เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียงวิศวะ ตอนพิเศษ 14.11.62 อัปจ้า
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียงวิศวะ ตอนพิเศษ 14.11.62 อัปจ้า  (อ่าน 248926 ครั้ง)

ออฟไลน์ Wtftt

  • โอกาสก็เหมือนไอติมถ้าไม่กินมันก็ละลาย
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 250
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
เป็นแฟนกันล๊าวววววววววววว  :m2:

ออฟไลน์ รินดาwดาริน

  • OnTop&N'Song
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +243/-2
ตอนที่ 18 วันหยุดที่ไม่น่าจดจำ

รุ่งเช้ามาถึง เป็นอีกวันที่พี่ท็อปยังคงมาอาศัยห้องของผม ระหว่างที่ตั้งโต๊ะทานมื้อเช้า พี่ท็อปเอ่ยเรียกชื่อผมอยู่หลายครั้ง แต่ไม่ยักจะพูดอะไรต่อ พอผมถามก็เงียบ คราวนี้ผมเดินไปนั่งตรงหน้าพี่ท็อป

“กูเรียกไปแบบนั้นแหละ จะได้ชินปากไง” พี่ท็อปยิ้มก่อนจะนั่งเท้าคางมองผมอยู่ตามเดิม ผมถอนหายใจวันนี้พี่ท็อปมาแปลกจริงๆ

“อะไรของพี่” ผมบ่นงึมงำก่อนจะหยิบโทรศัพท์พี่ท็อปมาเช็คเล่นๆ เผื่อมีแอบซุกใครที่ไหนไว้

“เอ้า จะได้ชินปากว่านี่ชื่อแฟนกูไง” นิ้วที่กำลังจิ้มหน้าจอชะงักกึก ผมเงยหน้ามองพี่ท็อปไม่คิดว่าจะกล้าปล่อยมุกแบบนี้ พี่ท็อปแค่มองผมเงียบๆ

"หึๆ เข้าใจเล่นนะ” ผมยิ้มก่อนจะวางโทรศัพท์ไว้ตามเดิมก่อนจะนั่งจ้องพี่ท็อปกลับไปบ้าง เหมือนเล่นสงครามประสาทกัน ใครหลบตา หลุดยิ้มก่อนคนนั้นแพ้

“สอง”

“ว่าไงพี่” ผมยิ้มมองพี่ท็อปอย่างรอคำถาม พี่ท็อปแค่พูดด้วยท่าทีปกติเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ

“เป็นเมียกูนะ”

“อุบ ฮ่าๆ พี่พูดอะไรเนี่ย ล้อเล่นหรือไง” ผมหัวเราะ พูดออกมาได้ไม่อายเลยจริงๆ พี่ท็อปทำหน้านิ่งก่อนจะกระดิกนิ้วลงบนโต๊ะไปมาเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่

“ใครจะเอาเรื่องนี้มาล้อเล่นวะ”

“อ้าว ไหนว่าไม่สนใจไงพี่ ผมจำได้นะพี่เคยพูดกับผมว่าไม่สนใจเรื่องแบบนี้” ผมยิ้มแล้วมองพี่ท็อปก่อนจะสำรวจปฏิกิริยา พี่ท็อปกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่นะ ดูไม่ออก

“ก็ใช่ไง กูเคยพูดแบบนั้น ตอนนี้เราเป็นแฟนกันจริงๆ แล้วไง” พี่ท็อปส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม

“โธ่พี่ ตอนนี้เราไม่ควรมาถกกันเรื่องนี้เนี่ย รู้ไปถึงไหนอายไปถึงนั่น” ผมพูด

“ถ้ากูเฟิร์มเมื่อไหร่ มึงคิดว่าจะรอดเหรอวะ” พี่ท็อปทำหน้าเคร่ง มองผมเหมือนจะลวนลามทางสายตาผ่านร่มผ้าหนาๆ ได้

“ไม่รู้สิ ยังไม่ถึงก็อย่าเพิ่งฟันธงสิครับ” ผมแกล้งพูดไปแบบนั้น จริงๆ ไม่เห็นต้องมาซีเรียสเลยนะ เรื่องผัวๆ เมียๆ เนี่ย สุดท้ายก็วินๆ ทั้งสองฝ่าย พี่ท็อปเปิดประเด็นเรื่องนี้มาแสดงว่ากำลังคิดเรื่องนี้อยู่สินะ เห็นทีต้องระวังตัวซะหน่อยแล้ว

“โอเคๆ ถึงกูไม่ค่อยว่างก็เถอะ แต่อีกเดี๋ยวคงฟิต ถ้าร่างโปรเจ็คเสร็จคงหายใจได้ทั่วท้องหน่อย จะได้ให้เวลาเมียเต็มที่หน่อย เดี๋ยวมันน้อยใจไปซะก่อน”

“พี่นี่เหมือนเดิมเลยนะ ชอบโมเมจริงๆ ผมไม่เถียงพี่หรอก มีความสุขก็ทำไปเอาที่สบายใจละกันเฮีย” ผมไหวไหล่เขาว่ากันว่าถ้ามีครั้งแรกก็ต้องมีครั้งต่อไป ประโยคนี้มันเข้ากับผมจริงๆ อะไรๆ มันต้องมีครั้งที่สองสินะ

“อือ ดีมากไอ้น้อง...เออ พรุ่งนี้วันเสาร์ ไปเที่ยวกันไหมวะ”อีกฝ่ายเสนอขึ้นมา

“ที่ไหนล่ะพี่”

“ใกล้ๆ นี่แหละ ไปน้ำตกไหม”

“อือ ก็น่าสนนะพี่ ไปปิกนิกกางเต็นท์ก็ดีนะพี่ ตอนนี้ที่อุทยานอากาศน่าจะดี เย็นๆ นิดหน่อย” ผมบอก อุทยานเขตป่าสงวนเป็นป่าไม้ค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ แถมมีจุดชมวิวด้วย คงเป็นอีกทริปที่น่าสนุก

“เอาดิ ไปค้างสักคืนก็แล้วกัน”

“โอเค ไปกันชิลๆ คงไม่ต้องเตรียมอะไรมากหรอก แค่เสื้อผ้าไม่กี่ชุดเอง” ผมคำนวณในใจ ไปพักคืนเดียว สองวันคงแค่สามสี่ชุดก็พอ ที่อุทยานมีอาหารขายให้นักท่องเที่ยวอยู่แล้วไม่ลำบากอะไร คงมีที่เงียบให้นั่งสวีทกันบ้างล่ะ เพราะไม่ใช่เทศกาลท่องเที่ยวคนคงไม่เยอะ นึกถึงลำธารใสๆ แล้วอยากกระโดดเล่นน้ำเลยแฮะ บรรยากาศชิลตอนกลางคืนกับกองไฟ เบียร์เย็นๆ แถมมากับแฟนอีก

“คิดอะไรลามกอีกล่ะสิมึง ในเต็นท์มึงจะไม่เว้นเลยเหรอ” พี่ท็อปเลิกคิ้วมองด้วยสีหน้าเอือมระอา ทำไมล่ะเซ็กซ์เสื่อมไปแล้วพร้อมๆ กับซิกซ์แพ็กสินะ

“ก็แค่คิดว่ามากับแฟนคงสนุกแน่นอน”

“เออดิ มาสองก็ต้องสนุกดิ มึงนี่ชอบทะลึ่งไม่เว้นช่วงบ้างเลย” พี่ท็อปส่ายหน้าก่อนจะบิดขี้เกียจสองสามที

“หรือว่าเราชวนคนอื่นไปดีไหมพี่”

“ใครล่ะ เพื่อนมึงเหรอ มันจะไปเป็นก.ข.ค.เราทำไม”

“เผื่ออยากเฮฮามากกว่าเดิมไงพี่ ไม่ต้องเอามันไปนั่นแหละดีแล้ว เดี๋ยวมันอิจฉาตาร้อนคนมีแฟนแย่เลย” ผมหัวเราะไปพลางเมื่อนึกถึงไอ้โก๋กับไอ้ผิง ป่านนี้แล้วไม่รู้จักจีบใครเป็นเรื่องเป็นราว เดี๋ยวขึ้นปีสี่แล้วจะหมดความสดใหม่นะเพื่อน

“ถึงมึงชวนพวกมัน ก็คงไปกันหรอก” พี่ท็อปว่า ผมพยักหน้าเห็นด้วย อีกฝ่ายลุกขึ้นยืน

“กลับห้องแล้วเหรอ” ผมถาม

“อือ เตรียมตัวไปพรุ่งนี้ไง กี่โมงดี เช้าๆ หน่อยก็ได้นะไม่อยากไปถึงสาย”เจ้าตัวบอก น้ำเสียงเป็นงานเป็นการ

“ตามนั้นเลยสักตีห้าก็ได้นะพี่ สองชั่วโมงก็ถึงเอาลูกรักผมไปเหรอ” หมายถึง เคเอสอาร์ที่จอดแช่ไว้หลายวันไม่ได้เอาออกมาใช้เลย

พี่ท็อปทำท่าคิด“ไปเองก็ดีจะได้ไม่ต้องคอยหารถตอนกลับ โอเคตามนั้นแล้วกัน ไปก่อนนะ” พี่ท็อปยิ้มให้ผมแล้วเดินออกจากห้องผมไปปิดประตูเบาๆ จากนั้นผมส่งข้อความหาไอ้โก๋กับไอ้ผิงว่าวันเสาร์อาทิตย์จะไม่อยู่เผื่อว่ามันจะชวนไปทำงานที่คณะ ไอ้โก๋แค่ส่งข้อความตอบกลับกวนๆ มาเพื่อแสดงตัวว่ารับรู้แล้ว ส่วนไอ้ผิงมันโทรมาหาผมแทน

“ว่าไง อยากไปด้วยเหรอมึง” ผมถามมันขำๆ ไอ้ผิงส่งเสียงหึหะออกมาแสดงความหมั่นไส้เต็มที่

[กูจะไปทำไมให้เสียสายตามองพวกมึงจิ๊จ๊ะกันวะ เออ ไปถึงนั่นเอาของฝากมาด้วยดิ ได้ข่าวว่ามี]

“นี่โทรมาเพื่อทวงของฝากเหรอวะเนี่ย เจริญจริงมึง”ผมส่ายหน้า 

[เออ แค่นี้ทำงก เอาสร้อยข้อมือให้กูหน่อย] ไอ้ผิงพูด

“โอเคๆ จัดให้ ไว้คิดเงินทีหลัง อยากได้แบบไหนวะ”เคยได้ยินมาว่าสร้อยข้อมือแฮนด์เมค

[อืม...เอาลายธรรมดา กูจะมาเขียนชื่อเองเว้ย]

“ฮั่นแน่ มึงมีแฟนแล้วเหรอ” ผมแปลกใจ ปกติผู้ชายโสดแบบมันไม่น่าจะอยากได้สร้อยข้อมืออะไรแบบนี้หรอก มันไม่ค่อยชอบใส่เครื่องประดับยกเว้นจิวที่หูมันเท่านั้นแหละ

[พ่องสิ ไม่ใช่ กูจะเอาไปเป็นของขวัญน้องสายกูเว้ย เอามาสี่อันนะ] มันโวยวายกลับมา ทำให้ผมสนุกขึ้นมา

“เออๆ แซวไม่ได้เลยนะ สี่อันเอาไปเผื่อใครอีกอันวะ สายมึงมีสามคนนี่หว่า” ผมแกล้งแซวมันต่อไป แอบหัวเราะในใจที่มันหงุดหงิด

[ไอ้นี่ ขี้เสือกนะมึง]

“ครับๆ ได้เลยเพื่อน ไปกินรังแตนมาจากไหนวะ กูคิดเพิ่มแน่ค่าขนส่ง” ผมหัวเราะปิดท้ายก่อนจะรีบชิ่งตัดสายมันก่อนที่จะได้ยินเสียงก่นด่าจากมันให้ระคายหู ผมเอากระเป๋าเป้ขนาดธรรมดาออกมาใส่เสื้อผ้ากับของจิปาถะไม่กี่อย่าง คงเอาสมุดภาพไปไม่ได้เกะกะ เดี๋ยวเผื่อเปียกขึ้นมาก็แย่เลยเอาล่ะ ถือว่าเป็นทริปแรกฉลองตำแหน่งแฟนของเราก็แล้วกัน

รุ่งขึ้นของอีกวัน ณ เวลา ตีห้าเป๊ะ พี่ท็อปมาเคาะประตูห้องผมแบบไม่พลาดสักนาทีเดียว ผมคว้าเป้ขึ้นสะพายหลังแล้วออกจากห้องไปหาพี่ท็อปที่กอดอกรอด้วยสีหน้าแช่มชื่น

“ไปโลดเลยที่รัก” พี่ท็อปพูดแข็งๆ แล้วเข้ามากอดคอผมลงบันไดไปด้วย

“อารมณ์ดีเหรอพี่” ผมถาม ดูจากสรรพนามที่กล้าใช้เรียกนี่บ่งบอกอารมณ์พี่ท็อปได้ดี

“มากอยู่ ใครจะไม่อารมณ์ดีล่ะหืม” พี่ท็อปหันมาตอบทำหน้าตาสดใส

“ปกติไม่ใช่แบบนี้นี่”

“ก็นี่ไม่ปกติ นี่เป็นแฟนแล้วนี่ไอ้สอง ทำไมถามมากจังล่ะ” พี่ท็อปมองหน้าผมแล้วย่นคิ้วกวนๆ ผมแค่ตามพี่ท็อปไม่ทัน ทำตัวน่ารักอีกแล้ว“น้ำมันเต็มถังนะสอง ไม่ใช่ต้องจูงหาปั๊มนะ ไม่งั้นกูโกรธ” พี่ท็อปพูดแล้วเข้ามามองที่หน้าปัด

“เตรียมพร้อมอยู่แล้วน่าพี่” ผมบอกแล้วยื่นหมวกกันน็อกให้ก่อนจะสตาร์ทรถเตรียมมุ่งสู่อุทยานแห่งชาติป่าสงวน พี่ท็อปขึ้นซ้อนได้ผมก็ออกรถทันที

เนื่องจากผ่านถนนสายหลักของตัวเมืองมาแล้ว ใช้เวลาประมาณยี่สิบนาทีก็เข้าสู่เขตนอกเมืองที่รถใหญ่ไม่ค่อยสัญจร มีป่าไม้สลับกับบ้านเรือนเป็นครั้งคราว พี่ท็อปเกาะเอวผมไว้เพราะผมเร่งความเร็วขึ้นอีก ดูเหมือนฝนจะตก ฟ้าครึ้มๆ ยิ่งทำให้บรรยากาศมืดม่นไปอีกแม้จะมีแสงยามเช้าบ้างแล้วก็ตาม

“ฝนจะตกว่ะสอง” พี่ท็อปตะโกนมาจากด้านหลัง

“หาศาลาใกล้ๆ ก่อนดีกว่า” ผมบอก ท่าไม่ดีเลย ฝนจะตกเข้าจริงๆ ด้วย ศาลาริมทางก็ไม่มีเลย ถนนเส้นนี้ช่างเวิ้งว้างอะไรแบบนี้

ผ่านไปประมาณสิบห้านาทีได้ฝนเริ่มลงเม็ด โชคดีที่เจอศาลาเก่าๆ ข้างทางข้างหน้าพอดี ผมจอดรอให้ฝนหยุดตก อีกสิบนาทีจะหกโมงเช้าแล้ว คงไปถึงอุทยานประมาณเจ็ดโมงเศษๆ

“ซวยจริงๆ มาตกอะไรวันนี้ก็ไม่รู้” พี่ท็อปปัดๆ ฝุ่นก่อนจะนั่งลงที่ระเบียงไม้ ผมเดินไปนั่งข้างๆ

“หิวไหมพี่ ผมเอาแซนด์วิชติดมา” ผมบอกแล้วค้นกระเป๋าก่อนจะยื่นให้พี่ท็อปที่รับไปเงียบๆ

“มึงเมื่อยไหมวะ เปลี่ยนให้กูขี่แทนก็ได้นะ” พี่ท็อปพูดก่อนจะเหลียวมองหน้าผม

“ยังโอเคอยู่ ไม่เป็นไรหรอกครับ แต่ฝนตกก็ดีเหมือนกันนะพี่ ไปถึงคงได้กลิ่นดินระอุแน่เลย อากาศคงแจ่มใสขึ้น ฟ้าหลังฝนมันสวยนะพี่” ผมบอก พี่ท็อปยิ้มก่อนจะมองเม็ดฝนที่เทลงมาเหมือนอัดอั้น

“อือ จะว่าไปก็คิดถูกนะที่มาเที่ยวพักผ่อนแบบนี้ กูเองก็สบายใจขึ้น มีเวลาอยู่กับมึงด้วยไง บอกแล้วไงว่าจะชดเชยให้” พี่ท็อปหันมายิ้มกับผม ผมแอบเห็นว่าพี่ท็อปหูแดงขึ้นมา แสดงว่าอาย

“แค่นี้ก็ดีแล้ว จริงๆ นะ” ผมบอกแล้วเอนตัวพิงหลังพี่ท็อปมองฝนตกด้านนอกศาลา คนที่มาเห็นคงแปลกใจพิลึกเห็นผู้ชายสองคนนั่งพิงกัน หวั่นๆ ฟ้าผ่าเหมือนกันนะ แถวนี้เป็นเขตหมู่บ้านชนบทเลยได้ยินเสียงสัตว์ร้องวี้ดๆ รับฝนตก 

ผมกับพี่ท็อปติดฝนด้วยกันอยู่หลายนาที ประมาณยี่สิบนาทีได้กว่าฝนจะหยุดตก ท้องฟ้าเริ่มเปิด แดดอ่อนๆ ชวนให้สดชื่น ผมเกรงว่าจะนอนเต็นท์ไม่ได้เพราะกลัวว่าฝนจะเทลงมาอีก ต้องไปถามเจ้าหน้าที่ที่นั่น จากนั้นก็เริ่มออกเดินทางอีกครั้ง พี่ท็อปฟังพยากรณ์อากาศบอกว่ามีฝนนิดหน่อย ได้แต่หวังว่าฝนจะไม่ใช่ตัวทำลายความโรแมนติกของทริปนี้ไปซะหมด เพราะไปพักโฮมสเตย์คืนเดียวไม่คุ้มเลย ถึงโฮมสเตย์จะสไตล์ธรรมชาติก็เถอะ

ในที่สุดก็มาถึงอุทยานแห่งชาติได้ซะที เลทไปประมาณครึ่งชั่วโมงจากที่วางแผนเอาไว้ เพราะผมบิดมาเต็มที่ด้วย พี่ท็อปเข้าไปถามที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวเพื่อติดต่อเรื่องกางเต็นท์ เจ้าหน้าที่ประเมินสถานการณ์แล้วว่าสามารถกางเต็นท์ได้ เพราะก่อนมาที่นี่ฝนไม่ได้ตกแค่ครึ้มๆ นิดหน่อยเท่านั้น ผมกับพี่ท็อปเดินไปดูบริเวณสำหรับตั้งแค้มป์ คนไม่เยอะตามคาด บริเวณนี้มีแค่สามสี่แค้มป์เอง ผมเลือกที่ห่างๆ จากผู้คนเพื่อความเป็นส่วนตัว

“มาซะไกลชาวบ้านเลยนะ คิดจะทำอะไร” พี่ท็อปพูดยิ้มๆ แต่ไม่ได้ว่าอะไร นอกจากมาช่วยผมกางเต็นท์จนเสร็จเรียบร้อย จากนั้นก็จัดการเอาเป้ไปไว้ในเต็นท์

“ไปเดินดูแถวน้ำตกป่ะ มีหลายจุดเลย น่าเล่นทั้งนั้น” พี่ท็อปชวนขณะที่กำลังถอดกางเกงยีนอยู่เพื่อเปลี่ยนเป็นกางเกงขาสั้น ผมหยิบแผนที่มาดู อุทยานที่นี่มีแอ่งน้ำตกหลายที่ ยิ่งชั้นบนๆ เขาว่ายิ่งสวยและทิวทัศน์ร่มรื่นอุดมสมบูรณ์มาก

“ไปซื้อของไปปิกนิกก็ดีนะ เผื่อหิว” ผมหยิบกระเป๋าย่ามมาสะพายข้างก่อนจะเดินไปที่โซนขายอาหาร ร้านค้าเปิดน้อยกว่าปกติ ถึงจะเป็นช่วงวันหยุดก็ตาม อาหารสไตล์เดิมไก่ยาง ส้มตำ ยำรวมมิตร น้ำแข็งกระติกน้อยกับน้ำอัดลม ส่วนแอลกอฮอล์เอาเข้าไปในลานน้ำตกไม่ได้

ผมกับพี่ท็อปเลือกเดินขึ้นไปชั้นสูงๆ หน่อย แอ่งน้ำตกตรงที่ผมเลือกค่อนข้างผาดโผน ด้านบนมีคนกระโดดตู้มลงด้วยและมีลานหินเยอะให้ได้นั่งปิกนิก ผมเลือกที่ใต้ร่มไม้ ติดกับลำธารน้ำตกนิ่งๆ ห่างจากแหล่งน้ำตก

“น้ำตกชั้นนี้สวยสุด คนเยอะพอตัวเลยว่ะ” พี่ท็อปชะเง้อมองไปที่แหล่งน้ำตกซู่ใหญ่ตรงนั้นแล้วเบ้หน้า ก่อนจะหันมาโซ้ยส้มตำอย่างเดียว

“แต่ที่เงียบๆ ก็มีนะพี่” ผมบอกแล้วมองไปรอบๆ บางแอ่งเป็นน้ำนิ่งคนไม่ค่อยเล่น โขดหินเยอะลับตาคนได้

“หึหึ คิดจริงๆ เหรอไง”

“ล้อเล่นครับ ใครจะทำ ผมให้เกียรติแฟนนะ” ผมพูดแล้วหัวเราะเบาๆ ที่สาธารณะแบบนี้ใครทำลงก็หน้ามืดไปหน่อย
พี่ท็อปพยักหน้า“พูดได้ดี”

ผมหยิบโทรศัพท์มาถ่ายรูปวิวสองสามรูปเก็บไว้แล้วไปนั่งเอาขาจุ่มน้ำเย็นๆ เล่นทางด้านข้าง รอให้คนน้อยกว่านี้ค่อยไปกระโดดเล่น

“มึงเคยมาที่นี่เหรอวะ เห็นคุ้นทางจัง” พี่ท็อปถามผมจากเสื่อปิกนิก

“ไม่เคยมาที่น้ำตกหรอก แต่มาแถวสวนอุทยาน ทัศนศึกษาน่ะพี่” ผมบอกไป ไม่มีอะไรน่าสนใจให้จดจำเท่าไหร่

“เหรอวะ ไม่เห็นพูดถึงบ้าง แสดงว่ามีอะไรหรือเปล่าวะ”อีกฝ่ายเดินมานั่งข้างๆ ผมทันทีก่อนจะจับจ้องผมไม่คาดสายตา ผมหัวเราะ

“ไม่ใช่หรอกพี่ แค่ช่วงนั้นเบื่อๆ เซ็งๆ”

“อือฮึ แล้วไงวะ”

“ก็ไม่มีอะไรหรอก ช่วงนั้นเพิ่งย้ายมาใหม่ๆ แล้วมาที่นี่เลยเซ็งๆ ไม่น่าจดจำเท่าไหร่ จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าอุทยานชื่ออะไร” ผมยิ้มบอก พี่ท็อปดูไม่เชื่อที่ผมพูด ช่วงนั้นตอนม.6 หลังจากย้ายโรงเรียนมาแล้ว ผมไม่ค่อยได้จริงจังกับใคร เป็นจุดเริ่มต้นที่ผมทำตัวเสเพลไปหน่อย ที่อุทยานแห่งนี้ไม่ได้มีความหลังอะไรกับใคร แค่เป็นสถานที่ที่ทำให้ผมเซ็ง เบื่อหน่ายกับชีวิต ช่วงนั้นผมไม่ได้คุยกับใครจริงจัง

“ทำไมถึงเป็นคนขี้เบื่อวะ”เจ้าตัวถามแปลกๆ

“ไม่รู้สิพี่ บางทีมันไม่มีอะไรน่าสนใจ”

“คนไม่น่าสนใจ มากกว่ามั้ง” พี่ท็อปตบไหล่ผมสองสามทีแล้วเหมือนเป็นกูรูปรึกษาปัญหาชีวิต ผมคิดตามคำของพี่ท็อป

“ไม่รู้สิพี่ อาจจะใช่ เพราะโรงเรียนไม่ค่อยน่าสนใจ”

“ไม่มีเด็กหรือไง”

“ฮ่าๆ ตอนนั้นยังไม่มีไงครับ พอมาพูดเรื่องเก่าๆ แล้วรู้สึกแย่ๆ ยังไงไม่รู้ เพิ่งรู้ตัวว่าผมนี่ไม่เอาไหนเลย” ผมถอนหายใจมองน้ำกระเพื่อมไปตามแรงแกว่งขาของพี่ท็อป

“เอาไว้เตือนสติตัวเองไงวะ ไม่ใช่ให้เก็บเอามาทำให้ตัวเองแย่ลง แต่ระดับไอ้สองนี่น่าจะโปรนะ ปลงได้นี่” พี่ท็อปพูดแล้วยื่นหน้ามาเหมือนจะจูบ ผมสะดุ้งเพราะตกใจไม่คิดว่าพี่ท็อปจะกล้า แต่อีกฝ่ายแค่หัวเราะเพราะไม่ได้จะจูบแค่ยีหัวผมเล่นจนผมเผ้ายุ่งไปหมด “ถ้ากูกล้ากว่านี้ก็ไม่แน่” พี่ท็อปยิ้มกว้างแล้วสอดส่องเด็กๆ ที่กำลังเล่นน้ำอยู่ไม่ไกล ผมแอบใจกระตุกไปนิดหน่อย แสดงว่าเจ้าตัวนี่มีอิทธิพลต่อหัวใจผมจริงๆ

“ผมคิดถูกแล้วล่ะ” ผมพูดออกมาขณะที่มองพี่ท็อปยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ซึ่งปกติอีกฝ่ายไม่ค่อยจะยิ้มกว้างๆ เท่าไหร่นัก เพราะเจ้าตัวเป็นคนที่ดูขรึมนิดๆ บางทีก็ออกกวนหน่อยๆ ไปตามอารมณ์

“อะไรเหรอ” พี่ท็อปหันมาหาผมแล้วทำหน้างงๆ ผมยื่นหน้าเข้าไปกระซิบใกล้ๆ หู

“คิดถูกที่ให้โอกาสพี่ได้เป็นแฟนผมไง” ผมเลยใช้สายตาอันว่องไวก่อนจะเข้าไปหอมแก้มพี่ท็อปฟอดเล็กเพราะรีบไปหน่อย อีกฝ่ายเหลือบมองผมนิ่งๆ ก่อนจะยิ้มมุมปากแล้วหัวเราะเบาๆ เหมือนคนเจ้าเล่ห์เพทุบาย ผมไม่ได้มองพี่ท็อปเพราะเขิน ปกติถ้าให้หอมแก้มก็ไม่เห็นจะเขินเท่าวันนี้เลย อาจเป็นเพราะความรู้สึกที่แท้จริงของผมล่ะมั้ง

“หึหึ แบบนี้แสดงว่าหลงพี่แล้วสิ กล้าใช่เล่นนะเนี่ย ไหนๆ ดูสิ มีใครอยู่แถวนี้ไหมวะ” พี่ท็อปหันซ้ายหันขวาก่อนจะชี้มือไปที่เด็กชายประมาณห้าขวบที่นั่งเล่นอยู่กับแม่สองคน คนแม่หันหลังให้พวกผม แต่เด็กน้อยคนนั้นกำลังมองมาทางนี้อยู่

“โอ๊ะ นู่นเว้ยๆ มึงทำอนาจารต่อหน้าเด็กแล้ว” เจ้าตัวหัวเราะอย่างสบายอารมณ์ ก่อนจะโบกมือให้น้องคนนั้น ที่แค่ยิ้มแฮ่ๆ เล่นน้ำต่อไปกับคุณแม่

“ตลกเหอะ เด็กมันจะไปรู้เรื่องอะไรกัน” ผมรู้สึกหมั่นไส้พี่ท็อปขึ้นมาทุกที ก่อนจะคิดแผนการผลักอีกฝ่ายไม่ทันได้ตั้งตัวลงไปกองในน้ำทั้งตัว

“อะไรวะ ลอบกัดนี่หว่า ไอ้เวร” พี่ท็อปโวยวายเพราะเปียกทั้งตัว ก่อนจะลุกขึ้นยืนลูบหน้าลูบผมที่เปียกน้ำ ผมแค่ยืนมองอย่างสุขใจจากด้านบนแล้วเดินไปนั่งที่เสื่อ ขืนอยู่แถวนั้นมีหวังโดนลากลงน้ำไปด้วยแน่ๆ ที่สำคัญน้ำเย็นด้วยผมหยิบน้ำโค้กมาดื่มมองเจ้าตัวที่ขึ้นมาบนโขดหินเปียกซ่ก เสียดายหุ่นไม่ฟิตเพราะใส่เสื้อขาวเปียกน้ำไปก็ไม่เซ็กซี่เท่าไหร่“มึงนะมึง เปียกหมด เชี่ย” พี่ท็อปบ่นแต่ยิ้มแป้นกอดตัวเองเดินมานั่งตรงหน้าผม ก่อนจะทำปากยื่นบุ้ยใบ้ไปที่อกไก่ย่าง

“เป็นง่อยเหรอครับ”

“ป้อนหน่อยดิไม่ได้เหรอไงฮะ นี่แฟนนะ ไม่ใช่ใครที่ไหน” พี่ท็อปยิ้มไปด้วยก่อนจะชี้ไปที่ไก่ย่างต่อ พยายามทำตัวแอ๊บแบ๊วหรือไง ผมส่ายหน้าก่อนจะฉีกเนื้อไก่แล้วยื่นใส่ปากให้พี่ท็อปที่ทำหน้าพอใจ

“อะ...ไม่อายคนจริงๆ” ผมว่าแล้วหยิบขนมอย่างอื่นกินแทน พี่ท็อปสะบัดหัวใส่ผม น้ำกระเซ็นใส่จนต้องเอนหนี

“มึงนั่นแหละหน้าทนกว่ากูอีก”

“น้ำเย็นดีใช่ไหมพี่” ผมล้วงเข้าไปในย่ามสะพายเอาผ้าขนหนูผืนเล็กให้พี่ท็อป

“เย็นดีนะ เมื่อไหร่มึงจะโดดน้ำเนี่ย กูรอ...ล้วงอยู่” ฟังจบผมแทบสำลักส้มตำไม่คิดว่าพี่ท็อปจะมีความคิดแบบนี้ ตั้งแต่กลับมาคุยกันผมชักมองพี่ท็อปต่างจากเดิมจากที่เห็นว่าพี่ท็อปเป็นคนเจนจัดพอสมควร ไอ้เรื่องแบบนี้ผมน่าจะชินไปแล้วไม่ใช่หรือไง แต่มาตอนนี้มันต่างกันออกไป ผมแค่มองพี่ท็อปเป็นพี่ท็อปคนธรรมดา

“โห พี่นี่วางแผนมาแล้วใช่ไหม”

“หึหึ ยังไงก็โดนแน่มึง ไม่ได้จับนาน” พี่ท็อปยิ้มมุมปากทำท่ามองด้วยสายตาหื่นกามเล็กน้อย

“พอเลยพี่ ลามกไปเรื่อยเลย” ผมรีบหยุดพี่ท็อป ไม่รู้พูดเล่นพูดจริง

“มึงเริ่มก่อนนะ บิ้วด์กูซะ...” พี่ท็อปพึมพำให้ผมได้ยิน

หลังจากผมกับพี่ท็อปก็ชวนไปกระโดดน้ำ จากหน้าผาที่ไม่ชันมากนัก ผมปีนไปที่หน้าผาน้ำตก น้ำด้านล่างน่าจะลึกอยู่ โดดตู้มลงไปหัวคงไม่น็อกพื้น

“สูงว่ะ มึงกล้าเหรอ” พี่ท็อปยื่นหน้าลงไปมอง พวกวัยรุ่นด้านล่างส่งเสียงเชียร์ไปตามประสา

“ป๊อดนี่หว่า แฟนใครวะ” ผมแกล้งแหย่เล่น ไม่คิดว่าพี่ท็อปจะกลัว กะว่าจะให้โดดด้วยกันซะหน่อย

“มันดูหวาดเสียวนะเว้ย” พี่ท็อปถอยไปด้านหลังแต่ผมขยับไปด้านหน้ากระแสน้ำตกไหลลงด้านล่างดังซู่ห่าใหญ่ น้ำแรงและลึกด้วย

“ไปแล้วนะพี่ ตามมาทีหลังแล้วกันนะ” ผมบอกพร้อมถอดเสื้อออกแล้วโยนไปฝากพี่ท็อปก่อนจะทุ่มตัวกระโดดลงไปด้านล่าง วูบเดียวก็ลงสู่ผิวน้ำตูมใหญ่น้ำกระเซ็นเป็นวงกว้าง ผมโผล่มาเหนือผิวน้ำเย็นๆ ทำให้หัวโล่งได้ สดชื่นเย็นเฉียบ ผมเงยหน้ามองพี่ท็อปที่มองลงมาก่อนจะโยนเสื้อลงมาให้ผม ผมเลยโยนไปพาดโขดหินไว้ก่อน เจ้าตัวทำท่าจะกระโดดลงมา ผมเลยว่ายออกห่างรอดู ไม่ทันไรพี่ท็อปก็กระโดดลงมาก่อนจะโผล่มาทางผม

“แม่ง โคตรหวาดเสียว น้ำลึกว่ะ” พี่ท็อปหัวเราะ เข้ามากอดคอผมไปด้วย

“นึกว่าไม่โดดแล้วซะอีก”ผมพูด

“ใครว่าล่ะ ถ้าไม่โดดลงมาก็อดล้วงพอดี....” พี่ท็อปยิ้มเจ้าเล่ห์ ผมขำพรืด ไม่คิดว่าเจ้าตัวจะทำจริงๆ มารู้ตัวอีกที่พี่ท็อปก็มาตะปบที่กางเกงผมเป็นที่เรียบร้อย ผมมองไปที่วัยรุ่นบริเวณนี้ ไม่มีใครสนใจเพราะเล่นน้ำกันอย่างเดียว

“บ้าเหรอพี่” ผมบอก ใจหวิวๆ ไปด้วย พี่ท็อปยิ้มก่อนจะเข้ามากอดผมไว้หลวมๆ

“ล้อเล่น กูไม่หื่นขนาดนั้นหรอก” พี่ท็อปหัวเราะ ผมถอนหายใจเล่นอะไรก็ไม่รู้ใจหายใจคว่ำหมด หลังจากที่ได้แช่ตัวจนหนังย่นแล้วก็ขึ้นจากน้ำมาใส่เสื้อ

“โชว์เหรอ หุ่นก็งั้นๆ” พี่ท็อปตามมาจากด้านหลังพูดขึ้นแล้วเบ้ปาก

“ใครจะหุ่นแซบเท่าพี่ล่ะ” ผมส่ายหน้า

“แน่นอน คอยดูเถอะ... ไม่รอดแน่มึง” พี่ท็อปไม่วายแอบตีก้นผมเล่นๆ

“ตอนค่ำๆ ก่อกองไฟหน้าเต็นท์ดีไหม เจ้าหน้าที่บอกมีฟืนขาย” พี่ท็อปเอ่ยปากชวน ผมหวังไว้แบบนั้นอยู่แล้ว ได้ดริ้งซะที ไม่ได้ดื่มเบียร์มานานแล้ว

“โอเคเลยพี่ ว่าแต่เราจะทำอะไรต่อดีล่ะ ว่างๆ” ผมถาม หลังจากที่เก็บของเสร็จก็เดินลงไปตามขั้นบันไดไม้ลงไปด้านล่าง พี่ท็อปทำหน้าคิด

“อืม...ถ้าไม่อยากเดินดูอุทยานก็นอนเล่นในเต็นท์ก็ได้นะ จะได้พักเอาแรง”

“ต่อจากนี้เราต้องใช้แรงด้วยเหรอเนี่ย” ผมหัวเราะเบาๆ พี่ท็อปขำหึ

“มึงไม่ต้องใช้หรอก กูนี่ต่างหาก” พี่ท็อปสวนกลับ แบบนี้ยังคิดว่าผมเป็นเมียพี่อยู่สินะ พี่ท็อปชอบโมเมจริงๆ

“ฮ่าๆ เป็นแบบนี้อยู่เรื่อยเลย”

ผมกับพี่ท็อปกลับมาที่เต็นท์ ล้างเนื้อล้างตัวเปลี่ยนชุดที่ห้องน้ำเสร็จก็เข้ามานอนเล่นเปิดเพลงเบาๆ คลอไปด้วย ชวนเคลิ้มหลับจริงๆ

“ไม่กอดกูเหรอ” พี่ท็อปถามงึมงำ

“ไม่หนาวซะหน่อย” ผมบอกก่อนจะขยับตัวออกห่างแต่อีกฝ่ายใช้ขาทับไว้

“อยากได้ความอบอุ่นไง มึงนี่ไม่รู้เรื่องเอาซะเลย อุตส่าห์ให้กอด” พี่ท็อปลืมตามองผมดุๆ ผมเลยต้องขยับเข้าไปนอนในอ้อมแขนของอีกฝ่ายโดยปริยายให้อารมณ์เหมือนผัวกกเมียเลยแฮะ ไม่ชอบสถานะพวกนี้เท่าไหร่แต่สำหรับกอดน่ะคนละเรื่องเลย

“นอนตรงนี้สบายดีเหมือนกันเนอะ ได้กลิ่นธรรมชาติดี” ผมพึมพำบอก

“เหรอวะ ไม่เห็นได้กลิ่นเลย หอมแต่กลิ่นมึงเนี่ย” พี่ท็อปพูดทั้งๆ ที่หลับตา ผมยิ้มออกมา พักนี้แม่งเสี่ยวดีจริงๆ ขยันหยอดซะเหลือเกิน

“ฮ่าๆ พูดแบบนี้ก็เป็น” ผมหัวเราะเบาๆ

“อือ เสี่ยวเหมือนมึงไง เขินล่ะซี่ หึหึ ก็แบบนี้แหละเมียกู”เจ้าตัวยิ้มก่อนจะขยับมากอดแน่นจนรู้สึกอึดอัด

“โห ได้ทีพูดบ่อยซะเหลือเกิน วู้” ผมผลักอีกฝ่ายออกก่อนจะหันไปนอนตะแคงอีกข้าง ไม่อยากเห็นหน้า

“อยากให้กอดจากด้านหลังเหรอ” พี่ท็อปเข้ามากอดต่อ จริงๆ ผมอึดอัดมากกว่า แกล้งกันนี่หว่า โธ่ ผมจั๊กจี้ขึ้นมาทันทีก่อนจะหัวเราะ

“จั๊กจี้ อย่ามาใกล้ดิ” ผมปัดแขนพี่ท็อปที่เข้ามาโอบแถวเอว เหมือนยิ่งพูดยิ่งยุมากกว่า พี่ท็อปขยับมาใกล้ๆ ต่อแล้วกอดแน่น

“เฮ้ย ปล่อยเลย จะแทงผมเรอะ”อยู่ท่านี้ไม่ปล่อยภัยอะไรก็เกิดขึ้นได้ ยิ่งเป็นพี่ท็อปที่น่าจะหื่นกามพอสมควรแต่ไม่ค่อยแสดงออกบ่อยนัก

“อะไรมึง” พี่ท็อปว่าแล้วขยับออก ผมขยับตัวนอนหงาย “รู้นะว่าคิดอะไรอยู่ อยากแอ้มผมล่ะซี่”

“กูไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้น มีแต่มึงนี่แหละพูดอยู่ได้” พี่ท็อปเท้าแขนมองด้วยสายตากรุ้มกริ่มเหมือนรู้ดีไปหมด ผมล่ะซูฮกพี่ท็อปจริงๆ

“โอเคครับ จบประเด็นนี้ไม่ต้องมากอดแล้ว” ผมบอก มานัวเนียกอดไปกอดมาเดี๋ยวเป็นเรื่องขึ้นมาหรอก ยังกลางวันแสกๆ อยู่เลย

“สอง”

“ครับ” ผมเคลิ้มจะหลับอีกรอบนึง เสียงของอีกฝ่ายดันปลุกให้ตื่นอีกครั้ง แต่พี่ท็อปเหมือนยังอ้ำอึ้งอยู่

“ทำไมครับ จะบอกรักผมเหรอไง...” ผมยิ้ม ก่อนจะลืมตาขึ้นมามองคนข้างกาย

“เปล่า”

“แล้วอ้ำอึ้งอะไร”ผมพึมพำถาม จ้องอีกฝ่ายเขม็ง

“กูแค่อยากจะบอกมึง กูรู้สึกแบบนี้มานานแล้ว” พี่ท็อปพูดเบาๆ ผมมองพี่ท็อปตาปริบๆ ทำท่ามีลับลมคมใน พี่ท็อปขยับมาพูดใกล้ๆ จับใจความได้ว่า "ทำไมเดี๋ยวมึงน่ารักจังวะ”

"หา!” ผมชะงัก รู้สึกมวลในร่างกายหยุดกะทันหัน ไม่คิดว่าจะได้ยินคำพูดแบบนี้กับตัวเอง พี่ท็อปแค่อมยิ้มแล้วหันไปนอนอย่างสบายใจที่พูดออกมาได้ ผมนิ่งก่อนจะรู้สึกเหมือนโดนหมัดฮุก ผมเนี่ยนะน่ารัก ต้องเกิดอะไรขึ้นกับสมองสั่งการของพี่ท็อปแน่ๆ ทำไมเดี๋ยวนี้ถึงได้ทำผมไปไม่ถูกแบบนี้นะ ไอ้ผมก็นึกว่าจะบอกรักซะอีก

 เฮ้อ แย่ ผมคร่ำครวญในใจเป็นที่เรียบร้อยก็ทำใจนอนหลับตาลง ในหัวกลับครุ่นคิดอย่างหนักว่า ‘กูน่ารักตรงไหนวะ’
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-01-2018 16:32:18 โดย RindadaRin »

ออฟไลน์ รินดาwดาริน

  • OnTop&N'Song
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +243/-2
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-01-2018 16:39:34 โดย RindadaRin »

ออฟไลน์ รินดาwดาริน

  • OnTop&N'Song
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +243/-2
ตอนที่ 2 คิดมาก

ตืด ตืด ตืด

ถึงตาจะปิด แต่ประสาทการรับรู้ของผมกำลังทำงานอยู่ มีคนโทรมาหาผมอยู่หลายครั้ง ผมเป็นประเภทที่ไม่รับสายหากใครโทรมาป่วนการนอน ซึ่งวันนี้มันวันเสาร์นะครับพี่น้อง! คงไม่ใช่พวกผองเพื่อนก๊วนผมแน่นอนเพราะพวกมันย่อมรู้นิสัยผมดี...
แสดงว่าคนอื่น...
คนอื่นนี่คงไม่ใช่ไอ้ข้างห้องนั่นหรอกนะ แต่จะว่าไปมันจะโทรมาทำไมในเมื่ออยู่ห้องติดๆ กันแบบนี้ ผมเลยจำใจเอื้อมมือไปควานสะเปะสะปะหาโทรศัพท์ที่ไม่รู้ว่าไปอยู่ส่วนไหนของเตียงนอน ผมหยิบโทรศัพท์ออกมาดูหน้าจอ มีสามสายที่ไม่ได้รับ
‘ยิม’
เฮ้ย มันโทรมาทำไมกัน ผมรีบผุดลุกออกจากเตียงนอน หน้าตายังไม่ได้ล้างฟันยังไม่ได้แปรง ผมโทรออกกลับไปหามันก่อนจะเดินโซเซเมาขี้ตาออกจากห้องตัวเองไปหาคนที่อยู่ห้องข้างๆ ผมเคาะประตูห้องไอ้ยิมสองสามครั้งพร้อมๆ กับปลายสายกดรับพอดี
[...เข้ามาเลย ไม่ได้ล็อก] ผมขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเสียงแหบๆ ของมัน นี่มันป่วยหรอกเหรอ ถึงว่าล่ะ... มีอะไรถึงไม่เดินมาหาเคาะห้องผม หมายความว่าป่วยหนักสินะ
“ป่วยเหรอ เสียงแปลกๆ” ผมถามก่อนจะวางสายแล้วเปิดประตูเข้าไปในห้องที่มืดสลัว หน้าต่างเปิดไว้พอให้แสงยามเช้าสาดส่องเข้ามาได้บ้าง ผมเห็นไอ้ยิมนอนอยู่บนเตียงนิ่งๆ
“เฮ้ย เป็นอะไรมากไหมวะ” ผมเปิดไฟแล้วเดินไปหาเจ้าของห้องที่เตียง แต่ก็ต้องชะงักกึกเมื่อเห็นคนที่นอนอยู่มีตุ่มใสๆ ขึ้นตามแขน กับใบหน้าประปราย คนที่นอนอยู่ดูแปลกตาไปเพราะไม่ได้สวมแว่น
“ฮ่าๆ อีสุกอีใสเหรอวะเนี่ย” ผมหัวเราะไปอัตโนมัติ อายุป่านนี้แล้วทำไมเพิ่งมาเป็น ไอ้ยิมทำหน้าบึ้งไม่พูดอะไร ผมเห็นว่ามันดูซีดเซียวเลยเข้าไปแตะหน้าผากมันดู “ตัวร้อน เป็นไข้ด้วย แล้วแดกยาหรือยัง” ผมถามก่อนจะกอดอกยืนมองมันอย่างมีความสุข ไอ้ยิมส่ายหน้าก่อนจะทำท่าเหมือนเจ็บปวดมากมาย
“มึงมียาติดห้องบ้างไหม เฮ้อ แล้วทำไมไม่บอกกูตั้งแต่แรกๆ วะ ปล่อยให้เป็นขนาดนี้ได้ยังไง” ผมบ่นไปพลางขณะที่เดินไปที่โต๊ะเขียนหนังสือของมัน เปิดลิ้นชักเผื่อว่าจะเจอยาแก้ไข้แก้แพ้สักแผงนึง
“กู... ไม่รู้นี่ว่าจะเป็นหนัก คือ... กูไม่คิดว่าเป็นอีสุกอีใส” ไอ้ยิมพูดเสียงแหบ
“ไม่มียาเลยเหรอวะเนี่ย งั้นรอก่อนนะเดี๋ยวไปเอายาที่ห้องกูก่อน” ผมบอกมันก่อนจะมองไปตามตัวมันอยู่หลายวินาที อ้อยอิ่งนานไม่ได้เพราะไอ้ยิมมันทำหน้าเหมือนหมาป่วย ผมเดินออกจากห้องแล้วเข้าไปหยิบยาแก้ไข้กับยาแก้แพ้ติดมาด้วย แต่แล้วต้องสะดุดอยู่กับที่พร้อมๆ กับคำถามที่ว่า ‘ทำไมต้องกระตือรือร้นขนาดนี้วะเนี่ย’ ผมล่ะอยากจะปากระปุกยาทิ้ง แต่ก็นะ... มันเป็นคนรู้จักจะปล่อยปะละเลยได้ยังไงกัน ผมเดินไปที่ห้องไอ้ยิมต่อ เข้ามาเจอมันลุกขึ้นนั่งท่าทางอิดโรย
“ได้กินข้าวบ้างยังวะเนี่ย” ผมถามเพราะท่าทางเหมือนคนไม่มีแรง อนาถจริงๆ โดนอีสุกอีใสเล่นงาน
“อือ ยังเลยว่ะ หิว กูกำลังจะโทรบอกมึงอยู่พอดีว่าให้ไปซื้อโจ๊กให้หน่อย แต่มึงเอาโทรศัพท์ไว้ที่ห้องกู” ไอ้ยิมบอก ในมือถือโทรศัพท์ไว้
“เออๆ ก็ได้วะ หายป่วยแล้วชดใช้ให้กูด้วยล่ะ” ผมถอนหายใจแล้ววางยาลงบนโต๊ะ
“ขอบใจนะเว้ย” ไอ้ยิมพึมพำบอกขณะที่ผมกำลังเดินออกจากห้อง ผมแค่พยักหน้าให้มันก่อนจะเดินออกไปซื้อโจ๊ก
เวรกรรมนี่มันขี้ข้าดีๆ นี่เอง ได้ทีล่ะใช้จริงแต่ผมก็ดันไปทำให้มันซะทุกเรื่อง ผมขบคิดเรื่องไอ้ยิมมาหลายวันก่อนหน้านั้น ผมหลับไม่ลง ตอนนี้ผมกำลังสับสนอะไรหรือเปล่านะ ผมเป็นผู้ชายแมนๆ ร้อยเปอร์เซ็นต์ ถึงจะผ่านการมีแฟนเป็นเรื่องเป็นราวแค่สามคนแต่ผมก็ชายแท้นะเว้ย ผมแค่เป็นห่วงมัน ผมยอมรับ อาจเป็นเพราะมันคือไอ้ยิมเลยทำให้ผมทำใจได้ยากที่จะบอกว่า กูเป็นห่วงมึงว่ะ แต่นอกจากนั้นแล้วก็ไม่มีความรู้สึกรูปแบบอื่น ผมมั่นใจว่าไม่ได้รู้สึกไปมากกว่านั้นเพราะผมเชื่อมั่นในตัวเองว่าผมคือไอ้ผิง ชายแท้แน่นอน... แต่บางครั้งผมมักหาคำตอบไม่ได้ว่าทำไมถึงรู้สึกแคร์มันมากกว่าเพื่อนคนอื่นๆ อย่างไอ้โก๋เพราะผมสนิทกับมัน รู้สันดานของมันมาหมดเลยไม่ให้ความรู้สึกกระอักกระอวนใจเวลาเป็นห่วงนู่นนี่นั่น แต่ขอยืนยันว่าผมไม่ได้ชอบไอ้ยิมแน่นอน
พอซื้อโจ๊กมาให้มันต้องเทใส่ถ้วยประเคนให้ถึงเตียงนอน อะไรจะดีแบบนี้กัน ผมยกถ้วยไปให้มันเพราะมันคงไม่อยากลุก เท่าที่สังเกตมันมีตุ่มขึ้นที่แขนทั้งด้านหน้าด้านหลัง ขาก็ขึ้น ไม่รู้ว่าที่หลังขึ้นด้วยหรือเปล่า
“อะ ค่อยๆ กินนะ มึงน่าจะไปหาหมอจะได้หายไวขึ้น” ผมบอกมัน อย่างน้อยหมอน่าจะให้ยาดีๆ มาให้ เป็นแบบนี้ขาดเรียนหลายวันแน่นอน
“อืม กูไม่คิดว่ามันจะหนักขนาดนี้ แม่ง...ไม่สบายตัวเลยว่ะ” มันทำหน้ายุ่งก่อนจะค่อยตักโจ๊กใส่ปาก ผมเห็นตุ่มที่มือมันหลายเม็ดเลย
“กินโจ๊กเสร็จ ไปหาหมอเหอะจะได้เอาไปรับรองแพทย์ไปยื่นตอนขาดเรียนไง” ผมบอก ไอ้ยิมพยักหน้าเบาๆ
“เออ ไหนๆ ก็ช่วยแล้วมึงเตรียมชุดให้กูหน่อยดิ เอาเสื้อตัวใหญ่ๆ หน่อย คือ ที่หลังกูมันเริ่มขึ้นแล้วว่ะ” ไอ้ยิมพูดงึมงำผมเลยได้แต่พยักหน้าลุกขึ้นไปเปิดตู้เสื้อผ้าหยิบเสื้อแขนสั้นตัวใหญ่ๆ กับกางเกงสามส่วน แขวนไว้ที่หน้าตู้เสื้อผ้า “มึงเคยเป็นแล้วเหรอวะ”
“เออ ตั้งแต่ป.5 แล้วเว้ย แต่กูต้องระวังเดี๋ยวจะติดจากมึงเอา” ผมบอก เคยได้ยินมาเหมือนกันว่าอีสุกอีใสเป็นสองครั้งก็มี
“เหรอวะ ลำบากมึงเลย” ไอ้ยิมพูดมองผมนิ่งๆ
“เอาน่า รีบแดก จะได้ไปหาหมอ” ผมเดินไปนั่งที่เก้าอี้หน้าโต๊ะคอม กว่าอีกฝ่ายจะกินโจ๊กเสร็จ กว่าจะอาบน้ำซึ่งใช้เวลานานเป็นชั่วโมง มันบ่นอยู่ตลอดว่าแสบว่าคันอยากเกา ไม่สบายตัวจนผมชักรำคาญขึ้นมา แม่งพูดมากจริงๆ ทีเวลาปกตินี่เงียบเป็นเป่าสาก
ผมขี่รถพามันไปหาหมอที่คลินิกน่าจะเร็วกว่าโรงพยาบาล โชคดีที่คนไม่เยอะเท่าไหร่ รอไม่ถึงสิบห้านาทีก็ถึงคิวมัน จะบ้าตาย เพราะมันไม่กล้าเข้าไปคนเดียวเลยต้องให้ผมเข้าไปด้วย มันบอกว่าอาย เหอะ บ้าไปแล้ว ซึ่งมันได้ยามาหลายชนิด กว่าจะหายสนิทคงหลายอาทิตย์ ตอนนี้ต้องรอให้แผลแห้งตกสะเก็ดถึงจะไม่อยู่ในระยะติดต่อได้และการติดเชื้อของมันเอง ไอ้ยิมเพิ่งเป็นได้ 5 วันเอง อีกนานกว่าจะตุ่มจะแห้ง หมอให้ยาต้านไวรัส แก้อักเสบ แก้คัน 
หลังจากกลับมาถึงหอพักแล้วมันโอดครวญอยู่หลายนาที จากนั้นก็เงียบเพราะฤทธิ์ยา
“มึงกลับไปพักก่อนเถอะ รบกวนมึงมากจริงๆ” ไอ้ยิมพูดงึมงำๆ ตาใกล้จะปิด ผมพยักหน้า
“เออ ถ้ามีอะไรก็โทรมาแล้วกัน ไปแล้วนะ” ผมบอกมันก่อนจะเดินกลับมาที่ห้องของตัวเอง ล้มตัวลงนอนบนเตียง รู้สึกเหนื่อยล้าขึ้นมาทันที นี่ขนาดแค่วันแรกนะ ผมยังต้องเป็นเบ๊จำเป็นของไอ้ยิมอีกเป็นอาทิตย์ เฮ้อ

ผมไปเรียนตามปกติ ตอนเย็นทำงานที่คณะแต่ก็แวะไปซื้อน้ำซื้อข้าวไปส่งให้มันที่ห้องเพราะตอนนี้อีสุกอีใสอยู่ในระยะขึ้นเต็มที่ น่าเห็นใจเพราะมันไม่ค่อยได้นอน ดันไปขึ้นที่หลังเยอะด้วย แต่ถ้าผ่านครบสิบวันไปคงเริ่มแห้งถ้ามันไม่ไปเกาก็ไม่เป็นแผลเป็น บางครั้งมันใช้ผมซักผ้าห่มผ้าปูที่นอนของมันเพราะต้องรักษาความสะอาดไว้เดี๋ยวติดเชื้อ น่าจะหาถุงพลาสติกมาปูนอนคงง่ายกว่า ผมเพลียจากงานที่คณะแล้วยังต้องมาดูแลมันอีก บอกคำเดียวว่าโคตรเหนื่อย!
“เป็นยังไงบ้าง”ผมถามขณะที่นั่งลงบนเก้าอี้ ไอ้ยิมยื่นแขนให้ดู แผลเริ่มแห้งแล้ว
“ใกล้แล้ววะ กูจะได้กลับไปเรียนซะที”
“อือ หายเร็วๆ ยิ่งดี” ผมบอกแล้วหาวนอนไปด้วย
“ขอโทษนะเว้ยที่มึงต้องลำบากเพราะกู... แต่กูขอบใจมึงเหมือนกัน คือกูแทบไม่รู้เรื่อง ทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง” มันมองผมนิ่งๆ ผ่านแว่นตาอันเดิม
“อือ บอกป๊าม้ามึงหรือยังว่าอีสุกอีใสขึ้น” ผมหัวเราะเบาๆ มันทำหน้าบึ้ง
“ไม่บอกหรอก เดี๋ยวไอ้โยล้อตายห่า”มันส่ายหน้า
“ถ้ามึงโอเคขึ้นแล้วคงทำอะไรได้มากขึ้นแล้วใช่ไหม” ผมถาม มันคงเดินออกไปด้านนอกได้บ้างแล้ว ยกเว้นว่ามันจะไม่กล้าออกไป
“เออ... แต่ก็ยังไม่ไปไหนหรอก โดนฝุ่นขึ้นมาอาจติดเชื้อได้รอให้แห้งกว่านี้ก่อน... มึงมีวิธีแก้คันไหมวะ” ไอ้ยิมทำหน้าเหมือนขอความช่วยเหลือ
“ไม่รู้ดิ จำไม่ได้แล้ว”
“อยากให้มันแห้งเร็วๆ จะได้ไม่รบกวนเวลามึง” ไอ้ยิมยังคงรู้สึกผิดอยู่ไม่เสื่อมคลาย แต่ผมต้องไปตลาดไปซื้ออุปกรณ์เขียนภาพเลยแวะเข้าตลาดเย็นไปซื้อของสดมาตุนไว้ พอนึกถึงไอ้ยิมแล้วสงสารมันขึ้นมา ผมเลยกดโทรออกไปหาไอ้สองซะตอนนั้น ไม่รู้คิดอะไรอยู่ถึงโทรไปหามัน แต่ก็ช่างเถอะ อย่างน้อยๆ ก็ได้คำตอบมาและเสียเวลา เสียเงินเพิ่มเพราะสการ์เจล
“ถ้ากูหายเมื่อไหร่กูชดใช้ให้มึงแน่” ไอ้ยิมพูดเสียงจริงจัง ผมมองมัน จะชดใช้อะไรให้ผมกันวะ ผมส่ายหน้า
“เออ เอาให้คุ้มหน่อยแล้วกัน” ผมบอกแล้วยิ้ม
“เดี๋ยวดิ”อีกฝ่ายเรียกเสียงดัง ผมทำหน้างงๆ
“มีอะไรวะ”
“เอ่อ... ช่วยทาเจลนี่ให้กูได้ไหมวะ ไม่ถึง” ไอ้ยิมทำท่าอึกอัก มันชี้ไปทางด้านหลัง ผมมองหลอดสการ์เจลกับหน้าไอ้ยิมแล้วก็ถอนหายใจ
“เออๆ วุ่นวายจริง” ผมบ่นก่อนจะเดินไปหามัน ไอ้ยิมพยายามถอดเสื้ออย่างยากลำบาก ผมยืนมองนิ่งๆ ไม่ได้ช่วยอะไร มันควรจะมีความพยายามบ้างสิวะแค่ถอดเสื้อเอง แต่จนแล้วจนรอดมันก็ต้องเรียกผมเสียงอ่อนแรง “มึงนี่เหมือนเด็กๆ เลย กูเป็นม้ามึงเหรอเนี่ย” ผมพูดติดตลกขณะที่เสื้อให้มันเบาๆ แผ่นหลังของไอ้ยิมมีร่องรอยตุ่มที่ตกสะเก็ดเริ่มแห้งแล้ว ผมหาถุงมือยางมาสวมเพราะกลัวติดจากนั้นก็แต้มเจลแล้วทาๆ ให้ทั่วหลังเบาๆ
“ทำไมมือมึงเบาๆ จังวะ น้ำหนักมือของมึงเบายิ่งกว่าพยาบาลตอนทำแผลอีก” ไอ้ยิมพูดขณะที่ผมกำลังทาเจลที่หลังของมัน ผมหัวเราะ
“คงเพราะกูจับพู่กันล่ะมั้ง ต้องรู้น้ำหนักมือของตัวเองสิวะ หนักไปคงไม่ได้หรอก” ผมบอกก่อนจะทาจนเสร็จ
“งั้นเหรอวะ มึงนี่สารพัดประโยชน์จริงๆ” ไอ้ยิมหันกลับมาพร้อมกับรอยยิ้มบางๆ ที่ปรากฏให้เห็น
“มึงยิ้มเหรอเนี่ย ว้าว อย่างกับปรากฏการณ์ธรรมชาติ นานๆ เห็นทีนึง” ผมแอบเหน็บมันไป ตั้งแต่มันเป็นอีสุกอีใสยิ้มยากกว่าเดิมอีก ไอ้ยิมทำหน้านิ่งตามเดิม
“เพื่อนเล่นเหรอ ไอ้นี่” ไอ้ยิมทำเสียงแข็งๆ
“มีตรงไหนที่ทาเองไม่ได้อีกไหมวะ จะได้ทาทีเดียวเลย” ผมถาม ไม่อยากเสียเวลามาก ไอ้ยิมอ้ำอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง
“ไม่เป็นอะไรหรอก”
“อ้าว อย่าบอกนะเป็นในที่ลับ” ผมหัวเราะไปด้วย
“ไม่ใช่เว้ย มึงนี่....” ไอ้ยิมทำท่ายกแขนขึ้นจะประทุษร้ายผมหรือไงกัน นี่ผู้มีพระคุณของมึงเลยนะ
“อะๆ เอาดีๆ ดิ ขนาดนี้แล้วไม่ต้องเกรงใจหรอก” ไอ้ยิมมันลุกขึ้นยืนท่าทางเก้ๆ กังๆ
“ทาตรงขาให้กูหน่อยดิ” สุดท้ายมันก็ยอมพูดออกมา ผมส่ายหน้ากับความเขินอายของมัน ตัวสูงขนาดนี้ยังจะมาทำโก๊ะๆ เป๋อๆ อีก โชคดีที่มันใส่กางเกงขาสั้นเลยไม่ลำบากเท่าไหร่ แค่ทาเจลตรงเหนือข้อพับกับขาอ่อนนิดๆ หน่อยๆ ที่มันอายเพราะแบบนี้นี่เอง
“กูเป็นคนแรกเปล่าวะที่เห็นขาอ่อนมึง” ผมหัวเราะเบาๆ ไอ้ยิมยื่นมือมาตบหัวผมดังแปะ
“มึงนี่ใจดีด้วยหน่อยชักลามปาม” มันบ่นๆ งึมงำตามประสามันไป
“โอเค เสร็จแล้ว วู้ ปลดแอกกูซะที” ผมบิดตัวไปมาก่อนจะเก็บเจลใส่กล่องเอาถุงมือไปทิ้ง
“เออ กูคิดออกแล้ว เย็นนี้มึงว่างไหมวะ” ไอ้ยิมถามด้วยใบหน้านิ่ง ผมพยายามนึกกำหนดการชีวิต
“ก็พอมีเวลาสักสองสามชั่วโมงนะ ทำไมวะ”
“เดี๋ยวกูจะเลี้ยงมื้อเย็นมึงเอง โอเคไหม” ไอ้ยิมพูดแล้วเกาจมูกแก้เก้อ
“มึงจะมารับกูหรือกูต้องกลับมารับมึง”
“เออว่ะ... นั่นแหละ มารับกูจะเป็นอะไรวะ ของฟรีไม่ชอบหรือไง” มันตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงนิ่งใบหน้าไร้อารมณ์ ผมคิดอยู่ไม่กี่วินาทีก่อนจะพยักหน้าตกลง ผมไม่คิดอะไรมากอยู่แล้ว ของฟรีแบบนี้ไม่ขัดหรอก ลาภปากไปอีกมื้อ
“กี่โมง”
“สักห้าโมงครึ่งก็ได้” ไอ้ยิมบอกก่อนจะโบกมือไล่ผม

ผมกลับมาที่คณะเจอแต่พวกหน้าเดิมๆ ที่อยู่ในห้องเพ้นท์ วันนี้ไอ้โก๋ไม่อยู่คงออกไปแรดไปเมาอีกตามเคย จริงๆ ไม่มีงานใหญ่อะไร แต่ว่าเป็นงานของคณะต้องช่วยทำลายผ้าบาติกอีก สายกิจกรรมแบบนี้ไม่ได้หยุดได้พักกับใครเขา ผมไปที่โต๊ะของพี่กร พี่แกก็สายกิจกรรม ผมหยิบจันติ้งปากกาเขียนเทียนจุ่มลงในเทียนเหลวที่อยู่ในหม้อต้มเขียนเทียนไปตามแบบบนผ้าบาติก ขณะที่กำลังเขียนไปตามเส้นเรื่อยๆ ผมนึกถึงคำพูดของไอ้ยิมที่ว่ามือผมเบา... ผมกลับยิ้มออกมาไม่รู้ตัว แต่พอรู้ตัวเท่านั้นแหละ
“เวรเอ้ย” ผมสบถจนพี่กรเงยหน้าจากงานตัวเองขึ้นมามองงงๆ เส้นเทียนเลอะแถมยังออกนอกลายอีก ผมต้องแก้ลายใหม่ต้องรอให้เทียนแห้งแล้วแกะลายที่ทำพลาดออก ทำให้งานเป็นด่างพร้อยไม่ประณีตเลย
“เหม่อบ่อยนะมึง เป็นอะไรวะยิ้มคนเดียว” พี่กรที่ปกติจะพูดน้อยถึงกับออกปากแบบนี้ผมคงอาการหนักจริงๆ
“นั่นสิพี่ เซ็งตัวเอง” ผมบ่น พี่กรแค่ยิ้ม
“เอาเวลาไปทำความเข้าใจกับตัวให้ได้ก่อนไหม มึงจะเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ นั่นแหละ หาคำตอบสิว่าเพราะอะไรถึงเหม่อ” พี่กรพูดก่อนจะก้มไปเขียนเทียนที่เฟรมผ้าของตัวเองต่อ ผมนิ่งไปมองเส้นเทียนเล็กๆ อย่างใคร่ครวญ
“บ้าแน่ๆ” ผมพึมพำก่อนจะถอดเสื้อกันเปื้อนออกแล้วเดินออกจากโต๊ะของพี่กร หยิบบุหรี่มาแก้เซ็งสักมวนที่หลังห้องเพ้นท์ ผมนั่งลงที่โต๊ะหินอ่อน ช่วงนี้ผมสับสนในตัวเองอย่างบอกไม่ถูก ผมไม่อยากคิดหาคำตอบเลย แต่จะทำยังไงให้ตัวเองไม่ฟุ้งซ่านอยู่แบบนี้ ผมไม่อยากปรึกษาใคร ไม่อยากให้ใครมาสงสัยว่าผมมีปัญหาอะไรกันแน่ แม้กระทั่งไอ้สอง มันน่าตลกจริงๆ ถ้าผมไปพูดกับมันเรื่องไอ้ยิม ไม่มีทางๆ บุหรี่หมดมวนไปจนได้แต่ผมยังโคตรเซ็งอยู่ นั่งง่อยกร่อยอยู่คนเดียว โทรศัพท์สั่นเตือนข้อความเข้า ผมกดอ่าน
Yim : ร้านสเต็กคาเฟ่ มึงรู้จักใช่ไหม มื้อเย็นวันนี้ไง เจอกัน มารับกูด้วยอย่าเลทล่ะ
ผมอ่านข้อความแล้วนึกตามชื่อร้านสเต็กร้านที่มันเลือก ผมไม่ค่อยได้ว่างไปนั่งกินสเต็กแบบนั้นแน่ๆ ร้านอย่างหรู คงจะแพงอย่างที่บอกนั่นแหละ ผมโยนบุหรี่สั้นๆ ไปที่ถังขยะ อารมณ์ดีขึ้นมานิดหน่อย
เวรล่ะ ผมแม่งเพ้อจริงๆ

เมื่อถึงเวลานัดผมขี่รถไปตามนัดจากพิกัดร้านที่ไอ้ยิมเป็นคนเลือก ผมเองอยากจะลองของที่นี่ว่าคุ้มกับราคาที่จ่ายไปไหม ไอ้ยิมก็จ่ายไม่อั้น อาหารแต่ละอย่างร้อยอัพขึ้นไป ขนาดน้ำอัดลมยังราคาขึ้นเมื่อมาอยู่ในร้านหรู
“กินดิ เมนูนี้อร่อย”อีกฝ่ายชี้ สเต็กมัตสึซากะเป็นเมนูแนะนำของร้านนี้ ไอ้ยิมลงมือหั่นอย่างทุลักทุเล ที่มือมันมีแผลเพิ่งแห้ง มันคงตึงจับอะไรไม่สะดวก อีกฝ่ายเหลือบตามองผมผ่านกรอบแว่นสีฟ้าอันโปรดก่อนจะก้มหน้าไม่รู้ไม่ชี้ต่อ แต่ท่าทางมันดูติดขัด
“เนื้อนุ่มดีนะ” ผมบอก ทำเป็นไม่สนใจมัน บางครั้งผมทำตัวไม่ถูกกับร้านหรู เหมือนมีสายตาคนอื่นๆ จ้องมาที่ผม ไอ้ยิมคิ้วขมวด “ทำไมมึงถึงเป็นแบบนี้นะ” ผมบอกก่อนจะดึงจานสเต็กของมันมาใกล้ๆ แล้วหั่นเป็นชิ้นๆ ให้มันก่อนจะเลื่อนไปตรงหน้ามันตามเดิม ไอ้ยิมแค่เกาหัวแล้วกินเงียบๆ
“ทำไมมึงพากูมาที่แพงจังเลยวะ” ผมบอก อาหารอร่อยก็จริงแต่มันแพงผมว่ามันไม่คุ้ม มีร้านอร่อยๆ กับราคาที่คุ้มค่ากว่าที่นี่ตั้งหลายแห่ง
“ก็ไม่ค่อยรู้จักร้านหรอก นึกขึ้นได้ว่าเคยมาที่นี่เลยพามาไง... ไม่ชอบเหรอวะ”ไอ้ยิมมองหน้าผมนิ่งๆ ผมส่ายหน้า
“เปล่าหรอก ของฟรีชอบหมดแหละ” ผมยิ้มก่อนหยิบน้ำมาดื่ม
“ตอบดีๆ สิ ไม่ใช่ส่งๆ แบบนี้ ทำไมมึงต้องอ้างว่าของฟรีชอบหมดวะ”อีกฝ่ายหน้านิ่วคิ้วขมวดจ้องผมไม่ละสายตา ผมนั่งนิ่งๆ ตาม
“ก็... จะให้ตอบอะไรวะ อร่อยดีแต่กูไม่ชอบของหรูหรอกนะเว้ย กูเป็นคนประหลาด มักแปลกแยกในที่แบบนี้”ผมส่ายหน้า มันเป็นความรู้สึกส่วนตัวที่ผมไม่เข้าใจว่าเพราะอะไร ทำไมต้องรู้สึกแปลกแยกจากที่นี่ มันไม่ใช่สไตล์ของผม 
“ทำไมวะ ...มึงนี่แปลกจริงๆ ด้วย” ไอ้ยิมจ้องผมเข้าไปอีกจนลูกกะตามันจะทะลุแว่นมาได้คงดี
“กูมีงานต้องทำ” ผมบอกมัน ไอ้ยิมมองนาฬิกาก่อนจะพยักหน้าให้เงียบๆ แล้วเก็บเงินค่าอาหาร ผมไม่อยากได้ยินเลยแต่เจ้าตัวไม่ได้บอกว่าเท่าไหร่แค่รับบิลมาดูแล้วจ่ายเงินเงียบๆ
“ช่วงนี้กูคงไม่ค่อยกลับมาหอแล้วนะเว้ย กูต้องนอนที่คณะมีงานอื่นด้วย” ผมบอกขณะที่เตรียมสตาร์ทรถ ไอ้ยิมขึ้นมาซ้อน
“เหรอวะ” มันตอบแค่นี้ ผมถอนหายใจ
“เออ มึงก็ใกล้จะหายแล้วนี่” ผมพูดไปเรื่อยๆ ขณะขี่รถกลับไปยังหอพัก ไม่นานนักก็มาถึงโรงจอดรถของหอพัก ไอ้ยิมคืนหมวกกันน็อกให้ผม
“ไอ้ผิง กูถามอะไรอย่างสิ” ไอ้ยิมพูดขึ้นก่อนที่ผมจะออกรถ ผมมองหน้ามันก่อนจะดับเครื่อง
“อะไรวะ”
“มึงอึดอัดเหรอวะที่อยู่กับกู” ผมไม่คิดว่ามันจะถามผมแบบนี้ ผมนิ่งไปก่อนจะส่ายหน้า
“ก็เปล่านี่ ทำไมคิดแบบนี้ล่ะ”
“มึงดูเงียบแปลกๆ เหมือนไม่ค่อยพอใจกู... เป็นอะไรวะ” เจ้าตัวทำหน้าเครียดซีเรียสๆ มันมองหน้าผมเพื่อต้องการคำตอบ
“กูคงอดนอนไปหน่อย งานที่คณะทำออกมาไม่ดีเลยเครียดๆ ล่ะมั้ง”ผมตอบกลับไป นี่คือสิ่งที่ผมคิดว่าผมเป็นแบบนั้น
“เหรอวะ...”
“อือ...”
“ปกติมึงจะชอบพูดเล่นๆ กับกูบ่อยๆ แต่วันนี้มึงดูนิ่งๆ กูเลย... รู้สึกแปลกๆ ล่ะมั้ง” ไอ้ยิมถอนหายใจ มันถอดแว่นออกก่อนจะลูบหน้าลูบตา
“เป็นอะไรวะ” ผมถาม ท่าทางมันดูไม่ดีเท่าไหร่ “เปล่า... แค่เหนื่อยๆ คงมีไข้มั้ง” มันบอกงึมงำ
“กลับเข้าไปได้แล้วเดี๋ยวไข้แดกอีกรอบ... อย่าลืมกินยากันไว้ด้วย กูไปล่ะ” ผมบอกปิดท้ายก่อนจะสตาร์ทรถ ไอ้ยิมแค่เดินกลับเข้าไปด้านในหอพักเงียบๆ ทำอย่างกับคนตายซาก
หลังจากนั้นไอ้ยิมก็กลับเข้าสู่โหมดปกติของมัน ผมวุ่นอยู่กับงานตามปกติเหมือนสถานการณ์ระหว่างผมกับไอ้ยิมไม่มีอะไร แค่ไปกินสเต็กด้วยกันแล้วแยกย้าย ไม่มีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งอะไร แต่ว่าเวลาเจอหน้าอีกฝ่ายที่หอพักมันมีบางอย่างแปลกไป ผมว่ามันเองอาจรู้สึกเหมือนกัน ความอึดอัด ความรู้สึกกระอักกระอ่วนใจที่เกิดขึ้น ผมเองไม่รู้ว่ามันมาจากไหนเพราะอะไร แต่เวลาเจอหน้ามันแล้วผมรู้สึกแบบนั้นจริงๆ
วันนี้ผมไปเรียนที่อาคารเรียนรวมเพื่อเรียนวิชาทั่วไปสายวิทยาศาสตร์ มีผมกับไอ้โก๋ที่หลุดจากกลุ่มเพื่อนๆ มาเรียนเซคชั่นนี้แทน อุดมไปด้วยเด็กสายวิทย์กันทั้งนั้น แต่เพราะเป็นวิชาทั่วไปส่วนมากแค่เรียนตามสไลด์ จับกลุ่มทำงานแล้วมาพรีเซ้นส์หน้าห้อง น่าเบื่อและชวนง่วง หมดคาบผมกับไอ้โก๋เตรียมจะไปหาข้าวมื้อเที่ยงกินที่โรงอาหารรวม ออกจากห้องมาดันเจอไอ้ยิมนั่งกดโทรศัพท์อยู่ที่หน้าระเบียง ไอ้โก๋จำไอ้ยิมได้ มันโบกมือทักทายอีกฝ่ายที่เงยหน้ามาสบตาผมเข้าพอดี
“อ้าวพี่ยิม บังเอิญเจอพอดีเลย”ไอ้โก๋ทักทายตามปกติ ผมยิ้มให้มันแต่ว่ามันดันหันหน้าไปมองทางอื่นซะงั้น ผมงงนิดหน่อย มันไม่ได้ตอบคำถามไอ้โก๋
“หึหึ เมินกูเฉย”ไอ้โก๋พึมพำ ผมสองคนเลยเดินหนีมันไปด้านล่างแก้อาการเสียหน้าแต่หูดันได้ยินแว่วๆ มาจากด้านหลัง
“พี่ยิม รอนานไหม”เสียงของผู้ชายดังขึ้น ผมชะงักไปเล็กน้อย อยู่ๆ รู้สึกประหลาดขึ้นมา แฟนมันเหรอ...
“เอ้า ที่แท้ก็มารอเด็ก”ไอ้โก๋หันมาพูดกับผม เป็นเด็กปีหนึ่ง ผมเหลียวไปมองหน้าเด็กปีหนึ่งคนนั้นแวบเดียว ไอ้ยิมมันหันมามองทางผมเช่นกัน เด็กคนนั้นนั่งโต๊ะอยู่แถวเดียวกับผมสองคน ทำงานกลุ่มด้วยกัน ไม่เคยได้คุยกันด้วยซ้ำ ผมเดินต่อ
“สงสัยคงเลิกฟูมฟายเรื่องไอ้สองแล้วมั้ง มึงคิดว่าไง”ไอ้โก๋ถองเอวผมระหว่างที่เดินลงบันไดไปยังชั้นหนึ่งเพื่อไปโรงอาหาร
“คงงั้นมั้ง นึกว่ายังลืมไอ้สองไม่ได้ซะอีก”ผมถอนหายใจ ไอ้โก๋หัวเราะเบาๆ
“อาจจะหาคนดามใจหรือเปล่า”อีกฝ่ายพูดอยู่ข้างๆ แต่ในใจของผมรู้สึกแย่บอกไม่ถูก ในตอนแรกผมแอบคิดนะว่ามันจะมารอผมหรืออะไรยังนั้น แต่มันไร้สาระสุดๆ มันจะมาหาผมทำไมกัน
เมื่อลงมาถึงโรงอาหารคนเริ่มทยอยลงมาบ้างแล้ว ตอนนี้ห้าโมงครึ่งใกล้เที่ยงวัน ผมเดินไปซื้อราดหน้าหมี่กรอบเพราะไม่ค่อยหิวเท่าไหร่ ไอ้โก๋เลือกนั่งแถวโต๊ะทางฝั่งด้านในสุดเพราะติดกับทางออกด้านหลังพอดี ผมนั่งกินเงียบๆ ในหัวคิดเรื่องไอ้ยิมวนไปมาจนเห็นว่าข้างๆ มีคนเดินมาหยุดอยู่ที่โต๊ะ
“พี่ผิง พี่โก๋ ขอผมนั่งด้วยคนนะ”เสียงนั้นทำให้ผมเงยหน้าขึ้นไปมอง ปรากฏว่าเป็นเด็กของไอ้ยิมนั่นเอง ชื่อนัท อีกฝ่ายยิ้มก่อนจะเดินไปนั่งทางด้านในที่ว่างข้างๆ ผม ไอ้โก๋บอกเชิญเสร็จสรรพ ไอ้ยิมเดินไปนั่งฝั่งเดียวกับแฟนมัน
“ตกลงพี่ลืมเพื่อนกูได้แล้วงั้นสิ”ไอ้โก๋เปิดก่อนเลยเพราะมันคงคาใจ เรื่องของคนอื่นโก๋มันหยุดเผือกไม่ได้จริงๆ ผมเองก็ฟังอยู่เงียบๆ
“ผ่านมาแล้วนี่ ไม่อยากจมปรัก”มันว่า น้องนัทมองไอ้โก๋ด้วยความอยากรู้
“ที่แท้มาจีบผมเพราะอกหักนี่เอง”เด็กนั่นพูดขำไม่ได้คิดอะไรมาก
“เปล่าซะหน่อย”ไอ้ยิมตอบเสียงอ่อนลง
ผมหันไปมองมันบ้าง ท่าทางมันดูแลน้องนัทดีเห็นมันไปซื้อข้าวให้ด้วย ผมยิ่งไม่อยากอาหารเข้าไปใหญ่ ระหว่างที่ทานอาหารผมก็อดไม่ได้ที่จะได้ยินสองคนนั้นคุยกัน เหมือนเป็นก้างขวางคอยังไงชอบกล ผมอยากถามมันเหมือนกันว่าลืมไอ้สองได้จริงๆ หรือแค่คบไปแก้เหงาเท่านั้น แต่ไม่อยากยุ่งวุ่นวาย ผมเลยลุกเอาถ้วยไปเก็บให้ไอ้โก๋ด้วย มันฝากซื้อกาแฟอีกต่างหาก ผมเดินเอาถ้วยไปเก็บที่ด้านในโรงอาหาร ก่อนจะเดินไปซื้อกาแฟมาสองแก้ว สายตามองไปที่โต๊ะ ไอ้ยิมมันเหลียวมองผมผ่านแว่นอันเดิม ผมเบนหน้าหนีรู้สึกรำคาญตาขึ้นมา หลังจากนั้นผมก็เดินกลับไปที่โต๊ะ ยื่นกาแฟให้ไอ้โก๋
“เออ มึงจะไปไหนต่อหรือเปล่า กูขอแวะไปหอสมุดก่อนนะ” ผมบอกไอ้โก๋ มันทำหน้างง
“ไปทำไมวะ”
“ไปหาข้อมูลงานไง มึงอยู่ที่นี่ไม่ก็กลับไปคณะก่อนก็ได้ กูไปก่อนนะ” ผมบอกมัน ไอ้โก๋ไม่ทันได้พูดอะไร ผมเดินหนีออกมาจากโต๊ะ ถอนหายใจรู้สึกอึดอัดเมื่ออยู่กับไอ้ยิม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-02-2018 15:07:14 โดย รินดาwดาริน »

ออฟไลน์ รินดาwดาริน

  • OnTop&N'Song
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +243/-2
ผมเดินตรงไปยังหอสมุด ผมเองมีเหตุให้เข้าไปหาหนังสือมาอ้างอิงงานเหมือนกัน ถึงนานๆ จะเข้าไปก็เถอะ แต่พอเดินไปถึงหน้าหอสมุดแล้ ผมก็เดินวกกลับไปนั่งเล่นลานหน้าวิทยาลัยนานาชาติแทน สักพักไอ้โก๋ไลน์มาบอกว่ากลับไปคณะก่อน ผมเลยนั่งจ่อมคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยคนเดียว
“ไหนว่าจะเข้าห้องสมุด”เสียงไอ้ยิมดังขึ้นจากข้างๆ ผมใจลอยจนไม่ได้สังเกตว่ามันเดินมาจนใกล้ ผมเหลียวไปมองหน้ามันนิ่งๆ สบตากับคนที่ยืนค้ำหัวอยู่ก่อนจะถอนหายใจเซ็งๆ
“กูออกมานั่งเล่นเฉยๆ”ผมไม่อยากคุยกับมันเท่าไหร่ ไม่รู้ทำไม
“กูเห็นว่ามึงนั่งตรงนี้ตั้งนาน”มันนั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม ผมตกใจที่มันรู้ หมายความว่ามันดูผมอยู่หรือไง
“เฮ้อ มึงมีอะไรหรือเปล่า”
“มึงไม่พอใจอะไรหรือเปล่า”อีกฝ่ายถาม สายตาภายใต้กรอบแว่นดูสงสัย ผมไหวไหล่
“ก็เปล่านี่หว่า”
“ปากแข็งจริงๆ ...ถ้างั้นก่อนหน้านั้นล่ะทำไมมึงถึงไม่คุยกับกู” มันถามต่อ ผมมองหน้าไอ้ยิมนิ่งๆ
“เอาจริงๆ แล้วมึงต่างหากที่ไม่คุยกับกู แถมตอนหน้าห้องเรียนมึงเมินกูไม่ใช่หรือไง”ผมพูด ไอ้ยิมเหมือนชะงักไปก่อนที่ความเงียบจะเข้ามาแทนที่ ผมกัดกระพุ้งแก้ม ไม่น่าพูดแบบนี้ออกไปเลย
“ช่างเถอะกูกลับก่อนดีกว่า” ผมบอกก่อนจะลุกขึ้นยืน แต่อีกฝ่ายกลับรั้งผมไว้
“คุยกันก่อนได้ไหมวะ”
“ว่ามาสิ” ผมพูดอย่างใจเย็น
“มึงโกรธที่กูมีแฟนเหรอ”อยู่ๆเจ้าตัวก็พูดขึ้นมา ผมตกใจ หน้าเปลี่ยนสี ผมอึกอัก
“อะไรนะ... เปล่านี่”
“เหรอ แต่นัทไม่ใช่แฟนกูนะเว้ย”ไอ้ยิมบอกพร้อมเหลือบมองผมด้วยท่าทีประหลาดๆ
“อือ มึงจะคบใครก็ช่างเหอะ ดูเหมือนว่ามึงจะตัดใจจากเพื่อนกูได้แล้ว”ผมพูด ในใจรู้สึกขัดแย้งยังไงชอบกล ผมไม่รู้สึกดีใจเท่าไหร่กับการที่มันสามารถเลิกชอบไอ้สองได้แล้ว ที่จริงผมควรจุดพุฉลองให้ซะมากกว่า
“ถ้ากูบอกว่าใช่ล่ะ”อีกฝ่ายจ้องผม
“ยินดีด้วย มึงจะได้เลิกเศร้าไง”ผมพูด ดีแล้วที่มันเลิกเศร้า
“...แน่ใจนะ”อีกฝ่ายถาม ผมเงียบ มันถามแบบนี้ทำไม ผมมองหน้าอีกฝ่ายอย่างพิจารณาพยายามมองว่าแววตาของมันกำลังบอกอะไรผมได้บ้าง สายตาของมันดูลังเลอะไรสักอย่าง
“อือ ให้กูไปได้หรือยัง”
“กู...” ไอ้ยิมอ้าปากจะพูดแต่ผมโบกมือไปมา ตอนนี้ผมสนใจงานที่ต้องทำต่อที่คณะมากกว่ามาฟังมันอ้ำอึ้ง
“ไว้ค่อยคุยกันดีกว่า กูต้องไปทำงานต่อ” ผมบอกก่อนจะเดินกลับไปยังทิศทางเดิม คงต้องใช้บริการรถไฟฟ้าของมอบ้างซะแล้ว ผมเดินไปนั่งรอรถที่ป้ายรถไฟฟ้า มีเด็กปีหนึ่งรออยู่สองสามคน คาดว่าคงรออีกสิบนาทีกว่ารถคันใหม่จะมารับ เป็นบริการที่ช้ามากๆ
   Yim : เดี๋ยวไปส่ง รออยู่ตรงนั้นแหละ
ไอ้ยิมมันไลน์มาหา ผมหันไปมองรอบๆ ตัวไม่เห็นวี่แววของเจ้าตัว ผ่านไปไม่ถึงห้านาทีด้วยซ้ำไอ้ยิมมันขี่มอเตอร์ไซค์มาจอดอยู่ที่หน้าป้าย ผมมองมันนิ่งๆ แต่ไม่อยากเสียเวลาตรงนี้นานเลยขึ้นไปซ้อนท้ายรถมันไป แทนที่มันจะพาผมไปที่คณะแต่เสือกขี่ผ่านไปจอดที่ร้านกาแฟที่เยื้องกับคณะเกษตรแทน
“กูต้องทำงานนะ”
“ถามไอ้โก๋แล้ว งานส่งตั้งสัปดาห์หน้า เดี๋ยวกูเลี้ยงเองน่า” มันบอกก่อนจะดึงผมให้เดินตามเข้าไปด้านในร้านกาแฟ ผมถอนหายใจ ยังไงซะไม่มีเหตุผลที่ผมจะต้องมาปั้นปึงใส่มันนี่นา เลยได้แต่เดินเข้าไปด้านในร้าน แอร์เย็นฉ่ำทำให้ผมคลายความหงุดหงิดลงได้มาก มันสั่งชาเย็นให้ผมเรียบร้อย
“มึงเป็นไงบ้าง”
“เรื่องอะไร” ผมงง อยู่ๆ ก็ถามออกมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย
“ก็...ไม่รู้สิ ช่วงนี้มึงเจ็บป่วยตรงไหนไหม”อีกฝ่ายพูดช้า ๆ ก่อนจะมองผมไม่วางตา 
“มึงก็เห็นว่ากูสบายดี เจอหน้ากูที่หอก็บ่อย ยังจะถามอีก” ผมพูดอย่างไม่ใส่ใจก่อนจะยกแก้วน้ำมาจิบแก้กระหาย ไอ้ยิมไม่ได้พูดอะไรอีก ไม่นานเอสเปรสโซ่กับชาเย็นก็มาเสิร์ฟ อีกฝ่ายมันเลี้ยงผมจริงๆ นั่นแหละ จ่ายเงินให้ผมเสร็จสรรพ
“แล้วมึงล่ะ คงหายดีแล้วสิ”ผมถามถึงอีสุกอีใส อีกฝ่ายมีรอยแผลเป็นจากอีสุกอีใสจางๆ บนใบหน้า มันยิ้ม
“อือ หายแล้ว มีแผลเป็นนิดหน่อย”มันบอก ผมอือออรับคำก่อนจะเงียบ “งั้น...เย็นนี้มึงว่างหรือเปล่า”
“ต้องอยู่คณะ คงกลับดึก”ผมบอก
“เหรอ ว่าจะชวนไปกินข้าวด้วย” ไอ้ยิมบอก ผมมองหน้ามันอีกครั้ง “มึงก็อย่าหักโหมล่ะ” มันพูดต่อ ผมแค่เงียบยังมึนงงที่มันพูดจาเหมือนใส่ใจ
“อือ...” ผมส่งเสียงสั้นๆ ยกแก้วชาเย็นมาดื่ม หลังจากนั้นมันก็ไปส่งผมที่คณะ ไอ้ยิมมันทำตัวเหมือนปกติ ผมเดินไปนั่งที่ใต้โถงคณะด้วยความมึนงง ตกลงมันต้องการอะไร ผมกับไอ้ยิมไม่ได้โกรธอะไรกันหรือว่าผมรู้สึกไปเองคนเดียวนะ
กว่าจะกลับถึงหอพักก็ปาเข้าไปสามทุ่มแล้ว กลางดึกคืนนั้นอยู่ๆ ก็มีเสียงเคาะประตูห้องสองสามครั้ง ผมงัวเงียก่อนจะลุกออกจากเตียงมองนาฬิกาที่บอกเวลาว่าตีสาม
ใครวะ ไอ้ยิมเหรอ?
ผมเดินไปที่หน้าประตู แอบส่องตาแมวก็เห็นว่าเป็นไอ้ยิมจริงๆ ด้วย มันมาหาผมเวลานี้เนี่ยนะ เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่า ทำอย่างกับว่าห้องผมเป็นส้วมจะเข้ามาเวลาไหนก็ได้ ผมเปิดประตูออก
“มีอะไรวะ” ผมถาม ตอนนี้รู้สึกตื่นเต็มตาแล้วจ้องมองไอ้ยิมที่ตัวสูงกว่าในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้น
“กูเข้าไปได้ไหม มีเรื่องจะคุย”อีกฝ่ายพูดนิ่งๆ เหมือนเป็นเรื่องปกติ 
“หา ตอนนี้เนี่ยนะ”ผมงง
“เออ” ไม่พูดพร่ำทำเพลงไอ้ยิมเดินแทรกตัวเข้ามาในห้องผมเป็นครั้งแรกแบบไร้มารยาทมากๆ ผมงงกับมัน
“อะไรวะ” ผมถาม ไอ้ยิมมองไปรอบๆ ห้องทำท่าทางแปลกกว่าปกติ มันดูสับสนเหมือนคนนอนไม่พอ
“กูตัดสินใจแล้วว่ะ” ไอ้ยิมทำเสียงจริงจังกว่าปกติ ผมจับสัญญาณอันตรายได้ว่าต้องเป็นเรื่องของผมกับมันหรือเปล่า แต่ก็ไม่น่าใช่หรอก ผมกับมันไม่ได้ทำอะไรเกินเลยหรือมีสถานการณ์ที่ทำให้ความรู้สึกเปลี่ยนไป ยกเว้นผมมองมันด้านดีขึ้น ลดทิฐิส่วนตัวลงก็แค่นั้น
“เรื่องอะไรวะ”ผมมองอีกฝ่ายงงๆ ไอ้ยิมสูดหายใจเข้าลึกๆเหมือนรวบรวมความกล้า
“เรื่องมึง”
“กู? หมายความว่ายังไง กูไม่เข้าใจ”ผมชะงัก ตัวชาไปทั้งร่าง 
“อย่ามาทำเซ่อ กูตัดใจจากไอ้สองได้แล้ว กูทำใจได้ทุกอย่างปกติ อาจเป็นเพราะช่วงนี้กูไม่ได้เจอหน้ามัน เลิกคิดเรื่องมันเหมือนที่มึงบอก...”ไอ้ยิมพูดเสียงดังขึ้นกว่าเดิม 
“เออ ดีแล้วนี่” ผมพูดไม่ถูกในสถานการณ์แบบนี้รู้สึกกลัวกับคำพูดต่อไปของมันมาก ผมคงทำใจไม่ได้จริงๆ ไอ้ยิมเงียบไป ผมไม่ได้มองหน้ามัน
“อืม รู้ไหมว่ากูทำใจลำบาก”
“อะไร”ผมเอ่ยอย่างไม่เข้าใจนัก
“เรื่องมึงไง การยอมรับความจริง”อีกฝ่ายยังคงพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ผมเงียบ เริ่มทำตัวไม่ถูก อีกฝ่ายเป็นแบบที่ผมคิดงั้นเหรอ
“...มึงจะพูดอะไร” ผมทำเสียงดังใส่มัน ผมตั้งตัวไม่ถูก ตอนนี้เวลาตีสามกับเรื่องที่ผมเคยคิดมาหลายรอบต่อวันกำลังเกิดขึ้นในวันที่ผมไม่ได้ตรียมตัว ‘เหลือเชื่อ’ ผมรู้สึกแบบนี้
“บางที... มันจะง่ายกว่าถ้า... เรายอมรับความจริง กูรู้ว่าสำหรับมึงมันยากแต่มึงคือไอ้ผิงนี่ มึงมีความคิด... ก็น่าจะเข้าใจ”ไอ้ยิมพูดเบาๆ 
ผมอยากหัวเราะ ถ้าผมยังยอมรับง่ายๆ คงประหลาดสุดๆ “ไม่ใช่เว้ย มึงกับกูก็แค่... มีความเห็นใจเท่านั้นเอง... จริงๆ นะ”
“...แต่กูรู้ใจตัวเองดีพอและกูอยากหลุดพ้นกับเรื่องนี้ ไม่ได้ขออะไรมากนะเว้ยแค่ยอมรับกับกูก่อนว่ามึงอยากจะเริ่มต้นหรืออะไรที่มากกว่าที่เป็นอยู่... กูคิดเรื่องนี้มานานและกูก็รวบรวมความกล้ามาได้แค่นี้” ไอ้ยิมพูด ใช่ มันกล้าพอที่จะพูดได้ยาวๆ แบบนี้ ผมคิดว่ามันต่อสู้กับตัวเองมาพอสมควร
“มึงคิดดีแล้วจริงๆ เหรอวะ” ผมถาม ผมไม่แน่ใจกับมันเลย มันกำลังอกหักอยากไขว่คว้ากับอะไรที่ใกล้ตัว ...อันที่จริงผมก็ไม่อยากผิดหวังหรอกแต่ตัวอย่างก็มีให้เห็นมากมาย ถ้าคนเรามันไม่มั่นคง
“เออ แต่มึง... กำลังงี่เง่า มึงคิดมาก อาจจะมากเกินไปด้วยซ้ำ” อีกฝ่ายส่ายหน้า แม้มันจะไม่ได้แสดงท่าทีชัดเจนว่ารู้สึกหรือคิดอะไรกับผมมากกว่านั้น แต่ผมเห็นความจริงจากแววตาของมันได้
“...ให้เวลากูสิ” ผมพูด รู้สึกปวดหัวขึ้นมานิดหน่อย ไอ้ยิมยืนนิ่งแล้วพยักหน้าเบาๆ
“ก็ได้ ...แต่การเริ่มต้น กูไม่ได้หมายความว่าต้องคบกันอะไรแบบนั้น แค่... ให้โอกาสตัวเองก็เท่านั้น” ไอ้ยิมพูดทิ้งท้ายไว้ก่อนจะเดินออกไปจากห้องเงียบๆ ปล่อยให้ผมยืนเคว้งในห้อง มันควรให้เวลาผมมากกว่านี้หรือไม่ก็น่าจะปล่อยให้เรื่องของผมกับมันเป็นไปตามเวลาไปตามทาง แต่นี่มันเร่งเวลาเข้ามาและผมตั้งตัวไม่ทัน
ผมนอนไม่หลับอีกเลยจนต้องเตรียมข้าวของไปคณะ เวลานี้คงมีคนอยู่ที่สตูฯแน่นอน และนั่นคงเป็นเหตุผลที่มันส่งข้าวส่งน้ำมาให้ผม
ตอนนี้ผมแค่รู้สึกหนักใจอย่างบอกไม่ถูก บางทีผมไม่ควรคิดมากแบบนี้ ผมควรเป็นไอ้ผิงที่ไม่คิดอะไรเลยคงจะดีที่สุดในสถานการณ์แบบนี้
“มึงเป็นอะไรหรือเปล่าวะผิง” เสียงของไอ้โก๋เตือนให้ผมได้สติ ผมวางมือจากงานผ้าใบ เรื่องไอ้ยิม...
ไม่รู้ว่ามันกลายมาเป็นปัญหาใหญ่อันดับแรกของผมไปได้อย่างไง ผมถอนหายใจเซ็งแล้วล้างพู่กันในกระปุกน้ำ น้ำขุ่นๆ เหมือนอารมณ์ของผมตอนนี้
“กูก็ไม่รู้เหมือนกันว่ะ ตอนนี้กูเป็นอะไรกันแน่” ผมพิงตัวกับพนักเก้าอี้แล้วหลับตาพัก ได้ยินเสียงไอ้โก๋ขยับตัวเข้ามานั่งข้างๆ
“มึงเล่าให้กูฟังได้นะเว้ย ไม่งั้นจะมีเพื่อนไว้ทำไม” ไอโก๋พูด ผมหัวเราะที่ได้ยินแบบนั้น
“มึงต้องตกใจแน่ๆ เลยว่ะ” ผมลืมตาแล้วหมุนเก้าอี้ไปทางไอ้โก๋ มันเป็นเพื่อนสนิทของผม
“กูเป็นเพื่อนมึง จำไว้แค่นี้” ไอ้โก๋จับไหล่ผมหนักแน่นเหมือนสายตาของมัน ผมพยักหน้าแล้วต้องทำใจ
“กูคิดว่ากู... กำลัง... เปลี่ยนไปว่ะ” ผมไม่รู้จะสรรหาคำพูดยังไงดี ไอ้โก๋ทำหน้าไม่เข้าใจ ก็แน่ล่ะจะให้บอกไปโต้งๆ มันคงมึน
“อะไรวะ กูไม่เข้าใจ มึงเล่าใหม่ให้เข้าใจกว่านี้ดิ” ไอ้โก๋พูดแล้วกอดอกมองผมเหมือนกำลังพิจารณา ทำอย่างกับว่ามันเป็นกูรูเรื่องความรัก
“กูไม่รู้จะอธิบายยังไงดี มึงรู้จักไอ้ยิมใช่ไหมวะ” ผมพยายามอธิบาย
ไอ้โก๋พยักหน้า “มันชอบไอ้สอง กูไม่ได้ความจำสั้นขนาดลืมมันหรอกนะ แล้วไงเกี่ยวอะไรกับมึงวะ”
“เออ เกี่ยวเต็มๆ ...เป็นเรื่องของกูกับมันน่ะ มึงเข้าใจใช่ไหม...” ผมบอก รู้สึกสับสนอย่างบอกไม่ถูก ไอ้โก๋มองหน้าผมอยู่นานเหมือนมันกำลังประมวลผล
“เกี่ยวกับมึง... อย่าบอกนะว่าเป็นเรื่องแบบนั้น... ทำนองนั้น?” ไอ้โก๋ทำหน้ากระอักกระอวนก่อนจะหันไปมองรอบๆ ห้องแล้วขยับมาใกล้ผม
“จริงดิ”
“เออ... แต่กูกำลังสับสน” ผมบอก รู้สึกปวดหัวตุบๆ ไอ้โก๋นิ่งเหมือนคิดอะไรสักอย่าง บรรยากาศในห้องเงียบกริบ ผมกับไอ้โก๋ไม่ได้พูดอะไรกันอีกเหมือนปล่อยเวลาให้ผ่านไปเฉยๆ ในหัวผมได้ยินเสียงนาฬิกาเดินติ๊กตอกๆ เหมือนเป็นระเบิดเวลา
“ที่มึงทำตัวแปลกๆ เพราะไอ้ยิมสินะ” ในที่สุดไอ้โก๋ก็ยอมเปิดปากเสียที แต่ผมเริ่มรู้สึกไม่กล้าสบตาหรือมองหน้ามัน เหมือนสูญเสียความเป็นตัวเอง
“กูสับสน”ผมบอก 
“ก็เห็นอยู่ชัดๆ ...แต่มึงหนีมันไปเรื่อยๆ แบบนี้ก็เท่านั้น ยังไงต้องเผชิญหน้ากับความจริงอยู่ดี กูแค่อยากเตือนสติมึงหน่อย ทำไมมึงไม่ทำเหมือนที่มึงเคยทำว่ะ แค่เผชิญหน้าไปตรงๆ เลยสิวะ เหมือนที่มึงเคยเป็น” ไอ้โก๋พูด
“มึงรู้ไหม การเผชิญหน้ากับเรื่องนี้นี่แหละ... เป็นสิ่งที่กูกลัวที่สุด” ผมพูดแล้วก้มมองมือตัวเอง มันกำลังสั่นเหมือนเวลาตื่นเต้นหรือเจอปัญหาที่แก้ไม่ตก
“ป๊อดด้วยเว้ยเพื่อนกู คนอย่างเชี่ยผิงนี่นะ ฮ่าๆ” ไอ้โก๋ส่ายหน้าแล้วหัวเราะไปด้วย แต่ผมไม่มีอารมณ์จะขำไปกับมัน
“มันไม่ง่ายนะเว้ย” ผมพูด เอาจริงๆ แล้วมันค่อนข้างน่ากลัว ผมเองไม่คิดว่าตัวเองกำลังลังเลหรือกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ เหมือนมันดูง่ายดายในการชอบใครสักคนนึง หรือเป็นเพราะผมเองก็ไม่คิดกีดกันใครที่เข้ามาในชีวิต
“เออ แต่ที่มึงกำลังทำอยู่เนี่ยไม่ได้ช่วยอะไรเลย ตอนนี้มึงก็เป็นซะแบบนี้ คิดทบทวนดูดีๆ นะ คำตอบมันมีอยู่ในใจมึงนั่นแหละ ถ้ามีอะไรอยากจะพูดกับกูก็เอาไว้ตอนที่มึงคิดได้แล้วกัน กูไปทำงานก่อนล่ะ” ไอ้โก๋ทำหน้าจริงจังก่อนจะลุกไปที่เฟรมของมัน
ที่ผมคิดมากอยากเลี่ยงปัญหาเพราะมันต่างหากที่กำลังเดินหน้าเข้ามา ผมว่ามันคงตัดสินใจแล้วหรือไม่ก็อยากหาอะไรทำมากกว่า ไม่ใช่ว่าผมปอดแหก แต่เรื่องนี้มันอ่อนไหวเกินไปและมันเท่ากับว่าผมต้องยอมรับตัวเองว่ารู้สึกกับผู้ชาย ไอ้เรื่องสัปดนที่ผมเคยแซวๆ ใครไปมันเหมือนกำลังวนเข้ามาหาผม
ผมจะรับมันได้งั้นเหรอ?
แย่วะ ผมอยากคุยเรื่องนี้กับไอ้สอง แต่ก็นะ ผมไม่กล้า น่าอายจะตายไป ผมคิดมากเกินไปสินะ...
ผมซบหน้าลงกับฝ่ามือ ลองคิดในมุมกลับ ถ้าหากผมเป็นไอ้ผิงคนเดิมมีความกล้าและวิธีคิดของตัวเองเหมือนอย่างเคย ผมจะทำอย่างไง ในขณะนั้นเองผมก็หวนคิดเรื่องของไอ้ยิม ในตอนเย็นวันนั้นที่ผมไปให้อาหารปลากับมันและประโยคที่ผมเคยพูดกับมันก็สะท้อนก้องชัดเจนในหัว
“เรื่องหนักใจน่ะเหรอ... หึ รู้ไหมกูกับมึงต่างกันตรงไหน กูไม่ชอบเอาอะไรเก็บมาคิดให้วุ่นวาย กูอยากสนุกกับชีวิตให้มากๆ เวลามีปัญหากูก็เผชิญหน้ากับมันตรงๆ แบบให้มันจบๆ ไปเลย ไม่ได้ปล่อยให้มันค้างคาใจนานเกินไป แต่มึงน่ะ... เป็นคนคิดมากนะ ปล่อยวางบ้างก็ได้นะเว้ย มันทุกข์ที่ตัวมึงนั่นแหละ” 
ตอนนี้คนที่ทุกข์ใจก็คือผม
นั่นสินะ แบกเรื่องไว้มีแต่หนักใจ แต่มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยสักนิด ไม่เจอกับตัวคงไม่รู้ว่ามันหนักหนาแค่ไหนหนักหนา... ผมควรวางมันลงใช่ไหม วางเรื่องงี่เง่า ความคิดเป็นตุเป็นตะนี่ออกไปให้หมดแล้วทำตัวเหมือนเดิม เหมือนที่ผมเคยบอกตัวเองว่าผมควรจะกลับไปเป็นไอ้ผิงคนเดิม... คนที่ยอมรับในตัวเอง ไม่หนีปัญหา
ถามว่าผมชอบไอ้ยิมไหม... ผมยังตอบไม่ได้ ผมไม่แน่ใจ แต่ถ้าถามว่าผมเป็นห่วงมัน แคร์มันไหม ผมตอบได้ว่าเป็นรู้สึกแบบนั้น มันเป็นแค่มิตรภาพระหว่างผู้ชายหรือเปล่า คำตอบคือไม่รู้ ความรู้สึกของผมที่มีต่อไอ้ยิมมันเป็นเครื่องหมายคำถามตัวใหญ่ๆ กระจัดกระจายเหมือนจิ๊กซอว์ที่ต่อผิด มันถูกเป็นบางส่วน แต่ที่เหลือต้องจัดเรียงใหม่เพื่อ... หาจิ๊กซอว์ที่ถูกต้อง
งั้นผมก็ควรที่จะค้นหาตัวเอง ค้นหาความรู้สึกของตัวเองซะก่อน แล้วจะทำอย่างไงดีล่ะ
“ปวดหัวโว้ย” ผมทำเสียงดังก่อนจะลุกออกจากเก้าอี้ เดินไปเดินมา ไอ้โก๋ยื่นหน้ามามองผมอย่างตำหนิ
ผมหยิบโทรศัพท์ออกมา ลังเลอยู่นานก่อนจะกดโทรออกไปหาไอ้ยิม รอสายอยู่นานไม่แน่ใจว่ามันตั้งใจให้ผมรอหรือว่ามันไม่ว่างรับสาย จนผมเกิดวางสายไปก่อนซะแล้วแต่มันดันกดรับได้ทัน ผมเงียบ กำลังนึกหาคำพูดอะไรสักอย่าง
[ว่าไง...อย่าเงียบสิวะ] ไอ้ยิมพูดก่อน น้ำเสียงปกติแบบที่ควรจะเป็น
“ว่างไหมวะ” ผมถาม
[….ว่าง มีอะไร] มันคิดก่อนจะตอบคำถามเพราะใช้เวลาหลายวินาที
“ไปให้อาหารปลาในมอไหมวะ...” ผมชวน
[...อือ....ให้ไปรับไหม]
“ไม่ต้องหรอก...”
[…งั้นเจอกันที่อ่างเก็บน้ำ]
“อือ ไว้คุยกัน” ผมวางสาย ผมแค่หาเรื่องคุยเท่านั้น ไม่ได้อยากไปให้อาหารปลา แต่ก็ดีจะได้ปลดปล่อยความคิดในหัวออกมาให้มันได้รับฟังบ้าง ผมคิดว่ามันน่าจะเข้าใจที่ผมชวนมันไปให้อาหารปลา... เหมือนคราวก่อน มีเรื่องทุกข์ใจหาคนคุยด้วย อาจได้มุมมองใหม่ๆ ความคิดใหม่ๆ ขึ้นมา
และก็... ได้มองไอ้ยิมในอีกมุมดูบ้างคงไม่เสียหาย มันเป็นการทดสอบความรู้สึกของผมเอง ก็แค่นั้น
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-02-2018 15:08:07 โดย รินดาwดาริน »

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
 :กอด1:  ขอบคุณที่มาต่อค่ะ. ชอบทั้งสองคู่เลยอ่า
ขำพี่ท็อปจะเอาสองทำเมียให้ได้เลย สองก็น่ารักจริงๆแหละ ยอมๆพี่เขาบ้างเนอะ
ยิมผิงออกแนวใกล้ชิดกันแล้วชอบโดยไม่รู้ตัว. ว้าวุ่นนิดๆ.  :o8: 
พี่ดีนแลดูรันทดจังเลยนะ เกลียดเฮียแกนมากๆ.

ออฟไลน์ sweetbasil

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 807
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-3
พี่ท็อปกับสองระวังจะนอนไม่ได้นะ เพราะมดจะขึ้น  :z1:
ผิง ยิม ยิ่งใกล้กันยิ่งหวั่นไหวอ่ะเปล่า เบบี้
พี่ดีนจะไม่มีคู่จริงๆๆเหรอ :mew2:

ออฟไลน์ phrase

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
 :ling1: อยากอ่านผิง-ยิมต่ออออออออ
พึ่งรู้สึกดีกับดีนก็ตอนนี้

ออฟไลน์ kun

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-10
โดนใจอย่างแรงอยากให้พี่ท็อปกับสองหวานๆๆๆๆ คืนนี้จัดไฟมพี่ท็อป อิอิ
ยิมผิง รอให้หัวใจรู้คำตอบ ลุ้นต่อๆๆๆ
พี่ดีนแบบว่าจะเดินทางคนเดียวหรอ มีคู่เตอะ แบบเป็นเพื่อนรักคู่กับพี่แกนได้มะ พี่กัสเนี่ยก็น่าจะสัคัญด้วยอ่ะจิ ลุ้นต่อยาวแน่ๆๆ
ที่แน่น ขอสองท็อปจัดเต็มก่อนน่ะ อิอิ

ออฟไลน์ fahsida

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
งั้นที่พี่ดีนมาทำเป็นจีบสองก็เพราะหมั่นไส้ไม่ชอบหน้าพี่ท็อปซินะงี้นี่เอง

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ kukkikkooka

  • insomnia~
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 287
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-3
สองท็อปหวานมากกกกกกก พี่ท็อปเสี่ยวจริงๆ

ลุ้นคู่ยิมผิง ง่าาาา

เรื่องพี่ดีนก็น่าสนนน

ออฟไลน์ gupalz

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4911
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +604/-20
แบบอยากอ่านดีนแกนขึ้นมาทันที

ออฟไลน์ Rhythm

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
ตอนนี้คู่ท็อปสองน่ารักจริงๆ ชอบพี่ท็อปที่เป็นแบบนี้แหละ ทะลึ่งตึงตังนิดๆ  :hao7: สองเตรียมตัวได้เลย พี่ท็อปจะฟิตร่างกายแล้ว  :hao3:
ส่วนยิมกับผิง คาดว่ายิมนี่เริ่มมีใจให้ผิงแล้วล่ะ ส่วนผิงก็กำลังสับสนเลย...ต้องอาศัยเวลาหน่อยนะ คนมันไม่เคย...ชอบผู้ชาย  :laugh3:
อ่านเรื่องดีนแล้ว ยิ่งไม่ชอบแกนเข้าไปใหญ่  ตัวเองก็ไม่ใช่คนดีอะไร แต่ก็ยังมาตัดสินเรื่องสองอีก  o12  แต่เรื่องระหว่าง 2 คนนี้ มันคงเป็นความรู้สึกค้างคากันอยู่ คือ ความรู้สึกเกลียดชังแกนของดีน กับความรู้สึกผิด? ของแกนเรื่องที่ดีนโดนรุม น่าสนในว่าคู่นี้จะเคลียร์กันยังไง
ชอบเวลาคนเขียนบรรยายเวลามีทริปเดินทางไปนอกสถานที่จังเลย อ่านเพลินมากๆ ทั้งตอนไปเขาค้อ ออกค่าย แล้วก็ล่าสุดที่มาเที่ยวน้ำตก  :L2:

ออฟไลน์ flimflam

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 881
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-4
พี่ท็อปกับสองก็หวานกันเหลือเกิน 55555555555555555555
ส่วนยิมนี่เป็นอีสุกอีใสจริงๆด้วย 55555555555555
ยังดีที่ได้ผิงมาดูแล(?)บ้างนะ..

ส่วนพี่ดีน อู้ยยยย อ่านแล้วรักพี่ดีนแบบแปลกๆค่ะ 55555555
ถึงกับไปย้อนอ่านตอนพี่ดีนโผล่มาใหม่ๆเลย
พี่เปลี่ยนไปมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
อันนี้คือมีคนจำพี่ได้มั้ย?
พี่ท็อปอะพี่ท็อป เห็นคราวก่อนทำเหมือนไม่รู้จักกัน อันนั้นแกล้งใช่มั้ย
ที่มาจีบสองคือหมั่นไส้พี่ท็อปส่วนตัวสินะ 5555555555555
กับเฮียแกนนี่ต้องเรียกอะไรดี อุตส่าห์หนีมาแล้วก็ยังอุตส่าห์มาเจอกันอีกจนได้
แถมไม่ได้เจอแค่เฮียแกน เจอพี่ท็อปด้วย5555555555

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
ตอนนี้นะไม่ห่วงเรื่องท็อปสองเท่าไหร่แล้วแหละ มาลุ้นกันจนตัวเกร็งกับคู่ยิมผิงนี่แหละเมื่อไหร่จะหายสับสนคะผิงส่วนพี่ยิมเลิกอึกอักเถอะค่าอยากจะพูดอะไรก็พูดไปเล้ยยยย ตอนท้ายที่เป็นเรื่องของดีนนี่เข้าใจหน่อยๆละว่าทำไมถึงเกลียดเฮียแกนนักคู่นี้จะลงเอยแบบไหนเนี่ย

ออฟไลน์ Monet

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 153
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-0
 :katai2-1:

นึกถึงคนข้าห้องที่มาอยู่ข้างเตียงตอนนี้เลย

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26

ออฟไลน์ DuenTwinBII

  • ♥ “If you can't explain it simply, you don't understand it well enough.”♡
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +624/-4

อ่านยาวๆ คู่ท็อปสองนี่เริ่มเสี่ยวล่ะ :hao7:

คู่ผิงกับยิมน่าลุ้น

รอตอนต่อไป  :pig4:

ออฟไลน์ รินดาwดาริน

  • OnTop&N'Song
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +243/-2
{ต่อทริปเดิม}  ตอนที่ 18 วันหยุดที่ไม่น่าจดจำ 2


พี่ท็อปทำให้ผมนอนหลับไม่ลงจริงๆ ผมนอนคิดเรื่องพี่ท็อปวนไปวนมาอยู่นาน หันไปมองเจ้าตัวที่นอนหายใจสม่ำเสมอ คงหลับไปแล้ว ผมขยับตัวนอนหงาย รู้สึกเพลียแต่ข่มตาไม่หลับ อยู่เต็นท์อึดอัดแฮะ ผมตัดสินใจหยิบผ้าห่มผืนบางลุกออกไปนอนเล่นข้างๆ เต็นท์แทนนอนลงกับผืนหญ้าให้ความรู้สึกสบายจริงๆ หญ้าเย็นๆ กับอากาศชื้นนิดหน่อย มีเสียงนกร้องแว่วให้ได้ยินเป็นระลอกๆ ผมหยิบเอาโทรศัพท์มาใส่หูฟังกดเล่นเพลงสากลสบายๆ

ไม่รู้ว่าผมเคลิ้มหลับไปตอนไหน แต่มารู้สึกตัวอีกทีก็เห็นว่าพี่ท็อปนั่งมองผมอยู่ข้างๆ คาดว่าคงนั่งมานานแล้วเหมือนกัน ผมค่อยๆ ลืมตามองหน้าพี่ท็อปอย่างมึนงง จากที่เบลอไม่ชัดเจนเริ่มค่อยๆ ชัดเจนขึ้น ในมือมีดอกหญ้าที่หมุนเล่นไปมา

“หลับสบายไหม” พี่ท็อปถามแล้วยิ้มก่อนจะยื่นดอกหญ้ามาปัดป่ายบริเวณใบหน้าของผม

“อืม ตรงนี้อากาศดีนะพี่ มาข้างๆ ดิ” ผมบอกแล้วขยับตัว ตบไปที่พื้นหญ้าข้างๆ อีกฝ่ายมองอย่างชั่งใจก่อนจะขยับตัวมานอนลงข้างๆ ผม ตอนนี้ฟ้าเริ่มมืดแล้ว บริเวณต้นไม้มีไฟสีส้มเปิดเป็นช่วงๆ เพื่อให้แสงสว่างในลานแค้มป์

“นึกว่าหายไปไหน ติสท์เกินนะมึง” พี่ท็อปหัวเราะเบาๆ ผมหันไปมองหน้าเจ้าตัวชัดๆ

“ไม่หายไปไหนหรอกครับ เราน่าจะมีโอกาสไปเที่ยวด้วยกันเยอะๆ เลยเนอะ สบายดี”ผมพูดออกมาอย่างที่ใจคิด วันว่างๆ มีโอกาสไปเที่ยวด้วยกันคงสนุก

“ยังมีเวลาอีกเยอะน่า พูดเหมือนว่าจะตายจากกันไปก่อนงั้นแหละว่ะ ถึงกูจะเรียนจบ ทำงาน ก็ยังมีเวลาเสมอนั่นแหละ มึงกับกูมีเวลาเท่าๆ กัน และแน่นอนว่ากูมีเวลาให้มึงอยู่แล้ว”พี่ท็อปเอ่ย ผมแปลกใจ ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะพูดทำนองนี้

“ไปหัดพูดแบบนี้มาตั้งเมื่อไหร่” ผมหัวเราะ แต่ที่พี่ท็อปพูดก็ถูก ทุกคนมีเวลาเท่ากันอยู่ที่ว่าจะใช้เวลาที่มีอยู่อย่างไรให้คุ้มค่าที่สุด

“กูคงติดความเน่าความเสี่ยวมาจากมึงแล้วแน่ๆ”

“ก็ดีแล้วนี่ แบบนี้แฟนรักแฟนหลงนะบอกให้ จะว่าไปแล้วผมชอบความรู้สึกในตอนนี้มาก บอกไม่ถูกแฮะ ทั้งสบายใจมีความสุข อยากอยู่นานๆ ไปเลยแบบไม่ต้องคิดอะไรเยอะแยะ” ผมพูดก่อนจะดึงมือพี่ท็อปมากุมไว้ โชคดีที่ไม่ค่อยมีคนเพ่นพ่านผ่านไปมาเท่าไหร่

“อยู่กับกูทั้งทียังจะต้องคิดอะไรเยอะ เรื่องบางเรื่องปลงๆ บ้างเหอะ ไม่เห็นต้องเอาเก็บมาคิดไปซะทุกอย่าง”

“เหรอ...พี่นั่นแหละที่ต้องปลงๆ ซะบ้าง” ผมหันไปมองหน้าคนข้างๆ ที่ย่นคิ้วคิดตามไปด้วยก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ

“เออว่ะ พูดอีกก็ถูกอีก แต่เรื่องที่กูปลงไม่ได้มันมีค่าความสำคัญอยู่พอตัวนะ ทิ้งมันไปไม่ได้หรอก เดี๋ยวจะพลาดอะไรเด็ดๆ ไป” พี่ท็อปพูดเอื่อยๆ ดูเหม่อลอย เหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ ผมนอนคิดเงียบๆ พี่ท็อปมีเรื่องกังวลอยู่ในใจสินะ...จะใช่เรื่องเดียวกับผมไหมนะ

“ไว้วันหลัง พี่ไปบ้านผมไหม ไปไหว้พ่อผมหน่อย” ผมสะกิด พี่ท็อปทำหน้างงๆ

“หือ จริงดิ มึงโอเคกับพ่อมึงแล้วเหรอไงวะ” พี่ท็อปถามก่อนจะยื่นหน้ามามองใกล้ๆ

“ก็ไม่หรอก แต่อยากกลับไปบ้านบ้าง ไปให้เขาเจอหน้าหน่อยก็ดี เดี๋ยวลืมว่ามีลูกชาย ฮ่าๆ” ผมหัวเราะเบาๆ
จริงๆ ผมกับพ่อไม่ได้ทะเลาะอะไรกันใหญ่โต แค่ไม่ได้พูดคุยกันมานานมากเท่านั้นเอง เหมือนมีช่องว่างหลุมดำใหญ่ๆ กั้นอยู่ระหว่างผมกับพ่อที่ก้าวข้ามไปไม่ได้ ครั้งสุดท้ายที่โทรไปหาพ่อมันนานแค่ไหนกัน อาจจะหลายเดือนมาแล้ว หรือเป็นปี... ถ้าผมไม่โทรก็อย่าหวังว่าพ่อจะโทรมาหาเลย ไม่มีทาง ขนาดตอนที่ผมน็อกจากเฮียแกนยังไม่โทรมาถามไถ่อะไร คงไม่รู้ว่าผมเจ็บตัว...แต่มันก็ดีแล้ว พ่อจะได้ไม่มาปวดหัวเพราะเรื่องของผม

“มาทำดราม่าอีก พอๆ เลิกคิดอะไรที่มันบั่นทอนซะเถอะ จับปล้ำซะเลยดีไหมเนี่ย” พี่ท็อปลูบๆ หัวผมไปด้วย ทำแบบนี้ทีไรผมรู้สึกแปลกๆ ทุกที หวิวที่ใจ

“อื้อ ไปหาซื้ออะไรมากินดีกว่าพี่” ผมบอกแล้วลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะมองหาร้านค้าที่เห็นอยู่ไกลๆ

“อยากกินจิ้มจุ่มเลยว่ะ”

“มาอารมณ์ไหนเนี่ยพี่” ผมหัวเราะแล้วลุกขึ้นยืนดึงแขนพี่ท็อปให้ลุกตาม ผมเพิ่งมาตระหนักได้ว่าพี่ท็อปตัวหนักและแรงเยอะมาก ถึงจะรู้อยู่แล้วว่าแรงเยอะแต่ครั้งนี้มันต่างออกไปแฮะ แรงเยอะสมชายจริงๆ เฮ้อ ทั้งๆ ที่ตัวก็เท่าๆ กัน ผมล่ะหนักใจถ้าพี่ท็อปเข้าฟิสเนตเมื่อไหร่ คงถึงเวลาที่ผมต้องถอยให้แล้วล่ะมั้ง

ผมกับพี่ท็อปเดินไปที่ร้านค้า ที่นี่บริการนักท่องเที่ยวดีนะ อย่างน้อยๆ ก็มีพวกของใช้พื้นฐานให้ถึงแม้จะราคาสูงกว่าปกติ ผมซื้อฝืนมาหนึ่งถุง กับเตา(อันนี้ยืมจากร้าน) แต่ไม่มีอะไรให้ปิ้งนอกจากปลาหมึกแห้งกับหมูสามชั้นซึ่งมันเยอะไปหน่อย แต่ดีกว่าไม่มีกับแกล้มอะไรเลย ที่ขาดไม่ได้คือเบียร์กับบุหรี่ พี่ท็อปไม่ค่อยได้สูบแล้ว ซึ่งดีแล้วที่พยายามจะเลิก สำหรับผมมันไม่ง่ายเลยนะ ปากบอกว่าไม่ติดแต่ก็ขาดไม่ได้หรอก

“เมื่อไหร่มึงคิดจะเลิกวะ ดูสามีเป็นตัวอย่างสิสอง” พี่ท็อปว่า ผมทำหน้าเอือม

“ขอเวลาหน่อยสิพี่ คำว่าเลิกเนี่ยจะให้พูดปุ๊บเลิกปั๊บได้ไง ใช่ไหม” ผมบอก แล้วหยิบสไปรท์ติดมาสองสามประป๋อง วันนี้อยากมิกซ์กับเบียร์ซะหน่อย

“แดกเป็นสาวเลยว่ะ” พี่ท็อปแอบเย้ยหยันได้เจ็บแสบ

“ดื่มเบาๆ ไงพี่” ผมเถียงสู้ แต่ก็เป็นที่นิยมของผู้หญิงมากกว่าเบียร์ผสมสไปรท์เนี่ย ไม่เมาหรอกออกจะหวานๆ ซ่าๆ ติดปลายลิ้น

ผมกับพี่ท็อปเดินกลับเต็นท์ข้าวของเต็มมือ มีวัยรุ่นสองสามคนตั้งเต็นท์อยู่ฝั่งตรงข้ามเยื้องๆ ไปหน่อย หันมามองผมกับพี่ท็อปตาเป็นมัน ไม่ใช่ว่าชอบหรือสนใจอะไรหรอก คงเห็นเบียร์กับของกินมากกว่า สามคนนั้นมีชายสองหญิงหนึ่ง นั่งดีดกีตาร์ดื่มเหล้ากันนั่นแหละ แต่คงใกล้หมดแล้ว

เมื่อมาถึงฐานทัพตัวเอง ผมก็จุดไฟก่อเตา พี่ท็อปจัดการเอาหมูเสียบไม้ ซึ่งรสชาติคงจืดๆ ในระหว่างนั้นผมถือโอกาสอัดมะเร็งอ่อนๆ เข้าปอดเสียหน่อย กว่าไฟจะติดก็เหม็นติดเสื้อผ้าไปหมด เหมือนมาออกค่ายลูกเสือสมัยม.ต้นเลย

“พวกนั้นมันมาจากไหนกันวะ” พี่ท็อปเดินมานั่งหน้าเตาข้างๆ ผมแล้วกระซิบ

“ไม่รู้สิพี่ น่าจะเด็กกว่าเรานะ อาจจะเด็กม.ปลายมั้งผมว่า” ผมตอบแล้วเหลือบมองสามคนนั้น แอบสังหรณ์ใจแปลกๆ ด้วย คงไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรอกนะ

“มันมองมาทางเราบ่อยจังว่ะ”

“อยากมาแจมกับเราหรือเปล่า” ผมคิดในแง่ดีและเข้าใจว่าพวกนั้นคงอยากหาเพื่อนคุยสนุกๆ

“อือ เฮ้ย ไฟติดแล้ว เอาของไปปิ้งเลยให้ไว” พี่ท็อปชี้นิ้วสั่งผมเลยขัดไม่ได้ นั่งปิ้งปลาหมึกกับหมูไปพลาง พี่ท็อปดึงบุหรี่ในมือผมไปดับแล้วโยนทิ้งใส่ถังขยะไป

“อ้าว กำลังได้ที่เลย” ผมย่นหน้า

พี่ท็อปส่ายหน้า“ควันไฟว่าเหม็นแล้วนะ เจอบุหรี่มึงหนักไปใหญ่” พี่ท็อปเอาพัดมาปัดกลุ่มควันจางๆ ให้หายไปเร็วๆ

“เออ ว่าจะถามตั้งนานแล้ว งานเพ้นท์มึงตอนปีสองอันนั้นอยู่ไหนแล้ว” พี่ท็อปถามขณะที่เปิดเบียร์ผสมสไปรท์ให้ผมอยู่

“อ๋อ...เก็บไว้ที่คณะนั่นแหละ ไม่มีใครมาสนใจนี่ จะเอาไปโชว์ใคร” ผมหัวเราะเบาๆ นึกถึงภาพนั้นที่อุตส่าห์วาดให้พี่ท็อป ตอนนั้นเข้าขั้นโคม่า เป็นโรคคลั่งท็อปลิซึ่ม มองอะไรๆ ก็เห็นเป็นพี่ท็อป 

“กูขอได้ไหมวะ” พี่ท็อปมองหน้าผมนิ่งๆ

“ของ่ายๆ แบบนี้เลยเหรอพี่ รู้ไหมนั่นงานชิ้นโบแดงของผมเลยนะ ต้องมีข้อแลกเปลี่ยนหน่อย ถ้าอยากได้” ผมพูดเรื่อยๆ อย่างอารมณ์ดี พี่ท็อปทำหน้าเหมือนกลืนของแสลง

“อะไรวะ มาทำงก มึงละเมิดภาพส่วนบุคคลนะเว้ย”

“ใช่ที่ไหน ไม่ใช่พี่ท็อปซะหน่อย พี่เห็นที่ผมวาดหรือยังครับ รู้ไหมมันสื่อถึงอะไร” ผมหัวเราะ ไอ้เรื่องจิตวิญญาณของคนที่วาดไปมันค่อนข้างสื่อไปทางเพศที่สามมากไปหน่อย...ออกจะหมายความไปในแง่ตัวตนของผู้ชายคนนึงที่ไม่ใช่ผู้ชาย ผู้หญิงในตัวผู้ชายน่ะ แน่นอนว่าไม่ได้หมายถึงผมหรอกนะ

"ก็เคยเห็นแล้วไหนว่าวาดให้กู”

“มันก็ไม่เชิงนะ ผมแค่นึกถึงพี่ตอนที่คิดงาน ...แต่งานมันค่อนข้างชัดเจน ถ้าพี่เอาไปมันออกจะไม่เหมาะกับพี่หรอก พี่ไม่ได้เป็นแบบนั้นนี่” ผมบอก พี่ท็อปถอนหายใจพยักหน้า

“เอาหน้ากูไปนี่หว่า เดี๋ยวใครๆ ก็เข้าใจผิดหรอก”

“บ้าน่า ...สำหรับผมน่ะที่วาดรูปออกมาได้เพราะมีแรงบันดาลใจจากใครสักคน ผมคิดงานเองไม่ได้หรอก ต้องพึ่งคนอื่น ไม่รู้ว่าดีหรือร้าย” ผมยิ้มบางๆ

“ก็ดีแล้วนี่ อย่างน้อยๆ ทำอะไรมีแรงบันดาลใจเป็นกำลังหนุนเสมอ แบบนั้นมันไปได้ไกลนะ”

“พูดได้ดี อะ ชนแก้วหน่อย” ผมยื่นแก้วพลาสติกไปหาพี่ท็อปที่ถือกระป๋องเบียร์ “หึหึ กูคงได้เมาก่อนมึง” พี่ท็อปพึมพำ

“บ้าน่า อย่างพี่เมาแค่เบียร์เนี่ยนะ” ผมขำ

“กูอ้วกแน่ บอกไว้ก่อนเลย อย่ามาลักหลับกูนะ” พี่ท็อปพูดติดตลกอีก

ระหว่างที่ดื่มเบียร์ไปคุยกันไปเรื่อยเปื่อย ล่วงเลยเวลามาได้ชั่วโมงกว่า ไฟเริ่มมอดของแกล้มก็หมดแล้ว วัยรุ่นสามคนนั้นเดินมาหาผมสองคน

“ขอโทษนะครับ ขอผมร่วมวงได้ไหมครับ พอดีเหล้าหมดแล้ว” ผู้ชายคนผอมสูงหน้าตาใช้ได้ถือกีตาร์เป็นฝ่ายพูดท่าทางเป็นมิตร

“กับแกล้มพวกผมเหลือเต็มเลย...” อีกคนนึงพูดต่อแล้วชูถุงของกินให้ผมดู

“เอาไงดี” พี่ท็อปยื่นหน้ามากระซิบ ผมชั่งใจมองเด็กวัยรุ่นสามคนนั้นท่าทางไม่มีพิษมีภัยอะไรเลยพยักหน้าให้ จากนั้นแนะนำตัวกันไป ผู้หญิงที่ตามมาด้วยเป็นแฟนของคนที่ดีดกีตาร์ ตามคาดเป็นเด็กม.6 เพราะเพิ่งสอบเสร็จเลยมาเที่ยวพักผ่อนกันใกล้ๆ บ้าน

“พี่สองคนเป็นแฟนกันเหรอคะ” น้องผึ้งเป็นฝ่ายถาม เธอไม่ดื่มเหล้าเบียร์ ดื่มแค่เป๊ปซี่เท่านั้น ผมกับพี่ท็อปมองหน้ากันโดยอัตโนมัติ

“ดูออกด้วยเหรอ” พี่ท็อปถาม

“โห เปิดเผยซะขนาดนั้น ใครๆ ก็ดูออกแหละพี่” ผึ้งยิ้มมาให้ ส่วนแฟนของเธอชื่อปิ๊ก อีกคนชื่อเคน ท่าทางจะเมาเพราะนั่งเงียบคอตกเชียว

“แอบมองเหรอเนี่ย” ผมพูดขำๆ ก่อนจะมองไปรอบๆ ลาน เห็นครอบครัวหนึ่งนั่งปิกนิกกันอยู่ ทำให้บรรยากาศไม่วังเวงเท่าไหร่

พี่ท็อปดูร่าเริงดีตามปกติแต่ผมรู้สึกเสียวสันหลังแปลกๆ อาจเพราะไม่ถูกจริตกับน้องผู้หญิงคนนี้เท่าไหร่ ในใจมันแปลกๆ รู้สึกไม่สนุกเท่าไหร่ ผมได้แต่ส่ายหน้า

“เมาเหรอพี่ พูดไม่รู้เรื่อง” ผมถามดึงแขนสองสามที พี่ท็อปแค่ส่ายหน้าให้ ผมมองไอ้ปิ๊กที่ดีดกีตาร์เบาๆ ไปพลาง ผมถอนหายใจ ผมอาจคิดมากเกินไปก็ได้มั้ง

“พี่กลับวันไหนเหรอครับ” ไอ้ปิ๊กถาม พี่ท็อปคงตอบอะไรไม่ได้แล้วเพราะเดินเซไปอ้วกข้างๆ ต้นไม้ใกล้ๆ ผมมองอย่างเป็นห่วง

“กลับพรุ่งนี้แล้ว พี่ว่าคืนนี้พอแค่นี้แหละ นี่ก็เมากันหมดแล้ว” ผมบอกเตรียมเก็บแก้วกับของกิน แค่มึนๆ นิดหน่อยไม่ถึงกับเมา เวลาผมดื่มเบียร์ไม่ถึงกับเมาปลิ้น ผมรู้สึกตัวอยู่ตลอดและยังทรงตัวได้เหมือนไม่เหมือนคนเมา อันนี้ไอ้โก๋กับไอ้ผิงบอกผม แต่ถ้าเหล้านี่คนละเรื่องเลย ผมเมาเละแน่ เบียร์จึงเป็นทางเลือกที่ดีถ้าต้องการแค่ดื่มชิลๆ เรื่อยๆ

“เบียร์ยังเหลืออยู่เลย งั้นผมขอนะพี่” มันว่า ผมเลยพยักหน้าให้ ยังไงผมก็ไม่ดื่มต่ออยู่แล้ว ผมลุกไปดูพี่ท็อป แค่เบียร์เองทำไมเมาเร็วจัง

“ไหวไหมเนี่ยพี่” ผมเข้าไปลูบหลังให้ พี่ท็อปโบกมือให้ว่ายังไหวแต่ยังอ้วกอยู่

“โอย มึนหัวว่ะ” พี่ท็อปเบ้หน้าก่อนจะลุกขึ้นยืน ผมต้องจับพยุงตัวไว้แล้วพากลับไปที่เสื่อ ไอ้ปิ๊กมันนั่งกระดกเบียร์อยู่คนเดียว เพื่อนมันนอนเกลือกกลิ้งอยู่ข้างๆ ส่วนแฟนมันกลับไปนอนที่เต็นท์แล้ว

“แค่นี้เดินเซเลยเหรอพี่” ไอ้นั่นมันหัวเราะ   

“เงียบไปเหอะ พูดมากนะมึง” พี่ท็อปงึมงำพูดแล้วนั่งลงที่เดิมทำท่าจะกินต่อ

“พอเหอะน่า ให้เด็กมันกินไปนั่นแหละ เหลืออยู่แค่กระป๋องเดียว” ผมบอกแล้วดึงเบียร์ออกจากมือพี่ท็อป ไอ้ปิ๊กหัวเราะท่าทางของพี่ท็อป ผมได้แต่แอบยิ้ม เมาแล้วทำท่าตลกจริงๆ ผมเก็บของใส่ถุงดำ

“อะพี่ แก้วสุดท้ายแล้วจะได้แยกย้าย” ไอ้ปิ๊กบอกแล้วยื่นเบียร์ผสมสไปรท์ให้ผม

“เออๆ แดกๆ แล้วไปนอนเหอะ ลากเพื่อนมึงไปด้วยนะเว้ย” ผมพยักพเยิดไปที่เพื่อนมันที่นอนอยู่นอกเสื่อ มันพยักหน้าหงึกๆ ผมดื่มไปอึกสองอึก ไม่ค่อยอยากดื่มต่อเท่าไหร่ ไฟในเตาดับไปแล้ว ผมเก็บขยะจนเหลือแต่เบียร์กับของที่ยังกินต่อได้ ไอ้ปิ๊กมันยังนั่งแดกต่อเรื่อยๆ ผมดื่มไปแค่ครึ่งแก้ว ระหว่างที่เดินไปเอาถุงดำไปทิ้งถังขยะที่อยู่ไม่ไกล ผมเบลอๆ นิดหน่อยเหมือนเวลามึนๆ จากเบียร์

“ฮูว แดกไปหน่อยเดียวเอง” ผมบ่นพึมพำแล้วเดินกลับมาที่เดิม ไอ้ปิ๊กมันเก็บกระป๋องเบียร์ที่เหลือใส่ถุงดำ คงดื่มหมดแล้ว ส่วนพี่ท็อปนอนสลบเหมือด

“เฮ้ยพี่ ป่ะ ไปนอนได้แล้ว” ผมเขย่าตัวพี่ท็อปเบาๆ แต่ไม่ตอบโต้อะไรเหมือนหลับไปแล้ว ผมพยายามดึงพี่ท็อปให้ลุกแต่ไม่ไหว

“เฮ้ยมึง มาช่วยหน่อยดิ หนักฉิบ” ผมเรียกไอ้ปิ๊ก มันรีบเข้ามาช่วยดึงพี่ท็อปที่สะลึมสะลือขึ้นมาครางอืออาแค่นั้น ผมกับไอ้ปิ๊กช่วยประคองพี่ท็อปไปที่เต็นท์ แต่เหมือนช่วงจังหวะที่ลุกขึ้นยืนทำเอาผมหน้ามืดเซถอยหลังเหมือนจะล้ม

“เฮ้ยๆ พี่ เดินดีๆ ดิ” ไอ้ปิ๊กบอกแล้วหัวเราะ ผมมองหน้ามันนิ่งๆ เสียงหัวเราะมันขัดหูผมชอบกล ความรู้สึกสังหรณ์ใจขึ้นมาทันที อยู่ๆ ผมก็ไร้เรี่ยวแรงขึ้นมาซะอย่างนั้น รู้สึกเวียนหัวขึ้นมาเหมือนจะเป็นลม

“เชี่ย...อะไรวะ” ผมพึมพำ ก่อนจะทรุดตัวลงอย่างหมดแรง อยากจะอ้วกออกมา ภาพรอบตัวเหมือนเบลอๆ อย่างกับว่าโดนยางั้นแหละ

เหมือนผมได้สติกลับมาก่อนจะนึกทบทวนเหตุการณ์ต่างๆ ผมเมาง่ายเกินไป พี่ท็อปก็ด้วย ผมเงยหน้ามองไอ้ปิ๊กที่พยุงพี่ท็อปอยู่ มันแค่ยิ้มมาให้ก่อนจะลากพี่ท็อปเข้าไปข้างในเต็นท์ ผมได้ยินเสียงคนเดินรอบๆ ตัว

“เฮ้ย เร็วๆ ดิ ค้นดูตามกระเป๋าด้วย” เสียงผู้หญิงดังขึ้น ผมรู้แน่ชัดแล้วว่าคงโดนมอมยาแน่นอน เห็นไอ้ปิ๊กมันกำลังค้นของในเต็นท์ผมอยู่ พี่ท็อปไม่ได้สติ ผมพยายามประคองตัวขึ้นลุกแต่รู้สึกเหมือนมีคนล็อกตัวไว้ ที่แท้ก็ไอ้คนที่แกล้งทำเป็นเมานั่นเอง

“พวกมึงทำเชี่ยอะไรวะ” ผมพยายามจะตะโกนให้เต็นท์อื่นๆ ได้ยินแต่ไม่ไหว แค่พูดเบาๆ เหมือนคนไร้เรี่ยวแรง มันพยายามล้วงกระเป๋ากางเกงหาเงิน ในตัวผมพกแค่ไม่กี่พัน ของมีค่าอยู่ในเต็นท์หมด

“ลากมันไปที่อื่นดิเดี๋ยวคนเห็น” เสียงผู้หญิงดังขึ้น ผมพยายามตั้งสติแต่เหมือนว่าฤทธิ์ยาเริ่มออกมากขึ้น ผมเดินเซไม่มีแรงเหลือให้ต่อต้าน มันลากผมไปตามทางก่อนจะหยุดอยู่ที่หลังแนวพุ่มไม้บริเวณป้ายไม้อันใหญ่ ไม่มีแสงไฟให้เห็นพอจะบดบังให้ลอดสายตาคนได้ ส่วนผู้หญิงมันพยายามถอดเสื้อผมออก

“จะ..ทำอะไร” ผมเค้นเสียงออกมา พยายามมองพวกมันสองคน ไอ้ผู้ชายมันดึงเงินออกจากกระเป๋ากางเกง มันพยายามดึงสร้อยนาฬิกาของผมอันที่พี่ท็อปให้มา“อย่านะเว้ย” ผมพยายามหนี แต่มันดึงออกไปได้ ทำเอาผมแสบคอเพราะแรงกระชาก

“สวยดีอะ เสียดาย แต่เอาไปขายน่าจะได้ราคาเนอะ” ผู้หญิงมันพูด

“มึงจะทำอะไรก็ทำ ไอ้ปิ๊กมันคงได้มาเยอะแน่ๆ” อีกคนพูดก่อนจะไปดูลาดเลาข้างๆ ผมพยายามบอกตัวเองว่าอย่าหลับๆ แต่เหมือนหนังตาเริ่มหนักเข้าไปทุกที อีผู้หญิงนี่มันจะทำอะไรกันแน่ อย่าบอกนะว่าจะ....

“หน้าตาก็ดีแม่งไม่น่าเป็นเกย์เลยวะ เสียดาย แต่ไม่เป็นไร” มันหัวเราะกับเพื่อนมันเหมือนสนุกสนาน รู้แบบนี้ไม่ให้มันเข้ามาร่วมวงด้วยตั้งแต่ที่แรก พวกมันวางแผนมาดีมาก อาจจะไม่ใช่ครั้งแรก ผมพยายามปัดป้องแต่แขนมันหนัก เรี่ยวแรงไม่มีแล้ว รู้สึกแค่ว่ากางเกงของผมกำลังถูกถอดช้าๆ กับหน้าของผู้หญิงโฉดนี่ค่อยๆ เลือนหายไป
ไม่นะเว้ย...อย่าเพิ่งหลับสิวะ...

จริงๆ ผมเป็นห่วงพี่ท็อป เหมือนอาการหนักกว่าผมอีก อยู่กับไอ้เชี่ยปิ๊กนั่นจะทำอะไรพี่ท็อปหรือเปล่าเหมือนที่ผู้หญิงคนนี้กำลังทำกับผมอยู่ผมสู้ไม่ไหวกับฤทธิ์ยา สติดับมืดลง

ผมอยากให้ทุกอย่างเป็นแค่ความฝัน เรื่องโง่ๆ ที่เกิดขึ้นเพราะความประมาทของตัวเองแท้ๆ ไม่น่าไว้ใจคนแปลกหน้า ผมไม่อยากตื่นมาพบกับความจริงว่าถูกหลอก มันโง่มากๆ

โง่ฉิบ....

เสียงรอบกายดังเหมือนคนคุยกันวุ่นวาย เสียงคนเดิน

“จะเป็นอะไรมากไหมครับเนี่ย” เสียงผู้ชายดูมีอายุน่าจะวัยกลางคน ฟังน้ำเสียงแล้วเจือความเป็นห่วงอยู่

“อีกไม่นานก็ฝืนแล้วครับ โดนยานอนหลับเข้าไป” เสียงผู้ชายทุ้มๆ กระฉับกระเฉงตอบกลับไป เสียงพลิกกระดาษไปมา

“ไม่น่าเชื่อเลยนะคุณ อยู่ใกล้ๆ เราแท้ๆ ตอนแรกนึกว่ามาด้วยกันซะอีก” เสียงผู้หญิงสูงวัยพูดตามเบาๆ
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่...พี่ท็อปหายไปไหนผมพยายามลืมตา เห็นแสงสว่างจ้าจากตรงหน้าจนต้องหลับตาลงอีกครั้ง ผมได้ยินเสียงรอบข้างพูดว่า“ตื่นแล้วๆ” กันให้วุ่น ผมปรับสายตาให้ชินกับแสงดังกล่าว ที่แท้ก็เป็นแสงแดดจากหน้าต่างกับแสงไฟบนเพดาน ผมมึนเบลออยู่นาทีหนึ่ง พยายามไล่เรียงเรื่องราวในเหตุการณ์ แต่ผมจำอะไรไม่ได้เลยจริงๆ มันเกิดอะไรขึ้นก่อนหน้านั้นกัน ผมจำได้แค่ว่ามีวัยรุ่นมาขอนั่งดื่มด้วยและถูกมอม จำได้แค่นี้จริงๆ รายละเอียดหลังจากนั้นจำไม่ได้เลย

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-01-2018 16:43:01 โดย RindadaRin »

ออฟไลน์ รินดาwดาริน

  • OnTop&N'Song
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +243/-2
“เป็นยังไงบ้างไอ้หนุ่ม ไม่ต้องตกใจๆ ตอนนี้ปลอดภัยแล้วนะเรา” ผมมองเห็นเป็นผู้ชายร่างท้วมกับเสื้อโปโลสีฟ้า ใบหน้าใจดีหัวล้านหน่อยๆ ส่งยิ้มอ่อนโยนมาให้ข้างๆ มีผู้หญิงวัยใกล้เคียงกันส่งยิ้มปลอบมาผมมองไปรอบๆ ห้อง ตอนนี้นอนอยู่บนเตียงในห้องสี่เหลี่ยมเป็นห้องไม้สักสีน้ำตาล ลักษณะเหมือนของป้อมบริการนักท่องเที่ยวแสดงว่าที่นี่คือที่อุทยานสินะ ผมลุกขึ้นนั่ง

“แล้ว...ฟะ...พี่ผมล่ะครับ เขาเป็นยังไงบ้าง” ผมนึกถึงพี่ท็อป รู้สึกกลัวคำตอบที่จะได้ยิน ลุงผู้ชายพยักหน้ายิ้ม

“อ๋อ คนนั้นปลอดภัยดี ตอนนี้อยู่ที่สถานีตำรวจ ไปให้ปากคำอยู่ไม่ต้องห่วงนะพ่อหนุ่ม ไอ้โจรเด็กนั่นโดนจับได้คนนึง เดี๋ยวลุงเล่าให้ฟังนะ โชคดีที่ลุงปวดท้องเลยกะว่าจะไปเข้าห้องน้ำ แต่ได้ยินเสียงเหมือนคนกำลังสู้กันอยู่เลยลุกออกไปดู เห็นว่าเป็นเต็นท์ของพ่อหนุ่มสองคนนั่นเอง เหมือนมีคนทะเลาะกันด้านในเต็นท์เต็นท์พังเลยแน่ะ แฟนของพ่อหนุ่มน่ะเขาโดนมอมเหมือนกัน แต่รู้สึกตัวก่อนเลยต่อสู้กับไอ้เด็กนั่นอยู่ ลุงเลยไปช่วยจับแล้วก็เรียกพนักงานมาช่วยด้วย” ผมนั่งฟังแล้วขมวดคิ้ว พี่ท็อปได้สติขึ้นมางั้นเหรอ แต่ที่ผมเห็นคือพี่ท็อปไม่ค่อยมีสติ พี่ท็อปนี่เหลือเชื่อจริงๆ

“โชคดีใช่ไหมล่ะ พ่อหนุ่มคนนั้นบอกว่าเป็นเพราะอ้วกไปก่อนหน้านั้นเลยทำให้ฤทธิ์ยาน้อยลงน่ะ เขาวิ่งไปช่วยเราจากไอ้เด็กสองคนนั่น...เกือบไปแล้วเชียวนะ” ลุงลูบไหล่ผมอย่างปลอบโยน ผมยิ้มบางๆ พี่ท็อปนี่สุดยอดไปเลยนะ ตอนแรกนึกว่าจะแย่ซะแล้วเห็นหมดสภาพกว่าผมอีก ให้ตายเถอะ ไอ้เด็กเวร ถ้าเจอตัวนะจะขอชกปากสักสามสี่หมัดให้หน้าหงาย

“ขอบคุณมากนะครับ แล้วผมต้องไปให้ปากคำที่โรงพักตอนไหนครับ ตอนนี้ผมโอเคแล้วครับ” ผมบอก ระหว่างนั้นประตูห้องเปิดออก เป็นพนักงานของอุทยาน

“สวัสดีครับผมเป็นเจ้าหน้าที่ของอุทยาน ก่อนอื่นผมต้องขอประทานโทษจริงๆ ครับที่เกิดเหตุแบบนี้ขึ้น ทางเราจะประสานกับทางสน.ให้เร่งจับคนร้ายอีกสองรายที่หลบหนีไปได้ แต่คาดว่าไม่นานก็จับตัวได้ครับเพราะเป็นเด็กในพื้นที่ น่าจะเคยก่อคดีในลักษณะนี้มาก่อนหน้านี้แล้ว” ไม่นานทางเจ้าหน้าที่ระดับสูงของอุทยานก็เข้ามาพูดกับผมแล้วพร้อมจะจ่ายค่าทำขวัญให้เพราะเหตุเกิดในอุทยาน ทางอุทยานขอโทษที่ไม่ได้รักษาความปลอดภัยให้รัดกุมกว่านี้ แต่ผมไม่ได้ถือโทษอะไร ขอแค่ให้จับคนร้ายให้ได้ก็พอ

ตอนนี้ที่ตัวผมไม่มีเงิน ไม่มีโทรศัพท์เลย อยากโทรหาพี่ท็อปจังแฮะ ผมต้องไปให้ปากคำที่สน.อีกเลยขอยืมโทรศัพท์จากเจ้าหน้าที่ที่พาผมไปสน. ผมโทรหาพี่ท็อป ดีนะที่จำเบอร์พี่ท็อปได้ขึ้นใจรอสายไม่กี่ตู๊ดพี่ท็อปก็รับสายทันที

[สอง โอเคแล้วนะ ปลอดภัยแล้วใช่ไหม]เสียงพี่ท็อปดูร้อนรนและเป็นห่วงผมมาก ผมยิ้มสบายใจ

“ครับ ผมไม่เป็นอะไรหรอก แล้วพี่ล่ะโอเคไหม เจ็บตรงไหนไหม” ผมถาม หวังว่าไม่เจ็บอะไรมาก พี่ท็อปหัวเราะเบาๆ

[เออน่า กูซะอย่าง ไม่เจ็บหรอก นี่โชคดีนะที่กูมีสติขึ้นมา ไอ้เชี่ยนั่นมันก็มึนๆ อยู่เหมือนกันแรงเลยน้อยลง ไม่ต้องห่วงนะเว้ย เดี๋ยวก็จับไอ้สองตัวนั่นได้ มันเคยทำมาแล้วสองสามครั้ง มีประวัติอยู่ เดี๋ยวก็โดนจับ กูจะซัดสักทีสองทีทั้งผู้หญิงผู้ชายเลยแม่ง ริอาจมาทำแฟนกู] พี่ท็อปพูดติดตลกเหมือนไม่อยากให้ผมซีเรียสมากไปกว่านี้ ผมกัดปากหาคำพูดอื่น ตอนแรกมีคำถามมากมาย พอมาตอนที่ได้ยินเสียงพี่ท็อปแล้วผมคิดอะไรไม่ออก

“อือ ผมเชียร์เต็มที่ จะกระทืบซ้ำด้วยแหละ....ถ้าพี่ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วมันทำอะไรพี่หรือเปล่า...” ผมถาม

[ไม่หรอก มันแค่จะเอาของมีค่าแต่เราไม่ได้เอาอะไรมามาก มีแค่เงินกับกุญแจรถมึง ถ้ากูไม่ซัดมันก่อนมันคงจะเอารถมึงไปด้วยแน่ๆ กูไม่เป็นอะไรจริงๆ ไอ้สอง เห็นแบบนี้กูแข็งแรงนะ ไม่อย่างนั้นกูคงไม่ฟื้นจากฤทธิ์ยามาง่ายๆ หรอก ตอนนี้กูให้ปากคำเสร็จแล้ว เหลือแต่มึง... ตอนนี้จำอะไรได้ไหม] ผมหลับตานึกแต่จำอะไรไม่ได้เหมือนเดิม

“ไม่เลยพี่ จำไม่ได้จริงๆ มันเอาอะไรมอมเราวะพี่”

[ตำรวจกำลังเอาไปตรวจอยู่ กำลังรอผล คงไม่ใช่ยาที่หาได้ทั่วไปเห็นเขาว่ามาแบบนั้น]พี่ท็อปพูด ผมพยายามนึกไอ้เรื่องยามอมผมก็พอมีความรู้ ปกติถ้าจะมอมน่าจะเป็นพวกยานอนหลับ แต่ชนิดไหนก็อีกเรื่องหนึ่ง ไอ้เด็กพวกนี้ดูท่าทางแล้วยังไม่บรรลุนิติภาวะเลย ไปเอายามาจากไหน ร้านยาคงไม่ขายให้แน่ๆ นอกจากแพทย์ออกใบสั่งยาให้

“อีกเดี๋ยวผมจะถึงโรงพักแล้ว” ผมบอก พี่ท็อปส่งเสียงตอบรับ

[ถ้านึกไม่ออกก็ไม่ต้องเค้นออกมาหรอก อาจเป็นเพราะยาล่ะมั้ง]

“อื้อ งั้นแค่นี้นะครับ” ผมวางสายแล้วคืนโทรศัพท์ให้เจ้าหน้าที่ไป จากนั้นรถก็เลี้ยวเข้าไปยังสถานีตำรวจของเขตนี้ ชีวิตผมคงต้องมาเหยียบโรงพักจริงๆ ด้วยแฮะ

เมื่อมาถึงโรงพักก็เห็นพี่ท็อปนั่งอยู่ที่เก้าอี้ติดกับริมห้อง ท่าทางเหมือนคนไม่ได้นอน อิดโรยนิดๆ ใบหน้ามีรอยฟกช้ำสองจุด นอกนั้นก็ปกติดี ผมยิ้มให้พี่ท็อปก่อนจะไปให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ

“ทรัพย์สินมีค่ามีอะไรหายไปอีกไหมครับ”

“มีสร้อยคอ โทรศัพท์ เงินประมาณสองสามพันแล้วก็นาฬิกาครับ...” ผมตอบเพลียๆ ไม่ค่อยชอบบรรยากาศโรงพักเลย เด็กที่จับตัวได้อายุไม่ถึงสิบแปดเลยถูกคุมตัวไว้ พ่อแม่หรือผู้ปกครองก็ติดต่อไม่ได้ ผมไม่ได้เห็นสภาพมันเลย ตำรวจให้เล่าเหตุการณ์ให้ฟัง แต่พอถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับผม ผมนึกไม่ออกจริงๆ

“ผมจำไม่ได้เลยครับ จำได้เท่าที่เล่าไป” ผมบอก

“โอเคครับ เรื่องต่อจากนี้ผู้เสียหายอีกคนได้เล่าให้ฟังแล้วครับ แต่ผมอยากให้แน่ใจจริงๆ เลยถามจากคุณอีกครั้ง ยังไงรอผลตรวจจากทางแล็บ สรุปแล้วเป็นยานอนหลับชนิดไหน ช่วยเซ็นชื่อตรงนี้ด้วยครับ” ผมเซ็นชื่อลงในใบบันทึกแจ้งความ ที่เหลือก็รอผลตรวจกับรอจับไอ้โจรสองตัวนั่นให้ได้ ผมเดินไปหาพี่ท็อป

“ไง หมดสภาพไปเลยนะ” พี่ท็อปหัวเราะเบาๆ แล้วส่ายหน้า

“หึ เซ็ง หมดสนุกไปเลย ห่วยแตกจริงๆ” ผมบ่นก่อนจะสำรวจไปตามตัวพี่ท็อปว่ามีอะไรเสียหายอีกไหม

“มึงปลอดภัยก็ดีแล้ว มึงเกือบโดนผู้หญิงปล้ำซะแล้ว เสียชื่อจริงๆ”

“เหอะ อย่าพูดดิพี่ เรื่องนี้เหยียบไว้เลยนะ” ผมบอก รู้สึกอับอายขึ้นมาทันที เสียท่าจริงๆ พี่ท็อปยิ้มแล้วจับมือผมแป๊บเดียวก่อนจะปล่อย

“ขอบคุณพระเจ้าที่กูไปทัน บางทีถ้ากูไม่ได้สติขึ้นมา นอกจากกูจะเสียทรัพย์สินแล้วกูก็คงเสียมึงไปให้อีผู้หญิงนั่นกับไอ้เด็กเวรนั่นด้วย จริงๆ นะ มึงอาจเสียท่าให้สองคนนั้นก็ได้ เพราะมึงแม่งหมดสติไปแล้ว มันจะเป็นยังไงถ้ามึงอยู่สภาพนั้น รถมึงคงโดนขโมยไปด้วย กูกับมึงคงหมดท่าจริงๆ” พี่ท็อปถอนหายใจแล้วหลับตา

“ขอบคุณนะพี่ที่มาช่วยผมทัน ต้องขอบคุณที่พี่อ้วกออกมา” ผมพยักหน้าไปด้วยแล้วหัวเราะแห้งๆ

“อือ เห็นไหมสามีคนนี้เก่งแค่ไหน” พี่ท็อปพูด แต่ผมก็ขำออกนะ

“พอเลย เลิกพูดได้แล้วน่า เราต้องกลับวันนี้นะพี่” ผมบอก แต่ตอนนี้รู้สึกเหนื่อยจริงๆ ไม่มีแรงขี่รถกลับแน่ๆ ลืมนึกถึงของฝากไอ้ผิงเลยด้วย

“จริงๆ ต้องขอบคุณคุณลุงด้วยนะที่มาช่วยกูทันพอดี ทำให้กูวิ่งไปช่วยมึงได้” พี่ท็อปพูดต่อ ผมไม่ได้ถามว่าผมโดนทำอะไรไปบ้าง อันที่จริงเนื้อตัวผมก็ไม่มีอะไรเสียหายหรือร่องรอยอะไร ผมไม่อยากรู้หรอก

“อือ ต้องไปขอบคุณอีกรอบ” ผมบอก“พี่ได้พักบ้างไหม นอนก่อนก็ได้นะ”

“ไม่ง่วงแล้ว ใครจะหลับลง” พี่ท็อปยิ้ม

จากนั้นผลตรวจยาก็ออกมาพบว่าเป็นยาโดมิคุม เป็นยานอนหลับ ซึ่งออกฤทธิ์เร็ว ภายในระยะเวลาไม่ถึง 5 นาที ถ้าเป็นเม็ดก็กินแค่เม็ดจิ๋วๆ เม็ดเดียวเท่านั้น จึงง่ายที่จะผสมในเครื่องดื่มได้ คนที่กินเข้าไปจะหลับลึก ปลุกหรือเขย่าไม่ตื่น  และคุณสมบัติเด่นคือ ทำให้นอนหลับ และฤทธิ์ทำให้สูญเสียความทรงจำชั่วขณะ ทำให้ไม่สามารถจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างที่หลับได้ แต่ที่สำคัญกว่า คือการจะครอบครองยาชนิดนี้ต้องมีใบสั่งแพทย์ถึงจะซื้อได้

แค่นี้พวกมันก็โดนไปหลายกระทง ทางตำรวจจึงไปสอบปากคำกับเด็กคนนั้นว่ามียาได้อย่างไร เด็กนั่นบอกมาว่าขโมยมาจากป้าที่ป่วยเป็นโรคนอนไม่หลับ แค่ข้อหามียาชนิดนี้ก็โดนหนัก ปรับหลายหมื่นหรือจำคุก แต่คงลดนั่นแหละเพราะเป็นเยาวชนคงถูกส่งตัวไปที่สถานพินิจฯ ต้องรอให้ครบยี่สิบสี่ชั่วโมง

“เอาไงดีพี่ กว่าจะจับไอ้สองคนนั้นได้ต้องหลายวันแน่เลย”

“อืม งั้นเราก็ปล่อยให้ตำรวจจัดการไปก่อน ถ้าจับอีกสองคนได้ค่อยมาให้การเพิ่ม” พี่ท็อปบอก เราเลยต้องปล่อยให้ตำรวจจัดการไปก่อน ทิ้งข้อมูลติดต่อไว้ ถึงยังไงก็มาแจ้งความแล้ว แต่ผมอยากได้ของคืน ไม่แน่ใจว่าของจะยังอยู่ครบไหม หลังจากที่จัดการเรื่องเอกสารอะไรเรียบร้อยแล้ว ผมกลับมาที่อุทยานเก็บข้าวของแล้วไม่ลืมขอบคุณ คุณลุง คุณป้าที่ช่วยเราได้

“มึงขี่รถไหวไหม พักก่อนแล้วค่อยกลับดีไหม ไปคลินิกตรวจร่างกายเพิ่มก็ดีนะ” พี่ท็อปบอก มองผมอย่างเป็นห่วง ผมส่ายหน้า


“ไม่เป็นอะไรมากหรอกพี่ ผมไม่อยากอยู่นานเท่าไหร่” ผมบอก ทางอุทยานขอโทษขอโพย ผมกับพี่ท็อปไม่ได้โทษทางอุทยานเท่าไหร่ ใครจะไปรู้ว่าจะเกิดเรื่องขึ้น แต่ทางนั้นยืนยันว่าจะจ่ายค่าเสียหายให้เลยให้ข้อมูลติดต่อไว้ แล้วผมก็ได้ของฝากมาฟรี สร้อยข้อมือของไอ้ผิงที่สั่งผมไว้ อย่างน้อยก็ได้มาฟรีๆ

พี่ท็อปอาสาขี่ขากลับ ผมเป็นห่วงพี่ท็อปมากกว่า ท่าทางอิดโรยกว่าผมอีก

“ไม่ต้องหรอกพี่ เดี๋ยวหลับในขึ้นมาหรอก ผมไม่เป็นอะไร แข็งแรงฟิตปั๋งน่า” ผมบอก แต่โชคดีมากที่ทางอุทยานอาสาไปส่ง ส่วนรถให้คนขับตามไป ตอนแรกลังเลนิดหน่อยแต่แบบนี้มันปลอดภัยกว่า ในเมื่อเจ้าหน้าที่อาสาเองผมก็ไม่ปฏิเสธหรอก

บทเรียนจากทริปนี้คืออย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคน เป็นบทเรียนที่คุ้มค่าทีเดียว
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-01-2018 16:44:21 โดย RindadaRin »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
โอ๊ย คู่รักทางวิบาก ท็อป-สอง โอ๋เอ๋นะ มันผ่านไปแล้ว ดีนะที่ไม่เป็นอะไรมาก โดนยามอมสาวเท่านั้นเอง
ที่ผ่านมาถือว่าฟาดเคราะห์ หวังว่าจะราบรื่นเน้อหลังจากนี้ รอพี่ท็อปฟิตหุ่น อิอิ
ส่วนยิมผิงดูแลกันไปมา น่าอิจฉาเหมือนกันนะเพียงแต่ว่ายังขาดความชัดเจน เอ้า ยิม กล้าๆหน่อยจร้า

พี่ดีนแกดูหม่นหมองจังเนอะ   :mew1:
ขอบคุณคนเขียนจ้า

ออฟไลน์ sweetbasil

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 807
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-3
ขนาดเป็นผู้ชายไปเที่ยวยังอันตรายเลยนะเนี่ย
ดีแล้วที่สองไม่เป็นอะไรมาก
สงสารพี่ดีนเหมือนกัน
อยากรู้ยิมผิง :z1:

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
เฮ้ออออ โชคดีไปนะท็อป-สองที่ไม่เป็นอะไรมากแถมยังจับตัวคนร้ายและได้ของคืนอีกถือว่าฟาดเคราะห์แล้วกันนะหลังจากนี้จะได้มีความสุขกันมากๆ มาตอนนี้นี่แอบลุ้นคู่ผิงยิมมากอะตกลงสองคนนี้จะเอาไงกันแน่ เชียร์ให้ยิมจีบผิงจริงจังสักที ส่วนพี่ดีนคงหนีไม่พ้นเรื่องเฮียแกนแน่ๆอะจะคิดทำอะไรก็ตัดสินใจดีๆนะพี่ดีน

ออฟไลน์ brookzaa

  • Chill out
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1416
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-6
เอาตรงๆตอนนี้ แบบสนใจเรื่องของดีนมากเลย อยากรูที่สุดเพราะคู่อื่น มันก็นะ

ออฟไลน์ Primjai

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 1
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ชื่อเรื่องสะดุดตาสะดุดใจมาก  :hao7:
เข้ามาทันทีทันใด

สนุกมากอ่ะ อ่านกันตาแฉะเลยทีเดียว ถึงตอนที่ 5 อยู่ ลุ้นๆ

ออฟไลน์ flimflam

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 881
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-4
นั่นน ขนาดสองยังเริ่มจับได้เลยนะ
ไม่เนียนอะไม่เนียน แอบไปกุ๊กกิ๊กกันตอนไหน ยังไง หึหึ 555555555

แอบเห็นพี่ดีนโผล่มาแว้บๆ นี่เริ่มชอบเฮียแกขึ้นมา T__T
เป็นกำลังใจให้เฮียนะ :o8:

ออฟไลน์ fahsida

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
เซ้นท์สองแม่นเวอร์แต่นางดันไม่คิดไรนี่ดิ เกือบไปแล้วววววว

เราชอบที่สองคุยกับพี่ดีนนะ เหมือนจะเป็นแนวให้คิดตามไปในตัว

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
ใจหายแว่บ นึกว่าจะโดนหนักและ

ฟาดเคราะห์ไปนะ

ออฟไลน์ Rhythm

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
 :เฮ้อ: นึกว่าสองจะเสร็จโจรสาวซะแล้ว ดีนะที่ พี่ท็อปอ๊วกแตกออกมาซะก่อน คุณลุงมาช่วยไว้ทัน
พี่ท็อปนี่ก็เล่นมุกสามีได้ทุกสถานการณ์เลยจริงๆ (ซึ่งเราชอบ  :hao7:) .....เร็วๆ นี้ สองไม่รอดแน่ๆ  :hao3:

สงสัยยิมจะโทรมาหาผิงเพื่อบอกว่า เอาข้าวเอาน้ำมาส่งให้แน่เลย แต่ผิงดันหลับซะนี่  เหมือนผิงจะเครียดมากๆ เลยนะ ยิมคงต้องชัดเจนกว่านี้

เรื่องพี่ดีนก็ยังน่าสงสัยอยู่ ไม่รู้ว่าพี่แกจะดึงสองเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยทำไม สนใจกันจริงๆ หรือให้เป็นแค่หมากตัวหนึ่ง  :hao4:




ออฟไลน์ kukkikkooka

  • insomnia~
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 287
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-3
ยิมผิงเมื่อไหร่จะเปิดตัวววว คิคิ

สองนี่เจอแต่เรื่องเนอะ เอ้ออออ พี่ท็อปดูแลดีๆนะ

เฮียดีนนี่ต้องมีอะไรในใจแน่ๆ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด