงตาสีอำพันของตัวเองก็สะท้อนภาพของเซโครที่มีน้ำใสๆอาบอยู่เต็มใบหน้ายืนอยู่ตรงหน้าผมแล้ว
‘เจ็บ’
คำคำนี้ผุดขึ้นมาทั้งที่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร มันคล้ายๆกับตอนที่ร่างกายหดลงแต่ความเจ็บปวดและทรมานมันมากกว่านั้นเพียงแค่เห็นน้ำใสๆนั่น...ผมก็หยุดการเคลื่อนไหวในทันที
แววตาที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงและอ่อนโยนทำให้ผมอยากจะเห็นมันอีก
ช่วงเวลาที่ไม่มีเซโครอยู่มันเงียบมาก...เหมือนกับแสงสว่างมันได้ดับลงอยากให้ถึงเวลาอาหารเร็วๆเพื่อจะได้เห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มนั้น
ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่โหยหา
ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่อยากเจอ
และไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่จะได้สัมผัส
อยากสัมผัสเซโคร...ครั้งสุดท้ายที่สัมผัสมันมาพร้อมกับรสและกลิ่นคาวเลือดอันหอมหวานแต่ครั้งนี้จะไม่ทำให้เซโครต้องเจ็บ...
อยากสัมผัสจัง
มันจะอุ่นขนาดไหนกันนะ
......................................................................................
มุมให้ความรู้เรื่องไดโนเสาร์

ไทแรนโนซอรัส หรือ ทิแรนโนซอรัส (ชื่อวิทยาศาสตร์: Tyrannosaurus แปลว่า กิ้งก่าทรราชย์ มาจากภาษากรีก) เป็นสกุลหนึ่งของไดโนเสาร์ประเภทเทอโรพอด ชนิดเดียวที่เป็นที่รู้จักในสกุลนี้คือ ไทแรนโนซอรัส เรกซ์ (ชื่อวิทยาศาสตร์: Tyrannosaurus rex; rex แปลว่า ราชา มาจากภาษาละติน) หรือเรียกอย่างย่อว่า ที. เรกซ์ (T. rex) เป็นไดโนเสาร์กินเนื้อขนาดใหญ่ มีถิ่นอาศัยตลอดทั่วตะวันตกเฉียงเหนือของทวีปอเมริกา ซึ่งกว้างกว่าไดโนเสาร์วงศ์เดียวกัน ไทแรนโนซอรัสอาศัยอยู่ในยุคครีเทเซียสตอนปลายหรือประมาณ 68 ถึง 65 ล้านปีมาแล้ว เป็นหนึ่งในไดโนเสาร์พวกสุดท้ายที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับนก ซึ่งมีชีวิตอยู่ก่อนการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ครั้งที่สามในยุคครีเทเชียส
ไทแรนโนซอรัสเป็นสัตว์กินเนื้อ เดินสองขา มีกะโหลกศีรษะที่ใหญ่ และเพื่อสร้างความสมดุลมันจึงมีหางที่มีน้ำหนักมาก มีขาหลังที่ใหญ่และทรงพลัง แต่กลับมีขาหน้าขนาดเล็ก มีสองกรงเล็บ ถึงแม้ว่าจะมีไดโนเสาร์กินเนื้อชนิดอื่นที่มีขนาดใหญ่กว่าไทแรนโนซอรัส เรกซ์ แตมันก็มีขนาดใหญ่ที่สุดในไดโนเสาร์วงศ์เดียวกันและเป็นหนึ่งในผู้ล่าที่มีขนาดใหญ่ที่สุดบนพื้นพิภพ วัดความยาวได้ 13 ม.สูง 4 ม. จากพื้นถึงสะโพก และอาจหนักถึง 6.8 ตัน ในยุคสมัยของไทแรนโนซอรัส เรกซ์ที่ยังมีนักล่าขนาดใหญ่ชนิดอื่นๆนั้น ไทแรนโนซอรัส เรกซ์อาจเป็นนักล่าที่อยู่บนสุดของห่วงโซ่อาหาร เหยื่อของมันเช่น แฮโดรซอร์ และ เซอราทอปเซีย เป็นต้น ถึงแม้ว่าผู้เชี่ยวชาญบางคนเชื่อว่าโดยพื้นฐานแล้วไทแรนโนซอรัส เรกซ์เป็นสัตว์กินซาก การถกเถียงในกรณีของไทแรนโนซอรัสว่าเป็นนักล่าหรือสัตว์กินซากนั้นมีมานานมากแล้วในหมู่การโต้แย้งทางบรรพชีวินวิทยา
ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก :
https://th.wikipedia.org/wiki/ไทแรนโนซอรัส
.......................................................................
สวัสดีคะ
ครั้งนี้มาอัพเร็ว(แต่แค่ครึ่งเดียว)เพราะหลังจากนี้จะมีธุระคะคงมาอัพไม่ได้กว่าจะเสร็จน่าจะปลายๆสัปดาห์
ตอนนี้ลองเล่าในมุมของยูทาร์บ้าง...พยายามบรรยายออกมาโดยใช้อารมณ์แบบไม่เข้าใจตามที่เราคิดจนได้ออกมาตามนี้แหละคะ
ไว้มารอดูว่าครึ่งหลังจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นกันนะคะ
วันนี้ขอตอบ2เม้นท์ที่น่าสนใจก่อนนะคะ
ถึงคุณ เกริด้า(๐-*-๐)v : ขอบคุณสำหรับข้อมูลที่ให้มานะคะจะเอาไปปรับปรุงแล้วจะลงใหม่อีกรอบนึงคะถ้ามีตรงไหนคิดว่าไม่เหมาะสมสามารถติได้เลยนะคะ...ขอบคุณจริงๆคะ
ถึงคุณ ohuii : คำตอบของคำถามเราเองก็คิดอยู่เหมือนกันว่าตกลงยังไงแน่...คือตอนแรกเราเพียงแค่คิดว่ายีนส์ของเซโครที่อยุ่ในตัวยูทาร์เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งที่ทำให้ยูทาร์สามารถกลายเป็นมนุษย์แต่ตอบโจทย์ที่ว่าทำไมยูทาร์ถึงเชื่องกับเซโครมากกว่าคนอื่น...พอได้เจอคำถามนี้มาเราเลยไปหาข้อมูลเพิ่มเติมคะ เห็นว่าในยีนส์นั้นบางอย่างก็ไม่ได้อยู่ในDNAจึงไม่จำเป็นต้องเป็นพี่น้องหรือสายเลือดเดียวกันคะ ที่เขียนมาอาจดูงงๆเราก็เริ่มงงแล้วคะ...เอาเป็นว่าไม่ได้เป็นพี่น้องหรือพ่อลูกแต่อาจมีเหมือนกันอย่างพวกกรุ๊ปเลือดหรือเพศคะ

ขอขอบคุณทุกๆกำลังและทุกๆคอมเม้นท์รวมทั้งคำติชมต่างๆด้วยนะคะ
แต่งเรื่องนี้แล้วรู้สึกมีความสุขมากคะและอยากเห็นฉากบูีๆด้วยแต่ต้องรอไปก่อนเนอะ555+
ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้านะคะ

nicedog
♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪