เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียงวิศวะ ตอนพิเศษ 14.11.62 อัปจ้า
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียงวิศวะ ตอนพิเศษ 14.11.62 อัปจ้า  (อ่าน 248404 ครั้ง)

ออฟไลน์ Freja

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-4
มันเป็นเรื่องของความคาดหวังกับการเสียความรู้สึก  เรื่องของกัสต่อให้ไม่ใช่เป็นไปในด้านชอบพาทางเพศแต่ดีนชอบกัสในระดับหนึ่ง ชื่นชม  พอกัสหายไปโดยที่ไม่มีการร่ำลามันทำให้บางส่วนในใจความรู้สึกของดีนหายไป  เหมือนไม่สำคัญแต่ก็ไม่ได้ไร้ความหมาย  ความรู้สึกนี้ติดอยู่กับดีนไม่ได้หายไปไหน เป็นส่วนที่ดีนไม่ชอบเพราะสลัดทิ้งไม่ได้  ดีนถึงต้องหันไปหาอบายมุขทั้งหลายเพื่อให้ตัวเองลืมหรือสามารถสลัดทิ้งไปได้ชั่วคราว 

ภาวะนี้ถ้าหากว่าไม่สามารถรักษาหรือขจัดไปได้ก็จะติดตามและสามารถขยายเป็นสิ่งอื่น   ในภาษาอังกฤษเรียกว่า melancholy 

กัสกับดีนต้องคุยกัน  ต้องเคลียร์เพราะไม่งั้นก็ไม่จบ จะเป็นภาวะติดพันไปแบบนี้  ทั้งสองคนสมควรจัดการให้มันจบ สร้าง closure  ให้กับตัวเอง

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
ตอนนี้ลุ้นยิมผิงที่สุดอะ

ออฟไลน์ รินดาwดาริน

  • OnTop&N'Song
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +243/-2
 -ผิง-
ตอนที่ 5 เดทแรกแบบไม่ได้ตั้งใจ(ต่อ)

 หลังจากนั้นไอ้ยิมขับรถมาส่งผมที่หอพัก อย่างน้อยวันนี้ก็ได้ขยับความสัมพันธ์มาใกล้กันมากยิ่งขึ้น แม้ว่าผมยังมีความรู้สึกแปลกๆไม่ชินอยู่ก็ตาม จนกระทั่งไอ้ยิมขับรถมาถึงหน้าหอพัก
“กลับบ้านดีๆ นะ” ผมบอกมันก่อนจะลงจากรถ ไอ้ยิมยิ้ม “ฝันดีนะเว้ย” มันบอก ผมยิ้ม แต่ก่อนจะเดินเข้าตึก ผมยื่นหน้าเข้าไปในรถ
“เดี๋ยวสิ ไอ้ยิม”
“อะไร”
“เออ ยังไงก็ขอบใจนะเว้ย ตอนแรกไม่คิดว่าจะเจอพ่อกับแม่พร้อมกันเลย” ผมบอกรู้สึกขัดๆ เขินๆ อยู่บ้าง ไอ้ยิมพยักหน้า
“อืม ไม่เป็นไรหรอก สนุกดี อย่างน้อยก็มีเรื่องดีๆ เพิ่มอีกหนึ่งเรื่อง”
“ฝันดีเว้ย” ผมบอกก่อนจะโบกมือบายบายให้มัน ก่อนจะกลับไปนอนที่ห้องแล้ว ปล่อยความคิดไปเรื่อยๆ
ผมกลับเข้ามาในห้องก่อนจะเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นเสื้อกล้ามกับบ็อกเซอร์เตรียมเข้านอน แต่กิจวัตรที่เพิ่มขึ้นมาตั้งแต่เริ่มคุยๆ กับไอ้ยิม คือการคุยโทรศัพท์ ปกติผมไม่ชอบคุยนานๆ เพราะถ้าผมหมดมุกมันจะเดดแอร์ทันที ไอ้ยิมโทรมาแสดงว่าถึงบ้านมันเรียบร้อยแล้ว ผมคุยกับมันไม่นาน แค่สิบห้านาทีเพราะไม่ได้มีเรื่องให้คุยมาก ไอ้ยิมก็เงียบๆ หมดมุกง่ายอยู่แล้วตามนิสัยมัน
“วัฎจักรชีวิตกูรวนเพราะมึงเลยนะ เวลานี้กูควรอยู่คณะ”ผมนอนคุยอยู่บนเตียง ปกติไม่เคยคุยโทรศัพท์นานๆแบบนี้เลย 
[เปลี่ยนก็ดีแล้วจะหักโหมไปทำไม ชอบทำอะไรเกินตัวทั้งที่ไม่ใช่งานที่อาจารย์สั่งซะหน่อย] อีกฝ่ายพูดเสียงปราม ผมหัวเราะ
“โอเคๆ รู้แล้ว กลายเป็นว่าต้องมาคุยกับมึงนี่ไง” 
[หึๆ ไม่ชอบหรือไง] มันถามเสียงเรียบๆ
“อะไรมึง เตรียมนอนได้แล้ว ตื่นเช้าไม่ใช่เหรอ” ผมไม่ตอบอะไร เปลี่ยนเรื่องคุยแทน คนปลายสายเงียบไปก่อนจะเอ่ยขึ้น
[อืม งั้นกู๊ดไนท์นะ]
“อืม แล้วจะฝันถึง”ผมยิ้มเมื่อได้ยินมันพูด เลยแกล้งตอบไปเพื่อแกล้งอีกฝ่าย
[ฝันแบบไหน] ดูมันชอบลามมาเรื่องลามกจริงๆ
“เรื่องของกูเว้ย แค่นี้ บาย” ก่อนจะวางสายได้ยินเสียงมันหัวเราะแว่วๆ มาด้วย
หลังจากที่วางสายจากไอ้ยิมไป ผมปิดไฟเตรียมนอนหลับฝันดี พลางนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในร้านอาหาร เรื่องพ่อแม่ของผมไม่น่ากังวล เพราะท่านเป็นคนมีเหตุผลอยู่แล้ว ถึงไอ้ยิมจะแสดงออกว่าจริงจังกับผม แต่มันจะมีตัวแปรอื่นๆ เข้ามาเกี่ยวพันไหม 
เช้าวันต่อมา ดูเหมือนหอพักเงียบกันหมด คงไปเที่ยวงานตรุษจีนกันนั่นแหละ ป่านนี้ไอ้ยิมได้อังเปาเข้ากระเป๋าเยอะแยะแล้วมั้ง วันนี้ผมเข้าคณะตามปกติ ต้องส่งสเก็ตช์อาจารย์ตามกำหนด เดินมาเจอพวกไอ้เชี่ยวที่นั่งรอเรียนอยู่ในห้อง ไร้แววไอ้สองตามเคย สายประจำ
“คืนนี้ใครจะไปงานตรุษจีนบ้างวะ ไปส่องอาหมวยในงานกัน” ไอ้เชี่ยวพูดปลุกระดม ไม่ได้ดูหนังหน้าตัวเองเลยเพื่อน ผมส่ายหน้า
“ไม่ไปเหรอวะ” ไอ้โก๋เดินเข้ามานั่งข้างๆ
“ไม่เว้ย จะไปทำไมคนเยอะแยะ”
“อ๋อ อย่าบอกนะว่ามีนัดไปไหน” ไอ้โก๋ยื่นหน้ามาถาม
“เปล่าหรอก แค่ไม่อยากไปว่ะ กะว่าจะอยู่นั่งเล่นที่คณะหน่อย”
“ตามใจ แล้วนี่มึงยังรับงานนอกอีกหรือเปล่า” ไอ้โก๋ถาม มันมองผมอย่างเป็นห่วงเป็นใย ครั้งล่าสุดสภาพผมมันไม่ไหวจริงๆ
“ไม่รับแล้ว ตอนนี้เหลือแค่งานตัวเองนี่แหละ เลยว่างๆ” อีกสามนาทีจะเข้าคลาสเรียนไอ้สองมันโผล่หัวมาพอดี ระหว่างที่นั่งลงที่เก้าอี้เลคเชอร์ มันหันมายิ้มสะเหล่อๆ ให้ผม
“ตรุษจีนปีนี้คงจะมีอะไรดีสิน้า” มันยื่นหน้ามาล้อเลียน
“อังเปาไงวะ” ผมบอก ไอ้สองหัวเราะกวนประสาท
“เออ ไอ้ยิมเปลี่ยนเบอร์แล้วเหรอ กูว่าจะโทรหามันหน่อย” ไอ้สองพูด ผมเหลือบมองหน้ามันพลางคิดว่ามันจะเอาเบอร์ไอ้ยิมไปทำไม
“เอ้า เงียบอีก ห่วงเหรอไง กูแค่อยากโทรหาเพื่อนมันผิดด้วยหรือไงเนี่ย” มันหัวเราะได้น่าถีบมาก
“เปล่าซะหน่อย มันเปลี่ยนเบอร์ไปแล้ว...อะ...” ผมบอกก่อนจะยื่นโทรศัพท์ที่โชว์เบอร์ไอ้ยิมบนหน้าจอ ไอ้สองรับไปด้วยรอยยิ้มกวนส้น
“อือ มันหายหน้าหายตาไปเลย ช่วงนี้ตรุษจีนนี่หว่า คิดถึงไอ้โยเหมือนกันนะเนี่ย”
“ยังอาลัยอาวรณ์มันอีกเหรอ” ผมมองมันเอือมๆ จริงๆ เรื่องไอ้โยกับไอ้สองก็จบกันไปนานแล้ว
“เปล่า กูแค่เห็นมันเป็นน้อง”
“มึงนับญาติกับบรรดากิ๊กมึงหมดเลยหรือไง” ผมส่ายหน้า บางทีผมก็หมั่นไส้ในความมั่นหน้าของมัน แต่คนมันหน้าตาดีก็ต้องยอม
“ปิดเทอมนี้ไปเที่ยวไหนหรือเปล่า หรือกลับบ้าน” ไอ้สองถาม
“ไม่รู้สิ ยังไม่ได้คิด”
“อืม ...ปีนี้เรื่องเยอะว่ะ ไหนจะกิจกรรมคณะ กิจกรรมของมหาลัยอีก” ไอ้สองบ่นงึมงำไปตามเรื่อง ยิ่งใกล้หมดเทอมแรกไม่เข้าใจว่าทำไมกิจกรรมเริ่มทยอยเข้ามา บายเนียร์ก็อีกเรื่อง งานกีฬาด้วย ถึงจะดูน่าสนุกแต่ทำเอาคณะวุ่นวายไปได้เหมือนกันเพราะต้องซ้อมเชียร์ แต่พวกผมปีสามคงไม่สนใจเรื่องเชียร์นอกจากซ้อมกีฬา แต่คณะผมไม่ได้เอาจริงว่าต้องชนะเท่านั้น แค่เล่นสนุกกัน เมื่อเริ่มคลาสเรียน มีพรีเซ้นส์งานหน้าชั้นตามปกติ โดนวิจารณ์งานกันไปตามระเบียบ โดนด่าจนชินไปหมดแล้ว
“อย่ามัวแต่สนใจงานอื่นมากนะ เดี๋ยวคณะเราจะมีงานสตรีทอาร์ตเทอมหน้า พวกที่เหลืออย่างพวกคุณเนี่ยคงต้องออกร้านกัน เพราะปีสี่ไปฝึกงานกันหมดแล้ว ยังไงช่วยกันทำ จะน้อยหน้าพวกสถาปัตย์ไม่ได้นะ ไม่ได้แข่งกับพวกเขาแต่เราต้องทำงานออกมาให้ดี เงินมันเข้ากระเป๋าพวกคุณกันอยู่แล้ว ใครมีไอเดียเตรียมทำแพลนงานไว้เลยนะแล้วเอามาเสนอพวกผม” อาจารย์พูดถึงเรื่องออกร้านอีกแล้ว ทำเอาพวกผมโอดครวญไปตามๆ กัน งานเพิ่มขึ้นอีกแล้วสิ หลังจากนั้นอาจารย์ก็ปล่อยและไม่ได้สั่งงานเพิ่ม
“เออ ต้องมีประชุมกับสาขาอื่นด้วยนะ มากันเยอะๆ หน่อย เดี๋ยวโดนบ่นกันอีก” ไอ้เชี่ยวปรบมือกระตุ้นเพื่อนๆ
“อีกแหละ งานบ้าบอ” ไอ้โก๋มุ่ยหน้า ผมแค่ไหวไหล่สตรีทอาร์ตมันก็ดี เปิดพื้นที่ให้เด็กๆ ได้เสนอไอเดีย มีรายได้เข้ากระเป๋า เห็นทีผมต้องจับมือกับไอ้สองออกร้านกับเขาบ้าง
“เออ มึงสนใจเปล่าวะ” ผมหันไปถามมัน
“เอาดิ งานถนัดเลย ใช่ไหมไอ้โก๋” ไอ้สองหาพวก
“ถ้าจะทำแพลนก็นัดได้” มีเวลาเหลือเฟือ รู้สึกว่างๆ อย่างบอกไม่ถูก พวกผมย้ายตัวเองไปสุมหัวอยู่ที่หลังห้องเพ้นท์ตามเคย เรื่องบุหรี่ก็ลดลงไปตามๆ กัน ตอนนี้กลายเป็นว่าแค่มานั่งคุยกันธรรมดา ไอ้โก๋มันเตรียมพร้อมหาที่ฝึกงานไว้ช่วงซัมเมอร์ ส่วนผมยังไม่เป็นหลักเป็นแหล่ง
ตืด ตืด ตืด
‘ยิม’
ผมกดรับสาย
“เป็นไงบ้าง ตื่นแต่เช้าเลยสิ”
[อือ ง่วงๆ อยู่เลยเนี่ย แล้วอยู่คณะเหรอ]
“เออ มีเรียน ไหนบอกสิได้อังเปาเยอะเปล่า” ผมถาม ได้ยินเสียงคนคุยกันเล็ดลอดเข้ามาในโทรศัพท์เหมือนเสียงเด็กเล่นกัน
[อือ เยอะดี ป๊ากูใจปล้ำนะเว้ย] ไอ้ยิมหัวเราะ
“แล้วยุ่งๆ อยู่หรือเปล่า เสียงดังจัง”
[อ๋อ พวกเด็กๆ นั่นแหละ...] ไอ้ยิมมันเข้ากับเด็กๆ ไม่ค่อยได้เสียด้วย ในโทรศัพท์ได้ยินเรียก อาเฮียๆ ๆ กันวุ่นวายทั้งผู้หญิงผู้ชายตีกันให้วุ่น
“มีหลานด้วยเหรอ”
[เปล่าๆ หลานอากู๋ ...ไม่ค่อยถูกชะตา เนี่ยกูเสียแต๊ะเอียไปหลายซองแล้ว] ไอ้ยิมบ่นงึมงำ ก็ต้องเข้าใจธรรมชาติของเด็กๆ ซนเป็นธรรมดา   
“เอ่อ...” ไม่ทันจะอ้าปากพูด ผมพอจะนึกสภาพออก ครอบครัวคนไทยเชื้อสายจีนเครือญาติเยอะ ยิ่งตรุษจีนก็เหมือนรวมญาติ
(อาเฮียคุยกับใครอะ ขอคุยมั่งสิ) เสียงแทรกจากอีกฝั่งดังมาเป็นระยะ
[... ไปเล่นกับไอ้โยก่อน—มึงดูสิ กูทำอะไรไม่ได้เลย ชอบมาเล่นด้วย ไม่ดูหน้ากูบ้าง] มันบ่น ผมล่ะสงสารหลานเหลนมันจริงๆ
“งั้นกูวางก่อนดีกว่า ไปเล่นกับเด็กๆ เหอะมึง”
[ที่โทรหาเพราะไม่อยากอยู่กับเด็กๆ นี่แหละ คุยกับมึงดีกว่า จะได้มีอะไรทำ] มันใช้ผมเป็นโล่กำบังเด็กซะงั้น
“อืม ไอ้โยมันเป็นยังไงบ้าง” ผมถามถึงน้องชายมันบ้าง ไอ้ยิมไม่ค่อยพูดถึง ไม่รู้ว่าทำตัวเข้าล่องเข้าลอยแล้วหรือยัง
[อือ ปกติดี เลิกบ้าไอ้สองซะที] ไอ้ยิมหัวเราะน้องมัน
“ก็ดีแล้ว ...”
[มันมาโน่นแล้ว ไม่ทันขาดคำ— มึงเอาเด็กๆ ไปเล่นไกลๆ เลย กูคุยโทรศัพท์อยู่]
(มาเล่นกับโยมา อาเฮียคุยโทรศัพท์กับแฟนอยู่อย่าไปกวนดิ) เสียงไอ้โยแป๋นเข้ามาในสาย ผมเบ้ปาก แหม ใช้คำว่าแฟน ไอ้ยิมบอกคนที่บ้านเกี่ยวกับผมว่าอะไรบ้างนะ
[เลิกเรียนกี่โมง]
“...หา อ๋อ บ่ายๆ อะ”
[เดี๋ยวตอนเย็นไปหานะ]
“ไม่อยู่ไหว้แล้วเหรอ”
[ไหว้เสร็จตอนบ่ายๆ นี่ล่ะ กลับอีกทีตอนไหว้ไฉ่ซิงเอี๊ยก็ได้ มึงจะได้ไปพร้อมกูเลยไง] ไอ้ยิมทำเสียงเอาแต่ใจ
“โห ...โอเคๆ ตามใจ งอแงเป็นเด็กไปได้”
[เนี่ย กูสปอยล์มึงกับม้าไว้แล้วนะ เผื่อจะได้อังเปาบ้าง]
“จริงดิ กูเนี่ยนะ มึงก็เว่อร์ ...” ผมได้ยินเสียงผู้หญิงวัยกลางคนเรียกชื่อมันหลายครั้ง “งั้นกูวางแล้วนะ”
[อือ ไว้แวะไปหา]
ไอ้ยิมวางสายไป ผมเดินกลับเข้าไปในห้องเพ้นท์ตามเดิม เอาจริงๆ ตั้งแต่รู้จักไอ้ยิมมามันเป็นตัวแปรสำคัญในชีวิตผมไปแล้ว อะไรหลายๆ อย่างในตัวผมดูจะเปลี่ยนไป อาจจะทำตัวเป็นผู้เป็นคนมากขึ้น เมื่อก่อนผมเองไม่ได้ใส่ใจภาพลักษณ์ของตัวเองสักเท่าไหร่ แต่พอมีไอ้ยิมก็ต้องหันมาดูแลตัวเองบ้าง จะขอบตาดำเหมือนเมื่อก่อนก็ทำใจได้ยากไปซะแล้ว

   เมื่อผมมาถึงบ้านของไอ้ยิม ที่จริงแล้วมันอยู่ใกล้ๆ ละแวกบ้านผมเลยแค่คนละทิศกันเท่านั้นเอง เวลานี้ผมอยู่ในวงล้อมของญาติๆ ไอ้ยิม ส่วนมากเป็นเด็ก หลาน เหลน มันทั้งนั้น หน้าตาน่ารักจิ้มลิ้มกันไปหมด ส่วนไอ้ยิมอยู่ในครัวเพื่อเตรียมของไหว้อะไรสักอย่าง
“หลีกๆ อย่าไปกวนพี่เขาสิ” ไอ้โยเดินมาโบกมือไล่เด็กๆ ให้ออกไปเล่นกันด้านนอก มันเป็นผู้ช่วยชีวิตผมให้มีอากาศหายใจมากขึ้น มันยิ้มแป้นก่อนจะเดินเข้ามานั่งข้างๆ ผม
“สบายดีนะ” ผมทักทาย ไอ้โยเหลียวหน้าไปมองในครัวก่อนจะขยับมากระซิบกระซาบ
“แน่นอน...จะบอกอะไรให้นะพี่ รู้ป่ะว่าป๊าโยดุ๊ดุ”
“อือ มึงจะไซโคกูเหรอ” ผมหัวเราะเบาๆ ก่อนจะผลักหัวมันออกไปให้ห่างๆ ตัว ไอ้นี่ชอบมาเกาะแกะเป็นตุ๊กแกไปได้
“ไม่หรอกน่า ...แต่ก็แปลกเนอะ ไม่คิดว่าจะเป็นพี่นะเนี่ย ออกจะแมน” ไอ้โยหัวเราะคิกคักน่ารำคาญมาให้ ผมกลอกตา
“ทำไม จะล้อกูว่างั้น” กับคนอื่นๆ ผมไม่สะทกสะท้านใดๆ กับคำล้อเลียนเด็ดขาด
“ล้อแล้วจะเขินไหมล่ะ คงไม่... แต่ม้าอยากเจอพี่นะ เพราะเฮียเคยพูดถึงพี่หลายครั้ง” ไอ้โยทำท่ากระซิบพลางเหลือบมองไปทางครัว
“พูดว่าไงบ้าง” ผมถามกลับเพราะอยากจะรู้ผลตอบรับเหมือนกัน
“อืม...ก็บอกว่าพี่เป็นคนนิสัยดี น่ารัก” ไอ้โยพูดยิ้มๆ ดูเชื่อถือไม่ได้
“มึงแต่งเองล่ะสิ” ผมส่ายหน้า ไอ้ยิมไม่มีทางพูดแบบนี้แน่ๆ
“ฮ่าๆ ไม่เล่นด้วยเลย แต่ม้าอยากเจอจริงๆ นั่นแหละ ถึงจะต้องผิดหวังก็เถอะ” ไอ้โยตบไหล่ผมเบาๆ เหมือนเข้าใจโลกเต็มประดา
“ผิดหวัง?” ผมขมวดคิ้ว
“อือ เพราะพี่ดูไม่น่ารักเลยไง” ไอ้โยหัวเราะ
“ตลกนะมึง” ผมส่ายหน้ากับท่าทางของมัน
“พูดไม่เพราะอีก”ไอ้โยทำหน้าง้ำงอ ก่อนจะมองผมเหมือนเป็นเรื่องสนุก 
“มาบ้านแฟนทั้งทีทำตัวน่ารักๆ หน่อยสิ ไม่งั้นโยไม่ช่วยพูดให้นะ บอกแล้วไงว่าป๊าดุ” ไอ้โยพูดยิ้มๆ ก่อนจะเบือนหน้าไปทางห้องครัว
“ยังจะพูดอีก”ผมผลักมันออกไปห่างๆตัว 
“แน่ะๆ มาว่าโย เฮียมาเปิดตัวก่อนแบบนี้ก็แย่เลยดิ โยต้องมารับภาระอีกแล้วเหรอ” มันทำหน้าเศร้าสลด
“ทำไมวะ”ผมถาม โยไหวไหล่ ขยับมาเล่าใกล้ๆ
“ก็เฮียเป็นคนโตนี่ ดันมีแฟนเป็นผู้ชายไปแล้ว แบบนี้ตระกูลเราขาดคนสืบสกุลน่ะสิ... จะให้โยแอ๊บแมนก็ไม่ไหว ม้ารู้ๆ อยู่”
“....แล้ว...จะทำยังไงล่ะ” ผมกังวลใจขึ้นมา
“ไม่ทำยังไง ถึงป๊าจะโกรธแต่ก็ยังดีที่อากู๋มีหลานให้...” ไอ้โยพูดหน้าตาเฉยเหมือนเป็นเรื่องปกติ
“ไม่เป็นอะไรจริงๆ น่ะเหรอ”ผมรู้สึกกังวลใจขึ้นมา เอาจริงๆก็เรื่องใหญ่เหมือนกันนะเนี่ย ไม่รู้ว่าครอบครัวของไอ้ยิมเคร่งแค่ไหน 
“อือ เฮียคุยๆ กับป๊าไปแล้ว ...แต่ที่จริงตามหลักแล้วเฮียต้องแต่งงานนะ” ไอ้โยพูดต่อไปเรื่อยๆ ผมถอนหายใจ “มึงทำกูเครียดนะเนี่ย”
“ก็จริงนี่... แต่โลกมันเปลี่ยนไปแล้ว ป๊าคงเข้าใจ” มันพูดแบบเอาแต่ใจ
“แล้วมึงล่ะ ป๊าเขารู้ไหม”
“ก็รู้แหละแต่ไม่เคยพูดตรงๆ คงจะแสลงใจ มีลูกชายสองคนดันเป็นเกย์หมด...” มันทำหน้ายู่
“...สรุปครอบครัวมึงตกลงว่ายังไงกันแน่”
“ก็คงออกมาดี ไม่งั้นพี่จะมาอยู่ที่นี่ได้ไงกัน ใช่ไหมล่ะ” ไอ้โยยิ้มให้ผม
“คงงั้น” ผมแค่ถอนหายใจแก้เซ็ง
“อยากกินอะไรเปล่า ตามมาในครัวสิ” ไอ้โยถามเสียงใส มันดึงแขนผมให้ลุกจากเก้าอี้
“ไม่เอาอะ” ผมส่ายหน้าเพราะไม่อยากเข้าไปวุ่นวายในครัว คงต้องเจอกับคนในครอบครัวไอ้ยิมด้วย ผมกลัวทำตัวไม่ถูก
“กลัวอะไร มานี่มา ไปกับโยซะอย่าง” มันดึงแขนผมให้ลุกขึ้น ผมจำใจเดินตามมันไปในครัว แต่ไม่เจอไอ้ยิม มีแต่ป๊ากับอาอี้ของไอ้โยสองคน ผมยกมือไหว้อีกรอบ รู้สึกเกร็ง
“ไหว้อะไรหลายรอบนะเรา” อาอี้ หรือ น้าสุ ส่งยิ้มให้ผมอย่างใจดี ส่วนป๊าแค่มองหน้าผมนิ่งๆ ลักษณะท่าทางเหมือนไอ้ยิมเลยแต่ใส่แว่นทรงกลม สีผมแซมเทาประปราย ลงพุง ท่าทางเหมือนคุณพ่อเฮี้ยบๆ ทั่วไป
“ขอชาให้พี่ผิงหน่อยครับ” ไอ้โยพูดก่อนจะเดินไปหยิบแก้วลายสวยงามออกมาสองใบ อาอี้ยิ้มก่อนจะหยิบกาน้ำชาที่ต้มไว้มาใส่ถาดไม้สี่เหลี่ยมให้ไอ้โย
“เอาของว่างไปกินด้วยสิ” ป๊าเอ่ยก่อนจะเลื่อนจานขนมใส่ไส้มาทางผม
“ขอบคุณครับ” ผมยิ้มก่อนจะยกถาดขึ้นมาถือ ไอ้โยยิ้มร่าเดินนำผมออกมาด้านนอก ในครัวกำลังเตรียมของไหว้เป็นครั้งสุดท้ายซึ่งผมไม่ได้เข้าไปวุ่นวายด้วย กลัวจะเกะกะขวางทางซะมากกว่า เลยปล่อยให้ผู้ใหญ่จัดการไป ผมได้แต่เฝ้าพวกเด็กๆ เท่านั้น

หลังจากที่ผ่านเวลาเที่ยงคืนเริ่มเข้าสู่วันใหม่ ครอบครัวไอ้ยิมก็ไหว้ไฉ่ซิงเอี๊ยไปเรียบร้อย ป๊ากับม้ายังใจดีให้อั่งเปาผมมาอย่างละซอง ผมยังไม่ได้เปิดดูว่าจำนวนเงินเท่าไหร่ แน่นอนว่าม้าไอ้ยิมใจดีมาก มองผมเหมือนลูกเหมือนหลาน ผิดกับป๊า ถึงจะให้อังเปาแต่เหมือนให้ตามมารยาทมากกว่า ไม่ได้พูดคุยกับผมมากเท่าม้ากับอาอี้ สองท่านนี้นิสัยเหมือนกันจริงๆ
“ท่าทางจะได้จากม๊าเยอะน่าดู” ไอ้ยิมเอ่ยปากแซวด้วยรอยยิ้ม
“เกรงใจว่ะ ทำตัวไม่ถูกเลย” ผมหัวเราะกลบเกลื่อนไป คืนนี้ผมเลยต้องค้างคืนกับไอ้ยิม พรุ่งนี้เป็นวันตรุษคงจะไปเที่ยวกัน
“เลิกเกรงใจได้แล้ว ยังไงก็ครอบครัวเดียวกัน”
“ว่าอะไรนะ” ผมทำเป็นย้อนถามซ้ำหลังจากได้ยินไอ้ยิมพูดจาน่าแหวะใส่
“หา เปล่า” มันตีหน้าไม่รู้ไม่ชี้ก่อนจะเดินไปหยิบหมอนมาเพิ่ม สรุปผมต้องนอนเตียงเดียวกับมัน ผมเองไม่ดัดจริตลงไปนอนที่พื้นหรอก เรื่องอะไร ปวดหลังกันพอดี ห้องนอนของไอ้ยิมสะอาดเรียบร้อยเหมือนที่หอพักของมัน คงเพราะไม่ค่อยได้กลับมานอนที่บ้าน ห้องเลยดูว่างและโล่งสะอาดตา
“เคยพาใครมานอนบ้านบ้างไหม” ผมถามไปเพื่อหาเรื่องคุยเท่านั้น ก่อนจะเดินไปนั่งบนเตียง
“หือ เตียงนี้น่ะเหรอ มึงไง คนแรก” ไอ้ยิมบอกก่อนจะตบเตียงเบาๆ ด้วยรอยยิ้ม
“จริงดิ” ผมไม่อยากเชื่อเท่าไหร่
“ก็จริง จะพามาบ้านได้แสดงว่ากูต้องจริงจังมาก” มันเหลือบมองมาที่ผม ชงเองเขินเองอีก
“กูโชคดีจริงๆ” ผมยิ้มก่อนจะล้มตัวลงนอนสบายๆ เหมือนเป็นเตียงของตัวเอง พลางกวาดสายตามองไปที่เพดานอย่างใจลอย
“ใช่ โคตรโชคดีแล้ว” มันบอกแล้วหันมามองหน้าผมไปด้วย
“แล้วอาอี้มึงจะกลับไปเกาลูนอีกใช่ป่ะ” ผมชวนคุยไปเรื่อย ๆ
“อือ กลับดิ ทำไม”อีกฝ่ายตอบ
“เปล่า แค่คิดว่าในบรรดาญาติมึงเนี่ย น้าสุใจดีสุดแล้ว”
“อือ เหมือนม้ากูไง ใจดีจะตาย”
“เออ...”
“ตอนเราไปเที่ยวที่นู่นก็แวะไปหาก็ได้”
“ครอบครัวมึงดีนะที่ไม่ได้ห้ามอะไรมึง” ผมพูดเบาๆ นึกดูแล้วป๊ามันคงเข้มงวดแต่คงเพราะรักลูกถึงได้ไม่ได้ต่อว่าหรือพยายามหักดิบไอ้ยิม ยอมให้มันคบกับผู้ชายด้วยกัน ในฐานะคนเป็นพ่อเป็นแม่ก็คงปวดใจ นึกถึงหน้าพ่อแม่ของตัวเองแล้วก็รู้สึกหน้าชาไปเหมือนกัน
“...อืม เพราะกูไม่ยอมแพ้ด้วยน่ะ หมายถึงกูเป็นแบบที่กูเป็นนั่นคือสิ่งที่ต้องยอมรับ กูเองไม่อยากไปทำร้ายใครด้วยการทำเป็นแต่งงานมีลูก แบบนี้มันน่าเศร้า อยู่กับการหลอกลวง” ไอ้ยิมอธิบาย มันพูดดีนะผมเห็นด้วย การหลอกลวงมันไม่เกิดผลลัพธ์ที่ดี
“อืม ดีแล้ว ตอนแรกก็กังวลเรื่องนี้เหมือนกัน” ผมบอกเสียงเครียด ผมไม่ได้เตรียมตัวมารับมือกับการต่อต้านจากป๊าไอ้ยิม
“ถึงป๊าจะเข้มงวดแค่ไหนแต่ท่านก็มีเหตุผล กูอธิบายด้วยเหตุผลเสมอ ไม่ใช่ใช้อารมณ์ ถึงจะต้องทะเลาะกันบ้างแต่นั่นมันทั้งชีวิตของเรา จะให้มันเป็นแบบนั้นไม่ได้หรอก ใครจะหาว่ากูเห็นแก่ตัวก็ตาม...”
“เห็นแก่ตัว?” ผมพอจะเข้าใจบริบทของพี่ใหญ่ในครอบครัวจีน
“อือ กูเป็นพี่ใหญ่แต่ไม่รับผิดชอบครอบครัวไง... มึงก็รู้ว่าไอ้โยมันเป็นยังไง แต่กูจำเป็นต้องเสียสละด้วยเรื่องแบบนี้เหรอ... ไม่ใช่ว่ากูไม่เสียใจหรอก แต่จะให้ทำยังไงได้ล่ะ... แค่ป๊ากับม้าไม่กีดกันกูก็พอใจแล้ว คำพูดใครกูไม่สนใจหรอก มึงด้วย อย่าไปฟังคำพูดของคนอื่นมากเกินไป” ไอ้ยิมมองผมสายตาอ่อนโยนลง มันยิ้มให้ผม
“อือ รู้น่า...” ผมบอกเบาๆ รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาบ้าง
“ไม่ต้องห่วงเรื่องนี้หรอก ครอบครัวกูแก้ไขเรื่องนี้ได้” ไอ้ยิมสำทับอีกรอบ
“อืม ดีแล้ว”ผมพึมพำ ในใจผ่อนคลายไปบ้างเมื่อได้ยินคำหนักแน่นของอีกฝ่าย
“พรุ่งนี้อยากไปไหนหรือเปล่า” มันถาม ผมเองไม่อยากออกไปไหนหรอก เลยคิดคำตอบอยู่นาน
“ไม่อะ” ผมตอบ
“งั้นจะกลับคณะเหรอ” มันถามเสียงห่อเหี่ยว ผมเหลือบมองมันก่อนจะหัวเราะ“เดี๋ยวกูอยู่เป็นเพื่อนมึงที่บ้านนี่แหละน่า” ผมบอก
“ไม่มีงานที่คณะแล้วใช่ไหม” อีกฝ่ายถามเป็นงานเป็นการ ผมส่งเสียงตอบกลับไปสั้นๆ
หลังจากนั้น ผมกับไอ้ยิมก็เข้านอน แต่หลับไม่ลง ผมรู้ว่าไอ้ยิมเองยังคงไม่หลับเพราะมีเรื่องที่ต้องคิด ผมถอนหายใจในความมืดก่อนจะพลิกตัวหันไปหาไอ้ยิมที่นอนลืมตาอยู่
“มีอะไร” มันงึมงำกลับมาให้
“นอนไม่หลับ” ผมตอบเสียงเนือยๆ ลืมตาท่ามกลางความมืด
“อืม เหมือนกัน ไม่ง่วงแล้วว่ะ” ไอ้ยิมขยับตัวอยู่ข้างๆ
“เดือนหน้ามึงคงยุ่งๆ แล้วสิ” ผมชวนคุยไปเรื่อย สายตาจับจ้องไปที่ความมืดเบื้องหน้า
“เหมือนเดิม... ก็คงไม่ยุ่งไปกว่านี้แล้ว” มันบอก
“เวลานี่ผ่านไปเร็วจริงๆ เลยเนอะ เฮ้อ” ผมรำพึง แค่เวลาไม่กี่เดือนชีวิตของผมก็มีอะไรเปลี่ยนไปไม่น้อย
“ถอนหายใจหลายรอบแล้วนะ” ผมเงียบ อีกฝ่ายก็เงียบไปอีก แม้ว่าความสัมพันธ์ไม่ได้หวือหวาอะไรมากแต่ผมปล่อยให้มันเป็นไปแบบนี้ดีที่สุดแล้ว ไอ้ยิมขยับตัวหันหน้ามาทางผม
“จะว่าไปแล้วหนี้ที่มึงติดกูนี่ชักจะเพิ่มพูนขึ้นไปทุกที เมื่อไหร่จะใช้หมดวะนั่น” ไอ้ยิมหัวเราะหึๆ มาให้ ผมแอบเบ้ปาก อยู่ๆ ก็ยกประเด็นนี้มาพูด สงสัยมันคิดอะไรหรือเปล่านะ
“ทำไมวะ จะคิดดอกเพิ่มเหรอ” ผมหัวเราะ
“อืม จะได้คุ้มกันไง...” มันตอบเสียงเรียบ
“กูพูดคำไหนคำนั้นน่า รอหน่อยไม่ได้เหรอไง” ผมพูดงึมงำ
ที่จริงผมคิดถึงอนาคต ถ้าเกิดว่าไอ้ยิมมันกล้าขอผมเป็นแฟนขึ้นมาจะทำยังไง ตัวผมเองจะมีปฏิกิริยาแบบไหนกัน ทริปหน้าที่ไปฮ่องกงด้วยกัน ผมยังสงสัยว่าไอ้ยิมคิดจะทำอะไรหรือเปล่า แต่ในใจผมก็ยังคงหวั่นอยู่ ที่รู้สึกตอนนี้มันใช่แล้วจริงๆ งั้นเหรอ หรือแค่เผลอไผลไปตามเรื่อง
“รอได้น่า มาถึงขั้นนี้แล้ว” ไอ้ยิมตอบเบาๆ ผมมองในความมืดเห็นประกายแววตาที่กะพริบอยู่กับเงาร่างของไอ้ยิมที่อยู่ใกล้ๆ
“คิดมากน่า ยังไงซะก็คงหนีไม่พ้น” ผมบอก ต้องรีบตัดสินใจก่อนที่อารมณ์โรแมนซ์ของผมจะหมดวายวอดไปซะก่อน
“ราตรีสวัสดิ์” ไอ้ยิมเอ่ย
“อือ หลับฝันดี”
หลังจากนั้นผมก็อยู่ที่บ้านไอ้ยิมตลอดทั้งวัน ส่วนมากจะอยู่เล่นกับไอ้โยบ้าง หลานมันบ้าง ส่วนป๊ากับม้าของมันผมไม่ค่อยได้คุยสักเท่าไหร่ ไอ้ยิมมาขลุกอยู่กับผมซะส่วนใหญ่ ตอนแยกกันยังดีที่ป๊ากับม้าออกมาส่ง อย่างน้อยก็ยังได้รับคำอวยพรบ้าง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-02-2018 15:32:03 โดย รินดาwดาริน »

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
ไปฮ่องกงก็ขอหวานๆหน่อยนะค้านี่ลุ้นจนเกร็งทุกตอนเลยเนี่ย ฮา

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
มีเขินอะจ้า. ผิงรู้ตัวแล้วใช่ไหมว่าพาว่าที่ลูกเขยมาไหว้พ่อตาแม่ยายเนี่ย 
ขอบคุณค่ะ  :katai2-1:   

ออฟไลน์ minneemint

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1632
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-0

ออฟไลน์ kun

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-10
ผิงเขินอ่ะ อิอิ ทำไรไม่ถูกเลย
ผิงยิมน่ารัก

ออฟไลน์ kunt

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 700
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +42/-1
โอย อ่านมาเกือบจบแล้ว ยังไม่เห็นความดีของคนชื่อแกนเลย ขนาดเรื่องจบช้ากว่าคนอื่น. ยังจะโทษชาวบ้านแบบกูจะโทษมึงอ่ะ มึงผิดไม่ผิดไม่รู้แต่กูจะโทษมึง ว่างั้น ไม่ใช่นิสัยละที่เสียแต่มันเป็นสันดานเลยก็ว่าได้ เศร้าแป้บ T_T

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ ChaniiNoiy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 13
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
 :L2:

เขินอ่ะ รู้สึกว่าคู่นี้ให้อารมณ์หมือนเพื่อนนะ คือคุนกันเรื่อย ไม่ได้หวานเวอร์ๆ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Dak

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
อ่านมาถึงจุดนี้แบบ เขิลทุกตอน แหมมมม ไม่ได้พักให้หายใจหายคอกันเลย ชอบอะ คือเนื้อเรื่องรื่นมากไหลต่อๆอ่านสนุก มุขตลก อิอิ ลุ้นตอนดีนแกนอยู่  :hao3: คือบับเคมีกลิ้นมันแรงยังไงไม่รู้ คู่นี้จะเป็นแบบคู่รักรุนแรงปะน้อ :haun4: ชอบเฮียแกนตรงความโหดเถื่อนนี่แหละอย่างอื่นเอาไปเผาเอ้ยเดี๋ยวชอบความขี้ตื้อด้วย น่ารัก555555555 ชอบ ปล.fcดีนแกน 

ออฟไลน์ flimflam

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 881
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-4
คบกันเลยคนกันเลน!

ออฟไลน์ ป๋า

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 98
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
จากตอนแรกภาพสองที่แมนๆนี่ เคะขึ้นเรื่อยๆเลย
ชอบพี่ท็อปนะ ใจอ่ะ แบบ..รุกนะ แต่ถ้าจะให้รับก็โอ 555+  :hao6:

ยิมผิงก็น่ารักดี มุ้งมิ้งมากๆ  :o8:

แต่อยากรู้เรื่องพี่ดีนสุดละ  :katai1:
คือพี่ดีนชอบใครกันแน่? ดูเหมือนว่าชอบพี่กั
แต่ก็มีแกนติดอยู่ในใจตลอดเวลา ถึงขนาดสักชื่อไว้บนตัวเลยนะ
แกนเองก็ดูค้างคาใจกับดีนเหลือเกิน
ส่วนพี่กัสนี่ถ้าไม่พลาดไปไข่ทิ้งไว้คงจีบดีนใช่ไม๊?
ดูว่าชอบดีนนี่นา
โอย อยากรู้ความจริง!!!!!!  :serius2:

ออฟไลน์ nutty

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1142
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-3
อยากเชียร์แกนให้ดีน
ชอบพลอตนี้ ศัตรูที่รัก

ออฟไลน์ รินดาwดาริน

  • OnTop&N'Song
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +243/-2
Deen diary
บทที่ 5 ปล่อยวาง (ต่อ)

ผ่านไปสิบนาที เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นมา แน่นอนว่าคงเป็นพี่กัส ผมเดินไปเปิดประตูอย่างเชื่องช้า อีกใจหนึ่งก็แอบหวั่นเหมือนว่าต้องเผชิญหน้ากับความจริงอะไรแบบนั้น พอเปิดประตูเจอพี่กัสส่งยิ้มมาให้ในมือถือถุงขนมขบเคี้ยวกับกับแกล้มพร้อมเบียร์ ผมแปลกใจนิดหน่อยเพราะไม่คิดว่าตัวเองจะมานั่งเปิดใจจิบเบียร์กับพี่กัส
“เข้ามาสิพี่” ผมบอกก่อนจะเปิดประตูออกกว้างเพื่อให้อีกฝ่ายเข้ามาได้สะดวก พี่กัสส่งยิ้มมาให้แล้วเดินเข้ามาในห้องผม
“กินอะไรหรือยัง” พี่กัสเริ่มบทสนทนาด้วยท่าทีปกติ ผมลังเลก่อนจะตอบออกไป
“กินแล้วครับ” ผมโกหกไป อีกฝ่ายเดินเข้ามานั่งลงกับพื้นห้อง ตั้งโต๊ะอาหาร ผมเลยต้องเดินไปหยิบถ้วยจานมาใส่กับแกล้ม มีปลาหมึกย่าง ต้มยำเผ็ดๆ พี่กัสยื่นเบียร์ให้ผมหนึ่งกระป๋องเลยต้องรับมาดื่มอย่างเสียไม่ได้ ตอนนี้ผมแทบไม่อยู่ในอารมณ์จะมาจิบเบียร์หรอก
“พี่บอกว่ามีเรื่องจะคุย” ผมพูดเข้าเรื่องไม่อยากอ้อมค้อมมากมาย พี่กัสถอนหายใจ
“อือ มึงคงรู้แหละว่าจะมาคุยเรื่องอะไร อันที่จริงมันไม่มีอะไรให้ต้องอธิบาย ไม่ใช่ว่ากูไม่รู้ว่ามึงรู้สึกยังไง” พี่กัสพูดจริงจังมองหน้าผมเหมือนสื่อความหมาย
“แล้วผมรู้สึกยังไงล่ะพี่” ผมถามกลับ พี่กัสแค่นเสียงหึมองหน้าผมนิ่งๆ อยู่นานแต่ผมไม่ได้หลบตา
“แล้วมึงรักกูหรือไง” พี่กัสย้อนถามกลับมา ผมสะอึกไป ไม่หรอกไม่ได้รักแค่ผูกพันมั้ง มันเหมือนความสัมพันธ์นี้ไม่สามารถมากหรือน้อยไปกว่านี้ได้อีก ผมเงียบ
“พี่ก็รู้ว่าไม่ใช่แบบนั้น”
“อือ แล้วทำไมวะ ทำไมต้องทำท่าเหมือนคนอกหักด้วย หือ” พี่กัสตบไหล่ผมด้วยท่าทียิ้มแย้มแต่ผมยิ้มไม่ออก เจ้าตัวหุบยิ้มก่อนจะหมุนแหวนที่นิ้วนางข้างซ้ายไปมา คิ้วขมวดมุ่น
“กูแต่งงานมีลูกแล้ว จะว่าไปมันก็เร็วไปว่ะ มึงคงไม่ทันได้ตั้งตัว กูเองก็ไม่ต่างหรอก แต่ทำยังไงได้กูเป็นผู้ชายอย่างน้อยๆ ควรทำหน้าที่พ่อ” พี่กัสพูดนิ่งๆ สีหน้าไม่ยินดียินร้าย
“ดีแล้วที่พี่ทำแบบนี้ พี่ไม่ใช่คนไม่ดี” ผมบอกก่อนจะยิ้มเยาะตัวเอง ผมเข้าใจว่าไม่อยากเสียพี่กัสไปไม่ว่าจะในฐานะอะไรก็ตาม ที่มั่นของผมไง สำหรับพี่กัสแล้วก็เหมือนเสากลางกระแสน้ำให้ผมได้ยึดเกาะ
“กูขอบคุณสำหรับความหวังดีความรู้สึกดีๆ ของมึง กูรู้มันไม่ใช่ความรักอะไรทั้งนั้นหรอก ขอโทษที่กูหายไปไม่บอกอะไร มึงคงเสียศูนย์” พี่กัสพูดก่อนจะส่งยิ้มบางๆ มาให้ผมซึ่งแค่พยักหน้าให้ ระหว่างผมกับพี่กัสคงกลับมาสนิทใจแบบเมื่อก่อนไม่ได้แล้วจริงๆ
“แล้วสถานการณ์ของพี่ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง” ผมถามเพราะอยากรู้ พี่กัสถอนหายใจไหวไหล่ไปด้วย
“ปกติบางคนเราอยู่ด้วยกันก็ไม่ได้หมายความว่าต้องรักกันมากมาย มึงไม่ต้องคิดมาก กูไม่ได้มีปัญหาอะไรเพราะมึงเป็นต้นเหตุหรอก”
“ก็ดีแล้ว” ผมตอบ
หลังจากที่ได้คุยกันจริงๆ จังๆ ผมก็เบาใจไปเปราะเดียว สำหรับผมเหมือนคนยังจบไม่ลงเท่าไหร่ แต่พี่กัสดูเข้าใจผมมากกว่าตัวผมเองซะอีก บรรยากาศระหว่างผมกับพี่กัสก็ไม่เหมือนเดิม เมื่อเบียร์หมดกระป๋องเจ้าตัวไปเข้าห้องน้ำเสียงสั่นของโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะดังเบาๆ ผมเดินไปดู
ตืด ตืด ตืด
เบอร์แปลกโทรมาหลายครั้ง ผมเดาว่าต้องเป็นไอ้แกนแน่ๆ มันจะโทรมาทำไมกันอีก ผมถอนหายใจ ถ้าไม่รับมันคงโทรมาหลายรอบแน่ น่ารำคาญอีก
“มีอะไร” ผมกดรับเซ็งๆ
[ทำอะไรอยู่] มันถามกลับมา ผมเงียบไป
“โทรมาทำไม” ตอนนี้เดาใจมันไม่ถูกจริงๆ
[แค่อยากโทรมาเผื่อมึงยังทำสังกะตายอยู่] มันว่าก่อนจะหัวเราะหึๆ ให้ระคายหู
“ไม่เกี่ยวกับมึงหรอก แล้วก็ไม่ต้องโทรมาอีกนะ” ผมพูดเบื่อๆ พลางเหลือบมองนาฬิกา สามทุ่มกว่าๆ แล้ว
[อือ กูแค่โทรมาเช็คเฉยๆ แค่นี้แหละ] จากนั้นมันก็วางสายไปทำเอาผมยืนงงไปชั่วขณะ อะไรของมันกัน ระหว่างนั้นพี่กัสเดินออกมาจากห้องน้ำพอดี
“มีอะไรเหรอ”
“เปล่าหรอกพี่ แล้วจะกลับเลยหรือเปล่า” ผมถาม
“อือ ไม่อะ กะว่าจะค้างที่นี่”
“เหรอ” ผมรู้สึกแปลกๆ
“ทำไม แค่ค้างเองน่า” พี่กัสไหวไหล่เหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ คงเพราะผมไม่ได้ชอบพี่กัสแบบนั้น เจ้าตัวเดินไปนั่งบนเตียง
"จะฝึกงานที่ไหน คิดไว้หรือยัง" พี่กัสถามขณะที่ผมกำลังเตรียมตัวอาบน้ำ
“น่าจะที่คณะ อาจารย์ชวนให้ฝึกด้วย” ผมตอบ ก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไป
ระหว่างอาบน้ำสมองก็คิดกลับไปกลับมาเรื่องพี่กัส ในขณะที่ผมยังอยู่ในห้องน้ำ ผมได้ยินเสียงของพี่กัสดังเข้ามา
“ยังจำเรื่องที่กูเคยบอกมึงได้หรือเปล่า”
"เรื่องอะไรเหรอ" ผมถามออกไป ก่อนจะรีบแต่งตัวให้เสร็จเรื่องที่เคยพูด ก็มีตั้งมากมาย เจ้าตัวหมายถึงเรื่องไหนกันล่ะ
“วันที่กูพาไปร้านไอ้ตองไง ตอนที่มึงอยากสักน่ะ” พี่กัสพูดเอื่อยๆ เพื่อกระตุ้นความจำในวันนั้น ผมเปิดประตูออกมาจากห้องน้ำ พอมองที่เตียงนอน เห็นพี่กัสกำลังนอนเปิดอัลบั้มรูปผมดูอยู่ ผมมองอีกฝ่ายอยู่อย่างนั้นก่อนจะนึกทวนความทรงจำเก่าๆขึ้นมา
"จำได้สิ" ผมตอบ จำได้ขึ้นใจว่า ‘เราต้องรับผิดชอบในสิ่งที่เราเลือกเอง’
แล้วที่พี่กัสเอ่ยถึงแบบนี้ หมายความว่ายังไง แค่นึกถึงเรื่องเก่าๆ หรือมีอะไรจะบอกกับผม
"ตอนนั้นมึงยังเด็ก ยังไม่มีความคิดลึกซึ้งอะไรมาก กูแค่คิดขึ้นมาเฉยๆ ว่ามึงพร้อมรับผิดชอบต่อการเลือกนั้นหรือยัง” พี่กัสพูดก่อนจะปิดอัลบั้มรูปเบาๆ ผมยืนนิ่งยังคงงงกับคำพูดของอีกฝ่าย เจ้าตัวยิ้มก่อนจะตบที่ว่างบนเตียงแล้วเรียกผม
"พี่หมายถึงอะไร" ผมถามช้าๆ
"ลองคิดดูนะ มึงมีทางเลือกเสมอแหละ เลือกจะทิ้งมันไว้แบบนั้นหรือลบมันออกไปแบบไหนง่ายกว่ากันล่ะ ไม่ว่าจะเรื่องของกูหรือคนในนั้นของมึง" พี่กัสพูดเสียงอบอุ่นก่อนจะบุ้ยใบ้มาที่บริเวณคอผม รอยสักผมน่ะ
"ทำไมพี่เหมือนรู้ทุกอย่าง" ผมพูดเบาๆ ไม่ได้โกรธอะไร เหมือนพูดกับตัวเองซะมากกว่า พี่กัสหัวเราะ
"กูเป็นพี่มึงนะไอ้ดีน มึงตามกูต้อยๆ ทำไมจะไม่รู้ว่ามึงคิดยังไงบ้าง เลิกคิดมากเหอะนอนกันดีกว่า" พี่กัสตบหมอนก่อนจะเอนตัวลงนอนไม่ได้สนใจผมอีกต่อไป ผมมองอีกฝ่ายนิ่งๆ ปล่อยสมองไม่ให้คิดอะไร
“ขอโทษนะ” เสียงพี่กัสดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ
“เรื่องอะไรครับ” ผมถาม เจ้าตัวหันหน้ามามองผม
“ก็ที่เป็นส่วนหนึ่งในการทำให้มึงแย่ลงไง” ผมถอนหายใจ พี่กัสจะมารู้เรื่องอะไรกัน อีกอย่างในเมื่อเคลียร์ไปได้เเล้วผมเองก็ไม่อยากพูดถึงอีก ได้แต่ส่ายหน้า
“ไม่เกี่ยวกันหรอกพี่” ผมบอกก่อนจะเดินไปปิดไฟเหลือแค่แสงจากโคมไฟข้างๆ เตียง
“เรายังคงเหมือนเดิมนะเว้ย มีอะไรก็ปรึกษากันได้” พี่กัสย้ำอีกรอบ
“ครับ” ผมรับปาก
คงต้องรอวันที่ผมพร้อมจะไปหาพี่กัสโดยที่ไม่คิดอะไรเลยจริงๆ ซึ่งคงอีกนาน
แต่ผมยังคงนอนลืมตาในความมืดไม่สามารถหลับลงได้จริงๆ คนข้างกายผมหายใจสม่ำเสมอ คงหลับไปแล้วล่ะมั้ง พี่กัสจิตใจทำด้วยอะไรกันเนี่ย ผมพลิกตัวกลับมาอีกด้านหยิบโทรศัพท์มาเล่นเช็คเฟซเช็คไลน์ที่ว่างเปล่า
‘เหงาแฮะ’
อยู่ๆ คำนี้ก็ผุดขึ้นมาในหัว ชีวิตที่ผ่านมาของผมแทบไม่มีอะไรแตกต่าง ในเวลาแบบนี้ผมคิดถึงคนแค่สองคน
หนึ่งคือไอ้สอง ส่วนอีกคน...
ผมลุกออกจากเตียงนอนอย่างเงียบเชียบ เปิดตู้เย็นหยิบเบียร์ที่ยังเหลือครึ่งกระป๋องมาดื่ม ออกไปนั่งนอกระเบียงให้จิตใจแจ่มใส
‘ถ้าหากว่าย้อนเวลากลับไปได้นะ’
ในหัวผมคิดแต่แบบนี้ คำว่า ‘ถ้า’ รู้สึกเจ็บปวดอย่างประหลาด ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงได้ เวลานี้คือความจริง ผมนั่งอ่านข้อความที่ทิ้งในกลุ่มเรื่องงานกีฬากับเรื่องสตรีทอาร์ต พวกเพื่อนๆ รุ่นเดียวกันกับผมบ่นกันระนาวที่ไม่มีใครช่วยงาน ชื่อของผมอยู่อันดับต้นๆ แต่ผมปีสี่แล้วนี่ ไม่อยากมาวุ่นวายเรื่องในคณะแล้ว มักมีบางกลุ่มที่เลือดกิจกรรมมันข้นกว่าการเรียน
ลมเย็นเอื่อยๆ ปะทะกับใบหน้าพอให้ผ่อนคลาย ผมเงยหน้ามองฟ้าหม่นๆ สีน้ำเงินคล้ำ มีประกายดาวไม่มากนัก คืนนี้ไม่มีดาวเลย
ผมเปิดไลน์ที่มีข้อความทิ้งไว้เยอะแยะก่อนจะกดไปที่ชื่อของไอ้แกน บางทีมันควรจะถึงเวลาแล้ว
Deen:พรุ่งนี้ว่างหรือเปล่ามาเจอกันหน่อย–
ผมทิ้งข้อความไว้ไม่คิดว่ามันจะตอบกลับมาเร็วนัก ไลน์เด้งกลับมา
Gan:ว่าง ที่ไหนดี
Deen:ไม่รู้
ผมยังไม่ได้คิดว่าจะเป็นที่ไหน อาจจะที่คณะตามปกติ
Gan : เดี๋ยวกูนัดเอง
Deen : เออ
Gan : นึกว่านอนแล้วซะอีก
อีกฝ่ายยังไม่จบมีตอบกลับมา ผมถอนหายใจออกมา ขี้เกียจพิมพ์ตอบโต้มัน เลยปล่อยไว้แบบนั้น
Gan : ฝันดี
ผมจ้องข้อความที่ปรากฏอยู่นาน ในใจรู้สึกประหลาดเหมือนดอกไม้ไฟที่เพิ่งจุด มันไม่ใช่ความยินดีอะไรแบบนั้นแต่เหมือนอะไรบางอย่างที่เริ่มฟุ้งกระจายต่างหาก
บางทีผมควรจัดการกับตัวเองอย่างจริงจังสักที
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-02-2018 16:23:41 โดย รินดาwดาริน »

ออฟไลน์ fahsida

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
ใช่ๆ น่าสนุกดีจริงๆ 55555 งานนี้พี่ท็อปคงได้เห็นวิถีชีวิตในอดีตของน้องสองเต็มตาแน่ๆ

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
ขอบคุณมากค่ะที่มาต่อ
ชอบมากเลย กำลังจะสนุกหรือว่าจะวุ่นวายกันหนอ
ทุกคนย่อมมีอดีตเนอะ   :mew1: 

ออฟไลน์ Dak

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
คงเป็นงานที่สนุกจริงๆ ประโยคนี้มันส่อแววสนุกจริงๆ5555555555

ออฟไลน์ รินดาwดาริน

  • OnTop&N'Song
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +243/-2
-ผิง-
ตอนที่ 6 พักเบรกไปสักพัก

   ในช่วงว่างจากงานคณะหรือไม่มีเรียน ผมไปจัดการเรื่องพาสปอร์ตเรียบร้อยแล้ว ใจจริงผมชักไม่อยากไปแล้วล่ะสิ ก็ตื่นเต้นอยู่หรอก แต่ในเมื่อสัญญากับไอ้ยิมแล้วผมไม่อยากบ่ายเบี่ยง ผมหาข้อมูลที่ท่องเที่ยวในฮ่องกงมาบ้าง ผมสนใจพิพิธภัณฑ์ศิลปะของฮ่องกง ดูเหมือนว่าไปครั้งนี้คุ้มน่าดูเพราะบริเวณใกล้เคียงก็มีพิพิธภัณฑ์อย่างอื่นอยู่หลายแห่ง ส่วนไอ้ยิมมันไปฮ่องกงครั้งนี้เหมือนไปเซอร์เวย์ มันคอนเฟิร์มกับผมแล้วว่าไปฝึกงานที่เกาลูนจริงๆ ผมออกจะอึ้งอยู่บ้าง แต่ก็เข้าใจไอ้ยิมมันจริงจังเรื่องเรียนและงานของมันมาก ที่บ้านป๊ากับม้ามันสนับสนุนเต็มที่ อีกอย่างไปอยู่เกาลูนมีน้าสุคอยดูแลด้วย สองสามวันก่อนมันเก็บของในห้องเรียบร้อยแล้ว ประมาณว่าเตรียมย้ายได้เลย แต่ก็จะมีของจำเป็นอยู่เพราะมันต้องกลับมาพรีเซ้นส์โปรเจกต์ที่มหาลัยก่อนที่จะรอรับปริญญา

     กว่าจะเดินทางมายังฝั่งเกาะเกาลูน เริ่มต้นออกเดินทางที่ไทยตอนเช้าตรู่ถึงเกาลูนประมาณเก้าโมงเช้ากว่าๆ อันที่จริงต้องเป็นสิบโมงครึ่งถ้ายึดตามเวลาของฮ่องกง อากาศเย็นกว่าบ้านเรา ไอ้ยิมจองโรงแรมไว้แถวๆ ถนนนาธาน ผมกับไอ้ยิมเลยนอนพักสักหนึ่งชั่วโมงคลายความอ่อนเพลีย   


เมื่อตื่นขึ้นมาเห็นไอ้ยิมนอนเล่นโทรศัพท์อยู่ข้างๆ ผม มันสวมแว่นตาทรงใหม่ แต่กรอบสีฟ้าเช่นเดิม ไอ้ยิมมองหน้าผม
“หายเหนื่อยหรือยัง ไปเดินเล่นกันไหม เผื่อเจอของถูกใจ” ไอ้ยิมเอ่ยชวน ผมเห็นด้วย เขตนี้แหล่งชอปปิ้งเยอะ
“หิวอะ แวะกินเกี๊ยวกุ้งท่าจะดี” ผมพูด หยิบกระเป๋าสะพายติดตัวมา
“อือ เดี๋ยวพาไปกินร้านอร่อยๆ” ไอ้ยิมทำหน้าที่ไกด์ที่ดี
เราฝากท้องมื้อแรกกับร้านเก่าแก่ประจำย่านนี้ที่อยู่ในตลาด ไอ้ยิมมันพามาที่นี่เพราะมันอ่านจากไกด์บุ๊ก ในละแวกเดียวกันนั้นเต็มไปด้วยร้านอาหาร ได้เห็นวิถีชีวิตของคนที่นี่ที่พูดคุยเสียงดังเป็นภาษาจีนหมดเลย เล่นเอาผมเอ๋อ สั่งโจ๊กหมูกับปลาเสิร์ฟคู่กับปาท่องโก๋ อันที่จริงอาหารของที่นี่ผมพอกินได้นะ มันๆ เลี่ยนๆ ไปหน่อย พอรู้ราคาเล่นทำผมอึ้งไปเหมือนกัน แพงฉิบ แต่ก็คุ้มกันนั่นแหละ
สิ่งที่น่าเสียดายคือผมตั้งใจว่าจะไปดูงานแสดงภาพพู่กันจีนแต่พิพิธภัณฑ์กำลังปิดปรับปรุง ไอ้ยิมกับผมเลยนั่ง MTR ไปลงที่ฝั่งฮ่องกง เพื่อไปไหว้เจ้าแม่กวนอิมที่หาด repulse bay ต่อรถเมล์ไป มีไอ้ยิมไปด้วยก็เหมือนถือไกด์บุ๊ก ผ่านไปสามสิบนาทีก็เริ่มเห็นหาดและเห็นตึกสูงที่มีรูตรงกลาง ผมกับไอ้ยิมลงที่นี่ ไอ้ยิมสาธยายเรื่องการเปิดฮวงจุ้ย บริเวณชายหาดค่อนข้างสงบและไม่ค่อยเหมือนบ้านเราเท่าไหร่ แต่ก็ถือว่ามาพักผ่อน
“นั่งเล่นสักหน่อยค่อยไปไหว้พระ” ไอ้ยิมบอกก่อนจะชวนให้ผมนั่งแถวริมหาดทราย เลือกทำเลที่คนไม่พลุกพล่านมากนัก ที่ผมชอบมากที่สุดก็อากาศของฮ่องกงที่ไม่ร้อนไม่หนาว คงเพราะฝนกำลังจะตกหรือเปล่าไม่แน่ใจเพราะมันดูครึ้มฟ้าครึ้มฝน ผมมองคนที่มานอนเล่นอยู่ริมหาดอย่างใจลอย
“มึงมาที่นี่บ่อยไหม”
“ก็ไม่บ่อยนะ เพราะทัวร์มาลงเยอะ กูชอบเที่ยวฝั่งเกาลูนมากกว่า” มันบอก ผมพยักหน้าเข้าใจ ฮ่องกงก็แหล่งชอปปิ้งพอๆ กับฝั่งเกาลูนนั่นแหละ นั่งเล่นกันสักพักไอ้ยิมก็ไม่ได้หาโอกาสทำโรแมนติกใส่ผม ก่อนจะพากันไปไหว้เจ้าแม่กวนอิม คนเยอะพอสมควรเพราะเจอทัวร์คนไทย ส่วนใหญ่คนไทยน่าจะมาที่นี่กันเยอะ ป้ายบูชาเจ้าแม่กวนอิมยังมีภาษาไทยเลย ผมเลยไปต่อคิวขอพรให้มีโชคลาภเรื่องเงินทอง ไอ้ยิมมันขำนิดหน่อย
ผมไม่ได้สนใจเรื่องความเชื่อสักเท่าไหร่อาจเพราะไม่ใช่คนเชื้อสายจีนที่เหมือนจะเชื่อเรื่องฮวงจุ้ยอะไรทำนองนี้ แต่ไอ้ยิมมันคะยั้นคะยอให้ผมเดินข้ามสะพานต่ออายุ มีรูปปั้นสัญลักษณ์มงคลของจีนหลายอย่าง จนมาถึงรูปปั้นสิงห์สองตัว ไอ้ยิมมันอธิษฐานด้วยล่ะ ผมเห็นมันเป็นคู่ๆ ก็พอจะเดาได้ เห็นมันขอพรผมเลยทำตาม
“อธิษฐานอะไรเหรอ” ผมกระซิบถาม ไอ้ยิมแค่ยิ้มไม่ตอบ “โอเค กูก็ไม่ได้โง่นะ” ผมพึมพำ
ในใจมีหลายเรื่องผุดขึ้นมา เรื่องของผมกับไอ้ยิม ผมเองเหมือนมีความลังเลขึ้นมานิดหน่อย ไอ้ความรู้สึกที่ว่ามันสั่นคลอนความเชื่อของผมพอสมควร ผมกับไอ้ยิมจะเป็นคู่แฟน เป็นคู่รักกันได้ไหมนะ... ผมพร้อมจะเปิดใจให้มันได้แค่ไหน... ในเวลานี้ผมสามารถมองไอ้ยิมเป็นอะไรกันแน่ในความรู้สึกของผม ผมไม่อยากคิดมากเลย
ขอพรให้ผมกับไอ้ยิมอยู่ด้วยกันไปนานๆ ก็แล้วกัน
“เสร็จละ” ผมยิ้มบอก ไอ้ยิมดึงแขนผมให้เดินไปดูอาคารเก๋งจีน มีคนต่อแถวไหว้กันแต่ผมไม่ได้ขึ้นไป แค่ถ่ายรูปเก็บไว้ก็พอ
เนื่องจากทั้งผมและไอ้ยิมไม่อยากไปดิสนีย์แลนด์เลยไปที่โอเชี่ยนปาร์คเป็นสวนสนุกและแหล่งอนุรักษ์เพาะพันธุ์สัตว์น้ำหลายชนิด ผมอยากไปดูแมวน้ำมาก มันน่ารักดีนะ ไอ้ยิมเองก็ยังไม่เคยมาที่นี่เหมือนกัน มันคงไม่ชอบพวกเครื่องเล่นแหงๆ ไอ้ยิมมันชอบแพนด้าด้วยล่ะ แต่ไม่ได้เข้าไปเพราะมันเคยมาเห็นแล้ว ที่นี่แบ่งออกเป็นโซนวอเตอร์ฟร้อนท์ มันเลยชวนผมไปด้านบนเขาที่เป็นโซน The summit มีเครื่องเล่น ซึ่งต้องนั่งกระเช้าขึ้นไป แต่ถ้ากลัวความสูงก็นั่งรถไฟฟ้าไปได้
“ไม่กลัวความสูงนะ” มันถามผมด้วยน้ำเสียงอบอุ่น รู้สึกดีแฮะเวลามีคนเป็นห่วง แต่มันถามไม่ดูหน้าตาผมเลย สภาพอย่างผมไม่กลัวความสูงอยู่แล้ว
“จิ๊บๆ น่า” ผมหัวเราะดึงแขนไอ้ยิมให้เดินไปด้วยกัน มันทำหน้าเหวอเล็กน้อย ผมชอบไปเกาะแกะไอ้ยิมเพื่อความสนุกส่วนตัวเพราะมันชอบทำตัวไม่ถูกอยู่เรื่อย ทางขึ้นกระเช้าตกแต่งสไตล์ฮ่องกงเก่าแก่แบบสมัยก่อน เหมาะแก่การถ่ายรูปมากๆ เนื่องจากทานอาหารกันมาแล้วเลยไม่ค่อยหิวเท่าไหร่ ไอ้ยิมพกแซนด์วิชติดมาด้วยเลยมีของกินรองท้องก่อนจะเข้าไปชมไฮไลท์หลักของโอเชี่ยนปาร์คที่โอเชี่ยนเธียเตอร์ นั่นก็คือโชว์แมวน้ำและปลาโลมา
คนแน่นขนัด ผมเหลือบไปมองหน้าไอ้ยิมระหว่างที่โชว์กำลังแสดงเห็นมันยิ้มด้วย ท่าทางดูผ่อนคลาย ผมเหลียวไปมองคนรอบข้างที่ไม่สนใจอะไรนอกจากโชว์ ผมหันกลับมาหาไอ้ยิมมองมือมันที่วางอยู่บนขาอย่างลังเล อยากจะจับมือมันเหมือนกันนะ แต่ก็นะ... จังหวะนั้นเจ้าโลมาที่กำลังแสดงก็กระโดดขึ้นมาพร้อมกันสามตัวอย่างสวยงาม ไอ้ยิมตบมือเปาะแปะประทับใจ จากนั้นไปต่อที่โซนขั้วโลกเหนือ มีเพนกวินหลายสิบตัวกับแมวน้ำตัวอ้วนนอนโชว์อยู่ เรานั่งรถไฟกลับไปยังอีกฝั่งของโอเชี่ยนปาร์ค ส่วนมากก็เดินชมนกชมไม้ดูสัตว์ฆ่าเวลาแต่คุ้มอยู่แหละ แวะไปดูบรรยากาศเมืองเก่ากับซอย Old Hong Kong ก่อนจะไปต่อคิวเข้าไปดูอควาเรียมสัตว์น้ำ กลับออกจากโอเชี่ยนปาร์คก็ปาเข้าไปหกโมงเย็นกว่าๆ
เมื่อมาฮ่องกงทั้งทีเลยไปเดินเที่ยวชอปปิ้งกระเป๋าให้แม่ซะหน่อย มีแหล่งน้ำหอมราคาน่าลองพอสมควรที่ไอ้ยิมมันชอบมากกว่า ผมเลยแวะไปดูรองเท้าผ้าใบฆ่าเวลา ผมไม่ได้สอยมาแต่อย่างใด
“มึงเป็นไกด์ มีร้านไหนอร่อยๆ มั่ง”
“อยากได้แบบไหนล่ะ”
“มาฮ่องกงจะมากินอาหารฝรั่งก็กระไรอยู่ เอาอาหารจีนสิ” ผมบอก ลองเปิดดูในไกด์บุ๊กส่วนมากแนะนำร้านดังๆ ทั้งนั้น ราคาทะลุปอดทะลุพุงพอสมควร แต่ไอ้ยิมมันรู้จักคนในพื้นที่ น้าสุแกแนะนำร้านอร่อยให้หลายร้านแถวเซนทรัล เป็นร้านอาหารธรรมดาเลยสั่งผัดหมี่ ติ่มซำ ผัดผัก ก่อนที่จะไม่พลาดแวะทานขนมหวานร้านดังที่คนแน่นตามปกติ หลังจากนั้นก็ไป Hollywood road นี่คือสิ่งที่ผมตามหาสตรีทอาร์ตของที่นี่สวยๆ ทั้งนั้น ผมเดินดูของซะลืมคนที่อยู่ข้างกายเลย มันไม่ได้พูดอะไรมากแค่เออออตามผมเท่านั้น ผมแอบคิดว่ามันคงเบื่อหรือเปล่านะ ผมกับมันดูเหมือนจะคนละสไตล์กันเลยด้วยซ้ำ อยู่ๆ ก็นึกถึงหน้าป๊าไอ้ยิมขึ้นมา เมื่อเทียบกับครอบครัวผมแล้วยิ่งคนละอารมณ์กันเลยล่ะ
ผมกับไอ้ยิมเดินเตร่ตามถนนแวะตามซอกซอยที่มีแหล่งของแห้งขาย ระหว่างทางเดินไอ้ยิมหันมาหาผมบ่อยๆ อาจกลัวผมหลงทางหรือไม่ก็มีอะไรจะคุยด้วย
“มีอะไรหรือเปล่า” ผมถามแอบสะกิดมือมัน ไอ้ยิมคว้าข้อมือของผมไว้ก่อนจะดึงผมให้ขยับมาเดินใกล้ๆ กัน มันยังไม่เคยจับมือของผมแบบจริงๆ เสียที มันไม่กล้าหรือมันรออะไรอยู่ หรือต้องให้ผมเริ่ม นั่นสิ ผมมันไม่ค่อยเขินอายเท่าไหร่ล่ะมั้ง ผมมองมือของอีกฝ่ายที่กำรอบข้อมืออยู่
“คิดอะไรอยู่” มันขมวดคิ้วถาม จะว่าไปผมไม่รู้ว่าไอ้ยิมจะรู้สึกเหมือนผมไหม เหมือนกับว่าผมกับไอ้ยิมต้องมาเริ่มต้นกันใหม่ที่นี่ หลังจากที่ได้เพิ่มความหวานที่ร้านอาหารของพ่อไปคราวนั้น เรียกว่าเดทได้ไหมนะ เหมือนกับว่าทุกอย่างมันเจือจางลงอย่างรวดเร็ว เหมือนผมกำลังอินกับอะไรสักอย่างได้ชั่วขณะเดียว ไม่ก็คงเพราะผมกังวลคิดเรื่องป๊าไอ้ยิมขึ้นมา
“อือ คิดเรื่องของมึงไง” ผมบอก ไอ้ยิมเปลี่ยนสีหน้าเป็นแปลกใจ แต่ก่อนที่มันจะเอ่ยปากพูดอะไร ไอ้ยิมพาผมมาที่ร้านน้ำชา สภาพร้านไม่ได้ตกแต่งสวยงามเหมือนเป็นร้านแบบดั้งเดิม คนเยอะพอสมควร ไอ้ยิมสั่งชากับขนมปังปิ้งให้ผม อร่อยแบบฮ่องกงนั่นแหละ ชารสชืดไปนิดนึง
ผมเหลือบมองหน้ามันเงียบๆ ระหว่างที่อีกฝ่ายกำลังก้มหน้าก้มตาเคี้ยวขนมปังปิ้ง
“มึงดูไม่เป็นตัวเองเลย” อยู่ๆ มันก็พูดขึ้นมา ผมตกใจแทบสำลักชาเพราะมัวแต่ใจลอยมองผู้คนในร้านไปเรื่อย ทุกคนพูดคุยกัน มีความสุขกับครอบครัว คู่ของตัวเอง ผมคิดอยู่ในใจ ผมออกจะตกใจกับคำพูดของมันด้วยแหละ ผมหันกลับมาสนใจไอ้ยิม
“กูทำตัวไม่ถูกน่ะ” ผมบอกมัน ยิ้มแหยสำรวจใบหน้าของเจ้าตัวไปด้วย ไม่อายที่จะต้องสบตาของอีกฝ่าย แต่ไอ้ยิมกลับเป็นฝ่ายหลบตาผมแทน
“คิดมากเรื่องกูเหรอ” มันถามเบาๆ ผมเลยยื่นหน้าไปมองมันให้ชัดๆ บางทีก็อยากดึงแว่นของมันออกเพื่อที่มันจะได้มองหน้าผมตรงๆ ซะที
“เออ มีบ้าง จะไม่ให้คิดมากได้ไงวะ มึงมาฝึกงานที่นี่ ไม่รู้สิ กูแค่เหมือนโดนหลอกยังไงชอบกล” ผมหัวเราะระหว่างที่พูด เป็นเรื่องบ้าๆ ทำนองว่ามาทำให้ความหวังแล้วก็จากเราไป ผมมีประสบการณ์ด้านแห้วเยอะ เยอะจนชินซะแล้วถ้าจะถูกเขี่ยทิ้งอีก มันทำหน้าประหลาดใจ
“มึงเคยพูดไม่ใช่เหรอว่ากูไม่ใช่คนแบบนั้น” ไอ้ยิมพูดเหมือนกำลังตัดพ้อผม
บางครั้ง ‘เรา’ ก็ไม่เป็นตัวเราหรอก
“อืมก็ใช่ มึงไม่ใช่คนแบบนั้น” อะไรก็เกิดขึ้นได้ ไม่มีอะไรแน่นอนหรอก อีกสิบปีผมกับมันจะยังอยู่ด้วยกันแบบนี้ไปตลอดน่ะเหรอ
ผมว่าไม่... ผมไม่เชื่อเด็ดขาดเลย
ถ้ามองจากนิสัยของผมกับมัน มันเป็นคนจริงจัง บางครั้งผมก็ไม่เข้าใจมันหรอก ยิ่งตอนมันทำงานเครียดๆ บางทีผมอึดอัด ถ้าหากผมไม่พูด มันก็จะไม่พูด แต่ยังดีที่ความสัมพันธ์ของผมกับมันไม่ได้พัฒนาไปถึงขั้นแฟน มันแค่อยู่ในระยะดูๆ ไปก่อน ถ้าใช่ก็คบ ถ้าไม่ใช่ก็.... แยกย้ายกันไป เป็นเพื่อน เป็นพี่น้องกัน คิดแบบนี้แล้วผมก็เจ็บจี๊ดๆ นะ บางทีอาจจะดีกับมันก็ได้ ผมคิดในใจก่อนจะเตือนตัวเองไม่ให้ฟุ้งซ่าน
“งั้นเหรอ กูมาฝึกงานไม่ได้สนใจเรื่องอื่นหรอก” มันว่า ผมก็คิดแบบนั้น
“กูไม่ได้คิดเรื่องนั้นหรอก กูคิดถึงความสัมพันธ์ของมึงกับกูต่างหากว่ามันจะไปได้ไกลแค่ไหน” ผมพูดให้มันเข้าใจ ผมไม่คิดว่าคนอย่างไอ้ยิมจะไปมองคนอื่นขณะที่กำลังคุยกับผมอยู่หรอก ไอ้ยิมถอดแว่นออก ได้ยินเสียงมันถอนหายใจ ผมทำให้มันรู้สึกไม่ดีเข้าซะแล้ว
“ทำไมวะ”
“ยิม มึงกับกูคบกันได้นะเว้ย หมายถึงกูพอใจกับสถานะแบบนี้ ไม่รู้สิ ถ้าต้องเปลี่ยนเป็นแบบอื่น กูจะยังโอเคอยู่ไหม หรือว่ามันอาจจะมีอะไรเปลี่ยนไปก็ได้” การเลื่อนขั้นมาเป็นแฟนอาจมีปัญหาจุกจิกยิบย่อยตามมา แต่การตัดสินใจแบบนี้ถือว่าผมผิดคำพูดที่ให้ไว้ อันที่จริงตอนที่ไปเที่ยวแม่สอดด้วยกันผมก็สัญญาว่าจะตอบแทนมัน แน่นอนเรื่องเงินที่ติดมันไว้ ผมต้องใช้คืน แต่ไอ้คำที่บอกว่าจะชดใช้ให้... ผมยังคิดไม่ตกว่าจะทำอะไร
เหมือนคำพูดของผมจะทำให้ไอ้ยิมไม่เจริญอาหาร มันดื่มน้ำเปล่าไปหลายอึกก่อนจะมองหน้าผม
“มึงคิดมากตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” เพราะความไม่คิดมากของผมอาจทำให้มันเสียเวลาหรือเปล่านะ แน่นอนล่ะ ผมมีความสุขที่อยู่กับไอ้ยิม แต่ผมก็ไม่ได้รู้สึกในทำนองมากไปกว่าเพื่อน อาจจะพิเศษกว่าเพื่อนแต่ไม่ใช่แบบแฟน บางครั้งความจริงเป็นสิ่งโหดร้ายและน่ากลัว
“กูไม่คิดมากไม่ได้หรอกยิม” ผมพูด จะมาสนุกๆ เรื่อยๆ แบบนี้ไม่ดีต่อความรู้สึกของใครทั้งนั้น
“อยากไปไหนต่อดีล่ะ นึกว่ามึงจะปล่อยให้กูเที่ยวแบบสบายใจซะอีก” มันบ่นก่อนจะหยิบแว่นมาสวมตามเดิม ผมเม้มปาก
อืม ก็ถูกของมัน เสียอรรถรสไปเลย
ตอนนี้ก็มืดแล้ว ไอ้ยิมมันพาผมไปเตร่ที่ย่านลานไควฟงแหล่งท่องเที่ยวกลางคืนขึ้นชื่อของฮ่องกง ผมกับยิมเลือกร้านที่เป็นบาร์ อยากนั่งดื่มมากกว่า ร้านที่เล็งๆ ไว้อยู่บนตึกชั้นสองแต่ยังไม่เปิด ไอ้ยิมเลยทำเป็นเสี่ยเลี้ยง มันแวะเข้าเซเว่นซื้อเบียร์มาสามสี่กระป๋องซึ่งราคาถูกกว่าในร้านเยอะ มานั่งดื่มแถวซอกบันไดที่ปลอดคนหน่อย
“เอาป่ะ” มันสะกิดไหล่ผมก่อนจะยื่นซองบุหรี่มาให้ ผมมองหน้ามัน ปกติไม่ค่อยเห็นมันสูบเท่าไหร่ ไหนๆ ก็ดื่มเบียร์ทั้งที ผมเลยหยิบมาหนึ่งมวน ไอ้ยิมจุดไฟให้ผมเงียบๆ ผมแอบมองมัน มันน้อยใจผมหรือเปล่านะ
“ไม่ค่อยเห็นมึงสูบเลยนี่” ผมถามก่อนจะเปิดเบียร์แล้วยกดื่มดับความว้าวุ่นในใจ ไอ้ยิมไหวไหล่ สังเกตดูถึงจะสูบบุหรี่แต่มันไม่ค่อยอัดควันเข้าไปเยอะ เหมือนแค่สูบนิดๆ หน่อย ระหว่างที่ดื่ม
“นานๆ ทีนี่หว่า มึงเบื่อหรือยัง”
“เปล่านะ สนุกดี” ผมบอก สายตาจับจ้องนักเที่ยวกลางคืนท่าทางสนุกสนานเดินผ่านไปมาตามถนน ไอ้ยิมพยักหน้า
“เฮ้อ กูคงคิดมากไม่ก็มึงคิดน้อยไป” มันพึมพำ
“...กูไม่ได้จะเลิกคบมึงนะยิม” ผมมองหน้าคนข้างๆ ที่สายตาหลุบต่ำมองกระป๋องเบียร์ในมือที่กำลังบีบกระป๋องเบาๆ
“พรุ่งนี้คงเที่ยวอยู่แถวจิมซาจุ่ยนั่นแหละ ตอนสายๆ ไปวัด มึงชอบกินเดี๋ยวกูพาไปชิมของอร่อยๆ” มันบอก ผมผงกหัวตาม มันกำลังกลบเกลื่อนสินะ นิสัยแย่จริงๆ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-02-2018 15:39:01 โดย รินดาwดาริน »

ออฟไลน์ sindy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 42
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
 :กอด1:
คู่นี้มาแบบเรื่อยๆ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
 :katai2-1:    ยินดีกับทั้งคู่นะ ถึงจะไม่มีอุปสรรคขวากหนามมากมายแต่เราเชื่อนะว่าทั้งสองคนชอบกันด้วยความจริงใจ
แกะซองเลยอาผิง อิอิ

ออฟไลน์ kun

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-10
ผิงยิมน่ารัก สบายๆๆๆดีอ่ะ

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
นึกว่าตาฝาดดดดดดดดด คิดถึงคู่นี้  :z2: :z2: :z2:

ออฟไลน์ flimflam

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 881
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-4
ฝั่งสองกับพี่ท็อปนี่ท่าทางจะวุ่นวายน่าดู 555555555
กิ๊กเก่านี่เจอแน่ๆ เจอแน่นอน

ออฟไลน์ ทิวสนที

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 763
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +23/-0
เพิ่งมาตามอ่าน ชอบขนุผิงกับพี่ท็อปมากกกกกกก

ออฟไลน์ poisongodx

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-3

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
ลืมไปเลยว่าตามเรื่องนี้อยู่ เมื่อไหร่จะมาจ๊ะคิดถึงนักเขียนและหนุ่มๆแล้ว

ออฟไลน์ รินดาwดาริน

  • OnTop&N'Song
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +243/-2
ตอนที่ 22 กลับบ้าน 2


“อ๋อ ช่วงนั้นผมเบื่อๆ เซ็งๆ ...”ผมบอกอย่างไม่คิดอะไร เอาจริงไอ้โจ้มันก็หน้าตาดีแบบที่ผมชอบเลย แต่มันก็ผ่านมานานแล้ว ปัจจุบันนี้ผมก็ไม่เหมือนเมื่อก่อน พี่ท็อปหันมองเอ่ยเสียงเรียบๆ
“อือ สเปกมึงว่างั้นเหอะ”
“เมื่อก่อนไง ตอนนี้ผมไม่ได้คิดอะไรกับมันซะหน่อย”ผมบอกไปตามตรง ค่อยๆเดินหลบคนที่สวนไปมา สองข้างทางมีร้านอาหารทั้งของคาว ของหวานละลานตา ทำให้ในบางครั้งก็ต้องเจอกับฝูงคนเบียดเสียดไปบ้าง 
“หึ มึงนี่ใช่ย่อยนะ ตอนนั้นมันมีผัวอยู่แล้วมึงยังไปยุ่งกับมันอีก ได้ข่าวว่าเป็นเพื่อนๆ มึงเองไม่ใช่เหรอ”พี่ท็อปเอ่ยขึ้นมา ผมแปลกใจที่อีกฝ่ายรู้เรื่องเก่าๆ ผมหัวเราะ
“ก็เพื่อนไม่สนิทเท่าไหร่ แต่เรื่องมันตั้งนานแล้ว...ไอ้คิวบอกพี่เหรอ”ผมถาม เจ้าตัวส่งเสียงตอบกลับมา “อือ กูถามมัน”
“หึงด้วยเหรอ”ผมถามเล่น ๆ 
“เออดิ ดูสิเนี่ย ยังมาเจอมันอีก แล้วมันยังทำท่าจะกินมึงซะขนาดนั้น”พี่ท็อปแดกดัน เปลี่ยนมาจับข้อมือผมไว้แทน อย่างน้อยก็ไม่ทำประเจิดประเจ้อเท่าไหร่ ผมยื่นหน้าไปใกล้กับไหล่ของเจ้าตัว
“โธ่ ผมรักแฟนจะตาย ไม่รู้เหรอ”
“ให้มันจริงกูหิวแล้วไปหาอะไรกินเหอะ”พี่ท็อปยิ้มมุมปาก ก่อนจะเหลียวมองไปตามร้านค้าข้างๆ
“ไปหาก๋วยเตี๋ยวผัดกินดีไหมพี่ ผมเคยกินเจ้าประจำอร่อยสุดแล้ว”ผมบอก ไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้ยังมาขายอยู่อีกไหมเพราะผมเคยกินก็สี่ปีก่อน แต่ปกติเจ๊แกจะมาขายที่งานประจำปีของหมู่บ้านตลอด เดินหาอยู่นาน ร้านก๋วยเตี๋ยวผัดตั้งอยู่ใกล้กับบริเวณที่ตักสลาก ผมเลยสั่งมาอย่างละสองห่อ จากนั้นก็เดินไปเจอร้านสักพอดีเลยแวะเข้าไปดูลายซะหน่อย
“อยากสักเหรอ”พี่ท็อปถาม 
“อือ ให้ผมสักป่ะ”ผมถาม แต่คงไม่เลือกสักที่นี่ คงไปหาร้านดีๆ สักมากกว่า
“เอาจริง?”พี่ท็อปเลิกคิ้วสูงอย่างแปลกใจ ผมเลยหัวเราะก่อนจะมองเข้าไปข้างในม่านที่มีคนกำลังเก็บอุปกรณ์สักอยู่ หน้าตาคุ้นๆ เหมือนเพื่อนเก่า พอเงยหน้าสบตากับผมเท่านั้นแหละ ไอ้เต็งนั่นเอง ผมเจอกับมันอีกแล้ว
“เข้ามาดิไอ้สอง”มันเรียก ผมเลยบอกให้พี่ท็อปรอด้านนอกน่าจะดีกว่า ผมเดินเข้าไปด้านใน
“นี่ร้านมึงเหรอ”ผมถามอย่างแปลกใจ
“เปล่า ร้านลูกพี่กูเอง กูมาช่วยบ้างนิดๆ หน่อยๆ ที่จริงมีร้านในเมืองนู่นแต่เห็นว่ามีงานพี่แกเลยมาตั้งร้านดู”มันเล่า
“อือ ...กูว่าจะพูดเรื่องไอ้โจ้”ผมเริ่มเรื่อง อีกฝ่ายมองผมอย่างไม่แปลกใจนัก
“กูกะแล้ว แต่ไม่ต้องขอบจงขอบใจกูหรอกนะ ต้องขอบใจไอ้คิวที่ส่งข้อความมาหากู โชคดีที่พี่นาคอยู่ที่ร้านพอดี”
“อือแล้ว...” ผมว่าพอจะเดาเรื่องออกแล้ว “พี่นาคผัวมันไง หึ ไอ้โจ้มันชอบลองดี...มันก็กล้าไปคุยกับมึงนะ”
“ถึงว่ามันยอมถอยง่ายๆ”ผมพยักหน้า ที่แท้ก็กลัวผัวนี่เอง แต่ดูท่าพี่นาคอะไรนี่คงจะโหดพอตัว มาแค่ชื่อไอ้โจ้มันยังกลัว
“แล้วมึงจะกลับไปเรียนวันไหน เห็นว่ามาไม่กี่วัน” ไอ้เต็งถาม
“วันจันทร์ไง ...ยังไงก็ต้องขอบใจมึง”ผมยิ้มให้อีกฝ่าย อย่างน้อยก็เคยเป็นเพื่อนกัน ผมก็ไม่อยากมาตีหน้ารังเกียจอีกฝ่าย 
“อือ แต่มึงก็เปลี่ยนไปเยอะ” มันหัวเราะก่อนจะเหลือบไปมองพี่ท็อปที่อยู่ด้านนอกกำลังดูแบบลายสักไปพลางๆ
“จะให้กูเลวไปตลอดก็ไม่ไหว มึงก็รู้แค่เรื่องมิ้นท์กูแย่แทบตาย”ผมพูด พอพูดเรื่องเก่าทีไหร่ผมก็พลอยจะสลดใจทุกที ไอ้เต็งถอนหายใจเฮือกใหญ่ 
“เออ โคตรซวย มึงไปเหอะแฟนมึงมองกูตาเขียวปั๊ด”มันบอก ก่อนจะโบกมือไล่ผมไป  “งั้นกูไปแล้วนะ โอกาสหน้าเจอกันนะ”
“เออ แล้วนั่นเมียหรือผัว”อยู่มันก็เอ่ยถามขึ้นมา ด้วยสีหน้าอยากรู้ ผมคิดว่าแกล้งยียวนกวนประสาทมากกว่า เลยยิ้ม
“ให้มึงเดาเหอะ” ผมบอก ก่อนจะเดินออกมาโดยที่ไม่รอฟังคำตอบของมัน ผมเดินออกมาจากร้านสัก พี่ท็อปยืนมองผมอยู่ อีกฝ่ายหันมามอง“นานว่ะ”
“ป่ะ กลับกัน” ผมบอกก่อนจะแวะซื้อปลาหมึกย่างกับน้ำมะพร้าวเจาะสองลูก ระหว่างเดินกลับเจอกับพ่อพอดีเลยชวนผมกับพี่ท็อปไปจับสลากแลกของ ซึ่งพ่ออยากได้รางวัลใหญ่อย่างพวกตู้เย็น รถมอเตอร์ไซค์ เครื่องซักผ้า แต่พอไปตักสลากแลกของมาก็ได้แต่พวกจาน ตะกร้า แก้วพลาสติกกลับมาเท่านั้น
“ได้แต่ของแบบนี้ทุกปีไป” พ่อบ่น สุดท้ายกว่าจะเดินกลับถึงรถก็ต้องหิ้วของอีรุงตุงนังไปหมด พ่อไม่ได้เมามากเท่าไหร่ แค่ไปจิบเบียร์คุยกับเพื่อน เลยขับรถได้ปกติ ผมนั่งอยู่เบาะหลังกับพี่ท็อป สายตาพ่อมองมาที่ตุ๊กตาควายตัวนั้นบนตักของเจ้าตัวอยู่นาน
“นั่นไปเล่นมาได้หรือไง ยังกับเด็กแปดขวบ”พ่อบ่นงึมงำไปทั่วรถ น้ำเสียงไม่ได้เข้มงวดอะไร
“น่ารักไหมพ่อ”ผมหัวเราะใส่ พ่อแค่เหลือบตามามองหน้าผมผ่านกระจกด้านบนแทน ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา ผมหันไปคุยกับพี่ท็อปต่อ ยื่นมือไปจับตุ๊กตาเล่น เนื้อผ้านิ่มมือดี
“น่าจะหาคู่ให้มันนะพี่ จะได้เหมือนเราไง”
“หึ ไม่เอาอะ ไม่อยากเป็นควาย”พี่ท็อปส่ายหน้าทันที 
“งั้นนกเอี้ยงเป็นไง”ผมพูดต่อขำๆ
“ยังเล่นไม่เลิกอีก”พี่ท็อปปราม ทำเอาผมหัวเราะออกมาได้ “ล้อเล่นน่า”ตลอดทางผมสังเกตได้ว่าพ่อเหลือบมองมาที่ผมกับพี่ท็อปอยู่ตลอดเหมือนคิดอะไรอยู่ในใจ
กว่าจะกลับถึงบ้านได้พ่อก็เหนื่อยล้าจนขี้เกียจทำขนมแตงไทยเลยขอไปทำตอนเช้า ผมไม่ได้ว่าอะไรเพราะอิ่มจากของในงานมาเหมือนกัน เมื่อขึ้นมาด้านบนพี่ท็อปก็เอนตัวลงนอนบนเตียงแรงๆ
“ปวดขาเลยว่ะ” พี่ท็อปยกขามาทุบๆ ผมเดินมานอนข้างเจ้าตัว เริ่มรู้สึกเพลีย พอหนังท้องตึงหนังตาก็เริ่มหย่อน ผมหาวนอน ยื่นมือไปบีบขาให้อีกฝ่าย
“เดินแป๊บเดียวเองนะ” ผมว่า พี่ท็อปขยับมามองผมแทน
“อยู่ที่นี่ก็ดีเหมือนกันนะ เงียบดี”เจ้าตัวพูด ผมพยักหน้า 
“ผมก็ชอบบรรยากาศแบบนี้เหมือนกัน สโลว์ไลฟ์สุดๆ”บรรยากาศของที่นี่ไม่วุ่นวาย อากาศปลอดโปร่ง เหมาะแก่การมาพักสมองเงียบๆคนเดียว
“ไว้เรามาอยู่ด้วยกันดีไหม” พี่ท็อปคงพูดจริงเพราะสายตาที่มองผมไม่ได้ล้อเล่น
“ถ้าพี่อยู่ได้ ผมก็โอเคนั่นแหละ”ผมตอบ อีกฝ่ายยิ้มกว้าง ก่อนจะเหยียดขาแก้อาการเมื่อย ผมขยับหมอนเอามารองแผ่นหลังไว้ แล้วเอนพิง
“อือ...พรุ่งนี้พ่อชวนกูไปดูไร่ด้วยนะ”พี่ท็อปบอก ผมแปลกใจขึ้นมา “จริงเหรอ ให้ไปช่วยงานเหรอครับ”
“คงงั้นมั้ง เห็นว่าจะไปดูเครื่องปั่นน้ำนี่แหละ”เจ้าตัวบอก 
“พ่อท่าจะเอาจริงนะเนี่ย” ผมหัวเราะ รู้สึกดีขึ้นอย่างบอกไม่ถูก แค่นี้ก็ไม่มีเรื่องให้กังวลอะไรแล้วในเมื่อพ่อก็ยอมรับพี่ท็อปได้แล้วในระดับหนึ่ง
“ไม่รู้สิ...แต่พ่อเองก็ยังมองมาที่เราด้วยสายตาแปลกๆ อยู่นะ”อีกฝ่ายเอ่ยด้วยความกังวลชัดเจน ผมเงียบ ปฏิเสธไม่ได้ว่ายังมีช่องว่างระหว่างกันอยู่
“คงอีกนานกว่าจะรับเราได้จริงๆ น่ะพี่ ผมก็ให้เวลาพ่อนะ เพราะที่ผ่านมาผมไม่เคยคบใครแบบเปิดเผยให้พ่อรู้ขนาดนี้” แบบมาเจอตัวเห็นหน้าจริงจังเป็นครั้งแรก พ่อคงต้องทำใจอยู่ พี่ท็อปพยักหน้า
 “แล้วเมื่อเย็นล่ะ คุยไปแค่ไหนแล้ว” ผมถาม พี่ท็อปแค่ยิ้ม
“ยังไม่ได้ครึ่งที่กูอยากจะคุยด้วยจริงๆ เลยแต่ก็โอเค”
“หึ มาทำให้อยากรู้อีกแล้ว” ผมส่ายหน้าแต่ไม่ได้คาดคั้นอะไรจากพี่ท็อป มันคงเป็นเรื่องดี อาจจะเป็นเรื่องสำคัญมากๆ เลยหรือเปล่า แม้ผมจะคิดไปไกลถึงอนาคตเลยก็เถอะ ผมกับพี่ท็อปเข้าไปล้างตัวล้างหน้าก่อนเข้านอน พ่อมาเคาะประตูบอกว่าอย่านอนดึกเพราะต้องไปไร่ตอนเช้าอีก แอบส่งสายตาแปลกๆ มาให้ผมอีก
“มาหาข้าที่ห้องหน่อย” พ่อบอก ผมพยักหน้า พี่ท็อปยักคิ้วให้ผมส่งท้าย ผมเดินไปที่ห้องของพ่อที่อยู่ถัดไปอีกสองห้อง อีกห้องข้างๆ เป็นห้องเก็บของพวกหมอน ที่นอนรวมไปถึงเสื้อผ้าเก่าๆ ที่ไม่ได้ใช้แล้ว ผมเดินเข้าไปในห้องพ่อก่อนจะดึงเก้าอี้มานั่ง พ่อทำเป็นจัดที่นอนกับหมอนให้เข้าที่เข้าทาง   
“มีอะไรอะพ่อ” ผมเอ่ยขึ้นมาก่อน
“เอ็งมีความสุขไหม”พ่อเอ่ยถาม ผมขมวดคิ้วมองก่อนจะพยักหน้าตอบ “หือ...มีสิพ่อทำไมอะ”ผมถามเสียงแผ่วก่อนจะมองหน้าพ่อที่ดูเหมือนจะตัดสินใจอะไรสักอย่าง
“อันที่จริงข้าไม่อยากให้เอ็งเป็นขี้ปากชาวบ้านเขา แค่นี้ก็มีแต่เรื่องเสียๆ หายๆ เยอะแยะ...แต่เห็นว่าไอ้ท็อปมันดูแลเอ็งได้ ข้าก็ไม่อยากบังคับอะไรเอ็งอีก”พ่อพูดเบาๆ ผมฟังแล้วใจหายไปด้วย
“ไม่เอาน่าพ่อ อย่าดึงให้เศร้าสิครับ พ่อน่าจะด่าผมบ้าง ถ้าพ่อไม่โอเค ไม่เห็นต้องเก็บไว้เลย”ผมตอบอย่างไม่สบายใจ เพราะแบบนั้นพ่อจะรู้สึกไม่ดีกับพี่ท็อปไปเปล่าๆ รวมถึงจะผิดหวังในตัวผมขึ้นไปอีก
“เปล่าๆ ข้ามีเหตุผลพอน่า...เอ็งก็โตแล้ว”พ่อมองผม แล้วเอื้อมมาจับไหล่ผมแน่น ๆ 
“มีใครพูดอะไรให้พ่อไม่สบายใจหรือเปล่า” ผมถาม เพราะพ่อดูแปลกๆ ไป สงสัยไปเจอใครเขาพูดเกี่ยวกับผมล่ะมั้ง
“มันก็มีบ้างแหละ...มีหลายเรื่องที่ไม่รู้เกี่ยวกับเอ็งอีกเยอะแยะ นี่ก็เพิ่งรู้เรื่องไอ้โจ้อะไรนั่น พอดีเจอไอ้จันพี่มันเข้า มันเลยมาบ่นๆ ให้ข้าฟัง”พ่อพูด ผมเลยเงียบ เรื่องนี้มันพอสร้างความเสียหายให้กับพ่อได้อีก ถึงเรื่องมันจะนานแล้วก็ตาม
“ขอโทษนะพ่อ”ผมตอบอย่างรู้สึกผิด พาลนึกไปถึงเรื่องของเฮียแกน ดีแค่ไหนที่พ่อไม่รู้เรื่องนี้ ผมตัดสินใจจะไม่บอกพ่อ ไม่อย่างนั้นความสัมพันธ์ของเราคงแย่ยิ่งกว่าเดิม ในเมื่อผมได้เรียนรู้มากขึ้น ผมก็จะไม่กลับไปทำตัวเสียหายแบบนั้นอีก มันไม่ได้ส่งผลกระทบแค่ที่ตัวผม มันส่งถึงพ่อด้วย เมื่อก่อนผมไม่ได้คิดมากเท่านี้ คนถึงบอกว่าว่าเวลาลูกทำผิด พ่อแม่ก็โดนลากมาด่าด้วย เหมือนที่ได้ยินกันบ่อยๆว่า พ่อแม่ไม่สั่งสอน เป็นคำตราหน้าที่เลวร้ายมาก
“อือ เอ็งก็พูดอยู่บ่อยๆ”พ่อพูดเสียงเรียบเฉย ทำเอาผมหน้าเสีย
“พ่อครับ ผมเสียใจนะเนี่ย ผมพูดจริงๆนะ รวมถึงเรื่องมิ้นท์ด้วย พ่อไม่ต้องห่วงนะ ผมเคลียร์ไปแล้ว...” ผมบอก อย่างนอยก็เล่าเรื่องของมิ้นท์ให้ฟังเพียงอย่างเดียว
“ข้าทำใจได้แล้ว...เอาเหอะ แค่ตอนนี้เอ็งใช้ชีวิตให้ดีก็พอ ส่วนเรื่องไอ้ท็อป...ข้าไม่ห้ามหรอกนะ มันก็โตๆกันแล้ว”พ่อบอกก่อนจะมองหน้าผมนิ่งๆ ผมพยักหน้า ในใจรู้ว่าพ่ออยากจะพูดอะไร แต่อีกฝ่ายเป็นคนแข็งกระด้างคงไม่สันทัดเรื่องแสดงความรู้สึกมาก อีกอย่างยิ่งพ่อกับลูกชายอย่างผมด้วย
“ครับ...พ่อไม่ต้องห่วงหรอกน่า ตอนนี้ผมลดๆ พวกเหล้าพวกบุหรี่บ้างแล้ว”ผมบอกให้พ่อคลายความกังวลไปบ้าง
“อือ ดีแล้ว อะ มึงไปได้แล้วกูจะนอน ปิดไฟให้กูด้วยล่ะ” พ่อบอกก่อนจะโบกมือไล่ผม
“ฝันดีนะพ่อ” ผมบอกก่อนจะลุกไปเก็บเก้าอี้ไว้ที่เดิมแล้วปิดไฟก่อนจะออกจากห้อง ในใจผมรู้สึกแปลกไปหลายๆ อย่าง แต่ยังไงซะเราก็ต้องผ่านช่วงเวลาแบบนี้ไปให้ได้ ผมเดินกลับมาที่ห้องเห็นพี่ท็อปนอนอยู่ เปิดโคมไฟไว้ก่อนแล้ว
“งั้นผมปิดไฟนะ” ผมบอกก่อนจะเดินมาปิดไฟ
ผมกับพี่ท็อปไม่ได้พูดอะไรเพราะเหมือนจะมีเรื่องในใจกันอยู่แล้ว อีกอย่างทุกคนมีพื้นที่ของตัวเองไม่จำเป็นต้องบอกกล่าวกันไปตลอด ผมคิดว่าพี่ท็อปรู้ว่าพ่ออยากพูดอะไรกับผม และมันไม่ใช่อุปสรรคระหว่างเรา

เช้าวันรุ่งขึ้นผมกับพี่ท็อปลุกมาอาบน้ำทำธุระส่วนตัวกันเร็วกว่าปกติก่อนจะลงไปด้านล่าง เห็นว่าพ่อกำลังทำขนมแตงไทยอยู่แต่ใกล้จะเสร็จแล้วแค่นึ่งให้สุกเท่านั้น ผมเองยังไม่เคยกินขนมแตงไทยเคยได้ยินแต่ชื่อเพราะสมัยนี้ไม่ค่อยทำกันแล้ว
“ไม่ต้องเครียดไปหรอก แค่พาไปดูไร่เปิดหูเปิดตาหน่อยเท่านั้นเอง ข้าจะใช้งานแค่ไอ้สองมันเท่านั้นแหละ” พ่อว่า
“แล้วไร่เรานี่ได้เลี้ยงสัตว์บ้างยังอะ” ผมถาม จะว่าไปผมแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับไร่สักอย่าง ขาดเหลืออะไรผมก็ไม่เคยรู้ พี่ท็อปมองหน้าผมอย่างตำหนิ
“ว่าจะเลี้ยงปลากับเป็ด แต่ต้องดูอีกทีเพราะต้องหาคนดูแลอีก” พ่อบอก
หลังจากทานข้าวมื้อเช้าจนอิ่ม ขนมแตงไทยก็สุก เลยช่วยพ่อนำขนมออกมาใส่ใบตอง กลิ่นหอม มีสีเหลืองนวล คล้ายกับขนมกล้วย
“ข้าก็ลองทำดู รสชาติเป็นยังไงบ้าง” พ่อถาม
“มันหวานๆ หอมๆ ดีนะพ่อ”
“ข้าถามไอ้ท็อปมัน”พ่อหันมาแว้ดใส่ ทำเอาผมเบ้ปากมองพี่ท็อปกำลังหัวเราะ “อร่อยดีครับ เพิ่งเคยกินเหมือนกัน”เจ้าตัวบอก
“อือๆ จำสูตรไว้สิ จะได้เอาไปทำกิน...ทำเป็นไหม”พ่อถามพี่ท็อป 
“ผมเข้าครัวไม่ค่อยเป็นน่ะครับ แต่ก็พยายามอยู่”พี่ท็อปตอบแบบแบ่งรับแบ่งสู้ พลางเหลือบมองมาที่ผมบ้าง
 “ผมทำเป็นนะพ่อ ก่อนกลับพ่อจดสูตรไว้ดิ”ผมบอกแล้วยิ้ม พ่อหัวเราะหึๆก่อนจะส่ายหน้าแล้วบ่นงึมงำ เมื่อเข้าช่วงสายมากแล้ว พ่อก็เก็บของไปไร่พร้อมๆกัน ผมกับพี่ท็อปเลยหาหมวกติดไปคนละใบ
พ่อผมมีไร่เล็กๆ ชื่อว่าอรุณตามชื่อจริงของปู่ ปกติไร่จะทำมาจากรุ่นสู่รุ่น แต่เพิ่งมาตั้งชื่อเมื่อห้าหกปีนี่เอง เป็นไร่ไม่ใหญ่มาก เลยมีคนงานประมาณ 10 กว่าคนเท่านั้น ส่วนใหญ่จะดูแลเรื่องวัชพืช เรื่องการเก็บผลผลิต ไร่แบ่งออกเป็นสองส่วนคือ พวกพืชสวนครัวกับพวกผลไม้ ส่วนมากเป็นพืชดูแลง่าย โตเร็ว และขายได้ตลอดฤดูกาล เช่นกล้วย แตงไทย ฝรั่ง ส้มบางสายพันธุ์
 “ไอ้สอง มึงขับรถไปดูน้ำในแปลงผักชีให้หน่อย กุญแจเสียบอยู่ที่รถนะ” พ่อชี้ไปที่รถมอเตอร์ไซค์คันเก่าๆ รุ่นเดอะมาก ผมเดินไปที่รถเห็นว่าพ่อกับพี่ท็อปเดินไปทางด้านของเครื่องปั่นน้ำ ผมสตาร์ทรถสองสามรอบถึงจะติด เสียงเหมือนรถอีแก่ที่ดังแต๊กๆ ไปตลอดทางขรุขระ ผมมาถึงแปลงผักชี ยังเป็นต้นอ่อนเล็กๆ อยู่เลย มีสปริงเกอร์ติดอยู่เป็นช่วงๆ เป็นแนวยาว ผมเดินไปเปิดสวิตช์ไฟ สปริงเกอร์หมุนช้าๆ พ่นน้ำออกมาเบาๆ ไม่แรงมากนักไม่อย่างนั้นผักคงช้ำ ผมเดินไปตามคันดินสูงที่แบ่งโซนเป็นผักบุ้ง มีผ้าสแลนสีดำกางไว้เป็นทางยาวเพราะยังเป็นต้นเล็กๆ อยู่ จากนั้นก็เดินไปนั่งพักใต้ร่มไม้ใกล้ๆ กัน คิดไปคิดมาถ้าผมหางานทำไม่ได้จริงๆ คงกลับมาช่วยงานพ่อที่ไร่ ส่วนเรื่องศิลปะก็เป็นงานอดิเรกไว้ทำขายก็พอ เพราะอยู่แบบนี้มันสบายดี ไม่ต้องไปเป็นลูกน้องใคร แถมยังไม่ต้องมีชีวิตแบบเร่งรีบเช้าชามเย็นชามอะไรแบบนั้น
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-01-2018 17:37:29 โดย RindadaRin »

ออฟไลน์ รินดาwดาริน

  • OnTop&N'Song
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +243/-2
ตืด ตืด ตืด
ผมสะดุ้งเพราะกำลังคิดอะไรเพลินๆ พี่ดีนโทรมา มีเรื่องอะไรหรือเปล่า ผมกดรับ
“หวัดดีครับ”
[ได้ข่าวว่ากลับบ้านเหรอ] พี่ดีนเอ่ยถามทันที ผมฟังจากน้ำเสียงแล้วดูเหมือนเครียดเพราะเสียงต่ำๆ
“ครับ เดี๋ยวก็กลับไปมอแล้วพี่... แล้วมีอะไรหรือเปล่าเนี่ย” ผมถามอย่างเป็นห่วง 
[ห่วงกูด้วยเหรอ] พี่ดีนหัวเราะเบาๆ
“ก็ต้องห่วงเป็นธรรมดา เพราะพี่ทำตัวให้น่าเป็นห่วงจริงๆนี่”ผมบอก เพราะได้ยินข่าวเกี่ยวกับเจ้าตัวมาบ้างเรื่องของมึนเมาที่แกใช้ ไม่คิดว่าพี่แกจะเครียดถึงขนาดต้องใช้ของพวกนั้น มันน่าเป็นห่วงจริงๆนั่นแหละ
[อืม แค่อยากโทรมาคุยด้วย...] พี่ดีนพูดเบาๆ ตอนนี้ผมยังคงไม่เข้าใจอีกฝ่ายอยู่ดี ตกลงพี่เขาคิดจริงจังกับผมหรือเปล่า
“ว่ามาสิ อยากคุยอะไรล่ะครับ” ผมยอมพูดดีๆ ด้วยเพราะท่าทางไม่ได้มาคุกคามอะไร
[...ไม่รู้สิก็แค่อยากคุยกับมึงบ้าง]
“....” ผมเลยเงียบเพราะไม่รู้ว่าเจ้าตัวต้องการอะไรจากผมกันแน่ แต่สำหรับพี่ดีนคงอยากหาเพื่อนคุยหรือคนรับฟังหรือเปล่า อาการน่าเป็นห่วงจริงๆ ซะด้วย เมื่อผมเงียบ อีกฝ่ายก็เงียบเหมือนกัน เป็นแบบนี้ราวสิบนาที ไม่รู้ว่าเจ้าตัวจงใจหรือไม่ แต่ได้ยินเสียงหายใจจากคู่สนทนาอยู่
“มีอะไรไม่สบายใจล่ะสิ” ผมคงเดาไม่ผิดแน่ๆ
[อืม ก็เหมือนเดิม] พี่ดีนถอนหายใจเสียงดัง 
“ผมว่าพี่น่าจะหาสาเหตุที่ทำให้พี่เป็นทุกข์ได้แล้วนะ มันผ่านมานานแล้วที่เป็นแบบนี้”ผมทนไม่ไหวต้องบอกออกไป บางครั้งก็ไม่อยากให้พี่เขาต้องวนเวียนกับความรู้สึกที่หาทางออกไม่เจอ มันจะทำให้จิตตกได้ง่ายๆ หากไปพึ่งของมึนเมาแบบนั้นอีก ถลำลึกไปมากๆ แล้วจะกู่ไม่กลับ
[มึงนี่บวชได้เลยนะ] พี่ดีนพูดทีเล่นทีจริงเจือเสียงหัวเราะ ผมไม่ขำ
“ผมพูดจริงๆ นะ พี่จะได้เผชิญหน้ากับปัญหาได้เสียทีไง มันจะทำให้พี่รู้สึกแย่ได้น้อยลง จากนั้นพี่ก็จะเข้าใจอะไรๆ ได้ดีขึ้น” ผมบอก เหมือนก่อนหน้านั้นที่ผมกล้าเผชิญกับเรื่องพี่ท็อป ทุกวันนี้ผมใช้ชีวิตแบบไม่ได้คาดหวังอะไรมาก
[มึงควรบวชแล้วจริงๆ ด้วยว่ะ] อีกฝ่ายหัวเราะเสียงแข็งๆ ผมคิดว่าเจ้าตัวคงรู้นั่นแหละว่าปัญหามันคืออะไร
“ผมไม่รู้ว่าปัญหาของพี่มันใหญ่แค่ไหน แต่พี่ต้องยอมรับมัน แล้วแก้มันซะ ก็เท่านั้น พี่ก็จะมีความสุขแล้ว...” เอาจริงแล้วความสุขมันอยู่ไม่ไกลจากตัวเราหรอก และผมไม่ได้เก่งมาจากไหน แต่เวลาแบบนี้ควรแนะนำให้พี่ดีนได้คิดจริงๆ จังๆ เสียที จะได้มีความสุข ไม่ใช่ว่าผมรังเกียจอะไรอีกฝ่าย แต่ไม่อยากเห็นพี่แกทุกข์ใจแบบนี้หรอก จะว่าไปแล้วเจ้าตัวก็สามารถเข้ามาในชีวิตผมได้สำเร็จ สามารถทำให้ผมเป็นห่วงได้ขนาดนี้ถือว่าได้ใจผมไปแล้วนิดหน่อย แต่ไม่ใช่ในเชิงรักใคร่
[เฮ้อ.....] อีกฝ่ายไม่ยอมพูดอะไร ผมก็จนปัญญา
“แล้วทำอะไรอยู่ล่ะครับ” ผมเปลี่ยนเรื่องคุยบ้าง
[นั่งๆ นอนๆ รอส่งศิลปนิพนธ์] คงมีเวลาเยอะแยะที่จะคิดอะไรเรื่อยเปื่อยแน่นอน
“ฟุ้งซ่านล่ะสิ”
[ถูกของมึง] พี่ดีนหัวเราะ
“อยากพูดอะไรอีกหรือเปล่า” ผมถามเผื่อว่าเจ้าตัวอยากจะระบายอะไรออกมาบ้าง แต่ผิดคาดดันวกกลับมาเรื่องบายเนียร์ที่เคยขอผมคราวก่อน
 [ไม่มีอะไรหรอก แค่หาเพื่อนคุย งั้นแค่นี้นะ] พี่ดีนถอนหายใจอีกครั้ง อาจจะน้อยใจล่ะมั้ง
“แล้วเจอกันครับ” ผมบอก แต่อีกฝ่ายวางสายไปก่อนแล้ว เฮ้อ เป็นเด็กมีปัญหาจริงๆ ผมถอนหายใจพยายามไม่เอาตัวเองเข้าไปยุ่งด้วยมากนัก  ผ่านไปสักพัก ผมต้องปิดสปริงเกอร์ เดี๋ยวน้ำท่วมผักชีเน่ากันพอดี จากนั้นก็เห็นว่าพี่ท็อปกำลังเดินมาทางนี้ อย่าบอกนะว่าเดินมาเอง 
“เพิ่งคุยกับพ่อเสร็จ” พี่ท็อปบอก นานเหมือนกันแฮะ คุยอะไรกันนักหนานะ ทำท่ามีความลับแบบเปิดเผยคงอยากให้ผมคลั่งตายเพราะความอยากรู้อยากเห็น แต่ผมปลงแล้ว
“แล้วไปไหนต่อดี”
“พ่อบอกอยากทำอะไรก็ทำ เลยแวะมาหามึง”
“เดี๋ยวก็กลับแล้วให้น้ำผักเสร็จพอดี” ผมบอกพลางคิดว่ารถอีแต๊กคันนี้จะบรรทุกผมกับพี่ท็อปไหวไหมเพราะอาการมันหนักมาก ไม่รู้พ่อขุดมันมาจากขุมไหน แค่เบาะรองนั่งยังลอกออกมาเป็นแผ่น
“แอบคุยกับใครอีก เห็นนะเว้ย” พี่ท็อปว่า
“อ๋อ พี่ดีน” ผมบอกไปตามตรง จำได้ว่าพี่ท็อปไม่ค่อยชอบให้ผมยุ่งกับพี่ดีน แต่ในกรณีนี้ก็ไม่เชิงว่ายุ่งนะ
“แปลกนะ ทำไมมันชอบยุ่งกับมึงจัง” เจ้าตัวแค่มองหน้าผมแต่ไม่สนใจอะไรมากนักก่อนจะเดินไปดูแปลงผัก แล้วกวักมือเรียกให้ไปหา
“มีอะไรเหรอพี่” ผมเดินเข้าไปหา พี่ท็อปกอดอกหายใจเข้าเหมือนกำลังเรียกความมั่นใจ
“จำเรื่องที่กูเคยพูดกับมึงได้ไหม” จะว่าไปพี่ท็อปพูดกับผมหลายเรื่องนะ แต่ดูจากสีหน้าที่จริงจังขนาดนี้คงมีเรื่องเดียว
“ใช่เรื่องที่วางแผนอนาคตพี่บอกใช่ไหม” ผมพูด เรื่องนั้นผมยังตงิดในใจอยู่ แต่ไม่ได้อยากรู้มากมายอะไรขนาดนั้น พี่ท็อปความลับเยอะเหมือนเดิมเลยนะเนี่ย
“นั่นแหละ กูพูดกับพ่อมึงไปแล้วนะ...แล้วท่านก็อนุญาตแล้ว” พี่ท็อปยิ้ม ผมดีใจไปด้วยแต่มันไม่สุดเพราะไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่ก็ดีเหมือนกันเพราะผมตื่นเต้นที่จะรู้
“อย่าบอกนะว่าจะขอแต่งงาน” ผมหัวเราะคิดว่าคงไม่ใช่เรื่องนี้เพราะพี่ท็อปไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้ มันไกลตัวเกินไป เรายังเด็กมาก พี่ท็อปแค่ส่ายหน้าเดินเข้ามาหาใกล้ๆ
“มึงคงไม่อยากเป็นเจ้าสาวหรอก”เจ้าตัวหัวเราะเสียงดัง ผมคิดเหมือนพี่ท็อป พ่อคงไม่อยากเห็นภาพนั้นแน่ๆ
“ตลกน่าพี่ ฮ่าๆ”
“กลับกันยังจะได้ไปดูส่วนอื่นด้วย” พี่ท็อปชวนเพราะยังดูไร่ไม่หมดเลย
“พี่จะขี่หรือซ้อนดีล่ะ” ผมถาม พี่ท็อปมองรถด้วยสายตาไม่แน่ใจก่อนจะมองหน้าผม
“กูขี่เอง มึงมาซ้อน” พี่ท็อปพูดอย่างนึกสนุกก่อนจะเดินไปที่รถคันเก่า กุญแจเสียบคาอยู่จึงแค่สตาร์ทแต่เหมือนเครื่องจะเก่าไปหน่อยมันดับไปก่อน พี่ท็อปนิ่วหน้าก่อนจะสตาร์ทอีกรอบก็ติดๆ ดับๆ หลายครั้ง
“รถมึงนี่รุ่นไหนวะ” พี่ท็อปบ่น ผมแค่มองอย่างสนุกสนาน
พี่ท็อปโมโหสตาร์ทเครื่องเต็มแรงเสียงดังลั่น ผมรีบขึ้นไปซ้อนก่อนที่มันจะดับ พี่ท็อปใส่เกียร์ออกรถไปช้าๆ ขี่ไปทางตรงกันข้ามกับทางเดิม สงสัยจะไปดูแหล่งน้ำท้ายไร่ล่ะมั้ง แถวนั้นน้ำใสมาก แต่สิ่งที่ต้องระวังนอกจากรถแล้วคือสภาพพื้นดินที่ไม่เท่ากัน พื้นไม่ได้เรียบ ส่วนมากจะมีพวกกรวดก้อนใหญ่กับเนินดินสูงต่ำไม่เท่ากันบ้าง เล่นเวฟกันสนุกสนาน
“จับดีๆ นะเว้ย” พี่ท็อปบอกเมื่อขี่มาถึงเนินดินสูงที่ทำไว้กั้นแปลงผัก อันที่จริงแปลงนี้ว่างมีแต่น้ำกับโคลนเอาไว้เวลาสูบน้ำจากห้วยที่อยู่ท้ายไร่ อยู่ๆ เครื่องก็ดับซะงั้น
“เชี่ยยย” พี่ท็อปสบถเหมือนจะควบคุมรถไม่ได้ คล้ายจะยางรั่วด้วย ไอ้ผมคนซ้อนไหวตัวได้ทันเลยกระโดดออกจากรถก่อนที่มันจะไถลลงไปในแปลงผักที่เต็มไปด้วยน้ำกับโคลนเต็มๆ
โครม!!
“ไอ้สอง ไอ้เวร” พี่ท็อปโวยวายหลังจากที่ไปแอ้งแม้งอยู่ในน้ำคนเดียว ผมยืนกลั้นขำอยู่บนคันดิน ดูสิเหมือนลูกหมาตกน้ำเลย พี่ท็อปดูท่าทางไม่ได้บาดเจ็บอะไรเพราะแหกปากด่าผมซะลั่นขนาดนั้น ส่วนรถอีแต๊กก็นอนจอดอยู่ข้างๆ เลอะโคลนไปหมด
“พี่ลุกไหวไหมเนี่ย มาๆ จับมือผมดิ” ผมบอกก่อนจะยื่นมือไปให้ พี่ท็อปยันตัวเองลุกจากน้ำ เสื้อผ้าเปียกเปื้อนไปหมดเพราะล้มไปทั้งตัวแบบนั้น พี่ท็อปมองตาขวางใส่พร้อมกับปัดมือผมทิ้ง
“ปล่อยกูเปื้อนคนเดียวอีก” เจ้าตัวส่ายหน้าก่อนจะลูบผมตัวเองไปด้วย ผมเข้าไปดูอีกฝ่ายเผื่อจะมีบาดแผล
“เป็นอะไรไหมพี่” ผมมองหน้าพี่ท็อปที่จ้องผมเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ
“เออ ไม่เจ็บหรอก แค่นี้เอง” พี่ท็อปทำหน้างอนๆ
“โอ๋ๆ เดี๋ยวไปล้างตัวที่ห้วยท้ายไร่ก็ได้ เดินไปอีกไม่ไกลเอง” ผมบอกก่อนจะดึงแขนพี่ท็อปให้เดินตามผมมา
“มึงวางแผนไว้หรือเปล่า จะแกล้งกูเหรอ” พี่ท็อปบ่นอยู่ข้างๆ ผมส่ายหน้า อะไรมันจะประจวบเหมาะขนาดนี้
“เปล่าครับ ผมคิดไม่ถึงว่ารถอีแก่นั่นจะบ้าๆ บอๆ ขนาดนี้” ผมหัวเราะเบาๆ พลางปัดเศษดินตามแขนพี่ท็อปออกให้ เจ้าตัวถอนหายใจเดินสะเปะสะปะอย่างอารมณ์เสีย ถ้าพ่อเห็นสภาพคงขำตายเลย
“แล้วได้ไปดูเครื่องปั่นน้ำไหมพี่” เปลี่ยนเรื่องคุยน่าจะดีกว่า พี่ท็อปเหลือบมองผม
“อือ ก็คุยๆ ว่าจะเปลี่ยนระบบใหม่ กูเลยแนะนำอะไรไปบางส่วน เพราะกูไม่ได้รู้เยอะแยะอะไรขนาดจะวางแปลนได้” พี่ท็อปบอก
ไม่นานก็เดินมาถึงท้ายไร่ สองข้างทางเป็นป่าไม่ทึบมีเส้นทางที่ทำไว้เป็นเนินต่ำลงไปด้านล่าง เดินไปไม่นานก็เห็นแอ่งน้ำขนาดเล็กเป็นสาย น้ำใสสะอาด มีโขดหินประปราย
“จะเจอคนงานไหมเนี่ย” พี่ท็อปชะเง้อมองไปรอบๆ บริเวณอย่างระแวงก่อนจะถอดเสื้อกับกางเกงออก ผมมองไปรอบๆ ตัว คงไม่มีใครอยู่แถวนี้ อีกฝ่ายเดินลงไปในน้ำที่ลึกประมาณช่วงเอว ถ้าเดินไปกลางลำห้วยคงลึกถึงอกแน่ๆ กระแสน้ำไม่แรงมาก อีกอย่างเจ้าตัวว่ายน้ำเป็นเลยไม่ต้องห่วง ผมนั่งรออยู่ที่ตลิ่งมองพี่ท็อปเล่นน้ำไปพลางๆ
“น้ำเย็นดีว่ะ มึงอยากเล่นไหม”อีกฝ่ายเดินมาใกล้ๆ ก่อนจะวักน้ำใส่ ผมเอี้ยวตัวหลบไม่คิดอยากจะเปียกตอนนี้ เสื้อผ้าก็ไม่มีเปลี่ยนด้วย
“ไม่เอาพี่”ผมบอกแล้วมองไปรอบบริเวณลำห้วยที่เงียบสงัด สมัยก่อนผมเคยคิดว่ามีนางเงือกในลำน้ำนี้เลยไม่กล้าลงไปเล่น คิดแบบเด็กแท้ๆ
“จะให้กูเปียกคนเดียวเหรอ...มานี่มา”พี่ท็อปยืนเท้าเอวมอง โชว์หุ่นขาวๆ กับขอบกางเกงในสีดำ ดีนะที่ใส่สีดำ ถ้าสีขาวคงเห็นอะไรต่อมิอะไรไปหมด “จ้องกูอีก”อีกฝ่ายหัวเราะ ก่อนจะกวักมือเรียก ไหนๆ แล้วเอาซะหน่อย
“โอเคๆ รอก่อนนะ” ผมถอดเสื้อออก โชคดีที่ใส่บ็อกเซอร์มาด้วย จะได้มีกางเกงเปลี่ยน ผมรีบลงน้ำเพราะเหลือแค่กางเกงในตัวเดียว ถ้าใครมาเห็นคงตากุ้งยิงแน่ๆ
“เสียวฟ้าผ่าเนอะ”ผมพูด พลางเงยหน้ามองฟ้าที่ไร้เมฆหมอก แสงแดดไม่เจดจ้าทำลายผิวนัก
“ไม่ได้ทำอะไรเสียหายซะหน่อย”พี่ท็อปเหลือบมองไปรอบๆ ตัวอย่างกกังวล “คงไม่มีงูนะไอ้สอง” อีกฝ่ายพูดเบาๆ ทำหน้าตื่นมองไปที่พงไม้รกๆ ที่ริมตลิ่งสองด้าน ผมส่ายหน้า คงไม่ซวยขนาดเจองูน้ำหรอก
“ไม่เจอง่ายๆ หรอกพี่ มีแต่งูของเรานี่แหละ”ผมหัวเราะออกมา 
“หึๆ งูหรือหนอนมึงพูดดีๆ” พี่ท็อปทำหน้าย่นก่อนจะสอดส่องมองมาใต้น้ำแถวช่วงล่างของผม เล่นน้ำกันได้ไม่นานก็ได้ยินเสียงเหมือนคนพูดคุยกันจากด้านบน ผมกับพี่ท็อปเลยรีบขึ้นจากน้ำใส่เสื้อผ้าเพราะให้ใครมาเห็นแบบนี้คงไม่ดีแน่ ถึงจะเป็นคนงานของพ่อก็เถอะ
“ไอ้สอง มึงไม่ได้ใส่กางเกงในเหรอ” พี่ท็อปมองมาที่กางเกงบ็อกเซอร์ของผมก่อนจะเลื่อนสายตามองไปที่กางเกงในที่พาดไว้กับกิ่งไม้
“อือ มันเปียกอะ เดี๋ยวใส่กางเกงทับอีกที” ผมบอกก่อนจะหยิบกางเกงมาใส่ลวกๆ ระหว่างนั้นคนงานสองสามคนก็เดินลงมาเจอพวกผมพอดี ผมรู้จักแค่คนเดียวคือลุงสม
“อ้าว ไอ้สอง มาทำอะไรอยู่นี่ล่ะ” ลุงทักในมือหิ้วกล่องเครื่องมือมาด้วย
“พอดีรถล้มเลยเปื้อนทั้งคู่ มาล้างตัวครับ” ผมบอก พี่ท็อปยกมือไหว้อย่างมีมารยาท
“เห็นพ่อถามหาเอ็งสองคนอยู่น่ะ” ลุงสมบอกพลางมองผมกับพี่ท็อปสลับกัน
“อ๋อครับ เดี๋ยวผมขึ้นแล้ว” ผมยิ้มบอกก่อนจะหยิบกางเกงในมากำในมือ คนงานสามคนไม่ได้สนใจอะไรพวกผมก่อนจะเดินไปวางเครื่องลงกับพื้น
“เขาจะคิดอะไรเปล่าวะ” พี่ท็อปพูดกับผมเสียงกังวล
“ไม่หรอกมั้ง ผู้ชายเล่นน้ำด้วยกันแปลกตรงไหน” ถึงจะเล่นกันแค่สองคนก็เถอะ
“ตรงที่กูกับมึงเป็นเกย์ไง” พี่ท็อปพูดซะผมสะดุ้งเชียว ลุงแกคงไม่คิดอะไรแบบนั้นหรอกมั้ง แม้ว่าสายตาที่มองมาที่เราสองคนแปลกๆ อยู่เหมือนกัน ถ้าหากว่าไม่ได้คิดไปเอง
“เฮ้อ ดูสภาพกูดิ” พี่ท็อปบ่นพร้อมยกข้อศอกขึ้นมาดู เห็นมีแผลถลอกอยู่ด้วย
“แสบไหมเนี่ย” ผมก็เพิ่งเห็น เจ้าตัวพยักหน้า
“กูนึกว่าแสบๆ อะไร” ระหว่างทางที่เดินกลับไปหาพ่อที่รถ ลมก็พัดมาพอให้เย็นสดชื่น เรื่องขี้ปากชาวบ้านผมไม่ได้ซีเรียสหรอก แต่พ่อต่างหากที่ต้องมารับมือ เมื่อเดินมาถึงบริเวณหน้าไร่มีรถกระบะสีบลอนด์จอดอยู่ พ่อเดินอ้อมมาจากด้านข้างก่อนจะมองมาที่เราสองคน
“เอ้า ทำไมสภาพเอ็งสองคนเป็นแบบนั้น เล่นน้ำกันมาเหรอ”
“รถพ่อนั่นแหละ ดันดับเลยล้มเปื้อนไปหมด ไปล้างเนื้อล้างตัวกันมา” ผมบอก พ่อมองพี่ท็อป
“รีบกลับจะได้ไปใส่ยา หึๆ มาก็ได้แผลเลย” พ่อยิ้มก่อนจะเหลือบมองกางเกงในในมือผมแล้วคิ้วขมวด
“แน่ะๆ อย่าคิดลึก กางเกงมันเปียกไงเลยถอดออก” ผมบอก พ่อไม่ได้ว่าอะไรก่อนจะเดินไปสตาร์ทรถ ผมกับพี่ท็อปมองหน้ากัน หวังว่าพ่อคงไม่คิดอะไรจริงๆ
ช่วงที่ผมกลับมาบ้านสามวันได้ใช้เวลาให้คุ้มค่า เหมือนได้กลับมาพักผ่อนจริงๆ ผมนึกเสียดายที่ทุกครั้งเวลาชีวิตมีปัญหาผมกลับไม่เลือกที่จะกลับมาหาพ่อ ทั้งๆ ที่บ้านเป็นสถานที่พักพิงสุดท้ายของชีวิตเราทุกคน ผมได้คุยกับพ่อมากขึ้น รู้สึกเหมือนสนิทกันมากกว่าเดิม
คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายที่ผมนอนที่บ้าน พรุ่งนี้ได้เวลากลับแล้ว พ่อเรียกผมมาคุยด้วยที่ห้องพระเล็กๆ ผมได้กราบพระเป็นครั้งแรก
“ก็ว่าจะเอาให้ตั้งนานแล้ว” พ่อพูดก่อนจะเอื้อมไปหยิบกล่องกลมๆ บนหิ้งพระแล้วยื่นมาให้ผม เป็นกล่องพระพร้อมสร้อย
“ของรักพ่อเลยนี่ เอาให้ผมทำไมกัน” ผมบอก สร้อยเส้นนี้ได้มาจากปู่ซึ่งพ่อห่วงมากเก็บไว้กับตัวตลอด
“เออน่า ข้าให้ก็คือให้ เก็บไว้ดีๆ ล่ะ อย่าให้หาย” พ่อบอกด้วยรอยยิ้มก่อนจะทำเป็นจัดแจกันดอกไม้ให้เข้าที่ ผมมองพ่อด้วยความสงสัย
“ขอบคุณมากพ่อ” ผมยกมือไหว้ พ่อพยักหน้าหงึกๆ
“เอ็งก็โตๆ แล้ว ทำอะไรระวังๆ กันหน่อยนะ ดูแลกันดีๆ” พ่อว่า ผมพยักหน้ารับคำก่อนจะออกจากห้องพ่อก็เรียกพี่ท็อปให้เข้ามาที่ห้องพระด้วย สงสัยจะฝากฝังผมล่ะมั้ง

เมื่อเข้าวันใหม่ ผมกับพี่ท็อปตื่นแต่เช้าไปทำบุญตักบาตรกับพ่อที่วัดก่อนจะกลับมาจัดกระเป๋า พ่อยังใจดีแพ็กเบียร์พม่าใส่กระเป๋าให้ผมสามสี่ขวดอีกด้วย กว่าจะออกจากบ้านไปขนส่งก็ปาไปเที่ยงกว่าๆ แล้ว ผมไม่ได้ล่ำลาอะไรพ่อมากมายแค่ขอดูแลตัวเองบ้าง เมื่อขึ้นรถทัวร์เป็นที่เรียบร้อย
ผมกับพี่ท็อปไม่ได้พูดอะไรกันมากเหมือนต่างคนต่างมีเรื่องให้คิด
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-01-2018 17:38:45 โดย RindadaRin »

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด