กลายรักพิเศษ❧ อานโน่
ในแต่ละวันมักเริ่มต้นด้วยการลืมตาตื่นและเข้าไปอาบน้ำเพื่อชำระสิ่งสกปกก่อนจะเปลี่ยนไปทำมื้อเช้า ทุกๆวันของหัวหน้าหน่วยปฏิบัติการณ์พิเศษอย่างผมก็เป็นเช่นนั้นนอกจากวันนี้ที่แตกต่างเล็กน้อยจนถึงปานกลาง...
“อานโน่!!”ผมตะโกนเรียกชื่อของลูกชายสุดที่รักดังลั่นเมื่อเปิดประตูเข้าไปในห้องแล้วไปพบร่างที่ควรจะนอนอยู่บนเตียงเหมือนอย่างทุกที
“เกิดอะไรขึ้นเซโคร?”เสียงทุ้มของยูทาร์ดังขึ้นพร้อมกับสียงฝีเท้าที่วิ่งตามมา
ตั้งแต่ที่รับอานโน่มาอยู่ในฐานะลูกก็ผ่านไปเกือบปีแล้ว เป็นหลายเดือนแห่งการพัฒนาไม่ว่าจะเป็นพวกผมที่ย้ายจากห้องเล็กๆบนตึกมาเป็นบ้านเดี่ยวสองชั้นในพื้นที่หลายไร่ที่ได้รับมาจากทางผู้บริหารใหญ่
เห็นว่าเป็นการขอบคุณที่ได้ผมช่วยในหลายๆอย่างซึ่งก็ดีที่ได้ที่ผืนนี้มาถึงมันจะกว้างมากจนยูทาร์ในร่างไดโนเสาร์สามารถวิ่งเล่นได้ก็ตามที บ้านหลังนี้มีห้องนอนอยู่สองห้องแน่นอนว่าห้องแรกเป็นของผมและยูทาร์ ส่วนห้องที่สองเป็นของอานโน่นั่นเอง
“อานโน่หายไป!”ผมหันไปบอกคนข้างๆ
“ว่าไงนะ?!”
“บนเตียงไม่อยู่...ประตูห้องและหน้าต่างเองก็ถูกปิดไว้ ถ้าจะออกไปไหนไม่มีทางที่พวกเราจะไม่ได้ยินเสียงลงบันได แปลว่าต้องเกิดอะไรขึ้นแน่ๆเลย”ผมอธิบายด้วยความร้อนรน
จะบอกว่าผมเป็นห่วงมากไปก็ไม่ผิดหรอก
ผมไม่รู้ว่าพ่อแม่เวลาเลี้ยงลูกเป็นยังไงเพราะพ่อกับแม่ของผมเองไม่ได้เป็นตัวอย่างที่ดีซะเท่าไหร่ นั่นทำให้ตอนที่ผมได้ชื่อว่าเป็นจึงอยากจะคอยดูแลและให้ความห่วงใยอานโน่อย่างเต็มที
อานโน่เป็นเด็กที่น่ารักมากในความคิดผมและยูทาร์เองก็คงจะคิดไม่ต่างกันเพราะขานั้นห่วงอานโน่มากกว่าผมซะอีก เวลามีอะไรขึ้นขึ้นคนแรกที่จะกลายร่างแล้ววิ่งไปโดยไม่รอผมก็มีแต่ยูทาร์นี่แหละ
“เกิดอะไรที่ว่านี่...อะไรล่ะ?”ยูทาร์ถามกลับ
“ไม่รู้เหมือนกัน แต่ที่แน่ๆคือเราต้องรีบหาเขาให้เจอ”และต้องหาให้เจอโดยเร็วที่สุดด้วย
อานโน่ไม่ใช่เด็กที่จะไปไหนโดยไม่บอกกันแบบนี้ ถึงพวกเราจะไม่ได้มีเวลาอยู่ด้วยกันตลอด24ชั่วโมงเพราะติดออกไปทำงานนอกสถานที่แต่ทุกครั้งที่มีอะไรอานโน่ก็มักจะส่งข้อความมาบอกทางโทรศัพท์มือถือเสมอ
ล่าสุดที่ได้คือข้อความบอกฝันดีเมื่อคืนก่อนที่ผมและยูทาร์จะกลับถึงบ้านในช่วงตี2นี้เอง ภารกิจที่ได้รับคราวนี้ไม่ได้ยากแต่ใช้เวลาในการเดินทางนานกว่าจะไปถึงก็กินเวลาไปเกือบ6ชั่วโมงพอจัดการเสร็จก็ตัดสินใจกลับบ้านไม่นอนค้างคืนเพราะจะได้มีเวลาอยู่กับอานโน่ในวันต่อไปมากขึ้น
“ผมจะตามกลิ่น...”
“ในนี้มีแต่กลิ่นของอานโน่เต็มไปหมดจะตามได้เหรอ?”ผมรีบถาม
“...ได้สิ...ผมจะหาอานโน่ให้เจอเอง”ยูทาร์ตอบด้วยน้ำเสียงแน่วแน่ก่อนจะเริ่มสูดอากาศรอบๆเข้าปอด จมูกของอีกฝ่ายขยับไปมาเล็กน้อยจากการใช้ประสาทสัมผัสในการดมกลิ่นอย่างจริงจัง
ยูทาร์เดินตามกลิ่นของอานโน่เข้าไปภายในห้องก่อนจะเดินตรงไปยังหน้าต่างแล้วเปิดออกจนสายลมเบาๆพักเข้ามาภายในห้อง ผมที่เห็นแบบนั้นก็รีบเดินตามเข้าไปภายในทันที
“อานโน่ออกไปทางนี้สินะ”ไม่จำเป็นต้องให้ยูทาร์อธิบายเพราะแค่ท่าทางที่แสดงออกก็พอจะทำให้ผมวิเคราะห์อะไรได้หลายๆอย่างแล้ว
“อืม...แต่ออกไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”ยูทาร์พึมพำพร้อมขมวดคิ้วแน่น
“ดูจากที่นอนที่เย็นบวกกับการที่พวกเราไม่ได้ยินเสียงเปิดหน้าต่าง คำตอบก็หาไม่ยากแล้ว...อานโน่ออกไปข้างนอกก่อนที่พวกเราจะกลับถึงบ้าน”นี่เป็นคำอธิบายเดียวที่จะตอบโจทย์ทั้งหมด
มันไม่มีทางเลยที่อานโน่จะสามารถหลบออกไปข้างนอกได้โดยที่ทั้งผมและยูทาร์ต่างไม่รู้สึกตัว อีกทั้งการที่ยูทาร์ไม่เอะใจตั้งแต่ตอนที่กลับมาคงเป็นเพราะไม่คิดว่าอานโน่ออกไปไหนทำให้ไม่ได้ดมกลิ่นอย่างเจาะจง ทุกพื้นที่ภายในบ้านย่อมเต็มไปด้วยกลิ่นของพวกเราทั้งสามคนอยู่แล้วทำให้การดมกลิ่นต้องใช้สมาธิมากกว่าปกติจึงจะสามารถรู้ถึงความผิดปกติได้
“อานโน่...ไปไหนกัน”ยูทาร์เริ่มจะร้อนรนขึ้นเล็กน้อย เขายื่นหัวออกไปด้านนอกเพื่อหากลิ่นของอานโน่ต่อแต่ดูจากคิ้วทั้งสองที่ขมวดเข้าหากันทำให้ผมรู้ว่าคงหาไม่เจอ
“ผมจะลองถามพ่อดู”ผมตอบแล้วยกเครื่องมือสื่อสารขึ้นมาต่อสายหาบิดาแห่งการคืนชีพอย่างดร.ฟรานซิส เบนซ์ ฟงเซ่ทันที
(เซโคร?...ลูกกลับมาแล้วเหรอเนี่ย”น้ำเสียงดีใจจากปลายสายทำให้ผมยิ้มออกมาเล็กน้อย
“ครับ...กลับมาเมื่อคืน ผมมีเรื่องอยากถามพ่อหน่อย”
(ได้สิ...อะไรล่ะ?)
“อานโน่ได้ไปหาพ่อไหมครับ?”
(ฮือ?...เปล่านี่ อย่าบอกนะว่าอานโน่หาไปน่ะ?!!)เสียงตะโกนจากปลายสายดังมาจนผมต้องขยับโทรศัพท์ให้ออกหาหูอีกหน่อย
“ตามที่พ่อพูดเลยครับ...ตอนนี้ผมกำลังหาอยู่”
(หายไปตั้งแต่เมื่อไหร่? ที่ไหน?และหายไปได้ยังไง?)
“หายไปเมื่อคืนประมาณเที่ยงคืนถึงตี2...จากที่สำรวจดูน่าจะออกไปทางหน้าต่างห้องนอนครับ”ผมอธิบายสิ่งที่คิดออกไปให้ปลายสายฟังเผื่อว่าข้อมูลพวกนี้จะช่วยให้พ่อคิดอะไรได้
(ด้านล่างมีรอยเท้าไหม?)
“...ไม่มีครับ”ก่อนตอบผมก็ชะโงกหน้าลงจากหน้าต่างมองไปยังพื้นดินด้านล่างที่ไม่ปรากฏรอยเท้าใดๆ
(แปลว่ากลับร่างไดโนเสาร์แล้วบินไป)
“ทำไมถึงคิดแบบนั้นครับ?”ผมถามต่อ
(เมื่อคืนมีฝนตกตั้งแต่ช่วงสองทุ่มจนถึงเที่ยงคืน...ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามที่ลูกคาดการที่เขาลงจากหน้าต่างในร่างมนุษย์โดยไม่ทิ้งรอยเท้าไว้นั้นเป็นไปไม่ได้แน่...)
“สิ่งที่คิดได้คืออานโน่กลับร่างไดโนเสาร์แล้วไปที่ไหนสักแห่ง”ผมต่อประโยคต่อไปพลางหันไปมองหน้ายูทาร์ที่กำลังทำหน้าเครียด
(ใช่...ที่น่าแปลกใจคือการที่อานโน่ไปโดยไม่บอกพวกลูก...ไม่แน่ว่า...)
“อาจอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่สามารถติดต่อได้หรือลืมเอาโทรศัพท์ไป”เป็นอีกครั้งที่ผมบอก ดวงตาสีเขียวอมฟ้าของผมหันไปสบกับดวงตาสีเหลืองอำพันของคนข้างกาย เพียงแค่นั้นยูทาร์ก็พยักหน้าก่อนจะเดินหาโทรศัพท์ทั่วห้อง
“อยู่นี่เซโคร”ยูทาร์พูดพร้อมชูโทรศัพท์สีดำที่ถูกวางไว้ในลิ้นชักขึ้นมาให้เห็น
“อานโน่ไม่ได้เอาโทรศัพท์ไปครับ”ผมบอกปลายสาย
(การที่ไม่ได้เอาโทรศัพท์ไปก็แปลว่าต้องอยู่ในสถานการณ์ที่เร่งรีบหรือมีเหตุการณ์ฉุกเฉินอะไรขึ้น)
“เมื่อคืนมีเหตุไดโนเสาร์หลุดบนเกาะไหมครับ?”
(ไม่มี)
“...ถ้าไม่ใช่ไดโนเสาร์แล้วอะไรล่ะ...อะไรที่ทำให้ต้องรีบออกไปโดยไม่รอทั้งที่รู้ว่าพวกเรากำลังจะมาถึง...”
(คงเป็นอะไรที่ไม่สามารถรอได้...พ่อว่าอย่าพึ่งตัดเรื่องไดโนเสาร์ออกไปดีกว่านะ)
“ทำไมละครับ? ก็พอบอกเองว่าไม่ได้มีไดโนเสาร์หลุด”
(ใช่...ไม่มีไดโนเสาร์หลุดแต่ไม่ได้หมายความว่าไดโนเสาร์ที่อยู่ข้างนอกหรือพวกมีปีกที่บินมายังเกาะนี้จะไม่ก่อเรื่อง)
“แต่ถ้ามีเรื่องจริงต้องมีคนมาแจ้งผมแล้วสิ”
(ไม่แน่ว่าอาจอยู่ในที่ที่มนุษย์ไม่สามารถเข้าไปถึงหรือไม่ก็...)
“มนุษย์ที่จะแจ้งไม่มีเวลาพอให้ติดต่อ”ผมต่อประโยคนั้นพร้อมกับสมองที่กำลังประมวลความคิด
ถ้าการที่ไม่มีเวลาพอให้ติดต่อก็มีอย่างเดียวคือถูกไดโนเสาร์ที่ว่าจัดการไปแล้ว
ไดโนเสาร์ที่ถูกปล่อยให้อยู่ได้อย่างอิสระโดยไม่ขังกรงเป็นไดโนเสาร์ที่ผมและยูทาร์ต่างรู้จักกันดี ไม่ก็เป็นพวกกินพืชไม่มีความดุร้ายต่อมนุษย์แน่นอน...ถ้ามนุษย์ไม่ได้เป็นฝ่ายไปกวนโมโหก่อนละก็นะ
จากที่คิดแปลว่าถ้ามีไดโนเสาร์ก่อเหตุวุ่นวายจริงต้องไม่ใช่ไดโนเสาร์ที่ถูกปล่อย
ถ้าไม่ถูกปล่อยก็ต้องเป็นไดโนเสาร์ที่อพยพมา
และต้องไม่ใช่ไดโนเสาร์บกหรือน้ำ
ไดโนเสาร์ที่อพยพมาช่วงนี้บวกกับมีปีกสามารถบินได้
นิสัยก็ค่อยข้างดุร้าย
“อย่าบอกนะว่า...”อยู่ๆในหัวก็มีชื่อหนึ่งผุดเข้ามาโดยไม่รู้ตัว
(อะไรเซโคร? นึกอะไรได้เหรอ?)
“ขอวางก่อนนะครับ แล้วจะติดต่อไป”ผมรีบตัดสายแล้วหันไปมองหน้ายูทาร์ด้วยความกังวล
“มีอะไรเซโคร? คิดอะไรได้สินะ...แล้วทำไมต้องทำหน้าแบบนั้นล่ะ?”ยูทาร์ที่เห็นผมมีสีหน้ากังวลก็เริ่มกังวลตามไปด้วย
“เราต้องรีบหาอานโน่ให้เจอ”
“บอกผมหน่อยเซโครว่าเกิดอะไรขึ้นกับอานโน่กันแน่?”
“ไม่รู้ว่าสิ่งทีคิดนี่จะเป็นจริงไหมแต่จากที่คิดได้อานโน่คงออกไปสู้กับไดโนเสาร์...”
“ต่อสู้?...ไม่นะ...อานโน่ยังเด็กอยู่เลย เขาจะสู้ได้ยังไงกัน?!”ยูทาร์ที่ได้ยินแบบนั้นก็ยิ่งร้อนรนมากเข้าไปใหญ่
ตอนนี้ไม่ใช่แค่ยูทาร์หรอกที่ร้อนรน
ผมเองก็ร้อนรนไม่แพ้กัน
จริงอยู่ที่อานโน่มียีนของไดโนเสาร์หลายต่อหลายชนิด อาวุธป้องกันตัวโดยธรรมชาติอย่างพิษของหมึกบลูริงเองก็ใช่ย่อย ทั้งที่น่าจะวางใจได้แต่ในฐานะของพ่อแม่ก็ไม่อาจวางใจได้เต็มร้อย
ยิ่งตอนนี้อานโน่ยังไม่โตเต็มที่...ขนาดและพละกำลังก็ผิดจากพวกเต็มวัยอย่างยูทาร์สิ้นเชิง
“เราถึงต้องรีบไง...กลับร่างยูทาร์เราจะไปหาที่ป่ารกชื้นทางใต้ของเกาะกัน”ทันทีที่ผมบอกยูทาร์ก็กระโดดลงจากหน้าต่างพร้อมกลายร่างกลับเป็นไดโนเสาร์ขนาดใหญ่อีกครั้ง ผมที่เห็นแบบนั้นก็รีบเกาะหลังยูทาร์ไป
อาวุธที่จำเป็นอย่างปืนไม่ต้องเสียเวลาวิ่งไปหยิบเพราะผมมีติดตัวอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้วแม้จะอยู่ในบ้านก็ตามที
การเดินทางไปยังปารกชื้นทางตอนใต้ของเกาะนั้นใช้เวลาในการเดินทางไม่ถึง10นาทีเพราะยูทาร์เร่งความเร็วสูงสุดจนผมต้องหลับตาพร้อมก้มหัวตลอดเพื่อไม่ให้โดนแรงปะทะโจมตี
งี๊ดดด!
“อะไรยูทาร์?...ได้กลิ่นอานโน่เหรอ?”ผมถามไดโนเสาร์ร่างยักษ์ที่หยุดวิ่งเมื่อมาถึงบริเวณชายป่า หัวกะโหลกขนาดใหญ่หันไปยังป่าด้านหน้าพลางส่งเสียงสื่อสารบางอย่าง
งื้ดดด!
ส่วนหัวที่ขยับขึ้นลงทำให้ผมยิ้มออกมาเล็กน้อยที่ไม่ต้องเสียเวลาในการตามหาอย่างไร้จุดหมาย
“ไปเลยยูทาร์...ไปหาลูกเรา”
งี๊ดดดด
สิ้นเสียงครางร่างขนาดใหญ่ก็วิ่งตรงเข้าไปภายในป่ารกชื้นแต่ด้วยสิ่งกีดขวางอย่างต้นไม้ขนาดใหญ่ที่ดูจะมากอยู่ทำให้ความเร็วลดลงมาก เห็นแบบนั้นผมเลยให้ยูทาร์กลับร่างมนุษย์แล้วเดินทางต่อเพื่อความรวดเร็ว
“เซโคร...เสียงการต่อสู้”ยูทาร์ที่วิ่งนำหันมาบอก
“อานโน่ล่ะ?”ผมรีบถามต่อ
“อานโน่อยู่ที่นั่น...”
กรรรรร
กรรรรรรร
เสียงคำรามของสัตว์ขนาดใหญ่สองชนิดดังขึ้นเมื่อพวกเราเข้ามาใกล้สถานที่ต่อสู้มากขึ้น บริเวณที่เกิดการต่อสู้คงเป็นด้านบนหน้าผาขนาดเตี้ยติดๆกันโดยมีความสูงแต่ละผาเกือบ30เมตรได้
“กลิ่นนี้มัน...เลือดของอานโน่...”
“อะไรนะ?”อานโน่เหรอ?
“พวกมันกล้ามาทำลูกเราได้ยังไง!”เสียงทุ้มของยูทาร์แข็งกร้าวขึ้นอย่างรวดเร็วและทันทีที่หลุดออกจากเขตป่าก็ร่างมนุษย์ของยูทาร์ก็กลายเป็นไดโนเสาร์ขนาดใหญ่อย่างรวดเร็ว
โชคดีที่จากตรงนี้ไปเป็นพื้นหินราบทำให้ร่างขนาดใหญ่นั่นไม่ชนเข้ากับต้นไม้ไหนเพราะดูจากอารมณ์ยูทาร์คงไม่มีสติมากเท่าไหร่...ภาพตรงหน้า ไม่สิ ต้องพูดว่าด้านบนนั่นเป็นภาพที่คนอื่นเห็นคงจะตื้นเต้นและลุ้นระทึกไปกับการต่อสู้ของไดโนเสาร์มีปีกตัวหนึ่งที่ถูกนกหลายสิบตัวล้อมแต่สำหรับพ่อแม่ของไดโนเสาร์ตัวนั้นอย่างผมและยูทาร์นั้นมีแต่ความโกรธและโมโหที่เห็นลูกของตัวเองถูกทำร้ายอย่างไร้ทางสู้ขนาดนั้น
ถ้านกนั่นเป็นนกธรรมดาคงไม่ต้องห่วงอะไรแต่เพราะนกตรงหน้าถือเป็นหนึ่งในนกจากยุคโบราณ ชื่อของมันคือทาเปจารา ซึ่งเป็นนกโบราณขนาดมหึมาถึง5เมตร ด้วยส่วนกระดูกที่งอกออกมาบนหัวมีขนาดใหญ่กว่าส่วนปากถึง5เท่าทำให้ตรงนี้มีพลังในการจู่โจมมากที่สุด เพียงแค่โดนตรงส่วนหัวนั่นกระแทกไดโนเสาร์ขนาดเล็กไปจนถึงขนาดกลางบางสายพันธุ์ยังต้องสลบ
ทาเปจาราที่ว่าตอนนี้กำลังผลัดกันโจมตีอานโน่อย่างรุนแรงจนร่างกายสีเงินเต็มไปด้วยรอยทะลอก เลือดสีแดงไหลซึมออกมาไม่ขาดสายทำเอาผมที่มองถึงกับต้องเม้มปากแน่นเพื่อข่มน้ำตาที่เหมือนจะไหลลงมาพร้อมกับความโกรธเมื่อเห็นร่างของลูกต้องบาดเจ็บขนาดนี้
กรรรรรรร
ผมยังคุมอารมณ์ได้แต่ดูเหมือนยูทาร์จะไม่ใช่เพราะทันทีที่เห็นภาพของอานโน่ยูทาร์ก็ไม่รอช้ารีบส่งเสียงคำรามลั่นจนฝูงทาเปจาราแตกตื่นกันเป็นแถว ยูทาร์ไม่ปล่อยให้พวกทาเปจาราตั้งตัวรีบวิ่งตรงไปยังหน้าผาก่อนจะใช้หินขนาดใหญ่เป็นฐานเพื่อกระโดดขึ้นไปยังฝูงทาเปจารา
ปากขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยคมเขี้ยวอ้าออกกว้างพร้อมกับขย้ำคอของทาเปจาราตัวหนึ่งไว้
จากที่มองคงเป็นจ่าฝูง
กรรรรรรรรร
เสียงคำรามโดยที่มีจ่าฝูงอยู่ภายในปากทำให้เหล่าทาเปจาราที่เหลือตระหนกอย่างพร้อมเพียง ยูทาร์เองก็ทำท่าเหมือนกำลังคุยอะไรบางอย่างอยู่
งี๊ดดด
“อานโน่!!”ผมเรียกพร้อมกับวิ่งเข้าไปหาร่างสีเงินที่ล่วงลงมาบนพื้นหินอย่างแรง
สภาพของอานโน่ตอนนี้เรียกว่าแย่มาก ถึงบาดแผลจะไม่สาหัสแต่ก็มีแผลเกือบทั้งตัว...เลือดที่ไหลออกมาไม่หยุดนี่ผมรีบจัดการถอดเสื้อตัวเองแล้วเช็ดเข้าที่บาดแผลนั่นทันที
ตอนนี้ไม่มีเครื่องมืออะไรเลยที่จะใช้ห้ามเลือด ไม่ใช่แค่ห้ามเลือดแต่อุปกรณ์พยาบาลเองก็ไม่มีเช่นกัน
“...แม่ครับ”ร่างกายสีเงินเปลี่ยนกลับมาอยู่ในร่างมนุษย์พร้อมกับเอ่ยเรียก
ร่างไดโนเสาร์ที่ว่าเต็มไปด้วยบาดแผลพอมาอยู่ในร่างมนุษย์เล็กๆนี่ทำให้ผมต้องคว้าตัวอีกฝ่ายมากอดไว้แน่นพลางลูบเส้นผมสีเงินแซมน้ำเงินนั่นไปมาด้วยความรู้สึกผิด
รู้สึกผิดที่ไม่สามารถปกป้องได้ทั้งที่ได้ชื่อว่าเป็นแม่
“ขอโทษนะอานโน่...แม่ขอโทษ”
“แม่...ไม่ใช่ความผิดแม่สักหน่อย...เพราะผมเองต่างหาก”เสียงนุ่มๆของอานโน่บอก
“เพราะแม่สิ...ถ้าแม่เอะใจตั้งแต่เมื่อคืน...”
“ไม่หรอกครับ...ถ้าผมทิ้งข้อความอะไรไว้ก็คงทำให้แม่มาเร็วกว่านี้แล้ว ความผิดผมเอง”
“อานโน่...”
“เรื่องผมไว้ก่อนเถอะครับ...ตอนนี้มีคนเจ็บอยู่...ทางนั้น”พูดจบอานโน่ก็พยายามดันตัวลุกขึ้นแล้วชี้ไปยังใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งที่มีร่างของชายหนุ่มคนหนึ่งนอนหมดสติอยู่
“เกิดอะไรขึ้น?...ลูกอธิบายมาหน่อย”ตอนนี้ผมต้องการรู้เรื่องที่เกิดขึ้น
“หลังจากที่ผมส่งข้อความไปหาแม่ผมก็ได้ยินเสียงแปลกๆของสิ่งมีชีวิตที่ไม่เคยรู้จัก แต่นั่นไม่ทำให้ผมสนใจเท่าร่างขนาดใหญ่ของพวกมันบินอยู่ด้านบนโดยที่ในปากมีมนุษย์อยู่...พอเห็นแบบนั้นผมเลยคิดจะไปช่วย...”
“เลยกลับร่างแล้วตามมาจนถึงนี่ และพอช่วยได้ก็ถูกทาเปจาราทั้งฝูงโจมตีจนบาดเจ็บ...ใช่ไหม?”ผมวิเคราะห์สิ่งที่ได้ยินและบอกสิ่งที่คิดออกไป
“...ใช่ครับ”
“คราวหน้าอย่าทำแบบนี้อีก...รู้ไหมว่าแม่เป็นห่วงแค่ไหนตอนที่ไม่เห็นลูกในห้องน่ะ”
“...ขอโทษครับ...ผมแค่...”
“แม่รู้ว่าลูกอยากช่วย...แต่ลูกยังเด็กอยู่นะ”
“ผมสู้ได้นะ...”
“แม่รู้ว่าลูกสู้ได้แต่ด้วยวัยของลูกยังไม่ใช่วัยที่มีสมบูรณ์ที่สุด...ลูกคงไม่เถียงแม่เพราะคำตอบของการที่ลูกดันทุรังสู้คือร่างกายอันเต็มไปด้วยบาดแผลนี้”ผมพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง สายตาของผมจับจ้องไปยังดวงตาสีแดงอ่อนตรงหน้า
“...ขอโทษครับ...คราวหน้าผมจะไม่ทำอีก”
“แม่จะปล่อยให้ลูกสู้ตราบเท่าที่ลูกมีทักษะมากพอ...ลูกเป็นไดโนเสาร์กลายพันธุ์ที่มีความสามารถเพียงแค่ยังไม่เคยได้รับการฝึก แม่ไม่อยากให้ลูกสู้...แต่ดูเหมือนสายเลือดในตัว สายเลือดของไดโนเสาร์จะไม่ยอมสินะ”
ไม่มีพ่อแม่ที่ไหนอยากเห็นลูกเจ็บตัว
แต่ผมก็รู้ตั้งแต่วันแรกที่รับอานโน่มาเลี้ยงแล้วว่าเขามีความสามารถไม่ว่าจะในฐานะของมนุษย์หรือในฐานะของไดโนเสาร์ เพียงแต่ผมไม่อยากให้อานโน่ต้องเจอเรื่องแบบนี้ ไม่อยากให้ต้องเจ็บตัว
ทว่าสายเลือดครึ่งหนึ่งของนักล่าไม่ใช่สิ่งที่สามารถต้านทานได้ง่าย
สัญชาตญาณของการต่อสู้
ความกระหายในความแข็งแกร่ง
และความไม่ยอมแพ้ต่อให้เผชิญหน้ากับอะไร
นั่นคือสายเลือดของไดโนเสาร์
ต่อให้ถูกเลี้ยงดูในแบบมนุษย์ก็ไม่สามารถปิดกั้นมันได้
กรรรรร
งี๊ดด!
“แม่ข้างหลัง!”เสียงประสานของทั้งยูทาร์ อานโน่และทาเปจาราตัวหนึ่งดังขึ้นพร้อมกัน
ผมไม่ได้ตื่นตระหนกอะไร สิ่งที่ทำคือหันไปมองด้านหลังอย่างมีสติพลางเอื้อมมือไปหยิบปืนกระบอกหนึ่งที่ติดอยู่ตรงเอวขึ้นมาเล็งไปทางทาเปจาราที่บินตรงมา
ปัง!
เพียงนัดเดียวทาเปจาราตัวนันก็ร่วงลงกระแทกพื้นทันที
กรรรรรรรรรรรร
เสียงคำรามของยูทาร์ดังไปทั่วบริเวณเป็นสัญญาณของการสิ้นสุดการต่อสู้เพราะทาเปจาราที่เหลือต่างยอมรับในความพ่ายแพ้โดยดี การที่เล็วมายังผมซึ่งเป็นมนุษย์ที่อ่อนแอที่สุดแต่ไม่สำเร็จทำให้พวกมันรู้ได้ในทันทีว่าไม่มีทางที่จะชนะได้เลย
“เซโคร...ไม่เป็นไรนะ”ยูทาร์กลับร่างมนุษย์พร้อมวิ่งเข้ามากอดผมไว้แน่น
“อืม...พวกทาเปจาราเป็นไงบ้าง?”
“เดี๋ยวพวกเขาจะไปที่อื่นวันพรุ่งนี้...แล้วก็บอกขอโทษในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วย”
“ก็ดีแล้ว”
“อานโน่...ลูกเป็นไงบ้าง?...บาดแผลขนาดนี้เลยเหรอ?”ยูทาร์ดูตกใจไม่น้อยกับบาดแผลของอานโน่ที่ได้รับ
“ไม่เป็นไรครับ”อานโน่ตอบด้วยรอยยิ้ม
“ไม่เป็นไรที่ไหนกัน?...คราวหน้าอย่าออกมาคนเดียวแบบนี้อีกนะ รู้ไหมว่าพ่อกับแม่เป็นห่วงมากน่ะ...ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับลูกพ่อจะทำยังไงล่ะ”ยูทาร์หันไปคว้าตัวอานโน่มากอดไว้แนบอกพลางลูบเส้นผมสีเงินแซมน้ำเงินนั่นอย่างอ่อนโยน
“...ขอโทษครับ...แต่ผมมอยากช่วยนี่...พ่อกับแม่ทำงานมาเหนื่อยๆถ้าต้องออกไปอีกคงจะไม่ได้พักผ่อนแถมผมเองก็ยังเป็นลูกของพ่อที่เป็นราชาของไดโนเสาร์ เพราะงั้นผมเลยคิดว่าจะสามารถจัดการได้”อานโน่พึมพำเสียงเบา
“อานโน่...นี่ลูก”
“นี่อานโน่”ผมเรียก
“ครับแม่”
“แม่จะให้ลูกสู้...แต่อย่างที่บอกไปว่าแม่ไม่ยอมให้ลูกไปสู้ทั้งๆแบบนี้แน่...ถ้าลูกอยากสู้ลูกต้องมีทักษะที่ทั้งมนุษย์และไดโนเสาร์จำเป็นต้องมี ที่สำคัญคือลูกจะเริ่มภารกิจไม่ได้ตราบเท่าที่ยังไม่มีคู่หู”ผมอธิบายต่อ
“...คู่หูเหรอ...”
“ใช่...แต่เรื่องนั้นเอาไว้ที่หลังก็ไม่สาย นับจากนี้แม่จะฝึกศิลปะการป้องกันตัวให้และพ่อจะสอนการต่อสู้ในร่างไดโนเสาร์...ลูกพร้อมที่จะทำไหม?”ผมถาม
“แน่นอนครับ!”อานโน่ตอบเสียงหนักแน่น
“จะไม่เลิกกลางทางใช่ไหม?”
“ไม่เลิกแน่ครับ...ก็ผมเป็นลูกของพ่อกับแม่นี่นา”
“ดีมาก”รอยยิ้มของผมปรากฏขึ้นเมื่อได้รับคำตอบที่น่าพอใจ
ในเมื่อไม่สามารถเลี้ยงเขาในฐานะมนุษย์ปกติได้ผมก็จะฝึกฝนเขาให้มีทักษะและความสามารถเผื่อในวันหน้าที่ต้องเจอกับสถานการณ์อะไรก็จะสามารถผ่านไปได้...
เพราะอานโน่ได้ชื่อว่าเป็นลูกของคู่หูที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างผมและยูทาร์นี่
.............................................................................
::มุมให้ความรู้เรื่องไดโนเสาร์::
Tapejara(ทาเปจารา)
นับแต่ปลายยุคจูราสสิคเป็นต้นมา เทโรซอร์หลายชนิดได้มีวิวัฒนาการจนมีลักษณะแปลกประหลาด อย่างเช่น พเทโรดัสโทรที่มีจงอยปากยาวโค้งคล้ายกับนกช้อนหอย หรืออย่าง ทาเปจารา ที่มีหงอนขนาดใหญ่อยู่บนหัว โดยนักวิทยาศาสตร์คาดว่า หงอนของมันอาจมีประโยชน์ในการดึงดูดความสนใจจากเพศตรงข้ามแบบเดียวกับนกเงือกในปัจจุบัน
ขอบคุณรูปภาพและข้อมูลจาก :
http://dinosaurword.blogspot.com/2015_08_01_archive.html..............................................................................
สวัสดีค่ะ
แวะมาอัพตอนพิเศษสักหน่อย
ตอนนี้ให้ความรู้สึกของครอบครัวได้มากจริง เราชอบความรู้สึกแบบนี้มากเลย
แม้จะไม่ได้มีสายเลือดเดียวกันแต่ก็มีความผูกพันธ์กันมากมาย
แต่งเซโครกับยูทาร์ทีไรรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูกเลย 55
ไว้มีโอกาสจะแต่งตอนพิเศษออกมาอีกนะคะ
ขอบคุณทุกคนที่คอยติดตามตั้งแต่รุ่นของเซโครไปจนถึงรุ่นของอานโน่เลยนะคะ
บ๊ายบาย
nicedog
♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪