เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียงวิศวะ ตอนพิเศษ 14.11.62 อัปจ้า
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียงวิศวะ ตอนพิเศษ 14.11.62 อัปจ้า  (อ่าน 248322 ครั้ง)

ออฟไลน์ Dak

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดอะเนาะ อิอิ ลุ้นอะ อยากรู้ว่าที่ห้องแกนมีไรรรรรรร

ออฟไลน์ รินดาwดาริน

  • OnTop&N'Song
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +243/-2
Deen Diary

บทแทรก : แกน

ผมกับไอ้ดีนเหมือนน้ำกับน้ำมัน มันไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้ มันปฏิเสธกันและกัน พอมาคิดทบทวนดูแล้วในตอนมัธยมผมกับมันก็ไม่สามารถเป็นเพื่อนกันได้ พูดให้ถูกคือผมในตอนนั้นไม่อยากอยู่ร่วมกับมันมากกว่าโดยไร้ซึ่งเหตุผลในการกระทำแบบนั้น แต่ครั้งหนึ่งในช่วงวัยหัวเลี้ยวหัวต่อใครๆ ก็ทำผิดกันได้นี่หว่า
พอเข้าสู่รั้วมหาลัยเหมือนฟ้าเล่นตลก ผมกับไอ้ดีนต้องมาเจอหน้ากันอีกแต่ทุกอย่างเปลี่ยนไป ผมเองก็เปลี่ยน ไอ้ดีนก็เปลี่ยน ผมยังจำแววตาตกใจเมื่อครั้งแรกที่มันเห็นผมอยู่ในสายตาได้ ผมก็ไม่ต่างกัน ไม่คิดว่าชาตินี้จะได้เจอหน้ามันเร็วแบบนี้ ตั้งแต่มันลาออกไปผมคิดไม่ตกเรื่องของมัน เป็นความรู้สึกที่ค้างคาเหมือนเป็นการติดค้างต่อมัน
หรือจะเรียกว่าผมกำลังรู้สึกผิดมากกว่า
ผมกับไอ้ดีนไม่ลงรอยกันตั้งแต่แรก สาขาศิลปศาสตร์แบ่งพวกออกเป็นสามก๊วนใหญ่ แน่นอนว่าก๊วนของผมกับมันไม่ถูกกันและมีพวกเป็นกลางอยู่ประปราย คนอื่นๆ เข้าใจกันไปเองว่าผมกับไอ้ดีนไม่ถูกกันเพราะเรื่องการชิงประธานรุ่นและกลายเป็นผมที่ได้รับเลือก นั่นทำให้ไอ้ดีนแทบไม่มองหน้าผม ผมกับมันต่างกันแต่กลับเป็นเด็กกิจกรรมทั้งคู่ เป็นแกนนำกลุ่มต่างๆ ทั้งของสาขาและคณะ
แต่บางครั้งบางอย่างกลับสวนทางกัน คนสองคนเหมือนผลักออกจากกัน แต่ทว่าก็คล้ายดึงดูดเข้าหากันอย่างเลี่ยงไม่ได้
ผมตามเรื่องของไอ้ดีนอยู่นานว่าหลังจากที่มันย้ายออกมันไปทำอะไรอยู่ที่ไหนมา เรื่องของไอ้ดีนติดอยู่ในใจผมตลอดเวลา มันต่างจากเรื่องไอ้ท็อปเพราะมันเคยเป็นเพื่อนผม แต่เรื่องของไอ้ดีนมันตรงกันข้าม กลับกันด้วยซ้ำ
แทบไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน…
ผมเดาใจมันไม่ออกไม่รู้ว่าภายในใจมันคิดอะไรอยู่ ต้องการอะไรบ้าง และนั่นแหละที่ผมอยากจะรู้ถึงได้ตอแยมันอยู่แบบนั้น ตลกนะว่าไหม กลายเป็นผมคนอย่างไอ้แกนที่ใครๆ ก็ชื่นชมนับหน้าถือตากลับต้องมาคอยตื๊อไอ้ดีนอยู่แบบนั้น
พักหลังๆ ผมกลับสนใจ ‘ตัวตนของมัน’ มากกว่าเรื่องราวของอีกฝ่าย มันเปลี่ยนไปเป็นคนละคน คนที่ผมเข้าไม่ถึงและ ‘อะไร’ ทำให้มันเปลี่ยนไปได้ขนาดนั้น

“มึงไม่คิดจะทำอะไรหน่อยเหรอวะ จะนั่งซังกะตายจนเป็นง่อยไปเลยหรือไงวะ” ไอ้พตเดินมาหาผมที่กำลังขัดนวมคู่โปรดอย่างอารมณ์เสีย อีกฝ่ายจ้องผมเหมือนโกรธมาสิบชาติได้ ผมขำหึ
“อือ กูเบื่อ” ผมกระแทกเสียงก่อนจะโยนนวมไปข้างๆ อย่างไม่ใส่ใจ
ตอนนี้มันไม่มีความหมายอะไรแล้ว การที่ผมมาชกมวยก็เพราะอยากหาอะไรทำแก้เซ็ง แม้ว่าตอนนี้ผมกำลังเซ็งอย่างสุดขีดแต่การชกมวยมันทำให้ผมสงบลงไม่ได้ ที่ผมเซ็งคือหลังจากวันที่ไอ้ดีนมาที่ห้องผมมันก็หายหัวหายหน้าไปจากคณะ เข้าใจว่ามันกำลังปั่นงานแต่ไม่ค่อยได้เจอที่สตู พอนึกถึงเรื่องวันก่อนผมแปลกใจที่มันขอโทษผมแบบนั้น คงจะเรื่องที่มีส่วนให้ผมจบช้า ผมไม่ถือว่าเป็นความผิดมันหรอก แต่ผมเหมือนบางอย่างมันยังไม่ลงรอย ผมเองก็ไม่แน่ใจว่ามันคืออะไร หลังจากที่มันกลับออกไปผมเหมือนคนเมายา ทุกอย่างดูเบลอๆ
มันไม่ได้ตอบคำถามของผมและผมก็ไม่รู้ว่าทำไมมันต้องสักชื่อผมไว้กันแน่
ในเมื่อมันไม่อยากบอกผมก็ไม่คาดคั้น ผมอยากรู้เรื่องราวของมันมากกว่านี้จากปากของมันเองด้วย และคิดว่าต้องมีสักวันที่มันจะเล่าให้ผมฟัง ก็อย่างที่ไอ้ดีนพูดมันกับผมถือว่าดีขึ้นมามากแล้ว ไอ้พตถอนหายใจก่อนจะเอาส้นเท้ามาเตะเข้าที่เอวผมสองสามทีให้ความรู้สึกจั๊กจี้ชอบกล
“หาอะไรทำสิวะ กูบอกให้มึงไปลงชกกับเด็กๆ มันสักยกหนึ่งก็ได้” มันว่าก่อนจะส่ายหน้าระอา
“ไม่เว้ย กูเลิกแล้ว” ผมพูดก่อนจะลุกขึ้นยืนเก็บนวม
“แล้วเอายังไง หนี้ที่มึงติดเฮียไว้น่ะ” ไอ้พตเตือนความจำผม
“เออน่า กูไม่ได้ขัดสนขนาดนั้น” การที่ผมมาขึ้นสังเวียนมันก็แค่กีฬา แต่หลังๆ ผมใช้มันสำหรับสั่งสอนคน พอมาย้อนคิดดูแล้วมันโคตรงี่เง่า
“ตามใจมึง” ไอ้พตมองผมอย่างเหนื่อยหน่ายก่อนจะเดินไปวอร์มร่างกายตัวเองต่อ
ผมเดินกลับไปที่ห้องเปลี่ยนเสื้อเก็บนวมเข้าที่ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ออกมาเช็คข่าวไอ้ดีน เพราะผมมีน้องสองสามคนอยู่แถวนั้นมันคอยเป็นหูเป็นตาให้ ผมกังวลเรื่องไอ้ดีน เป็นห่วงมัน
ในตอนนี้ผมไม่คิดจะทบทวนว่ากำลัง ‘คิด’ อะไรกันแน่
สายข่าว : เพิ่งออกมากินข้าว
ผมอ่านข้อความจบก็เหลือบไปมองเวลา นี่มันบ่ายสามโมงแล้วมันเพิ่งโผล่หัวออกจากห้องพัก ทำตัวเป็นพวกซอมบี้ไปได้ ผมรู้ว่ามันคงยังสับสนเพราะที่ผ่านมามันสะสมความเกลียดที่มีต่อผมไว้เยอะ พอทุกอย่างกำลังจะดีขึ้นมันคงต้องการเวลาหรืออะไรก็ช่าง แต่ผมเป็นคนใจร้อนไม่ชอบรออะไรนานนักหรอกผมถึงได้ตามตื๊อมันไม่เลิกจนสุดท้ายมันยังยอมให้ผมจนได้
เอาวะ ในเมื่อมันก็รำคาญผมเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แค่ไปเพิ่มให้มันรำคาญมากขึ้นไปอีกคงไม่เสียหายอะไร
ในตอนนี้ผมรู้ว่าต้องการอะไรผิดกับมันที่ยังเคว้งคว้างไม่อยู่กับร่องกับรอย เห็นทีต้องไปกระตุ้นมันดูซะหน่อย ผมเก็บของก่อนจะออกจากค่ายมวย จุดหมายก็คือหอพักไอ้ดีน

ผมหยุดที่อยู่หน้าห้องของมัน ได้ยินเสียงแอร์ภายในห้องดังแผ่วๆ ในมือของผมมีผลไม้หลายอย่าง ซื้อมาแบบไร้เหตุผล ผมเองก็ไม่ได้หิวแค่ซื้อมาแก้เก้อ
ก๊อก ก๊อก
ผมเคาะเบาๆ สองครั้ง รออยู่ไม่นานเสียงปลดโซ่ก่อนที่ประตูจะถูกเปิดออก ไม่คิดว่ามันจะล็อกสองชั้นอะไรแบบนั้น ไอ้ดีนเปิดประตูออกมาสีหน้ามันดูแปลกใจชัดเจนที่เห็นผม
“มึง” อีกฝ่ายดูมึนงง คำพูดที่หลุดจากปากมันมีแค่นี้ ผมไม่สนใจมัน
“ขอเข้าไปหน่อยดิ”
“มาทำไม” ไอ้ดีนขวางไว้ก่อน ผมทำเสียงไม่พอใจอย่างลืมตัวก่อนจะผลักมันออกไปให้พ้นๆ ทาง มันสู้แรงผมไม่ได้หรอก ไอ้ดีนยื้ออยู่ไม่นานนักก็ปล่อยให้ผมเข้าไปในห้องจนได้ ได้ยินเสียงมันสบถ
“แค่มาเยี่ยม” ผมบอกขณะที่เดินเข้ามาอยู่กลางห้อง สภาพในห้องมันทำให้ผมนิ่งอึ้งไปบ้าง ข้าวของกระจัดกระจายเหมือนไม่ได้ทำความสะอาดมานาน จำได้ว่าครั้งสุดท้ายไม่ได้รกขนาดนี้ แบบนี้มันเหมือนคนกินๆ นอนๆ แล้วทิ้งขยะเอาไว้ในทุกพื้นที่ที่ว่างอยู่ ไอ้ดีนยืนมองผมหน้านิ่วคิ้วขมวด
“ถ้าจะมาก็ต้องบอกก่อนสิวะ”
“มึงพึ่งแดกข้าวเช้าเวลานี้เหรอ” ผมไม่สนใจประโยคก่อนหน้านี้ของมัน ไอ้ดีนจ้องหน้าผมไม่ละสายตา มันคงคิดว่าผมรู้ได้ยังไง
“เรื่องของกูเหอะ” อีกฝ่ายทำเป็นไม่แยแส ผมถอนหายใจ รู้สึกว่าไอ้ดีนช่างดื้อดึงเหลือเกิน
“นึกว่ามึงจะลดอคติลงบ้าง” ผมพูด
“เปล่า แต่กูคิดแบบนี้จริงๆ” ไอ้ดีนพูดห้วนจ้องตาผมไม่หลบไปไหน
“กูเป็นห่วง” ผมพูดเสียงดังให้มันได้ยินชัดๆ สายตามองสำรวจทุกอิริยาบถของอีกฝ่ายที่ดูไม่อยากเชื่อในสิ่งที่หลุดจากปากผมไป มันนิ่งก่อนจะทำตัวไม่ถูกเพราะสังเกตจากแขนทั้งสองข้างของมันเปลี่ยนไปไว้ด้านหลัง
“หึ”
“กูซื้อผลไม้มาตั้งหลายอย่างกินซะสิ” ผมบอกก่อนจะยื่นถุงผลไม้สองสามถุงไปให้มันเอาไปจัดการใส่จานเอง ก่อนจะเดินไปนั่งบนเตียงของมันก่อนได้รับอนุญาตเพราะเมื่อย มันไม่ได้ว่าอะไรคงคิดว่าห้องนี้คงไม่มีที่นั่งที่ดีไปกว่าเตียงนอนของตัวเอง ไอ้ดีนแค่เอาไปแช่ตู้เย็น
“อิ่มแล้วไว้กินทีหลัง” มันงึมงำบอก
จำได้ว่าที่ผมถามว่าทำไมถึงสักชื่อของผมไว้ มันไม่ได้ให้คำตอบ เป็นใครก็อยากจะรู้เหตุผลสำหรับการสักชื่อของเราไว้นี่หว่า ที่สำคัญผมแกล้งมันมาก่อน จะจำผมไว้จนวันตายด้วยการสักก็ถือว่าใจกล้าบ้าบิ่นจริงๆ
“มีอะไรอีก” ไอ้ดีนหันมาถามผม มันยังคงยืนอยู่บริเวณตู้เย็น ผมไหวไหล่มาถึงทั้งทีจะให้มาแล้วกลับเสียเวลา ผมไม่รู้จะไปไหน
“ไม่มี แต่ยังไม่อยากกลับ” ผมพูดไปตามตรง สิ่งที่คนอื่นๆ ชอบในตัวผมคือความตรงแต่ก็เป็นข้อด้อยเพราะสาวๆ ไม่ชอบผมซะเท่าไหร่ การพูดตรงๆ แบบนี้คงคิดว่ามันกระด้างเกินไปล่ะมั้ง ผมเอนหลังไปพิงหมอนของไอ้ดีน สายจับจ้องไปที่โต๊ะลิ้นชักข้างๆ เตียงแบบเรื่อยเปื่อย
ไอ้ดีนยังไม่ขยับไปไหนมันคงอึดอัดทำตัวไม่ถูก
 “บอกเหตุผลไม่ได้เหรอที่สักชื่อกูไว้” ผมแค่อยากรู้ บางทีผมอาจจะกลับไปนอนเล่นที่หอตามเดิมก็ได้
“ไม่มีอะไรมาหรอกก็แค่สักๆ ไปเท่านั้น” มันตอบห้วนๆ ปฏิกิริยาแย่กว่าวันที่มันมาที่ห้องพักของผมเสียอีก
ผมมองมันอย่างสนใจ เท่าที่รู้เรื่องราวของมันหลังจากลาออกไปรู้สึกว่าจะไปอยู่กับเด็กอาชีวะหรือไม่ก็พวกสายอาชีพแถวๆ ในเมือง ฟังจากที่เด็กๆ มันเล่าดูเหมือนจะมีวีรกรรมพอสมควร หรือเป็นสาเหตุให้มันกลายเป็นคนแบบนี้ด้วย แข็งกระด้างก็ไม่ใช่ซะทีเดียว ตอนอยู่ที่คณะมันก็มีคาแรกเตอร์อีกแบบ หรือจะเป็นเพราะปมจากผมกันแน่
“ให้กูสักชื่อมึงไว้บ้างสิ” ผมลองหยั่งเชิงมันดู แน่นอนว่ามันตกใจมองหน้าผมเขม็ง
“มึงจะบ้าเหรอ” มันถอยห่างออกจากผมมองด้วยสายตาไม่ไว้ใจ
“เออ แล้วมึงบ้าหรือไงวะที่สักชื่อกูน่ะ” ผมหัวเราะเบาๆ ใช่ไหม มีใครที่ไหนทำแบบมันบ้าง
“ก็คงงั้น” มันยังคงบ่ายเบี่ยงเดินออกไปมองหน้าต่างบานเกล็ดตรงระเบียง
“อือ เพราะกูหรือเปล่าที่ทำให้มึง...”
“เรื่องผ่านมาแล้วมึงจะไปสนใจทำไม อยากให้กูลืมหรือว่าจำเรื่องแย่ๆ ของมึงกัน” มันตัดบทผมไม่ให้ได้พูดอะไรต่อ ผมคงไปจี้จุดตายมันเข้าจริงๆ
“มึงก็ไม่มีทางลืมอยู่แล้วนี่” ไอ้ดีนดูจนปัญญากับการพูดกับผม มันเงียบ
“มึงต้องการอะไรกันแน่” อีกฝ่ายดูสับสนมาก มากกว่าทุกครั้ง ไม่รู้ว่าอะไรทำให้มันเป็นแบบนี้
“ไม่รู้ บอกไม่ถูก แต่ไม่ได้จะมาก่อกวน กูแสดงความจริงใจตั้งแต่แรกแล้วนี่” ผมเองก็เหนื่อยที่จะยืนกรานในคำพูดแบบนี้ แบบที่ผมทำมาตลอดหลายเดือน
“ทำไมต้องทำแบบนี้” คราวนี้ไอ้ดีนมันเดินเข้ามาหาผมก่อนจะหยุดลงที่บริเวณปลายเตียง ผมมองไปทางมัน บางทีมันช่างอ่อนแอจริงๆ คงอย่างนั้นเพราะมันอ่อนแอไงมันเลยเป็นแบบนี้และสับสนมากจริงๆ จนผมกลัวว่ามันจะบ้าตายซะก่อน ทำไมมันไม่ระบายออกมาบ้างนะ
“ก็แค่อยากให้เราสนิทกัน”
“แล้วไง” มันเหมือนไม่ยินดียินร้ายอะไร ผมยิ่งเป็นห่วง
“ไม่รู้ จะยังไงก็ได้ แบบนี้มันก็ดีไม่ใช่เหรอวะ” ผมพูดก่อนจะขยับตัวลุกจากเตียง มันหันมาสนใจความเคลื่อนไหวของผม
“ไม่รู้”
“มึงเคยสำรวจใจตัวเองบ้างไหมว่าต้องการอะไรไม่ใช่อยู่ไปวันๆ ใครจะคิดยังไงก็ไม่สนใจปล่อยให้ผ่านไปแบบนั้น” ผมพูดอยากให้มันลองคิดในมุมนี้บ้าง
“มึงพูดถึงอะไร”
“กูพูดเรื่องพี่กัสของมึง เห็นว่าไปส่งพี่แกที่สนามบิน” ผมเห็นว่าบุคคลนี้มีอิทธิพลต่อมันมาก มากกว่าผมเสียอีก แต่ผมไม่เข้าใจพฤติกรรมของไอ้ดีนเท่าไหร่ ผมเองพอจะรู้เรื่องราวของพี่กัสของมันมาบ้าง
“มึงมายุ่งอะไรกับกูวะ” มันโกรธผมจริงๆ เหมือนผมไปแตะถูกแผลเก่าของมัน แววตามันแข็งกร้าวจ้องผมเหมือนอยากจะเข้ามาต่อย
“...”
“ออกไป” มันพูดเสียงดังแต่ผมยืนนิ่ง
“ไม่เว้ย จนกว่าจะรู้เรื่อง” ผมเสียงแข็ง ไอ้ดีนเหมือนหงุดหงิดจนทำอะไรไม่ถูก หวังว่ามันจะไม่โมโหจนออกจากห้องไป
“เลิกปั่นหัวกูเหอะ” สงสัยมันอารมณ์ไม่ดีล่ะมั้ง คราวก่อนยังจากกันด้วยดีอยู่เลย
“มึงก็เลิกผลักไสกูเสียที” ผมไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้พูดแบบนั้นออกไป
“อะไรนะ”
“มึงเคยเสียดายอะไรบ้างไหม ถ้าผ่านวันนั้นมาแล้วมานั่งคิดเสียดายทีหลังมันไม่คุ้มกันเลย” ผมพูดช้าๆ ผมเข้าใจความรู้สึกนี้ดี มันโคตรแย่ที่ทำอะไรไม่ได้ทั้งๆ ที่มีหนทางที่ดีกว่านี้
“ไม่หรอก ไม่มี” มันบอกส่ายหัวไปมาแทบไม่ได้คิดด้วยซ้ำ “มึงรู้เรื่องของกูได้ยังไง” มันหันมาโจมตีผม
“ไม่ยากหรอกถ้าจะตามสืบเรื่องใครจริงๆ มึงเป็นสายลับหรือไงถึงจะตามเรื่องเก่าๆ ไม่ได้”
“แล้วยังไงอีก รู้แล้วต้องการอะไร” ผมเงียบ ผมแค่อยากรู้ไม่ได้ต้องการอะไรอีก ไอ้ดีนมันเดินเข้ามาหาผมในระยะประชิด มันกำลังเสียการควบคุม
“กูเป็นห่วงเท่านั้นจริงๆ มึงกำลังจะเรียนจบไม่อยากให้มึงต้องพลาดพลั้ง เกรดมึงก็กลางๆ เกือบๆ จะโดนไทร์... ไปรีเกรดเหอะ”
“ว่าไงนะ” ไอ้ดีนทำหน้าเหมือนเพิ่งเคยได้ยินสิ่งที่ตลกที่สุด
“ไปรีเกรดซะช่วงซัมเมอร์ กูรู้ว่ามึงเก่งแต่เกรดมึงแย่ที่ไหนๆ เขาก็ต้องดูว่าเกรดระดับนี้ควรจะรับเข้าทำงานไหม” ผมบอกมันเหมือนเป็นผู้ปกครองมันซะเอง ไอ้ดีนส่ายหน้าท่าทางมันคงอึ้งที่ได้ยินแบบนี้
“มึงพูดจริงเหรอ” มันหัวเราะแห้งๆ ไม่มีอารมณ์ขันสักนิด ผมเป็นห่วงมันจะให้ผมทำยังไงดีนะ ผมรู้ว่าผมกำลังก้าวก่ายไอ้ดีนมากเกินจำเป็น แต่ผมก็ปล่อยวางเรื่องของมันไม่ได้จริงๆ ถ้าไม่ใช่ผมที่คอยรังควานมันจะมีใครที่มาสนใจมันบ้าง ไอ้ติเพื่อนมันน่ะเหรอ ไอ้ดีนแทบไม่เปิดใจให้เพื่อนมันเท่าไหร่
“ใช่ ฝึกงานจบก็สมัครเรียนซะ”
“....”
“ดีน” ผมเรียกชื่อของมัน รู้สึกไม่ชินปากนัก
“ทำไม” คราวนี้อีกฝ่ายหันมามองหน้าผม
“พอเถอะ กูรู้มึงเหนื่อย” ผมบอกมันด้วยน้ำเสียงปลอบประโลม ในเวลานี้ไม่ควรสาดน้ำมันใส่กองไฟอารมณ์ของไอ้ดีน เป็นแบบนั้นเหมือนกองไฟที่กำลังสุมเตรียมมอดไหม้ขึ้นมาอีกระลอกได้ ผมเป็นห่วงจิตใจของมัน
มันอ่อนแอจริงๆ ทำไมมันถึงอ่อนแอแบบนี้นะ
ไอ้ดีนมองหน้าผมอยู่นาน แววตาทั้งสองข้างดูตื่นตระหนกไปวูบเดียว มันหลับตาถอนหายใจไหล่ทั้งสองข้างของมันดูแบกรับอะไรหนักหนาไว้เกินไปและท้ายที่สุดไอ้ดีนก็หมดแรง มันเหมือนโครงกระดูกที่ไม่มีจิตวิญญาณ
“ทำไมวะ ทำไมมึงต้องมาทำดีกับกู” มันพึมพำน้ำเสียงแหบแห้งยืนนิ่งกำมือแน่น
“กูว่ากูพูดไปหมดแล้วนะ ไม่มีอะไรอย่างอื่นแอบแฝง” ผมบอก ผมอดทนกับมันมาตลอด
“แล้วทำไมมึงถึงไม่พอซะทีล่ะ” มันพูดเหมือนเหนื่อยล้า ไม่มีความแดกดัน ไม่มีความฉุนเฉียว
“กูว่ามึงต่างหากที่ต้องหยุดตั้งคำถามได้แล้ว ไอ้ดีน มึงดูตัวเองบ้าง” ผมลากคอมันเข้าไปในห้องน้ำ ไอ้ดีนโวยวายลั่นเหมือนว่าผมไปทำให้มันเจ็บปวดมากมายเพราะผมไปจับเนื้อต้องตัวมันน่ะสิ
“ไอ้แกนปล่อยกู ปล่อย” มันดิ้นแต่ผมจับมันยืนให้หันหน้าไปทางกระจกมันจะได้เห็นตัวเองซะบ้างว่ามีสภาพเป็นยังไง
“มึงแหกตาดูซะ” ผมบอกมัน ไอ้ดีนแค่จ้องสะท้อนแววตาโกรธเคืองมาให้ผมก่อนจะเบนสายตามามองกระจกที่สะท้อนเข้าหาแววตาของมันเอง ไอ้ดีนนิ่ง ผมมองมันแอบเห็นรอยสักที่โผล่ออกมาจากคอเสื้อ ชื่อของผม GAN อักษรแบบโกธิคดูมีพลังบางอย่าง มันคงโกรธแค้นผมจริงๆ
“กูแค่อยากให้กูจำ จำไม่ลืมว่าไอ้คนชื่อนี้ทำให้กูต้องมาลงเอยแบบไหน” มันพูดเพราะเห็นว่าผมจ้องรอยสักของมัน ผมมองตามันผ่านกระจกเงา “มันก็มีสองด้านนะ เหมือนเหรียญด้านนึงก็เกลียดมึง อีกด้านก็ขอบคุณมึง ไม่งั้นกูก็ไม่มีวันนี้ได้หรอก กูอาจจะตายไปแล้วก็ได้ แต่การที่สักชื่อมึงไว้มันก็แค่สักเหมือนเป็นสัญลักษณ์ล่ะมั้ง หึ... คงจะอย่างนั้น” แบบนี้เรียกว่าเครื่องยึดเหนียวได้ไหมนะ เอาความเกลียดเป็นที่ยึดเหนียว แต่ตอนนี้มันลดความเกลียดลงแล้วเท่าที่ผมสัมผัสได้ แล้วตอนนี้อะไรล่ะที่ยึดเหนี่ยวของมัน
“มึงก็ไม่ได้มีความหมายมากมายไปกว่านี้หรอก” ไอ้ดีนพูด ก่อนจะผลักผมออก
“เลิกทำร้ายตัวเองสิ”
 “ดีน” ผมเรียกชื่อมันอีกครั้ง ยังคงไม่ชินปาก ผมคิดว่าคนฟังก็รู้สึกแบบเดียวกัน
“ไม่ต้องพูด” อีกฝ่ายเอ่ย มองผมด้วยแววตานิ่งเฉย
“รู้เหรอว่ากูจะพูดอะไร”
“พล่ามเรื่องเก่าๆ ไงวะ” ไอ้ดีนพูดอย่างหงุดหงิด คิ้วขมวดเข้าหากกัน
“ไม่ใช่” ผมตอบ อีกฝ่ายหันมามองหน้าผมด้วยความแปลกใจ
“อะไร...”มันถามเบาๆ
“เมื่อไหร่จะเข้มแข็งซะที” ผมบอกมันชัดๆ อย่างหนักแน่น ให้มันฟังแล้วเก็บเอาไปคิด ไอ้ดีนเหมือนอึ้งไป เพราะมันนิ่งงัน ผมเห็นว่าอีกฝ่ายหลบหน้าผม คงเพราะขอบตามันแดงก่ำ ผมไม่คิดว่ามันจะร้องไห้ แต่พอทบทวนดูแล้วมันคงอัดอั้นไว้นาน “มึงร้องไห้ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่”
“ทำไมต้องมาสนใจอะไรแบบนี้ด้วยวะ” มันพูดห้วนๆ บังคับให้ตัวมันเองไม่สั่น มันนั่งลงกับพื้นเห็นกระดูกที่โผล่ตรงไหล่ มันผอมลงมาก
“เลิกตั้งคำถามแล้วเปิดใจเถอะ กูขอร้องว่ะ” ผมพูดเสียงดังให้มันได้ยินเต็มๆ หูอีกสักครั้ง มันเงียบผมเม้มปากก่อนจะตัดสินใจนั่งลงตรงหน้ามัน “กูอยู่เป็นเพื่อนมึงได้... ไม่ต้องไล่กู”
“มึงไม่ไปอยู่แล้ว” ไอ้ดีนพูดก่อนจะเงยหน้ามองผม ขอบตามันแดงท่าทางดูอดหลับอดนอนมาด้วย มันนิ่งนั่งกอดเข่าเหมือนคนไม่มีแรงก่อนจะซบหน้าลงกับแขนตัวเอง “กูมันอ่อนแอ ความจริงของกูที่ไม่เปลี่ยนไปเลย ทำไมวะ ทำไมกูถึงเป็นแบบนี้” มันพึมพำ ผมลังเลก่อนจะเอื้อมมือไปแตะแขนมันเงียบๆ มันไม่ตอบสนองอะไร ไม่ได้ผลักออก ไอ้ดีนแค่เงียบ มันคงน้ำตาไหลเงียบๆ
“มึงร้องไห้ออกมาดังๆ ได้นะ” เราทุกคนต่างมีแผล ผมเป็นคนเลวคนนึง ผมอาจไร้เหตุผลและผมมีบาดแผลน้อยกว่ามัน ไอ้ดีนมันไม่เคยเข้มแข็งขึ้นเลย
“มึงออกไปก่อนกูขอร้อง” มันพูดโดยไม่มองหน้าผม ผมเลยลุกขึ้นก่อนจะเดินออกจากห้องน้ำปล่อยมันไว้คนเดียวแบบนั้นน่าจะดีกว่า ผมกดดันมันมากเกินไปสินะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-02-2018 16:35:15 โดย รินดาwดาริน »

ออฟไลน์ Dark_Noah

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 838
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-3
รุกหนัก ๆ หน่อยสิแกน จะได้ลงเอยกันเร็ว ๆ  :katai2-1:

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ flimflam

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 881
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-4
อันนี้สนใจดีนในทางไหนคะ ชอบเขาแล้วรึเปล่าน้าาา

ออฟไลน์ รินดาwดาริน

  • OnTop&N'Song
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +243/-2
ตอนที่ 24 วันที่อารมณ์ดี

ผมสัญญากับไอ้ผิงไว้ว่าจะไปกินเหล้ากันคืนนี้  ผมกลับมาที่หอพัก เปิดห้องมาไม่เจอใคร นอกจากห้องทึมๆกลิ่นอับๆ  ผมเดินไปเปิดไฟด้านนอกระเบียง ไอ้ผิงไลน์มาบอกว่าเปลี่ยนร้านเพราะมีร้านมาเปิดใหม่เลยอยากไปลองสักหน่อย และมันไม่ได้ชวนไอ้ยิมมาด้วย มันเลยว่างมารับผมที่หอพักแทน จากนั้นผมก็โทรหาพี่ท็อปเพื่อรายงานว่าต้องกลับห้องช้า

[ครับที่รัก] ผมถึงเบ้ปาก คราวนี้มาแปลกแฮะ ปกติก็รับสายแบบธรรมดา อารมณ์ดีอะไรกันนะ

“พี่ท็อปคืนนี้ผมมีมีตติ้งกับไอ้ผิงนะอาจกลับดึก”ผมพูด ได้ยินเหมือนว่าอีกฝ่ายกำลังคุยกับใครสักคนแว่วๆ แต่ฟังไม่ชัดเท่าไหร่ แต่เสียงคุ้นแฮะ

[แล้วใครจะมาส่ง อย่าบอกนะว่าจะขี่รถไปเอง] พี่ท็อปทำเสียงเข้ม ผมเลยอดยิ้มตามไม่ได้

“กะว่าจะให้ไอ้ผิงมารับนั่นแหละ ขากลับคงมีเพื่อนมาส่ง ไม่ก็ ถ้าเมาจริงๆก็คงค้างบ้านเพื่อนไปเลย”ผมบอก ปรายสายทำเสียงพอใจ

[เสาร์อาทิตย์นี้ว่างหรือเปล่า]อีกฝ่ายถาม ได้ยินคำถามนี้แล้วผมก็อดดีใจไม่ได้ เด็กน้อยจริงๆ

“ว่างสิพี่ ทำไมครับ”ผมว่าแล้วเชียวมันต้องมีอะไร ถ้าไม่อยากชดเชยให้ผม ก็คงมีเรื่องดีๆเกิดขึ้น

[ว่าจะชวนไปเดท อยากไปเปล่าวะ] สิ้นเสียงพี่ท็อป ผมนิ่งค้างไป เดทเนี่ยนะ? ผมไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะชวนผมเดทจริงๆหรอกนะ

“เดทเนี่ยนะ เอาจริงดิ”ผมอดหัวเราะไม่ได้ สไตล์ของผมกับพี่ท็อปมันไม่หวานแบบคู่รัก อีกอย่างเราก็ไม่ค่อยมีกิจกรรมหวานๆแบบคนเป็นแฟน แต่ถ้าจะให้เดทกันจริงๆ ก็คงมีเขินอายกันบ้างล่ะ

[เออดิ เติมความหวานไง ก็อยากทำอะไรๆกับแฟนบ้าง] พี่ท็อปหัวเราะน้ำเสียงกรุ้มกริ่มเหมือนเอาไว้ใช้ป้อสาว ‘ไอ้อะไรๆ’นี่หมายถึงประเภทไหน

“ผมไปกับพี่อยู่แล้วล่ะครับ ว่าแต่จะไปไหนอ่ะ”ผมลองตามน้ำไป ดูสิว่าจะไปเดทที่ไหน

[บ้านกู] ผมสตั้นยิ่งกว่าเดิมอีก บ้านพี่ท็อปเนี่ยนะ ผมก็เห็นมาทุกซอกทุกมุมแล้ว ไม่คิดว่าการเดทที่บ้านอีกฝ่ายจะทำให้มันเติมความหวานของเราได้ ผมก็ไม่ได้ซีเรียสเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว แต่ถ้าให้เดทจริงๆก็คง....

“โถ่ ไอ้เราก็นึกว่าจะพาไปสวีทที่ไหนซะอีก”ผมนิ่วหน้า บ้านพี่ท็อปก็ไม่ได้แย่มีมุมสบายๆเยอะ แต่ถ้ามันจะเป็นเดทจริงๆก็ควรจะเป็นร้านอาหารหรู ไปเที่ยว ไม่รู้สิ ผมเองก็ไม่เคย ‘เดท’กับใครเขาซะที แล้วไอ้ที่ว่าเดทน่ะ มันเป็นแบบไหน ดูหนัง กินข้าว แบบที่วัยรุ่นชอบทำกันน่ะเหรอ

[อะๆ อย่าเพิ่งนอยด์ ระดับพี่ท็อปเนี่ย จะแค่พาไปบ้านหรอ เดี๋ยวพี่จัดการเอง โอเคนะ เดี๋ยววันเสาร์ไปรับนะ] พี่ท็อปพูดเหมือนมีแผนไว้แล้ว เฮ้อ พี่ท็อปนี่เจ้าแผนการจริงๆ

“โอเคครับ ตามใจพี่”

[พูดเหมือนน้อยใจ มีอะไรข้องใจว่ามา] พี่ท็อปถามเสียงแปลกใจ และผมก็ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเก็บเอาไปจริงจัง

“เปล่าซะหน่อย”ผมพูด

[ฮั่นแน่ อย่าบอกนะว่านอยด์กูที่ไม่ค่อยโทรหาอ่ะ] ผมเบ้ปากทันทีที่ได้ยินแบบนั้น

“ไม่ใช่ไร้สาระน่า”เออว่ะ ก็มีนิดๆนะ แต่ทำไมผมต้องโกหกด้วยเนี่ย สงสัยไม่อยากทำตัวงี่เง่าให้พี่ท็อปเห็น แต่แบบนี้มันงี่เง่ากว่าเยอะ รู้ทั้งรู้แต่ก็ยังจะทำอีกนะคนเรา

[เหงาล่ะสิ หืม กูถึงได้ชวนไปเดทกันไง]พี่ท็อปพูดเสียงอ่อนลง

“ก็ไม่ได้ว่าอะไรซะหน่อย”ผมยิ้มออกมาได้เมื่อได้ยินเจ้าตัวพูดแบบนั้น

[ถ้าเหงา ก็แวะไปหาไอ้ทูที่บ้านก็ได้นะ เผื่อจะหายคิดถึงกู] ไอ้ลาบาดอร์หน้ามึนๆนั่นน่ะเหรอ

“กลายเป็นคนเลี้ยงหมาไปอีกแหนะ”ผมหัวเราะเบาๆ แต่ไม่ได้คิดจริงจังอะไร จะว่าไปตั้งแต่ไปบ้านพี่ท็อปครั้งล่าสุดก็ไม่ได้ไปเยี่ยมไอ้ทูมันเลย มันคงคิดถึงผมจะแย่  ปกติแม่พี่ท็อปจะพามันไปไหนมาไหนด้วย แต่พักหลังแม่ไม่ได้อยู่บ้านบ่อยเลยให้แม่บ้านมาคอยให้น้ำให้อาหารมันแทน น่าสงสารนะ พี่ท็อปก็ไม่สนใจใยดีมันเท่าไหร่

เฮ้อ ไอ้ทูนี่มันผมชัดๆเลยว่ะ

[มันจะได้มีเพื่อนไง แม่ก็ชอบปล่อยให้มันอยู่คนเดียว]

“แล้วนี่ทำอะไรอยู่”ผมถามต่อ หลังจากที่บ่ายเบี่ยงประเด็นนี้มานาน อันที่จริงอยากจะถามว่าทำอะไร อยู่ที่ไหนกับใคร ก็คงจะทำให้คนฟังรำคาญเปล่าๆ เหมือนผมเวลาได้ยินคำถามนี้แล้วมันก็เซ็งขึ้นมาทันที

[อยู่กับไอ้ธามไง ช่วยมันแก้โปรเจ็คนิดหน่อย] พี่ท็อปคิดก่อนพูด จะไม่สงสัยก็แล้วกัน

“อ๋อ...พี่แอบกิ๊กกับพี่ธามใช่ป่ะ”ผมแซว ก็ไม่ได้เข้าไปเช็คเฟสพี่ธามพี่ท็อปหรอก เลยไม่ได้รู้เรื่องว่าพี่ธามแกทำอะไรอยู่ ผมไม่ใช่พวกติดโซเชียลซะด้วย เอาจริงๆสาขาผมก็เล่นเฟสบุ๊คแต่ไม่ค่อยเข้าไปออนไลน์หรอกยกเว้นพวกสาวๆ

[หึหึ คิดได้นะมึง สองถ้าฟุ้งซ่านนักก็ไปหาที่บ้านกูก็ได้ ไว้เราคุยกันวันเสาร์ดีกว่า] พี่ท็อปบอก

“โอเคครับ บาย คิดถึงนะจุ๊บๆ”ผมพูดก่อนจะวางสาย

[เออ คิดถึงเว้ย] เจ้าตัวทิ้งท้ายไว้อย่างน่ารัก

พี่ท็อปคงไม่ถนัดหวานสินะ ถึงว่าอยากจะเติมความหวานนักล่ะ แต่จริงเหรอนั่น? อีกฝ่ายดูจะชอบเซอร์ไพซ์ผมซะจริงๆ

...........................................................................

เวลาประมาณ 2 ทุ่มกว่าๆไอ้ผิงก็มารับผมที่หอ พวกมันพาผมไปลองร้านใหม่ พอมาถึงที่โต๊ะเจอแค่ไอ้โก๋กับไอ้เชี่ยว “อ้าว แล้วคนอื่นอ่ะยังไม่มาหรอวะ”ไอ้ผิงถาม ก่อนจะหันมองไปรอบแล้วนั่งเก้าอี้หันหลังให้เวทีนักดนตรี ผมนั่งลงข้างๆมัน

“เออ มันว่าจะมาช้าหน่อย มึงแดกก่อนเลยก็ได้”มันบอก ก่อนจะเริ่มจัดการผสมเหล้า นักร้องประจำร้านก็คุ้นหน้าคุ้นตา ก็พวกนักศึกษาในมหาลัยที่มารับจ็อบบ้าง ผสมกับพวกร้องอาชีพ

“เออ งานสตรีทอาร์ตตกลงพวกมึงทำด้วยกันใช่ไหมวะ”ไอ้เชี่ยวถามพวกผมสามคน ไอ้โก๋เป็นคนตอบ “เออดิ ของเหลือตั้งแต่ปีที่แล้วเอามาใช้ได้อยู่ มึงจะเอารายชื่อหรอ”มันตักน้ำแข็งใส่แก้วให้พวกผม ทำหน้าที่บริกรที่ดีของกลุ่ม

“อือ ต้องเอาไปให้อาจารย์ พรุ่งนี้มึงเอามาให้กูก็ได้”มันว่า ไอ้ผิงสะกิดแขนผมหลายครั้งเป็นลางว่าคงมีเรื่องอะไรแน่นอน

“ไรวะ”ผมหันไปมองไอ้ผิงอย่างรำคาญใจ ไอ้ผิงทำตาดุใส่ก่อนจะเอนมากระซิบกระซาบ

“มึงดูนู่นๆ”ไอผงชี้ไปที่โต๊ะหน้าสุดติดกับเวทีนักร้อง ผมเห็นแก๊งพี่ธามกำลังเดินมานั่งเก้าอี้ ผมเหล่มองจนครบไม่มีพี่ท็อปอยู่

“พวกพี่ธาม”ไอ้ผิงพูด

“เออ กูเห็นละ ทำไมวะ”

“ทำไมพี่ท็อปไม่มาวะ”ไอ้ผิงหันมาพูดกับผม ซึ่งผมเองกสงสัยนิดหน่อย ไหนว่าพี่ธามแก้โปรเจ็คก็ดูลั้ลลาดีนี่หว่า ผมละสายตาจากกลุ่มพี่ธาม ไอ้โก๋ยื่นแก้วเหล้ามาให้ผมแบบได้จังหวะ

“พี่ท็อปแก๊งเดียวกันไม่ใช่เหรอวะ ถ้าไม่ติดอะไรก็น่าจะมานี่หว่า”ไอ้โก๋พูดทำหน้าตาอวดฉลาด มันจะย่อยประเด็นนี้อีกนะไอ้เวร ผมยักไหล่ไม่สนใจ บางทีพี่ท็อปชอบทำตัวให้ผมคิดมากแต่พี่ท็อปไม่ใช่คนเกเร ข้อนั้นไว้ใจได้อยู่แล้ว แต่ไม่เห็นต้องโกหกกันเลย หรือจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับผมหรือเปล่าเลยต้องปิดไว้ก่อน

“หน้านิ่วคิ้วขมวดล่ะมึง พี่ท็อปไม่ไดป่วยใช่ไหม”ไอ้ผิงถาม ผมส่ายหน้า เพิ่งคุยกันมาหยกๆ

“ไม่หรอก คงมีธุระนั่นแหละ พวกมึงอย่ามาทำท่าเหมือนระเบิดจะลงได้ไหมวะ เดี๋ยวแดกเหล้าไม่อร่อยอีก”ผมพูดแล้วหัวเราะเบาๆ ก่อนจะยกแก้วมาจิบๆ ไม่นานนักพวกเพื่อนร่วมรุ่นสองสามคนก็มาสมทบทำให้บรรยากาศโต๊ะสนุกขึ้น พอแอลกอฮอล์เข้าปากแล้วพวกมันเส้นตื้นกันง่าย

โต๊ะข้างๆดันเป็นพี่ปีสี่ กลุ่มเดียวกับเฮียแกนอีก ผมจำได้แค่พี่จิวแค่นั้น นอกนั้นก็นานๆจะได้คุยกัน แน่นอนว่าสมัยที่ยังญาติดีกับเฮียแกนน่ะ ไม่เห็นหัวเฮียแกนเช่นเคย ก็หลังจากเรื่องของผมเฮียแกนก็เงียบไปเลย เหมือนเฟดตัวเองออกจากกลุ่มพี่จิวไป ท่าทางพี่จิวแกดูเซ็งๆ โต๊ะพวกพี่แกมีประมาณห้าหกคน ไม่ได้ชายตามาทางพวกผม โต๊ะผมก็เลยลดความครื้นเครงลง พวกมันมองหน้าผมเป็นระยะๆ เหมือนกลัวมีปัญหา มันน่าเศร้านะ รุ่นพี่รุ่นน้องที่สนิทๆกันต้องมามองหน้ากันไม่ติดเพราะแค่ ‘คนๆเดียว’ ต้นเหตุเพราะผม ต้นเหตุเพราะเฮียแกน

แต่บางครั้งสายตาของเรามันก็ไปหยุดอยู่ที่หน้าของคนอื่นๆแบบไม่ได้ตั้งใจมอง แต่เผอิญมองนานไปหน่อย พี่จิวเลยรู้สึกตัว วินาทีนั้นผมกำลังคิดว่าจะเบนสายตามาที่แก้วเหล้าหรือว่าควรทักทายเป็นมารยาท แต่อีกฝ่ายประสาทสัมผัสไวกว่า

“มีอะไรวะ ไอ้สอง”พี่จิวเอ่ย จำได้ว่าพี่แกก็เป็นคนใช้ได้ ถึงเฮียแกนจะเกลียดผม แต่พี่จิวแกก็ไม่ค่อยมาวุ่นวายหาเรื่องแขวะผมหรอก แต่ครั้งนี้ต่างกันตรงที่ อยู่ในร้านเหล้า สิ่งเร้ามันเยอะจะตายไป ไหนจะปัจจัยส่วนตัวของพี่แกอีก ฟังจากน้ำเสียงแล้วผมเลยต้องปั้นหน้าปกติ

“เปล่าครับ แค่จะทักทายเฉยๆครับ”ผมพูดแบบเป็นมิตรเข้าไว้ ก่อนจะหันกลับมาที่โต๊ะ ในใจร่ำร้องเสียงดังว่าเวรล่ะ ไอ้โก๋เหยียบเท้าผมแบบเต็มแรง บรรยากาศเหมือนมาคุแปลกๆทั้งๆที่รอบตัวออกจะสนุก เสียงเพลงออกจะมันส์

“มึงไปจ้องพี่เขาทำไมวะ”ไอ้เชี่ยวกระซิบจากทางซ้าย ส่วนไอ้ผิงอยู่ทางขวาที่ทำท่ากระวนกระวายเกินกว่าเหตุ มันย่นหน้ามองผม

“เอ้า กูไม่ได้ตั้งใจจะมองนะเว้ย ก็แค่สแกนหาคนเฉยๆ”ผมพูดกับมัน

“พักนี้พี่จิวแม่งเหมือนคนขาดของอ่ะ หงุดหงิดง่าย พร้อมชนคนที่ขวางหูขวางตา”ไอ้เชี่ยวบอกเบาๆ มันนั่งจิบเหล้าหลังงุ้มขณะพูด ผมกรอกตาเซ็งๆ หวั่นๆว่าคืนนี้อาจได้กลับบ้านเร็วทั้งที่ยังไม่ทันเมา

“อือ กูรู้สึกว่าพวกพี่เขากำลังเล็งพวกเราอยู่ มึงว่ามะ”ไอ้ผิงพูดเบาๆก่อนจะเอื้อมไปตักยำใส่ปาก คนอื่นๆเกาหัว ไอ้โก๋หน้าหดเหลือสองนิ้ว

“กูควรจะเกร็งมากกว่าพวกมึงนะ เพราะกูต้องสบตากับพี่เขานะเว้ย เรากลับดีไหมวะ ไม่อยากมีเรื่องเดี๋ยวเรื่องถึงหูอาจารย์อีก”แน่นอนล่ะ ทะเลาะกันทีไรตำรวจโทรบอกอาจารย์ทุกที แล้วเวรกรรมมันมาตกอยู่ที่พวกเรา อาจโดนตั้งคณะกรรมการสอบประพฤติอีก เรื่องใหญ่เลยนะนั่น  อีกอย่างผมก็โดนเล็งๆมาแล้วหลังจากเรื่องเฮียแกนนั่นแหละ

“อือ อีกสักแก้วค่อยกลับ”คนอื่นเห็นด้วย  “ซอรี่นะเพื่อน”ผมบอก

“หึหึ มึงจ่ายเลยนะ”ไอ้เชี่ยวว่า อ้าวโบ้ยมาอีก ผมไม่ทันอ้าปากตอบโต้ ไอ้โก๋เตะขาผมเต็มแรง ทำให้ผมรู้ว่า เงาหัวผมอาจไม่มี

“อ้าว พี่ หวัดดีครับ”ไอ้ผิงยกมือทักทาย เมื่อพี่จิวเดินมายืนค้ำหัวผมกับมัน มันใช่เวลาไหมนั่น

“กูมีเรื่องจะคุยกับมึงหน่อย”พี่จิวพูดกับผมด้วยน้ำเสียงปกติ ผมเหลือบมองไปที่ไอ้โก๋โดย อัตโนมัติ เวลาแบบนี้ไอ้โก๋ช่วยได้มากกว่าไอ้ผิงแน่นอน มันส่งซิกว่าไม่เด็ดขาด

“มีอะไรหรือเปล่าพี่”ผมถามงงๆ สายตาจับจ้องไปที่โต๊ะข้างๆ เพื่อนพี่จิวอยู่ไม่ครบคนแฮะ ผมประมวลผลว่าทำอะไรผิดหรือเปล่า แต่คนมันจะหาเรื่องมันไม่สนใจหรอกว่าผมไปทำอะไรให้ อาจจะแค่เหม็นขี้หน้าผมก็เป็นได้

“ก็แค่จะคุย ใช้เวลาไม่นานหรอก อ่ะ ถ้าเพื่อนมึงไม่กลับมาภายในห้านาที ก็ตามมาได้”พี่จิวพูดกับเพื่อนๆของผม อ้าว แบบนี้หมายความว่าไงวะนั่น

“โอเค คุยก็คุย”ผมถอนหายใจ ไม่อยากลีลามากเดี๋ยวจะหามาผมปอดอีก “ถ้าเกินห้านาทีกูตามไปนะเว้ย”ไอ้โก๋พูดกับผมแต่ดังลั่นโต๊ะเชียว

“แหม ทำอย่างกับว่ากูจะแดกหัวมึงงั้นแหละ”พี่จิวหัวเราะก่อนจะเดินนำออกไปทางหน้าร้าน แถวที่จอดรถก็ไม่ห่างจากบริเวณร้านมาก แต่คนบางตากว่าเพราะมีบางส่วนจอดตรงหน้าร้านด้วย ก็คล้ายว่าเป็นมุมอับ

“พี่มีอะไรจะคุยกับผม”ผมพูด ขณะที่ยืนประจันหน้ากับพี่จิวที่ดูเครียดๆ ผมไม่สนใจปัญหาของพี่เขา แต่ตอนนี้ผมกำลังเตรียมพร้อมเผื่ออยู่ๆปล่อยหมัดมาใส่ผมอะไรแบบนั้น กล้องวงจรก็ไม่มีอีก ใครภาษีดีกว่าก็คงรอดตัว ถ้าหากว่าเรื่องถึงตำรวจ

“ก็แค่สงสัยอะไรนิดหน่อย เรื่องไอ้แกน”พี่จิวเปิดฉาก

“ทำไมล่ะพี่”ผมทำเป็นงง

“ไม่รู้สิ หลังจากจบเรื่องของมึง มันหายหัวไปเลย กูเลยข้องใจไง”แล้วมาถามเอากับผมเนี่ยนะ ผมคงให้คำตอบได้หรอก ผมส่ายหน้า

“ไม่รู้สิพี่ พี่ไม่ได้คุยกับเฮียแล้วเหรอ”ผมถาม เหมือนไปเตะจุดไต้ตำตอ อีกฝ่ายทำหน้าตึง บ่งบอกว่าไม่พอใจ ผมพ่นลมหายใจแรงๆ มันดูไร้สาระถ้าหากว่าพี่จิวอยากจะมาถามผมเรื่องเฮียแกนในขณะที่เจอในร้านเหล้าน่ะ

“เออ กลายเป็นว่ามึงกลายเป็นเหยื่อซะงั้นในสายตาของคนอื่นน่ะ”พี่จิววกมาเรื่องเก่า ผมย่นจมูก พี่แกคงโดนหางเลขไปด้วย ก็ลิ่วล้อเฮียแกนนี่หว่า ทำใจหน่อย ผมไม่ได้ตอบอะไร ไม่รู้ว่ามันผ่านมาห้านาทีหรือยัง รู้แต่มีกลุ่มคนกำลังเดินมาทางผม ผมใจแกว่งเพราะจากที่เห็นเยอะพอสมควร พี่จิวหันไปมอง พอพวกนั้นเข้าใกล้มาในระยะที่มองเห็นได้ว่าเป็นใคร ผมถึงหายใจสะดวกหน่อย

ลืมไปเลย ว่าพวกพี่ธามก็อยู่ด้วย

“อะไรวะ”พี่จิวหันไปถามเพื่อนพี่เขา ที่มาพร้อมๆกับกลุ่มพี่ธามบวกด้วยเพื่อนๆผมรวมกันแล้วพวกเยอะกว่าพี่จิวนะ

“ไม่รู้ อยู่ดีๆพวกแม่งนี่ก็มาโวยวายกับพวกกู”คนตัวสูงพูดหน้าตาไม่สบอารมณ์ พี่ธามเดินมาหาผมท่าทางเหมือนจะหลุดยิ้ม

“มาอยู่นี่เอง กูเห็นมึงตอนที่ลุกออกจากโต๊ะ ก็เลยเดินไปถามไอ้ผิง โชคดีเนอะ”พี่ธามพูดด้วยรอยยิ้ม ผมมองหน้าขาวๆของพี่แกแล้วรู้สึกขอบคุณ

“อะไรจะบังเอิญปานนั้นนะพี่”ผมพูด รู้สึกทะแม่งในใจชอบกล แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร

“ตกลงคุยกันเสร็จหรือยังครับเนี่ย”พี่อิฐเป็นคนถาม ตัวใหญ่หน้าเหียก เอ้ย หน้าโหดพอข่มขวัญได้

“ไว้คุยที่คณะแล้วกัน”พี่จิวทิ้งท้ายไว้ สายตายังจ้องมาที่ผมไม่เลิกก่อนจะเดินกลับไปในร้านกับพวก ไม่รู้ว่าจะกลับเลยหรือว่าอยู่ต่อ

“กูเช็คบิลล่ะ”ไอ้เชี่ยวรีบพูด อยู่ต่อก็ไม่สนุกล่ะ

“โทษทีๆ ทำให้เสียเวลาเลยวันนี้”ผมบอก ก่อนจะเดินไปตบไหล่มันอย่างเห็นใจ ไอ้โก๋นิ่วหน้า

“ตลกล่ะ มึงนั่นแหละที่ต้องจ่ายโว้ย”มันว่า

“เออ ฮ่าๆวันหลังจะเลี้ยงคืนนะ พวกมึงจะกลับกันเลยหรอ”ผมถามพวกมัน ไอ้เชี่ยวส่ายหน้า “จะไปต่อห้องไอ้โก๋อ่ะ มึงไปไหมวะ”มันถาม ผมหันไปหาพวกพี่ธาม มองหน้าไอ้ผิง ก่อนจะคิดใคร่ครวญ

“ไม่ต้องคิด กลับกับพวกกูดีกว่า”พี่ธามรีบบอก ไอ้ผิงพยักหน้า

“เออก็ดี กูจะได้ไปกับพวกไอ้โก๋เลย ขอบคุณมากนะพี่”มันหันมาหาพี่อิฐก่อนจะยิ้มแห้งๆให้

“งั้นเหรอ โชคดีๆ ไว้เจอกันนะเว้ย”ผมบอกพวกมันก่อนจะเดินไปส่งมันที่รถ ให้เงินไปสองร้อยเผื่อเอาไปซื้อโซดา พวกพี่ธามเดินตามหลังมาหาผม

“เกือบไปนะมึง ดีนะที่กูอยู่”พี่อิฐพูดก่อนจะเดินมากอดคอผม ส่งยิ้มละไมมาให้ พวกพี่แกทำท่าแปลกๆกันนะย้ำอยู่ได้ จะว่าไปแล้วก็บังเอิญนะ ที่พวกพี่ธามมาก๊งเหล้ากันที่นี่ เอ หรือว่า ตัวการก็คือ...

“ไม่ต้องคิดเลย พอดีไอ้ท็อปพูดถึงมึงไงว่าจะไปแดกเหล้ากับเพื่อน คือพวกกูก็กะว่าจะมาฉลองหลังส่งโปรเจ็คกันไง ก็ถือโอกาสมาลองร้านใหม่ดู”พี่ธามยังคงอารมณ์ดีอยู่เหมือนเดิม เจ้าตัวยืนมองผมเหมือนเห็นเป็นเด็กหลงทาง 

“ยังไม่ทันได้ลองเลย”พี่แบมหัวเราะร่วนเสียงดังกับพี่อิฐ

“ผ่านแล้วเหรอพี่”ผมพูดแทรก พี่ธามพยักหน้าหงึกๆ “ทำไมเหรอ ไอ้ท็อปมันโป้ปดอะไรไว้ล่ะ”เจ้าตัวหัวเราะ ผมมองหน้าอีกฝ่าย พวกนี้ต้องกุมความลับอะไรไว้แน่ๆ แต่ทำให้ผมเหมือนยกภูเขาออกจากอก พวกพี่ธามรู้ก็คงไม่ใช่เรื่องร้ายอะไรหรอก

“คิดจะทำอะไรกันน่ะ”ผมพูดงงๆ กวาดสายตาไล่ไปทีละคน

“เป็นเด็กเป็นเล็กอย่าคิดเยอะ มึงว่างล่ะ ไปบ้านกูป่ะ”

“พี่ท็อปอยู่ไหมล่ะ ถ้าอยู่ก็จะไป”ผมถามอารมณ์ดีขึ้นมาทันตาเห็น

“ทำไมวะ ไม่มีไอ้ท็อปกลัวพวกกูจะรุมโทรมหรอ”พี่อิฐเปิดประเด็น ทำเอาผมเสียววาบเลย อีกฝ่ายส่งยิ้มมาให้ ผมย่นหน้า

“ตลกตายล่ะพี่”ผมส่ายหน้าไม่ได้จริงจังกับคำหยอกล้อของพวกพี่ๆ

“ไปเหอะน่า ไปกินเหล้ากันดีกว่า”ไหนๆก็เข้าร้านไม่ได้แล้ว ก็กลับไปกับพวกพี่ธามเลยก็แล้วกัน อย่างน้อยถ้าเมาก็นอนที่บ้านพวกพี่เขานั่นแหละ
.
.
บ้านเช่าของพวกพี่ธามอยู่ซอยเล็กๆใกล้กับตลาด เป็นย่านที่ชุกชุมส่วนมากจะมีหอพักอยู่ติดกันเรียงราย รถก็ติดบ่อยๆเพราะทางแคบไม่เหมาะแก่การขับขี่รถสวนกัน โดยเฉพาะรถใหญ่อย่างรถกระบะ

 “พี่ท็อปไม่ได้อยู่กับพวกพี่หรอ” ผมถาทอย่างสงสัย พวกพี่ๆมองหน้ากันอย่างมีลับลมคมใน พี่อิฐนิ่วหน้ามองผมด้วยความแปลกใจ

“มันไม่ได้บอกมึงหรอ”

“เฮ้ยอย่าไปอำมันดิ ไอ้ท็อปมีธุระเว้ย อย่าไปซีเรียสน่าสันไม่ได้แอบมีกิ๊กก็แล้วกัน” พี่ธามหัวเราะขยิบตาให้ผมอย่างขี้เล่นตามนิสัย ผมไหวไหล่ไม่ได้รู้สึกกังวลอะไรมากนัก พวกพี่ธามดื่มกันหนัก ซื้อรีฯมาหลายขวด ขยั้นขยอให้ผมกระดกเพรียวๆไปสองแก้ว แต่ดีนะที่พี่แบมหุ่นหมีห้ามปรามไว้เพราะเห็นว่าผมเป็นเด็กพี่ท็อปฝากฝังไว้ต้องดูแลดีหน่อย เลยให้จิบเบียร์ตบท้าย หนักกว่าเดิมอีก ผมไม่ถูกกับการกินเบียร์ตีกับเหบ้าไง พวกพี่แกจงใจจะมอมผมให้เมาไปเลย ร้ายกันจริงๆ

“มึงมีความลับอะไรเปล่าวะสองกูจะรีดออกมาให้หมด” พี่อิฐขำ ผมส่ายหน้า ผมไม่เคยเมาจนไม่มีสติรับรู้อะไร ส่วนมากแค่ควบคุมตัวเองไม่ได้ แต่ผมยังรู้สึกเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง ง่ายๆก็กินให้รู้สึกเมาก็พอ กินแบบรู้ลิมิตตัวเอง เพราะไม่ได้อยากเมาแอ๋เป็นน้องๆหมานี่หว่า
“ไม่มีหรอกพี่ รีดไปก็เท่านั้นอ่ะ” ผมบอก
“หึหึ รักจริงหวังแต่งว่างั้น”พวกนันแซว ผมแค่ยิ้มรับ อันนั้นไกลตัวไป
“ครับผม”
“พาไปเปิดตัวเรียบร้อยแล้ว ก็ใช่ย่อยนี่หว่า” พี่ธามพูดก่อนจะชนแก้วกับผมเหมือนจะแสดงความยินดี ผมแค่หัวเราะ“นี่ใครครับดูด้วย”

ไม่นานพี่อิฐก็ขอถอนตัว ไม่ไหวก็แพ้ไป 'แพ้คัดออก' เกมส์ของพี่แก ใครไม่ไหวก็ถอยไป ร่วงไปทีละคน นานๆเข้าผมเริ่มรับไม่ไหว เพราะรู้สึกว่าต้มยำที่ตักเข้าปากเหมือนจะขย้อนออกมา ผมกล้ำกลืนกุ้งลงไปแม้อยากจะคายมันออกมา แต่ขายหน้าเปล่าๆ 

“ดูสิมึงกะพวกกูใครจะแน่”พี่ธามว่าหน้าเริ่มแดงมากขึ้น พูดเสียงดังกว่าเดิม ผมหัวเราะ “รู้ๆอยู่”ผมว่าพี่แกก็เริ่มเป๋แล้วล่ะแต่ฟอร์มไปแบบนั้น พี่แบมแยกเขี้ยวยิงฟัน

“มึงนั่นแหละกูเห็นนะว่ามึงจะอ้วก”พี่แกชี้นิ้วใส่ผม

“ยังน่า”ผมปากแข็ง แต่มือไม้อ่อนแล้วสิ พี่ธามกับพี่แบมก็ไม่ยอมหยุด ไม่มีใครยอมใคร ไอ้ผมนี่ใกล้ตายแล้ว เลยขอเวลานอกไปเข้าห้องน้ำ จัดการตัวเองเรียบร้อย ก็อ้วกออกมารอบหนึง โชคดีที่ยังยืนได้เดินตรงทาง แต่เข้าห้องน้ำนานไปหน่อยพี่อิฐเลยมาตาม

“ไหวนะเว้ย ตายในห้องน้ำหรือยังวะ” ผมล้างหน้าล้างตาใหม่แต่ตายังไม่สว่าง เวียนหัวหนักกว่าเดิมอีก ผมออกมาก็เห็นว่าวงแตกไปแล้ว พี่แบมกำลังเก็บของแบบลวก ๆ ส่วนพี่ธามล้มไปแล้ว นอนเมาไม่รู้เรื่องเลย

“มันเป็นแบบนี้แหละ เดี๋ยวเช้ามาแม่งก็โอดโอยตามเคย มึงไปนอนห้องไอ้ท็อปก็ได้ ห้องเก่ามันตอนเลิกกะมึงครั้งก่อนไง” พี่อิฐบอก ทำเอาผมนึกถึงเรื่องเก่าๆเลย ผมเดินเซขึ้นบันไดไปชั้นสอง พี่อิฐเดินตามหลังมาเหมือนจะเป็นห่วง ท่าทางพี่แกคงเป็นพวกคอยเก็บกวาดเพื่อนตัวเองแน่ๆ ระหว่างเดิน ผมจับราวบันไดไว้

“ห้องริมสุด มึงไปได้นะเว้ย ร่วงบันไดกูไม่รับผิดชอบนะ”พี่แกหัวเราะดันหลังผมให้เดินต่อ พอมาถึงห้องพี่ท็อปผมล้มลงนอนบนเตียง กลิ่นของพี่ท็อปชัดๆ ผมนอนหลับไปอย่างอ่อนล้าบวกกับเมาด้วยเมื่อหัวถึงหมอนก็เคลิ้มหลับไปโดยไม่รู้ตัว

.
.
ผมลืมตาตื่นขึ้นมาก็พบว่าตัวเองไม่ได้นอนคนเดียว บนเตียงมีพี่ท็อปมานอนเบียดด้วยอีกคน ผมยังเมาขี้ตาอยู่ อีกฝ่ายเหมือนจะตื่นอยู่ก่อนแล้ว เจ้าตัวนอนมองผมด้วยสีหน้ามีรอยยิ้ม ก่อนจะยื่นหน้ามาใกล้ๆ

“มอนิ่ง”พี่ท็อปพูดก่อนจะยื่นจมูกมาดมดอมแถวเสื้อผ้าของผมหลายรอบ “เมื่อคืนไม่ได้อาบน้ำเหรอ อี๋”พี่ท็อปย่นจมูก แต่มือเอื้อมมาเสยผมหน้าม้าผมออก

“อือ”ผมงัวเงียบอกก่อนจะมองพี่ท็อปแบบเต็มๆตา เหมือนว่าอีกฝ่ายจะตัดผมมาใหม่ด้วย ดูเฟรชขึ้น

“เมาเละเลยสิ พวกมันมอมมึงแหงเลย”พี่ท็อปหัวเราะ ก่อนจะตีก้นผมแรงๆ ผมนิ่วหน้าก่อนจะบิดขี้เกียจ นี่ถ้าไม่ติดว่าเป็นพี่ท็อปผมคงโวยวายใส่แล้วแน่ๆ

“ยังง่วงอยู่เลยเนี่ย”ผมพูด ก่อนจะลูบหน้าลูบตาตัวเอง เหลือบไปมองนาฬิกาที่โทรศัพท์ นี่มันสิบโมงแล้วนี่หว่า

“สายแล้ว ให้เวลาหนึ่งนาทีลุกขึ้นเลย ไม่งั้นนะ...”พี่ท็อปตีขาผมอีกรอบ ผมหลุดยิ้มก่อนจะขยับตัวมานอนหงายแทน ขี้เกียจลุกแฮะ รู้สึกเหมือนยังแฮงค์ๆอยู่เลย พี่ท็อปยื่นหน้ามามองก่อนจะลุกขึ้นมานั่งคร่อมผมอย่างรวดเร็ว คงไม่คิดจะทำอะไรจริงๆหรอกนะ

“แหนะๆ หนักนะเนี่ย ลุก!”ผมบอกก่อนจะหยิกขาอีกฝ่าย จะว่าไปแบบนี้ก็ดีนะ มุมดีออก ผมเลยได้ทีเอื้อมไปโอบเอวพี่ท็อปแทน เจ้าตัวทำตาวาวแต่ไม่ขัด

“ชื่อท็อปก็ต้อง--”

“มึงจะกล่อมกูหรอห๊ะ ไม่มีทางซะล่ะ”

“ไม่ปลอบใจนุ้งน้องเลยหรอ เมื่อคืนเกือบโดนตบแล้วนะ”ผมทำหน้าเง้างอให้อีกฝ่ายเห็นใจ คาดว่าพี่ท็อปน่าจะรู้เรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว

“นุ้งน้องอะไร มึงคือเมียนะ อยากให้ปลอบหรอ ได้”พี่ท็อปยิ้มเจ้าเล่ห์ พร้อมกับดึงบ็อกเซอร์ของผมลงทีละน้อย

“โหย ไรวะ”ผมเซ็งนิดหน่อย จริงๆแล้วผมกับพี่ท็อปก็ไม่ได้ตกลงว่าใครต้องเป็นอะไร เราไม่ได้เป็นคู่ชายหญิง หน้าที่ต้องชัดเจนอะไรแบบนั้น มันอยู่ที่ความพอใจของแต่ละคนมากกว่า แต่กับพี่ท็อปนี้ผมแต้มทิ้งห่างมานานแล้วต่างหาก

“อย่างอแง ทำตัวเป็นเด็กอดได้ของเล่น”พี่ท็อปย่นคิ้วเข้าหากันท่าทางน่ารัก ผมเลยยิ้ม ก่อนจะยื่นมือไปจิ้มที่หว่างคิ้วอีกฝ่ายเล่น

“ก็พี่ไม่ใช่ของเล่นนี่”ผมส่ายหน้า

“แล้วกูเป็นอะไร”พี่ท็อปยิ้ม คงคาดหวังในคำตอบ

“เป็น...ไม่รู้แล้วแต่สิ”ผมบอกก่อนจะหัวเราะ ไม่อยากยัดเยียดให้ “อะๆ โปรโมชั่นวันนี้วันเดียว ให้ไวให้เวลาสิบนาที”พี่ท็อปพูดก่อนจะโน้มลงมาจุ๊บที่หน้าผากผมทีหนึง

ผมขำก๊าก “พอไม่พอ พี่ถามตัวเองดูสิ”ผมพูด ก่อนจะดึงอีกฝ่ายมาจูบให้หนำใจหายคิดถึง พี่ท็อปก็ยอมโอนอ่อนให้ผมไม่ได้ตั้งตัวเป็นฝ่ายนำ ไม่ได้เร่งเร้า เพียงแค่ปล่อยให้ผมเป็นผู้นำทางเท่านั้น

ผมค่อยๆบรรจงจูบย้ำอย่างเขื่องช้า พี่ท็อปครางอืม ร่างกายรู้จักทำหน้าที่คุ้นเคยกันอย่างดี แม้จะห่างหายไปนานก็ตาม พี่ท็อปอยู่'บน'ตัวผม ดูเหมือนว่าจะเป็นงานถนัดที่สุดของเจ้าตัวแล้วล่ะ ...

“กูคิดถึงมึงนะ”

“นึกว่าจะบอกรักผมซะอีก”ผมหัวเราะเบาๆ

“พูดบ่อยๆเดี๋ยวมันจะหมดความหมายไปซะก่อนไม่อยากใช้พร่ำเพื่อ แต่มึงก็รู้นี่ว่ากูรักหรือไม่รักมึง หือ”พี่ท็อปยื่นหน้ามาใกล้ๆก่อนจะจ้องมาที่ดวงตาของผม

“อือ รักดิ มากกว่าเดิมด้วย”ได้ทีผมเลยหยอดไปนิดหน่อย พี่ท็อปหัวเราะก่อนจะจูบผมเบาๆ “ที่ชวนเดทเพราะอยากเดท เข้าใจเปล่า”พี่ท็อปพูด มองหน้าผมตาปริบๆ

“อือ เข้าใจแล้ว”ผมพยักหน้า จะยังไงก็ช่าง มีเวลาอยู่ด้วยกันมันก็ดีหมดนั่นล่ะ อันที่จริงผมนอยด์แปบเดียวก็หายแล้ว ก็แค่เพราะช่วงนี้ว่างจัดเลยฟุ้งซ่านคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย แต่ส่วนมากก็คิดเรื่องพี่ท็อปนี่แหละ

“ทำตัวให้ว่างนะ มาติดนัดทีหลังกูโกรธแน่”พี่ท็อปทำตาดุ

“ครับๆจะเคลียร์คิวอย่างดีเลย”ผมบอก จริงๆก็ว่างมันทุกเสาร์-อาทิตย์นั่นล่ะนะ

“เด็กดี เชื่องจริง”เจ้าตัวทำเสียงนุ่ม ไม่วายมาลูบหัวผมอีก เอาเข้าไป
ผมย่นหน้า
“ทำหน้าย่นเหมือนไอ้ทูอีก”พูดถึงไอ้ทูก็คิดถึงมัน ตาละห้อยๆของมัน ช่างเหมือนผมจริงๆ “แหนะ หมาก็หมาล่ะครับ”ผมขำพรืดก่อนจะกอดอีกฝ่ายแน่นๆแล้วปล่อย
“หึหึ มึงนี่นะ ...เดี๋ยวกูก็ฝึกงานตามแถวนี้ซะเลย”พี่ท็อปผลักผมเบาๆก่อนจะขยับตัวลุกขึ้นนั่งแทน 
“ป่ะ อาบน้ำดีกว่า”ผมพูดก่อนจะดึงให้อีกฝ่ายลุกออกจากเตียง ถ้าช้ากว่านี้ผมอาจจะลงไปนอนอีกรอบเพราะยังอยากนอนยาวๆต่อ

“เพราะมึงกูต้องมาอาบน้ำอีกรอบ”พี่ท็อปส่ายหน้าก่อนจะขำตัวเอง แล้วเหลือบมองมาทางผม “มึงคงรู้งานนะ สำหรับเดทของเราที่จะถึงเนี่ย”เจ้าตัวมา

เอ้า เค้าว่าได้อย่างก็ต้องเสียอย่าง แต่ลงเอยอีหรอบนี้ มันก็คุ้มได้คุมเสียนะ วินๆแฮปปี้กันทั้งสองฝ่าย




------TBC
ช่วงนี้ไม่เน้นฉาก 18+ นะ 555 คนเขียนตันซะละ ยังไงก็รอไว้ตอนพิเศษล่ะกันเนอะ
ตอนหน้ายังคงเป็นท็อปสองนะคะ จะอัพถึงตอนเดท และฝึกงานของท็อป แล้วจะต่อด้วย
เรื่องของผิงต่อ ค้างไว้ที่เกาลูนนานเหลือเกิน

ขอบคุณสำหรับการติดตามนะคะ
อาจไม่ได้มาอัพบ่อยๆแถมยังสั้นอีก แต่ก็อย่าเพิ่งทิ้งกันไปไหนน้า

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-01-2018 17:57:47 โดย RindadaRin »

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ flimflam

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 881
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-4
คิดถึงคู่นี้หหหห นานๆทีจะได้สองท็อปบ้าง
ดีใจกับสองนะ 5555555555

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
 :L1:  17+ ก็ได้นะคะ  :pig4:

ออฟไลน์ insunhwen

  • FREEDOM!!!!
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 867
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-5

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ชมพูพาล

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 248
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
คิดถึงคู่นี้ค่า คิดถึงพี่ท็อป
แต่งวดหน้า จัดไป ท็อปสองนะ 5555

ออฟไลน์ GuoJeng

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1268
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-1
คู่นี้มาแล้ว ฟิน

ออฟไลน์ แมวดำ

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 784
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-2

ออฟไลน์ Dak

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
แกนดีนก็ได้อยู่นาาาาาาาาาาาาาาาาาาา เราเชียร์ อิอิ เคมีเข้ากั๊น เข้ากัน

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
เห็นตอนใหม่อัพแล้วแทบไม่เชื่อสายตา ฮ่าๆๆๆ ขอบคุณที่ยังไม่เทเรื่องนี้นะคะ รอตอนต่อไป ดีงามทุกคู่เลยจริงๆ

ออฟไลน์ รินดาwดาริน

  • OnTop&N'Song
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +243/-2
ตอนที่ 25  Make Love 
ในเช้าของวันเสาร์ ผมกับพี่ท็อปกลับไปบ้านตั้งแต่เช้า เมื่อมาถึงหน้าบ้านเจอไอ้ทูวิ่งมาอย่างรวดเร็ว หางของมันกระดิกจนแทบหลุด ส่วนแม่ไม่อยู่ออกไปสัมมนาตามเคยเลยทิ้งไอ้ทูไว้ให้ลูกชายเลี้ยงดูปูเสื่อ
“นั่งเล่นอยู่ด้านนอกก็ได้นะ เอาของไปเก็บแป๊ปนึง” พี่ท็อปบอก ผมชะเง้อคอมองตามหลังอีกฝ่ายไป ผมเลยเดินไปเล่นกับเจ้าลาบราดอร์ตัวใหญ่ที่เดินวนเวียนอยู่ไม่ไกล ผมนั่งลงที่ศาลาในสวน ไม่นานพี่ท็อปก็ออกมาพร้อมกับตะกร้าใส่แชมพูอาบน้ำสำหรับสุนัข แป้งฝุ่นป้องกันเห็บ ผ้าเช็ดตัว
“มานี่มา ไอ้ทู” ผมเรียกมันให้มาหา ยังดีที่เชื่อฟัง เจ้าลาบราดอร์เดินมาหาผม พี่ท็อปวางของลงกับพื้น ผมคว้าปลอกคอไอ้ทูก่อนจะดึงมันมาใกล้ๆ ผมเหลือบไปมองพี่ท็อปที่กำลังเปิดน้ำจากสายยาง เพราะพี่ท็อปเป็นจอมวางแผนและเจ้าเล่ห์มาแต่ไหนแต่ไร คงไม่คิดจะชวนผมเดท เริ่มต้นด้วยการอาบน้ำหมา ผมเล่นหูไอ้ทูไปมา พี่ท็อปดึงตัวมันไปใกล้เพื่อให้ถนัดต่อการฉีดน้ำใส่มัน ดูท่าไอ้ทูมันจะชินกับการอาบน้ำแบบนี้ เห็นมันยืนนิ่งทำตาพริ้ม ผมหยิบแชมพูเทลงบนตัวมัน ลาบราดอร์อาบน้ำไม่ยากเพราะขนไม่ได้ยาว ถ้าดูแลมันดีๆ ขนก็สวยงามเชียว เพราะมัวแต่สนใจไอ้ทู พี่ท็อปเลื่อนสายฉีดมาใส่ผมโดยไม่ทันได้หลบหลีก ผลก็คือเปียกน่ะสิ ตั้งแต่คอยันกางเกงเลย นี่คือแผนการใช่ไหมวะเนี่ย ผมหันไปจ้องอีกฝ่าย
“เฮ้ย เปียกเลยเนี่ย” ผมบ่นอุบก่อนจะสะบัดมือที่เปื้อนฟองแชมพูไปใส่พี่ท็อปบ้าง อะ ผมไม่เปียกคนเดียวแน่ พี่ท็อปหัวเราะเบาๆ อย่างชอบใจ
“เอ้า ก็จะได้เปียกเป็นเพื่อนไอ้ทูไง พี่ก็กะจะอาบให้เราพร้อมไอ้ทูมันเลย” พี่ท็อปยิ้มกว้างก่อนจะฉีดน้ำลงบนตัวไอ้ทูต่อเพื่อล้างฟองแชมพู ผมคิดแล้วเชียว ชวนมาอาบน้ำหมาเพื่อจะให้ผมเปียก แล้วหลังจากนั้นล่ะพี่ท็อปคิดจะทำอะไร ผมเหลียวหน้าเหลียวหลังมองไปข้างๆ บ้านที่เงียบกริบ
“เอาๆ คอจะหักแล้วมั้ง ข้างบ้านไม่อยู่กันหรอกออกไปข้างนอก” พี่ท็อปพูดทันที ผมไม่เชื่อ วันนี้วันเสาร์ใครจะไปไหนกันอีกนอกจากอยู่บ้าน รถก็ยังอยู่ครบ ผมย่นหน้าให้อีกฝ่าย
“แผนล้ำลึกนะ”
“คนเราเวลาเปียกน้ำมันจะเซ็กซี่กันทุกคนแหละ ขึ้นอยู่ว่าจะมองแบบนั้นหรือเปล่า” พี่ท็อปว่า มืออีกข้างไล่แชมพูออกจากแนวหางของไอ้ทูจนหมด
“โธ่ ช่างโรแมนติกจริงๆ ทำอย่างกับอยู่กลางน้ำกลางทะเล” ผมส่ายหน้า พี่ท็อปย่นคิ้วเปลี่ยนมาฉีดน้ำใส่ผมแทน “พอได้แล้ว ไม่ใช่สงกรานต์ซะหน่อย” ผมว่าแล้วแย่งสายฉีดน้ำมาจากมือพี่ท็อป เจ้าตัวยอมปล่อยง่ายๆ ไอ้ทูวิ่งหางลู่จากไป มันไปสะบัดขนที่กลางสวน ถ้ามันพูดได้มันคงด่าผมกับพี่ท็อปไปแล้ว มันคงรำคาญ
“ฉีดมาเลย พี่พร้อมเปียก” เจ้าตัวพูดแบบนี้ ผมล่ะหมดอารมณ์แกล้ง
“บ้าเปล่าวะ” ผมบ่น วันสองวันมานี้พี่ท็อปเหิมเกริมกวนประสาทผมบ่อยกว่าปกติ ผมเลยฉีดน้ำแรงๆ ใส่อีกฝ่ายจนเปียกชุ่มไปทั้งตัว “เอาแชมพูด้วยเลยไหมพี่” ผมบอกก่อนจะยื่นแชมพูของไอ้ทูให้อีกฝ่าย พี่ท็อปหัวเราะก่อนจะรับแชมพูไปจริงๆ
“หอมดีออก มึงนี่ตาถั่วจริงๆ” พี่ท็อปเอาขวดแชมพูมาดม อยู่ๆ เจ้าตัวก็ถอดเสื้อออกด้วยท่าทางสบายอารมณ์เหมือนอยู่ข้างในบ้านที่ปิดมิดชิด แล้วหยิบผ้าเช็ดตัวมาพันรอบเอวจากนั้นก็ถอดกางเกงออก ผมมองตาปริบๆ พี่ท็อปไปกินอะไรมาวะเนี่ย ทำไมดูคึกคักชอบกล
“อาบน้ำกัน” อีกฝ่ายหันมาพูดกับผมด้วยท่าทีปกติ น้ำเสียงสบายๆ เหมือนชวนไปกินข้าว
หา! ผมขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยินพี่ท็อปพูดแบบนี้ออกมา
“อะไรนะ” ผมถามซ้ำ เพราะนี่ก็อยู่ในสวน พี่ท็อปมองผมราวกับตัวประหลาด
“อาบน้ำไง กลัวอะไรนี่บ้านเรานะ ไม่มีใครเขาว่าหรอก อนาจารในบ้านไม่ผิดหรอกน่า” พี่ท็อปหัวเราะก่อนจะเดินมาหาผมแล้วยื่นผ้าเช็ดตัวให้
“พี่พูดจริงเหรอ?” ผมตกใจกับคำพูดของอีกฝ่าย พี่ท็อปหันมาสบตาผมก่อนจะพยักหน้า ไม่รู้สึกสะทกสะท้านก่อนจะหยิบสายยางขึ้นมาฉีดน้ำใส่ต้นไม้ริมรั้ว ผิวปากไปด้วยอารมณ์สุนทรีย์ ผมเหลียวไปมองบ้านข้างๆ ถึงจะมีรั้วสูงพอสมควรแต่ถ้ามองลงมาจากชั้นบนก็คงเห็น บ้านนั้นไม่มีคนอยู่จริงๆ เหรอนั่น ผมอดคิดไม่ได้
“พี่แม่งบ้าจริงๆ” ผมหัวเราะก่อนจะถอดเสื้อออกบ้าง จริงๆ ถ้าไม่อยากเปียกก็เข้าไปเปลี่ยนเสื้อในบ้านคงจบเรื่อง ไม่รู้ว่าเจ้าตัวคิดจะทำอะไรเพราะตั้งแต่มาผมยังไม่ได้ย่างกายเข้าไปด้านในบ้านเลย สงสัยแอบไปเตรียมอะไรไว้หรือเปล่า
“อือ นี่น้องพึ่งรู้เหรอ” ไอ้คำว่าน้องของพี่ท็อปนี่จั๊กจี้หัวใจผมจัง พี่ท็อปหันมามองผมด้วยรอยยิ้ม ผมถอนหายใจ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วยางอายไม่เคยมีอยู่แล้ว ผมถอดกางเกงออกบ้างแต่ไม่ลืมที่จะพันผ้าเช็ดตัวให้แน่นหนาเผื่อพี่ท็อปมือไวกระตุกผ้าออกแล้วเรื่องจะยาว
“ก็ไม่คิดว่าจะขนาดนี้นี่” ผมส่ายหน้า
“ไม่ได้จะทำอะไรกันซะหน่อย มึงคิดลึกอีกล่ะสิ นี่กลางวันแสกๆ นะเว้ย” พี่ท็อปโยนสายฉีดลงพื้นก่อนจะเดินมาหาผม
“แล้วไงต่อ จะอาบน้ำหรือยังไง” ผมทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ว่าอีกฝ่ายกำลังตรงดิ่งเข้ามาหาในระยะประชิด
“นั่นดิ ทำอะไรต่อดี” พี่ท็อปยืนอยู่ด้านหน้ามองผมด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ราวกับว่าเจออาหารอันโอชะ
“อย่าทะลึ่ง” ผมพูดปรามก่อนจะหยิกเอวอีกฝ่ายแรงๆ รู้อยู่เต็มอกว่าอีกฝ่ายคิดจะทำอะไร
“อย่ามารู้ทัน” พี่ท็อปขยับเข้ามาหาเหมือนกับว่าไล่ต้อน ไม่เคยเห็นพี่ท็อปในโหมดหื่นๆ แบบนี้เลย น่ากลัวฉิบเป๋งเลย ผมถอยหนีอีกฝ่าย คงสู้ไม่ไหวถ้าตัวต่อตัว
“อะๆ ระวังผ้าหลุด” อีกฝ่ายบอก สายตาจับจ้องมองมาที่บริเวณหว่างขาของผม ทำให้ผมหยุดอยู่กับที่ก่อนจะพันผ้าให้แน่นๆ ผมมองหาตัวช่วย จะว่าไปไอ้ลาบราดอร์ไปเดินเล่นที่ไหน
“ไอ้ทูหายหัวไปไหนวะ มาดูเจ้านายมันหน่อย” ผมทำเป็นตะโกนลั่น “มึงพูดให้ใครฟังเนี่ย”พี่ท็อปหัวเราะก่อนจะเดินมาหาและคว้าข้อมือผมไว้แน่น 
“จะไปไหนพี่”ผมถาม เดินตามไปอย่างว่าง่าย
“มาเหอะน่า”พี่ท็อปจูงมือผมไป ผมยังงงว่าเจ้าตัวจะทำอะไร ที่แน่ๆ มีแววว่าจะได้กระทำบางอย่างแน่นอน

พี่ท็อปพาผมเข้าไปในบ้าน ภายในโถงห้องนั่งเล่นถูกจัดตกแต่งใหม่จนจำเค้าเดิมแทบไม่ได้ ผมอยากจะร้องอ๊ากกับความคิดสร้างสรรค์ของพี่ท็อปจริงๆ
“เป็นไงๆ” พี่ท็อปหันมาถามหาฟีดแบ็ก ผมส่ายหน้ายิ้ม
“โห นี่พี่ลงทุนขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย” ผมมองไป
พื้นที่ที่เคยมีโซฟาชุดประจำอยู่แต่บัดนี้มันหายไป โคมไฟระย้าถูกผ้าโปร่งลวดลายยิปซีแขวนไว้เป็นกระโจมสีสันฉูดฉาด เตียงนอนคาดว่าน่าจะเป็นโซฟาพับได้ ลายผ้าปูที่นอนเข้ากับผ้ากระโจมที่ห้อยลงมาปิดบริเวณด้านข้าง ซ้ายขวาเหลือเพียงทางเข้าปลายเตียง บริเวณกระโจมยังมีโคมไฟห้อยไว้กับตั้งอยู่บริเวณพื้น บรรยากาศในบ้านมืดลงเพราะพี่ท็อปปิดประตูเลื่อนผ้าม่านยิปซี ผมรู้สึกราวกับกำลังตกอยู่อีกโลกหนึ่งที่ไม่ใช่บ้านของพี่ท็อป…
สวยแต่ก็ ‘พิสดาร’
ผมมองหน้าพี่ท็อป “สุดยอดเลยพี่ อึ้งว่ะ” ผมหัวเราะเบาๆ ไม่รู้ว่าไปเอาไอเดียแบบนี้มาจากไหน แต่ทำเอาผมขนลุกซู่เชียว พี่ท็อปเดินถือขวดไวน์พร้อมแก้วมา
“เอามาจากหนัง The dreamers กูชอบเลยอยากลองทำบ้างไง” พี่ท็อปไขข้อสงสัยให้ผม เจ้าตัวเปิดไวน์ก่อนจะเทใส่แก้วยื่นส่งมาให้ผมต่อ
“ยังเช้าอยู่เลย” ผมบอกแต่ก็ยกไวน์ขึ้นมาจิบไปหลายอึก พี่ท็อปไหวไหล่
“ตอนนี้ไม่ต้องสนใจเวลาหรอก อยากให้สนใจแค่ ‘เรา’ มากกว่านะ” พี่ท็อปจับมือผมพาไปที่เตียงยิปซีนั่น ปฏิกิริยาของผมเริ่มกลับมาตอบสนองอีกฝ่ายหลังจากที่เข้าใจการกระทำของเจ้าตัว พี่ท็อปขยับหมอนใบใหญ่มาให้ผมสำหรับพิงเอนหลังได้ ถึงจะรู้สึกประหลาดชอบกล ที่ผู้ชายสองคนนอนจิบไวน์ในสภาพผ้าเช็ดตัวผืนเดียวก็เถอะ แต่ผมไม่ได้ขัด ถ้าจะบ้าให้สุดก็เอาให้เต็มที่
“แปลกใจล่ะสิ หึหึ” พี่ท็อปมองมาที่ผมด้วยสายตานิ่งสงบเหมือนมีอะไรอยู่ในใจ ผมยิ้มรับฟังอีกฝ่าย
“อือ อธิบายมาสิ” ผมบอก สังเกตว่าพี่ท็อปเองเหมือนมีเรื่องที่ต้องการบอกจะผมอยู่แล้ว 
“มีหลายเรื่อง... ที่กูอยากบอกมึง” พี่ท็อปเอ่ยก่อนจะวางแก้วไวน์ไว้ข้างๆ ผมลอบมองเจ้าตัวไม่วางตา พี่ท็อปยิ้มเหมือนเขินอายที่นานๆ ครั้งจะได้เห็น ผมยิ้ม “แต่กูไม่ใช่คนปากหวาน ถึงกูจะชอบเซอร์ไพรส์หรือเรื่องโรแมนติกก็เถอะ แต่พอให้พูดกูก็ปอดอะ”
ผมรอฟังพี่ท็อปพูดให้จบ เจ้าตัวขยับตัวเข้ามาใกล้จนร่างกายของเราสามารถรับรู้ถึงความอุ่นผ่าวๆ ที่คุ้นเคย 
“บางครั้งเซ็กซ์ก็สามารถเป็นตัวแทนความรู้สึกได้นะ หมายถึง make love น่ะ มันต่างจากการ having sex หรืออะไรก็เหอะ มึงเข้าใจไหม” พี่ท็อปมองหน้าผม แน่นอนว่าเข้าใจถ่องแท้ถึงแก่น ดูจากสายตาของเจ้าตัวแล้วพร้อมจะกลืนกินผมไปได้ทั้งตัวจริงๆ
“ไม่เห็นต้องทำอะไรแบบนี้เลย ผมตกใจนะเนี่ย” ผมบอกก่อนหัวเราะเก้อๆ
“ก็ต้องบิ้วอารมณ์หน่อยสิวะ” พี่ท็อปหัวเราะเสียงนุ่มมองผมด้วยสายตาทะนุถนอมเกินเหตุ
จริงๆ ผมเคยได้ยินพวกสาวๆ ในเอกผมพูดถึงเรื่องแบบนี้เหมือนกันนะ Just Having Sex จะทำกับใครก็ได้แต่การ Making Love มันต้องกับคนที่เรารัก รู้สึกดีด้วย
“กูอยากทำแบบนั้น ที่ผ่านมามันอาจจะแค่ทำเพราะมันเป็นส่วนหนึ่งของการเป็นแฟนหรือเพราะอารมณ์พาไป” พี่ท็อปพูดพึมพำเหมือนจะเขินอายที่พูดออกมาตรงๆ กับผม ผมมองหน้าอีกฝ่ายแล้วคำนี้ปรากฏขึ้นมาในหัว 'พิเรนทร์' แต่ผมเข้าใจสิ่งที่พี่ท็อปพูด
“อือ เข้าใจครับ”
ส่วนใหญ่คนเราอยู่ด้วยกันมีเซ็กซ์กันเป็นปกติ มันเหมือนเป็นกิจกรรม มีอารมณ์จึงมีเซ็กซ์ แต่ make love ไม่ใช่แค่รู้สึกแบบนั้นอย่างเดียว มันค่อนข้างจะดูลุ่มลึกกว่านั้น แต่พี่ท็อปเนี่ยชักจะคิดอะไรลึกล้ำไปทุกที ขนาดผมยังไม่ติสท์อยากทำอะไรแบบนี้ เพราะผมคงมองว่ามันเป็นแค่เซ็กซ์ล่ะมั้ง คงทำนองเดียวกับคู่สามีภรรยาที่แต่งงานกันไปนานๆ มันจืดชืดก็คงอยากสร้างฟีลลิ่งแบบวาบหวิว make love อะไรอย่างนั้นให้ชีวิตคู่มีสีสัน
“แต่ไม่เห็นต้องมาบิ้วกันแบบนี้เลยนี่” ผมพูด
“หึหึ ธรรมดาๆ ใช่พี่เหรอ” พูดอีกก็ถูกอีกนั่นแหละ พี่ท็อปซะอย่างธรรมดาที่ไหน ผมยิ้มกับพี่ท็อป ต่างฝ่ายต่างเงียบ ช่วงเวลาแห่งความเขินอาย กล้าๆ กลัวๆ ใครจะเริ่มก่อนดีล่ะ เราเงียบไม่ได้พูดอะไรประมาณหลายนาที ไม่รู้ว่าพี่ท็อปตั้งใจจะแกล้งผมหรือเปล่า ผมหันไปมองพี่ท็อปอย่างท้าทาย
“แล้วไง....” ผมแกล้งเหย้าอีกฝ่าย
“ก็ไม่แล้วไง... แค่อยากจะมีช่วงเวลาพิเศษๆ บ้าง น้องน่ะพิเศษอยู่แล้ว พี่ก็คิดอะไรเกี่ยวกับเราตลอดล่ะ”
“ลึกซึ้งนะเนี่ย”
“กูโตแล้วนี่ มันหลายเรื่องที่เรายังต้องเจอเมื่อเราเป็นผู้ใหญ่ในโลกการทำงาน”พี่ท็อปเอ่ย ใบหน้าเคร่งขรึม ผมพยักหน้าตาม
“ครับ รู้แล้วล่ะครับ”
“อืม พี่รักสองนะ”
“หือ ว่าไงนะ” ผมทำเป็นไม่ได้ยิน การจะบอกรักแฟนนี่ต้องรอจังหวะไหมนะ ผมรู้สึกร้อนที่ใบหน้าตามกลไกของร่างกาย เป็นการบอกรักที่ทำให้ผมสะท้านได้อย่างแปลกประหลาด
“อย่าสิวะ กูอุตส่าห์พูดออกมาจากใจ” พี่ท็อปหน้างอ ผมหัวเราะ
“อือ รู้แล้วครับ” ผมบอกก่อนจะเข้าไปกอดอีกฝ่ายอยู่นาน พี่ท็อปซุกหน้าลงที่หัวไหล่ผมไม่วายกัดผมเบาๆ ให้จั๊กจี๋เล่น
“มึงไม่ต้องพูดหรอกเพราะกูได้ยินจากมึงบ่อย บางทีกูแอบคิดว่ามึงจะน้อยใจอะไรพี่บ้างไหม”
“ไม่หรอก ผมรู้นิสัยพี่น่า” ผมบอก
เราสองคนผละออกจากกัน ผมมองเข้าไปในดวงตาสีดำของอีกฝ่าย ค้นหาความรู้สึกที่กำลังสั่นไหวอยู่ตรงหน้า มันเป็นความอ่อนไหวของพี่ท็อป อ่อนไหวกับอะไรบางอย่าง ปกติพี่ท็อปไม่ใช่คนคิดมากขี้นอยด์เท่าไหร่ หรือผมไม่ได้สังเกต
“ผมรู้สึกว่ารักพี่ไปแล้วตั้งแต่เมื่อปีก่อนนู่น มาตอนนี้ดูเหมือนจะรักมากกว่าเดิมนะ ไม่รู้สิพูดไม่ถูก แต่พี่ก็รู้ใช่ไหมล่ะ ผมไม่อยากพูดบ่อยๆ เพราะมันจะติดปาก”
“พี่รู้” พี่ท็อปกระซิบเบาๆ จังหวะนั้นผมขนลุกวูบรู้สึกวูบวาบไปด้วย
ผมมองพี่ท็อปอย่างชัดเจน อีกฝ่ายไม่ได้หลบตาผมไปที่อื่น สิ่งที่พี่ท็อปทำกับผมคือการสัมผัสอุ่นๆ จากฝ่ามือของเจ้าตัว แต่บางครั้งก็ทำให้ผมร้อนขึ้นมาได้ ทุกอย่างไม่รีบร้อนอะไร ผมรับรู้ทุกการกระทำ
คำพูด 'เรา' ผมรู้สึกดีกับคำนี้เสมอเวลาพี่ท็อปเอ่ยมันออกมา
มือพี่ท็อปสอดเข้าใต้แผ่นหลังกายโน้มลงมาทาบทับ พี่ท็อปยิ้ม “อืม มุมนี้หล่อนะ” ผมเห็นแค่ใบหน้าที่ชัดเจนแจ่มอยู่ในความจำ สายตา ลิ้น ริมฝีปากอุ่นนิ่มกำลังครอบครองร่างกายและจิตใจของผมไปโดยปริยาย ริมฝีปากอุ่นนุ่มของพี่ท็อปพรมจูบไปทั่วใบหน้า ไม่ใช่ด้วยความหื่นกระหาย จูบที่ขมับแผ่วเบาราวกับบอกให้ผ่อนคลาย จากนั้นก็พลัดเปลี่ยนเป็นจูบที่ดูดดื่มร้อนแรง เรียวลิ้นร้อนตวัดกันและกัน
เวลานี้ผมแค่ผ่อนคลายไปตามสัมผัสของพี่ท็อป อีกฝ่ายไม่ได้นำผมเพียงอย่างเดียวแต่ก็เป็นผู้ตามที่ดีในห้วงเวลาที่ผมคุมจังหวะอีกฝ่าย ผมกับพี่ท็อปไม่ได้พูดอะไรมาก เหมือนว่าเราสื่อสารผ่านสายตา ภาษากาย ในเมื่อเราสองคนเต็มใจเปิดรับกายและใจของกันและกัน จึงไม่ใช่เรื่องที่ต้องห้ำหั่นว่าใครจะเป็นฝ่ายนำหรือตาม เพราะเราแค่ Making love เราไม่ได้ใช้ความ ‘อยาก’ มานำพาอารมณ์ให้ดำเนินต่อ ไม่อย่างนั้นวันนี้ก็จะกลายเป็นแค่เซ็กซ์เหมือนๆ ทุกวันเท่านั้น ต่างฝ่ายต่างตอบรับซึ่งกันและกัน
หากเปรียบเราสองคนในเวลานี้ เสมือนพี่ท็อปกำลังร่างงานศิลปะชิ้นงาม วาดผมให้เป็นไปตามทิศทางของพู่กัน ผลงานที่ออกมาขึ้นอยู่กับว่าผู้รังสรรค์งานมีเทคนิคกับประสบการณ์มากแค่ไหน
นั่นแหละ ผมคือศิลปะชิ้นเอกของพี่ท็อป ที่มีเพียงชิ้นเดียวที่อีกฝ่ายจะบรรเลงได้อย่างตามใจชอบ
พี่ท็อปโน้มตัวลงมากอดผมไปด้วยระหว่างที่ส่งแรงปรารถนามาให้ผมอย่างต่อเนื่อง ประสาทสัมผัสของผมเปิดรับทุกสิ่งทุกอย่างจากพี่ท็อป ทำให้การรับสัมผัสของผมอ่อนไหวกว่าปกติ ผมคราง พี่ท็อปก้มหน้ามองยิ้มๆ เหมือนจะแซวทางสายตา เจ้าตัวโน้มตัวลงมาจนแนบชิด ผมกอดอีกฝ่ายไว้แน่นๆ
พี่ท็อปเลื่อนหน้ามาจูบอย่างเนิบนาบ ผมสัมผัสได้ทุกอย่างที่อีกฝ่ายส่งมาให้ สองมือสัมผัสลูบไล้กล้ามเนื้อของพี่ท็อป ปกติผมไม่ค่อยได้สัมผัสต้นคอพี่ท็อปสักเท่าไหร่เวลาที่จูบกันหรือแม้กระทั่งตอนมีเซ็กซ์ มันก็วูบวาบดีจริงๆ เหมือนมีสัมผัสพิเศษ เพิ่งรู้ว่าลำคอของพี่ท็อปนี่ก็เซ็กซี่ดีนะเนี่ย ผมยิ้มนิดๆ
“เมาเนื้อหรือเปล่าหือ” พี่ท็อปกระซิบก่อนจะจูบผมต่อ พี่ท็อปกับผมแทบไม่ได้ผละออกจากกัน ออกจะแนบแน่นสนิทชิดเชื้อ ผมมองหน้าพี่ท็อป กอดเกี่ยวความสุขจากกันและกัน ยิ่งใกล้ฝั่งฝันจูบนี้ยิ่งหนักหน่วง

จะว่าไป make love ต่างจาก just have sex อย่างสิ้นเชิง แน่นอนใครๆ คงพูดว่ามันก็เอากันนี่หว่า นี่คือการร่วมรักล่ะมั้ง ทั้งสัมผัส ความเคลื่อนไหว มันแตกต่างกันอยู่ ผมว่ามันต่างกันแต่ค่อนข้างเปลืองพลังงาน และ 'รส' ของการที่ต้องตกเป็นเบี้ยล่างมันก็ต่างพึงพอใจคนละรูปแบบกับการอยู่เบื้องบน ยังไงซะที่ปลายทางเราต่างก็เป็นผัวเมียกันนั่นแหละน่า.... แฮปปี้ดีจะตาย

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-02-2018 14:44:27 โดย รินดาwดาริน »

ออฟไลน์ Bradly

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 200
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
มาแล้วว รักท็อปสอง  :mew1:

ออฟไลน์ kun

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-10
พี่ท็อปขี้อ้อนจังน่ะ อิอิ ชอบคำนิยายตอนท้ายของสองจัง

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ความรักมันไม่สมบูรณ์แบบหรอก เพราะมนุษย์เราไม่สมบูรณ์พร้อมมีข้อดีข้อเสียกันทุกคน
อยู่ที่ว่า คนสองคนจะยอมรับข้อเสียของอีกฝ่ายได้มากแค่ไหนมากกว่า

ชอบบบบ คำคม ความคิดสอง  :katai2-1:
สองรู้ตัวนะ ว่าแพ้ทางพี่ท็อป
ทอป สอง  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
ว่าแต่พี่ท็อป จะทำอะไรเซอร์ไพรซ์สองนะ
แกน ดีน ใกล้จะเข้าใจกันแล้วหรือเปล่า
        :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
ขอบคุณที่กลับมาอัพบ่อยๆแล้วนะคะ รอตอนต่อไป

ออฟไลน์ GuoJeng

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1268
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +44/-1
รอ รออ่านตอนต่อไปคับ

ออฟไลน์ minneemint

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1632
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-0

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
 :L1:  ชอบสองตรงนี้อะ เจอคนที่รักแล้วยิมได้หมด สุดยอด
พี่ท็อปห้ามนอกใจนะ
เพิ่งเห็นว่ารีไรท์ตอนแรกอยู่ รออ่านนะคะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-03-2017 14:17:07 โดย ❣☾月亮☽❣ »

ออฟไลน์ รินดาwดาริน

  • OnTop&N'Song
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +243/-2
ตอนที่ 26 วันสบาย ๆ   

เหลืออีกไม่ถึงสัปดาห์ที่พี่ท็อปจะต้องไปฝึกสหกิจที่ชลบุรี แถวอมตะนคร อีกอย่างเจ้าตัวก็เก็บของในห้องเตรียมย้ายออกเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งผมไม่ได้เข้าไปช่วยอะไรมากเพราะมาทำกิจกรรมที่คณะช่วยพวกไอ้เชี่ยวทำสโมฯ กิจกรรมของเทอมสองก็เป็นพวกสตรีทอาร์ต โอเพ้นเฮ้าส์ ผมกับพรรคพวกมานั่งเล่นมี่ห้องเพ้นท์ตามปกติ
   
ผมกลับมาที่หอพักเจอกับพวกพี่ธามที่กำลังมาช่วยพี่ท็อปเก็บของ มีเสียงตึงตังและเสียงหงุดหงิดจากพี่ท็อปให้ได้ยิน
“พวกมึงไม่ต้องทำเหมือนว่าจะมาช่วยกูย้ายบ้านได้ไหมวะ ห้องกูมีอยู่แค่นี้โว้ย” ผมเลยเดินไปชะโงกหน้าเข้าไปในประตูที่เปิดกว้างไว้ พวกเพื่อนๆ พี่ท็อปหันมามองผมแล้วส่งเสียงดังขึ้นมาอีกระดับนึง
“อ้าว น้องสองมาแล้วเหรอ มาช่วยแฟนเก็บของส่วนตัวหน่อยก็ดี” พี่อิฐเอ่ยพร้อมหัวเราะร่วม สงสัยว่าพี่แกคงแกล้งพี่ท็อปอีกแน่ๆ คนอะไรอยากโดนพี่ท็อปเตะ
“เกะกะนะเพื่อนเวร” พี่ท็อปส่ายหน้าก่อนจะหันมาพยักหน้าให้ผม พี่ธามกำลังเก็บหนังสือลงกล่องที่ใกล้จะหมดแล้ว ผมเดินเบียดแทรกพวกพี่ทั้งสามสหาย กลายเป็นว่าห้องดูแคบลงไปถนัดตา ผมเดินไปหาพี่ท็อปที่กำลังจัดการกับเสื้อผ้าในตู้ 
“เสื้อผมพี่แยกไว้เลยก็ได้” ผมบอกก่อนจะหยิบเสื้อสีดำสกรีนหน้าเสือออกมาถือ พี่ท็อปส่งยิ้มให้
“กูใส่เสื้อมึงได้น่า เก็บลงถุงให้หมดนั่นแหละ” เจ้าตัวคว้าเสื้อในมือผมไปพับสองสามทบก่อนจะยกมาดม ผมอดยิ้มกับท่าทีของอีกฝ่ายไม่ได้ โธ่พี่
“ฮะๆ พี่นี่ตลกจัง” ผมยิ้มกว้างก่อนจะช่วยพี่ท็อปพับเสื้อที่ถูกกองไว้ในตู้ ไม้แขวนเสื้อถูกเอาออกหมดแล้ว
“น่า กลิ่นมึงหอมจะตาย” เจ้าตัวยังไม่วายพูดแซวต่อ
“อะไรวะ เพื่อนยืนหัวดำหัวโด่ยังจะกล้าจีบกันเป็นสาวๆ ไปได้” ปากแบบนี้ไม่พ้นพี่อิฐตามเคย ผมเห็นพี่แบมแค่ส่ายหน้าไม่รู้ว่าระอาเพื่อนตัวเองหรือระอาผมกับพี่ท็อป
“ปล่อยๆ มันไปเถอะช่วงนี้ หวานส่งท้ายกันหน่อย” พี่ธามพูด
“แล้วคืนนี้พี่นอนที่ไหน” ผมถามเพราะถ้าเก็บห้องเสร็จก็ต้องคืนกุญแจ ห้องพี่ท็อปไม่ได้มีของเยอะเพราะก่อนหน้านั้นเจ้าตัวทยอยเก็บลงกล่องเรื่อยๆ ตอนนี้เหลือแค่เก็บพวกจานของเครื่องใช้ที่ครัว
“อยากนอนกับมึงเหมือนกัน แต่กูต้องกลับไปหาแม่ว่ะ มีเรื่องจะคุย หรือมึงจะไปนอนที่บ้านกูเลยดีไหม” พี่ท็อปพูดเองเออเอง
“ผมต้องอยู่คิดงานด้วยเนี่ยสิ ยังคิดไม่ออกเลย” ไม่มีอารมณ์ทำงานด้วยนั่นแหละ พี่ท็อปดูจ๋อยลงทันตาเห็น นี่ถ้าหากมีหูใหญ่ๆ นะ คงลู่ลงแนบหัวแน่ๆ
“ไปด้วยกันไม่ได้เหรอ” แน่ะ มีอ้อนกันด้วย พี่ท็อปพูดแล้วมองหน้าผม แววตาดูอ่อนล้าเหมือนต้องการพลังงาน พอเห็นพี่ท็อปในมุมนี้แล้วอดหวั่นไหวไปกับอีกฝ่ายไม่ได้
“โอเคครับ เอางานไปทำด้วยก็ได้” ผมบอก
“ดีมาก น่ารักจัง” พี่ท็อปยิ้มกว้างทันทีก่อนจะยื่นมือมาขยี้ลงที่ศีรษะของผมเหมือนกับเด็กๆ
“ไม่เอาน่า ไม่ใช่เด็กๆ ซะหน่อย” ผมไม่ค่อยชอบถูกปฏิบัติเหมือนกับพวกเด็กๆ คือถ้าผมเป็นฝ่ายทำก็ว่าไปอย่าง แบบนี้เหมือนผมเป็นลูกหมาตัวจ้อยเลยสิเนี่ย พี่ท็อปกระตุกยิ้ม
“จะให้จูบไหม แต่ก็เกรงใจพวกหมา” พี่ท็อปหัวเราะร้ายกาจว่าร้ายให้เพื่อนตัวเอง ผมเหลือบไปมองพวกเพื่อนๆ พี่ท็อปที่แอบมองอยู่
“หึหึ พี่ไปเก็บพวกจานดีกว่าเดี๋ยวเสื้อผ้าพวกนี้ผมเก็บให้เอง” ผมบอก เพราะกองเสื้อผ้าเริ่มลดลงแล้ว อยากเก็บกวาดห้องให้เสร็จเร็วๆ พี่ท็อปเดินไปที่ครัวอย่างว่าง่าย
การเคลียร์ห้องครั้งใหญ่ใช้เวลาเกือบสามชั่วโมง ในห้องถูกเก็บกวาดจนสะอาดไม่เหลือแม้แต่ไรฝุ่น พวกของจุกจิกบางอย่างผมก็เก็บเอาไปใช้เองที่ห้อง พวกพี่ธามขนกล่องใส่ของลงไปวางที่หน้าหอพัก ส่วนพี่ท็อปหายไปคุยที่ออฟฟิศเจ้าของหอพัก ผมหยิบสมุดสเก็ตช์ใส่กระเป๋าลงไปรอพี่ท็อปที่ชั้นล่าง พี่อิฐยืนพิงรถกระบะในมือคีบบุหรี่ที่ใกล้จะหมดมวน คนอื่นกำลังยกกล่องใส่กระบะหลัง ดูเหมือนว่าพี่ท็อปจะยังคุยธุระกับเจ้าของหอพักไม่เสร็จ พี่อิฐกวักมือเรียกผมให้เข้าไปหา
“เป็นยังไงบ้างล่ะมึง” พี่แกถาม ผมมองอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจว่าจะถามถึงเรื่องไหน เรื่องเรียน เรื่องพี่ท็อป ผมไม่รู้จะตอบอะไรออกไป
“ก็ดีพี่” ผมตอบ พี่อิฐมองหน้าผมแล้วยิ้ม
“กูอาจจะปากหมาไปหน่อย มึงคงไม่เคืองกันนะ”
“ไม่นี่ครับ”
“กูไปฝึกในอมตะนครเหมือนไอ้ท็อปมันแต่คนละโรงงาน มึงกังวลอะไรหรือเปล่าวะ” พี่อิฐยักคิ้วเหมือนจะล้อผม ที่จริงผมไม่ได้กังวลเรื่องพี่ท็อปมากขนาดนั้น มันเป็นเรื่องขี้หมูขี้หมามาก
“ก็มีฟุ้งซ่านนิดๆ หน่อยๆ แหละพี่ แต่ไม่ใช่ปัญหาอะไรหรอก”
“อือ ไอ้ท็อปมันเป็นคนไม่วอกแวกหรอก มึงน่าจะรู้ดี”
“ครับ” ผมรับคำสั้นๆ เหมือนพี่อิฐแกจะเทศนาผมมากกว่า
“อีกอย่างมันเป็นพวกคิดมากกว่าหนึ่งก้าว หมายถึง มึงคงเป็นพวกใช้วันนี้ให้คุ้มไม่ต้องไปคิดมากเรื่องอนาคต แต่ไอ้ท็อปมันเป็นพวกซับซ้อนจุกจิกกับเรื่องอนาคตอะไรแบบนี้ มันจอมวางแผนนี่นะ”
“ใช่พี่”
“อืม มึงไม่ต้องฟุ้งซ่านวอกแวกให้มาก กูเป็นห่วงเพื่อนกูไม่แพ้กันหรอก”
“ทำไมคิดแบบนั้นล่ะพี่”
“เออน่า พูดให้ฟัง มันจริงจังกับมึงมากนะเว้ย มากกว่าที่มึงรู้แน่ๆ” พี่อิฐยิ้มก่อนจะหัวเราะอารมณ์ดี เจ้าตัวดับบุหรี่เดินเอาไปทิ้งลงถัง พี่ท็อปเดินออกมาจากออฟฟิศแล้วตรงมาหาผม
“จะไปกันเลยไหม” พี่ธามเอ่ยขึ้นทำท่าจะเข้าไปในรถ พี่ท็อปหันมามองผม
“เอาอะไรมาครบแล้วใช่ไหม”
“เรียบร้อยครับ” ผมบอกตบกระเป๋าสะพายเบาๆ เจ้าตัวยิ้มก่อนจะส่งเสียงบอกเพื่อนให้ออกรถไปได้ พี่อิฐอาสาไปส่งของให้พี่ท็อปที่บ้าน ส่วนผมก็เอาเคเอสอาร์ขี่ไปกับพี่ท็อปแทน
“อิฐมันคุยอะไรกับมึง”อีกฝ่ายถามมาจากด้านหลัง
“อ๋อ พี่แกบอกว่าพี่รักผมมาก” ผมบอกแล้วหัวเราะอย่างสุขใจจนกระทั่งมีมือมาหยิกลงที่เอวอย่างแรง พี่ท็อปเคาะหมวกกันน็อกผมแรงๆ อีกสองสามครั้ง
“จริงไหมล่ะ”
“เออ รักน้องสองม้ากมาก” พี่ท็อปหัวเราะมาจากด้านหลังแถมยังใจกล้าเอื้อมแขนมารัดเอวผมระหว่างทางที่อยู่บนถนน นึกถึงคำพูดของพี่อิฐ พี่ท็อปเป็นคนเปิดเผยอย่างที่บอกนั่นแหละ
พอถึงบ้านพี่ท็อปแล้วผมเห็นแม่ของเจ้าตัวออกมาต้อนรับเพื่อนๆ ด้วยขนมจีนน้ำยาพร้อมเครื่องเคียงที่สวน ผมขี่รถเข้าไปจอดด้านในโรงรถข้างๆ กับรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าคันเดิมของพี่ท็อป ไอ้ทูวิ่งตรงหรี่มาหาพี่ท็อป เจ้าตัวก้าวลงจากเบาะหลังก่อนจะเข้าไปฟัดกับหมาสีน้ำตาลอ่อนที่ส่งเสียงร้องแหลมอย่างคิดถึง
“หวัดดีครับแม่” ผมสวัสดีอีกฝ่าย แม่กำลังตักขนมจีนแบ่งใส่จานให้พวกพี่ธาม บนโต๊ะมีหม้อน้ำยาสองหม้อ แกงเขียวหวานกับน้ำยาป่า มีจานผักเครื่องเคียงพร้อม ทั้งผักกาดดอง มะระ ถั่วพู ถั่วฝักยาว ผมถอดหมวกกันน็อกแล้วเดินไปหาแม่ที่สวน ส่วนพี่ท็อปยังคงถูกไอ้ทูล้อมหน้าล้อมหลัง
“แม่ทำน้ำยาป่าของชอบเราด้วย” แม่บอก ผมเดินไปตามกลิ่นหอมที่โชยเข้าจมูก น้ำลายสอเลยล่ะ พวกพี่ธาม พี่อิฐ และพี่แบมกำลังนั่งกินกันที่โต๊ะไม่ไกลกัน
“แม่ทำเยอะไปหรือเปล่าครับเนี่ย” ผมชวนคุย เพราะลำพังพวกผมคงกินกันไม่หมดแน่ๆ มีหวังได้แบ่งกันกลับไปคนละถุงสองถุง
แม่ยิ้ม “ไม่หมดก็เอาไปแจกข้างบ้านนี่แหละลูก สองกินเยอะๆ นะ” แม่ยื่นจานให้ผม พี่ท็อปเดินเข้ามาหาคว้าจานขนมจีนในมือผมไปแทนก่อนจะยกมาดม
“จานนี้ท่าจะอร่อยกว่าจานอื่นแหงๆ” พี่ท็อปพูดด้วยรอยยิ้มก่อนจะหยิบช้อนมาตักกินทั้งอย่างนั้น แม่มองพี่ท็อปด้วยสายตาระอา ผมก้มมองที่ขาเพราะไอ้ทูมันเดินมายืนเบียดพร้อมกับส่ายหางไปมา 
“ไปนั่งที่โต๊ะดีๆ สิ” ผมบอกก่อนจะหยิบจานแล้วตักขนมจีนมาสองหยิบพร้อมกับผักเครื่องเคียงอีกหนึ่งจาน 
“เอาผักมาให้พี่บ้างสิ บริการสามีหน่อย” พี่ท็อปยื่นหน้ามากระซิบบอกทำเอาขนลุก ทั้งประโยคที่มาจากเจ้าตัวแล้วก็ไอ้ท่าทีกระซิบกระซาบนี่แหละ ผมมองอีกฝ่ายเอือมๆ ทำอะไรประเจิดประเจ้อจริงๆ แต่เจอสายตาวิบวับของพี่ท็อปแล้วก็แยงลูกตา เลยเอื้อมไปหยิบจานใส่ผักมาให้อีกฝ่าย
พี่ท็อปเดินไปนั่งที่โต๊ะรวมกับเพื่อนๆ ผมเลยต้องถือจานตามไปต้อยๆ ไม่ใช่เด็กเสิร์ฟซะหน่อย ผมแอบเหน็บในใจ ได้ยินเสียงแม่หัวเราะมาจากด้านหลัง
“บริการดีจริงๆ ขอน้ำหน่อยได้ไหมจ๊ะ” พี่ธามทำเป็นพูดเพราะเพื่อใช้ประโยชน์จากผม ผมเหลือบมองพี่ท็อปที่อมยิ้มอยู่คนเดียว
“เดี๋ยวเอามาให้ครับ ทุกคนเลย” ผมบอกก่อนจะเดินกลับไปที่โต๊ะ หยิบแก้วพลาสติกมาเท่าจำนวนคนกับน้ำเย็นหนึ่งขวด
“แม่ไม่มาทานด้วยกันเหรอครับ”
“แม่อิ่มแล้วจ้ะ พวกเรากินกันเถอะ เดี๋ยวแม่เข้าไปข้างในก่อนดีกว่า” แม่บอกยิ้มๆ ก่อนจะเรียกไอ้ทูให้เข้าไปในบ้านด้วยเพราะมันคอยจะกวนพวกผม
ผมเดินกลับไปที่โต๊ะแล้วรินน้ำแจกจ่ายทุกคนจนครบ ผมนั่งลงข้างๆ พี่ท็อป รู้สึกเหมือนโดนพวกแกนินทายังไงชอบกลเพราะสีหน้าหลุกหลิกคอยมองสบตากัน ผมจ้องหน้าพี่ท็อปเขม็ง ขี้นินทาจริงๆ
“อิ่มกันแล้วเหรอ” ผมถามไปแบบนั้นเพราะซัดกันไวปานลิง
“ยังหรอก รอขนมหวานก่อน” พี่แบมบอกพลางส่งยิ้มให้ผม
“เออสอง เมื่อไหร่มึงจะกลับไปบ้านเกิดมึงวะ”
“ทำไมเหรอ”
“กูอยากไปเที่ยวแถวบ้านมึงบ้าง ช่วงไหนมีงานประจำปีบ้าง อยากเปลี่ยนบรรยากาศว่ะ” พี่อิฐพูด ผมนิ่งคิดก่อนจะหันไปมองพี่ท็อป เจ้าตัวกำลังเขี่ยเส้นขนมจีนในจานอย่างสนอกสนใจ
“ไม่แน่ใจพี่ ต้องลองถามพ่อก่อน เอางานใหญ่ๆ เลยไหมพี่จะได้สนุก” ผมบอกไปไม่จริงจังนักเพราะรู้สึกแปลกๆ ที่อยู่ๆ พี่อิฐจะมาสนใจอะไรงานแถวบ้านผม พี่ธามหันมาพูดกับผมต่อ
“งานลอยกระทงได้ไหมวะ จังหวัดมึงขึ้นชื่อเลยนี่หว่า”
“ตามใจพี่สิ จะไปเที่ยวกับใครล่ะ”
“พวกกูเนี่ยแหละ อยากแวะไปบ้านมึงด้วย เบื่อๆ พอดี ช่วงนั้นคงส่งโปรเจกต์กันเสร็จหมดแล้ว เผื่อไปฉลองให้ที่รักมึงไง ไม่สนใจบ้างเหรอ” พี่แบมเอ่ยขึ้นบ้าง หลังจากที่นั่งย่อยได้สักพักผมหันไปมองคนข้างๆ ที่เงยหน้ามายิ้มให้ผมพอดี
“สนใจป่ะ” เจ้าตัวถาม ผมมองแววตาสีดำที่สั่นไหวอย่างมีชีวิตชีวา ผมจ้องสำรวจอยู่อึดใจหนึ่ง
“ก็ไม่มีปัญหาหรอก ถ้าจะไปจริงๆ บอกผมอีกครั้งกันลืมจะได้บอกพ่อให้เตรียมต้อนรับ” ผมบอก
“โอเคไอ้น้อง ว่าง่ายแบบนี้ดีเลย” พี่อิฐยกนิ้วโป้งให้
“ทำไมถึงอยากมาเที่ยวบ้านผมล่ะพี่” ผมหันไปถามพี่ท็อป เจ้าตัวไหวไหล่เอนตัวมาใกล้ผม
“แค่อยากเที่ยวกับมึงบ้าง” พี่ท็อปบอกเบาๆ ให้ได้ยินกันสองคน ผมพยักหน้าเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง สงสัยต้องโทรไปถามพ่อว่าแอบเตี๊ยมอะไรกับพี่ท็อปกันแน่ เข้ากันได้ดีกว่าที่คิดไว้ซะอีกนะเนี่ย
ไม่ถึงสิบนาทีแม่พี่ท็อปก็เรียกพวกผมให้ไปทานของหวานอย่างน้ำแข็งใสด้านในบ้าน หลังจากนั้นพวกพี่ธามก็ขอตัวกลับ ผมกับพี่ท็อปช่วยกันเก็บโต๊ะและจานเข้าที่ แล้วทำความสะอาด พี่ท็อปชวนผมไปนั่งเล่นที่ศาลาในสวนหน้าบ้าน ถัดจากศาลาไปแค่ไม่ถึงเมตรมีบ่อปลาคราฟทรงสี่เหลี่ยมผุดขึ้นมาใหม่ คราวก่อนที่มายังไม่มี สงสัยแม่จะขุดสร้างเพิ่ม ในสวนเลยร่มรื่นเพราะการตกแต่งรอบบริเวณบ่อปลา ขนาดไม่ใหญ่มาก จำนวนปลาสวยงามมีแค่ 6 - 7 ตัวเท่านั้น ยังเล็กๆ อยู่ด้วยซ้ำ
จากที่ตั้งใจไว้ว่าจะคิดงานต่อกลับกลายเป็นว่าเป็นหมอนรองศีรษะให้พี่ท็อปนอนเล่นอย่างสบายอารมณ์ ผมก้มมองคนที่นอนอยู่บนหน้าขา เจ้าตัวหลับตาพริ้ม ผมเอื้อมมือไล้ไปตามแนวคิ้วที่เรียงตัวสวยอย่างเบามือ 
“ฮืม” เจ้าตัวส่งเสียงออกมาเบาๆ ก่อนจะลืมตา ผมยิ้ม พี่ท็อปไม่ได้พูดอะไรแค่จับมือซ้ายของผมไปลูบไล้แหวนที่นิ้วนาง
“อยากได้อะไรไหมสอง” อยู่ๆ เจ้าตัวก็เอ่ยถาม ผมขมวดคิ้วแปลกใจ ปกติผมกับพี่ท็อปไม่ค่อยซื้อของให้กันมาก ตั้งแต่นาฬิกาสร้อยของพี่ท็อปครั้งก่อนนู่น
“ไม่นี่ครับ ผมได้จากพี่มาจนหมดแล้ว” ผมพูดน้ำเสียงเจือหัวเราะ
พี่ท็อปยิ้มมุมปากก่อนจะปล่อยมือผมพร้อมกับขยับตัวเปลี่ยนท่านอน จากที่นอนหงายเจ้าตัวพลิกกลับมานอนคว่ำ ใบหน้าแนบลงกับหน้าขาผมแทน ทำเอาผมเสียววาบ ผมเหลียวไปมองรอบกาย ถ้าทำอะไรประเจิดประเจ้อ แม่คงออกมาตำหนิ
“เสียวนะพี่” ผมหัวเราะก่อนจะยื่นมือไปตีที่ไหล่เจ้าตัวเบาๆ พี่ท็อปเงยหน้ามองผม วางแก้มแนบลงกับขาผมต่อ มือที่ว่างอยู่ยกขึ้นมาลูบหน้าขาอีกข้างไปมา
“ใครว่าล่ะ มีอะไรหลายอย่างที่กูยังไม่ได้จากมึงนะสอง” เจ้าตัวเอ่ยพึมพำลงกับต้นขาของผม
“อะไรเหรอพี่” ผมถาม ไม่อยากนั่งอยู่ในท่านี้นานๆ เพราะมันล่อแหลมจริงๆ
“ก้มลงมาสิ” พี่ท็อปเงยหน้ามองขยิบตาให้ผมโน้มหน้าลงไปหา ผมถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะก้มลงไปใกล้ๆ
“ว่า?”
“ก็ Texture แบบพิเศษ สัมผัสใหม่ยังไม่เคยลองเลยว่ะ” สรุปไม่พ้นเรื่องอย่างว่าจนได้ ผมนึกคิดไปตามที่เจ้าตัวบอก ไอ้ texture แบบพิเศษคงจะเป็นอะไรที่พิสดารแหงๆ พี่ท็อปชอบมีรสนิยมแปลกๆ อยู่เรื่อย
“ทะลึ่งตลอดนะพี่”
“เรื่องธรรมชาติ อยากรู้อยากลองในกิจกรรมพื้นฐานของมนุษย์ไม่ใช่เรื่องน่าอาย” พี่ท็อปหัวเราะเบาๆ ก่อนจะฝังเขี้ยวลงกับต้นขาของผมจากนั้นก็ผุดลุกขึ้นมานั่งขัดสมาธิอยู่ตรงหน้าผม แววตาดูแช่มชื่นที่ป่วนประสาทผมได้
“อยากได้อะไรล่ะครับ”
“พี่บอกเราไปแล้วไงล่ะ” พี่ท็อปหัวเราะแล้วทำท่าเหมือนจะเข้ามากอด แต่มีก้างขวางคออย่างไอ้ทูที่วิ่งมาหาพอดิบพอดี 
“พูดเล่นไปเรื่อย” ไอ้ทูออกมาเล่นที่สวนแสดงว่าแม่กำลังออกมาด้วย ผมมองไปรอบๆ กาย พี่ท็อปคว้าตัวไอ้ทูมาอุ้มไว้บนตัก ไอ้ทูมันลิ้นห้อยปล่อยให้เจ้านายเกาหูเกาพุง ผมเห็นแม่กำลังเดินเข้ามาในสวนพร้อมกับถาดชาร้อนหนึ่งกา
“แม่จะให้ท็อปตัดหญ้าตัดต้นไม้ไหมครับ” พี่ท็อปเอ่ยถามผู้เป็นแม่ แค่ตัดแต่งกิ่งไม้ที่โตบดบังรูปทรงเดิมไม่ใช่งานหนักถึงขนาดต้องใช้เครื่องตัดหญ้าแค่กรรไกรตัดหญ้าก็พอ
“ถ้าขยันทำให้แม่ก็ได้นะ ถ้าไม่อยากเปลืองแรงเดี๋ยวแม่ให้คนงานมาทำให้” แม่เดินเข้ามานั่งบนศาลายกพื้น ผมรับถาดน้ำชามาวางบนโต๊ะกลมตัวเตี้ย
“ท็อปว่างๆ เดี๋ยวค่อยๆ ทำก็ได้” พี่ท็อปปล่อยไอ้ทูลงพื้นก่อนจะขยับมานั่งข้างๆ ผมรินชาคาโมมายด์ให้ตัวเองและอีกสองคนด้วย
“ไม่ใช่ไปใช้สองนะ ไหนว่าจะเอางานมาทำไงจ๊ะ ไอ้ท็อปมันคอยกวนล่ะสิท่า ให้มันตัดต้นไม้ไปคนเดียวนั่นแหละ สองนั่งทำงานสบายๆ ตรงนี้ดีกว่านะ” แม่หันมาพูดกับผม ทำเอาพี่ท็อปตาโตแต่ไม่ได้ตอบโต้
หลังจากนั้นพี่ท็อปก็เดินหายไปทางหลังบ้าน คงไปเตรียมอุปกรณ์มาตัดต้นไม้ ผมเอาสมุดสเก็ตช์มาคิดงานเล่นๆ เปิดไอแพดหาไอเดียไปเรื่อยๆ
“ได้ยินท็อปมันอยากไปบ้านเราเหรอ”
“ครับ พี่ท็อปบอกว่าอยากไปเที่ยวที่บ้านผมกับพวกพี่อิฐ”
“นั่นสิเนอะ ที่นู่นอากาศน่าจะดีนะ แม่อยากลองไปเที่ยวพักผ่อนดูสักครั้ง” ผมฟังคำพูดของแม่แล้วตกใจ ผมมองหน้าอีกฝ่าย เห็นแม่หัวเราะกับท่าทางของผม
“ไม่ต้องซีเรียส แม่แค่อยากลองไปดูที่ทางบ้าง อีกอย่างแม่แค่อยากไปดูลาดเลาที่บ้านเราซะหน่อย” แม่พูดด้วยน้ำเสียงผ่อนคลายเจือหัวเราะให้ได้ยินตอนประโยคสุดท้าย
“ถ้าแม่อยากไปผมไม่ขัดหรอกครับ แต่ที่บ้านผมมันก็บ้านนอกๆ ไม่มีอะไรให้เที่ยวมากครับ แหะๆ” ผมหัวเราะเสียงแห้ง เนื่องจากบ้านเกิดผมไม่ได้อยู่ทางเหนือซะทีเดียว อากาศไม่ได้เย็นสบายอะไรนัก ออกจะร้อนตับแลบซะมากกว่า
“แม่ไม่ได้สนใจเรื่องนั้นหรอกจ้ะ แค่คนที่อยู่กับท็อปเป็นคนที่ดี เป็นคนที่มันรักก็ดีแล้ว แม่แก่แล้วอยากจะไปพักผ่อนเงียบๆ ก็น่าสนใจดี” แม่ตอบเสียงนุ่มก่อนจะยกมือไปลูบไหล่ของผมอย่างห่วงใย
“ถ้ายังไงไปพร้อมๆ กับพวกผมก็ได้นะครับ ช่วงงานลอยกระทงก็ดีเพราะเป็นเทศกาลใหญ่ของจังหวัด” ผมบอก แม่พยักหน้า
“ไม่ได้ลอยกระทงกันมากี่ปีแล้วก็จำไม่ได้ เฮ้อ น่าสนุกๆ ยังไงแม่ขอดูงานช่วงนั้นก่อนแล้วจะบอกสองอีกทีดีกว่า” แม่พูด
นั่นสินะ ผมเองไม่ได้กลับบ้านไปลอยกระทงมาหลายปีแล้ว ที่บ้านผมมักทำกระทงใบตองไปลอยกันที่ท่าน้ำของหมู่บ้าน คนจึงไม่หนาแน่นเท่าในตัวเมือง เป็นบรรยากาศเย็นเล็กน้อย ดวงจันทร์เต็มดวง ไฟสีส้มจากเทียนหรือไม่ก็ตะเกียงที่จุดไว้รอบๆ บ้าน แทบทุกบ้านต้องจุดเทียน มันมีเสน่ห์ไปอีกแบบ
แม่กลับเข้าไปด้านในบ้านเพื่อให้ผมมีสมาธิทำงานต่อ ผมนั่งขีดๆ เขียนๆ อย่างใจลอย สายตาเหลือบไปที่บริเวณริมกำแพงบ้าน พี่ท็อปสวมเสื้อคลุมแขนยาวกำลังยืนเท้าเอวถือกรรไกรตัดกิ่งไม้สีแดงอยู่เบื้องหน้ารั้วต้นชาฮกเกี้ยนที่ตั้งสูงเป็นแท่งเหลี่ยมระดับหัวไหล่ แค่ตัดเล็มให้อยู่ทรงเดิม ท่าทางอารมณ์ดี
“ให้ช่วยไหมพี่” ผมร้องถามไปเป็นมารยาท เพราะกำลังนั่งสบายอยู่ในร่ม พี่ท็อปเหลียวมามองผมก่อนจะไหวไหล่
“สบาย แค่นี้ไม่ต้องถึงมือเมียหรอก นั่งเฉยๆ ไปเหอะ ทำตามที่แม่ผัวบอกนะน้อง” พี่ท็อปตอบกลับมาผมเลยเลิกสนใจอีกฝ่าย รู้สึกหัวร้อนขึ้นมานิดหน่อย ได้ทีก็ไม่เกรงอกเกรงใจ พี่ท็อปหัวเราะมาให้ได้ยินแว่วๆ

จนแล้วจนรอดผมก็คิดงานสำหรับสื่อผสมออกจนได้ พอดีว่าไปสะดุดตากับหินกรวดที่พื้นทางเดินในสวน เลยลองจับมามิกซ์เป็นพื้นขวดแก้วสีเขียว สีมรกต เป็นงานดีไซน์ติดผนัง ผมยังจำงานของรุ่นพี่ที่ทำงานศิลปะสื่อผสมแบบไทย ไอเดียมาจากปะการัง เป็นงานแขวนผนังเหมือนกัน แถมยังเอาไปขายได้ด้วย ผมเก็บแบบร่างใส่สมุดแล้วลุกเดินไปหาพี่ท็อปแก้อาการเมื่อยขบ
“เสร็จแล้วเหรอ”
“เรียบร้อย” ผมตอบก่อนจะเดินไปหยิบกรรไกรตัดหญ้าอันใหญ่ พี่ท็อปมองผมนิ่งก่อนจะหยิบหมวกปีกกว้างในถังอุปกรณ์มาให้ผม
“เดี๋ยวดำ” เจ้าตัวว่า
“คงไม่มากไปกว่านี้หรอกพี่” ผมบอกอย่างไม่ใส่ใจ ผมไม่ค่อยกลัวแดดเท่าไหร่นักแต่ก็หยิบหมวกมาสวมก่อนจะนั่งลงตัดหญ้าไปชิลๆ ไม่เร่งร้อน
“เออ กูมีขนมให้มึงด้วยนะ กินข้าวอาบน้ำเสร็จเดี๋ยวกูเอาให้” เจ้าตัวบอก ผมไม่ได้หันไปมองแค่ขยับตัวตัดหญ้าไปเรื่อยๆ เสียงดังฉับๆ
“อ๋อ อะไรล่ะพี่”
“รางวัลจากกูไง แค่ของหวาน” พี่ท็อปหัวเราะเบาๆ ผมเหลียวไปมองอีกฝ่ายที่ตอนนี้เดินไปตัดกิ่งไม้ที่บริเวณรอบๆ บ่อปลาแล้ว คงเป็นอะไรแปลกๆ ที่พี่ท็อปสรรหามาล่ะมั้ง คงไม่เกี่ยวอะไรกับพวก texture พิเศษที่เจ้าตัวอยากจะลองหรอกนะ ไม่งั้นมีโวย พิสดารเข้าไปทุกที
กว่าจะตัดหญ้าในสวนจนเสร็จเล่นเอาปวดหลังขึ้นมา ถึงพี่ท็อปจะเปลี่ยนมาตัดส่วนที่เหลือก็ตาม หลังจากที่อาบน้ำนอนแช่ในอ่างอยู่นาน แม่เลยเอาแผ่นแปะแก้ปวดมาให้ผมใช้
“เหนื่อยไหม” พี่ท็อปถามระหว่างที่กำลังแปะแผ่นบรรเทาปวดให้ที่ไหล่กับหลัง
“ไม่หรอก แค่ปวดเมื่อยมากกว่า” ผมบอกไปตามจริง แปะเสร็จผมสวมเสื้อแขนสั้นสีขาวตัวบาง พี่ท็อปย่นหน้าก่อนจะบีบไหล่ทั้งสองข้างให้ผม
“อุตส่าห์ชวนมาพักแท้ๆ ยังหางานให้อีก” เจ้าตัวบอกเสียงอ่อย ผมยิ้ม
“แค่นี้เอง เป็นผู้ชายไม่เท่าไหร่หรอก” ผมบอกก่อนจะเดินไปนั่งโซฟาหน้าทีวีจอแบนที่กำลังแสดงภาพรายการตลกอยู่ พี่ท็อปเดินตามมานั่งข้างๆ ก่อนจะเอนตัวมาซบที่ไหล่
“ไหนรางวัล” ผมทวงแบมือไปทางอีกฝ่าย
“หึหึ นึกว่าลืมแล้วซะอีก กำลังจะบิ้วมึงเลยนะ” พี่ท็อปบอกก่อนจะล้วงไปที่กระเป๋ากางเกงหยิบห่อกลมๆ สีแดงส้มออกมาแล้วยื่นให้ผม
“อะไร” ผมรับมาถือไว้
“ของหวานไง” พี่ท็อปเอนตัวออกจากไหล่ของผมแล้วขยับหันหน้ามาทางผม
“จะเล่นอะไรล่ะสิ” ผมพึมพำก่อนจะแกะเปลือกห่อออกมา ด้านในปรากฏเป็นช็อกโกแลต ดูจากทรงแล้วคงสอดไส้เหล้ากับเชอรี่เพราะจมูกได้กลิ่นแอลกอฮอล์ชัดเจน กระตุ้นให้หายจากอาการเซื่องซึม
“พอดีว่าน้ากูเอามาฝากจากเยอรมันน่ะเลยอยากกินพร้อมๆ มึงมากกว่า” เจ้าตัวบอก ผมมองหน้าอีกฝ่ายทันทีก่อนจะมองช็อกโกแลตสอดไส้เชอรี่กับเหล้าในมือ
“คงไม่เมาง่ายๆ นะ กูมีเป็นกล่องเลย” เจ้าตัวบอกก่อนจะเอื้อมไปหยิบกระเป๋าสีดำที่วางหลบมุมอยู่ด้านหลังโซฟาตัวสั้นทางฝั่งขวาของพี่ท็อป มีความเตรียมการด้วยแฮะ ผมมองอีกฝ่ายที่เอากระเป๋าออกมาก่อนจะเปิดซิปหยิบกล่องขนมสีแดง ท่าทางเป็นเค้กมากกว่า เป็น Tipsy cake เค้กผลไม้ราดวิสกี้ Jack deniel’s ซะด้วย
“สงสัยคงได้เมาแน่” ผมพูดขำเมื่อได้กลิ่นเหล้าแล้วคงรสแรงพอสมควร
“พูดเป็นเล่น ถ้าแค่นี้เมาก็อ่อนสุดๆ” พี่ท็อปพูด
“แหม ไม่ใช่ของหวานแล้วล่ะพี่ถ้าจะของแรงมากกว่า” ผมหัวเราะ พี่ท็อปขยับมานั่งใกล้ๆ ผมมากกว่าเดิม ช็อกโกแลตในมือของผมพี่ท็อปหยิบไปก่อนจะคาบไว้
“ลองแบบนี้หน่อย”
“หึหึ เจ้าเล่ห์ตลอด” ผมส่ายหน้าแต่ก็ไม่ปฏิเสธเลยยื่นหน้าไปหาพี่ท็อป สายตาอีกฝ่ายจ้องมาที่ผมไม่กะพริบ ผมขยับไปใกล้จนได้กลิ่นช็อกโกแลตและกลิ่นเหล้าก่อนจะกัดไปที่ก้อนช็อกโกแลต เชอรี่ที่สอดไส้ด้านในดูดเอาเหล้าไปเก็บไว้อย่างชุ่มฉ่ำ ผมตั้งตัวไม่ทันเพราะมันจะหกเลอะเทอะมากกว่า แต่พี่ท็อปไม่ยอมให้ผมผละออกไปง่ายๆ จึงรั้งต้นคอของผมไว้ไม่ต่างจากจูบเท่าไหร่ แต่ผมไม่ได้เปิดปากให้อีกฝ่าย เลยกลายเป็นว่าปากอีกฝ่ายกระแทกเข้ามาโดนฟันของผมไปเต็มๆ
“โอ๊ะ...หลบไวเชียว” พี่ท็อปหัวเราะทางจมูกก่อนจะยื่นไปหยิบทิชชู่มาเช็ดปาก ผมแสบท้องวาบเมื่อกลืนช็อกโกแลตลงคอไป อร่อยแต่แรงพอดู ผมเช็ดปาก
“ลองเค้กสักชิ้นนะ” พี่ท็อปหยิบช้อนพลาสติกในถุงก่อนจะยื่นมาให้ผม เป้าหมายของอีกฝ่ายคือมอมเมาผมสินะ
“พี่คิดอะไรอยู่แน่ๆ” พี่ท็อปเลื่อนกล่องเค้กก้อนกลมๆ คล้ายโดนัทมากกว่า สีน้ำตาลไหม้ฉ่ำไปด้วยวิสกี้
“เปล่านะ แค่อยากลองเทสต์ดูเฉยๆ ว่ามึงชอบไหม... ชอบป่ะ” พี่ท็อปถามระหว่างที่ผมตักเค้กเข้าปาก รสแรงทีเดียว ผมก็ไม่ค่อยถูกโรคกับเหล้านอกเท่าไหร่ ดื่มง่ายแต่เมาไม่รู้ตัวนี่สิ
“อือ ก็อร่อยดีนะ แต่เอามาให้กินก่อนนอนนี่หนักไปหน่อย” ผมพูดแล้วพี่ท็อปหัวเราะ
“เออว่ะ” เจ้าตัวยิ้มก่อนตักเค้กเข้าปากบ้าง ที่จริงผมก็รู้สึกล้านิดหน่อย พอได้ของหวานผสมเหล้าพวกนี้แล้วทำให้นุ่มคอไปอีกรสชาตินึง แต่ก็ถือว่าแรงไปสำหรับวันนี้
“พอดีกว่า ถ้าหมดนี่มึงคงได้หลับแน่ๆ” พี่ท็อปปิดกล่องหลังจากที่คอยจับสังเกตผมอยู่หลายนาที ผมพยักหน้าให้อีกฝ่าย ตอนนี้สามทุ่มครึ่งแล้ว ผมเข้าห้องน้ำไปแปรงฟัน ล้างหน้าให้สดชื่น รู้สึกมึนหัวขึ้นมาเล็กน้อย พอเดินออกมาจากห้องน้ำก็เห็นว่าพี่ท็อปกำลังจัดหมอนบนเตียงอยู่
“มา เดี๋ยวกูกล่อมเอง” พี่ท็อปบอก ผมเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายที่เตียงแล้วขึ้นไปนอนบนเตียงอย่างว่าง่าย
“กู๊ดไนท์นะพี่ ดูท่าของหวานพี่เล่นงานผมนะ” ผมขำเบาๆ ไม่ได้เมามากนักแต่แค่ดักทางอีกฝ่ายไว้ก่อนเผื่อคิดตุกติกอยากทำอะไรขึ้นมาอีก ตอนนี้ผมเมื่อยเนื้อเมื่อยตัวอยู่
“อืม นอนซะเดี๋ยวกูนวดหลังให้” พี่ท็อปบอกก่อนจะจับตัวผมให้หันไปนอนคว่ำ ผมแนบหน้าลงกับหมอนนุ่ม ปล่อยให้พี่ท็อปบีบนวดคลายอาการปวด แม้ว่าจะแปะแผ่นบรรเทาปวดไปแล้วก็ตาม “เด็กน้อยจริงๆ ไว้คราวหน้าพี่จะเทสต์ใหม่นะ” อีกฝ่ายเอ่ยเบาๆ ให้ผมได้ยิน
ค่ำคืนนั้นผมหลับไปทั้งอย่างนั้น พี่ท็อปไม่ได้ทำอะไรนอกจากนวดให้ผม จะว่าไปการที่ผมอยู่บ้านกับพี่ท็อปก็เหมือนการมาเปลี่ยนที่นอนเท่านั้นเอง หลังจากวันนั้นพี่ท็อปก็เตรียมจัดกระเป๋า เตรียมเอกสารไว้สำหรับการฝึกสหกิจในเทอมหน้า
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-02-2018 14:48:43 โดย รินดาwดาริน »

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ DraCo_SLa13

  • I swear that, will love Super Junior forever..........
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2123
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +314/-3
ขอโทษนะคะ หาตอนแรกๆอ่านได้ที่ไหนคะ หรือต้องรอรีไรท์เสร็จอย่างเดียว

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
พี่ท๊อป สอง  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
just having sex not making love

ออฟไลน์ flimflam

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 881
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-4
ต้องหวานกันขนาดนี้้เลยไหมคะ  :hao5:
เขินตาย ฮือ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด