เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียงวิศวะ ตอนพิเศษ 14.11.62 อัปจ้า
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียงวิศวะ ตอนพิเศษ 14.11.62 อัปจ้า  (อ่าน 248945 ครั้ง)

ออฟไลน์ ChaniiNoiy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 13
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
แยกดีน ออกมาทำเรื่องใหม่ได้ไม๊อ่าาา รู้สึกว่าปมเยอะดีชอบๆ

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
พี่ยิมอยู่กับผิงแล้วโคตรน่ารักเลยว่ะเหมือนเด็กน้อยจริงๆ

ออฟไลน์ Kaemmiizz

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 727
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-4
มารอดูฉากสวีท8องยิมกับผิง ส่วนพี่ดีนก็ขอให้หลุดพ้น

ออฟไลน์ รินดาwดาริน

  • OnTop&N'Song
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +243/-2
Deen Diary
บทที่ 1 อดีตที่ไม่น่าจดจำ

ผมเคยคิดว่าโลกของเราคงไม่มีเรื่องบังเอิญถึงสองครั้งได้แน่ๆ แต่เชื่อเถอะพระเจ้าไม่เข้าข้างผมเลย หากว่าความบังเอิญทั้งหมดที่ผมได้ผมเจอน่ะมันมากกว่าสองครั้งสามครั้งหรือสี่ครั้งกันนะ แล้วแบบนี้มันควรจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญหรือเปล่านะ เรื่องราวของ

ผมมันเริ่มที่ตรงไหนกัน ตอนวัยซนกลัดมันอย่างสมัยม.ปลายก็น่าจะเข้าท่าดี

ย้อนกลับไปในวันที่ทุกอย่างได้เริ่มต้นขึ้น…..สมัยเรียนม.ปลาย

“เฮ้ย มึงน่ะ เฮ้ย ไม่ได้ยินที่กูเรียกหรือไงวะ” เสียงโมโหตวาดมาจากทางด้านหลังที่ผมก็รู้อยู่เต็มประดาว่ามันตั้งใจเรียกผม แต่ผมมีชื่อนี่หว่า ไม่ใช่ชื่อมึงเสียหน่อย ผมแค่เดินต่อไปอย่างไม่ใส่ใจคนทรามๆ ประเภทนั้น
แต่เรื่องมันไม่จบหากว่าเราไปยุ่งกับพวกอันธพาลน่ะ ใครจะรู้ว่าผมนี่เด็กเนิร์ดตัวท็อปของห้องเชียวล่ะ ตั้งแต่เส้นผมจรดปรายรองเท้าไม่มีส่วนไหน จุดไหน ที่ผิดระเบียบ ที่สำคัญผมคือรองประธานนักเรียนของโรงเรียนเลยนะ พอจะมีบารมีกับเขาบ้าง ข้อดีคุณครูโอ๋กันทั้งนั้นนั่นล่ะ
แต่ มันก็มีข้อเสียนะอย่างที่ผมกำลังอยู่ในสถานการณ์ที่แสนเกลียดอยู่ในตอนนี้
“มึงหูหนวกหรือไงวะ” ผมหยุดเดิน รับรู้และได้ยินว่ามันกำลังเดินตุบๆ เหมือนหงุดหงิดที่ไม่ได้ดั่งใจ จากนั้นแรงกระชากที่หัวไหล่ก็ทำให้ผมเซและหันไปประจันหน้ากับมันจนได้ เป็นไปตามคาดเลยแฮะ
“มีอะไรเหรอครับ” ผมถามอย่างไม่เข้าใจ ไอ้อันธพาล ไม่สิ ไม่ถึงขั้นนั้นหรอกแต่เป็นหัวโจกในเรื่องเฮี้ยวๆ แต่เรื่องการเรียนก็อยู่ในระดับที่ใช้ได้ เรียนอยู่คนละห้องกับผมแต่ปีเดียวกัน
“กูเรียกมึงนี่ไม่ได้ยินหรือไง หรือมึงแกล้งไม่ได้ยิน คิดว่าใหญ่มาจากไหนวะไอ้เด็กเส้น” ผมแค่ทำหน้าเฉยๆ ตามปกติ ผมมองหน้าคนที่ตัวเท่าๆ กันความสูงเท่ากันหน้าตาก็ดูดีอยู่นะ ได้ยินว่าคนนี้ฮอตในหมู่ผู้หญิง หน้าตาเหมือนมีเชื้อฝรั่งซึ่งมันเด่นอยู่แล้วในโรงเรียนประจำจังหวัดและยิ่งเป็นโรงเรียนรัฐ
“ไม่รู้จริงๆ นี่ แล้วมีอะไรเหรอครับ” ผมถามต่อ
“ตามมานี่หน่อยดิ พวกกูมีเรื่องจะคุยด้วยหน่อย” มันพูดนิ่งๆ ท่าทางกวนๆ ผมเหล่มองไปทางด้านหลังมีกลุ่มผู้ชายวัยเดียวกันสามสี่คนมองมาทางผมอยู่ คงเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกัน
“ที่ไหนล่ะคุยตรงนี้ไม่ได้หรือไง” ผมไม่เข้าใจ ก็พอจะรู้อยู่ว่าพวกนี้มันเกเร แต่ด้วยความที่ไม่ได้มีเรื่องขัดใจกับพวกนั้นคงไม่น่าจะมีปัญหา และเพราะผมเป็นลูกรักของเหล่าคุณครูด้วยแล้ว คงไม่มีปัญหา...
แต่นั่นล่ะคือปัญหาต่างหาก
“เฮ้ย ไอ้แกน ได้ยังวะ” เสียงจากคนด้านหลังตะโกนมาถาม ‘แกน’ งั้นเหรอชื่อแปลกจริงๆ เหมือนผมเลย
“ว่าไง แค่ไปคุยแป๊บเดียวเอง” แกนพูดเลิกคิ้วมองผมเหมือนกำลังเซ็งๆ ผมเลยตอบตกลงเดินตามหลังมันไป
กลุ่มนี้ผมเห็นผ่านตามาหลายครั้ง เหมือนจะมาไม่ครบขาดไปคนนึง พวกนั้นเดินนำผมไป แกนเดินรั้งท้ายตามหลังผมมา ผมรู้สึกทะแม่งๆ เมื่อพวกนี้พาผมมาหลังห้องน้ำเก่าหลังตึกห้องสมุดเก่า
“จะไปไหนน่ะ มีอะไรคุยตรงนี้แหละ” ผมบอกเพราะแถวนั้นมีแต่พวกเกเรนิสัยทรามๆ มามั่วสุม
“เออ” คำพูดสั้นๆ จากไอ้แกน
ผมถูกผลักจากด้านหลังจากมันจนกระเด็นไปข้างหน้าใส่พวกข้างหน้าสี่คน เพราะไม่ทันได้ตั้งตัว เหมือนพวกมันนัดแนะกันมาแล้ว คนนึงรวบแขนผมทั้งสองข้างไพล่หลังแล้วลากไปที่มุมอับมิดชิดไม่ให้ใครเห็น ส่วนพวกที่มาสุ่มหัวสูบบุหรี่ก่อนหน้านี้ถูกไล่ออกไปจนหมด
“เฮ้ย นี่มันเรื่องอะไรวะ ปล่อยนะเว้ย ไม่งั้น....” ผมเงียบไป มีสิ่งเดียวที่ผมทำได้ฟ้องครูงั้นเหรอ
“ฟ้องครูเหรอวะ ฮ่าๆ ลูกแหง่นี่หว่า เอาเลย สิ้นเรื่องแล้ววิ่งแจ้นคลานไปฟ้องคุณครูเลย” ไอ้แกนเป็นคนพูด ผมเงียบพยายามดิ้นให้หลุดจากการรัดกุม แรงของผมมันสู้อีกสามคนไม่ได้
“ต้องการอะไรวะ”
“ไม่รู้ดิ แค่ไม่ชอบหน้ามึงต้องมีเหตุผลอื่นด้วยไหมวะ” มันหัวเราะเหมือนเป็นเรื่องสนุกสนาน ผมไม่ชอบใจที่ตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้
“ค้นตัวมันดิ มีตังค์เยอะเปล่าวะ” อีกคนนึงที่ว่างอยู่เข้ามาค้นตามกระเป๋ากางเกงนักเรียนของผม มันหยิบกระเป๋าเงินของผมออกมาเปิดดูจากนั้นก็หัวเราะ
“เฮ้ยแกน มีรูปกับมาม้าด้วยว่ะ โคตรลูกแหง่เลย” ผมไม่เห็นว่ามันจะตลกตรงไหน มันหยิบเอาเงินของผมไปจนหมด ผมตกใจเพราะแม่จะให้เงินไว้ใช้ทั้งสัปดาห์ถ้าหมดก็ขอเพิ่มไม่ได้
“เอาคืนมานะเว้ย! ไอ้พวกขโมย เอาคืนมาดิ” ผมดิ้นอย่างแรงแต่ก็ไม่เป็นผล ผมทำได้แค่ตะโกนห้ามแค่นั้น ผมสู้พวกนี้ไม่ได้หรอก ไอ้แกนแค่มองผมเยาะๆ ก่อนจะโยนกระเป๋าเงินใส่หน้าผม มันไม่ยอมคืนเงินให้ผมด้วย
“ถ้าอยากได้คืนก็มาเอาที่กูให้ดิ” ไอ้แกนพูดก่อนจะโบกเงินไปมาแล้วเดินไปนั่งบนโต๊ะไม้เก่าๆ ที่กองไว้ริมตึก พวกนั้นปล่อยแขนผมแล้วไปยืนขวางทางไว้ ผมชะงักไป หมายความว่าผมต้องสู้กับพวกนี้งั้นเหรอ ไม่มีทางหรอกผมสู้ไม่ได้
“ทำไมไม่กล้า? ป๊อดนี่หว่า” หนึ่งในนั้นพูดผมจนปัญญา แต่ในใจก็อยากได้เงินคืน นั่นมันเงินของผม
“ทำไมต้องขโมยด้วย ถ้าอยากได้ก็เอาไปครึ่งนึงสิ” ผมบอกไปแบบนี้แต่เหมือนทำให้พวกนั้นหัวเราะกันใหญ่
“ทำไมต้องแบ่งในเมื่อตอนนี้มันอยู่ที่กูก็ต้องเป็นของกูดิ” ไอ้แกนเป็นคนพูดมาจากด้านหลัง ผมนิ่งกำหมัดแน่น ผมโกรธและเกลียดมันขึ้นมาทันที จากนั้นก็พุ่งตัวฝ่าเข้าไปหามันแต่หนึ่งต่อสามมันสู้ไม่ได้อยู่แล้ว
ผมสะบักสะบอม ไม่เคยเลยสักครั้งที่ผมจะเจอเรื่องแบบนี้ ผมไม่เคยโดนต่อยแบบเต็มแรงขนาดนี้
สุดท้ายผมก็แพ้พวกมันจนได้
“คราวนี้ก็จำใส่หัวไว้ด้วยว่าอย่างหยิ่งแล้วก็ทะนงตัวให้มาก มึงมันขี้แพ้ ถ้าไม่อยากเจอแบบนี้อีกก็ไม่ต้องไปยุ่งกับหนิงอีก” ผมมองมัน หนิงคือเพื่อนร่วมห้องของผม แต่ผมไม่รู้มาก่อนว่าหนิงจะชอบกับไอ้แกนหรือเพราะไอ้แกนมันชอบหนิงกันนะ พวกมันเดินกลับออกไป
“.......” ผมรู้สึกแย่ที่สุดในชีวิตนี้ขึ้นมาทันที
และสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกแย่มากกว่าเดิมนั่นคือ ในเวลานี้ผมคิดถึงแม่ มันทำให้ผมเป็นไอ้ขี้แพ้ของจริง
ผมเก็บกระเป๋าเงินมาดู ไม่มีเงินให้ผมสักบาท ผมควรฟ้องครูไหม ในใจผมบอกว่าไม่ ถ้าผมบอกผมต้องโดนพวกมันต่อยอีกแน่ๆ แต่ผมเป็นรองประธานนักเรียนเชียวนะ แต่ก็นั่นแหละ
เพราะแบบนี้ผมถึงได้เจอเรื่องแบบนี้
เพราะผมเรียนเก่งคุณครูโอ๋และเป็นรองประธานนักเรียน
พวกเด็กเกเรคงจะไม่ชอบผมกันเยอะ มีเพียงแค่ใครจะเริ่มก่อนเท่านั้น เพราะไอ้แกนเป็นคนประเดิมซ้อมผมได้พวกอื่นๆ ก็คงไม่รอหรือเกรงกลัวคุณครูอีก มันคงต้องเป็นแบบนี้จริงๆ นั่นแหละ
วันนั้นผมไม่ได้กลับเข้าไปเรียนแค่ไปหลบในห้องน้ำรอเวลาเลิกเรียนแล้วค่อยกลับบ้าน เพราะผมไม่กล้าออกไปในสภาพแบบนี้ คนคงหัวเราะเยาะผมโดยเฉพาะพวกผู้หญิง
มันเป็นความทรงจำแย่ๆ ที่ผมไม่เคยลืมและมันไม่ได้จบลงเพียงแค่นี้

หลังจากที่ไอ้แกนกับพวกพ้องเอาเงินผมไปในวันนั้นเรื่องไม่ได้ไปถึงหูคุณครูเหมือนมันจะได้ใจ ผมจำหน้าจำชื่อมันได้ไม่ลืม ไอ้แกน ไอ้นุ ไอ้โจ้ ไอ้ภัคร และอีกคนนึงที่ไม่ได้มาร่วมออกโรงด้วย ไอ้ท็อป เพราะมันเรียนกันคนละห้องและคนละสายกัน สายวิทย์คณิตเวลาไม่ตรงกันที่จะมาร่วมแจมด้วย แต่ในบางครั้งที่ผมเจอมันระหว่างเปลี่ยนคาบเรียนหรือซื้ออาหาร ไอ้ท็อปมักจะมองผมแปลกๆ อาจจะเยาะเย้ยสมน้ำหน้าดูถูกไปในคราวเดียว โดยรวมแล้วผมไม่ชอบมันทั้งหมดนั่นแหละ
พวกเด็กเกเรกลุ่มอื่นๆ เริ่มมาระรานกับผม ส่วนมากจะมาเอาเงินผมไปเล็กๆ น้อยๆ ช่วงนั้นผมไม่อยากมีปัญหาเลยปล่อยเลยตามเลยจนมันสะสมและเริ่มรุนแรงขึ้นเมื่อผมเลื่อนชั้นมาจนม.5 ผมออกจากสภานักเรียนโดยอ้างว่าเรียนหนักแต่มันก็หนักจริงๆ แต่ความเลวร้ายของผมยังไม่จบลง ผมยังคงโดนรังควานต่อไปจนผมทนไม่ไหวต่อยหน้าพวกมันไปบ้าง แต่เหตุการณ์มันยิ่งวุ่นวายเมื่อพวกมันมาดักรอผมที่นอกโรงเรียน ไม่มีกฎ ไม่มีระเบียบ อีกต่อไป
ผมแค่วิ่งหนี
“เฮ้ยตามมันไปดิ” เสียงมันดังลั่นมาจากด้านหลังผมวิ่งหนีพวกมันแบบไม่คิดชีวิต เลี้ยวไปตามซอยอาคารพาณิชย์เพราะมีที่ซุกซ่อนได้ง่าย
แต่เหมือนเป็นการขุดหลุมฝังตัวเองได้เช่นกัน
ใครจะไปรู้ว่าพวกไอ้แกนดันโผล่มาจากด้านหน้าดักรอผมไว้ ปิดทางหนีของผมทั้งสองด้าน
“ไม่ได้เจอกันนานเลย ไปทำอะไรให้พวกมันโมโหเข้าล่ะ” ไอ้แกนพูดแล้วยิ้ม ผมอยากจะขอร้องมันแต่ก็ทำไม่ลง จนพวกที่ไล่หลังผมตามมาจนทัน
“เฮ้ย มันอยู่นี่”
เหตุการณ์ชุลมุนเมื่อพวกมันเข้ามาล็อกตัวผมไว้ได้ก่อนจะลากไปที่มุมตึกพาณิชย์เก่าร้างที่ไม่มีคนเช่าแล้ว ผมคิดแค่ว่ามันจะมาเอาเงินจากผมหรือแค่ซ้อมผมเท่านั้น ไม่ได้คิดว่าจะมีเรื่องแปลกๆ เกิดขึ้นกับผมได้
“เฮ้ย จะทำอะไรวะ” ผมตกใจเมื่อมันเอาเงินไปจนหมดแต่ยังไม่ปล่อยผมไป แต่ลากผมเข้าไปในตึกร้างแทน ผมคิดอะไรไม่ออก ผมไม่เคยสนใจเรื่องพวกนี้ เรื่องเซ็กซ์หรือเรื่องเกย์ เพราะพวกไอ้แกนทำให้ผมมาเจอเรื่องน่าอายแบบนี้
“จับมันไว้ดิ”
ผมคิดว่าคงไม่รอด ในขณะที่มันกำลังจะถอดกางเกงผมได้สำเร็จพวกไอ้แกนเข้ามาช่วยได้ทัน ผมรู้สึกดีใจอย่างน้อยก็ไม่โดนทำอะไรน่าเกลียดๆ แต่ในใจรู้สึกเกลียดไอ้แกนเข้าไปอีก ผมรีบหนีออกจากตึก
“เฮ้ย มึง” ผมไม่ได้ยินว่าไอ้แกนมันจะพูดอะไรแต่เหมือนมันจะตกใจ คงไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ผมกลับมาบ้านรู้สึกขุ่นแค้นอย่างบอกไม่ถูก
ผมเก็บกดมันมานานเกือบปี ในใจคิดแค่อย่างเดียวคือเพราะมัน เพราะไอ้แกนใช่หรือเปล่า ที่เรื่องมันแย่ลงเพราะมันคนเดียว ความอดทนของผมหมดลงในวันนั้น ผมบอกแม่ว่าจะย้ายโรงเรียน แม่ไม่ได้ถามอะไรเพราะไม่ได้สนใจใยดีอะไรนอกจากตัวเองและสังคมของแม่ที่หมดเงินไปกับหน้าตาของตัวเองและการเที่ยวไปกับเพื่อน เมื่อก่อนผมไม่ได้คิดว่าสิ่งที่แม่ทำเป็นเรื่องไร้สาระหรือนึกโกรธว่าทำไมไม่ใส่ใจผมเหมือนคนเป็นแม่ควรจะทำ ในตอนนี้ผมโกรธทุกอย่างในโลกนี้
วันที่ผมมาลาออกผมก็เจอกับไอ้แกนตรงทางเดินเพราะสวนกัน
“กูไม่คิดว่าไอ้นันท์มันจะทำแบบนั้นจริงๆ นะเว้ยไม่อย่างนั้น—” ไอ้แกนพยายามอธิบายแต่ผมไม่ได้สนใจจะฟัง ผมเดินหนีมันมาเพราะผมตัดสินมันไปนานแล้วว่ามันคือคนผิดและมันจะเป็นแบบนั้นตลอดไปด้วย
ผมย้ายโรงเรียนไปเข้าเอกชนอีกจังหวัดหนึ่งแทน ผมอยากหลุดจากที่เดิมๆ และผมเริ่มแปลกไป ความคิดประพฤติเหมือนเหรียญสองด้าน ที่ผ่านมาคงเป็นด้านที่ดีงามแต่พอเหรียญพลิกทุกอย่างที่เคยเป็นมันถูกปิดบังกดทับไป เหลือให้เห็นอีกด้านนึงแทน ด้านมืดของผมเอง
ผมเริ่มกลับบ้านไม่ตรงเวลา ปกติเรียนพิเศษสองทุ่มก็ตรงกลับบ้านทันที แต่มันไม่เป็นแบบนั้นอีกต่อไป
ผมเดินเตร็ดเตร่ไปเรื่อยๆ ไปในที่ที่ไม่เคยไปมาก่อน ผมเดินไปตามย่านผับดังของตัวเมือง แน่นอนเราจะเจอพวกด้านมืดกันในสถานที่แบบนี้ ผมเดินเข้าไปในซอยผับบาร์จนเกือบสุดซอยเจอกับกลุ่มผู้ชายวัยรุ่น การแต่งตัวที่แหวกแนวแฟชั่นเหมือนพวกญี่ปุ่น พวกพังค์ พวกร็อก นั่งสูบบุหรี่เปิดเพลงร็อกหนักๆ บิ้วด์ตัวเอง ผมจ้องมองคนพวกนั้นเหมือนถูกดูดลงไปในโลกของพวกเขา
รู้ตัวอีกทีผมกำลังจ้องมองผู้ชายผิวขาว ตัดสกินเฮด มีรอยสักเต็มแขน กำลังนั่งฉีดสเปรย์ที่กำแพง ลวดลายตามกำแพงดูแปลกตาและเข้าใจยาก มันเป็นรูปของชายหญิงที่แยกกันไม่ออกกำลังสมสู่กันเพราะดูยุ่งเหยิงเกินไปที่จะเรียกว่ากอดจูบ ที่นั่นผมได้รู้จักคำว่า ศิลป์ เป็นครั้งแรก ผมพยายามจะเข้าใจ มันคงกินเวลานานจนเจ้าตัวรู้สึกว่ามีคนจ้องมองอยู่
“สนใจเหรอวะ” เจ้าของผลงานพูดกับผม น้ำเสียงเข้มทุ้มแต่ดูไม่คุกคาม กลุ่มคนพวกนั้นปิดเพลงแล้วหันมาสนใจผมแทน
ผมอึกอักทำตัวไม่ถูก รู้สึกกลัวขึ้นมา
“เอ่อ”
“เฮ้ย แค่ถามเฉยๆ ไม่ได้จะทำอะไรนะเนี่ย โห เด็กนักเรียนนี่หว่า มาแถวนี้ดูไม่ดีเลย” พี่คนนั้นหัวเราะใจดีขัดกับภาพลักษณ์
“.......” ผมไม่ตอบแค่มองไปรอบๆ อย่างแปลกตา กลุ่มคนพวกนั้นประมาณห้าถึงหกคนกวักมือเรียกผม
“ถึงพวกกูจะดูสกปรกแต่ไม่ทำร้ายเด็กๆ อย่างมึงหรอกน่า สนใจที่ไอ้กัสทำเหรอวะ” พี่อีกคนบุ้ยใบ้ไปที่ผู้ชายหน้าดุที่รู้ชื่อเมื่อครู่ พี่กัส
“มันคืออะไรเหรอครับ” ผมถามออกไปก่อนจะเดินเข้าไปหาพวกพี่กลุ่มนั้น พี่กัสแค่หัวเราะแล้วแกว่งกระป๋องสเปรย์ ผมย่นจมูกเพราะกลิ่นสเปรย์ พวกนี้ไม่เหม็นกันเลยหรือไง ผมสงสัยแต่หลังจากนั้นไม่นานผมก็มีคำตอบ
“เขาเรียกว่ากราฟิตี้อาร์ต”
“สวยดีนะครับ”
“ดูออกเหรอวะ” พี่กัสมองผม
“ไม่ออกหรอกครับแค่รู้ว่ามันสวย” ผมตอบไปตามที่คิด บางครั้งศิลปะไม่ต้องใช้ตามองเพื่อบอกว่านั่นสวย นั่นไม่สวย นั่นเละ แต่มันต้องใช้สุนทรีย์ศาสตร์ในการมองศิลปะสักชิ้นหนึ่ง
“ว้าวๆ ตอบได้ดีไอ้น้อง สนใจร่วมก๊วนไหมพี่จะได้สอนให้ไง เอาเปล่าวะ” พี่กัสยักคิ้วให้แล้วยิ้มเป็นมิตรมาให้ผม
“สอนผมแน่นะพี่” ผมถามอย่างไม่แน่ใจ
“เออน่า พวกพี่ไม่ใช่พวกมิจฉาชีพหรอก แล้วมึงเองก็ไม่มีอะไรให้กูเอาไป ได้เงินคงไม่เยอะหรอก มึงจะมีอะไรให้กูได้อีกวะ” พี่กัสหัวเราะแล้วโยนกระป๋องสเปรย์ให้ผมบ้าง ผมรับมาเขย่าๆ รับรู้ถึงมวลน้ำหนักที่อยู่ในกระป๋อง
“ชื่ออะไรวะ กูชื่อตอง” พี่อีกคนถาม
“ผมชื่อดีนครับ” ผมตอบ
“พี่ชื่อกัส แต่แปลกว่ะ คนอะไรชื่อดีน ฮ่าๆ”
บางทีนี่อาจจะเป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตผม
ผมคนที่เคยคิดว่าพฤติกรรมห่ามๆ พวกนี้เป็นสิ่งไม่ดีและดูรุนแรงในสายตาผม แต่แล้วผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเลยสักครั้งว่าทำไมผมถึงก้าวเข้ามาในโลกที่ผมเคยไม่ยอมรับและกลายเป็นว่าผมมองเรื่องความรุนแรงกระทบกระทั่งกันเป็นเพียงแค่เรื่องเล็กน้อยไปได้ เพราะผมมีบาดแผลในใจ ความขาดวิ่นเป็นรูเหวอะน่าเกลียดอยู่ในใจลึกๆ ที่ผมซ่อนไว้เพราะความรู้สึกอับอายที่ผมสู้พวกมันไม่ได้ นั่นล่ะเหตุผลที่แท้จริงมัน ไม่ใช่ความถูกต้องหรือยุติธรรมอะไรเลยทั้งนั้น ผมไม่ควรยอมแพ้หรือล้มลงให้คนแบบพวกนั้น

หลังจากที่ผมเจอกับกลุ่มพี่กัสผมเหมือนเข้ามาในอีกโลกนึงที่ผมไม่เคยเห็นไม่เคยรับรู้มาก่อน มีทั้งดีและเลวไปพร้อมๆ กัน พี่กัสบอกผมเสมอว่าเราเลือกที่จะปฏิเสธกับสิ่งที่อีกฝ่ายยื่นมาให้เราได้แม้ว่าคนคนนั้นจะเป็นพี่กัสเองหรือคนเป็นแม่ก็ตาม เพราะเราเท่านั้นที่จะเป็นฝ่ายเลือกเองและตัวเราเองนั่นแหละที่จะต้องรับผิดชอบต่อผลของการเลือกของตัวเราเองให้ได้
ผมเปลี่ยนความคิดเรื่องการเรียนต่อสายวิทย์ ผมเคยตั้งใจอยากเรียนวิศวะคอมหรือสายวิทยาศาสตร์ แต่ผมกลับเจอสิ่งที่น่าสนใจกว่าและทำให้ผมค้นพบตัวตนของผมเจอได้ นั่นก็คือศิลปะ ผมชอบกลิ่นเก่าๆ ของแปรงสี กลิ่นเฟรมไม้ในโกดังของพี่กัสจนผมมองข้ามความรู้สึกเหล่านี้ไป เพราะคิดว่ามันอาจเป็นมิตรภาพของพี่กับน้อง ผมไม่เคยคิดว่ามันอาจเป็นความชอบที่มากกว่ามิตรภาพของผู้ชาย เพราะผมคิดมาตลอดว่าพี่กัสเป็นต้นแบบของผม เรียกว่าความประทับใจแรกได้ไหมนะ
ผู้ชายคนเดียวที่ผมเห็นว่าเท่ห์ เป็นผู้ชายที่มีรอยสักแล้วไม่น่ากลัวเลยสักนิด ทุกวันนี้ผมก็ยังเห็นเป็นแบบนั้นเหมือนเดิม พี่กัสชวนผมมาสักที่ร้านของพี่ตองเสียค่าสักถูกกว่าราคาตลาดและผมมีแบบอยู่ในใจแล้ว ผมเลือกสักที่ท้ายทอยต่ำลงมาพอให้เสื้อปิดได้ ผมสัหตัวอักษรสามตัวลงไปเหมือนแทนสิ่งที่ติดค้างในใจ
“ชื่ออะไรวะ” พี่กัสหยิบแบบร่างของผมขึ้นมาอ่านผมแค่ยิ้ม
“ไม่มีความหมายหรอกพี่ สักไปเถอะ” ผมตอบนิ่งๆ

หลังจากที่ผมสอบเข้ามหาลัยได้สำเร็จ พี่กัสก็หายไปจากชีวิตผม ผมไม่ได้ข่าวคราวอะไรจากพี่กัสอีกเลย พี่ตองเพื่อนสนิทพี่กัสเองก็ไม่รู้
“เอาน่า มันไม่ได้ตายจากไปไหนหรอก ไอ้เชี่ยนั่นมันอินดี้จะตาย เดี๋ยวหายบ้ามันก็กลับมาเองแหละวะ มึงเองก็ตั้งใจเหอะ สมใจปรารถนาแล้วนี่” พี่ตองยิ้มให้ผมแต่ผมแค่รู้สึกแปลกๆ พี่กัสคงมีเรื่องที่ต้องทำแต่ไม่น่าจะหายไปโดยไม่บอกลาผมแบบนี้
เฮ้อ ผมแค่รู้สึกแย่เหมือนคนอกหักกลายๆ รู้สึกว่าท้ายที่สุดแล้วจะมีสักกี่คนที่อยู่ข้างๆ ผมไปจนวันสุดท้ายได้บ้าง พอคิดแบบนี้วนเวียนไปมาดูเหมือนว่าโลกใบนี้ชักไม่น่าอยู่และหม่นหมองซะเหลือเกิน

นั่นล่ะเรื่องเก่าๆ ของผม
อย่างที่บอก เรื่องบังเอิญ ผมไม่อยากเจอมากกว่าสองครั้งในชีวิตหรอก ถ้าเรื่อบังเอิญนั้น เป็นสิ่งที่ผมอยากพบเจอ ผมจะรู้สึกดีกว่านี้ และไม่ใช่กับคนที่ผมเกลียดหน้า
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-02-2018 16:01:20 โดย รินดาwดาริน »

ออฟไลน์ รินดาwดาริน

  • OnTop&N'Song
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +243/-2
Deen diary
บทที่ 2 คนที่หายไปกลับมา

ระยะหลังมานี้ผมไม่เป็นตัวเอง ทำอะไรออกมาได้ไม่ดีตามที่หวังไว้ ซึ่งมันทำให้ผมอารมณ์เสียอยู่บ่อยๆ โดยเฉพาะช่วงนี้ที่ต้องอยู่ติดคณะบ่อยๆ เพราะงานของปีสี่คือศิลปนิพนธ์ อาจารย์มักมาตรวจความคืบหน้าอาทิตย์ล่ะครั้ง ทำให้ต้องกินนอนอยู่คณะจนกลายเป็นกิจวัตร คณะกลายเป็นหอพักหลังที่สองของทุกคนไป
ผมเจอหน้าไอ้แกนบ่อยขึ้นเพราะต้องอยู่ทำงานที่คณะ ซึ่งปกติผมกับมันมักหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าผม ว่ามันเป็นเรื่องตลกร้ายที่สุดที่เคยพบเจอ ผมหนีมันแทบตายแต่สุดท้ายต้องมาเจอหน้ามันอยู่สามสี่ปีในรั้วมหาวิทยาลัยเดียวกัน คณะเดียวกันอีก
แบบนี้มันยิ่งเกลียดยิ่งเจอชัดๆ
ผมอยากฝังเรื่องไอ้แกนด้วยเช่นกันแต่ก็ทำไม่ได้ ผมละทิ้งอคติ ความเกลียดชัง ความขัดแย้งเกี่ยวกับมันไม่ได้จริงๆ ในบางเวลาผมก็เกลียดตัวเองที่ต้องกลายเป็นคนประเภทนี้ไปได้
“เป็นอะไรวะ ทำหน้าเป็นตูดหมา” ไอ้ติเอ่ยถามก่อนจะลุกเดินจากเฟรมงานของตัวเองมาหาผม มันเป็นเพื่อนที่ดี มักสังเกตผมมากกว่าคนอื่นๆ มันเลยเข้าใจผมมากกว่าใครๆ
“แค่เซ็งๆ ว่ะ” ผมบอก
“เซ็งบ่อยนะมึง แล้วได้ข่าวว่ามึงกำลังตามหาใครอยู่วะ” มันถามอย่างสงสัย
“คนรู้จักน่ะ ไม่มีอะไรหรอก” ผมส่ายหน้า ไอ้ติพยักหน้าเป็นอันว่าเข้าใจและไม่ก้าวก่ายในเรื่องนี้
“ไอ้แกนมาว่ะ” เสียงไอ้กรดังมาจากหน้าห้อง ผมเหลือบมองไปทางประตูอย่างไม่สบอารมณ์
ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับไอ้แกนก็เหมือนๆ เดิม คือไม่คุยกันถ้าไม่จำเป็น ซึ่งก็ไม่มีเหตุจำเป็นอะไรที่ต้องไปคุย ผมกับมันบาดหมางกันมาตั้งแต่มัธยมแต่ไม่มีใครรู้ คนอื่นๆ แค่คิดว่าผมไม่ชอบหน้ามันเพราะความคิดไม่ตรงกัน การชิงตำแหน่งประธานสโมฯ ผมไม่เคยเล่าว่าชีวิตวัยมัธยมบัดซบแค่ไหน ผมอยากให้คนอื่นจดจำผมได้แบบที่ต้องการ
“มีอะไรวะ” ไอ้กรเป็นฝ่ายพูดกับไอ้แกน มันก็เหมือนเดิม ขรึมๆ พูดน้อย สีหน้าบึ้งตึง
“กูมีเรื่องคุยกับไอ้ดีน” กลุ่มผมไม่ถูกชะตากับไอ้แกน อาจจะด้วยพวกมากลากไปหรือเคยกระทบกระทั่งกันเล็กน้อย
“อย่างมึงเนี่ยนะ” ไอ้กรทำเสียงไม่เชื่อ มันหันมาหัวเราะกับคนอื่นๆ
“เออ” ไอ้แกนตอบสั้นๆ
“มีอะไร” ผมถามมันห้วนๆ แบบที่เคยใช้ ไอ้แกนมองมาที่ผมด้วยสายตานิ่งๆ ที่ผมไม่ชอบ มันนิ่งไปสักพักก่อนจะเปิดปากพูด
“ไม่ใช่ที่นี่ ข้างนอก”
“เอาไงดีมึง” ไอ้ติพูดกับผม ไอ้กรมองมาทางผมเหมือนต้องการคำตอบ
“ไม่เป็นไรเดี๋ยวกูจัดการเอง” ผมพูดเบาๆ ก่อนลุกขึ้นเดินออกจากห้องสตู ไอ้แกนถอนหายใจเบาๆ แล้วเดินนำหน้าไป ไม่ใช่ครั้งแรกที่มันมาคุยกับผม อันที่จริงมันมาอธิบายเรื่องเก่าๆ สมัยมัธยมแต่มันไม่ได้ผลเพราะผมเบื่อที่จะฟังคนอย่างมันพล่าม
ไอ้แกนเดินมาคุยบนดาดฟ้าที่เงียบกริบ มีแต่กองไม้ที่ไม่ได้ใช้งาน ผมรอให้มันเริ่มต้นพูด
“กูไม่เข้าใจเลยว่ะ กูมาขอโทษมึงแต่มึงกลับทำตัวเหมือนเด็กๆ โตแล้วกูไม่อยากเสียเวลาพูด” มันเปิดฉาก ผมไม่สนใจจะฟังเท่าไหร่เพราะเนื้อหามันคงเหมือนเดิม ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้มันมาทำแบบนี้เสมอๆ
‘การขอโทษ’ ผลลัพธ์สุดท้ายไม่จำเป็นต้องได้รับ ‘การไถ่โทษ’ หรอก
และคนอย่างผมไม่พูดแบบส่งเดชขอไปทีแน่ๆ
“คำขอโทษที่มึงพูดออกมาไม่ใช่เพราะว่ากูอยากฟังมึงเลยต้องทำแบบนั้น แต่มันต้องมาจากสำนึกของมึงเอง” และผมไม่ได้รู้สึกว่ามันสำนึกอะไร ก็แค่ไม่อยากค้างคาซะมากกว่า
“แล้วที่กูทำอยู่ล่ะ” มันไม่พอใจก่อนจะสะกดอารมณ์เดือดของตัวเองด้วยการเตะกระป๋องโค้กที่เรี่ยราดบริเวณนั้นกระเด็นไปไกล ผมกับมันไม่เคยมองหน้ากันตรงๆ สักครั้งเดียว ต่างฝ่ายต่างหลีกเลี่ยง มันเป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาด
“มึงแค่อยากปัดสวะให้พ้นตัว เหมือนมึงแบกของหนักแล้วอยากโยนทิ้งไปไกลๆ” ผมพูด ไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไร
“แล้วไงวะ” มันขมวดคิ้วถามเสียงขุ่นไม่พอใจ
“กูไม่ต้องการ” ผมบอกอย่างชัดเจนอีกครั้งแล้วมองไปทางไอ้แกน มันแค่มองหน้าผมไม่กี่วินาทีแล้วก็เบือนหนีไปอีกทางแทน
“ทำไมวะ มึงก็รู้ว่ากู เพื่อนกู ก็ไม่ได้ตั้งใจให้เกิดเรื่องคราวนั้น อีกอย่างนะ กูช่วยมึงทันจากไอ้พวกนั้นแล้ว มึงทำท่าเหมือนกับว่าเป็นเรื่องใหญ่นักหนา กูรู้ว่ากูก็ผิด” คราวนี้มันพูดต่างจากครั้งที่แล้ว ผมนิ่งเงียบไป
“กูจะบอกอะไรให้นะ กูกับมึงไม่เหมือนกัน ปัญหาของกูไม่เท่าปัญหาของมึง โอเคไหมวะ” ผมพูดให้มันเข้าใจ บางครั้งคนเราก็ต่างกันมากหมาย ถึงการเลี้ยงดูมาแต่ละครอบครัว พื้นฐานจิตใจของแต่ละคนไม่เท่ากัน เรื่องใหญ่ของบางคนอาจกลายเป็นเรื่องเล็กของอีกคนก็ได้
“...” มันเงียบไป คำพูดของผมคงแทงใจมันน่าดู
“กูกับมึงญาติดีกันไม่ได้หรอก มีหลายๆ เรื่องที่มันยังขัดแย้งกันอยู่” พูดง่ายๆ ผมให้อภัยมันไม่ได้ต่างหากถึงผ่านมานานแล้วก็ตาม
“กูไม่ได้ต้องการเป็นเพื่อนหรือเป็นมิตรต่อกัน แค่มึงยอมลดทิฐิของมึงลงบ้าง มึงอยากให้มันค้างคาใจไปตลอดเลยหรือไง” ไม่หรอก ถ้าหากว่าผมกับมันไม่มาเจอกันเข้า มันก็ไม่มีวันคิดได้หรอก
“ทำไมวะ เดี๋ยวนี้มึงนอนไม่หลับมีชนักติดหลังหรือไง แต่คงจะใช่ มึงมันก็สร้างเรื่องไว้ไม่น้อยเลย เหนื่อยหน่อยนะกับความผิดของตัวเอง รู้ไหมมันทำให้กูคิดถึงอะไร กูนึกถึงตอนที่มึงมีเรื่องกับไอ้ท็อป อันที่จริงมันไม่ได้ทำผิดอะไรกับน้องสาวมึงมากมาย มันพยายามขอโทษมึงไม่ใช่เหรอ แต่มึงมันบ้าไม่ต้องการคำขอโทษ แล้วไง มึงก็ไม่เหลือเพื่อนดีๆ” ผมยอมรับว่าไอ้ท็อปมีข้อดีบ้างแต่ผมก็ไม่ชอบมันอยู่ดี แน่นอนว่าอคติล้วนๆ
ไอ้แกนชะงักไปเหมือนผมจี้ถูกจุด ทุกวันนี้มันก็ไม่กลับมาคุยกันอีก
“แทงใจดำล่ะสิ มึงคงเสียดายมาจนถึงทุกวันนี้สินะ”
“มึงพูดถูกแล้วยังไงล่ะ มึงต้องการให้กูรู้สึกจนตรอกเหมือนมึงหรือไงกัน” ไอ้แกนหันมาถามตรงๆ ผมไหวไหล่มองไปข้างหน้า
‘ใช่’ ผมเองก็อยากให้มันรู้สึกแบบนั้นดูสักครั้ง จะได้รู้ว่าหมาจนตรอกน่ะมันเป็นยังไง
“มึงไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น แค่อยู่เงียบๆ อย่ามาล้ำเส้นกูอีกถ้าอยากให้เรื่องจบดีๆ” ผมพูดตัดบทมันแล้วเดินกลับไปทางเดิม
“มึงหนีไปให้ตลอดรอดฝั่งก็แล้วกัน” มันอุตส่าห์ตะโกนไล่หลังให้ผมได้ยิน

ผมไม่ได้กลับไปที่สตู สมาธิหลุด เข้าไปข้างในก็ทำงานไม่ได้อยู่ดี
แม่งเอ้ย ผมแค่อยากได้ใครสักคนที่เข้าใจผมในทุกๆ เรื่อง ปวดหัวระบมเลย ผมเข้าไปล้างหน้าล้างตาให้สดชื่น บางเวลาผมก็นึกถึงไอ้สอง แค่นึกถึงเฉยๆ วิธีที่มันพูดสามารถทำให้คนสบายใจและรู้สึกดีขึ้นได้ เพราะมันพร้อมที่จะเข้าใจด้วยล่ะมั้ง ผมต้องการคนแบบนี้คนแบบไอ้สอง ไม่ใช่หรอก คนแบบพี่กัสหรือเปล่านะ
ชื่อนี้หายไปจากชีวิตผมสามสี่ปีแล้วหรืออาจจะมากกว่านั้น ผมไม่เคยได้ข่าวหรือการติดต่อจากอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย พี่กัส ผู้ชายที่เป็นต้นแบบให้แก่ผมและเป็นคนมีคำพูดดีๆ ให้ผมอยู่เสมอ บางครั้งคอยชี้แนะให้ผมเคยคิด หากว่าคืนนั้นผมไม่เจอกับกลุ่มพี่กัสเข้าผมอาจกลายเป็นคนที่แหลกเหลวกว่านี้ ผมอาจใช้ชีวิตอยู่ในเส้นทางอันตราย
ผมตามหาพี่กัสมาสองปีแต่ก็ไม่เจออะไร เคยเข้าไปที่สถานีตำรวจตรวจรายชื่อคนหายก็ไม่พบ จริงๆ แล้วผมแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับพี่กัสเลย ชื่อจริง ที่อยู่ ผมไม่เคยรู้ พวกพี่กัสรวมกลุ่มกันอยู่ที่รถบ้านของพี่ตองเพื่อนสนิทของพี่กัส ผมเคยไปถามจากพี่ตองแต่พี่แกไม่รู้เหมือนกันและผมก็ไม่อยากคิดว่าพี่ตองจะปิดบังอะไรผม
หรือผมควรจะฝังเรื่องของพี่กัสให้จมไปกับอดีตเก่าๆ ของตัวเองไปเสียเลย
มนุษย์เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงนิสัยส่วนตัวได้ง่ายๆ ผมเองไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ยกเว้นวิธีการคิด คำพูด และการวางตัว แต่นิสัยการกิน เรื่องที่เกลียดกลัว มันยังเหมือนเดิม ผมแค่สร้างตัวตนขึ้นมาใหม่เพื่อบรรเทาความเจ็บปวดของตัวเองก็เท่านั้น ผมไม่เคยตั้งคำถามว่าการทำเช่นนี้ขี้ขลาดหรือไม่?

หลังจบค่ายผมพยายามเข้าหาไอ้สองแบบชัดเจน ถ้าเป็นไอ้สองคนก่อนล่ะก็... ไม่ยาก
แต่ตอนนี้มันไม่ใช่คนเดิมแล้ว ผมเข้าหามันไม่ได้ มันมีเกราะกำบังที่ดี 'ไอ้ท็อป' ทำไมผมต้องเจอน้ำหน้าแต่พวกเดิมๆ ผมโมโหตัวเองมาก ไม่คิดว่ามันจะกลับมาคบกันอีกครั้ง ไอ้ติบอกว่าผมพยายามมากเกินไป ผมควรหยุดมากกว่า ผมก็เห็นด้วยจะได้ไม่ทุเรศไปมากกว่านี้
ทุกครั้งที่ผมมีโอกาสพูดคุยกับไอ้สองผมต้องกลับเอามาคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าผมกำลังทำอะไรอยู่กันแน่ และผมก็ได้คำตอบ
ผมกำลังหนีต่างหาก ลึกๆ แล้วผมกลัวนิดหน่อย กลัวว่าจะสูญเสียความเป็นตัวเองอีกครั้งหนึ่งและก็ไม่รู้ว่าจะสามารถสร้างตัวตนขึ้นมาอีกได้หรือไม่ และคนที่จะทำลายตัวตนของผมก็คงไม่ใช่ใคร
ไอ้แกนนั่นแหละ
ผมเกลียดคำว่าบังเอิญที่สุด จะเป็นใครหน้าไหนก็ได้ที่ผมต้องเจอบ่อยๆ แต่ต้องไม่ใช่มัน ผมมาเจอมันอีกครั้งที่ลานจอดรถ มันกำลังปั่นฟิกเกียร์มาจอดและผมกำลังกลับบ้าน ดันต้องมาเจอกันอีก มันมายืนจ้องหน้าผม
“อะไรวะ” ผมอดโมโหไม่ได้
“คิดจะจีบไอ้สองจริงๆ เหรอวะ”
“มึงจะมาสนใจทำไมวะ เรื่องของกูแท้ๆ” ผมหัวเราะเบาๆ เตรียมสตาร์ทรถ
“มันคบกับไอ้ท็อปอยู่มึงก็รู้ จะทำไปเพื่ออะไร อยากเอาคืนไอ้ท็อปหรือไงวะ”
“กูไม่ใช่คนแบบมึงนะไอ้แกน อย่าคิดอะไรตื้นๆ แบบนั้น” ผมบอกมัน
ผมไม่บ้าขนาดนั้นหรอก หรือต่อให้ผมคิดจะจีบไอ้สองจริงๆ ผมก็แพ้ตั้งแต่เริ่มแล้ว มีแต่จะทำให้ไอ้สองเกลียดขี้หน้าผมมากกว่าเดิมน่ะสิ ผมเร่งเครื่องขี่รถออกไปก่อนที่มันจะอ้าปากพูดอีกครั้ง และผมก็เป็นฝ่ายหนีมันก่อนทุกครั้งอย่างที่เคยทำเพราะมันง่ายกว่าที่จะทนฟังมันพูด ผมไม่อยากคิดว่าในอนาคตข้างหน้าจะเป็นอย่างไง ไม่อยากคิดเรื่องของตัวเองหรือของใคร
บางทีผมควรจะหยุดทุกๆ เรื่องให้หมด เรียนให้จบ ไม่ต้องยุ่งกับใครอีก จากนั้นก็ไปอยู่ที่เงียบๆ ให้เวลาตัวเองสักระยะแล้วค่อยตั้งต้นใหม่แบบนี้จะดีไหมนะ แต่ผมก็ไม่มั่นใจในตัวเองเลย
หรือผมควรจะหาใครสักคนมารับฟังเรื่องของผม คนที่ผมนึกออกก็มีแค่ ไอ้สอง คนเดียวเท่านั้น
ทางเลือกนี้มันง่ายกว่าทุกหนทาง ผมมีทางเลือกเป็นของตัวเองผม ไม่เคยปัดมันทิ้ง หากว่ามันไม่ได้ผลผมคงต้องใช้ทางเลือกที่รองจากนี้ไปเรื่อยๆ ผมคิดทบทวนเรื่องราวของตนเองตลอดหลายปีที่ผ่านมา ผมกลายเป็นเด็กมีปัญหาหรือเปล่า ตั้งแต่เข้าเรียนมหาลัยผมไม่ได้กลับบ้านบ่อยนัก ล่าสุดคงเมื่อต้นปีที่แล้ว ดูเหมือนแม่ยังคงโกรธผมอยู่ที่ทำตัวเหลวไหล
ผมกลับมาพักผ่อนที่หอพักรู้สึกเหนื่อยล้า
ตืด ตืด ตืด
ผมหยิบโทรศัพท์มาดู พี่ตองโทรมา ผมรีบกดรับเพราะคิดว่าคงมีข่าวของพี่กัสแน่ๆ
“ว่าไงพี่”ผมรับสายด้วยความหวัง พยายามไม่แสดงออกในน้ำเสียงมากนัก
[เออ เจอไอ้กัสแล้วนะ] พี่ตองตอบกลับมาราวกับเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ ผมนิ่งอึ้ง ทีแรกก็ดีใจ แต่ต่อมา ผมรู้สึกแปลกๆกับข่าวดีนี้ หลังจากที่เงียบไป ผมก็รีบเอ่ยขึ้น
“จริงเหรอพี่ แล้วอยู่ที่ไหนล่ะ”
[ใจเย็นๆ เดี๋ยวกูส่งเบอร์ไปให้จะได้คุยกับมันก่อนที่จะนัดเจอกัน] พี่ตองบอก
หลังจากนั้นไม่ถึงห้านาทีพี่ตองก็ส่งเบอร์ติดต่อของพี่กัสมาให้ทางไลน์ ผมรู้สึกตื่นเต้นปะปนเหลือเชื่อ อยู่ๆ ก็โผล่หัวออกมาง่ายๆ ซะอย่างนั้น ผมลังเลที่จะโทรหาพี่กัส แต่ในเมื่อพี่เขากลับมาแล้วก็เป็นเรื่องดี ผมกดโทรออกเสียงรอสายยังคงเป็นเพลงเดิมเหมือนกับเบอร์เก่าคือ Stand by me เพลงโปรดพี่กัส
[ฮัลโหล] ปลายสายตอบกลับมา น้ำเสียงทุ้มที่ผมไม่ได้ยินมาหลายปี ทำเอาผมใจเต้นไปชั่วขณะ
“นี่ผมเองนะ ดีนไง” ผมบอก คนปลายสายเงียบไป ก่อนจะร้องดีใจทันทีที่รู้ว่าเป็นผม
[เฮ้ยไอ้ดีน นึกยังไงโทรมาหากูได้เนี่ย] พี่กัสหัวเราะ คำตอบของอีกฝ่ายทำให้ผมขมวดคิ้ว
“อ้าว ก็เพิ่งได้เบอร์พี่มาเอง อีกอย่างนะ พี่หายไปตั้งหลายปีไม่ติดต่อมาบ้าง จะไปไหนไม่บอกสักคำ” ผมน้อยใจพี่แกที่ไปไหนไม่บอกกล่าวกัน
[เฮ้ยๆ ใจเย็นดิ รัวใส่เชียว โอเคๆ ขอโทษนะ พอดีว่าไปออกเดินทางมาน่ะ เสียดายน่าจะชวนมึงไปด้วย] ปลายสายพูดเสียงอ่อนลงมา ผมผ่อนคลายลง
“แล้วไม่ชวนล่ะ นึกว่าจะไม่กลับมาซะแล้ว”
[กลับสิ บ้านเกิดอยู่นี่จะให้ไปไหนกัน แล้วมึงเป็นยังไงบ้าง ปีสุดท้ายแล้วนี่หว่า]
“ครับ เหลือฝึกงานเท่านั้นเอง เดี๋ยวก็ยื่นจบแล้ว แล้วพี่อยู่ที่ไหนไปหาได้เปล่า”
[เออ ได้สิวะ เจอกันทั้งทีไปร้านเหล้าไหมดีน แถวๆ มอก็ได้นะพี่มีธุระแถวนี้พอดี]
“ก็ได้พี่ แล้วผมจะจำพี่ได้ไหมเนี่ย ลืมหน้าตาไปแล้วว่ะ”
[ถุย สมองเสื่อมเหรอมึง เดี๋ยวกูใส่เสื้อสีแสดไปก็ได้ รับรองเห็นปุ๊บจำพี่ได้แน่ๆ]
“โอเคๆ งั้นเจอกันนะพี่”
ผมยิ้มอย่างยินดี ในที่สุดก็จะได้เจอพี่กัสเสียที ทำให้ผมเสียเวลาตามหามาสองสามปีแท้ๆ ที่ไหนได้ไปเที่ยวมาหรือไงกัน แถมเจ้าตัวลืมผมไปแล้วต่างหาก แม้จะรู้สึกแปลก ที่อีกฝ่ายโผล่มาง่ายๆ แบบนี้ หวังว่าจะไม่เกิดเรื่องอะไรเข้าหรอกนะ
เมื่อถึงเวลานัด พี่กัสแกเลือกร้านเพลินซึ่งเป็นร้านอาหารกึ่งๆ ร้านเหล้าแถมเพิ่งปรับปรุงไปเมื่อไม่กี่เดือนนี่เอง คนแน่นทุกวัน แต่ตอนนี้เพิ่งหกโมงครึ่งคนจึงยังไม่เยอะเท่าไหร่ พี่กัสส่งข้อความมาว่านั่งอยู่โซนด้านนอกริมกาบขวา ผมเดินหาโต๊ะก็เจอกับผู้ชายผมยาวประบ่าฟูๆ นิดหน่อยแต่ไม่ดูกระเซิง ใส่เสื้อสีแสดแสบตาจริงๆ ด้วยผมโบกมือให้เจ้าตัวเห็นแล้วเดินตรงไปหา แม้ว่าจะไม่ได้เจอหน้าหลายปีแต่พี่กัสก็ยังคงเหมือนเดิม ถึงแม้ว่าจะทำผมทรงใหม่ก็ตาม แต่ลักษณะรูปร่างนั้นยังเหมือนเดิม
“โตขึ้นเยอะเลยว่ะ” พี่กัสยิ้มเมื่อผมเดินมาถึงโต๊ะก่อนจะนั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม บนโต๊ะมีอาหารสองสามอย่างแล้ว นิสัยพี่กัสคล้ายๆ กับผมเพราะกินง่ายๆ ไม่ได้ชอบเมนูอะไรเป็นพิเศษ
“ผ่านมากี่ปีแล้วครับ” ผมยิ้มก่อนจะมองสำรวจอีกฝ่ายอีกครั้ง รอยสักยังคงอยู่ มีเพิ่มเติมลงมาตามแขนข้างขวาเท่านั้น
“ห้าปีแล้ว กูจำได้น่า ตอนนั้นยังไม่หล่อเท่านี้เลยนะเว้ย” พี่กัสมองผมแล้วหัวเราะไปด้วย
“พี่เปลี่ยนไปเยอะเลยนะเนี่ย แล้วสบายดีไหม” ผมถามขณะที่พี่กัสรินเบียร์ให้ผมแก้วใหญ่
“สบายดีเรื่อยๆ เปื่อยๆ ตามอารมณ์” พี่กัสไหวไหล่นั่งจิบเบียร์สบายๆ เหมือนคนกันเอง ผิดกับผมที่ออกจะเกร็งๆ เหมือนคนไม่คุ้นเคย
“ติสท์ไม่เลิกนะพี่ แล้วหายไปไหนมา” ผมถามเข้าเรื่องอยากรู้ว่าสองสามปีพี่เขาหายไปทำอะไร ผมเคยคิดเล่นๆ ว่าพี่แกหนีคดีอะไรหรือเปล่า แต่คงไม่ใช่แน่ๆ
“ก็ไปเมืองนอกมา” พี่กัสยื่นหน้ามาใกล้เปลี่ยนมานั่งขัดสมาธิบนเก้าอี้แทน
“เล่นมุกหรือพูดจริง” ผมถามตรงๆ เพราะท่าทางอีกฝ่ายดูเหมือนจะเมานิดๆ
“จริงสิ ใกล้ๆ นี่เอง ฟิลิปปินส์ นี่เพิ่งกลับมาได้ไม่ถึงปี ตะลอนๆ ไปทั่วจนวกกลับมาบ้าน”
“อืม ฟังดูน่าสนุก” ผมยิ้ม ตะลอนไปเรื่อยๆ จนติดเป็นนิสัย
“ไม่หรอก มีอุปสรรคนิดหน่อยงานเลยกร่อย แล้วมึงล่ะสบายดีไหมวะ” พี่กัสมองหน้าผมก่อนจะกอดอกมอง
“ก็โอเค” ผมตอบก่อนจะยกแก้วเบียร์มาดื่มบ้าง ปล่อยให้พี่กัสดื่มอยู่ฝ่ายเดียวมานาน
“จริงเหรอวะ ดูจากสีหน้าและแววตาแล้วคงมีเรื่องแน่ๆ” พี่กัสชี้นิ้วมาทางผมอย่างคาดคะเนไว้แล้วหรือไม่ก็ฟังมาจากคนอื่น
“เปล่า สบายดี” ผมยิ้มให้ จะบอกยังไงดีล่ะ ผมเองก็กำลังกังวลเรื่องพี่ด้วยส่วนหนึ่ง ไม่รู้ทำไมผมถึงไม่ดีใจเท่าไหร่กับการกลับมาของอีกฝ่าย เหมือนกับพี่กัสเองก็ไม่ได้ดีใจที่เจอผม ที่แสดงออกมามันดูฝืนๆ ชอบกล
“ริอาจโกหกอาจารย์ได้ยังไงกัน กูสอนมึงมากับตัวนะเว้ย” พี่กัสจ้องไม่เลิกรา
“ก็เรื่องเรียนนั่นแหละ” ผมส่ายหน้าเอาเรื่องเรียนมาอ้างคงง่ายสุด
“ซีเรียสเรื่องเรียนตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ไหนว่าเอาแค่พอผ่านไงวะ” พี่กัสหัวเราะเบาๆ ส่งยิ้มเหมือนรู้ทัน
“รู้ได้ไงเนี่ย”
“ไอ้ตองบอก” พี่กัสตอบ
“พี่ตองติดต่อพี่ตลอดเลยเหรอ” ผมแปลกใจ
“ไม่ใช่หรอก มันเพิ่งฟ้องกูเมื่อวานนี้เอง เล่าเรื่องมึงให้ฟังจนหูแฉะ” ผมพยักหน้าเข้าใจแต่ไม่ปักใจเชื่อ พี่ตองโกหกว่าไม่ได้ติดต่อพี่กัสเลย แต่ตอนนี้ผมมั่นใจว่าพี่ตองรู้มาตลอดและพี่กัสเองก็รู้เรื่องของผมดีไม่น้อย
“พี่ตองนะพี่ตอง เล่าเรื่องอะไรให้ฟังล่ะนั่น” ผมหัวเราะไปตามเรื่องก่อนจะเหลือบมองอีกฝ่ายในระหว่างนั้นไปด้วย พี่กัสแค่ขมวดคิ้วทำหน้าขรึมขึ้นมา
“แล้วมีปัญหาอะไรหรือเปล่า เล่าให้กูฟังได้นะ ถึงกูจะหายหัวไปนานแต่ก็ยังเป็นห่วงมึงเหมือนเดิม” ผมเองก็เชื่ออย่างนั้น
“พี่ตองไม่ได้เล่าให้ฟังหรือไง” ผมย้อนถามบ้าง
“เรื่องอะไร? มันก็พล่ามทุกเรื่อง”
“ก็เรื่องไอ้แกนไง” ผมโมโหน้ำเสียงเลยกระแทกกระทั้นไปตามอารมณ์
“อ๋อ เรื่องนี้น่ะเหรอที่มึงกังวลน่ะ ทำไมวะ ต่างคนต่างอยู่ก็โอเคแล้วนี่” พี่กัสถอนหายใจหมุนแก้วเบียร์ในมืออย่างใจลอยจนไม่ได้สังเกตว่าผมมองอยู่นาน
“มันมาขอโทษผม แต่ผมไม่คิดว่ามันอยากขอโทษผมจริงๆ หรอก” ผมนึกถึงมันแล้วก็อารมณ์เสียผมเลยไม่ชอบที่จะเห็นหน้ามันเท่าไหร่
“ทำไมถึงทิฐิสูงแบบนี้วะ มาขอโทษก็ดีแล้วนี่” พี่กัสดึงความสนใจมาที่ผมเหมือนเดิม
“ไม่รู้สิ ใจผมยังไม่ยอมยกโทษให้” ให้ตายยังไงก็คงไม่คลายความเกลียดลงได้ ถึงผมจะพยายามมองถึงเรื่องดีๆ ของมันแล้วก็ตาม แต่เรื่องเก่าๆ มันก็ตามมาให้นึกถึง
“อย่ายึดติดกับเรื่องเก่าๆ เลยว่ะดีน มันจะทำให้มึงไม่หลุดพ้นเสียที มึงจมดิ่งมามากเพราะไอ้คนที่ชื่อแกน” พี่กัสพูดสีหน้าดูเป็นห่วง
“......” ผมไม่ตอบอะไร มีหลายๆ เรื่องที่ผมเคยทำไม่ดี สาเหตุมาจากมันเป็นส่วนใหญ่ทั้งนั้น จะมาโทษว่าผมอ่อนแอฝ่ายเดียวก็ไม่ถูก
“มึงเลือกที่จะลืมมันได้นะดีน แต่มึงกลับเลือกจะฝังมันลงที่ใจมึงซะอย่างนั้น กูเพิ่งรู้ไม่กี่ปีว่าที่มึงสักตัวอักษรนั้นคือชื่อมัน” พี่กัสทำหน้าเหมือนไม่เข้าใจผม
“ใช่ ผมก็เกือบลืมไปแล้วว่าเคยสักชื่อมันไว้ ตอนนั้นสัญญาว่าจนตายก็ไม่ลืมในเวลานั้น ผมยังหน้ามืดตามัวโกรธเกลียดมันมากจริงๆ" ผมแค่เป็นเด็กโง่ บ้านแตกอีกต่างหาก แม่ไม่พูดจากับผมเลยนับจากนั้น
“สมใจแล้วนี่ จนตายก็ไม่ลืมเพราะต้องเจอกันอยู่นี่ไง”
“นั่นสิ” ผมตลกในโชคชะตาหรือว่าเรื่องบังเอิญกันแน่ แต่แค่ความบังเอิญมันจะทำให้เกิดเรื่องแบบนี้เลยหรือ ถ้าเป็นโชคชะตาผมก็เกลียดมากๆ เหมือนเป็นโชคร้ายของผม
จากที่ควรจะสนุกกลายเป็นต้องมาเจ็บใจตัวเองเพราะเรื่องนี้ ผมกับพี่กัสไม่ได้พูดอะไรต่ออีก ปล่อยให้จมกับความคิดของตัวเอง
“พอๆ มาฉลองให้กูดีกว่า” พี่กัสตบมือสองสามครั้งก่อนจะสั่งเบียร์มาอีกเหยือก
“โอเค” ผมยิ้ม “พี่กลับมาอยู่กับพี่ตองเหรอ” ผมเริ่มบทสนทนาอีกครั้ง พี่กัสพยักหน้า
“อือ ขอค้างบ้านมันสองสามคืนก่อน”
หลังจากที่ทานอิ่ม ดื่มเบียร์หมดไปสองเหยือก มื้อนี้พี่กัสเลี้ยง จากนั้นผมกับพี่กัสเลยออกไปขี่รถเล่นในตัวเมืองแถวตลาดรถไฟก่อนจะแวะไปซอยที่พี่กัสเคยคุมเมื่อสองสามปีก่อน ซึ่งเดี๋ยวนี้ทางอำเภอเปลี่ยนให้เป็นถนนสร้างสรรค์มีพวกลานเต้น cover dance ต่างๆ วงดนตรี แล้วก็พวกกราฟิตี้ตามกำแพงยังคงมีลวดลายใหม่ๆ เพิ่มขึ้น
“คิดถึงบรรยากาศเก่าๆ เลยว่ะ” พี่กัสมองไปตามกำแพงที่มีเรื่องราวทั้งเก่าและใหม่ปรากฏอยู่
“แต่รูปเก่าๆ ยังอยู่นะ” ผมบอก
“ดีนะเจ้าหน้าที่ยังมองว่ามันเป็นศิลปะ” พี่กัสหัวเราะแล้วคว้ากระป๋องสีที่ตกตามพื้นมาถือแล้วเขย่าๆ เสียงลูกกลิ้งดังชัดเจน น้ำยาคงหมดไปแล้ว
“กลับมาบ้านพี่ทำงานอะไร” ผมถามขณะที่มองรูปบนกำแพง
“กูกะว่าจะเปิดร้านแกลเลอรีผสมกับทำชอปกีตาร์ด้วยหุ้นกับเพื่อน” พี่กัสหันมาตอบก่อนจะขว้างกระป๋องสเปรย์ลงถังขยะอย่างแม่นยำ
“เจ๋งว่ะ เปิดร้านวันไหนบอกด้วยนะเดี๋ยวผมไปประเดิม” ผมบอกอย่างสนใจ
“อีกไม่นานหรอก ตอนนี้เหลือตกแต่ง ไปทำด้วยกันไหม อยากได้หลายๆ ไอเดีย” พี่กัสชวน หันมองผมยิ้มๆ
“น่าสนดีแต่ต้องบอกก่อนนะว่าวันไหน ผมมีงานใหญ่ด้วย”
“โอเค ใช้แรงงานมึงไม่กี่วันหรอก เออ มึงมีแฟนหรือยังวะ” พี่กัสเดินไปนั่งที่บันไดหน้าอาคารพาณิชย์เก่าๆ ที่มีประตูอลูมิเนียมเลื่อนปิดและมันถูกพ่นกราฟิตี้สีสดใสไว้ ผมเดินไปนั่งข้างๆ มองคนเดินไปมา
“ก็เรื่อยๆ” ผมตอบอย่างไม่สนใจนัก เรื่องของความรัก ดูเหมือนผมจะเป็นคนอับโชค
“เรื่อยๆ นี่คือไม่เป็นตัวเป็นตนสินะ สาวแท้หรือชายเทียม” พี่กัสตบไหล่ผม
“โหพี่ ผมมันใจกว้าง ชอบคนไหนก็คนนั้นแหละ” ผมตอบแบบนี้เสมอถ้ามีคนถามอะไรทำนองนี้ ตอบแบบกำปั้นทุบดิน
“แสดงว่าไหลไปเรื่อยน่ะสิมึง ระวังหลุดมือไปแล้วจับกลับมาไม่ได้นะเว้ย” พี่กัสพูด
“ยังไม่เจอคนที่ใช่ก็หาไปเรื่อยๆ ไง” ผมบอกไปตามตรง เวลาเจอคนที่ใช่ อีกฝ่ายก็ไม่ใช่ของเราไปแล้ว แบบนั้นผมก็แห้วเหมือนเดิม
“เจ้าชู้ดีๆ นี่เอง” พี่กัสส่ายหน้า
“แล้วพี่ล่ะ หายไปนานได้เมียมาเป็นตัวเป็นตนแล้วมั้ง” ผมแซว พี่กัสทำหน้าเหมือนเจอของแสลง
“กูเนี่ยนะ เลี้ยงใครไม่รอดซะมากกว่า เลี้ยงตัวเองง่ายกว่าเยอะ”
“ว่าจะถามตั้งนานแล้ว ทำไมพี่ถึงหายไปไม่บอกกันเลย” ผมอยากรู้ว่าทำไม คำถามแบบนี้มันสำคัญสำหรับผมเพราะพี่กัสเหมือนคนสำคัญอันดับต้นๆ ของผมในเวลานั้่น
“มันกะทันหัน อีกอย่างมึงเองก็กำลังไปรายงานตัวที่มอนี่หว่า กำลังไปได้สวยไม่เห็นต้องมาสนใจเรื่องกูเลย กูหมายถึงกูมันเป็นพวกอยู่ไปทั่วงานไม่มีให้ทำก็เลยอยากออกไปที่ไหนสักที่ กูชอบเป็นแบบนี้แหละ ไม่ค่อยได้บอกลาใครเพราะกูไม่ชอบ แล้วที่สำคัญกูไม่ได้ไปแล้วไปลับสุดท้ายกูก็กลับมาไง” พี่กัสหันมายิ้มให้
“งั้นเหรอ” ผมเงียบ
“เป็นอะไรไป มึงดูซึมๆ” พี่กัสถาม
บางครั้งผมถามตัวเองว่าพี่กัสไม่รู้จริงๆ หรือว่าแกล้งโง่ ที่ผ่านมาผมถามตัวเองหลายครั้งว่าผมคิดกับพี่กัสแบบไหน พี่ชายหรือเป็นแค่เพื่อน หรือมากกว่านั้น และผมก็ได้คำตอบตอนที่พี่กัสหายหัวไป ผมแค่รู้สึกเคว้งไปอีกรอบและอยากให้พี่แกกลับมา
“ง่วงแล้วมั้ง จะอยู่ต่อไหมพี่” ผมถามเพราะพี่กัสไม่ยอมรับรู้เสียทีทั้งๆ ที่ก็น่าจะรู้ดี
“มาไม่ถึงชั่วโมงเลย เปลืองน้ำมันรถ กูยังไม่อยากกลับ” พี่กัสนิ่วหน้า
“งั้นก็เดินเล่นแถวนี้ก่อน” ผมบอกอารมณ์ไม่ดีอีกรอบ
“พรุ่งนี้มีเรียนไหม” อีกฝ่ายถาม
“ไม่มี แต่ต้องเข้าไปทำงานที่คณะ” ผมบอก
“อืม ดีเลย งั้นอยู่ค้างกับกูก่อนไหม” พี่กัสชวน หันมามองผมอยู่นาน
“พี่ยังอยู่แถวนี้เหรอ” ผมแปลกใจ
“พูดผิด บ้านไอ้ตอง” พี่กัสยิ้ม บ้านพี่ตองคือรถบ้านเก่าๆ ที่โชคดีที่ได้การตกแต่งดีๆ จากพี่กัสให้พอดูเป็นบ้านได้
“ไม่เอาล่ะ กลับหอน่าจะดีกว่า” ผมไม่อยากค้างบ้านพี่ตองเพราะอึดอัดกับสี่เหลี่ยมแคบๆ นึกถึงความแออัดของข้าวของเครื่องใช้แล้วผมมึนหัว
“อะไรกัน กูอุตส่าห์ชวน มีเรื่องจะคุยด้วย” พี่กัสทำเสียงขุ่น มองผมราวกับกำลังกดดันทางอ้อม ผมนิ่งคิด
“ตอนนี้ก็ว่างๆ อยู่คุยตอนนี้ได้นะพี่” ผมบอกอย่างนึกรำคาญและหวังว่าเจ้าตัวคงไม่ทันสังเกต
“จะได้นอนคุยกันไง” พี่กัสพูดเบาๆ ทำหน้าเหมือนมีเลศนัย ผมชะงักไป ก่อนจะเหลียวมองอีกฝ่าย พยายามเก็บอาการตกใจไว้
“อย่าคิดลึกสิ เหมือนเมื่อก่อนไง นอนคุยกันเพลินดี” พี่กัสยิ้ม ผมไม่แน่ใจกับรอยยิ้มนั่นเลย ผมตามอารมณ์อีกฝ่ายไม่ทัน
“ตามใจ” ผมพยักหน้า และตอบตกลงอย่างเสียไม่ได้

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-02-2018 16:04:23 โดย รินดาwดาริน »

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
 :katai2-1:   ขอบคุณมากค่ะ
คนเขียนสู้ๆนะคะ

ออฟไลน์ Dark_Noah

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 838
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-3
แกนดีน คู่นี้จะลงเอยกันยังไงนะ แถมเรื่องพี่กัสอีก  :เฮ้อ:

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
ตอนนี้ลุ้นกับเรื่องพี่ดีนเฮียแกนมากจริงๆไม่รู้ว่าบทสรุปมันจะจบที่ตรงไหน แต่ถึงขั้นเล่นยานี่ก็ไม่น่าปลื้มเท่าไหร่นะพี่ดีน

ออฟไลน์ kjkjji

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 76
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
หวายยยยย จะบอกว่าเคยอ่านเรื่องนี้ตอนช่วงแรกๆแล้วก็ไม่ได้อ่านอีกเลย เพราะเนือเรื่องมันเริ่มเครียด แบบกลัวใจในทุกทาง แต่วันนี้ได้ลองกดเข้ามาอ่านดูใหม่ คืออยากกรีดร้องง มันดีมากอ่ะ เราชอบฝ่ายรับของคุณมากเลย ทั้งพี่ท็อป? ผิง ดีน (?) แบบแต่ละคนแมนมาก คือที่พูดนี่ก็ไม่รู้เป็นรับรึเปล่านะ แค่บรรยากาศมันให้ เลยคิดว่าน่าจะ.. 555555 คือเอาเข้าจริงน้องสองแม่งมุ้งมิ้ง คิดเยอะ นิสัยผู้หญิงกว่าพี่ท็อปอีกอ่ะ เผลอๆจะพรุนกว่าด้วย แต่ชอบตอนพี่ท็อปรับ มันกร๊าวยังไงบอกไม่ถูก เดี๋ยวไว้มีเวลามากกว่านี้จะกลับไปอ่านช่วงที่เว้นไปนะคะ ไม่ค่อยถูกกับเรื่องที่คิดเยอะๆเลย ฮือ นี่ลองอ่านย้อนตอนหลังสุดมาได้สาม สี่ตอน 555 ขนาดที่ว่า อ่านแล้วแบบ พี่ดีนนี่ใครวะ!?เลยนะ แต่คือตอนนี้ชอบพี่แกอ่ะ เชียร์ๆ ขอให้ได้ขอให้โดน คือไม่นึกว่าเฮียแกนจะมีคู่ด้วยซ้ำตอนแรก(รึเปล่า หรือไม่มี? หรือมันเป็นเรื่องของมิตรภาพเฉยๆ?) เราชอบเคมีคู่่นี้ ยิมผิงก็ชอบถึงตอนอ่านตอนนู้นจะนึกว่ายิมโผล่มาเป็นตัวประกอบก็เถอะ 555555 คู่หลักเค้าดูไม่มีที่ให้ใครมาแทรกเลยอ่ะค่ะ จริงๆปัญหาของทุกคู่คือคิดเยอะไปนะ แต่ก็ดูมีมิติดี สู้ๆนะคะคนแต่ง รออ่านต่อน๊า

ออฟไลน์ คุณลิ้นจี่

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
คู่ดีนนี่จะลงเอยกันยังไง เเต่ก็เชียร์คู่นี้นะ
ส่วนยิมผิงน่ารักดี รออออ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ sweetbasil

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 807
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-3
เมื่อกี้ไอ้ตองหรอ”พี่ตองเดินนุ่งผ้าเช็ดตัวออกมาก่อนจะมองไปที่ประตูที่ปิดสนิท “ใช่พี่ กวนประสาท”

ตรงนี้น่าจะเป็นพี่กัสเดินนุ่งผ้าเช็คตัวออกมาเปล่าอ่ะเพราะพี่กัสพูด


เชียร์แกนมากกว่าพี่กัสอีก

ออฟไลน์ รินดาwดาริน

  • OnTop&N'Song
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +243/-2
  -ผิง-
ตอนที่ 4 ออกทริปครั้งแรก (ต่อ)

  รุ่งเช้าของอีกวันหนาวจนผมไม่อยากลุกออกจากใต้ผ้าห่มอุ่นๆ ไอ้ยิมมันทรหดมากลุกไปอาบน้ำได้ยังไง มันเปิดเต็นท์ออกแล้วปลุกผมแรงๆ ด้วยการเอาน้ำเย็นมาหยดใส่หน้าผม แน่นอนว่ามันได้ผลดีทีเดียว
"หนาวนะเว้ย...ของีบอีกสักแป๊บนะ" ผมล้มตัวลงไปนอนต่อเพราะอากาศหนาวจนทำให้ผมขี้เกียจคูณสอง ไอ้ยิมมันดึงผ้าห่มออกจากตัวผมแล้วยื่นมือเย็นๆ ทั้งสองขางออกมาจับหน้าผมไว้
“ให้ไว มัวยืดยาดกูทิ้งไว้นี่แหละ” มันทำหน้าดุก่อนจะเก็บของใส่กระเป๋าเป้เสียงดังกุกกักให้ผมได้รำคาญ 
"โอเคๆ" ผมจำใจลุกขึ้นมานั่งเหม่อลอยสักสองสามนาทีตามความชินก่อนจะเก็บของใช้ใส่กระเป๋า แต่ก็คุ้มค่าที่ตื่นตอนเช้า เพราะเจอกับแสงยามเช้า ไอหมอกสวยกับกาแฟร้อนพร้อมปาท่องโก๋เพิ่งทอดใหม่ๆ
เมื่อเช็คเอ้าท์เป็นที่เรียบร้อย ไอ้ยิมพาผมไปทานมื้อเช้าในร้านอาหารที่อ่างเก็บน้ำเพราะจะได้เห็นวิวสวยๆ ของแสงอาทิตย์ยามเช้า แม้จะไม่ได้ดูตอนตะวันขึ้นก็เถอะ ก่อนจะออกจากตัวเมืองแม่สอดต้องแวะซื้อน้ำพริกกุ้งของขึ้นชื่ออีกอย่างนึงก่อน ไปริมเมยก็เกือบสายๆ หน่อย ส่วนใหญ่ของขึ้นชื่อเป็นเอกลักษณ์ของตลาดริมเมยน่าจะเป็นพวกงานไม้ งานแกะสลักแล้วก็พวกเครื่องประดับอัญมณี 
ผมแวะไปที่ร้านเสื้อผ้าชาวเขา หรือเสื้อแม้วที่คนที่นี่เรียกกัน
“ยิม อะ ของขวัญจากกู” ผมสะกิดมันแล้วยื่นหมวกแบบชาวเขาให้ อีกฝ่ายทำหน้านิ่งไม่ตอบสนองอะไร ผมหัวเราะ “ก็สวยดีออก มาทำเมินเดี๋ยวกูจะซื้อใส่ให้มึงดูเอง” ผมบอกมันที่เดินหนีไปร้านอื่นแล้ว แต่ซื้อหมวกมาก็ไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไร ผมซื้อกระเป๋าสะพายสีสันพอประมาณ แบบสีน้ำตาลอ่อนปักลายแบบชาวเขา ผมเดินตามหลังไอ้ยิมไป มันเดินไปดูพวกของฝากจุกจิกที่ไม่ใช่แนวผมเลย แต่งานไม้ของที่นี่สวยจริงๆ พวกลายตามกระจก
ไอ้ยิมหยุดบริเวณร้านอัญมณีที่ส่วนใหญ่มาจากฝั่งพม่า มีทั้งนิล หยก มรกต ทับทิม เพชร ระรานตาไปหมด
“จะซื้อเหรอวะ” ผมถามมัน
“ป๊ากับม้าฝากซื้อ” มันบอกก่อนจะหยิบหยกสีเขียวสวยขึ้นมาดู ผมไม่ชินกับเครื่องประดับอะไรแบบนี้เลยปล่อยให้มันเลือกไปก่อน ในที่สุดสิ่งที่ผมอยากได้ก็อยู่ที่ร้านนี้ ร้านขายของโบราณ พวกนาฬิกาแบบแขวน แบบลูกตุ้ม แบบตั้งโต๊ะก็มีหมด สีไม้เก่าๆ คลาสสิกดี ผมเลยต้องกระเป๋าแฟบไปอีกเพราะของพวกนี้ ซื้อไปฝากไอ้สองกับไอ้โก๋อีก 
ของขึ้นชื่อของชาวพม่าก็คือทะนะคา มีทั้งแบบผงแบบเป็นตัดเป็นท่อนๆ เป็นเครื่องประทินโฉมของสาวพม่า สังเกตสาวพม่าผิวหน้าจะเนียนไม่มีสิวเลยจริงๆ ผมว่าเราติดภาพลักษณ์คนพม่าว่าต้องสกปรกตัวดำแต่มันไม่ใช่ เพราะพม่ามีหลายเชื้อชาติมาก พม่าสายรามัญก็จะขาวๆ ผมว่าจะซื้อไปทาหน้าตอนนอนน่าจะช่วยบำรุงหนังหน้าผมได้บ้าง
ไอ้ยิมหายไปนานมากเกือบครึ่งชั่วโมง ทิ้งให้ผมเดินคนเดียวอีก ผมเลยเดินซอกแซกไปเรื่อยๆ ของกินไม่ค่อยได้ซื้อ ยกเว้นปลาหัวยุ่ง กลิ่นแรงมากแต่เวลาเอามาทอดแล้วมันจะอร่อยมาก ของหายากของเมืองแม่สอดเช่นกัน กำลังเลือกของเพลินๆ มีมือดีมาดึงไหล่ผมเบาๆ ไม่ต้องเดาว่าใคร พี่แว่นของเรานี่เอง มันกลับมาพร้อมถุงของซะเต็มมือ ไม่รู้ว่าแวะซื้ออะไรมาบ้าง
“นึกว่าหายไปไหน” มันขมวดคิ้วมองหน้าผมก่อนจะหยิบปลาขึ้นมาดมแล้วก็ย่นจมูก แล้ววางกลับลงที่เดิม
“มึงนั่นแหละ ทิ้งกู...” ขี้เกียจเถียงกันเลยถือโอกาสลากมันไปที่ร้านที่ขายพวกงานไม้แกะสลักรูปปั้น ผมสนใจหุ่นเชิดพม่า คล้ายๆ กับหุ่นเชิดของรามเกียรติ์ แต่อันนี้จะเป็นแบบพม่าเลย หาดูยากนะผมว่า
“แล้วไง จะเอาไปแต่งห้องเหรอ” มันถามซื่อๆ
“เก็บไว้ดู แต่กูเงินไม่พอ ออกให้ก่อนดิแล้วเดี๋ยวจะใช้คืน” ผมกระซิบกับมัน นี่แหละคือเหตุผลที่ผมลากตัวมันมา ไอ้ยิมหัวเราะเบาๆ
“ไม่ต้องคืนก็ได้ แต่---”
“ไม่ต้องมีแต่ มึงเมมโมรี่ไว้ในสมองเลยแล้วกูจะใช้คืนแน่นอน” ผมขัดคอก่อนที่มันจะตั้งเงื่อนไขแปลกๆ มาใช้กับผมเพื่อหาเศษหาเลย ไอ้ยิมมันร้ายลึกนะ เห็นแว่นๆ แบบนี้
สุดท้ายมันก็เป็นป๋าใจปล้ำจ่ายเงินให้ผมเป็นที่เรียบร้อย แต่มันดูจะไม่เข้าใจที่ผมอยากได้หุ่นเชิดนี่ไปทำไมกัน
“ก็สมเป็นมึงดีนะ บ้าๆ บอๆ” ดูมันว่าร้ายใส่ผม แบบนี้มันน่าจะหักอกมันซะให้เข็ดหลาบ หลอกเอาเงินอะไรแบบนี้ แต่ไอ้ยิมมันก็ไม่โง่ให้หลอกง่ายๆ อีก ไม่รับรักมันคงทำง่ายกว่า...ล่ะมั้ง

ก่อนจะข้ามไปเมียวดีต้องแวะกินกระเพาะปลาคนละถ้วย จากนั้นแวะที่สำนักงานออกหนังสือผ่านแดนชั่วคราว บัตรผ่านแดนใช้ได้แค่ครั้งเดียว (ไป-กลับ) มีรถให้เหมาเป็นรถตู้ รถสองแถว มีไกด์นำเที่ยวราคาพันกว่าบาท แต่ผมกับไอ้ยิมอยากไปเองมากกว่าเลยขึ้นรถสองแถวไปแล้วค่อยลงเดิน แต่ต้องกลับมาก่อน 5 โมงเย็นและห้ามถ่ายรูปสถานที่ราชการของพม่าด้วย มองไปที่แม่น้ำเมยก็ไม่เยอะเท่าไหร่ มีพม่าแอบว่ายน้ำข้ามมาฝั่งไทยยังได้เลย ลงจากสะพานต้องเสียค่าธรรมเนียมตรงด่านเมียวดี สวยกว่าฝั่งไทยอีกแน่ะ สภาพบ้านเมืองตึกฝั่งเมียวดีแออัดและการจราจรก็คึกคักดี
จากด่านตรวจ ทริปแรกในเมียวดีคือ วัดเจดีย์ทอง เป็นวัดศิลปะมอญพม่า สีสันจะทองอร่าม เจดีย์เยอะดี จากนั้นไหว้พระสักหน่อย ไอ้ยิมก็เงียบๆ ของมันไป ไม่รู้มันอธิษฐานขอพรอะไรตั้งนานสองนาน ผมหยิบกล้องของไอ้ยิมมาเปิดดู มีรูปเยอะมากแต่ไม่ยักมีผมสักกะรูปเดียว
“อะไร มองหน้า” มันยิ้มเหมือนรู้ว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่
“หุย ถ่ายแต่สาวพม่าไม่เห็นมีกูสักรูป” ผมคืนกล้องให้มันแต่ไม่ได้ซีเรียสอะไร ผมไม่ชอบถ่ายรูป อีกอย่างตลกหน้าตัวเองเวลายิ้ม
“ไม่เห็นต้องถ่าย มีให้เห็นอยู่ทุกวัน” มันพูดหน้านิ่ง แหม มั่นใจด้วย
“พูดมาได้ไม่อายปาก” ผมหัวเราะก๊ากก่อนจะเดินไปดูรอบๆ วิหาร

พระนอนของวัดนี้ใบหน้าจะสวยมาก ไม่เหมือนของไทย จากที่สังเกตพวกศิลปะทางพม่าจะเน้นสีทองและการแกะลายรายละเอียดยิบย่อยตรงเสาวิหาร ทัวร์วัดต่อไปคือวัดจระเข้ คราวนี้นั่งสามล้อไป เสีย 20 บาท บอกว่าวัดอยู่ไกลประมาณสองกิโล ไอ้ยิมก็เอ๋อๆ เพราะคนขับเดินตามอยู่นั่น พอมาถึงจริงๆ เดินมายังได้ไม่ถึงหนึ่งกิโลด้วยซ้ำ ข้ามถนนแล้วก็เดินเข้าซอยฝั่งตรงข้ามก็ถึงวัดแล้ว จุดเด่นของวัดคือรูปปั้นจระเข้ขนาดใหญ่อยู่ภายในวัด และวิวหลังวัดยังมองไปเห็นวัดเจดีย์ทองอยู่บนเนินเขา สถานที่ท่องเที่ยวส่วนมากจะเป็นวัดทั้งนั้นและทุกๆ วัดของเมียวดีจะมีเจดีย์เหมือนๆ กันหมดจนผมรู้สึกเอียนๆ กับวัดซะแล้ว
“แวะไปดูอย่างอื่นบ้างดีไหม เมืองนี้มีอะไรให้ดูอีก” ผมถามไอ้ยิมหลังจากที่เดินออกจากวัดจระเข้ มันก็คงเบื่อๆ
“ลองเดินไปเรื่อยๆ ก็ได้มั้ง เห็นว่ามีตลาดบุเรงนองด้วย เหมือนที่ริมเมยเลยแต่น่าจะมีของอร่อยๆ ให้กิน” ไอ้ยิมหันมาพูด ผมมองไปรอบๆ บ้านเมืองที่คึกคักจนออกจะวุ่นวายเพราะรถราวิ่งกันให้ควั่ก อย่างที่รู้เรื่องการจราจรของพม่า ผมหยิบแว่นกันแดดออกมาสวมเพราะแดดร้อนพอๆ กับไทย
“กูพาคนตาบอดมาด้วยเหรอไง” มันไม่วายมาแขวะผม
“จะชมว่าหล่อก็พูดมาเถอะ” ผมยิ้มเท่ห์ให้มัน...
จากนั้นเราแวะไปที่ตลาดบุเรงนอง ก็จะคล้ายๆ กับที่ตลาดริมเมย มีพวกอาหารเป็นส่วนใหญ่ ผมกับไอ้ยิมจึงตัดสินใจกลับฝั่งไทย ไปพักผ่อนเพื่อไปทัวร์ทริปต่อไป

จากที่ว่าจะอยู่เที่ยวในตัวเมืองแม่สอดแต่แล้วก็เปลี่ยนแผนกะทันหัน ในเมื่อไปดูวัดพม่ามาจนเต็มอิ่มแล้วเลยขับรถออกจากแม่สอดลงมาพักแถวที่มูเซอโฮมสเตย์แล้วค่อยไปต่อที่เขื่อนภูมิพล มาถึงที่พักเกือบห้าโมงเย็น พอถึงห้องก็โดดขึ้นเตียงใครเตียงมันเพราะล้าจากการเดินที่เมียวดี บรรยากาศที่โฮมสเตย์ดีมาก ยิ่งหนาวๆ ยิ่งดูสวยกลืนไปกับธรรมชาติ ห้องพักมีไม่เยอะมากนัก มีลานให้เดินเล่นกว้างขวางเป็นเนินสูงต่ำเพราะเป็นเขตภูเขา มองจากหน้าประตูห้องยังเห็นทิวเขาชัดเลยล่ะ เจ้าของที่พักบอกว่ามีสวนสตรอเบอรี่เล็กๆ ด้วย สามารถลงไปดูได้
ไอ้ยิมถอดแว่นก่อนจะเตรียมตัวอาบน้ำ ผมแค่นอนมองมันหยิบจับนู่นนั่นอยู่เงียบๆ
“มองอะไร”
“มองมึงไง ทำไมหวงเหรอ ไม่ได้โป๊ซะหน่อย” ผมหัวเราะแล้วลุกขึ้นนั่งบนเตียง ไอ้ยิมไม่ได้พูดอะไรแค่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไป
“เออ มึงสั่งข้าวเลยก็ได้นะถ้าหิว” อีกฝ่ายตะโกนมาจากห้องน้ำ เสียงน้ำกระทบพื้นแว่วให้ได้ยินออกมา ผมว่างๆ เลยโทรสั่งของว่างมาสองสามอย่างเพราะของที่ซื้อมาจากตลาดก็เหลือเฟือ ส่วนมากเป็นผลไม้มากกว่า
ไอ้ยิมอาบน้ำนานมาก ผมเลยถอดเสื้อผ้ารอ อย่าคิดลึกล่ะ พันผ้าเช็ดตัวใส่บอกเซอร์ไว้ด้านในอีกชั้นหนึงเผื่อมีเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ผมเคาะประตูห้องน้ำรัวๆ
“อาบนานจังวะยิม หนาวโว้ย” ผมบอกขนลุกซู่ซ่าเชียว ตอนนี้กำลังอารมณ์ดีๆ อยู่เดี๋ยวอารมณ์บูดขึ้นมาจะขี้เกียจอาบน้ำเอา มันจะทำให้ผมโคตรซกมก
“แป๊บนึงดิ” มันส่งเสียงเหมือนโดนขัดใจ ห้องน้ำเงียบไปสงสัยกำลังแต่งตัว ผมรอมันอยู่หน้าประตูพลางเคาะเป็นจังหวะ และแล้วมันก็เสด็จออกมาจนได้ แต่มันเปลือยท่อนบนออกมาเลยแฮะ นึกว่าจะแต่งตัวด้านใน
“อ่าว นึกว่าแต่งตัวในห้องน้ำซะอีก” ผมมองงงๆ เหลือบมองหุ่นมันด้วย ไม่ได้พิศวาสแต่แค่เห็นว่าหุ่นมันก็พอใช้ได้
“ลืมหยิบกางเกงเข้าไป”
“จริงดิ กางลิงล่ะสิท่าถึงไม่กล้าให้กูหยิบให้ ใช่ไหมๆ” ผมได้โอกาสล้อมันให้สนุกปาก
“ไปอาบน้ำเหอะมึง” มันโยนผ้าเช็ดตัวพับอยู่บนเก้าอี้มาให้ผม
“เอ้า ก็แค่ถามอะ ตอบเด้ สงสัยจะตัวเล็กแหง”
“ไอ้เชี่ยนี่...” มันตรงดิ่งมาหาผมทำท่าเหมือนจะเตะ ผมหัวเราะปิดท้ายก่อนจะรีบปิดประตูห้องน้ำอย่างทันท่วงที ตลกดีเห็นมันหงุดหงิด
น้ำเย็นจี๋แต่มันก็สดชื่นกว่าใช้น้ำอุ่นอาบ เลยจัดน้ำเย็นๆ ซะตาสว่างหายเพลียกันเลย ผมได้ยินเสียงเคาะห้อง สงสัยอาหารจะมาแล้ว แค่ข้าวต้มปลามาคนละถ้วย หลังจากที่เสียงพูดคุยเงียบไปพร้อมๆ กับเสียงปิดประตู
“ไอ้ยิมมม” ผมนึกสนุกอยากแกล้งไอ้ยิมนิดๆ หน่อยๆ ก่อนนอน
“อะไรอีก” มันตอบมาห้วนๆ
“หยิบกางเกงในให้กูหน่อยดิ ในกระเป๋าอะ” ผมตะโกนบอก คิดว่ามันไม่มาวุ่นวายกับข้าวของส่วนตัวของผมหรอกโดยเฉพาะกางเกงใน
“...อย่ามาตลก กูเห็นมึงถือเข้าไปแล้ว” เสียงไอ้ยิมดังอยู่ใกล้ๆ แสดงว่ามันเดินมาอยู่ที่ห้องน้ำแล้ว
“เหรอ แสดงว่าแอบมอง” มันทุบประตูห้องน้ำสองสามครั้งก่อนจะเงียบเสียงไป ผมรีบใส่เสื้อผ้าก่อนจะออกมาจากห้องน้ำเห็นไอ้ยิมนั่งกินข้าวต้มอยู่เงียบๆ
“ไม่รอกูเลย” ผมเดินไปทาแป้งแล้วเอาผ้าเช็ดตัวไปพาดกับราวแขวนก่อนจะมานั่งที่เก้าอี้ว่างอีกตัว 
“มึงช้าเอง” มันย่นคิ้วมองก่อนจะดันถ้วยข้าวต้มมาให้ผม ข้าวต้มร้อนๆ ตอนนี้มันก็ดีอยู่หรอก เติมพลังได้ดี
“เฮ้อ...” ผมถอนหายใจเบาๆ แล้วนั่งกินเงียบๆ
“เป็นอะไร” ไอ้ยิมเหลือบมองมาทางผมแล้วรินน้ำใส่แก้วให้ตัวเองด้วยกับให้ผมอีกแก้วนึง
“เปล่า” ผมไหวไหล่ตักข้าวต้มเข้าปาก
“...ถ้ายังไม่ง่วงออกไปเดินเล่นไหม” มันชวนเหมือนหาเรื่องคุยมากกว่า ผมมองนาฬิกา ตอนนี้สองทุ่มครึ่งแล้ว อากาศคงไม่เอื้อเท่าไหร่ แต่ผมก็ไม่อยากอุดอู้อยู่ในห้องแม้ว่าจะเมื่อยแขนและขานิดๆ ก็เถอะ
“หนาวๆ แบบนี้เหรอ” ผมถาม
“ก็มึงดูเบื่อ” ไอ้ยิมมอง
“เปล่าหรอก แค่หมดเรื่องแกล้งมึงน่ะ” ผมหัวเราะเบาๆ อันที่จริงผมอยากหาเรื่องแกล้งไอ้ยิมดูบ้าง อยากรู้ปฏิกิริยาตอบกลับของมันว่าจะแสดงออกมาอารมณ์ไหน
“ทำตัวเป็นเด็กนะมึง” มันบ่นเบาๆ แต่เหมือนจะยิ้มมากกว่า คนที่ทำตัวเป็นเด็กคือมันต่างหาก
ระหว่างนั้นต่างคนต่างกินข้าวต้มไปเงียบๆ ไอ้ยิมมันคงคิดว่าผมเบื่อมันแน่ๆ แต่ผมก็เบื่อจริงๆ นั่นแหละ เบื่อที่ไม่มีอะไรทำมากกว่า
“ฟ้ามืดๆ แบบนี้จะเห็นดาวไหมวะ” ผมพูดลอยๆ ที่นี่ไม่ได้มีตึกระฟ้า เป็นเมืองที่เงียบสงบ ท้องฟ้าคงโปร่งไม่มีอะไรมาบดบังทิวทัศน์
“เห็นสิ ฟ้าคงเปิดมากกว่า”
“มึงดูดาวเป็นไหมวะ” ผมถาม อยากลองหาประสบการณ์ใหม่ๆ ทำด้วยกันกับไอ้ยิมดูบ้างเพื่อความสัมพันธ์ดีๆ
“ฮึ ไม่เป็น มึงดูเป็นเหรอ” ไอ้ยิมดูแปลกใจ
“แน่นอน”
“อย่าบอกนะว่าดาวลูกไก่” มันพูดอย่างไม่มั่นใจ
“อย่าดูถูกน่า มึงบอกถูกหรือเปล่าล่ะว่ามันอยู่ตรงไหน” ผมท้า เดาได้เลยว่ามันไม่รู้หรอก
“...จำไม่ได้แล้ว” มันตอบอ้อมๆ แล้วหันไปสนใจถ้วยข้าวต้มแทน
“ดีเลย เดี๋ยวกูจะชี้ให้มึงดูเอง” ผมบอกก่อนจะลุกไปเปิดประตูห้อง อากาศด้านนอกหนาวได้ที่ ผมมองไปที่ท้องฟ้ากว้างเห็นดาวชัดเจน
“เออ เห็นดาวแจ่มเลย” ผมเดินเข้ามาในห้อง รีบสวมเสื้อแขนยาวกับผ้าห่มผืนบางมาถือไว้
“จะออกไปดูเหรอวะ”
“เออดิ ไปเดินเล่นด้วยไง อิ่มยัง จะได้ไปดูตรงลานหน้าห้องพัก” ผมบอก ยืนรอไอ้ยิมที่เดินไปหยิบเสื้อแขนยาวตัวหนาๆ มาสวม
“มึงมันบ้าๆ บอๆ จริงด้วย” ไอ้ยิมส่ายหน้าแล้วเดินตามผมออกมา อากาศเย็นมาก ออกจะชื้นๆ นิดหน่อย ผืนหญ้าใต้รองเท้าดูชุ่มช่ำอาจเป็นเพราะน้ำค้างเกาะ ผมลากไอ้ยิมมาที่ใจกลางของลานหญ้า เหมือนว่าห้องอื่นๆ อุดอู้อยู่ด้านในเพียงอย่างเดียว ถึงจะหนาวแต่บรรยากาศดีจะตายไป ผมเดินมานั่งที่ขอนไม้เปียกแฉะ ไอ้ยิมกอดอกเพราะหนาวเย็นก่อนจะเดินมานั่งข้างๆ ผม
“ไหนล่ะ ลองชี้ให้ดูหน่อย”
“แป๊บนะ กูไม่รู้เหนือใต้ ที่จริงมันมีแอฟดูดาวด้วยนะเว้ย แค่ส่องๆ ไปที่ท้องฟ้ามันก็บอกเลยว่าเจอดาวอะไร”
“มีด้วยเหรอ”
“มีดิ แต่กูลบไปแล้ว ตอนนั้นไม่มีคนดูด้วย ใครจะไปนึกล่ ว่าตอนนี้จะมีคนดูด้วย” ขอหยอดมันหน่อยเดี๋ยวจะหาว่าผมไม่ตอบสนองต่อมัน ไอ้ยิมขำหึๆ
“แหวะ”
“ดีใจล่ะสิ ...กูว่ามันต้องนอนว่ะ” ผมบอกเพราะแหงนคอมองแบบนี้ก็เมื่อยพอดี ไอ้ยิมทำหน้าแปลกๆ
“ตรงนี้เนี่ยนะ มึงบ้ารึเปล่า” ไอ้ยิมทำหน้ามึนๆ ขัดกับบุคลิก
“นี่ไง กูเอาผ้าห่มมาด้วยพอดี ถ้าหนาวมึงเอาไปห่มเลย” ผมบอกแล้วเดินไปตรงกลางหาจุดยอดฟ้าซึ่งดาวต่างๆ จะเคลื่อนที่จากทิศตะวันออกข้ามศีรษะไปทิศตะวันตก ณ จุดนี้ ดาวเหนือจะอยู่ที่ขอบฟ้าทิศเหนือ พอผมเลือกมุมดีๆ ได้ก่อนจะนั่งลงกับพื้นหญ้า “ไอ้ยิม” ผมกวักมือเรียก
กลุ่มดาวที่ดูง่ายๆ เห็นจะมีดาวนายพราน ดาวหมีใหญ่หรือคนไทยเรียกดาวจระเข้ แค่มองหาดาวเหนือที่เส้นขอบฟ้าก็น่าจะบอกทิศผมได้นะ อีกฝ่ายเดินมานั่งข้างๆ ผม ก่อนจะแบ่งกันห่มผ้าแก้หนาว
“มึงต้องการแว่นขยายไหม” ผมแซวมันเล่น ไอ้ยิมขยับแว่นแล้วหัวตีหัวผมเบาๆ ซะงั้น
“ที่กูไม่ชอบดูดาวก็แบบนี้” เจ้าตัวส่ายหน้าขำๆ ก่อนจะดึงแว่นออกมาเช็ดๆ แล้วใส่กลับตามเดิม
“ข้ออ้างหรือเปล่า ดูไม่เป็นก็บอกมาเหอะ จะบอกอะไรให้แค่ดูดาวไถเป็น ก็เจอดาวอื่นๆ ได้ง่ายๆ ” ผมบอกมัน
“อ๋อ ที่มันมีสามดวงเรียงกันใช่ป่ะ กูคุ้นๆ อยู่” ไอ้ยิมชี้มือไปยังดาวบนท้องฟ้าสามจุดเรียงกัน แนวเดียวกับระยะสายตาของผม
“เออ นั่นแหละ ” ผมพูดก่อนจะมองท้องฟ้าสีครามเข้มเจือแสงสว่างจากแสงจันทร์ ผมชี้ให้อีกฝ่ายดูดาวสามดวงเรียงเป็นเส้นตรง “จากตรงนี้มันจะกลายเป็นดาวเต่า” ถัดจากดาวสามดวงแล้วจะมีดาวสี่ดวงสว่างๆ เรียงกันเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า เพื่อแทนขาเต่าสี่ข้าง “เห็นไหมยิม...เนี่ย” ผมชี้
ไอ้ยิมมองตามแล้วพยักหน้า “เห็นละ เนี่ยนะดาวเต่า... ไม่เห็นเหมือน” มันเอียงคอไปมาเพื่อหามุมที่ดูเป็นเต่าที่สุดล่ะมั้ง ผมหัวเราะ
“ต่อมาก็เป็นดาวนายพราน กูเจอตลอดเลยนะเว้ย สังเกตง่ายๆ เข็มขัดนายพรานคือไอ้ดาวไถเนี่ยล่ะ ...แล้วมันจะมีกระปู๋ห้อยลงมาดวงหนึ่ง” ผมคิดแบบนี้มันเลยเจอง่ายไง ไอ้ยิมหันมามองหน้าผม
“ทะลึ่งนะมึง”
“เอ้า ก็จริงนี่หว่า มันมีดาวดวงหนึ่งห้อยลงมาใต้เข็มขัด...มึงเจอหรือยัง” ผมมองอีกฝ่าย ก่อนจะมองท้องฟ้าต่อ จากดาวเต่ากลายเป็นดาวนายพรานเมื่อมีดาวหนึ่งดวงเหนือสี่เหลี่ยมผืนผ้าก็คือหัวนายพราน และมีหัวไหล่ ถ้ามองดาวนายพรานจะไม่มีดาวเต่าหรือดาวไถเพราะมองเป็นลักษณะกลุ่มดาวใหญ่ที่เห็นได้ชัดเจน
“เออว่ะ คล้ายๆ อยู่” ไอ้ยิมหัวเราะชอบใจ ผมมองไปทั่วท้องฟ้า เห็นดาวชัดมาก บางทีก็ดูผิดดูถูก แต่ดาวลูกไก่หาง่ายสุดแล้ว แค่หากลุ่มดาวที่มันกระจุกตัวกันเจ็ดดวง พอมองจากท้องฟ้าของจริงมันอยู่ห่างจากดาวนายพรานมาก 
“อยากดูอีกไหม”
“มึงก็ดูเป็นนี่” มันตอบไม่ตรงคำถามนะเนี่ย
“มั่วๆ ไป แต่ไม่รู้หรอกว่าชื่อดาวอะไรในกลุ่มดาวเนี่ย...มึงเงยหน้าขึ้นดิ นั่นไงดาวสิงโต” ผมชี้มือไปด้านบนท้องฟ้าเพราะถ้าแหงนหน้ามองขึ้นไปตรงจุดเหนือศีรษะ จะมองเห็นกลุ่มดาวสิงโตพอดี ลักษณะที่เป็นเอกลักษณ์คือดาวที่เรียงตัวกันโค้งเป็นรูปเคียวซึ่งคือส่วนหัวของสิงโต หรือที่เราเคยได้ยินเกี่ยวกับฝนดาวตกลีโอนิกส์ที่มีทุกปี (ซึ่งปีที่แล้วผมอุตส่าห์ถ่างตาเอาเวลานอนตอนตีหนึ่งเพื่อมาดูฝนดาวตกบ้าบอนี่แต่ไม่เห็นสักกะดวงเดียว อาจเพราะฟ้าไม่เปิดด้วย ซึ่งคืนวันนั้นตกมาดวงเดียวและผมก็ไม่ทันเห็น เฮ้อ)
“ไม่เห็น ดูยังไงวะ” ไอ้ยิมทำหน้างง ผมหยิบโทรศัพท์มาส่องไฟใส่หน้ามัน มันทำย่นหน้าเพราะแสงสว่าง
“นั่นไง รูปเคียวดาวสี่ดวง โค้งๆ ไง” ผมชี้มือเป็นรูปเหนือศีรษะ ไอ้ยิมมันหาเรื่องตีสนิทชิดแก้มผมหรือเปล่าวะเนี่ย เพราะมันขยับมาใกล้เกินไป
“อ๋อ นั่นน่ะเหรอ กูตาไม่ดีนี่หว่า จะเห็นทุกครั้งที่มึงบอกเลยหรือไง” มันเลิกมองด้านบนก่อนจะขยับคอไปมาเพราะเมื่อย ผมมองหน้ามันแบบจับผิด
“เรื้อนนะมึง”
“อะไรมึง แหม ยังไม่ได้ทำอะไรซะหน่อย” ในที่สุดมันก็เผยเจตนาแอบแฝงของมันออกมา ผมดึงผ้าห่มออกจากตัวมัน
“มึงนี่มันเป็นไอ้แว่นหื่นๆ”
“อย่าเอากูไปเปรียบเปรยแบบนั้นนะ ไม่ใช่เว้ย” มันทำหน้าจริงจังด้วย ผมไหวไหล่ก่อนจะลุกขึ้นยืนเพราะนั่งนานไป นอกจากจะหนาวแล้วยังเปื้อนดินอีกต่างหากเพราะหญ้ามันเปียกชื้นไปหมด ไอ้ยิมทำสำออยไม่ยอมลุกอีก มันยื่นมือมาให้ผม
“โตเป็นควายแท้ๆ อะๆ ตามใจ” ผมดึงมือให้มันลุกขึ้นยืน ตัวก็หนักอีกแน่ะ ไอ้ยิมเผลอยิ้มออกมา
“ไปนอนได้แล้วพรุ่งนี้เดินทางแต่เช้าจะได้เห็นวิวสวยๆ ที่เขื่อนไง แดดจะได้ไม่แรงด้วย” มันบอกแล้วเดินกลับห้องพักมาข้างๆ ผม
“คนละอำเภอกันเลยนะ เปลืองน้ำมันฉิบ กูเกรงใจเดี๋ยวออกค่าน้ำมันครึ่งนึงก็ได้” ผมบอก รู้สึกเกรงใจมันนิดหน่อยจริงๆ
“ตามใจ งั้นมึงมีหนี้เพิ่มขึ้นอีกน่ะสิ อย่าลืมนับรวมกับของเก่าด้วยล่ะ” มันสะกิดแขนผมราวกับว่าผมจะลืมหนี้มัน
“เออน่า ถ้ามีก็ใช้คืนเองแหละ”
“มึงใช้คำว่า ‘ถ้า’ เหรอ” มันยิ้ม
“เออนั่นแหละ” ผมรีบตัดบทแล้วตรงเข้าไปในห้องเปลี่ยนกางเกงเป็นขายาวซะหน่อยจะได้อุ่นๆ ไอ้ยิมเดินไปนอนอีกเตียงฝั่งติดกับหน้าต่าง ผมเข้าไปล้างหน้าล้างตาแล้วทาครีมทะนะคาที่ซื้อมาเพื่อทดลองคุณภาพซะหน่อย ผมทาครีมให้ทั่วใบหน้าจนเนียน เอาผงแป้งมาโปะๆ สองแก้มซะหน่อยก่อนจะเดินกลับมาที่เตียง ไอ้ยิมกำลังเล่นโทรศัพท์อยู่
“จะปิดไฟดวงใหญ่ไหม” ผมถาม เดินไปที่สวิตซ์ไฟ ไอ้ยิมเงยหน้ามองผมก่อนจะทำหน้าแปลกๆ
“มึงทาอะไร” มันถามก่อนทำจมูกฟุดฟิด
“ทะนะคาไง หอมดีนะ” ผมบอกมันแล้วปิดไฟเหลือแค่ไฟเหนือเตียงเท่านั้น ไอ้ยิมมองผมตาเขม็ง
“เพี้ยน”
“ใช้แล้วหน้าเนียนนะเว้ย แล้วอย่ามาชมกูทีหลังนะ” ผมหัวเราะก่อนจะนอนลงบนเตียง ไอ้ยิมทำหน้าเหมือนจะขำ มันวางโทรศัพท์ลงก่อนจะหันหน้ามาทางผม
“อยากให้กูชมเหรอ”
“ไม่หรอก ทำไมกูต้องทำแบบนั้น ไม่แน่คนอื่นอาจจะชมก็ได้” ผมพูดเสียงสูง อันที่จริงผมเอามาทาเพราะเห็นว่ามันช่วยลดสิวลดหน้ามัน ผมไม่ได้ดูแลหนังหน้ามานานแล้ว อย่างมากก็แค่ใช้โฟมล้างหน้าเท่านั้น ผมเองไม่ใช่พวกสำอาง
“หึ ใครจะชมมึง” ไอ้ยิมทำหน้าขำ
“ไม่รู้ อาจจะมีก็ได้” ผมหัวเราะตาม ก็คงไม่มีใครมาชมผมหรอกเอาเข้าจริงๆ
คงจะมีแต่..... ไอ้ยิมล่ะมั้ง แหวะ~~
“มึงตลกว่ะ” มันยิ้มมองผมด้วยสายตามีชีวิตชีวา ผมยิ้มให้มันก่อนจะพลิกตัวนอนหงาย ในขณะนั้นผมกับมันไม่ได้พูดอะไรกันอีก
“กู๊ดไนท์ ไอ้ยิม” ผมหันไปพูดกับมัน
“อือ กู๊ดไนท์” ไอ้ยิมถอดแว่นตาออกวางที่โต๊ะเตี้ยๆ ที่อยู่ตรงกลาง แล้วนอนหลับเงียบๆ
ผมนอนฟังเสียงธรรมชาติยามดึกพร้อมๆ กับเสียงหายใจของไอ้ยิมไปด้วย ในแต่ละวันของผมกับไอ้ยิมดูจะผ่านไปนานในความรู้สึก ผมชอบช่วงเวลาที่สนุกสนาน มีชีวิตชีวาแบบนี้ ผมรู้ว่าไอ้ยิมเองก็พยายามปรับตัวเพื่อให้เข้ากับผมมากขึ้น ซึ่งมันไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นเลย ผมชอบมันที่เป็นไอ้ยิมคนเดิมนี่แหละ คนที่เงียบๆ ขรึมๆ บางอารมณ์ออกจะกวนนิดๆ ผมว่ามันก็มีเสน่ห์ดี
รอให้ได้โอกาสดีๆ แล้วผมจะบอกมันเองว่ามันควรอยู่ที่จุดไหน มันจะได้ไม่ต้องพยายามมากเกินไป
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-02-2018 15:23:46 โดย รินดาwดาริน »

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
 :katai2-1:   เข้าใกล้หนทางสีม่วงเข้าไปอีกนิดแล้วล่ะผิง. มีกอดเนียนๆ
พอหลับแล้วใครจะกอดใครก็ไม่รู้
สุขสันต์วันปีใหม่นะคะคนเขียน

ออฟไลน์ fahsida

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
คู่ยิมผิงนี่ทำเอาเราอยากไปแม่สอดเลย เคยคิดว่าอยากไปสักครั้ง แต่เจอคู่นี้ต้องเปลี่ยนเป็นต้องไปสักครั้งแล้ววว อิอิ

ออฟไลน์ sweetbasil

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 807
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-3
ให้เวลาน้องผิงเขาหน่อยพี่ยิม :z1:

ออฟไลน์ Kaemmiizz

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 727
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-4
ก็หวานละมุนละไมสไตล์ผู้ชายแมนๆล่ะนะ

ออฟไลน์ Sirada_T

  • We Will [Luk] You!!
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 453
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-0
โอ๊ย ชอบอ่ะ คนเราต้องมีอะไรเป็นครั้งแรกเสมอ แฟนผู้ชายก็เช่นกันนะผิง 5555

ออฟไลน์ รินดาwดาริน

  • OnTop&N'Song
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +243/-2
-ผิง-
ตอนที่ 4 ออกทริปครั้งแรก (ต่อ)

ตั้งแต่มาเที่ยวกับมันผมได้แต่คิดวนเวียนอยู่หลายครั้งว่าควรตอบแทนมันยังไงดี ผมไม่รู้ว่ามันชอบอะไรไม่ชอบอะไร อยากตอบแทนน้ำใจมันบ้าง หรือว่าควรจะขอบคุณธรรมดาๆ แต่เรื่องระหว่างผมกับมันไม่ใช่แค่ความสัมพันธ์ ‘ธรรมดา’ นี่หว่า อาจจะเป็นอะไรที่พิเศษๆ ในแบบของผมก็แล้วกัน
ค่ำคืนนี้ทำเอาผมข่มตานอนไม่หลับ ...เป็นคืนที่สองซะแล้วสิ ขืนเป็นแบบนี้ผมคงหมดสนุกสำหรับทริปในวันพรุ่งนี้แน่ๆ แต่จะให้ทำยังไงก็คนมันนอนไม่หลับ ผมหลับตาลงแต่ในหัวยังคิดวนเวียนอยู่กับเรื่องของไอ้ยิมไปจนกว่าร่างกายมันจะเหนื่อยล้าและหลับไปเอง....

ผมถูกปลุก เรียกว่าทั้งเขย่าทั้งผลักซะมากกว่า เมื่อมองนาฬิกาก็พบว่าเพิ่งหกโมงกว่าๆ เป็นเช้าอันหนาวเหน็บจริงๆ ไม่รู้มันจะรีบไปไหน ผมล้างหน้าแปรงฟันไม่อาบน้ำตามเคย... ก็ไม่ได้สกปรกอะไร ไอ้ยิมมองผมด้วยสายตาเหมือนจะรังเกียจแต่คงไม่ใช่ ก็มันชอบผมนี่ ใช่ไหมล่ะ แค่นี้มันคงไม่รังเกียจรังงอนอะไร
“บอกแล้วว่าเสื้อผ้าใส่พอ” ผมบอกมันขณะที่เก็บของใส่กระเป๋า ไอ้ยิมส่ายหน้า
“เอาที่มึงสบายใจเถอะ ดีนะที่ยังล้างหน้าแปรงฟัน” มันแอบเหน็บ
“มึงก็เว่อร์ไป” ผมขำมัน
จากนั้นก็ไปเช็คเอ้าท์ทานข้าวต้มร้อนๆ ก่อนออกเดินทาง ไอ้ยิมซัดกาแฟร้อนไปหนึ่งแก้วครึ่ง (ของผมอีกครึ่งนึง) ผมนั่งนับเงินในกระเป๋าระหว่างอยู่ในรถ หมดไปหลายพันเหมือนกัน นี่ถ้าไม่ได้ไอ้ยิมช่วยอีกคงอดไปอีกทั้งเดือน ไอ้ยิมเหลือบมองก่อนจะยิ้มแล้วตีหน้านิ่งตามเดิม
“เหลือเท่าไหร่ล่ะ พกมาเป็นล้านหรือไงนับแล้วนับอีก” มันไม่วายว่าผมอีก ผมหันไปมองมันอย่างหมั่นไส้ ถ้าทำได้คงตบหัวมันแรงๆ สักสองสามที แต่มันขับรถอยู่เดี๋ยวดับอนาถ
“ไอ้เวรนี่ เดี๋ยวเหอะ” ผมหันไปมองวิวข้างทางแทน
“โกรธด้วยเหรอนั่น” มันยังหัวเราะอยู่
“เดี๋ยวกูเมินแล้วจะเสียใจ”
“นอกจากกูแล้ว มีใครอีกที่จะจีบมึง”
“โอ้ย มีแหละน่า มึงว่ากูหน้าเหียกขนาดไม่มีใครเอาเลยหรือไง” ผมย่นหน้าตาม
“แล้วทำไมถึงโสด” ไอ้ยิมได้ทีก็ย้อนผมกลับมา เล่นเอาไปไม่เป็น
“เพราะกูคัดแล้วคัดอีกไง”
“หึหึ คัดมึงออกน่ะสิ”
“ทำไมมึงชอบกัดกูจัง เป็นหมาเหรอหา”
“ตลก กูเนี่ยนะหมา ยังไม่ได้กัดจริงๆ จังๆ เลย” อุ้ย กล้าเล่นมุกด้วยแน่ะ นับถือมันเลย ทำใจดีด้วยหน่อยแม่งไม่ปล่อยเลย
“วู้ พี่แว่นกูได้ใจจริงๆ”
“หิวว่ะ” มันบ่นก่อนจะหันมามองผมอีก ผมเหลือบไปมองเบาะหลังขนมมีเยอะแยะ ไหนพวกจะผลไม้อีก ผมมองหน้าไอ้ยิมสลับกับผลไม้ไปพลางก่อนจะเอื้อมไปหยิบสตรอเบอรี่ออกมาหนึ่งถุง 
“อยากให้ป้อนว่างั้น” ผมยิ้ม
“มือกูว่างไหมล่ะ” มันไม่ได้หันมามองผม นอกจากมองตรงไปที่เส้นทางข้างหน้าอย่างจดจ่อ
“ไม่คิดว่ากูจะเขินบ้างเหรอวะนั่น” ผมบ่น
“ไม่... มึงก็ไม่น่าเขินนะ” มันตอบแบบไม่ต้องคิด โถ เห็นผมหน้าหนาขนาดนั้นเชียว ผมเลือกลูกใกล้เน่าไปให้ก่อนจะยื่นไปจ่อที่ริมฝีปากมัน แน่นอนว่ามันไม่ได้มองหรอก ไอ้ยิมงับสตรอเบอรี่เข้าปาก ไม่นานมันคงออกรสชาติแต่ไอ้ยิมไม่ได้เปลี่ยนสีหน้าอะไร แค่เงียบและหยุดเคี้ยว รู้แค่ว่ามันเส้นเลือดโผล่เพราะอารมณ์พุ่งปี๊ดเพราะผมแน่ๆ ระหว่างนั้นเป็นทางตรงอย่างเดียว มันหันหน้ามา แค่นี้ผมรู้ว่ามันจะทำอะไร
“เฮ้ย อย่าถุยใส่กูนะ ไอ้ยิม” ผมเอามือบัง ป้องกันการโจมตีของมัน
“ตลกนะมึง” มันคายออกมาแล้วลดกระจกก่อนจะโยนทิ้งออกนอกรถไป มันหันมาส่งสายตามืดหม่นมาให้ผม
“อร่อยไหม รสชาติเป็นไง” ผมหัวเราะมัน
“ลองแดกเองดิ” ไอ้ยิมหันมามองตาขวางผ่านแว่นทำให้ดูมีพลังน่ากลัวมากกว่าปกติ สี่ตาเลยนี่
“เจ้ากัน ทีมึงว่ากู” ผมเลยปลอบใจมัน ยื่นลูกดีๆ ไปให้ มันทำหน้าเหมือนงอนแต่ก็ยอมอ้าปากจนได้
“...หึ หิวน้ำ ...คราวนี้ดีๆ นะเว้ย” มันทำคิ้วขมวดใส่ เอียงหน้ามามองผมหลายวินาที ผมเอื้อมไปหยิบขวดน้ำเปล่ามาแล้วเปิดฝาแล้วใส่หลอดลงไปก่อนจะยื่นไปใกล้ๆ ปากมัน
“ขอบใจ” ไอ้ยิมพูดเบาๆ เห็นหูมันแดงๆ ด้วย คงเป็นอาการเขินของมันสินะ น่ารักจริงๆ
“กินอะไรอีกไหม องุ่นป่ะ จะได้ตาสว่าง” ผมถามก่อนจะยื่นองุ่นไปให้ คาดว่าน่าจะเปรี้ยว
“แค่นี้ก็ตาแจ้งแล้ว” มันส่ายหน้า ผมเลยนั่งกินเองคนเดียว แต่องุ่นนี่เปรี้ยวไปหน่อยแถมฝืดเฝื่อนแปลกๆ ผมลองคิดเรื่องไอ้ยิมตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว เป็นไอ้ยิมนี่ก็เหนื่อยเหมือนกันแฮะ ไหนจะต้องมาทำดีกับผมสารพัดอย่าง มันก็อึดใช่เล่น หากเป็นผมไม่มานั่งตามใครแบบนี้หรอก
“ยิม มีอะไรจะถาม” ผมหันไปพูดกับอีกฝ่ายด้วยท่าทีจริงจังมากขึ้น ไอ้ยิมชะลอความเร็วก่อนจะหันมามองผม
“หือ ว่ามา” 
“อยากเป็นแฟนกูป่ะ” ผมลองสังเกตดูปฏิกิริยาของมันไปด้วย ไอ้ยิมเม้มปากขมวดคิ้ว มันเหมือนจะเร่งความเร็วขึ้นมานิดหน่อย
“มึงอย่ามาล้อเล่นดิ” มันส่ายหน้าช้าๆ
“เฮ้ย ถามจริงๆ ” ผมพูด
“...ก็...อยากมั้ง” มันหัวเราะเบาๆ เหมือนกลบเกลื่อนความรู้สึกไม่มั่นใจ
“แหม มีมั้งด้วย”
“ถามทำไม จะเป็นแฟนกันเดี๋ยวนี้เลยว่างั้นสิ” มันพูดจาแดกดัน ทำเสียงเหมือนประชด
“บ้าละ แค่อยากให้แน่ใจ” ผมบอก ถ้าหากต้องคบกันจริงๆ ก็อยากให้แน่ใจว่าจะไม่โดนทิ้ง ผมกังวลเรื่องระยะห่าง เวลาที่มีให้กันน้อยจะทำให้ความรู้สึกลดลง หรือไม่มันอาจไม่ชอบผมเท่าตอนนี้แล้วก็ได้ ถึงยังไงก็เถอะมันน่าจะมีทางเลือกของมันในอนาคต
“เรื่อง?” มันย่นคิ้ว
“เอ้า ขืนกูชอบมึงขึ้นมาจริงๆ แล้วมึงดันชิ่งทิ้งกูไปก่อน แบบนี้กูก็ขาดทุนอะดิ”
“กูดูเป็นคนแบบนั้นเหรอ” ไอ้ยิมทำเสียงซีเรียสมากกว่าเดิม
“ไม่รู้”
“ถามจริง?” มันมองหน้าผม แค่แวบเดียวแต่เห็นสายตาแล้วดูเหมือนกำลังอารมณ์เสีย เพราะผมตอบไม่ตรงคำถาม ไอ้ยิมเป็นคนจริงใจ มันเป็นคนดี ผมก็ไม่คิดว่ามันจะทำตัวประเภทแค่รักสนุกอย่างเดียว ถึงจะมีบางมุมที่มันดูร้ายนิดหน่อยก็ตาม
“ไม่หรอก” ผมตอบเสียงชัดเจน
“ก็รู้นี่ แล้วยังจะถามอีก อ่อยเหรอ” ไอ้ยิมฟังผมจบก็หลุดยิ้มออกมา ก่อนจะมองผมด้วยสายตามีเลศนัยวิบวับ ที่น้อยครั้งจะเห็น
“ฮ่าๆ ตลกละ ไม่ใช่ แค่เช็คเรทติ้งนิดนึง” ผมทำเสียงดัง ไอ้ยิมทำหน้าผ่อนคลายขึ้น “หึๆ มึงนี่เพ้อจริงๆ ”
“แต่คบกับมึงน่าจะดีนะ กูคงสบายแน่” ไอ้ยิมรวยพอสมควร อยู่กับมันผมคงไม่อดตาย
“มึงนี่นะ...”
“ล้อเล่นน่า ไม่คบใครที่เงินหรอก ต่อให้เป็นผู้ชายก็เถอะ สงสารพ่อแม่กู” ผมพูดไปเรื่อยๆ มันเป็นเรื่องน่าช็อคถ้าหากคนเป็นพ่อเป็นแม่ต้องรับรู้เรื่องอะไรทำนองนี้ เป็นครั้งแรกที่ผมคิดถึงประเด็นเรื่องปฏิกิริยาตอบกลับของครอบครัวเรื่องรสนิยมทางเพศ ถ้าผมก้าวข้ามเส้นของคำว่า Normal มาสู่ Bisexuals
“ทำไมวะ”
“มีลูกผู้ชายแท้ๆ แต่ดันไปเกาะผู้ชายด้วยกัน ดูพิลึกไงไม่รู้”
“พูดไปเรื่อย” ไอ้ยิมหัวเราะ
“ก็จริง...เออ พูดถึงเรื่องนี้แล้วป๊ากับม้ามึงไม่ว่าอะไรหรือไงที่มึงชอบผู้ชาย” ประเด็นนี้ผมยังไม่เคยถามมันสักครั้ง เลยถือโอกาสถามมันออกไปเลย
“...ก็ ไม่รู้สิ คงรับได้แหละ ผ่านมานานแล้วนี่” มันพูด
“อืม...” คงจริง ถ้าโกรธกันอยู่ไอ้ยิมจะได้รถมาใช้อย่างไรกัน คงจะคุยกันตามประสาพ่อแม่ลูกกันเรียบร้อยแล้วล่ะมั้ง
“ทำไม กลัวป๊ากับม้ากูไม่รับมึงเหรอ” มันหัวเราะเบาๆ ไปด้วย ผมล่ะยอมมันเลย ช่างกล้าพูด คิดได้ยังไงนะไอ้ยิม
“มึงนี่เพ้อกว่ากูอีก”
“แล้วที่บ้านมึงล่ะ เป็นไงบ้าง” มันยิงคำถามใส่ผมบ้าง นานๆ จะมีคำถามกับผม
“อืม ก็ปกติ พ่อกูใจดีจะตาย” ผมบอก ทั้งพ่อทั้งแม่เลย ขนาดผมไม่ค่อยจะเอาไหนเท่าไหร่พวกท่านยังคงไม่ดุไม่ด่าทอ ยังคงให้ผมทำอะไรตามใจตัวเองเสมอ
“ไม่ใช่ หมายถึงถ้าหากว่ามึง...จะคบกับผู้ชาย” มันอึกอักถามผม นี่สินะที่อยากจะรู้ สงสัยกลัวพ่อแม่ผมไม่ให้ผ่านหรือไงกัน
“อ๋อ...ไม่รู้สิ คงไม่ห้ามหรอกมั้ง พ่อแม่กูอินเทรนนะเว้ย” พ่อผมมีศิลปะอินเนอร์สายติสท์ๆ อยู่บ้าง คิดว่าคงจะเข้าใจโลกสมัยใหม่ที่ไม่ได้จำกัดอยู่แค่เพศสภาพ ตีกรอบไว้แค่ชาย-หญิง
“ให้จริงเหอะ”
“แหม คิดไกลถึงอนาคตเลยเหรอ” ผมอดแซวไม่ได้
“อือ ก็คิดเพราะจริงจัง” มันหันมองหน้าผมแวบนึงก่อนจะหันกลับไปที่เดิม อีกแล้วไอ้ความรู้สึกได้ยินเสียงดังปังในหูเนี่ย เพราะมันมีจังหวะในการพูดหรือว่ามันจะรู้จุดอ่อนผมกันวะ
“...คิดแบบนั้นก็ดี” ผมพูดก่อนจะเอื้อมไปเปิดเพลงฟังแก้อาการเก้อเขินขึ้นมาของตัวเอง เห็นไอ้ยิมกระตุกเหมือนจะยิ้ม
ก่อนถึงตัวเขื่อนจะพบกับป้ายชื่อเขื่อนภูมิพลอันใหญ่ซึ่งแสดงว่าอีกไม่นานนานก็จะถึงแล้ว
“อือ มึงเมื่อยไหม” ผมถามเพราะ ไอ้ยิมก็ขับรถมาหลายชั่วโมง ต้องมีเมื่อยล้าบ้าง ขนาดผมนั่งอย่างเดียวยังเหน็บกินเลย
“นิดหน่อย”
“น่าสงสาร ...เดี๋ยวมีรางวัล” ผมพูดแบบไม่คิดซึ่งน่าจะเป็นภัยต่อตัวเอง
ไอ้ยิมหัวเราะคำพูดผม “อย่าดีแต่ปากน่า”
“เอ้า จริงๆ ไม่เชื่ออีก” ทีพูดจริงๆ ล่ะไม่เชื่อ เพราะผมเองก็พูดออกไปแล้วมันเอาคืนกลับมาไม่ได้เลยต้องปล่อยเลยตามเลย ปากไวกว่าสมองก็แบบนี้
“ทำไม จะเอาตัวเข้าแลก” แหม ดูความคิดของมัน
“โห คิดลึกทะลึ่งนะมึง ไม่ใช่แบบนั้น...รอดูแล้วกัน” ผมแอบหัวเราะมัน แต่ก็นั่นแหละ จะให้รางวัลอะไรผมยังไม่ได้คิด พูดไปแล้วด้วย เสียฟอร์มแย่เลย
“หึ แล้วแต่” ไอ้ยิมแค่ยิ้ม
ไม่นานนักก็มาถึงเขื่อนภูมิพลจนได้ เวลาประมาณแปดโมงเช้ากว่าๆ แดดยังไม่ออกและโชคดีที่นักท่องเที่ยวไม่เยอะเท่าไหร่ บรรยากาศภายในเขื่อนดีมาก อากาศไม่ร้อน สบายๆ ที่นี่มีให้ล่องแพด้วย น่าสนใจดี เสียดายถ้ามาหลายๆ วันมากินลมชมวิวได้เลย 
กำแพงคอนกรีตโค้งขนาดใหญ่กับทิวเขาหลายลูกซ้อนกันกับไอหมอก เป็นอะไรที่ลงตัวดี พอมองไปทางฝั่งขวาของตัวเขื่อนก็เจอกับป้ายชื่อเขื่อนอันใหญ่ ผมเดินเล่นไปตามสะพานที่ทอดยาว เมื่อมองลงไปในเขื่อนแล้วใจหวิว ไม่กลัวความสูงแต่ไม่ค่อยโอเคกับระยะแบบนี้เท่าไหร่ ไอ้ยิมยืนพิงสันคอนกรีตอยู่ข้างๆ
“วิวสวยดีนะ” ไอ้ยิมพูดกับผมก่อนจะมองไปที่แม่น้ำปิงที่รายล้อมไปด้วยป่าไม้สองริมฝั่ง ลมพัดเอื่อยๆ ตลอด
“อือ นั่นสิ ถ่ายรูปให้กูบ้างดิ” ผมบอกมันเพราะมันไม่ค่อยถ่ายรูปผมเลย เป็นบ้าอะไรก็ไม่รู้
“โอเคๆ ทำหน้าหล่อๆ นะเว้ย” มันขยับเลนส์ก่อนจะยกกล้องขึ้นเตรียมถ่าย ผมมองซ้ายมองขวา ปลอดคนดี
“ง่ายๆ ไม่ต้องทำอะไรเลย” ผมยืนนิ่งๆ ให้มันถ่าย ประมาณว่ายังไงก็ออกมาหล่ออยู่แล้ว
“ถ่ายบัตรประชาชนเหรอมึง” มันหัวเราะหึๆ เมื่อดูรูปในกล้อง ผมเดินเข้าไปหาเพื่อดูรูปแต่มันไม่ยอมให้ผมดูด้วย
“เอ้า กูหล่อทุกมุมเว้ย” เราคิดว่าเราหล่อ เราก็จะหล่อ ประมาณว่า You can if you think you can
“หึหึ มึงมันบ้า” ไอ้ยิมขำแล้วเก็บกล้องไปตามเดิม 
“แต่ความบ้าของกูเนี่ยเป็นเสน่ห์นะเว้ย” ผมขยับไปพูดมันใกล้ๆ ไอ้ยิมมองหน้าผม
“ไอ้นี่นิ” มันเถียงไม่ได้ เห็นว่าหูมันแดงด้วย เขินล่ะสิท่า
“ก็จริง ทำมาเขินเป็นเด็กๆ” ผมพูดก่อนจะชวนมันเดินไปเรื่อยๆ ด้วยกัน
พอมาเดินอยู่ข้างๆ กันแล้วมันรู้สึกแปลกๆ เกร็งๆ ยังไงชอบกล ตอนนี้ผมยังไม่สนิทใจกับไอ้ยิมแบบเต็มร้อย มีหลายอย่างที่ผมยังไม่กล้าพูด ไม่กล้าทำกับมัน คงต้องให้เวลาตัวเองสักระยะ
“ว่างๆ พากูไปที่ร้านอาหารของพ่อแม่มึงบ้างสิ” ไอ้ยิมหันมาถาม


“ทำไมวะ อยากไปเจอพ่อแม่ว่างั้นเหอะ” ผมทำเสียงล้อเลียน “หรืออยากกินของฟรี”
“ไม่เห็นแปลก... อีกอย่างนะ อย่าลืมว่ามึงติดหนี้กูอยู่” ไอ้ยิมชี้นิ้วใส่หน้าผมเพื่อย้ำเตือน ผมย่นหน้า แต่ก็จริง ถ้ามาจริงๆ ไม่ห้ามหรอก ผมติดมันไว้เยอะ
“โอเค ตามใจ แต่บอกล่วงหน้านะจะได้เตรียมตัวเตรียมใจ” ผมหัวเราะก่อนจะเหลือบมองสังเกตปฏิกิริยาของมัน น่าแปลกแฮะ ปกติมันไม่ค่อยจะแอคทีฟเรื่องแบบนี้เท่าไหร่ หรือว่ามันคิดจะทำอะไรกันแน่นะ
“ดี... เตรียมตัวรอไว้ได้เลย” ไอ้ยิมยิ้ม จากนั้นก็ทำเป็นสนอกสนใจก้มมองน้ำในเขื่อน สังหรณ์ใจแปลกๆ นะ จะว่าไปแล้วมันเคยพูดจาแปลกๆ เรื่องหนี้ที่ผมติดมัน
ไอ้ยิมนี่ก็ใช่ย่อยนะ มันร้ายลึก ผมมั่นใจว่ามันต้องมีแผนการ คอนเฟิร์ม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-02-2018 15:24:40 โดย รินดาwดาริน »

ออฟไลน์ sweetbasil

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 807
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-3
คู่เรื่อยๆๆแต่น่ารักดี :-[

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
โอ๋ๆผิง. หัวใจทำงานหนักเนอะ. ไม่ยอมกอดแล้วจะหลับได้ไง
เราว่าคู่นี้เรื่อยๆที่สุดแล้วล่ะ. ค่อยๆปรับเข้าหากัน
ขอบคุณที่มาต่อนะคะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ nutty

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1142
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-3
อยากอ่านคู่พี่ดีนที่สุดเพราะมีจุดค้างคาเยอะะะะะะ

ออฟไลน์ รินดาwดาริน

  • OnTop&N'Song
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +243/-2
ผ่านไปสองสัปดาห์จนกระทั่งมาถึงวันที่ผมรอคอย วันเกิดพี่ท็อป เจ้าตัวแค่ส่งสายตาเหมือนรู้ทันมาให้ผมบ่อยๆ แต่แบบนี้มันน่าสนุกกว่าเพราะถึงยังไงพี่ท็อปก็ได้แต่คาดเดาว่าผมจะมีอะไรมาให้ ผมไปรอรับพี่ท็อปที่คณะ เคเอสอาร์คันเดิมกับบรรยากาศเหมือนวันแรกที่ผมมาส่งพี่ท็อปเพียงแต่เป็นยามเย็นก็เท่านั้น หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมงได้ กลุ่มพี่ท็อปก็เดินออกมาจากตึก ผมโบกมือไปให้พี่ท็อป
“รอนานไหม พอดีคุยกับอาจารย์นานไปหน่อย” พี่ท็อปเดินเข้ามาถามหลังจากที่แยกกับเพื่อน
“แค่เหน็บกินน่ะพี่” ผมตอบไปตามจริง พี่ท็อปไหวไหล่ไม่แคร์ก่อนจะยื่นหน้ามาถาม
พูดจบพี่ท็อปดูแปลกใจแต่ก็ไม่ได้ค้านอะไร ผมพาพี่ท็อปเข้าไปด้านใน ปกติคนไม่ค่อยเข้ามาในหอศิลป์กันยกเว้นพวกอาจารย์กับเด็กสายอาร์ตเท่านั้นเอง ผมเดินขึ้นบันไดไปชั้นสอง ชั้นที่วางผลงานของสาขาจิตรกรรม
“กูเคยมาดูครั้งเดียวตอนที่เปิดงานภาพครั้งแรก เสียดายก็แต่เจ้าของภาพไม่อยู่” พี่ท็อปหันมามอง ผมยิ้มก่อนจะเดินไปหยุดที่ภาพของผม
“เทอมหน้าก็เอาลงแล้ว” ผมพูดเรื่อยๆ กอดอกมองผลงานของตัวเอง ถ้าวันนั้นผมมางานเปิดแสดงภาพด้วยคงได้เจอพี่ท็อป รู้สึกเสียดายนิดหน่อยที่ไม่ได้เห็นสภาพเจ้าตัวตอนอกหัก
“แล้วหลังจากนั้นภาพจะไปอยู่ที่ไหน”
“เก็บไว้ที่คณะ แต่ถ้ามีคนติดต่อซื้อก็ขาย อาจารย์เป็นคนเดินเรื่องให้น่ะพี่”
“ก็ดีนี่...แล้วไหนล่ะของขวัญ”อีกฝ่ายมองมาที่ผม คงจะแปลกใจที่ผมไม่ได้ถืออะไรมาด้วย ผมเดินเข้าไปใกล้อีกฝ่าย
“หลับตาหน่อย”ผมบอกด้วยรอยยิ้ม พี่ท็อปทำหน้าย่นแต่ก็ยอมหลับตา ผมหยิบแหวนออกมาแล้วกำไว้ในมือทั้งสองข้าง
“ลืมตาได้...”ผมพูดช้าๆ มองพี่ท็อปค่อยๆลืมตาขึ้นมา จากนั้นก็สีหน้าเปลี่ยน เป็นมึนงง เมื่อมองมาที่มือของผมแต่ก็ยังยิ้มออก
“อะไรน่ะ”เจ้าตัวยิ้มนิดๆ มองมือทั้งสองข้าง “เลือกสิ ขวาหรือซ้าย”ผมถาม เห็นพี่ท็อปยิ่งยิ้มแก้มปริ แล้วดอกไม้ในใจก็เบ่งบานขึ้นมา
“มันไม่เหมือนกันหรือไง”เจ้าตัวถาม เลื่อนสายตามาที่ผม “ต้องเลือกก่อนถึงจะรู้” ผมหัวเราะเบาๆ
“ซ้ายแล้วกัน...” พี่ท็อปเลือก ผมยื่นมือซ้ายไปให้ เจ้าตัวจับมือผมแบออกก็เจอกับแหวนเรียบๆ สีน้ำตาลเข้มสลักชื่อว่า Song
“ชอบไหม ผมทำเองเลยนะ ได้ไอ้โก๋ช่วยอีกแรง”ผมบอก ให้เครดิตเพื่อนสักนิดนึง พี่ท็อปหยิบแหวนขึ้นมาดู ก่อนจะจ้องมองรอบตัวแหวน หมุนไปมา สีหน้าอิ่มเอม แววตาสุขใจ
“สวยดีนี่”พี่ท็อปจับแหวนขึ้นมาดม ผมแอบขำ
 “อีกวงหนึ่งเป็นชื่อกูเหรอ”อีกฝ่ายหันมาสนใจแหวนอีกวงที่อยู่ในมือผม
“ใช่แล้ว” ผมยิ้มแล้วสวมที่นิ้วนางข้างซ้ายของตัวเอง พี่ท็อปยิ้มก่อนจะสวมแหวนที่นิ้วนางด้วยเช่นกัน
“เซอร์ไพรส์ดีนะ ไม่คิดว่าเป็นแหวนแบบนี้ นึกว่าจะเป็นสร้อยเหมือนที่กูให้มึงซะอีก”เจ้าตัวยังคงหมุนแหวนที่นิ้วเล่นไปมา
“พี่ไม่ชอบใส่สร้อยนี่ อีกอย่างแหวนมันก็มีความหมายดี แล้วก็สุขสันต์วันเกิดนะพี่”ผมพูด จับจ้องอีกฝ่ายอย่างจริงใจแต่รู้สึกกระดากอายขึ้นมานิดหน่อย
“ขอบคุณนะ”พี่ท็อปพูดด้วยรอยยิ้มจากนั้นก็หันไปมองรอบๆ บริเวณ ก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ๆ ผมจนระยะประชิด เมื่อทางสะดวกก็ยื่นหน้ามาหอมแก้มผมหนึ่งที
“แล้วจะไปหาแม่กันเลยไหม”ผมถามแก้อาการเก้อเขิน เจ้าตัวยืนกอดอกทำท่าเหมือนเหนือกว่า ก่อนจะยกนาฬิกามาดู
“อีกสักครึ่งชั่วโมงค่อยไป ตอนนี้ให้เวลากูหน่อย"พี่ท็อปบอกก่อนจะเดินกอดคอผมไปด้วยแล้วเดินมานั่งที่เก้าอี้ในโซนนั่งเล่น
"ถามเฉยๆ นะ อยากรู้ว่าพี่มีแฟนมากี่คนแล้ว"สำหรับพี่ท็อปคำถามนี้คงไม่เซนซิทีฟหรอกนะ เจ้าตัวมองหน้าผมก่อนจะทำท่าคิด
“อืม เรียกว่าแฟนจริงๆ ก็สี่คน...”พี่ท็อปยิ้มให้ผม
“นึกว่าเยอะกว่านี้”พี่ท็อปหน้าตาดี คารมก็ดี น่าจะมีคนติดเยอะ
“คงเพราะกูเลือกมากมั้ง จะให้เรียกแฟนมันต้องใช้เวลา... แต่มึงนี่คงเป็นแฟนที่ดีที่สุดของกูเลยมั้ง ไม่ค่อยเจอคนแบบมึง”
“นี่แค่ยอ หรือว่าพูดจริง”ผมหัวเราะออกมาอย่างสุขใจ เป็นคนแรกเลยล่ะที่บอกว่าผมเป็นแฟนที่ดี
“พูดจริงสิ...แล้วกูก็ไม่ปล่อยไปง่ายๆ หรอกนะ อีกอย่างนะ ขืนใครมายุ่งวุ่นวายกับมึงกูจะต่อยให้ฟันร่วงเลย”อีกฝ่ายพูดเสียงดุ
“ดุซะจริง”ผมขำ “เออ โดยเฉพาะไอ้ดีน...สมควรโดนสุดล่ะ เพราะมันกล้ามายุ่งกับมึง ที่สำคัญมันท้าทายกูด้วยนะนั่น”พี่ท็อปพูดแบบไม่จริงจังเท่าไหร่
“โอย ไม่สเปกผมหรอก”ผมพูดไปตามตรง
“กูไม่กังวลเรื่องนั้นหรอก”พี่ท็อปยิ้มก่อนจะชูแหวนบนนิ้วให้ดู
“กูกับมึงนี่คู่สร้างคู่สมนะเว้ย”อีกฝ่ายเอ่ย จะหาคนอย่างพี่ท็อปคงไม่มีอีกแล้ว ถึงไม่มีใครมาแทนใครได้หรือว่าคล้ายใครได้ ยกเว้นใจเรานี่แหละที่รวนเรไม่มั่นคงพอ ในเมื่อเป็นวันเกิดพี่ท็อปทั้งทีคงต้องไปค้างบ้านแม่ในเมือง เพราะตามที่ตกลงกันไว้ว่าจะไปขอบคุณแม่พี่ท็อป เจ้าตัวเองก็เตรียมของขวัญมาให้แม่ด้วยแต่ไม่ยอมบอกผมว่าเป็นอะไร แต่เรื่องระหว่างผมกับพี่ท็อปยังเคลียร์กันไม่ลงเรื่องผัวๆ เมียๆ ซะที เราตกลงกันว่าไอ้เรื่องแบบนี้ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ ใครดีใครได้ก็แล้วกัน ไอ้ผมมันไม่ซีเรียสหรอกจะออกหัวหรือก้อย ไม่เสียหาย ก็ได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย

                   ก่อนจะไปบ้านแม่ในเมือง พี่ท็อปต้องแวะไปเอาของขวัญที่เจ้าตัวทำเองซึ่งผมก็อยากจะเห็นว่ามันคืออะไร แต่กล่องเบาๆ ไม่หนักเท่าไหร่คงจะเป็นนาฬิกาไม่ก็กรอบรูปแน่ๆ เมื่อมาถึงบ้านแม่พี่ท็อปออกมาต้อนรับอย่างใจดีเหมือนเดิม ในบ้านถูกตกแต่งด้วยไฟหลอดเล็กๆ ราวกับว่าเป็นวันคริสต์มาส
“แม่เตรียมอาหารไว้เยอะเลย ของชอบของเราสองคนทั้งนั้น” แม่เดินมาหาผมแล้วพาไปที่ห้องรับแขก บนโต๊ะมีอาหารคาวหวานวางอยู่เยอะจนเลือกกินไม่ถูก ที่สำคัญมีคัพเค้กวางอยู่ตรงกลางโต๊ะเด่นเชียว พี่ท็อปทำหน้าย่น
“โห แม่ทำของเยอะไปไหมเนี่ย กินกันสามคนเอง” พี่ท็อปมุ่ยหน้าก่อนจะเดินไปกอดแม่ตัวเองอย่างรักใคร่ ผมมองยิ้มๆ
“ไหน มีของจะให้แม่ด้วยเหรอเนี่ย"แม่มองมาที่กล่องของขวัญที่ผมถืออยู่
“พี่ท็อปทำเองด้วยนะครับ”ผมยื่นกล่องไปให้แม่ พี่ท็อปดูตื่นๆ ผิดปกติ
“จริงเหรอเนี่ย ลูกชายแม่กินอะไรผิดสำแดงมาแน่ๆ เลย”แม่พูดมองลูกชายอย่างแปลกใจ สีหน้าดูมีความสุข
“ผมทำเองเลยนะ เปิดๆ ดูเลย”พี่ท็อปบอก ดูกระตือรือร้นเป็นพิเศษ
ผมเองก็อยากรู้ว่าในกล่องนั้นคืออะไร แม่ยิ้มเหมือนขำก่อนจะลงมือแกะของขวัญ จนกระทั่งเหลือแต่กล่อง แม่เปิดมันออกมามันคือนาฬิกาสี่เหลี่ยมผืนผ้าทำจากไม้ ด้านในมีรูปที่ตัดมาจากภาพแปะอยู่สามคนกับอีกหนึ่งตัว มีแม่ พี่ท็อป ผมแล้วก็ไอ้ทู ลักษณะงานเหมือนพวก D.I.Y ตัดแปะแบบน่ารักๆ ขัดกับบุคลิกเจ้าตัวมาก
“น่ารักเชียว ทำเองจริงเหรอเนี่ย”แม่ยิ้มกว้างท่าทางมีความสุข เจ้าตัวเดินมาหาผมก่อนจะดึงมือให้ไปหาแม่ด้วย
“ใช่... ไอเดียสอง บอกว่าควรมาขอบคุณแม่ในวันเกิด...ขอบคุณที่ทำให้ผมเกิดมามีแฟนน่ารักๆ อย่างไอ้สองมัน รักแม่นะ จุ๊บ”พี่ท็อปหอมแก้มแม่ แต่คำพูดยังดูน่าหมั่นไส้จริงๆ ยอมเป็นคนน่ารักก็แล้วกัน
แม่ดึงผมไปกอดด้วย
"จ๊ะ แค่มาหาแม่ก็ดีใจแล้ว วันเกิดท็อป แม่ขอให้ท็อปกับสองอยู่ด้วยกันนานๆ คนรักกันต้องหมั่นดูแลเอาใจใส่ต่อกัน เราจะได้เข้าใจกันมากขึ้น เรื่องไม่ดีๆ ก็ตัดทิ้งมันไปบ้าง ไม่ต้องเอามาคิดให้มันบ่อนทำลายความสัมพันธ์ดีๆ ของเราสองคน”แม่อวยพร
“ขอบคุณครับแม่”ผมยิ้มกว้าง
“ครับ ขอบคุณที่สุดคือรับไอ้สองเป็นสะใภ้บ้านเรา”พี่ท็อปหัวเราะ อีกฝ่ายพูดมาได้ไม่อายปากเลยจริงๆ
“อะไรอะพี่”ผมนิ่วหน้าทันที
“พอๆ สองคนนี้ แม่ทำของอร่อยไว้เยอะ”แม่ตีมือพี่ท็อปก่อนจะชวนให้นั่งลง
“แม่ก็ไม่รู้อะไรซะแล้ว ก่อนออกกำลังใครเข้าให้กินเยอะๆ จุกพอดี”พี่ท็อปเหลือบมองหน้าผมเป็นนัยๆ “ฮ่าๆ ตลกตายล่ะ”ผมไม่ขำเท่าไหร่แต่เจ้าตัวไม่สลดอะไร ทำหน้าระรื่นเกินกว่าเหตุ 
หลังปาร์ตี้จบร้องแฮปปี้เบิร์ทเดย์ให้พี่ท็อปแล้วก็ถึงคราวที่ต้องแยกย้าย แม่เข้าไปพักผ่อนในห้องของตัวเองส่วนพี่ท็อปพาผมเข้าห้องตามสเต็ป เมื่อเปิดประตูเข้ามาในห้องก็เจอกับไฟดวงเล็กสลับสีประดับประดาอยู่รอบห้องไม่เว้นแม้แต่หัวเตียง

“ฝีมือแม่ รู้ใจลูกชายจริงๆ” พี่ท็อปยิ้มกริ่ม ไม่ต้องสืบเลยว่าคิดจะทำอะไร เจ้าตัวเดินกอดคอผมไปที่เตียงแล้วหัวเราะชอบใจ
“มีความสุขเกินหน้าเกินตาจริงนะ” ผมแอบหัวเราะกับท่าทีของอีกฝ่าย พี่ท็อปนอนแผ่ลงบนเตียง ผมเลยได้โอกาสมองรอบๆ ห้องแบบเต็มตา แม่พี่ท็อปก็เข้าใจคิดนะ รู้สึกเหมือนอยู่ในวันคริสต์มาสทั้งๆ ที่เหลืออีกตั้งสองวัน ฉลองก่อนซะงั้น
“น่าจะมีหิมะนะ จะได้ครบเซต” พี่ท็อปพูดขำๆ ระหว่างนั้นก็ดึงประทัดของเล่นดังปังเบาๆ มีสายรุ้งกระจายออกมาปลิวว่อน
“แม่พี่น่ารักจริงๆ” ผมปัดเส้นใยพวกนั้นให้ห่างๆ ตัว ไหนดูสิแม่พี่ท็อปเตรียมอะไรไว้ให้อีก ผมเดินไปที่ระเบียงด้านนอก มีถังเบียร์แช่เย็นไว้ด้วย โห เตรียมทุกอย่างจริงๆ ในเวลานี้หัวผมมันเริ่มคิดไปต่างๆ นานาคืนนี้คงไม่เหลือรอดแน่นอน ผมหันไปมองพี่ท็อปที่เหลือแต่ท่อนล่าง โชว์ท่อนบนที่คล้ำแดดเล็กน้อยชวนให้มอง
“อือฮึ เตรียมตัวเป็นแกะน้อยๆของกูได้หรือยังล่ะ”พี่ท็อปตบมือลงบนเตียงข้างๆแล้วยิ้มพราว แหม แกะน้อย พูดซะน่ารักเชียว ผมยิ้มขำอารมณ์ดี
 “แน่นอน”วันเกิดทั้งที ก็ต้องยอมเขาล่ะ ผมถอดเสื้อผ้าออกบ้าง เพราะสุดท้ายแล้วก็ต้องถอดออกอยู่ดี ไม่อยากเสียเวลา จนเปลือยไปทั้งร่าง จากนั้นผมก็กระโดดขึ้นเตียงไปนอนข้างๆอีกฝ่ายที่ดูใจเย็นไม่เร่งรีบ
“ว่าง่ายจังวะ”พี่ท็อปเอ่ยเบาๆ มองผมตาไม่กระพริบ เหมือนจ้องเหยื่อ ทำให้ผมร้อนๆหนาวๆได้เหมือนกัน ทีนี้ผมค่อยรู้สึกเหมือนเป็นแกะน้อยขึ้นมาบ้าง
“อ้าว แล้วไม่ดีหรือไงครับ”ผมย่นคิ้ว เริ่มปฏิบัติการสัมผัสเนื้อต้องตัวเสียหน่อยพอกระชุ่มกระชวย จุดไฟให้โหมกระพือ หุ่นพี่ท็อปก็เข้าร่องเข้ารอยมากกว่าเดิม แต่ไม่ถึงกับแน่นปึกมีซิกแพ็คเหมือนแต่ก่อน
“ดีสิ”พี่ท็อปเปลี่ยนโหมดเป็นยิ้มละมุนขึ้นมา ก่อนจะขยับมาคร่อมตัวผมไว้ แล้วโน้มหน้าลงมาจูบลงบริเวณลำคอ ริมฝีปากปากเย็นๆทำเอาซู่ซ่าขึ้นมา จากนั้นก็ยื่นหน้ามาจูบผมเบาๆ นิ่มนวลชวนเคลิ้ม หูผมได้ยินเสียงกร๊อบแกร๊บเหมือนห่อลูกอม
พี่ท็อปถอนจูบแล้วโชว์ลูกอมในมือให้ผมเห็น ผมมองอย่างแปลกใจ
 “แม่อยากเราหวานว่ะ เอาซะหน่อย”พี่ท็อปหัวเราะพอใจ แล้วแกะห่อลูกอมสีส้มใสๆออก จากนั้นก็กัดไว้ไม่ได้อม ผมพอจะรู้ว่าจะเจ้าตัวกำลังจะเล่นอะไร
“อ้า”พี่ท็อปบอก ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆ
“อ้าอะไร”ผมแกล้งถาม มองใบหน้าของคนด้านบนอย่างรักใคร่
“อ้าปากสิ แต่เดี๋ยวได้อ้าขาแน่มึง”พี่ท็อปยิ้มชอบใจก่อนจะยื่นลูกอมมาใส่ปากผมที่เตรียมรับ ตอนแรกนึกว่าจะหวานแต่ที่ไหนได้
 “เผ็ดไหมวะ”พี่ท็อปหัวเราะระรื่น ผมเบ้หน้าแต่ก็เคี้ยวๆจนหมด เผ็ดๆเย็นๆเหมือนผสมเมนทอล เห็นพี่ท็อปยิ้มระรื่นแล้วหมั่นไส้ คงเป็นแผนมากกว่า แม่พี่ท็อปคงไม่ทำอะไรแบบนี้หรอก ผมดึงพี่ท็อปมาจูบจะได้รู้รสความเผ็ดซ่านจากผม เจ้าตัวไม่วายมากัดปากผมอีก เอาซะเลือดซิบ ซาดิสแน่ๆพี่ท็อป
“อร่อยดีไหมพี่”ผมยิ้ม เอานิ้วแตะปากล่างมาดูเลือด รสเลือดยังแปร่งพร่าอยู่ในปาก “แหวะ อย่างอื่นน่าจะอร่อยกว่านะ”พี่ท็อปหัวเราะเจ้าเล่ห์แล้วถอดกางเกงออกจนหมด
 “ตื่นเต้นดีนะ ว่าไหม”ผมพูด เพราะใจเต้นตุบตับ มองอีกฝ่ายถอกปราการชิ้นสุดออก
“เพราะมึงเป็นแกะไง เลยตื่นๆแบบนี้แหละ”พี่ท็อปมอง แววตาสีดำมีผมสะท้อนอยู่
“พี่โคตรปากดีอ่ะ”รู้สึกหมั่นไส้ขึ้นมา เลยคว้าตัวพี่ท็อปกดลงเตียงแทนจากนั้นก็คร่อมซะจะได้เผด็จศึก
“ว่ากูซาดิส แต่มึงรุนแรงกว่านะ”พี่ท็อปแค่หัวเราะเบาๆ
ในสถานการณ์แบบนี้ต้องปล่อยให้รอดไปก่อน ไว้ให้ถึงคราววันเกิดผมค่อยเอาให้คุ้มในเมื่อเปลือยกันทั้งคู่ เนื้อแนบเนื้อแบบนี้ ไม่นานนักไฟก็ลุกโชนจุดติดกันทั้งสองฝ่าย ผมยอมให้พี่ท็อปทำแต้มไปก่อนแล้วกัน
“คราวนี้อ้าขาของจริงนะสอง หึหึ นี่แค่เพิ่งเริ่มต้นนะ” พี่ท็อปยิ้ม ไม่บอกก็รู้ว่าแค่เริ่มต้นน่ะ ผมมองพี่ท็อปเตรียมตัวบุก ใส่สิ่งป้องกันอย่างชำนาญ
“โอเค...” ผมยอมแบบสุดตัวและหัวใจ
เมื่อทางสะดวกพี่ท็อปก็ดันเข้ามาช้าๆ ก่อนจะโน้มตัวลงทาบสัมผัสแนบชิด ร่างกายผมตอบรับกับสิ่งแปลกใหม่ที่เข้ามาอย่างไม่ยากเย็นนัก ให้ความรู้สึกเหมือนมีความร้อนแผ่วๆ เต้นตุบๆ อยู่ภายใน รัดตึงและแนบแน่นพี่ท็อปขยับโน้มหน้าลงมาจนสัมผัสริมฝีปากอย่างแผ่วเบา จากนั้นก็เร่งจังหวะอย่างลุ่มลึก พร้อมๆ กับแรงโถมที่ขยับลงมาอย่างต่อเนื่อง ผมหลับตาพยายามผ่อนคลายและเผลอไผลไปกับแรงสัมผัสเหล่านี้ที่พี่ท็อปหยิบยื่นให้

ผมสะดุ้งเกร็งเมื่ออีกฝ่ายขยับตัวลึกมากขึ้นและดูเหมือนจะโถมแรงขึ้นไปตามกามอารมณ์ของแต่ละคน จนผมเองก็รับไม่ไหวต้องต้องปลดปล่อยมันออกมาให้หมดในขณะที่พี่ท็อปดูจะอึดอัดไปหมด เพราะร่างกายส่วนล่างของผมยิ่งไปเร่งให้เจ้าตัวต้องเร่งเครื่องเพื่อปลดปล่อยความกำหนัดนั้นเช่นกัน

“อ่า...” ผมครางออกมาเมื่อพี่ท็อปกอดรัดผมแน่นขึ้นและส่งแรงเฮือกสุดท้ายเข้ามาจนเจ้าตัวก็กัดปากครางเบาๆ ออกมาอย่างพอใจก่อนจะทิ้งน้ำหนักตัวลงกอดผมแน่นขึ้น
"เจ็บอะ” ผมบอกตีก้นอีกฝ่ายแรงๆ ให้ลุกออกจากตัวผมได้แล้ว พี่ท็อปหัวเราะเบาๆ ก่อนจะดึงตัวออกแล้วจัดการกับถุงยางหมดสภาพนั่นลงถังขยะ พี่ท็อปโยนผ้าเช็ดตัวผืนเล็กมาให้ผมเช็ดคราบอารมณ์ของผมบนเตียงออก ต้องหาผ้าปูที่นอนลายใหม่อีกแล้ว
ผมลุกออกจากเตียงไปหยิบบ็อกเซอร์มาใส่ลวกๆ แล้วออกไปนอกระเบียงทั้งสภาพแบบนั้น ก่อนจะเปิดไฮเนเก้นยกมาดื่มให้กระชุ่มกระชวยผมเดินถือขวดเบียร์เข้ามาในห้องยื่นขวดเบียร์ให้พี่ท็อปก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำ เปิดฝักบัวล้างเนื้อล้างตัวแล้วเดินไปหน้ากระจกเพื่อตรวจดูความเสียหายที่ได้จากพี่ท็อปเสียหน่อย มีรอยแดงช้ำๆ ปรากฏแถวบริเวณหน้าอกสองสามรอย ไม่นานพี่ท็อปก็ตามเข้ามาในห้องน้ำด้วย ในใจผมคิดว่าต้องมีอันตรายแน่ๆ
“อาบน้ำให้หน่อย” พี่ท็อปยืนใต้ฝักบัวก่อนจะบีบครีมอาบน้ำใส่ร่างกายตัวเองจนเกิดฟองราวกับเป็นพรีเซ็นเตอร์
“ช่วงโปรครับทำให้ทุกอย่าง” ผมหัวเราะก่อนจะลงมือลูบไล้ฟองครีมอาบน้ำให้ทั่วร่างกายพี่ท็อป อีกฝ่ายก็ใจดีอาบน้ำให้ผมไปด้วย ซึ่งมือไม้ก็ไม่ได้อยู่สุขหรอก ผมคิดว่าคงหมดสภาพที่ห้องน้ำนี่แหละ
“จะว่าไปมึงนี่ก็ยังขาวเหมือนเดิม” พี่ท็อปบิดนมผมไปเบาๆ ผมตีมืออีกฝ่ายแล้วย่นหน้า ก่อนจะจับสิ่งหรรษาเบื้องล่างที่กำลังตื่นตัวได้ที่ ออกแรงขยับเล็กน้อยเพื่อให้ตื่นเต็มที่
“โอเคๆ ไม่พูดก็ไม่พูด ทำเลยง่ายกว่า” พี่ท็อปหัวเราะก่อนจะจูบผมหนักหน่วง บดเบียดริมฝีปากกันและกันอย่างไม่มีใครยอมใคร จนกว่าใครคนนึงจะยอมแพ้ไปซะก่อน "ไม่โกรธนะถ้ากูต่อ” พี่ท็อปจับผมหันหลังเข้ากำแพง ไหนๆ ก็ไม่รอคำตอบก็จัดการซะเลยสิ
ผมกางขาออกเล็กน้อยเปิดทางให้พี่ท็อปได้เข้าถึงได้ถนัดถนี่ตามใจชอบ ครั้งนี้ให้ผ่านแบบไม่มีอะไรมาขวางกั้น ให้พี่ท็อปคุมเกมละกัน ในเมื่อผมก็ล้าๆ มาจากยกแรกจะให้ดุเด็ดเผ็ดมันกันต่อคงไม่ไหวพี่ท็อปจับเอวผมไว้พร้อมกระชับทุกสัดส่วน ออกแรงโถมเข้าออกอย่างเพลินใจ บางจังหวะเจ้าตัวก็ช่วยให้ผมได้มีอารมณ์พลุ่งพล่านมากขึ้นเมื่อเคล้าคลึงส่วนหน้าของผมไปด้วยกว่าจะปลดแอกให้ตัวเองได้ก็ใช้เวลาอยู่พอสมควร ถึงพี่ท็อปจะแข็งแรงอึดทนนานแค่ไหนก็มีเหนื่อยบ้างล่ะนะ แค่นี้ผมก็ขาลากล่ะ
เมื่อเสร็จกิจกามชำระล้างร่างกายให้หอมกรุ่น ผมทาแป้งเด็กยี่ห้อเดิมกลิ่นเดิม กลิ่นที่พี่ท็อปชอบ หวังว่าจะไม่กระตุ้นต่อมอะไรเจ้าตัวอีกหรอกนะพี่ท็อปถึงเตียงได้ก็ล้มตัวนอนแผ่หมดแรง คนแก่ก็แบบนี้ นอนกันแบบไม่มีผ้าปูมีแค่ผ้าห่มผืนบางๆ ปูรองไว้ วันเกิดนี่มันคุ้มจริงๆ รอให้ถึงวันเกิดผมเถอะ ซึ่งสำหรับพี่ท็อปคงไม่ใช่แค่วันเกิดวันเดียวแน่ๆ แต่ผมเนี่ยสิ คงไม่ได้เฉียดเข้าใกล้ง่ายๆ
“ทำตัวน่ารักว่าง่ายจังนะ กูชอบ” พี่ท็อปขยับตัวมาใกล้ นอนมองหน้าผม
“เฮ้อ ก็ไม่รู้จะปฏิเสธลีลาอยู่ทำไม ยังไงก็ไม่เสียหายนี่นา” ผมพูด
“นั่นสิ...” พี่ท็อปพูด เอื้อมมือมาจับหน้าท้องของผมเล่นไปมา ทำเอาเสียวๆ เหมือนกัน
“อะไรพี่ ยังไม่พออีกเหรอ”
“แค่จับดูเฉยๆ มึงน่าจะเพิ่มกล้ามเนื้ออีกหน่อย เดี๋ยวกลายเป็นพุงแล้วจะหนาว...มึงจะดูเซ็กซี่มากขึ้นถ้ามีซิกซ์แพ็กนิดๆ” พี่ท็อปมองหน้าผมตาใส
“ไว้ว่างๆ ค่อยเข้าฟิตเนสแล้วกัน” ผมบอก จริงๆ ก็อยากจะอัพมวลกล้ามเนื้อในร่างกายเพิ่ม ลดไขมันในร่างกายลงบ้าง แบบเล่นเวทอะไรทำนองนั้นผมปล่อยให้พี่ท็อปจับนู่นลูบนี่ไปพลางๆ จนเคลิ้มๆ ตาจะปิดให้ได้ แต่ก่อนจะเผลอหลับพี่ท็อปไม่วายทิ้งท้ายไว้ให้ผมได้ชื่นใจ
“เอาจริงๆ ไม่ต้องรอให้ถึงวันเกิดกูแล้วค่อยจัดเต็มแบบนี้ก็ได้นะสอง ทำให้มันเป็นปกตินั่นแหละ กูไม่ต้องการของขวัญวันเกิดอย่างอื่นหรอก” ผมควรจะซึ้งดีไหมเนี่ย
“เฮ้อ จะนอนแล้ว ง่วง กู๊ดไนท์” ผมไม่ได้ตอบอะไร ตอนนี้ก็ทำหน้าที่เมียอยู่ไม่ใช่เหรอ ผมหลับตานอนกอดพี่ท็อป
“Love u” เจ้าตัวยังทำให้ผมลืมตาขึ้นมาอีกจนได้
“love u too” และยิ้มให้กันก่อนนอน

........

รุ่งเช้าวันใหม่คุณแม่มาปลุกให้ไปใส่บาตรที่หน้าบ้านด้วยกัน พี่ท็อปไม่ยอมลุก จนแล้วจนรอดผมก็ต้องไปแทน กระทั่งตักบาตรหน้าบ้านเสร็จเรียบร้อย ผมช่วยแม่เก็บของเข้าบ้าน ท่านเองก็ถือโอกาสพูดคุยแบบจริงจัง
“ท็อปมันขี้เซา” แม่พูดยิ้มๆ ระหว่างที่ล้างจานอยู่ในครัว ผมช่วยเช็ดจานให้แห้งอยู่ถัดไปจากแม่พี่ท็อป
“ใช่เลยครับ” ผมหัวเราะแห้งๆ และตอบไปอย่างเสียไม่ได้
“เดี๋ยวแม่ต้องลงใต้ไปทำงานตามเดิม ยังไงฝากดูแลท็อปมันด้วยนะจ๊ะ อยู่ด้วยกันแล้วก็ดูแลห่วงใยใส่ใจกันให้มากๆ”
“ครับ”
“สองไม่ต้องกังวลเรื่องฝึกงานของท็อปมันหรอก ไปอยู่กับแม่จะดีกว่าถ้าไปฝึกที่อื่น สองเข้าใจแม่นะ” แม่พูดแล้วจับมือผม
“ครับ ผมก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร เรื่องจำเป็นนี่ครับ อยู่กับแม่ก็ดีแล้วจะได้ช่วยดูไม่ให้พี่ท็อปออกนอกลู่นอกทาง” ผมพูดจบแม่ก็หัวเราะ
“ท็อปมันรักเรานะ ก็อย่างที่สองรู้ท็อปมันเกลียดเรื่องการนอกใจ ไม่มีทางที่ท็อปจะทำในสิ่งที่ตัวเองเกลียดหรอก” แม่ยิ้มอบอุ่น ปฏิเสธไม่ได้ว่าผมไม่ได้กังวลเรื่องนี้ อยู่ห่างกันกลัวแพ้ระยะทาง
“ครับ ผมแค่คิดนิดนึง”ผมตอบไปตามตรง แม่เอื้อมมาจับแขน
“คิดได้จ้ะ แต่อย่าทำให้ตัวเราฟุ้งซ่าน”แม่บอกอย่างอบอุ่น ทำเอาผมคลายใจ
“แล้วจะอยู่บ้านหรือออกไปไหนกันต่อจ๊ะเนี่ย”
“อืม ต้องถามเจ้าตัวแล้ว” ผมหัวเราะแห้งๆ เพราะที่มาบ้านนี่ก็ไม่ได้นัดแนะว่าจะไปไหนต่อหรือเปล่า
กว่าพี่ท็อปจะตื่นก็เกือบครึ่งวันแล้ว หักโหมเกินไปก็แบบนี้แหละ ผมเดินไปหาพี่ท็อปบนห้อง เดินไปเปิดม่านให้แสงแดดส่องถึง เจ้าตัวนอนหลับสบาย ผมดึงผ้าห่มออกจากตัวอีกฝ่าย
“ไงพี่ อ่อนเปลี้ยเพลียแรงเลยหรือไง” ผมเข้ามานั่งข้างๆ พี่ท็อปทำหน้าเพลียก่อนจะลุกขึ้นนั่งสภาพดูไม่ได้แต่ก็ยังน่ามองสำหรับผม
“จุ๊ ปากดี”พี่ท็อปมอง ก่อนจะบิดขี้เกียจไปมา แล้วเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัว “ไปไหนต่อไหมครับ”
“อืม ไปปิกนิกที่เดอะปาร์คกัน เอาไอ้ทูไปด้วย”
“โอเค วันนี้ตามใจแบบสุดๆ”ผมบอก 
“เด็กดี” พี่ท็อปหัวเราะหึๆ ยื่นมือมายีหัวผม
“ไปอาบน้ำได้แล้ว ผมไปรอด้านล่างนะ” ผมบอกแล้วลงไปรอด้านล่าง
ไอ้ทูเป็นหมาหน้ามึนๆ และนิสัยมันก็ไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่ มันขี้เล่นแต่ก็ดูโง่ๆ” มานี่มา” ผมปรบมือเรียกมัน ไอ้ทูนอนเหลือบตาไปมาก่อนจะไม่กระดิกไปไหน ผมเดินไปหยิบสายจูงของมันมาถือไว้แล้วเข้าไปหา
“เฮ้อ รู้เรื่องอะไรไหมวะมึงเนี่ย” ผมลากคอมันออกมาแล้วคล้องสายจูงกับปลอกคอ อย่าให้พี่ท็อปมาเห็นผมฉุดกระชากลากดึงหมาสุดรักของเขาล่ะ ผมนี่แหละจะกลายเป็นหมาหัวเน่า
“โฮ่งๆ” อยู่ๆ มันก็เห่าก่อนจะออกวิ่งไปหาเจ้าของ พี่ท็อปเดินลงมาที่สวนเอาขนมปังมาด้วยเพื่อหลอกล่อไอ้หมานั่นให้ไปหา
“มึงแกล้งมันเหรอ” พี่ท็อปทำหน้าดุๆ เชิงหยอกล้อกับผม
“เออ หมั่นไส้ มันทำตากวนๆ ยังไงชอบกล” แบบตามันกลับกลอกไปมา
“มึงนี่ชอบทะเลาะกับหมาอยู่เรื่อย”
“งั้นก็ไปปิกนิกกับหมาเถอะ ผมอยู่นี่แหละ ขี้เกียจ” ผมนั่งลงเขี่ยหญ้าที่พื้นเล่น
“แน่นอนไปกับหมา หมาชื่อสอง”
“เออซี่ ที่รักให้เขาเป็นหมาได้ไง”ผมบ่นอุบ พี่ท็อปมองหน้าผมก่อนจะแสยะยิ้มเหมือนตัวร้าย
“ก็มีเจ้าของ ว่านอนสอนง่าย ขี้อ้อน แถมยังแสนรู้อีก พันธุ์ไหนกันนะ”อีกฝ่ายหัวเราะพอใจที่ต้อนผมให้จนมุมจนได้
“ฟังดูดี ไปกันได้หรือยัง”ผมเร่ง เดินไปหาแล้วหยิบตะกร้าอาหารขึ้นมาถือ หนักใช้ได้เหมือนกัน ส่วนพี่ท็อปจูงไอ้ทูไปด้วย คราวนี้เดินไปแบบช้าๆ เพราะอากาศแจ่มใสไม่ร้อนมาก พอเลยเขตบ้านออกมาแล้ว
“รู้แล้วล่ะสิ กูไปฝึกสหกิจกับแม่”ระหว่างที่เดินในซอยบ้านช้าๆ พี่ท็อปก็เริ่มพูด
“อือ ก็ดีแล้วนี่มีที่ฝึกงาน”ผมบอกอย่างไม่คิดอะไรนัก เจ้าตัวเหลียวมอง
“ที่จริงก็อยากฝึกใกล้มอแต่มันหายาก ...ไม่อยากไปอยู่ไกลหูไกลตามึงหรอกนะ เห็นแบบนี้กูก็ห่วงมึงนะ กลัวคนอื่นมาวุ่นวาย”เจ้าตัวพูด หันมามองผมอย่างจริงจัง

“ใครจะมาวุ่นวายกัน มีเจ้าของแล้วแบบนี้”ผมบอก ยกมือออกมาโชว์แหวน
“ไม่คิดมากใช่ไหม”อีกฝ่ายถามอย่างใส่ใจ
“ไม่หรอก เรื่องงานนี่ ถ้าพี่ไม่ว่างมาหาผมเดี๋ยวผมแวะไปหาพี่เองก็ได้ ชลบุรีแค่นี้เอง สบาย” ผมหัวเราะไปด้วย ถ้าคิดถึงมากๆ ไปหาถึงที่ก็จบเรื่อง
“ฝึกจบกูสามารถหางานทำในเมืองได้ ร่นระยะทางมาหน่อย”
“ใจจริงก็ไม่อย่างอยู่ห่างกันหรอก แต่ถ้าเรื่องทำงานพี่ทำกับแม่พี่ก็ได้นะ มันน่าจะโอเคกว่า ในเมื่อฝึกงานไปแล้วก็ทำงานที่นั่นเลย”
“มันไม่ง่ายหรอก ถึงจะมีเส้นสายแต่ต้องสอบ ต้องสัมภาษณ์งานอีก กูไม่อยากอยู่กับแม่ไปตลอดหรอก ชีวิตกูทั้งชีวิตต้องแบ่งให้แต่ละคนเท่าๆ กัน” อุตส่าห์หาคำพูดให้ผมยิ้มได้อีกนะ
“พูดได้ดีแฮะ”
“แน่นอน ไม่งั้นมึงจะทั้งรักทั้งหลงเหรอไง” พี่ท็อปเอื้อมแขนมากอดผมไว้ไม่อายฟ้าดิน
“ไว้ค่อยคิดก็แล้วกัน สนใจเวลานี้ดีกว่า”
เดินคุยกันจนเพลินก่อนจะเดินเข้าไปในเดอะปาร์ค สวนสาธารณะอันร่มรื่นและเงียบสงบของเหล่าผู้มีอันจะกินผมเลือกที่มีสวนกว้างๆ เพื่อให้ไอ้ทูวิ่งเล่นได้ พี่ท็อปปล่อยให้มันเล่นอยู่กับลูกบอล ผมปูผ้ารองพื้นแล้วจัดของออกมาวาง อีกฝ่ายเดินไปเปิดสายยางทำให้สปริงเกอร์หมุนให้ความชุ่มชื่นและเย็นสบาย 
“บางทีกูก็คิดถึงอนาคตที่มีมึงอยู่ด้วย มันออกมาไม่เลวนะ”พี่ท็อปเอ่ยช้า ๆ สายตาจับจ้องไปที่ไอ้ทู มันกำลังวิ่งเล่นไล่งับหางตัวเอง เจ้าตัวหมุนแหวนที่นิ้วเล่นไปมา
“อนาคตแบบไหน”ผมฟังแล้วยิ้มออก หันไปถาม 
“ไม่บอก รอให้ถึงเวลาแล้วกูจะบอกเอง” พี่ท็อปยิ้ม ผมเห็นประกายจากแววตาของอีกฝ่ายเมื่อสักครู่คงเป็นอะไรดีๆ ที่จะเซอร์ไพรส์ผมหรือไง ผมไหวไหล่ เรื่องอนาคตผมไม่ค่อยเร่งรีบ ไม่ใช่ว่าไม่กระตือรือร้น แต่ผมเป็นพวกแค่มองที่ปัจจุบันมากกว่า
“รอฟังเลยครับ” ผมยิ้มรับ
“มันเป็นอนาคตที่ดีนะ แต่ตอนนี้แค่เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ ก็พอ”พี่ท็อปพูด เหลียวมองผมอยู่นาน ก่อนจะเสมองไปทางอื่นแทน ผมกระตุกยิ้ม

“ผมโคตรชอบพี่เลยว่ะ”ผมมองคนข้างกาย อดไม่ได้ที่จะพูดความในใจออกไปไม่อย่างนั้นคงอกแตกตายแหง ยิ่งมาทำตัวน่ารักแบบนี้มันอดไม่ได้จริงๆ ถึงแม้ว่าใจของผมมันจะแปรเปลี่ยนไปเป็นความรัก มากกว่าความชอบไปแล้วก็เถอะ
“เออ รู้น่า แต่กูไม่พูดตอนนี้หรอกนะ เมื่อคืนก็พูดไปแล้ว...กูว่ากูแสดงออกชัดเจนนะ”พี่ท็อปยิ้ม ยื่นมือมาจับมือผมไว้ ผมยิ้มกว้าง รับรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังบอกรักตอบกลับมาด้วยเช่นกัน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-02-2018 14:34:37 โดย รินดาwดาริน »

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
 :mew1:   สุดยอดคุณแม่ น่ารักมากๆทั้งครอบครัวเลย รวมเจ้าทูหมาหนัามึนด้วยนะ
เดี๋ยวนี้บอกรักเต็มปากแล้ว ฟินจริงๆค่ะ
ขอบคุณที่มาต่อนะคะ แอบกลัวจะหายนาน   รอผิงและพี่ดีนอยู่นะคะ สู้ๆจ้า.  :3123: 

ออฟไลน์ kun

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-10
พี่ท็อปน้องสองน่ารักมากเลย เป็นวันเกิดที่คุ้มมากเลยของพี่ท็อปแก คุณแม่ก็ช่างรู้ใจลูกจัง แต่ท็อปต้องไปฝึกงานไกล สองจะเหงาแย่อ่ะดิ เอาทูไปเลี้ยงเลยไหมสอง พี่ท็อปวางแผนอนาคตเลี้ยงสองแล้ว ฟินๆๆๆ

ออฟไลน์ sweetbasil

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 807
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-3
 :-[แม่น่ารักมากอ่ะ เข้าใจลูกชาย

ออฟไลน์ NuNam

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-3
สนุกคะ เอาใจช่วยนักเขียนนะคะ  :mew1:

ออฟไลน์ Kaemmiizz

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 727
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-4
ให้สองเป็นเมียแบบนี้แหละถูกแล้ว ไม่รู้สิ บุคลิกสองอ่ะต้องเป็นผู้ตาม(ล่ะมั้ง)ไม่เหมาะเป็นสามีหรอก
#ท็อปสอง น่ารักว่ะ

ออฟไลน์ May@love

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 827
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +46/-2
แม่พี่ท็อปน่ารักมาก
สองน่ารักสุดๆ

ออฟไลน์ Snimsoi

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
สองโคตรรักพี่ท็อปเลยอะ อิจฉาท็อปจริงๆมีแฟนแบบสอง วันไหนท็อปว่างๆก็ให้สองขึ้นบ้างนะ :hao3:

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
สองมันเหมาะจะเป็นเมียจริงๆนั่นแหละ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด