เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียงวิศวะ ตอนพิเศษ 14.11.62 อัปจ้า
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียงวิศวะ ตอนพิเศษ 14.11.62 อัปจ้า  (อ่าน 248854 ครั้ง)

ออฟไลน์ Kaemmiizz

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 727
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-4
ถือว่าฟาดเคราะห์ไปนะท็อปสอง หลังจากนี้หวังว่าจะมีแต่เรื่องดีๆเกิดขึีนนะ รอให้พี่ท็อปกลับมาฟิตเหมือตเดิม สองจะได้มีผัวเป็นตัวเป็นตนซะที สองไม่เหมาะจะเป็นผัวหรอก เหมาะเป็นเมียมากกว่า
พี่ดีนแกคิดจะทำไรของแกนะ แต่ดูหม่นหมองจัง
รอเปิดตัวนะจ๊ะ ยิมผิง

ออฟไลน์ nutty

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1142
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-3
เพิ่งได้อ่านเรื่องนี้ สนุกแบบอารมณ์สีเทาดี
คู่เอกผ่านเรื่องร้ายมาแล้วกลับมาคืนดีกัน
พี่ท็อปน่ารัก สองก้อขี้อ้อนรักกันดี 555

คู่สองคงใกล้เปิดตัวแล้วมั้ง ผิงน่าจะคิดตกล่ะ
คู่สามเพื่อนแค้นขอให้แกนดีนได้กันที
สามสิบตอนสั้นไป ไหนๆมีสามคู่แล้ว
40ตอนอัพพลีส

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
คิดถึงท็อปสอง ยิมผิงแล้วนะ รอตอนต่อไปอยู่นะคะ

ออฟไลน์ Ladyliu_HJL

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 2
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
โอยยยย
แต่เริ่มก่อเหตุก็แซ่บแล้ว
ขอไปแซ่าบต่อก่อนนะคะ  :hao7:

ออฟไลน์ Dark_Noah

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 838
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-3
เพิ่งมาอ่าน สนุกดีนะคะ ขอตามก่อน  :katai2-1:

ออฟไลน์ minneemint

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1632
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-0

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
เข้ามารออยู่นะ  :mew2:

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
 :mew2: มาต่อเถอะค่ะ

ออฟไลน์ รินดาwดาริน

  • OnTop&N'Song
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +243/-2
ตอนที่ 19 พิรุธของผิงกับเรื่องของพี่ดีน

หลังจากกลับมาจากทริปได้หนึ่งอาทิตย์ เรื่องคดีตำรวจจับเด็กอีกสองคนได้แล้ว ส่วนของกลางที่เอาไปยังอยู่ครบ ผมปล่อยให้ทนายจัดการแทนเพราะไม่อยากใจอ่อนกับบรรดาพ่อแม่ผู้ปกครองของเด็กพวกนั้นเท่าไหร่ ผมไม่ได้เล่าให้คนอื่นฟังเพราะกลัวเสียชื่อ จะรู้ก็แค่เพื่อนสนิทอย่างไอ้ผิงไอ้โก๋แค่นั้น ดีนะที่มันรู้กาลเทศะไม่แซวหรือปากหมาใส่ตอนนี้ชีวิตกลับมาเข้าที่เข้าทางเหมือนเดิม พี่ท็อปวุ่นอยู่กับการทำวิจัยให้ทันกำหนดส่ง ประมาณเดือนครึ่งคงไม่เห็นหน้าเห็นตาพี่ท็อปสักระยะ ไหนจะต้องไปเก็บข้อมูลลงพื้นที่อีก ส่วนผมก็ทำงานชิ้นใหญ่อีกหนึ่งชิ้นเพื่อส่งมิดเทอม งานช้างอีกแล้ว

“อะ ของที่มึงสั่ง” ผมโยนถุงสร้อยข้อมือไปให้ไอ้ผิงที่นั่งเย็บกระเป๋าจากผ้าบาติก ไม่ต้องแปลกใจหากว่าผู้ชายเฉกเช่นพวกผมเย็บปักถักร้อยเป็น เพราะถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของศิลปประยุกต์อีกแขนงหนึ่ง แต่ผมไม่นิยมเอามาใส่ในงานเท่าไหร่ แต่ไอ้ผิงมันครีเอทแบบไทยๆ มันเรียนวิชาเลือกลายไทย ทำให้งานของมันต้องมีลวดลายหยึกๆ หยักๆ แบบไทยอยู่เสมอ หลายใจจริงๆ ไม่เลือกไปสักทางหนึ่ง จะพู่กันจีนหรือจะลายไทยกันแน่ สงสัยที่ไอ้โก๋บอกว่ามันสับสนในชีวิตคงจะจริง

“โห กว่าจะได้ต้องให้ทวง” ไอ้ผิงเงยหน้าจากงาน ผมลากเก้าอี้มานั่งที่บล็อกของมัน บล็อกอย่างกับรังหนู

“ของฟรีแท้ๆ ยังจะมาเร่งอีก แล้วนี่มึงรับหลายงานจังวะ เพลาๆ บางเหอะ เดี๋ยวทำงานหลักไม่ทันนะมึง”

“แล้วไง มีมึงทั้งคนนะเว้ย ช่วยกูเหมือนที่กูช่วยมึงไง กูกำลังลำเลิกบุญคุณกับมึงอยู่นะ” ไอ้ผิงหัวเราะหึๆ ผมพยักหน้ามองมันอย่างใคร่ครวญ จนมันหยุดทำงานเงยหน้ามองผมตาปริบๆ แล้วจ้องกลับ

“มีอะไรวะ กูหล่อขนาดที่ว่ามองตาค้างเลยเรอะ” ไอ้ผิงหัวเราะ

“หึหึ มึงสับสนอะไรในชีวิตเหรอวะ ไอ้โก๋บอกกู กูก็ว่าพักนี้มึงทำตัวประหลาดขึ้นทุกที มีอะไรวะ บอกกูได้นะเว้ย กูกับมึงมีความลับต่อกันเหรอวะ กูบอกมึงทุกเรื่องนะเว้ย” ผมบอกมัน ที่จริงเป็นห่วงมัน มันหมกมุ่นอยู่กับงานมากเกินไป รับงานเยอะจนแทบไม่มีเวลาปลีกตัวไปไหนกับเพื่อนฝูงไอ้ผิงถอนหายใจส่ายหน้า

“รอให้แน่ใจก่อนแล้วกัน มึงคงช็อกอะ” ไอ้ผิงทำตาอิดโรยเหมือนคนอดนอนมาให้

“เรื่องอะไรกันแน่วะ เรื่องงานเหรอ ให้กูช่วยสักงานเหอะ มึงมีร่างเดียวนะเว้ย ถ้าเกิดชนกันมึงจะทำยังไง เดี๋ยวงานเอกเดี๋ยวงานคณะ ไหนจะงานนอกอีก” ผมตบๆ ไหล่มันอย่างเป็นห่วง ไอ้ผิงถอนหายใจ

“อืม อาทิตย์นี้จะเคลียร์งานนอกเสร็จแล้ว กูอยากนอนว่ะ สองวันมานี้กูไม่ได้หลับเลยนะเว้ย ง่วงจะตายห่า กูต้องตายแน่ๆ เลยมึง” ไอ้ผิงโอดครวญแบบโอเว่อร์ ทุกทีก็เห็นมันบอกว่าจะตายๆ หลายครั้งเป็นประจำ แต่ครั้งนี้ดูจากสภาพก็ใกล้ละ ผมส่ายหน้า

“เอามานี่เดี๋ยวกูทำเอง บอกมาว่าให้ทำอะไรต่อ มึงไปนอนเอาเรี่ยวเอาแรงก่อนเหอะ ตาจะปิดอยู่แล้วเดี๋ยวเข็มแทงมือหรอก” ผมแย่งงานมาจากมัน คงเป็นงานนอกแน่ๆ มันก็ไม่ขัดสนเรื่องเงินเลยสักนิดจะรับงานนอกมาเพิ่มภาระให้ตัวเองทำไม ไอ้ผิงหาวนอนก่อนจะบอกรายละเอียดงานให้ผมแล้วเดินเป็นซอมบี้ไปนอนท้ายห้อง

ผมส่ายหน้าก่อนจะนั่งเย็บกระเป๋าให้มัน อย่างกับพวกป้าๆ ทำงานเลยแฮะ สินค้าโอท็อปอะไรเทือกๆ นั้น ผมโทรหาไอ้โก๋ต้องเกณฑ์มันมาอีกคน ไอ้นี่ก็หายหัวตลอดที่จริงผมสงสัยมันนิดหน่อยว่ามันปิดบังอะไรผมหรือเปล่า แต่ไม่อยากตามสืบเพราะมันคงอยากเก็บไว้เงียบๆ

ตืด ตืด ตืด

“ผิง มีคนโทรมาเว้ย” ผมตะโกนบอกมันแต่มันหลับเป็นตายเลย ผมหยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋ามันมาดูก็ต้องแปลกใจเพราะเป็นเบอร์ ไอ้ยิม สองคนนี้ไปสนิทกันตอนไหนนะ...ผมไม่อยากยุ่งอะไรมากเลยไม่ได้รับสาย มันอาจตกใจถ้าผมรับสายแทนไอ้ผิง แต่คิดไปคิดมามันอาจจะโทรมาเฉยๆ ก็ได้ ไอ้ยิมไม่ได้โทรมาอีกแต่ส่งข้อความมาแทน ต่อมเผือกเริ่มทำงานขึ้นมาทันที แต่จะเปิดดูก็ไม่ได้ไม่งั้นไอ้ผิงต้องรู้แน่ๆ ว่าผมเสือกเรื่องของมัน

ทำตัวมีความลับไปได้เพื่อนผม ผมเก็บโทรศัพท์มันใส่กระเป๋าตามเดิม แต่สายตาดันไปสะดุดกับชุดสีฝุ่นกับแท่งหมึกที่คุ้น
ตาเหมือนเคยเห็นที่ไหนนะ จริงๆ ก็ไม่แปลกเพราะไอ้ผิงมันถนัดพู่กันจีนอยู่แล้ว ผมหยิบสีขึ้นมาดูยี่ห้อ เหมือนของที่ไอ้โยให้ผมมาเลยแฮะ ของแท้ด้วยแฮะ

“ไอ้ผิง ไอ้ผิง ไอ้ยิม ไอ้ยิม” ผมพึมพำพลางคิดใคร่ครวญ เอาเป็นว่าผมจะไม่ยุ่งก็แล้วกัน แต่ไม่อยากคิดลึกแฮะเดี๋ยวเดาผิดแล้วจะเป็นราคีให้ไอ้ผิงมันไอ้โก๋กลับมาที่ห้องเพ้นท์พร้อมกับอุปกรณ์ทำงานของมัน มันบ่นไอ้ผิงไปตามเรื่องแต่ก็ช่วยทำงาน

“เฮ้อๆ เมื่อไหร่จะเรียนจบว้า เหนื่อยเว้ย อยากทำงานเร็วๆ ฮ่าๆ แต่กลัวตกงานว่ะ กูยังคิดว่ากูจบไปแล้วจะทำอะไรดี ทำงานที่ไหน” ไอ้โก๋พูดแล้วถอนหายใจ ถ้าไม่เทพจริงๆ หางานยากจริงๆ สายนี้ จริงๆ การเรียนจิตรกรรมมันเป็นเรื่องของใจรักมากกว่า ถึงเวลาแล้วค่อยคิดว่าจะทำอะไรต่อจากนี้

“กูจะไปซื้อกาแฟ มึงเอาอะไรไหมวะ” ผมถามมัน

“อืม ขออเมริกาโน่ให้กูสักแก้วแล้วกัน คงจะกระตุ้นได้บ้าง” ไอ้โก๋ขยี้ตาแล้วยื่นเงินมาให้ จากนั้นผมเดินไปที่ร้านพี่แยมเจ้าเดิมเจ้าประจำ คนแน่นร้านตามเคย ระหว่างที่จ่ายเงินรับกาแฟมาแล้ว ผมกำลังจะเดินกลับมีเสียงปริศนาร้องเรียก

 “พี่สองๆ หยุดก่อนๆ”เป็นรุ่นน้องในเอกที่เรียกผมไว้ก่อน

“มีอะไร”ผมถาม 

“เอ่อ พี่เป็นเพื่อนเฮียผิงใช่ป่ะ” มันถาม ไอ้ผิงเนี่ยป๊อปในหมู่รุ่นน้อง ใครๆ ก็เรียกมันเฮียๆ เพราะมันชอบเลี้ยงเหล้า แม้ว่าจะชอบของฟรีจากเพื่อนก็เถอะ แต่เรื่องเลี้ยงน้องๆ ในสายแล้วเนี่ยมันใจปล้ำพอดู ซึ่งต่างจากผม เผอิญน้องในสายมีหลายคนเลยหมดงบเยอะ จบปัญหาที่ท้องใครท้องมัน

“เออดิ ถามแปลก ก็เห็นอยู่ทุกวัน”

“งั้นฝากนี่ให้เฮียหน่อยดิ” มันยื่นถุงกล่องข้าวให้ผม มีขนมปังด้วย

“มาถึงขนาดนี้ทำไมไม่เอาไปให้มันเองเลยวะ...เฮ้ยๆ อย่าบอกนะว่าหลงเสน่ห์เพื่อนกู” ผมรับมาถือไว้ก่อนจะมองหน้าไอ้รุ่นน้องที่ส่ายหน้า

“ไม่ใช่ๆ มีคนฝากมาอีกทีนึงครับ”

“ใคร” ผมรีบถาม เด็กนั่นส่ายหน้า“ไม่รู้อะพี่ มีคนฝากมาให้ผมอีกที” อืม อะไรจะซับซ้อนแบบนี้กัน ผมพยักหน้าให้แล้วมันก็เดินขึ้นบันไดไป ผมมองถุงในมือ มีคนส่งข้าวส่งน้ำให้ไอ้ผิงด้วยแฮะ ใครเป็นท่อน้ำเลี้ยงมันวะ
แต่ในใจผมมีคำตอบอยู่แล้วนั่นแหละ แต่ไม่กล้าฟันธง เฮ้อ มาทำลับๆ ล่อๆ อีก ไม่ใจเลยว่ะ

ผมเดินกลับมาที่ห้องเพ้นท์แล้วเดินเอาอเมริกาโน่ไปให้ไอ้โก๋ ผมนี่เบ๊พวกมันดีๆ นี่เอง ไอ้โก๋เหลือบมองถุงในมือผม

“อะไรวะ เต็มไม้เต็มมือ ฮุ อิจฉาเว้ย กูไม่มีบ้างให้มันรู้ไป” มันบ่นงึมงำอยู่คนเดียว ผมหัวเราะเยาะมันก่อนจะเอาของที่พี่ท็อปให้วางที่โต๊ะของตัวเองแล้วเดินไปหาไอ้ผิงที่หลังห้อง มันหลับเป็นตายเชียว ผมปลุกมันสองสามครั้ง วันทั้งวันมันกินข้าวหรือยังก็ไม่รู้ ชีวิต...

“เฮ้ย ผิง มีคนเอาข้าวมาให้เว้ย เดี๋ยวนี้ฮอตเว้ยเพื่อนกู” ผมพูดปลุกสติมัน ไอ้ผิงลุกขึ้นบิดขี้เกียจแล้วทำหน้าหมางง

“หือ มึงว่าไงนะ”

“ของมึง มีคนฝากมาให้” ผมวางถุงข้าวไปให้มัน ไอ้ผิงก้มมองทำหน้าประหลาดใจ

“ใครวะ” มันเลิกคิ้วถาม ผมส่ายหน้า

“ไม่รู้สิ บางทีอาจเป็นคนที่มึงรู้อยู่แล้วก็ได้” ผมพูดสังเกตท่าทางของมันไปด้วย ไอ้ผิงทำหน้าแปลกใจเหลือล้น ไอ้อาการแบบนี้มันหมายความว่าไง

"ไม่ได้บอกเหรอว่าใคร” มันยังถามผมอีกรอบ

“เออ...จากคนที่มึงรู้ว่าใคร คนที่เป็นห่วงมึงไงเลยส่งข้าวส่งขนมมาให้กลัวมึงอดตายไง ใครวะ มึงน่าจะมีชื่ออยู่ในใจนะเว้ย ใช่ไอ้...หรือเปล่าวะ” ผมลองแกล้งไอ้ผิงดู มันมองหน้าผมเหมือนผมไปจี้จุดมัน มันจ้องหน้าผม

“อะไร ไอ้อะไร” มันทำหน้ากวนตีนตามเดิม

“กลบเกลื่อนล่ะสิ มึงรู้ใช่ไหมว่าใคร” ผมหัวเราะ ได้ทีแซวมันบ้าง ผมโดนมาเยอะแล้ว ถึงคราวมันบ้าง ไอ้ผิงทำหน้าเหลอหลาไม่รู้เรื่อง

“ถ้ามึงรู้มึงพูดมาสิวะ”

“อยากให้กูพูดเหรอ”

“เอ้า แสดงว่าไม่รู้จริงนี่ว่า ไอ้เพื่อนช่างเสือก”

“ทีใครทีมัน มึงก็เสือกเรื่องกูนะได้ข่าว” ผมหัวเราะแล้วมองหน้ามันไปด้วย

“มึงอย่ามากวนกูได้ไหม ไปให้พ้นเลยไป” มันโบกมือไล่กลบเกลื่อน ไอ้ผิงนี่ดูออกง่ายกว่าที่คิด

“โอเคๆ เดี๋ยวเขินจนสำลักข้าวแล้วจะยุ่ง” ผมบอกแล้วลุกขึ้นยืน “เปิดตัวเมื่อไหร่บอกด้วยแล้วกัน จะฉลองให้” ผมยิ้มตบไหล่มันอย่างหวังดี มันทำหน้าบึ้ง

“เชี่ยสองมึงหุบปากไปเหอะเดี๋ยวกูขว้างด้วยรองเท้า” ไอ้ผิงบ่นหน้าบึ้งตึง ผมเดินผิวปากอารมณ์ดีหนีอารมณ์หงุดหงิดจากไอ้ผิงมานั่งที่ตัวเอง ส่งข้อความไปหาพี่ท็อปหน่อยดีกว่า


ไอ้โก๋สไลด์เก้าอี้มาหาผมที่โต๊ะ

“เออ เรื่องพี่ดีนเอาไงวะ มึงได้บอกเขาไปหรือยัง”

“ยัง ไม่เห็นแกมาหลายวันแล้วเหมือนกัน หายไปไหนวะ” ผมเพิ่งนึกขึ้นได้ หลังจากกลับมาจากทริปผมเห็นพี่ดีนแค่ไม่กี่ครั้งเอง

“งานยุ่งหรือเปล่า ช่วงนี้ปีสี่ต้องทำศิลปนิพนธ์นี่ แต่ถ้าพี่แกไม่มายุ่งกับมึงก็ดีแล้ว” ไอ้โก๋พยักหน้าพูด ผมหมุนเก้าอี้ไปมา เรื่องพี่ดีนยังคงกวนใจผมอยู่ตลอด ถึงจะไม่ได้เจอก็เถอะ แต่กลัวว่าจะมาทิ้งระเบิดตูมใหญ่ใส่ผมน่ะสิ

“อือ เดี๋ยวนี้เฮียแกนเลิกชกมวยแล้วเหรอ” ผมหาเรื่องคุย

“เออ เห็นพี่จิวว่างั้นนะ ตั้งแต่ชกกับมึงไปเฮียแกก็ไม่กลับไปยิมอีกเลย คงเซ็งล่ะมั้ง” ไอ้โก๋ไหวไหล่
ระหว่างนั้นก็มีสายโทรเข้ามาขัดซะก่อน ผมหยิบโทรศัพท์ออกมาดู เป็นเบอร์แปลกโทรเข้ามา ผมมองอย่างชั่งใจจะรับหรือไม่รับ

“เบอร์ใครวะ พวกมึงคุ้นไหมวะ” ผมยื่นโทรศัพท์ให้มันดู ไอ้โก๋ ไอ้ผิงส่ายหน้า

“สวัสดีครับ ใครพูดอะ” ผมกดรับ สองคนมันเงียบก่อนจะยื่นหน้ามาใกล้
[อ้าว มึงไม่มีเบอร์กูเหรอเนี่ย พี่ดีนเอง] ผมแปลกใจ แล้วเจ้าตัวเอาเบอร์ผมมาจากไหนกัน

“มีอะไรครับ”
[อยากเจอ ออกมาหาหน่อย]หืม สนิทกันขนาดนี้เชียว

“ทำไมล่ะพี่ มีอะไรหรือเปล่า”

[มีเรื่องคุย มาเจอหน่อยรออยู่บนดาดฟ้า] ผมเงียบก่อนจะกระซิบกับพวกมันสองคน มันส่ายหน้าดิก

[ไม่ทำอะไรหรอกน่า ฮ่าๆ มึงนี่คิดมากจัง] พี่ดีนหัวเราะมาให้ได้ยิน

“เฮ้อ โอเคๆ ไปก็ได้ ผมเองก็มีเรื่องจะคุยกับพี่เหมือนกัน” ผมบอก ปลายสายหัวเราะเบาๆ ก่อนจะวางสายไป อะไรของพี่ดีนวะ ผมเองก็จะเคลียร์ไปเลยแล้วกัน อยากถามว่าทำไมต้องมายุ่งกับผม รู้ทั้งรู้ว่าผมมีแฟนแล้ว

ผมเดินขึ้นบันไดไปชั้นสี่ เล่นเอาหอบกินเลย ก่อนจะขึ้นบันไดไปอีกไม่กี่ขั้นเพื่อไปยังดาดฟ้า ผมเห็นพี่ดีนยืนรออยู่ ข้างๆ กันมีกล่องสีน้ำตาลอ่อนๆ วางอยู่บนโต๊ะด้วย หากอากาศไม่ร้อนดาดฟ้าจึงเป็นสถานที่ยอดฮิตให้มาเซลฟี่กันเยอะ พี่ดีนยิ้มให้ผม ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงหวั่นไหวได้แต่ตอนนี้มันไม่ใช่ ไม่มีเลยสักนิด

“ไงพี่ นัดมาชั้นบนเชียว เหนื่อยนะเนี่ย” ผมหัวเราะแล้วเดินไปหาพี่ดีน

“สบายดีนะ ไม่ได้เจอหน้าหลายอาทิตย์เลย” พี่ดีนพูดยิ้มๆ ก่อนจะมองหน้าผมไปด้วย

“พี่มีอะไรก็พูดมาเลยครับ” ผมยิ้ม พี่ดีนมองไปด้านล่างเท้าแขนกับราวเหล็ก

“วันนั้นมึงโกรธกูเหรอ” พี่ดีนถาม คงจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เจอกัน

“อือ โกรธสิพี่ ผมไม่รู้ว่าพี่จะจริงจังหรือว่าเล่นๆ ถึงยังไงผมก็ไม่ชอบ พี่ก็รู้ดีอยู่แล้วแต่ไม่เข้าใจว่าพี่ต้องการอะไร” ผมพูดตรงๆ พี่ดีนหัวเราะเบาๆ

“ทำไมต้องคิดในแง่ร้ายขนาดนั้นด้วย กูอาจจะล้ำเส้นมึงไปตอนที่มึงอยู่กับแฟน แต่กูจะคุยกับมึงไม่ได้เลยเหรอไง”

“ถ้าพี่มีเจตนาดีผมไม่ว่าหรอก แต่บางครั้งดูเหมือนพี่แค่ต้องการป่วนใครสักคนหรืออะไรทำนองนี้ ผมเองก็ไม่รู้” ผมไหวไหล่แล้วมองไปรอบๆ ตัวเห็นทิวทัศน์ได้กว้าง

“ทำไมคิดแบบนั้นวะ กูอาจจะทำให้มึงคิดมากแต่ก็ไม่ได้มีเจตนาร้ายๆ หรอก โทษทีนะที่ทำให้คิดมาก กูเป็นแบบนี้แหละคิดน้อยเกินไป” พี่ดีนยิ้ม

“แล้วมีเรื่องอื่นอีกไหมครับที่อยากจะเคลียร์”ผมถาม อีกฝ่ายหันมองผมอย่างสงสัย

“กลับมาคบกับไอ้ท็อปแล้วเหรอ”ผมไหวไหล่ 

“ครับ...ผมมีแฟนแล้ว ถ้าพี่จะจีบก็หมดหวังตั้งแต่ยังไม่เริ่มแล้วล่ะ” ผมพูดตรงๆ แต่ผมไม่คิดว่าพี่ดีนจะเจ็บเพราะคำพูดของผมหรอกเพราะรู้ว่าพี่แกไม่จริงจัง

“คิดว่าแบบนั้นเหรอ”

“หมายความว่าไงพี่”

“ถ้าไม่จีบแสดงว่าคุยได้งั้นสิ” พี่ดีนมองหน้าผมนิ่งๆ ผมขมวดคิ้วไม่เข้าใจว่าพี่ดีนทำแบบนี้ทำไม ปั่นหัวผมหรือปั่นหัวใครกันแน่

“ถ้าพี่มีเจตนาไม่ดีผมก็ไม่คุยกับพี่แน่ พี่อย่าเห็นว่ามันเป็นเรื่องสนุก ผมไม่ชอบ ถ้าจะมาเล่นกับความรู้สึกของใคร” ผมจ้องหน้าพี่ดีน ใบหน้านั้นแค่มีรอยยิ้ม ...แต่เป็นรอยยิ้มหลอกๆ แววตาที่มองมาผมเดาไม่ออก คล้ายๆ กับพี่ท็อปเมื่อก่อนที่ต้องการปั่นหัวผม

“ดูเหมือนว่ามึงจะมองกูในแง่ร้ายไปแล้ว”

“ก็พี่--”

“ไม่ต้องพูดหรอก เอาเป็นว่ากูไม่ได้หวังอะไรจากมึงหรอก มึงคิดมากเกินไปแล้วว่ะสอง” พี่ดีนมองหน้าผมเหมือนผิดหวัง ผมไม่เข้าใจพี่ดีนเลยสักนิด ตกลงจะมาดีหรือมาร้าย

“ไม่รู้สิ ผมแค่...ไม่ชอบคนที่ใส่หน้ากาก มันไม่จริงใจ”

“อือฮึ ...ดูเหมือนกูทำให้มึงคิดมากนะ ช่างเถอะ...” พี่ดีนนิ่วหน้าก้มมองเท้าตัวเอง

"ถ้าพี่ไม่ล้ำเส้นผม ผมก็ไม่ว่าอะไรหรอก” ผมบอก อย่างน้อยผมก็พูดในสิ่งที่อยากพูดไปแล้ว หวังว่าพี่ดีนจะเก็บเอาไปคิดแล้วเลิกเล่นเกมปั่นหัวคนอื่นเสียที

“โอเคๆ กูรู้น่า” พี่ดีนยิ้ม ผมมองหน้าอีกฝ่ายก่อนจะถอนหายใจแรงๆ

“พี่เลือกได้ว่าอยากให้ผมปฏิบัติแบบไหนต่อพี่ มันขึ้นอยู่ที่ตัวพี่เองทั้งนั้นแหละ ถ้าพี่มาดีผมก็ดีตอบ แต่ถ้าพี่มาร้ายผมจะเกลียดพี่” ผมพูดนิ่งๆ ผมจะไม่ร้ายตอบหรอก ไม่อยากเข้าไปยุ่ง ปล่อยให้บ้าอยู่คนเดียว

“ฮ่าๆ เออน่า คิดแง่ร้ายจริงๆ มองโลกในแง่บวกบ้างสิ บางทีถ้าอคติมันบังตา อาจพลาดอะไรดีๆ ไปก็ได้ ถึงกูจะพูดแบบนี้ก็เถอะแต่มันทำยากนะว่าไหม” พี่ดีนยิ้มแล้วหันไปมองด้านล่างแทน

“งั้น... ผมไปนะ” ผมบอกแล้วเดินจากพี่ดีนมา

“สอง” พี่ดีนเรียกผมไว้ก่อนที่จะเดินลงบันได ไม่รู้ว่าพี่แกรอจังหวะอยู่หรือยังไง ผมหันไปมองคนเรียก

“ว่าไงครับ”

“มึงเป็นคนดีกว่าคิดนะ คนเราเปลี่ยนกันง่ายๆ แบบนี้เลยเหรอวะ หรือมีเรื่องบางอย่างที่ทำให้มึงต้องเปลี่ยนสินะ อาจจะรวมถึงใจมึงเองด้วย” พี่ดีนพูดก่อนจะเงียบไป ผมมองพี่ดีนอย่างใคร่ครวญ เป็นคนที่พูดจาแปลกๆ ตั้งแต่เจอกันที่ค่ายแล้วจริงๆ เหมือนจะพูดกับผมอยู่ แต่จริงๆ อาจหมายถึงสิ่งอื่น แต่ที่พี่ดีนพูดมาก็น่าสนใจดี เราตั้งใจจะเปลี่ยนตัวเองเพื่อใครเพราะใจเราเองหรือว่าเป็นเพราะมีสิ่งกระตุ้นให้เปลี่ยน

"ผมว่ามันไม่ต่างอะไรกันหรอก เพราะยังไงก็มีเป้าหมายเหมือนๆ กันคืออยากเปลี่ยนเพื่อใครสักคน ใช่ไหมพี่...คนเราจะเปลี่ยนกันไม่ได้ง่ายๆ หรอก ยกเว้นแต่ถ้ามีเป้าหมายเป็นใครสักคนที่มีแรงกระตุ้นพอให้เราต้องเปลี่ยน...” ผมพูดแล้วถอนหายใจ“ก็คงประมาณนี้ล่ะมั้งพี่...” ผมยิ้มก่อนจะเดินลงบันได

สำหรับผมจริงๆ แล้วคนเราจะเปลี่ยนไปได้นั้นมันไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ใจเราเอง มันต้องมีฉนวนอะไรสักอย่างก่อให้ใจเราเปลี่ยนไป เหตุการณ์บางอย่างงั้นหรือ... จริงๆ แล้ว ผมอยากเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อใครสักคนต่างหาก เพราะผมมีคนที่ทำให้ตัวผมอยากจะเปลี่ยนแปลง

‘ใครสักคน’ ที่มีอิทธิพลต่อเราขนาดนั้น
แล้วสำหรับพี่ดีนล่ะ มีใครคนหนึ่งที่ทำให้พี่ดีนเปลี่ยนแปลงตัวเองงั้นหรือ...
หรือว่าแค่กำลังสับสนว่าจริงๆ แล้วตัวเองเปลี่ยนไปเพราะอะไร? บางทีมันก็เป็นคำตอบไม่ตายตัว ขึ้นอยู่ที่ใครจะตีความแบบไหน เพราะนิยามความรักของแต่ละคนมันคงไม่เหมือนกัน

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-01-2018 16:53:59 โดย RindadaRin »

ออฟไลน์ รินดาwดาริน

  • OnTop&N'Song
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +243/-2
-ผิง-
ตอนที่ 3 ลองเปิดใจ
ผมนัดมันไปแล้วก็หมายความว่าผมพร้อมจะเผชิญกับความจริงแล้ว แต่ก็นั่นแหละ ถ้าไม่เริ่มวันนี้จะไปเริ่มเอาตอนไหน เมื่อได้เวลานัดผมเก็บข้าวของแวะซื้อขนมปังให้ปลามาสองถุงใหญ่ คิดว่าน่าจะคุยกันยาว ในยามเย็นเป็นปกติธรรมดาที่จะมีนิสิตมาเดินเล่นที่อ่างเก็บน้ำไม่ก็วิ่งออกกำลังกายกันเป็นประจำ ผมหาที่จอดรถได้แล้วก็ลงเดินแทน
“เฮ้ย” ผมสะดุ้งเมื่ออยู่ๆ ไอ้ยิมมันก็โผล่มาดักหน้าพร้อมกับส่งเสียงที่เหมือนจะมาหาเรื่องยังไงอย่างงั้น
“เชี่ย ตกใจหมด” ผมทำท่าจะต่อยมัน อีกฝ่ายแค่กระตุกยิ้มนิดๆ ให้ตาย ผมลืมเรื่องที่มันมาคุยกับมันไปแล้ว พอเจอหน้ามันทุกคำพูดเหมือนถูกกดปุ่ม play อีกครั้ง แต่ดูท่าทางเหมือนมันจะทำเป็นลืม
“ขวัญอ่อน... ไปหาที่นั่งคุยกัน” มันสะกิดแขนผมเบาๆ 
“ที่จริงไม่ได้อยากมานะเว้ย แค่อยากมาจบเรื่อง” ผมบอกมันเดี๋ยวมันจะหาว่าผมอยากมาให้อาหารปลายามเย็นกับมัน
“รู้” ไอ้ยิมตอบมาสั้นๆ ตามปกติ มันเดินนำหน้า เดินมาห่างจากลานจอดรถไม่ไกลมากนัก จากนั้นก็หาทำเลดีๆ แล้วกวักมือให้ผมตามไป
ช่วงห้านาทีแรกยังไม่มีใครเปิดปากพูด ผมแค่โยนขนมปังลงในน้ำมองดูปลาเข้ามารุมตอมขนมปังเสียงดังตูมตาม ไอ้ยิมนั่งเงียบๆ มองปลาในน้ำ ผมเป็นคนชวนมานี่นะ ก็ควรจะเป็นคนเกริ่นนำก่อน แต่ติดที่ว่าไม่รู้จะพูดอะไร
“ที่มึงพูดกับกูคืนนั้น... มึงอาจเสียเพื่อนไปเลยก็ได้นะ” ผมไม่อยากให้บรรยากาศระหว่างผมกับมันอึดอัดมากไปกว่านี้เลยพูดถึงเรื่องคืนนั้นซะเลย ไอ้ยิมพยักหน้าเข้าใจแต่นิ่งเงียบไปอีกรอบ มันนั่งโยนลูกหินไปมาดังก๊อกแก๊ก
“...ก็แค่อาจ” มันหันมามองหน้าผมผ่านกรอบแว่นสีฟ้าคู่ใจ
“หึ...” ผมไม่ได้พูดอะไร
“แล้วคิดเรื่องนี้บ้างไหม” มันถามคาดคั้นคำตอบ
“ถามมาได้ กูหัวจะระเบิดแล้ว คือมึงกับกูก็เป็นเพื่อนกันปกติไม่ได้มีอะไรพิเศษ” ผมเลิกสนใจปลาในอ่างเก็บน้ำแล้วหันหน้าไปเผชิญหน้ากันตรงๆ ไอ้ยิมจะได้ไม่ต้องหลบหน้าหลบตาผมเวลาพูด
“มันก็ใช่... แต่แค่อยู่ๆ มันรู้สึกพิเศษขึ้นมา” มันหัวเราะเบาๆ อย่างไม่มีอารมณ์ร่วมด้วย
“มึงบ้าหรือเปล่าวะ” ผมหัวเราะตามเพราะเหตุผลของมันออกจะไร้ซึ่งเหตุผลจริงๆ
“กูคงบ้าจริงๆ นั่นแหละ” มันดันรับมุกอีก
“มึงรู้สึกยังไงกับกูกันแน่วะ” ผมถามตรงๆ อยากได้ความชัดเจนแม้ในใจจะกระดากแค่ไหนก็ตาม ไอ้ยิมมันเงียบก่อนจะลังเลอะไรสักอย่าง “...ไม่พูดกูก็ไม่รู้” ผมพูดต่อ ดูเหมือนผมต้องการคำตอบมากเหลือเกิน มาคาดคั้นแบบนี้
“ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าชอบหรือได้ไหมแต่มันรู้สึกดีตอนที่มึงอยู่กับกู กูแค่อยากเริ่มต้นใหม่ก็เท่านั้น” มันเม้มปากเหมือนไม่มั่นใจเท่าไหร่
“อืม กูเข้าใจ”
“แล้วมันจะเป็นไปได้ไหม” อีกฝ่ายมองผมด้วยสายตาเหมือนคาดหวังเล็กๆ ผมไม่อยากโกหกตัวเองหรอกนะว่าไม่ได้รู้สึกอะไรกับมัน
“ไม่รู้...”ผมตอบ 
“แค่ทำเหมือนเดิมก็ได้ เป็นเพื่อนกันไปก่อน” ไอ้ยิมพูดต่อเหมือนกลัวว่าผมจะไม่รับฟังมันอีก จะว่าไปมันเจียมตัวดีนะ มักน้อยจริงๆ แค่เพื่อน อะไรจะมาดพระรองปานนี้ ถึงว่าไม่ชนะใจไอ้สองเพราะขาดความเร้าใจไปหน่อย
“อือ แล้วถ้ามันได้แค่เพื่อนล่ะ มึงจะยอมรับความผิดหวังไหม” ผมเลยถามมันกลับ
“ถ้าเป็นแบบนั้นกูคงต้องยอมรับ” มันทำหน้าขรึมเพื่อปกปิดอาการช้ำใจแน่นอนถ้าให้ผมเดา เฮ้อ มันก็เป็นซะแบบนี้ ทำตัวเป็นคนดี นี่ผมไม่ได้ปฏิเสธมันซะหน่อยทำท่ายอมแพ้ซะแล้ว
“ไม่ใจเลยว่ะมึง” ผมส่ายหน้า
“อะไรนะ” มันทำท่ามึน
“กูแค่พูดเฉยๆ...”
“ก็มึงไม่ได้รู้สึกแบบนั้น” มันถอนหายใจ
“ตอนมึงป่วยกูเป็นห่วงมึง กูกังวลเรื่องของมึงมาตลอด อาจเป็นเพราะกูกลัวว่าสักวันกูจะเปลี่ยนไป... กูเป็นผู้ชายนะเว้ย ทำไมถึงมาเป็นแบบนี้ก็ไม่รู้ ทั้งๆ ที่มึงไม่ได้มาทำอะไรพิเศษแปลกๆ ใส่กู” ผมขยายความให้มันได้เข้าใจความคิดผมบ้าง
“แล้วไง...”
“มันทำใจลำบากเหมือนกันนะ มึงกับกูออกจะกัดกันบ่อยๆ ด้วยซ้ำ” ผมหัวเราะไปด้วย พอนึกถึงช่วงก่อนๆ ผมกับมันไม่ค่อยมีช่วงเวลาที่พูดคุยกันดีๆ ตอนไปค่ายก็ทำตัวปกติ บางทีเป็นผมซะเองที่ชอบไปล้อเลียนมันอยู่เรื่อย แต่ก็นะ ไอ้ยิมมันน่าแกล้งดีนี่หว่า หนุ่มแว่น
“กูรู้ แต่มึงก็ปฏิเสธไม่ได้ไม่ใช่เหรอว่ามึงเองก็แคร์กู” มันหลุดยิ้มออกมาที่มุมปากเจือหัวเราะเบาๆ ดูเหมือนมันจะดึงความมั่นใจกลับมาอีกครั้ง
“กล้าพูดนะมึง”ผมหัวเราะออกมา
“แล้วไม่ใช่หรือไง” ไอ้ยิมหุบยิ้มสบตากับผมตรงๆ ทำเอาหายใจไม่ทั่วท้องเท่าไหร่ มันโหวงๆ แต่ถ้าผมหลบตาแสดงว่าผมโคตรอ่อน
“ตกลงมึงจะเอายังไงกับกูกันแน่เนี่ย ขอความชัดเจนหน่อยดิ” ผมเลยบ่ายเบี่ยงมาที่เรื่องนี้แทน ไอ้ยิมทำนิ่งมองมาที่ผมเหมือนกำลังพิจารณาอะไรสักอย่าง
“ไม่ขอเป็นแฟนหรอก แต่ขอให้เปิดใจให้ก็พอ แล้วทำตัวเหมือนเดิมแบบที่เคยเป็น” มันพูด
“มันจะโอเคเหรอวะ...” ผมไม่แน่ใจ ผมกับมันต่างกันมาก ทั้งเรื่องนิสัยและความชอบ ดูจะไม่ลงตัวกันเท่าไหร่
“จะไปรู้เหรอ” มันตอบมาสั้นๆ ได้ชวนให้ผมถีบขาคู่มาก แล้วมาทำเรียกร้องความสนใจ
“เอ้า มึงนี่ ขอหลักประกันอะไรบ้างสิวะ”
“อะไร ก็ไหนว่ารักสนุกไงวะ มึงพูดเองว่าไม่ต้องคิดอะไรมากแค่มีความสุขวันๆ” ไอ้ยิมนี่มันร้ายลึกนะ เลือกใช้คำพูดเก่าๆ ของผมมาต่อล้อต่อเถียง มันยิ้มแสดงความเจ้าเล่ห์ออกมาครู่นึงแล้วทำมาดนิ่งตามเดิม
“กูพูดแบบนั้นเหรอ ไม่ใช่เว้ย”
“ประมาณนั้น...” มันย้ำเสียงจริงจัง
“มึงลืมไอ้สองได้แล้วเหรอวะ” ผมมองตาไอ้ยิมผ่านกระจกแว่นถึงจะเดาใจไม่ออกก็เถอะ
“เออ ทำใจได้แล้ว ไม่อย่างนั้นจะคิดเรื่องมึงทำไมให้เสียเวลา” ไม่วายมากัดผมอีก สงสัยเรื่องของผมคงทำให้มันเสียเวลาไปไม่ใช่น้อย
“อ๋อ หวั่นไหวล่ะซี่ ตอนกูดูแลมึงน่ะเหรอ” ผมได้โอกาสล้อมันซะหน่อย ไอ้ยิมแค่ไหวไหล่ไม่สนใจเพื่อกลบเกลื่อนข้อเท็จจริงนี้ มันขยับมาใกล้ๆ แล้วพูดเสียงดังชัดเจน
“มึงเป็นคนดี” ผมไม่คิดว่ามันจะพูดแบบนี้เลยรู้สึกแปลกๆ แฮะเวลามีคนชมว่าเป็นคนดี
“...กูรู้ตัวน่า กูเป็นคนแบบนั้นแหละ” ผมเลยยกยอตัวเองซะหน่อย มีคนการันตีมาแล้วนี่ ไอ้ยิมทำเสียงหึๆ
“แล้วเป็นยังไงบ้างเรื่องงาน ได้พักหรือยัง” มันถามผมเรื่องสารทุกข์สุกดิบ ผมไหวไหล่
“ก็ดี เงินไม่มีเหมือนเดิม ทำไม จะให้กูยืมเงินไหมล่ะ” ผมสะกิดแขนมัน มันเป็นพวกมีเงินนี่
“...พูดจริงเหรอ” มันดูแปลกใจก่อนจะถามด้วยท่าทีนิ่งๆ
“เออสิ ไม่มีเงินซื้อของแล้วด้วย” ผมแกล้งพูดไปแบบนั้นเอง แต่จริงๆ ก็กำลังกระเป๋าแฟบอยู่นั่นแหละ ถ้ามันให้ยืมผมก็เอา
หน้าด้านจริงๆ
“เดี๋ยวกูส่งข้าวส่งน้ำให้” มันว่าอย่างนั้น ผมหันไปมองหน้ามันคิดว่าพูดเล่นแต่เมื่อเห็นสายตาของมันแล้วผมก็เปลี่ยนความคิด
“จริงดิ”
“เออ กูเลี้ยงข้าวเอง” ไอ้ยิมยืนยันคำเดิม ผมเลยกลั้นขำ
“ที่จริงข้าวน่ะมีกิน แดกกับเพื่อนได้ แต่ต้องการเงินมากกว่า” ผมลอบมองสังเกตมันไปด้วย
“เอาจริงเหรอ” มันทำหน้าซีเรียสเลิกคิ้วขึ้นสูง แววตาผ่านกรอบแว่นนั่นดูไม่ประสีประสาจริงๆ เลย ถ้าผมหลอกเอาเงินมันคงไม่ยากแน่ๆ
“ล้อเล่นเว้ย ไม่อย่างนั้นกูจะมีพ่อแม่ไว้ทำไมกัน” ผมหัวเราะ ไอ้ยิมทำหน้าบึ้งขึ้นมาแทน
“นึกว่าพูดจริง” มันหัวเราะเบาๆ เหมือนเก้อเขินขึ้นมา
“กูควรบอกเรื่องนี้กับไอ้สองดีไหม” ผมเปลี่ยนเรื่อง นึกถึงเพื่อนสนิทอย่างไอ้สอง ไม่อยากให้มันรู้เป็นคนสุดท้ายเดี๋ยวมันงอน เพราะมันเองก็บอกผมได้ทุกเรื่อง
“แล้วแต่มึง ยังไงมันก็คงไม่แปลกใจเท่าไหร่” ไอ้ยิมพูดถูก มันคงจะจุดพุฉลองเสียมากกว่า
“คงงั้น” ผมถอนหายใจ คนอย่างไอ้สองมันต้องรู้อะไรบ้างนั่นแหละ จมูกมันดีจับกลิ่นเรื่องพวกนี้ได้เร็วจะตายไป ผมแค่ไม่อยากโดนมันล้อมากกว่า
“ที่กูตัดสินใจบอกกับมึงเพราะว่ากูไม่อยากให้เวลามันผ่านไปเปล่าๆ อีกไม่นานกูต้องไปฝึกงาน เรียนจบ หางานทำ คงไม่มีเวลาทำสิ่งที่อยากทำมาก” มันพูดเหมือนอายุมากกว่าผมสักสิบปี
“พูดเหมือนว่ามึงจะไปฝึกงานนอกโลก ยังไงก็มีเวลาเจอกันอยู่แล้ว”
“ก็ไม่แน่ ป๊ากูอยากให้ไปดูงานที่ฮ่องกงไม่ก็เกาลูน” มันพูดช้าๆ เหลือบมองหน้าผมไปด้วย
“จริงดิ...” ผมใจหาย ถ้ามันไปจริงๆ ผมคงเหงา อีกอย่างมันจะทิ้งกันไปง่ายๆ แบบนี้ได้ยังไงกัน มาทำให้คิดมากแล้วจากไปอย่างนี้เนี่ยนะ
“แต่ยังไม่แน่ใจ กูอาจหาข้ออ้างดีๆ ปฏิเสธไป” ไอ้ยิมพูดเบาๆ เหมือนไม่มั่นใจว่าจะทำแบบนั้นได้ไหม ผมเบ้ปากและไม่รู้จะพูดอะไรต่อเลยหันมาฉีกขนมปังโยนให้ปลาไปเรื่อยๆ “แล้วมึงล่ะ วางแผนอนาคตไว้ยังไง” มันหันเข้าโหมดจริงจังอีกรอบ ทำตัวเป็นผู้ปกครองเลยแฮะ
“คงเรื่อยๆ หางานทำที่นี่แหละ ร้านพ่อกูอยู่ที่นี่ด้วย ไม่อยากอยู่ไกลบ้าน” ผมบอก ซึ่งจริงๆ แล้วผมยังไม่ได้คิดเรื่องอนาคตแบบจริงๆ จังๆ ถ้าหากว่าเรียนจบผมอาจไปหาแรงบันดาลใจที่ไหนสักแห่งแบ็กแพ็กไปเที่ยวเรื่อยๆ แต่ในเมื่อผมเองก็มีกิจการของพ่อที่ต้องสานต่อ คงจะทำตามใจตัวเองไม่ได้
“ก็ยังดี กูจะได้แวะไปหาที่ร้านไง”
“เฮอะ ทำให้ได้อย่างที่ปากพูดเหอะว่ะ” กลัวมันจะดีแต่ปากแล้วหายต๋อมไปเลย เพราะมันเป็นคนจริงจังกับเรื่องงานจะตาย
“ใครจะไปรู้” ไอ้ยิมหันมายิ้มให้ผม ปกติเป็นไอ้เสือยิ้มยากพอมาเห็นมันยิ้มแบบนี้แล้วไม่ชินสายตาจริงๆ เลย
สรุปก็ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับไอ้ยิมจึงเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป แต่เราไม่ได้ขีดเส้นกั้นว่าต้องหยุดอยู่ตรงไหน ผมยังเป็นผม ไอ้ผิงคนเดิมแค่เริ่มความสัมพันธ์ใหม่ก็ไม่ได้หมายความว่าต้องหวานแว่วแต๋วแตก ถึงแม้ว่าผมจะมองไอ้ยิมต่างจากที่เคยเป็น อย่างน้อยก็เห็นขอดีของมันเพิ่มขึ้นมาบ้าง

หลังจากที่ได้เปิดใจคุยกันที่อ่างเก็บน้ำ ผมรู้สึกสบายใจขึ้นมากจากที่รู้สึกเหมือนแบกของหนักไว้บนบ่ากลายเป็นเบาหวิว ไอ้ยิมมันพูดเยอะขึ้นบ้าง ไม่ได้ปล่อยให้ผมพล่ามอยู่ฝ่ายเดียว
“ไปเที่ยวกันไหม” อยู่ดีๆ มันก็ถามผมขึ้นมา
“อะไรนะ” ผมแปลกใจมาก ปกติชวนผมไปแค่หน้าปากซอยเท่านั้นเอง
“ไปเที่ยวกันไง หน้าหนาวแล้วนี่” มันพูด ผมขอเวลาคิดเพราะมีงานต้องส่งอีก
“...ที่ไหน” ผมถามอย่างสนใจ
“ไม่อยากไปที่คนแออัด เชียงใหม่ตัดทิ้งไปได้เลย...ไปแม่สอดไหม”
“แม่สอด...อืม ไม่เคยไปเลยว่ะ จะพากูไปส่องสาวพม่าเหรอ” ผมพูดแซวมันเล่น แต่พอเจอหน้ามันแล้วต้องหุบยิ้ม
“ตอบดีๆ” มันว่า
“เออ ดูก่อนว่าติดงานไหม” ผมบอก
“ไปช่วงเสาร์-อาทิตย์เอง” ไอ้ยิมมันเป็นคนช่างตื้อ ถ้าไม่ได้คำตอบมันจะคาดคั้นอยู่แบบนี้ สรุปผมต้องหาเวลาให้มันสินะ ผมเปิดเช็คตารางงานเพราะผมรับงานคณะกับงานนอกด้วยมันเลยกองสุ่มกันเป็นดินพอกหางหมู
“อาทิตย์หน้าดีไหม กูว่างแค่นั้น” ผมบอกมันไป ไอ้ยิมทำเสียงฮึมฮัม
“ทำไมมึงงานเยอะจัง” มันถามอย่างสงสัย
“อ๋อ กูรับจ๊อบพิเศษด้วยน่ะ” ผมบอก ไอ้ยิมมองหน้าผมก่อนจะหยิบโทรศัพท์ออกมาจ่อหน้าผมซะระยะประชิดใกล้ลูกตาเชียว มันพยักพเยิดให้ผมดูที่หน้าจอ ผมเพ่งมองปฏิทินบนโทรศัพท์ที่มีดาวติดไว้ในวันที่ 1 มกราคมว่า My birthday
“...วันเกิดมึง โห ตั้งปีหน้าเนี่ยนะ” ผมหลุดขำ
“เออ จำไว้ให้ดี ถึงจะอีกนานก็เถอะเผื่อมึงจะได้เตรียมการแต่เนิ่นๆ ไง” มันทำหน้าบึ้งเวลาที่ผมหัวเราะมัน เพราะมันจริงจังมากกับเรื่องที่มันพูด
“กูต้องหาของขวัญให้มึงใช่ไหม หึๆ มึงนี่ตลกดีว่ะ” ผมหัวเราะ สงสัยกลัวผมลืมหรือไม่ก็ไม่รู้ว่าวันเกิดมันคือวันไหน
“เปล่า แค่อยากให้จำ” ไอ้ยิมขมวดคิ้วแน่นเก็บโทรศัพท์ก่อนจะเงียบกริบ
“เออๆ ไม่ลืมหรอกน่า ทำตัวเป็นเด็กน้อยไปได้นะมึง” ผมรีบพูด ข้อเสียของมันคือขี้น้อยใจไปหน่อยและยังคิดมากอีกด้วย พี่แว่นกู
“แล้วก็อย่าลืมเตรียมตัวไปแม่สอดกัน เดี๋ยวกูจ่ายทั้งทริปเอง” มันทำตัวเป็นป๋าใจป้ำ ผมยกนิ้วให้มัน
“โอเค”
ไปเที่ยวพักผ่อนช่วงหน้าหนาวแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน จะได้ผ่อนคลายสมองรับลมหนาวหน่อย อย่างน้อยจะได้มีช่วงเวลาดีๆ กับเขาบ้าง... กับไอ้ยิม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-02-2018 15:11:15 โดย รินดาwดาริน »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
คิดถึงค่ะ.  :กอด1:   ขอบคุณที่มาต่อนะคะ
ยิมกับผิงกำลังจะก้าวไปอีกขั้น ของพี่ดีนเองก็ยังต้องค้นหาต่อไป

สองกับท้อปขอหวานๆเลยค่ะชอบมาก

ออฟไลน์ sweetbasil

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 807
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-3
พี่ดีนนี่น่าสงสารเหมือนกันนะเนี่ย :hao5:
ผิงยิมค่อยๆๆรักกันเบาเบา
ท็อปสองหวานกันตลอด

ออฟไลน์ Kaemmiizz

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 727
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-4
ยิมผิง จะเป็นไงต่อ รอลุ้น

ออฟไลน์ minneemint

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1632
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-0

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
โหยยย พี่ยิมนี่พอตัดใจได้ก็รุกผิงเลยเหรอ ฮ่าๆแต่ชอบนะเชียร์ #ยิมผิง มาสักพักล่ะ พี่ยิมรู้ใจตัวเองแล้วผิงก็รู้ใจตัวเองสักทีนะ ส่วนท็อปสองคู่นี้นอกจากความหวานแล้วยังหาข้อสรุปไม่ได้เลยนะว่าใครจะเป็นเมีย ฮาา

ออฟไลน์ May@love

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 827
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-2
คิดถึงค่ะ สองคิดมากจริงๆ
แต่ก็นะประสบการณ์ทำให้ต้องระวังตัว

ยังรอติดตามต่อนะคะ

ออฟไลน์ รินดาwดาริน

  • OnTop&N'Song
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +243/-2
ตอนที่ 19 วันเกิดของพี่ท็อป

หลังจากที่กลับมาจากดาดฟ้าผมก็คิดมากเรื่องพี่ดีนอีกครั้งดูเหมือนเจ้าตัวจะมีอะไรหลายอย่างที่คลุมเครือ ถ้อยคำของพี่แกทำให้ผมค้างคาใจ ผมกลับมาที่หอพักตามปกติ พี่ท็อปยังคงกลับห้องมืดค่ำ ผมเลยได้โอกาสมานอนเล่นที่ห้องของเจ้าตัวอยู่บ่อยๆ เพราะผมมีกุญแจ อีกฝ่ายให้ผมไว้เผื่ออยากมานอนเล่นห้อง ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณกลายๆ ว่า อีกฝ่ายไม่อะไรปิดบัง

ผมเดินไปห้องพี่ท็อปไม่วายมองไปที่ห้องฝั่งตรงข้ามของผม ปรากฏว่าตอนนี้มีคนมาเช่าห้องใหม่แล้ว ผมเปิดประตูเข้าห้องพี่ท็อปแล้วเดินไปนอนเล่นบนเตียง คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ผมส่งไลน์ไปหาพี่ท็อปบอกว่ารออยู่ที่ห้องของเจ้าตัว
อีกไม่กี่สัปดาห์จะถึงวันเกิดพี่ท็อปแล้ว ผมไม่ชอบเรื่องเซอร์ไพรส์เท่าไหร่ แต่ก็ขึ้นอยู่ที่คนทำ ถ้าเป็นคนที่ผมรัก ผมก็โอเค แต่ผมไม่คิดว่าเจ้าตัวจะชอบเรื่องเซอร์ไพรส์ แม้ว่าตัวเองจะชอบทำให้ผมแปลกใจอยู่เรื่อย

ผมคิดแผนการเซอร์ไพรส์วันเกิดพี่ท็อปน่าจะดีที่สุด จะได้ไม่ต้องไปเสียเวลาคิดเรื่องคนอื่น พี่ท็อปให้สร้อยผมมา ผมน่าจะให้แหวนคู่กับพี่ท็อปบ้าง หลังจากที่นอนฟังเพลงเพลินๆ ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ผมเผลอหลับไป ตื่นมาอีกทีก็เจอกับเจ้าของห้อง

“ไง ขี้เซานะมึง”พี่ท็อปนั่งมองผมอยู่บนเก้าอี้ก่อนจะพยักพเยิดไปที่กลางห้อง มีของว่างวางอยู่บนโต๊ะพับ ผมมึนงง อยู่ไม่นาน สงสัยหลับลึกไปหน่อย “มาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย ไม่ได้ยินเสียงเลย”

“สักพักแล้ว กลับเข้ามาเห็นหมานอนอยู่บนเตียง กูเลยไม่อยากปลุก ขนาดทำเสียงดังแล้วมึงยังไม่สะทกสะท้าน”พี่ท็อปยิ้ม กอดอกมองสำรวจผมเหมือนผู้ปกครอง

“สงสัยเพลียมั้ง”ผมบอก ขยับตัวลุกขึ้นนั่ง

“แอบย่องเข้าห้องกูแบบนี้มีอะไรหรือเปล่า” พี่ท็อปหรี่ตามองอย่างสงสัย อีกฝ่ายเดาใจผมออกด้วยแฮะ ผมไหวไหล่ทำเป็นไม่สะทกสะท้าน

“ผมบอกพี่ไปแล้วนะว่าจะแวะเข้ามาอะ แล้วก็พอดีว่าผมมีเรื่องอยากถามพี่ ถามได้ไหมล่ะ”ผมมองอีกฝ่ายอย่างตั้งคำถาม

“เรื่องของกูหรือเรื่องของใคร” พี่ท็อปยิ้มบางๆ

“ก็...ทั้งสองอย่าง เรื่องของพี่แล้วก็เรื่องของคนอื่น”ผมชะงัก เพราะอีกฝ่ายรู้ทัน

“อือฮึ ว่ามาสิ” พี่ท็อปถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะตั้งหน้าตั้งตารอฟังคำถาม

“พี่รู้จักพี่ดีนมาก่อนใช่ไหม” พี่ท็อปดูแปลกใจกับคำถามของผม ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ “เรียกว่าเคยก็คงไม่ได้ เอาเป็นว่าแค่เคยเห็นเป็นบางครั้งในโรงเรียนเท่านั้น กูไม่เคยได้คุยอะไรหรอก แต่ถ้าเป็นไอ้แกนล่ะคนล่ะเรื่อง”

“หมายความว่าไงพี่”ผมงง

“ตอนนั้นอยู่คนละห้องกับไอ้แกนเลยไม่มีโอกาสไปเที่ยวเล่นกับกลุ่มไอ้แกนเพราะเวลาไม่ตรงกัน แต่ไอ้ดีนกับไอ้แกนมันไม่ถูกกัน หมายถึง...เมื่อก่อนไอ้ดีนมันก็ไม่ได้ติสท์อะไรแบบนี้หรอก” พี่ท็อปยิ้มเหมือนเศร้า มองผมเหมือนดูปฏิกิริยา

“พี่เล่าให้ผมฟังได้ไหม”

“ได้อยู่แล้ว...แต่เรื่องมันจบไม่สวยเท่าไหร่นะ...ไอ้แกนมันไร้เหตุผลมาตั้งแต่ไหนแต่ไรเป็นพวกใช้อารมณ์เข้าแลกอย่างเดียว โรงเรียนกูเป็นโรงเรียนรัฐ คุณภาพเด็กในโรงเรียนค่อนข้างไปทางเด็กหัวปานกลางไปจนกระทั่งพวกไม่เอาไหนซะส่วนใหญ่ กูกับไอ้ดีนเรียนสายวิทย์แต่คนละห้อง ส่วนไอ้แกนมันสายศิลป์สังคม มึงคงนึกภาพออกนะว่ามันจะเป็นยังไง คนที่อ่อนแอกว่าคือคนแพ้ ไอ้ดีนมันลูกคนรวย มีคนโอ๋เยอะ ประวัติดี หยิ่ง ไม่ผิดที่จะโดนเกลียดแต่ก็ไม่ใช่ความผิดของมันหรอก...”

ผมพอจะนึกภาพออก พวกเด็กเกเรกับเด็กเรียน แต่เรื่องของพี่ดีนทำเอาผมโคตรแปลกใจกับการเปลี่ยนแปลงตัวเองของพี่แก จากเด็กเรียนกลายเป็นพวกสายอาร์ตไปซะงั้น เพียงเพราะเหตุการณ์ที่เริ่มต้นจากเฮียแกน...เป็นตัวร้ายมาตั้งแต่เด็กเลยแฮะ

“แล้วตอนนั้นพี่ยังคุยกับเฮียแกนอยู่ไหม”

“ก็คุย เรื่องนี้มันก่อนที่กูจะโดนมันเกลียด...กูรู้สึกผิดนะเรื่องไอ้ดีน หมายถึงสิ่งที่ไอ้แกนทำมันไม่ใช่เรื่องดี กูรู้เห็นแต่ไม่ได้ทำอะไร ไม่ได้เตือน กูก็เลวพอๆ กับมัน กูยอมรับ” พี่ท็อปหัวเราะเยาะ

“เพราะแบบนี้ใช่ไหม พี่ดีนถึงเกลียดเฮียแกนมาตลอด”

“อือ มันน่าตลกตรงที่ไอ้ดีนต้องมาเจอกับเชี่ยแกนอีกทั้งที่หนีมันมาแท้ๆ โคตรเศร้า”พี่ท็อปส่ายหน้าไปด้วยระหว่างที่พูด ผมย่นหน้า

“นั่นดิ”มันเหมือนตลกร้ายขำไม่ออกสำหรับพี่ดีน นี่สินะที่พี่ดีนจะสื่อกับผมจากที่พูดคุยกันบนดาดฟ้า ดูเหมือนพี่ดีนจะสับสนกับตัวเองไม่น้อย

“แต่ไอ้แกนมันเสียใจนะ”พี่ท็อปเอ่ย มองหน้าผมนิ่งๆ

“แต่คนที่จะตัดสินคือพี่ดีน”

“เออ กูเชื่อนะว่ามันกำลังชดใช้ในสิ่งที่มันทำลงไป ในฐานะเพื่อนเก่าอย่างกู รู้สึกสงสารไอ้แกนนิดหน่อย มันไม่มีใครรักมัน ยกเว้นตัวมันเอง”พี่ท็อปพูดถึงเฮียแกนได้โหดร้ายดี แต่ก็มีส่วนที่ผมเห็นด้วย หลังจากนั้นผมก็หมดความสนใจเรื่องของคนอื่น พี่ท็อปเองก็ไม่ได้เซ้าซี้ถามต่อ ผมเองไม่อยากเอามาเป็นประเด็น จะว่าไปผมก็ไปเสือกเรื่องพี่ดีนจริงๆ นี่แหละ

“เออ สอง วันเกิดกูหาเรื่องเซอร์ไพรส์ได้หรือยัง”คำถามของพี่ท็อปทำเอาผมแทบสำลักแก้วน้ำส้มในมือ ผมหันมองหน้าอีกฝ่ายที่นั่งอยู่บนเตียงเปิดหนังสือ หลายเล่ม ผมทำหน้ามึน

“อะไรพี่ ไม่ได้คิดเลย”ผมรีบพูด

“จริงเหรอ” พี่ท็อปทำหน้าไม่เชื่อชัดเจน

“จริง ไม่ได้เจ้าแผนการเหมือนพี่นี่หว่า” ผมเก็บขวดน้ำส้มกลับตู้เย็นรู้สึกเสียวสันหลังวาบ ทำไมถึงรู้ทันได้เนี่ย

“หึหึ กูรออยู่นะ วันเกิดปีนี้คงน่าจดจำที่สุดเลยมั้ง รองลงมาจากที่แม่จัดให้กู”

“เออผมว่ามันน่าแปลกเนอะ อย่างวันเกิดเนี่ย คนที่ทำให้เราเกิดคือพ่อแม่ทำไมเราถึงต้องให้ความสำคัญกับวันเกิดตัวเอง หาของขวัญให้ตัวเอง ให้ความสำคัญกับปาร์ตี้กับเพื่อน...ใช่ไหมพี่ ทำไมไม่ไปจัดให้พ่อแม่ล่ะ ขอบคุณที่ทำให้เราเกิดมา” ผมพูดหลังจากที่เคยสงสัยเรื่องนี้มาสักพักแต่ไม่ได้ถามเรื่องนี้กับใคร

“อือ เป็นอีกหนึ่งความเป็นจริงที่มึงเองก็ยังทำไม่ได้” พี่ท็อปหัวเราะ

“ก็อยากทำ วันเกิดพี่ เดี๋ยวผมจะเดินเรื่องเอง นัดแม่พี่มาด้วยแล้วขอบคุณท่าน” ผมเพิ่งคิดได้ จะว่าไปทำแบบนี้ก็แปลกดี เหมือนเป็นการขออนุญาตจากคุณแม่พี่ท็อป

“เอาจริงเหรอ”พี่ท็อปดูตกใจขึ้นมา ก่อนจะหน้าเปลี่ยนสี

“จริงสิ พี่นัดแม่ให้หน่อยนะ” ผมยิ้มกว้าง ตลกดีที่เห็นพี่ท็อปไม่ทันตั้งตัวแบบนี้ ความคิดนี้ก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้นเสียหน่อย

"จริงดิ?” พี่ท็อปทำหน้าเหมือนไม่เชื่อ

“จริงแท้แน่นอน ผมมันคนจริงนะพี่” พี่ท็อปทำหน้าแปลกๆ ก่อนจะหันไปสนใจหนังสือต่อ ไม่สนใจผมอีก

“ทำไม...ผิดหวังล่ะซี่ อยากได้แบบโรแมนติกเหรอ สองต่อสองอะไรแบบนี้”ผมพูดต่อ เพื่องเรียกร้องความสนใจ
พี่ท็อปหัวเราะกลบเกลื่อนแทน “หึหึ กูรู้นิสัยมึงน่า...มึงกำลังเซอร์ไพรส์อะไรสักอย่างนี่แหละ เพราะมึงรักกูไง”เจ้าตัวดูมีความสุขที่คิดแบบนี้ ผมไหวไหล่

“รู้ใจจัง แล้วพี่ไม่อยากได้อะไรจากผมจริงๆ เหรอ”ผมเดินเข้าไปถาม ก่อนจะล้มตัวลงนอนบนเตียง พี่ท็อปมอง แล้วส่ายหัว จากนั้นก็ขยับหนังสือออกไปให้พ้นทาง

“ไม่อยากได้อะไรหรอก ไม่รู้สิ มีอะไรที่กูยังไม่ได้จากมึงอีกเหรอ” พี่ท็อปยิ้ม แววตาเป็นกายสดใส ผมเลยหลุดยิ้มออกมา พูดได้ดี

“เล่นซะหมดมุกเลย” ผมดึงแขนอีกฝ่าย เพื่อให้เจ้าตัวลงมานอนข้างกาย

“ก็จริงนี่หว่า ไม่ได้พูดให้เว่อร์ แต่กูก็ผู้ชาย ไม่ได้อยากได้อะไรมากหรอก ของขวัญเหรอ...ไม่สำคัญ มึงน่าจะรู้ใจกูนะ หมายถึง เราเข้าใจกันมากกว่าที่เรารู้อีกนะ กูไม่ใช่คนเรื่องเยอะ อีกอย่างกูชอบเป็นฝ่ายให้มากกว่าฝ่ายรับ”พี่ท็อปพูด แล้วยิ้มกว้างเข้าไปอีก ฟังแล้วก็ตัวลอยแต่ไอ้คำหลังนี้เน้นเป็นพิเศษเชียว

“งั้นก็แย่สิ อุตส่าห์อยากให้ของซะหน่อย สำหรับคนมีเจ้าของ”ผมยิ้มกริ่ม พี่ท็อปเงยหน้ามองผม แววตาสนใจขึ้นมา   เจ้าตัวย่นคิ้วทำหน้าสนใจก่อนจะขยับเข้ามานอนบนหมอนใบเดียวกันกับผม ทำให้เราต้องนอนสนิทแนบชิดกันมากขึ้น

“อยากได้ไหมล่ะ” ผมถาม

“ถ้าพูดซะขนาดนี้กูไม่ปฏิเสธหรอก กูอยากได้” พี่ท็อปยิ้มแล้วขยับมากอดผมซะงั้น แต่ผมชอบนะ กอดกันแล้วมันอุ่นดี “งั้นก็รอแล้วกัน”

 “อือฮึ แต่ปีนี้มันพิเศษอยู่แล้ว”พี่ท็อปหัวเราะอารมณ์ดี

“พิเศษสิ เพราะผมนี่แหละ”ผมได้ไอเดียเรื่องแหวนขึ้นมาพอดี เยี่ยมจริงๆ ทำไมผมเพิ่งคิดได้กันนะ แหวนที่ไม่ต้องใช้เงินมากและมีวงเดียวในโลก แหวนไม้แกะสลักเอง

พี่ท็อปหันหน้ามามอง“ข้อนี้แหละสำคัญที่สุด”

“เหมือนกัน” ผมยิ้ม

พี่ท็อปเลิกสนใจงานแค่นอนกอดกับผมนิ่งๆ อยู่บนเตียง ไม่ต้องมีคำพูดมากมายเหมือนตามตำราที่ว่าการการสัมผัสสามารถเพิ่มความเชื่อใจและให้ความรู้สึกต่อกันมากกว่าคำพูดเสียอีกบางครั้งเราก็ควรให้ความสำคัญกับเรื่องที่มันสำคัญต่อกันจริงๆ เพียงเท่านั้น ผมว่าผมมีความสุขพอแล้ว ผมไม่ได้อยากได้รักกันหวานชื่นแต่ขอแค่มีกันและกัน เข้าใจกัน เราสามารถพูดคุยกันได้ทุกเรื่องแค่นี้ก็พอแล้วสำหรับคำว่าคนรัก ผมคิดแบบนี้จริงๆ

………….

ผมนัดแนะกับไอ้โก๋ ผู้ถนัดงานแฮนเมด อีกฝ่ายให้ผมไปหาที่หอพัก เพราะที่ห้องมีอุปกรณ์ครบ และสะดวกกว่า เลยขอให้มันมาช่วยทำแหวน เพราะผมไม่ชำนาญเรื่องนี้เท่าไหร่

“นึกยังไงอยากทำแหวนไม้วะ” ไอ้โก๋ถามขณะที่กำลังจัดเรียงอุปกรณ์ไฟฟ้า พวกสว่านสำหรับเจาะและเหลาไม้

“ไม่มีเงินซื้อของแพงไง” ผมหัวเราะ ไอ้โก๋ย่นหน้าแล้วยกกล่องลังที่มีเศษท่อนไม้เล็กๆ ที่มีทั้งเป็นท่อนสี่เหลี่ยม เป็นแท่งกลมๆ ไอ้โก๋บอกว่าเป็นไม้มะค่าสำหรับทำเฟอร์นิเจอร์ซึ่งเป็นเศษไม้ที่เหลือจากงานของมันเอง ผมซื้อต่อในราคากันเอง ถึงจะสนิทกันแต่อุปกรณ์ของอีกฝ่ายก็มีราคาทั้งนั้น จะมาขอใช้ฟรีก็คงไม่ถูกต้อง ผมเกรงใจมันไม่น้อยเลยตกลงแบบพอใจกันทั้งสองฝาย

“ดีนะ กูไม่เอาไปทิ้งซะก่อน” มันบอกแล้วเดินมานั่งข้างๆ ผมหยิบแพตเทิร์นแหวนออกมาดูคร่าวๆ ระหว่างนั้นไอ้โก๋เตรียมใช้สว่านตัดไม้เป็นส่วนๆ ก่อนจะเลื่อนกล่องไม้ที่ถูกตัดเป็นชิ้นกลม ๆ ประมาณสิบชิ้นได้ 

“มึงรู้ไหมว่าพี่ดีนพี่ท็อป เฮียแกนเคยรู้จักกัน”ผมพูดเหมือนชวนคุยไปเรื่อยๆ ไอ้โก๋ชะงักมองหน้าผมตาปริบๆ มันหยุดมือด้วยความสนใจ

“จริงเหรอ ทำไมวะ”

“มึงเคยได้ยินเรื่องปลาใหญ่กินปลาเล็กในรั้วโรงเรียนไหมวะ” ผมเกริ่นง่ายๆและไม่ลงลึก “เออ แต่ว่าใครเป็นปลาใหญ่ ปลาเล็ก” ไอ้โก๋ตามเรื่องได้ทันมันยิ้มมุมปากอย่างสนอกสนใจ

“ปลาใหญ่คิดว่าใครล่ะ เฮียแกนเจ้าเก่าไง”ผมบอก ไม่คิกว่าเฮียจะเป็นคนประเภทนั้น พวกรังแกคนอื่น 

“จริงดิ ไม่อยากจะเชื่อ พี่ดีนเนี่ยนะ ออกจะจ๊าบ” มันทำหน้าเหลือเชื่อ มันคงทำใจยากเพราะมันเองก็รู้จักไปไหนมาไหนกับกลุ่มพี่ดีนบ่อยๆ

“ใครจะไปอยากเป็นปลาเล็กไปตลอดกัน เพราะมีแรงผลักภายในที่ทำให้ต้องเปลี่ยนแปลงล่ะมั้งเลยเป็นอย่างที่เห็น ที่จริงกูออกจะชื่นชมพี่แกนะ” ผมพูดไปอย่างที่คิด ไอ้โก๋เงียบ คงคิดอะไรอยู่ในใจ

“แล้วถ้าเป็นมึง... มึงอยากเอาคืนไหมวะ”ผมถามไอ้โก๋ช้า ๆ

ถ้าหากเกิดเรื่องแบบนี้กับใครก็ตาม วิธีแก้ปัญหาของแต่ละคนคงต่างกันออกไป แต่จะมีสักกี่คนที่สะสมความเกลียดชังเพื่อรอเวลาเอาคืน ผู้ใหญ่บางคนบอกว่าการแก้แค้นเป็นเรื่องของเด็กๆ แต่ผมว่าไม่ใช่ การแก้แค้นคือการปลดปล่อยตัวตนต่างหากเพราะคนเราต้องหาที่พึ่งหรือจุดรวมความเชื่อมั่นของตนเอง ยึดมั่นกับอะไรสักอย่างที่จับต้องไม่ได้เพื่อไม่ให้ศรัทธาหรือจิตวิญญาณแหลกสลาย

“ขึ้นอยู่กับบาดแผล ถ้ามันใหญ่และใช้ยาทายังไงก็ไม่หายสนิทสักที คงต้องหาวิธีบรรเทาบาดแผลในรูปแบบอื่น ไม่ทางกายก็จิตใจนี่แหละว่ะ” มันยิ้มเหมือนเศร้าไปกับสิ่งที่มันพูด คล้ายๆ กับสัจธรรม

“ก็คงจะจริง”ผมตอบอย่างใจลอย 

“เรื่องพี่ดีน...มึงไม่คิดบ้างเหรอว่าพี่เขาอาจชอบมึงจริงๆ ก็ได้”ไอ้โก๋เอ่ยขึ้นมา ผมส่ายหน้า คนอย่างพี่ดีนเนี่ยนะ

“ไม่มีทางหรอก”

“ไม่มีอะไรจีรังหรอกกับเรื่องของความรัก หัวใจคนน่ะ”มันยิ้ม ผมเหลือบมองมันยิ้มๆ อีกฝ่ายชอบพูดจาให้ผมได้ขบคิดอยู่เสมอ  “ไปสรรหาคำพูดมาจากไหน”

“เห็นแบบนี้กูนี่เป็นที่ปรึกษาหัวใจให้ใครมาหลายคนแล้วนะเว้ย”อีกฝ่ายคุยโว ก่อนจะหัวเราะสบายอารมณ์ 

“ตอนนี้มึงเป็นที่ปรึกษาให้กูก่อน”ผมหยิบชินไม้ที่ตัดเสร็จแล้วขึ้นมาโบกไปมา

แหวนไม้ใช้เวลาไม่นานก็เสร็จถ้าหากทำแบบจริงจัง แต่ถ้าอยากให้ออกมาพิถีพิถัน มีดีเทลเยอะ ต้องใช้เวลาหลายวันหน่อย หลังจากที่นำแผ่นไม้ทรงกลมมาเจาะรูที่ตรงกลางตามแบบที่วาดไว้  เหลือแค่เหลาเกลี่ยเนื้อไม้ให้เรียบเนียนและตัดเท่าขนาดนิ้วที่วัดมา

“มึงไปร้านพี่ตั้มบ้างไหม” ผมชวนคุยเพื่อปูทางเข้าสู่เรื่องที่อยากรู้

“ไปครั้งสองครั้งเอง บรรยากาศดีนะ แต่ไปบ่อยๆ หมดเงินพอดี”มันบอก 

“เจอเฮียแกนบ้างไหม” ผมถาม สิ่งที่ผมสนใจจริงๆ คือเฮียต่างหากอยากรู้ความเคลื่อนไหว

“ที่ไหน ที่ร้านพี่ตั้มน่ะเหรอ”

“เออสิ ก็เพื่อนพี่ตั้มนี่ ปกติเห็นไปสุ่มหัวที่ร้านนี่หว่า”ผมหลบสายตาไอ้โก๋ที่จับจ้องมาทางผมเขม็ง มันคงเซ็งที่ผมชอบหาเรื่องใส่ตัว

“ไม่รู้สิ ตอนกูไปไม่เคยเจอสักที คงไม่มาแล้วล่ะมั้ง ช่วงหลังมานี่แกชอบเก็บตัว เจอแต่ที่คณะ”

“อยู่คณะบ่อยว่างั้น”

“อือ ก็เรื่องงานปีสี่ด้วยนั่นแหละ แต่เออว่ะ เจอหน้าแกบ่อยกว่าปกตินะ กูยังเสียวสันหลัววูบๆ อยู่เลย แกเงียบกริบเชียว รักสันโดษไม่ค่อยไปกับกลุ่มพี่จิวซี้แกแล้ว”หัวข้อนี้ทำเอาผมหูผึ่งเท่าใบลานขึ้นทันที

“ทะเลาะกันเหรอ” ผมถามอย่างอยากรู้อยากเห็น

“ไม่รู้สิ แค่ไม่ไปไหนมาไหนด้วยกันเฉยๆ ล่ะมั้ง” ไอ้โก๋ว่า ผมนิ่งคิดตาม บางทีเฮียแกนอาจจะปลงตกเลือกจะอยู่คนเดียว หรือว่าโดนทิ้ง

“เออ จ่ายค่าน้ำยาขัดไม้ด้วยนะมึง”มันพูดขึ้นมาเหมือนนึกขึ้นได้

“น่าๆ เดี๋ยวจ่ายให้ กูไม่งกขนาดนั้นหรอก ยังไงก็ต้องลงทุนบ้างแหละวะ”ผมส่ายหน้า ยังไงต้องจ่ายเงินให้มันไปตามมารยาท ถึงจะเพื่อนกันก็เถอะ แต่เรื่องอุปกรณ์การทำงานมันต้องใช้อยู่ตลอด

“มึงไม่ชอบเรื่องเซอร์ไพรส์ แต่ต้องมาเซอร์ไพรส์พี่ท็อปเนี่ยนะ”มันขำหึ

“อือ ไม่เรียกว่าเซอร์ไพรส์หรอก แค่อยากทำอะไรบ้างเท่านั้นเอง” ผมยิ้มกว้างให้ไอ้โก๋ส่ายหน้าทำท่าอ้วกมาให้ผมแทน 

“เออ แล้วพวกไอ้เชี่ยวยังไปก๊งเหล้าบ้านไอ้บีอยู่หรือเปล่าวะ” พูดถึงเดอะแก๊งผมเองก็หายเข้ากลีบเมฆ ถึงแม้ว่าผมจะมีคำตอบอยู่ในใจแล้ว

“ไม่เห็นต้องถาม ก็เดือนละครั้ง มึงเองก็หายต๋อมเลย”

“เบื่อเหล้าแล้ว” ผมพูดไปแบบนั้น แต่มีบางครั้งที่น้ำลายไหลเมื่อนึกถึงน้ำแข็งเย็นๆ กับโซดา

“ดีแล้วล่ะ”

“มึงพูดเหมือนคนแก่เลยว่ะ เหมือนปลงๆ มึงจะบวชหรือไงเนี่ย”

“เปล่า ก็เบื่อๆ” มันถอนหายใจทำหน้าเหมือนโลกนี้ไม่มีอะไรน่าสนใจอีกแล้ว

“หาอะไรทำซะสิ ไอ้อารมณ์เบื่อๆ เนี่ยระวังนะมึง ถ้าปล่อยให้มันครอบงำมากๆ มันอาจทำร้ายมึงได้” ผมพูดให้มันฟัง แต่ละคนมีวิธีแก้เบื่อต่างกัน สำหรับผมเมื่อก่อนนั้นวิธีที่ใช้ก็อย่างที่รู้ๆ เพราะไอ้คำว่ารักสนุกเนี่ยแหละมันย้อนกลับมาทำร้ายเราได้มากกว่าคิดไว้ซะอีก ไม่อยากเห็นเพื่อนรักอย่างมันโดนดูดเข้าไปอีกโลกนึง ไอ้โก๋ยิ่งทำอะไรไม่อยู่กับร่องกับรอย

“กูไม่เหมือนมึงน่า อย่างกูก็ไปออกค่ายแก้เซ็ง” มันหัวเราะ ผมมองมันอยู่สักนาทีก่อนจะเปลี่ยนเรื่องคุย

ผมใช้เวลาช่วงบ่ายอยู่ที่ห้องไอ้โก๋ หลังจากที่เหลาไม้จนได้รูปแล้ว ที่เหลือก็แค่แกะสลักชื่อลงไปและทาน้ำยาขัดไม้เพื่อขับให้สีไม้เข้มขึ้นเพียงเท่านั้น แน่นอนว่ามันก็ไม่ง่าย ผมทำเสียไปหลายอัน

ตืด ตืด ตืด

“มีคนโทรมาเว้ย” ไอ้โก๋ร้องบอกมาจากระเบียงหลังห้อง กำลังตากผ้าอยู่ โทรศัพท์ของผมมันชาร์จแบตอยู่ตรงโต๊ะริมประตูห้อง ไอ้โก๋ดันเห็นพอดี มันเดินเอามาให้ผมทำหน้ายู่“เบอร์คุ้นๆ”

“แต๊งกิ้ว” ผมรับมา เบอร์ที่ปรากฏอยู่คุ้นตาเช่นกัน ผมไม่ได้เมมไว้ แต่มีไม่กี่คนหรอกที่ผมไม่ได้เมมชื่อไว้ในเครื่อง

“ว่าไงครับ” ผมกดรับ เบอร์คุ้นๆ นี่คือพี่ดีนเจ้าเก่า

 [ว่างไหม] เสียงจากปลายสายดังขึ้น ไม่มีความลังเลอยู่ในน้ำเสียงนั้น ผมขมวดคิ้ว มีเรื่องอะไรอีกล่ะสิ

“มีอะไรครับ” ผมถามสั้นๆ ไอ้โก๋ดูสนอกสนใจขึ้นมาเชียว มันเดินกลับเข้ามาด้านใน

[ก็...เรื่องของเราไง] พี่ดีนหัวเราะเหมือนหยอกล้อ ผมเผลอเบ้ปากไปอัตโนมัติ พี่ก็เข้าใจเล่นนะ

“งั้นผมวางแล้วนะ”

[ล้อเล่นน่า มีอะไรอยากถามหน่อย]

“ถามเลยสิครับ”ผมตอบ มาทำมีลับลมคมในอีกแน่ะ

[มาเจอกันหน่อย มีเรื่องอื่นจะคุยด้วยน่ะ กูไม่ทำอะไรหรอกน่าแค่อยากคุยด้วย]

“ทำไมต้องเป็นผมล่ะ”ผมถามออกมา อย่างไม่เข้าใจนัก ผมไม่เห็นว่าพี่ดีนจะมาสนใจผมจริงจังนัก แต่ก็คอยมากวนประสาทผมบ่อยๆ ไอ้โก๋เงยหน้ามามองอย่างสนใจ แววตาประกายใส ผมเอียงตัวหลีกหนีมัน

[ก็มึงเป็นคนเดียวที่เหมือนจะเข้าใจกู]

".....” ผมเงียบ

[สละเวลาแค่สิบนาทีเอง ว่างเมื่อไหร่ก็มาหากูที่ร้านคาเฟ่แมวแล้วกัน กูนั่งรออยู่ที่นี่แหละ] พี่ดีนพูดก่อนจะชิงวางสายไปก่อน ผมถอนหายใจไม่อยากโกหกตัวเองว่าไม่สนใจเรื่องพี่ดีน แต่ถ้าพี่ท็อปรู้อาจจะไม่ค่อยชอบใจที่ผมยังเข้าไปยุ่งอยู่แบบนี้ แทนที่จะถอยออกมาก่อน ผมมองหน้าไอ้โก๋

“ทำไมวะ” มันถามขึ้นมาทันที

“พี่ดีนให้กูไปหา มึงไปกับกูหน่อย” ผมเอ่ยชวน เอาไอ้โก๋ไปด้วยเผื่อมีเหตุอะไรขึ้นมา

“กูเนี่ยนะ จะไปทำไม” มันรีบส่ายหน้าปฏิเสธทันที

“เอ้า ไปเป็นเพื่อนกูหน่อย ไม่เป็นห่วงกูเหรอ กูไปเจอพี่ดีนคนเดียว”ผมพูด กอดอกมองเพื่อนอย่างกดดัน ผมไม่อยากคุยสองต่อสองกับพี่ดีน 

“แหม ดูแลตัวเองไม่ได้หรือไงวะมึงเนี่ย อีกอย่างนะถ้ากูไปด้วยพี่ดีนจะพูดในสิ่งที่แกอยากพูดได้ไงวะ”

“คงได้นั่นแหละ ถ้าเป็นเรื่องสำคัญมากคงนัดที่ส่วนตัวแต่นี่นัดร้านพี่มิว” ร้านพี่มิว เป็นรุ่นพี่ในคณะ เปิดร้านคาเฟ่แมวผมเคยแวะไปนั่งตอนติดฝนอยู่ครึ่งชั่วโมง ถ้าใจรักแมวคงพอทำใจได้

“โอเค ไปก็ได้”อีกฝ่ยยอมตกลง เมื่อเห็นว่าผมจริงจัง 

“อืม ดี อีกสักครึ่งชั่วโมงค่อยไปแล้วกัน ปล่อยให้รอไปก่อน”ผมบอก ไม่อยากออกไปเร็วนัก ปล่อยให้พี่ดีนรอไปก่อนเถอะ ไอ้โก๋มองผม แล้วส่ายหน้าเอือม “ตามใจ”

ผ่านไปครึ่งชั่วโมง ผมกับไอ้โก๋ก็ไปตามนัดของพี่ดีน เมื่อเดินเข้าร้าน Cat café ผมมองเห็นพี่ดีนได้ชัดเจนเพราะร้านไม่ได้กว้างมากนัก เป็นห้องสี่เหลี่ยม ไม่มีสิ่งของบดบัง ผมมองบรรดาแมวในร้านนิ่งๆ

“นึกว่าจะมาคนเดียวซะอีก”เมื่อเดินมาถึงโต๊ะริมสุด บนตักของพี่ดีนมีแมวขนปุกปุยนอนอยู่ด้วย เจ้าตัวกำลังเกาคางให้มัน

“ผมมากับเพื่อนเลยให้แวะมาด้วย”ผมบอกก่อนพยักหน้าให้ไอ้โก๋ มันเดินไปนั่งที่โซฟาอีกมุมหนึ่งของห้องแทนแล้วเล่นแมวไปพลาง

“อยากดื่มอะไรก่อนไหม เดี๋ยวสั่งให้”ผมนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับพี่ดีนที่ดูไม่ทุกข์ร้อนอะไร ทำราวกับว่าชวนผมมานั่งดื่มชิลๆ ผมไหวไหล่

“ไม่ต้องหรอกพี่ มีอะไรจะพูดก็ว่ามาเลยจะได้ไม่เสียเวลา”ผมพูดเข้าเรื่องก่อนจะมองไปรอบร้านที่มีแค่เจ้าของร้านสองคนแล้วก็พวกผม

“มึงนี่ชอบแดกดันจริงๆ” พี่ดีนเริ่มพูดก่อนจะยกแอปเปิ้ลโซดาขึ้นดื่มสบายอารมณ์ “อันที่จริง กูชอบมึงนะ”

“หา”ผมร้องอย่างแปลกใจ ที่ผ่านมารู้สึกเหมือนโดนล้อเล่นเสียมากกว่า เพราะอีกฝ่ายดูเหมือนสนุกที่ได้ป่วนผมอยู่แบบนี้ เจ้าตัวยิ้ม ก่อนจะอธิบายต่อ

“หมายถึงชอบในเชิงชื่นชม แบบว่าพิเศษกว่าคนอื่น ไม่รู้สิ บางครั้งมึงก็คล้ายๆ กับคนที่กูเคยรู้จัก”ผมไม่รู้ว่าพี่ดีนแกหมายถึงใคร แต่จะมาปฏิบัติแบบนี้กับผมไม่ได้ ผมถอนหายใจอย่างอดกลั้น

“ไม่มีใครคล้ายใครได้หรอก พี่แค่อยากหาใครมาแทนที่คนคนนั้นล่ะมั้ง แต่มันไม่ใช่กับผม ไม่ว่าในกรณีไหนก็ตาม” ผมพูดอธิบาย

“เสียดาย รู้จักมึงช้าไป เมื่อก่อนกูได้ยินชื่อเสียงมึงนะ แต่กูไม่ใส่ใจเท่าไหร่ ถ้ามีโอกาสได้พูดคุยล่ะก็กูคงไม่ปล่อยเวลามานานขนาดนี้” พี่ดีนพูดเบาๆ สายตาหลุบต่ำเหมือนเหม่อลอย

“จริงเหรอ”ผมไม่เชื่ออย่างแรง

“จะเชื่อหน่อยไม่ได้เหรอเนี่ย แต่เอาเถอะ...กูมีสติน่าว่าอะไรเป็นอะไร”เจ้าตัวพึมพำ เหลือบมองผมอีกครั้ง ผมเม้มปาก 

“ทำไมพี่ต้องมาไขว่คว้าอะไรตอนนี้ ผมว่าพี่ควรปล่อยวาง ปล่อยให้เรื่องมันเดินไปตามทางของมัน”

“หมายความว่าไง” พี่ดีนมองหน้าผมนิ่งๆ น้ำเสียงดูไม่มั่นคง

“ผมรู้เรื่องของพี่มาบ้าง...พี่ไม่จำเป็นต้องเข้าหาคนแบบผมเพื่อมาเติมเต็มความรู้สึกของพี่หรอก” ผมพอจะเข้าใจอีกฝ่ายอยู่บ้าง เหมือนอยากได้ใครสักคนที่คล้ายกับคนก่อน

“มึงไม่เข้าใจ...เรื่องของกูมันซับซ้อนนิดหน่อยจนบางครั้งกูก็ไม่เข้าใจตัวเอง”พี่ดีนขมวดคิ้วเข้าหากัน แสดงสีหน้ายุ่งยากใจออกมา ผมมองอีกฝ่าย

“จริงๆ แล้วพี่ต้องการอะไรกันแน่ พี่เคยถามตัวเองจริงๆ สักครั้งหรือยังครับ”ผมเอ่ย ในฐานะที่เคยสับสนและไม่เข้าใจอารมณ์ของตัวเองมาก่อน

“ไม่รู้...” พี่ดีนไหวไหล่ทำหน้าไม่แยแส “ไอ้ท็อปเล่าให้มึงฟังเหรอไง” อยู่ๆพี่ดีนก็ทำหน้าแข็งกร้าวไม่พอใจออกมาแทน

“ใช่ครับ” ผมรับ

“แย่มากเลยนะ มันเป็นเรื่องน่าอาย ทุเรศด้วย”อีกเอ่ยในลำคอ 

“ผมถามเองแหละ” ไม่รู้จะพูดอะไรต่อดีจนเริ่มรู้สึกอึดอัดขึ้นมาแทน ผมเหลือบมองไปที่ไอ้โก๋มันนั่งเล่นโทรศัพท์ส่งสายตามามองผม

“กูไม่ได้เกลียดอะไรไอ้ท็อปมันมากนักหรอกนะ ถึงกูจะไม่ชอบหน้ามันก็เถอะ ...แต่ก็มีบางครั้งที่กูอยากจะทำอะไรหลุดโลกไปเลย” พี่ดีนค่อยๆ พูดผมพยายามคิดเรื่องพี่ดีน พยายามคาดเดาอารมณ์และความต้องการของอีกฝ่าย

“ที่พี่ถามผมว่าอะไรทำให้คนเราเปลี่ยนแปลงได้...ตอนนี้ผมกำลังคิดอยู่ว่าความเปลี่ยนแปลงของผมกับพี่มันต่างกัน ผมเปลี่ยนเพราะมีคนที่รัก แต่พี่เปลี่ยนเพราะมีคนที่เกลียด เพราะพี่เกลียดมากจนทนตัวเองแบบนั้นไม่ไหว”ผมพูด มันเลยกลายมาเป็นพี่ดีนที่ผมรู้จักในตอนนี้

“ก็คงงั้น...แต่กูพอใจกับสิ่งที่กูเป็นอยู่ตอนนี้นะ มันคือตัวตนของกู”พี่ดีนพูดเบาๆ ก่อนจะเงียบไป

“แล้วพี่มีเรื่องอะไรอีกหรือเปล่าครับ” ผมถามต่อเพราะรู้สึกอึดอัดขึ้นมา พี่ดีนเหลือบตามองผมเหมือนคิดอะไรอยู่

"ที่จริงแล้ว—ช่างเถอะ ไม่มีอะไรแล้ว” พี่ดีนส่งยิ้มมาให้ ผมมองพี่ดีนแล้วรู้สึกสงสารนิดหน่อย ท่าทางจะไม่มีคนคุยปรับทุกข์ด้วย

“งั้นผมกลับล่ะ ถ้าพี่อยากคุยกับผม หมายถึงถ้ามันแย่จริงๆ พี่ก็โทรหาผมแล้วกัน” ผมบอกก่อนจะลุกเดินออกจากโต๊ะ ผมแค่เห็นใจอีกฝ่ายที่ไม่มีทางออกเพราะภายนอกดูเป็นคนเข้มแข็ง แต่ในใจนี่สิอาจคนละเรื่องกันเลย ไอ้โก๋เดินตามมาติดๆ แล้วกระซิบ

“พี่แกดูเหงาๆ นะ”

“มึงไปปลอบพี่ดีนสิ เห็นว่ากูรูด้านนี้นี่” ผมแกล้งพูดออกมา ไอ้โก๋ทำตาเหลือกส่ายหน้า

“ไม่ใช่มึงก็ทำไม่ได้นะครับ แหม นี่ก็ใจอ่อนซะแล้ว” ไอ้โก๋ว่า นั่นสิ ผมใจอ่อนเหมือนอย่างที่พี่ท็อปบอก แต่ผมก็ไม่อยากให้พี่ดีนเป็นทุกข์ ดูท่าทางแล้วจะมากกว่าที่เห็นด้วยซ้ำ

“ทำไงได้ พระเอกก็แบบนี้” ผมหัวเราะ ไอ้โก๋ทำหน้าเอือมก่อนจะทำหน้าที่เป็นวินมอเตอร์ไซค์ให้ ผมคาดการณ์ไว้ว่าแหวนคงใช้เวลาสองสามวันกว่าจะออกมาสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ ผมยกกล่องอุปกรณ์เตรียมกลับหอพัก วันนี้ต้องขอบใจไอ้โก๋จริงๆ ไม่อย่างนั้นคงออกมาไม่เป็นรูปเป็นร่าง

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-01-2018 17:09:03 โดย RindadaRin »

ออฟไลน์ รินดาwดาริน

  • OnTop&N'Song
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +243/-2
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-01-2018 17:19:49 โดย RindadaRin »

ออฟไลน์ แมวดำ

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 784
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-2
เพิ่งเข้ามาอ่านชอบมากเลยง่า สนุกมาก :mew1:

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
ขอบคุณที่มาต่อนะคะ.   :katai2-1:  พี่ดีนแกหน่วงดีนะ. โถๆน้องสองคุยกับพี่แกดีๆบ้างก็ดีนะ
ท็อปสองลงตัวด้วยการวินวิน. เยี่ยมเลยอะ. ใครผัวใครเมียไม่ใช่สาระสำคัญ
ขอให้มีความสุขกับปีใหม่ที่กำลังจะมาถึงจ้า
สั้นยาวไม่สำคัญค่ะ. ขอแค่เขียนจบค่ะเท่านี้ก็ขอบคุณมากๆแล้ว
รอยิมผิงนะคะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ fanglest

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 813
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-0
ดีน ทิฐิสูงเหลือเกิน
แต่ใช้ชีวิตง่ายๆมันก็จบแล้ว
จะหนีไปไดเท่าไหร่ เอ้า มาดูกัน
แต่เราก็ไม่ค่อยชอบแกนเหมือนกัน เกลียดขี้หน้าคนแบบนี้ เฮ่ออ
ไม่รู้จะออกมาแนวไหน แต่ก็
รอตอนต่ิอไปค่ะ

ออฟไลน์ flimflam

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 881
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-4
พี่ท็อปกับสองนี่รู้สึกจะหวานเกินหน้าเกินตาเพื่อนๆและคนรอบข้างมาก 55555555
หันมามองผิงกับพี่ดีนคือเครียดทั้งคู่
 :katai1:

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
เพิ่งเข้ามาดูเมื่อเช้าแต่เห็นว่ายังไม่อัพ พอตกเย็นเห็นอัพปุ๊บนี่กรี๊ดเลย โอยๆๆหวานกันจริงท็อปสองเนี่ย อิจฉาฝุดๆแต่ถ้าถามเราเราว่าสองเป็นเคะเหมาะสุดแล้วจริงๆ ฮาา ส่วนพี่ดีนกับเฮียแกนคู่นี้นี่เหมือนจะไม่ทีวันลงรอยกันนะแต่ถ้าลองดูดีๆเหมือนเฮียแกนแกมาง้อพี่ดีนเลยว่ะแถมมีแอบหึงเล็กๆด้วยรึเปล่า รอลุ้นๆ

ออฟไลน์ คนอ่าน

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1438
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-13
เรื่องนี้สนุกมากกกกกกกกกก
ภาษาก็น่าอ่าน  แค่อ่านหน้าแรกก้ติดใจแล้วค่ะ
ชอบการเล่าเรื่องแบบรุก(ที่โดนรับไม่ทันตั้งตัว)
อ่านแล้วน่ารักน่าชังในความเย็นชาของเคะหน้าหล่ออย่างพี่ท็อป
และรุกที่ติดใจรสรัก   ภาษาน่าอ่าน สนุกดีน่ะคะ

ออฟไลน์ May@love

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 827
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-2
ยังติดตามอยู่นะ รอมาอัพตลอด

ชอบสอง ชอบพี่ท็อป

ออฟไลน์ sweetbasil

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 807
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-3
ท็อปสองหวานกันตลอด ไม่มีที่ว่างให้พี่ดีนหรอก
พี่ดีนน่าสงสารไม่มีใครจะทำร้ายเธอเท่ากับเธอทำตัวของเธอเอง
พี่ดีนสู้ๆๆ

ออฟไลน์ รินดาwดาริน

  • OnTop&N'Song
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +243/-2
-ผิง-
ตอนที่ 4 ออกทริปครั้งแรก
 
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“ผิง ไอ้ผิง...ตื่นยังวะ”
ตอนแรกนึกว่าตัวเองอยู่ในความฝันจนกระทั่งได้ยินเสียงเรียกพร้อมๆ กับเสียงเคาะประตู ผมสะดุ้งโหยงแต่ยังเมาขี้ตาอยู่ จากนั้นก็รีบผุดลุกออกจากเตียงอุ่นๆ ไปที่ประตู ผมเปิดประตูออก
“มึงเพิ่งตื่นเหรอเนี่ย”
“หืม...เฮ้ย เฮ้ยๆ กูเผลอหลับอะ แป๊บนึงนะเว้ย ขออาบน้ำก่อน” ผมนึกขึ้นได้ และเมื่อเห็นสีหน้าของไอ้ยิมทำให้ผมตาสว่างและต้องรีบวิ่งไปที่ห้องน้ำ ซวยล่ะ อุตส่าห์ตั้งนาฬิกาปลุกไว้แล้วแท้ๆ หรือว่าไม่ได้ยิน หรือว่าไม่ได้ตั้ง?
ไอ้ยิมเดินเข้ามาก่อนจะสแกนสายตาหาอะไรสักอย่างในห้อง
“มึงเก็บเสื้อผ้าหรือยัง”
“...ยัง ขอโทษๆ” ผมรีบบอกเพราะกลัวมันโกรธ แต่ผมเห็นว่ามันดูนิ่งๆ ผิดปกติ นี่ถ้ามันสามารถปล่อยแสงจากแว่นตาได้ป่านนี้ผมไหม้เป็นจุณแล้ว
“ไม่ต้องอาบไปเตรียมกระเป๋า” มันพูดจริงดิ ผมยืนนิ่งงงๆ
“เว่อร์แล้วมึง อาบไม่ถึงห้านาที จริงๆ เสื้อผ้าเอาไปแค่สามสี่ตัวพอ”
“ไม่ต้องอาบ ไว้ไปถึงที่พักค่อยอาบ ไปเก็บเสื้อผ้าเหอะมึง กูนึกแล้วว่ามึงต้องลืม” ไอ้ยิมกอดอกมองอย่างเผด็จการ มันเตรียมพร้อมหมดแล้ว กระเป๋าเป้ใบเดียวกับกระเป๋าสะพาย
“ไม่ได้ตั้งใจจะลืม คือกูคิดว่าไหวไงเลยปั่นงานทั้งวัน กะว่าจะแค่งีบๆ แล้วลุกมาเก็บกระเป๋า... แต่หลับยาวเลย” ผมอธิบาย พยายามทำท่าระรื่นเข้าไว้กลบเกลื่อน
“ยังจะมายิ้มอีก เรื่องแค่นี้ยังลืม” ไอ้ยิมทำหน้าบึ้งตึง มันเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าดึงกระเป๋าเป้ผมออกมาโยน
“เออๆ ต่อไปจะไม่เป็นแบบนี้อีกแล้ว โอเคไหมวะ ทำมางอน” ผมรีบเก็บของจำเป็นและยัดเสื้อกับกางเกงมาสามสี่ตัว คิดว่าน่าจะพอใส่
“นึกว่ามึงจะเตรียมพร้อม ไม่ได้ไปนอนห้องพักนะ” มันเตือนสติผมเพราะวางแผนไว้ว่าจะนอนเต็นท์ อากาศหนาวๆ กางเต็นท์ ปิ้งย่างกินให้บรรยากาศการพักผ่อนปิกนิกดี
“เดี๋ยวขาดเหลืออะไรหาซื้อเอาก็ได้” ผมยิ้มให้มัน ใจดีสู้เสือ ไอ้ยิมส่ายหน้าเบาๆ มองผมแบบคาดโทษ
“เสร็จตามลงมาด้านล่างนะ” มันบอกแล้วเดินออกไปเลย ผมเองเดาไม่ถูกว่ามันโกรธมากน้อยแค่ไหน ปกติมันก็นิ่งๆ เงียบๆ อยู่แล้วนี่
ไอ้แว่นเอ้ย
ผมใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีด้วยซ้ำเพื่อเก็บกระเป๋า ไม่อยากตรวจดูของอีกรอบเพราะจะทำให้เสียเวลาเอาได้ แต่เสือกลืมนู่นนี่นั่นตลอด ทำให้ต้องวกกลับมาหยิบใหม่ ผมวิ่งปรู๊ดลงบันไดออกมาที่บริเวณหน้าหอก็ต้องแปลกใจปนทึ่งเล็กน้อย
“รถมึงเหรอยิม” ผมมองตาปริบๆ เมื่อเห็นรถโฟล์คบีทเทิลสีเหลืองจอดอยู่ด้านหน้าติดเครื่องรอแล้วด้วย ไอ้ยิมเปิดกระจกลงแล้วยื่นหน้าออกมา เฮ้ย ไอ้นี่มันรวยจริงว่ะ
“ของป๊ากู เลิกจ้องได้แล้ว เข้ามา” ไอ้ยิมเอื้อมตัวมาเปิดประตูรถให้ ผมมองหน้ามันนิ่งๆ ด้วยอารมณ์มึนงง มันไม่ได้บอกว่ามีรถแบบนี้ ผมนึกว่าเป็นพวกกระบะแบบใช้งานตะลุยเที่ยวมากกว่ารถแบบคลาสสิกสวยๆ แบบนี้ ผมมันหนูตกถังข้าวสารชัดๆ
“วู้ รถสวยว่ะ” ผมหันไปบอกมันเมื่อเข้ามาในรถ ไอ้ยิมแค่ยิ้มเหมือนขำผม
“หึหึ ทำตัวบ้านนอก” มันค่อยๆ ออกรถช้าๆ อันที่จริงบ้านมันก็มีเงินทำไมถึงไม่ขับรถแบบนี้ไปเรียน มัวแต่ใช้มอเตอร์ไซค์ปกติ แต่เหมือนจำได้ลางๆ ว่ามันไม่ค่อยพูดกับป๊าเท่าไหร่
“ขับรถไปเหอะ” ผมบอกมัน แต่ทริปนี้มันรับหนักเลยทั้งขับรถ ออกเงินให้อีก ไม่รู้ทำไมมันถึงอยากทำตัวป๋าขึ้นมาได้ ระหว่างทางมันเปิดเพลงเบาๆ ท่าทางอารมณ์ดีอยู่ตลอด แต่โชคร้ายอย่างเดียว ผมไม่สามารถเปลี่ยนไปขับแทนมันได้เพราะผมขับรถไม่แข็ง เสี่ยงตายมาก แต่มันก็แค่บอกให้ผมนั่งเงียบๆ ที่เหลือมันจัดการเอง

การมองทิวทัศน์ข้างทางเป็นเรื่องน่าสนใจสำหรับชั่วโมงแรกๆ แต่พอนานเข้าผมชักตาลาย เกิดการเคลิ้มหลับขึ้นมาแทน ผมหลับไปนานจนกระทั่งมาตื่นที่ถนนสายตาก-แม่สอดแล้ว เพราะอากาศและทิวทัศน์เปลี่ยนไป มีแต่สีเขียวสดของธรรมชาติ วิวข้างทางสวยมากเพราะเป็นเส้นทางภูเขาล้วนๆ ส่วนไอ้ยิมยังคงทำหน้าที่โชเฟอร์ต่อไป
“ไหวไหมมึง ถ้าง่วงจอดพักที่จุดชมวิวได้นะ ไม่ต้องรีบ” ผมบอกมันเพราะเป็นห่วงด้วยแล้วก็สงสารนิดหน่อย ไอ้ยิมแค่พยักหน้า
“คิดว่ากูไม่เคยขับรถไกลๆ เลยหรือไง มึงนอนไปเถอะ” ฟังดูเหมือนประชดยังไงไม่รู้แฮะ ผมเลยมองวิวข้างทางไปเรื่อยๆ ถึงจะน่าเวียนหัวนิดๆ ก็เถอะ
ในที่สุดก็มาถึงจุดชมวิว มีรถตู้จอดสองคันกับรถเก๋งคันเดียว ผมลงจากรถแล้วบิดขี้เกียจ อากาศเย็นจนขนลุก ผมกับไอ้ยิมเดินไปที่ชมวิว ไอ้ยิมไปนั่งพักที่เก้าอี้ ผมมองลงไปที่หุบเขาด้านล่างไปพลาง ถ่ายรูปพอเป็นกระษัย
“ไปซื้อกาแฟให้หน่อยสิ” ไอ้ยิมเรียก ผมทำหน้าที่เบ๊อย่างเต็มใจ มันบอกขอเข้มๆ เลย มีร้านกาแฟเล็กๆ เปิดอยู่ ผมเลยซื้อมาให้ตัวเองด้วยเลย ไอ้ยิมได้กาแฟร้อนๆ ไปหนึ่งแก้วดูจะสดชื่นขึ้น มันเดินไปถ่ายรูปด้วยกล้องตัวโปรดของมัน
“ไม่ถ่ายรูปกูเหรอ” ผมถาม รอให้มันถ่ายอยู่เนี่ย ไอ้ยิมมองหน้าผมแล้วกดถ่ายแบบไม่ทันระวังตัว สรุปรูปออกมากากๆ ตามหนังหน้าผม
“ไม่ขึ้นกล้อง” มันขำอยู่คนเดียว
“เออ ไอ้หล่อ”

หลังจากที่เข้าสู่ตัวเมืองแม่สอดแล้ว ไอ้ยิมก็ขับตรงไปยังบ้านพักที่มันจองไว้จากที่ไอ้ยิมเคยอธิบายรายละเอียดทริปนี้ให้ฟัง เนื่องจากอากาศที่แม่สอดหนาวเย็นกำลังพอเหมาะเลยจองเต็นท์ไว้ มีก่อกองไฟทุกคืน ที่สำคัญบรรยากาศดีใกล้ชิดธรรมชาติ ลุงนันเจ้าของพื้นที่เป็นกันเองและบริการดีมากเหมือนคุยกับคนรู้จัก ไอ้ยิมหายเข้าไปในเต็นท์เป็นที่เรียบร้อย สงสัยมันคงเหนื่อย
“ตอนเช้าอยากได้กาแฟหรือน้ำเต้าหู้ดีล่ะพ่อหนุ่ม” ลุงนันถาม
“ขอเป็นกาแฟกับน้ำเต้าหู้แล้วกันครับ” ผมบอก คงต้องเลือกกาแฟให้มัน ผมฟังลุงชี้แจงเรื่องห้องน้ำกับอาหารแถมยังใจดีให้แผนที่แบบเข้าใจง่ายมาให้อีกด้วย สังเกตจากคนที่มาเช็คเอ้าท์กับลุง แขกจะกล่าวขอบคุณอย่างเป็นมิตร ยิ้มแย้มแจ่มใสกันทุกคน บางครั้งก็ฟังภาษาเหนือจนเพลิน
ผมเดินไปรอบบริเวณแคมป์ มีเปลผ้าใบสีเขียวกางอยู่ใกล้ๆ และเก้าอี้ไม้ที่ดัดแปลงมาจากตอไม้ตั้งเป็นวงกลม คาดว่าคงก่อกองไฟที่บริเวณนี้แน่ๆ มีเตาปิ้งย่างวางเก็บอยู่เป็นระเบียบ โชคดีที่ไม่มีคนมานอนเต็นท์แบบผมกับไอ้ยิมเลยสบายไป เพราะพื้นที่นี้จะเป็นของผมกับไอ้ยิมเท่านั้น
ผมกลับเข้าไปในเต็นท์เห็นไอ้ยิมนอนหลับปุ๋ยท่าทางเหนื่อยเพลีย แว่นตากรอบฟ้าวางอยู่บนเป้ ผมนั่งมองอยู่สักพักก็หยิบกล้องถ่ายรูปของเจ้าตัวมาดูรูปเล่นเผื่อว่ามันแอบถ่ายผมบ้าง
“ไม่พักเอาแรงก่อนเหรอมึง” มันถามเสียงงัวเงียและไม่ได้ลืมตาขึ้นมาด้วยซ้ำ ตอนเย็นมีทัวร์พื้นที่ไปดูพระอาทิตย์ตกดินที่อ่างเก็บน้ำหัวฝายอีก
“ไม่ง่วงว่ะ มึงนอนไปเถอะ กูจะไปเดินเล่นแถวนี้นะ” ผมบอกมันก่อนจะส่งยิ้มให้ ไอ้ยิมตอนไม่ใส่แว่นดูดีกว่าอีก มันพยักหน้าก่อนจะลืมตามองผมแล้วขยับมือทำนองว่าให้เข้าไปใกล้ๆ “มีอะไร” ผมขยับเข้าไปหา มันจะพูดอะไรกัน
“เปล่า” มันหัวเราะเบาๆ ก่อนจะพลิกตัวนอนหันหลังเข้าริมเต็นท์ไป ทำให้ผมนั่งงงกับพฤติกรรมแปลกๆ ของมัน
“บ้าว่ะ” ผมกระซิบบอกมันก่อนจะออกจากเต็นท์แวะไปคุยกับลุงนันดีกว่า ผมเดินไปที่ใต้ห้องพักมีเก้าอี้ไม้สักให้นั่งพัก เจอลุงนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่
“ว่าไงพ่อหนุ่ม”
“ลุงครับ ขอถามข้อมูลแถวนี้หน่อยครับ” ผมเดินไปหาลุงที่ยิ้มก่อนจะวางหนังสือพิมพ์ลงแล้วเรียกคนมาเสิร์ฟน้ำ
“เอ้า มีอะไรว่ามาเลย” ลุงนันยกน้ำมะตูมขึ้นดื่ม
“ผมเพิ่งมาครั้งแรก ตลาดริมเมยมีของเก่าๆ ขายไหม แบบพวกงานแกะไม้” เซิร์ชเนตดูก็ไม่ค่อยได้อะไร
“มีเยอะแยะ พวกงานจากพม่ามีเกลื่อนกลาด”
ลุงนันเองก็สนใจเรื่องงานไม้แกะสลักจากพม่า ลุงแกสะสมเครื่องเรือนเก่าๆ ที่หาไม่ได้ในสมัยนี้ไว้เต็ม แกหยิบสมุดภาพเครื่องเรือนของแกให้ผมดู บางชิ้นมีคนมาขอซื้อลุงก็ไม่ขายให้ ลุงนันบอกว่างานศิลป์พม่าสมัยนี้ยังละเอียดเท่าของดั้งเดิม น่าเสียดายที่ผมไม่อยู่นานเพราะลุงแกกะจะพาผมไปดูที่บ้านของแกเลย แต่อยู่อีกหมู่บ้าน คนแบบพวกผมดีอย่างนึงคือไปไหนมักเจอคนสไตล์เดียวกัน พวกรักศิลปะ ทำให้เจอเพื่อนใหม่ เรื่องราวใหม่ๆ ผมว่านี่แหละเสน่ห์ของการเดินทาง 
ผมออกไปเดินเล่นที่แนวป่าใกล้ๆ กับลานแคมป์ ป่าไม่ลึกมากแต่สูงชันเพราะเป็นเขาเตี้ยๆ ทำให้ต้องระวังเวลาเดิน คนรักสันโดษอย่างไอ้ยิมจะมาที่แบบนี้ก็ไม่แปลก ไอ้ยิมนอนพักไปหลายชั่วโมง จากที่คิดว่าจะสบายเพราะไม่มีคนมาพักเต็นท์ แต่มีคนเดินทางด้วยรถฮาร์ลีย์-เดวิดสันมาจอดสามคัน ลุงนันพาคนออกมาตั้งเต็นท์ใหญ่ให้ ผมเลยมีโอกาสทักทายพูดคุยกับผู้ชายสามคนที่เพิ่งตั้งเต็นท์ มาจากอำเภอเมืองตากนี่แหละ สองคนเป็นพี่น้องกัน คนพี่ชื่อ บี กับ คนน้องโอ อีกคนนึงเป็นเพื่อนชื่อ บอย สามคนนี้แค่แวะมาสูดอากาศเย็นๆ ที่สัมผัสไม่ได้จากอำเภอเมืองเพราะที่นั่นไม่ได้อยู่บนเขา แถมยังร้อนสุดๆ แต่ก็เป็นเมืองที่เงียบสงบยามค่ำคืนเช่นกัน
จากที่พักอยู่ไม่ไกลอ่างเก็บน้ำหัวฝายมากนัก เลยขอยืมรถมอเตอร์ไซค์ของลุงมาคันนึง คราวนี้ผมคนขี่ไอ้ยิมซ้อนเพราะมันบอกไม่อยากเปลืองแรง
“ทำอย่างกับว่าจะเก็บแรงไว้ใช้ ฮั่นแน่ มึงคิดอะไรหรือเปล่า” ผมอดแซวมันไม่ได้จริงๆ ทำตัวน่าแกล้ง
“กูไม่ได้คิด มีแต่มึงนั่นแหละ” มันว่ามาจากด้านหลัง ผมแค่หัวเราะ
เมื่อมาถึงอ่างเก็บน้ำหัวฝายมีคนมารอดูพระอาทิตย์ตกบางตา ส่วนมากเป็นคนในพื้นที่ ดูเหมือนว่าที่นี่เป็นแหล่งพักผ่อนสำหรับครอบครัว เด็กวัยรุ่น อีกทั้งยังอากาศหนาวเย็นเกือบตลอดวัน ผมจอดรถเลือกบริเวณที่คนไม่เยอะจะได้นั่งสบายๆกันได้ ฟ้าเริ่มเป็นสีแดงส้มๆ แสงสุดท้ายของวันกำลังจะมอดดับทีละน้อย ไอ้ยิมถ่ายรูปอีกตามเคย มันขยับมานั่งข้างผมมองไปที่แสงสะท้อนจากผิวน้ำ
“คิดยังไงถึงออกมาเที่ยว” ผมเลยได้โอกาสพูดคุยกับมัน
“แค่อยากออกมาข้างนอกกับมึงบ้างก็เท่านั้น... มึงก็รู้กูเป็นคนน่าเบื่อ อยู่ด้วยนานๆ--” มันเริ่มพล่ามถึงตัวเองในแง่ลบอีกแล้ว ผมเลยตีแขนมันไปแรงๆ
“เฮ้ย มึงนี่ชอบคิดเองเออเอง กูไม่ได้บอกเลยสักคำว่ามึงน่าเบื่อ อีกอย่างมาเที่ยวกับธรรมชาติกูชอบจะตายไป กูมันคนบ้านนอกเว้ย”
“ชอบก็ดี” เจ้าตัวหันมาพูด
“อือ ขอบใจนะเว้ย” ผมไม่ขอบใจสิแปลก มันลงทุนขนาดนี้ทั้งรถทั้งที่พัก ยิ่งตอนนี้ผมไม่ค่อยเกรงใจมันเหมือนเมื่อก่อนเสียด้วย รู้สึกว่าตัวเองเป็นกาฝากเลยว่ะ เกาะไปตลอดทริป แต่มันชวนและพูดออกมาเอง
“อืม” มันยิ้ม
“ชอบกูมากขนาดนั้นเลย” ผมอยากถามมันหลายครั้งเหมือนกันแต่ไม่ได้โอกาสดีเสียที
“อะไร” มันตีหน้ามึน
“ก็แบบ ออกเงินให้”ผมพูดเสียงเบา 
“เปล่า มึงต้องใช้คืน เป็นค่าตอบแทน” ไอ้ยิมส่ายหน้า มุมปากมันเหมือนจะกระตุกยิ้ม
“ค่าตอบแทน?” ผมพยายามไม่คิดในแง่ร้ายหรือคิดอะไรที่ไม่ควรคิด
“เออ เอาไว้รู้จักกันให้นานๆ กว่านี้กูค่อยทวงแล้วกัน” ไอ้ยิมมองหน้าผมด้วยสายตาเจ้าเล่ห์เป็นครั้งแรก
“ยังไงก็ได้ กูใจๆ อยู่แล้ว ทวงได้แต่อย่า... แทงกันเป็นพอ” ผมพูดติดตลกหันไปหัวเราะกับมันอยู่คนเดียว ถึงจะหัวเราะแต่ผมก็ไม่ได้พูดเล่นนะ พูดจริง อยู่ที่ไอ้ยิมจะตีความยังไง
“รอดูเถอะ” มันตอบมาแค่นี้แต่ทำให้ผมหวั่นๆ เล็กน้อย
“ได้เลย”

เมื่อแสงสุดท้ายของเย็นวันนี้ดับไป แสงไฟจากร้านอาหารส่องสว่างขึ้นมาแทน ยิ่งฟ้ามืดบรรยากาศยิ่งดี ถ้าใครอยากมาจู๋จี๋ดู๋ดี๋กับแฟนคงไม่ยากเลย
“ผิง” อยู่ๆ มันก็เรียกเสียงจริงจัง
“อะไร... อย่าบอกนะว่าอินกับบรรยากาศแล้วจะบอกรักกู” ผมไม่เข้าใจตัวเองว่าต้องดักทางมันอยู่เรื่อย
“ไม่ใช่เว้ย แค่อยากถามอะไรหน่อย” มันทำหน้าจริงจังมากกว่าเดิม
“อือ ว่ามาดิ” ผมพยักหน้ามองไอ้ยิมที่ดูหล่อมากขึ้นตอนที่แสงน้อยๆ เห็นแค่เสี้ยวหน้ามัน
“ตอนนี้ชอบกูหรือยัง” เหมือนมีใครมาระเบิดแก้วหูราวกับได้ยินเสียงปังขึ้นอยู่ใกล้ๆ ผมไม่คิดว่ามันจะถามอะไรแบบนี้
‘ชอบ’ ไอ้ยิมงั้นเหรอ ผมยังตอบตัวเองไม่ได้ว่าชอบแบบไหนกันแน่ แบบเพื่อน ที่ไม่ต้องทำอะไรหวานๆ ใส่กัน ไม่ทำตัวเหมือนแฟน
“ไม่รู้สิ...”
“มึงตอบแบบนี้อยู่เรื่อย แค่อยากรู้ว่าเราคืบหน้าไปแค่ไหนแล้ว หรือเป็นแค่กูฝ่ายเดียว”
“ไม่หรอก... กูชอบอยู่กับมึงนะ อย่างตอนนี้ไง จะให้กูไปนั่งกินลมชมวิวแบบนี้กับผู้ชายคนอื่น กูก็คงทำไม่ได้หรอก... ไม่รู้แบบนี้แปลว่าชอบหรือเปล่า” ผมหัวเราะเก้อๆ เอาจริงๆ จะให้ผมไปไหนกับมันก็ได้
อีกฝ่ายฟังผมพูดจบก็ยิ้มออก “เป็นแบบนี้ก็ดีแล้ว” มันพูดด้วยแววตา ท่าทางพอใจ
จากนั้นเราแวะทานอาหารที่ฝาย ร้านอาหารริมอ่างเก็บน้ำหัวฝายนี้นอกจากบรรยากาศดีแล้วยังเหมาะที่จะชมพระอาทิตย์ตกดินอีกด้วย รสชาติอาหารก็อร่อยดี ราคาพอใช้ได้ไม่ได้สูงเกินไป ผมไม่อยากกินจนอิ่มเพราะจะไปต่อของปิ้งย่างที่แคมป์ อากาศหนาวๆ ก่อกองไฟดีดกีตาร์ไปด้วยนี่ยิ่งดีเข้าไปใหญ่
“พรุ่งนี้ค่อยไปตลาดริมเมยแล้วก็แวะไปเมียวดี” มันบอกขณะขี่รถกลับที่พัก ผมเองก็เซิร์ชเนตเห็นศิลปะพม่าละเอียดประณีตมาก วัดสถาปัตยกรรมพม่าสวยไม่แพ้ของไทย
“คืนนี้อย่าเข้านอนเร็วนะ มาตั้งวงรอบกองไฟกัน”
“มีคนเยอะเหรอ”
“ลุงนันแล้วก็คนที่เข้าพักใหม่ มาตั้งเต็นท์เหมือนเราไง” ผมบอกแล้วแวะซื้อเบียร์มาสี่ขวด ไอ้ยิมคงดื่มได้แค่เบาๆ เพราะต้องขับรถด้วย แต่ถึงยังไงมันก็ไม่ดื่มเยอะเป็นนิสัยอยู่แล้ว
เมื่อมาถึงลานแคมป์ลุงนันก่อไฟเรียบร้อยแล้ว แกเห็นผมก็กวักมือเรียกอย่างเป็นกันเอง มีสามคนนั่นนั่งอยู่ก่อนแล้ว แต่ละคนถือเบียร์คนละขวด
“เจ้าผิง มาๆ หมึกย่างกำลังสุกเลย” ผมกับไอ้ยิมเดินเข้าไปนั่งที่เก้าอี้ไม้รอบกองไฟ หมึกย่างที่ว่าเป็นแบบแห้งแล้วเอาไปปิ้งให้พอสุกๆ
“เจ้าคนโตสีหน้าดีขึ้นนะเนี่ย” ลุงหันมาคุยกับไอ้ยิม “นี่ถ้าของไม่หมดก็ไม่ต้องนอนนะพวกหนุ่ม” แกหัวเราะไปด้วยดูท่าทางลุงนันน่าจะไปก่อนคนแรกนะ
“แล้วทำไมถึงเลือกมาที่นี่กันล่ะ” คนชื่อโอถามขึ้นมา ไอ้ยิมเป็นคนตอบ
“ผมเคยมาที่แม่สอดครั้งนึงแล้วเกิดติดใจ ที่นี่มีเสน่ห์ไปอีกแบบ” เพิ่งรู้นะเนี่ยว่าเคยมาแล้ว
“เออ ก็ว่าอยู่ เพราะปกติคนไปเที่ยวเหนือๆ เลย แม่สะเรียง แม่ฮ่องสอนนู่น” อีกคนนึงพูดต่อ
“แล้วเอ็งล่ะ ท่าทางกวนๆ คนละแนวกับยิมเลย เป็นเพื่อนหรือว่าพี่น้อง” มันถาม ลุงนันหัวเราะไปตามประสา
“ก็... เพื่อนกันนั่นแหละครับ คนละแนวแต่เข้ากันได้พี่” ผมตอบแทน ไอ้ยิมแค่ยิ้มอยู่เงียบๆ มันไม่ดื่มเลยต้องปิ้งๆ ย่างๆ ให้พวกเราแทน
“หึหึ ” เหมือนพวกพี่แกจะไม่ค่อยเชื่อ แต่ก็ไม่เห็นแปลก ผู้ชายไปเที่ยวด้วยกันสองคนใช่ว่าต้องเป็นแฟนกันนี่ครับ... จริงไหม ผมกับไอ้ยิมยังไม่ใช่แฟน แค่เพื่อนสนิทแบบพิเศษๆ
“เออ ถ้าไปตลาดริมเมยแวะไปดูของเก่าๆ ราคาไม่แพงด้วย น่าจะมีของที่เราชอบนะ” ลุงนันแนะนำให้ หลังจากนั้นลุงแกก็ขอตัวออกไปก่อนเพราะต้องทำงาน ส่วนพวกผมนั่งกินเบียร์กันให้หมดลังซึ่งเป็นของสามคนนั่นซื้อมา ผมเลยหุนไปด้วย
“แล้วจะกลับเมื่อไหร่กัน”
“เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็เช็คเอ้าท์แล้วไปตลาดริมเมย แวะเมียวดีแล้วกลับไปแถวมูเซอต่อ” ไอ้ยิมตอบแทน
“มาแป๊บเดียวเอง”
“ผมแค่มาพักผ่อน วันจันทร์มีเรียนต่อ” ผมพูด พวกนั้นไม่ได้ถามอะไรอีก พอเบียร์หมดก็แยกย้ายกลับเต็นท์กันไป ไฟที่ก่อไว้เริ่มมอดดับ ผมกับไอ้ยิมเข้าไปอาบน้ำกันคนละห้อง อากาศหนาวจนผมไม่อยากอาบน้ำเลย แต่ตัวเหม็นควันไฟแล้วเลยต้องทำใจอาบน้ำเย็นเฉียบและรีบเข้าไปนอนในเต็นท์ ไอ้ยิมกำลังจัดที่นอน มันแบ่งผ้าห่มให้ผม
“มึงจะอุ่นไหมเนี่ย ห่มด้วยกันนี่แหละ” ผมบอกแล้วซ้อนผ้าห่มให้หนาขึ้น แค่นอนใกล้ๆ กันหน่อยคงไม่เป็นอะไรหรอก มันทำท่าอย่างกับว่าถ้าใกล้ชิดผมมากไปจะทำให้ผมท้องซะงั้น ไอ้ยิมมันคือไอ้ยิมจริงๆ
“ตามใจ” มันกำลังถอดแว่นออกไปวางบนกระเป๋าเป้ด้านบนหัวนอน ผมขยับตัวไปนอนข้างๆ มันแล้วล้มตัวนอน
“ไม่คิดว่าจะหนาวขนาดนี้” ผมบอกหลังจากที่นอนใกล้กับไอ้ยิม
“อือ แต่แบบนี้ก็อุ่นดี” มันเสือกยิ้มซะงั้น
“วางแผนมาหรือเปล่าว่าจะได้นอนใกล้ๆ กู” ผมถามอย่างที่สงสัยจริงๆ บางทีผมประเมินมันต่ำไป ผู้ชายอย่างมันคงไม่ใช่สุภาพบุรุษให้เกียรติผู้ชายด้วยกันหรอก
“ตลกน่า มึงไม่น่ากอดขนาดนั้นหรอก” ไอ้ยิมทำเสียงหึย่นหน้าตามไปด้วยราวกับว่าการพูดถึงผมมันน่ายี้อะไรปานนั้น
“กูบอกแค่นอน ไม่ได้ว่ากอด คิดไปไกลกว่ากูอีก” ผมจ้องหน้ามัน
“มึงนี่...” มันจิ๊ปากทำคิ้วขมวดแล้วหลับตานอนเงียบๆ
“จะนอนแล้วเหรอ” ผมหันไปถามเพราะยังไม่อยากนอน ไม่ง่วงด้วยทั้งๆ ที่ซดเบียร์ไปหลายขวดแท้ๆ ไอ้ยิมเอียงหน้ามาหาแล้วลืมตามองเหมือนโดนขัดใจ
“อืม มึงเงียบๆ เถอะ” มันพึมพำ สงสัยผมคงกวนเวลานอนมัน คงกำลังจะเคลิ้มหลับ
“ขอกอดหน่อย” ผมแกล้งถามแล้วสะกิดมือมันใต้ผ้าห่มอุ่นๆ ไอ้ยิมมองผมนิ่งๆ เหมือนกำลังพิจารณาข้อเท็จจริงนี้เป็นโจทย์แคลคูลัส
“อืม มากอดกูสิ” มันยิ้มท้าทาย ผมนิ่งไป ถ้าจะให้กอดมันคงยากเพราะผมจะต้องยื่นแขนไปโอบตัวมันอีก ทำใจได้ยาก
“ฝันเหอะ พูดเล่นน่า” ผมหัวเราะ ไอ้ยิมขยับตัวนอนหันหน้าเข้าหาผม มันทำหน้าเหมือนไร้อารมณ์
“ก็คิดอยู่”
“แต่เขาว่ากันว่ากอดกันจะทำให้อุ่น” ผมพูดออกมาเรื่อยๆ แต่ไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่าการที่ผมไม่เคยกอดผู้ชายมาก่อน ยกเว้นแบบเพื่อน และจะให้นอนกอดก็คงจะรู้สึกแปลกๆ แต่ไม่ใช่ว่ารังเกียจ
“อยากกอดกูเหรอไง” ไอ้ยิมก็กล้าพูดนะ ผมส่ายหน้า
“เปล่าอะ แต่แค่คิดว่ากอดผู้ชายแล้วจะรู้สึกยังไง” ผมพูดเฉยๆ แต่ไม่คิดว่าไอ้ยิมมันจะกล้าเข้ามากอดผมด้วยซ้ำ มันกอดผมจริงๆ ไม่ใช่แค่กอดเฉยๆ มันยังยื่นแขนมากอดเอวผมอีกและผมก็เป็นคนบ้าจี้มากๆ อะไรมาโดนเอวล่ะก็ขำก๊ากดิ้นเหมือนโดนน้ำร้อนลวก
“เฮ้ยๆ ไอ้ยิม กูจั๊กจี้ฮ่าๆ เอาแขนออกไปดิ” แต่มันกลับกอดผมแน่นขึ้นอีก ผมเริ่มดิ้นเพราะรู้สึกเสียวๆ บริเวณเอวแบบคนบ้าจี้ ไอ้ยิมมันพาดแขนมาที่เอวผมแบบนั้นมันไม่ชิน
“มึงอย่าเสียงดังสิ เดี๋ยวเต็นท์อื่นหาว่าเราทำอะไรกัน มึงก็รู้ว่าพวกนั้นคิดว่าเราเป็นอะไรกัน” ไอ้ยิมกระซิบกระซาบ ผมมองหน้ามันแบบเคียดแค้น มึงนะมึง
“เออ แต่มึงปล่อยดิ กูจั๊กจี้จริงๆ” ผมบอกเสียงจริงจัง
ไอ้ยิมมองหน้าผมก่อนจะดึงแขนออกจากเอวแต่มันเลื่อนแขนมาพาดไหล่ผมแทน ผมเห็นอะไรบางอย่างในแววตามันที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน มันคือความสนุกสนาน ความมีชีวิตชีวามากกว่าแต่ก่อน เพราะมันเป็นคนนิ่งๆ แทบไม่แสดงความรู้สึกจริงๆ จากข้างในออกมาผ่านแววตาเลย น้อยมาก
“ฮึ แล้วอุ่นไหมล่ะ” ไอ้ยิมถามเบาๆ เหมือนกลั้นรอยยิ้ม
“ก็อุ่นอยู่แล้ว” เนื้อตัวคนเรามันมีไอร้อนนี่หว่า มันก็อุ่นๆ ดี 
“ไม่แกล้งมึงแล้ว” ไอ้ยิมปล่อยให้ผมเป็นอิสระ ทำให้ผมหายใจหายคอแบบคล่องขึ้น แต่ก็ขำตัวเองจริงๆ
“กูบ้าจี้ อย่ามาโดนกูอีกนะ ไม่งั้นถีบ” ผมสำทับมันอีก
“ถ้าไม่กอดก็ไม่โดน” ไอ้ยิมมองผมนิ่งๆ เหมือนอยู่ในบรรยากาศแปลกๆ ที่ทำให้ผมประดักประเดิดไม่คุ้นชิน มันจะรู้สึกก็ต่อเมื่อไอ้ยิมมองมาที่ตาผมแบบจริงจังหรือพูดอะไรสักอย่างจนผมไปไม่เป็นอะไรทำนองนี้ เอาง่ายๆ เหมือนผมจนมุม
“เออ หลับแล้วนะ” ผมบอกมันห้วนๆ
“หึหึ ฝันดี” มันหัวเราะเบาๆ แล้วพลิกตัวนอนไปอีกข้างแทน ผมล่ะกลายเป็นตัวตลกของมันซะได้
ตอนนี้ผมนอนไม่หลับ ข่มตานอนไม่ลง ดูเหมือนที่นี่จะเริ่มต้นด้วยครั้งแรกของผม การออกทริปกับมัน นั่งมองพระอาทิตย์ตกดินด้วยกัน และนอนกอดผู้ชายด้วยกัน... ชีวิตคนเรามันก็ต้องทำอะไรเป็นครั้งแรกอยู่แล้ว 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-02-2018 15:14:49 โดย รินดาwดาริน »

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
 :katai2-1:  ยิมผิงน่ารักดี
แมนๆคบกันเนอะ. ฟินเรื่อยๆ

ขอบคุณค่ะที่มาต่อ.  :3123:

ออฟไลน์ sweetbasil

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 807
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-3
รอทริปที่แม่สอดจะหวานเหมือนคู่ท็อปสองไหม
ยิมดูท่าจะโรแมนติกน่าดู :o8:

ออฟไลน์ flimflam

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 881
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-4
ยอมเถอะผิง พี่ยิมดีมากจริงๆ ป๋ามาก 5555555555555
คาดว่าจะเกาะพี่ยิมกินได้ตลอดชีวิต....

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด