เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียงวิศวะ ตอนพิเศษ 14.11.62 อัปจ้า
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียงวิศวะ ตอนพิเศษ 14.11.62 อัปจ้า  (อ่าน 248921 ครั้ง)

ออฟไลน์ boobooboo

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 748
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-2

ออฟไลน์ flimflam

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 881
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-4
สองดูจะพลิกยากแล้วล่ะแบบนี้
เสร็จพี่ท็อปถาวรแล้วมั้งนั่น 555555555555555

ออฟไลน์ รินดาwดาริน

  • OnTop&N'Song
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +243/-2
Deen diary
บทที่ 2 คนที่หายไปกลับมา (ต่อ)


เมื่อนั่งเอื่อยเฉื่อยทำใจสบายๆ จนเต็มอิ่มแล้วก็ขี่รถไปบ้านพี่ตองที่อยู่ห่างจากที่นี่ไม่ถึงหนึ่งกิโล รถบ้านของพี่ตองได้มาจากน้าชายที่ตายไปแล้ว ส่วนที่ดินผืนนี้เป็นของแม่พี่ตองถึงจะต่อเติมขยายพื้นที่โดยไปซื้อตู้คอนเทรนเนอร์มาเติมแต่ผมก็ไม่ชอบมันอยู่ดี เหมือนหายใจไม่ออก ถ้าพี่กัสไม่มีเรื่องจะคุยด้วยผมไม่ค้างที่นี่แน่ๆ
“ไง มาแล้วเว้ย” พี่ตองเปิดประตูต้อนรับ อากาศด้านในไม่ร้อนอย่างที่คิดแต่ข้าวของเรียงรายไม่เป็นระเบียบ ผมยิ้มทักทายพี่ตอง
“เออ จะนอนแล้วนะ อย่าเปิดเพลงหนวกหูล่ะ” พี่กัสบอก ผมเดินตามพี่กัสไป ห้องของพี่กัสที่ถูกแต่งเติมเข้ามาเหมือนเดินเข้าไปในกล่อง พี่กัสเข้าไปอาบน้ำผมเลยได้โอกาสสำรวจห้องนี้ แต่ไม่มีอะไรมากเพราะพี่กัสมีแค่กระเป๋าเสื้อผ้า
กึก กึก
พี่ตองเคาะประตูแล้วเปิดเข้ามา ก่อนจะเข้ามาคุยกับผม
“ไง ห้องสวยใช่ไหมวะ” พี่ตองยิ้ม
“พอได้ แต่อึดอัดไปหน่อย” ผมบอกไปตามตรง
“หึหึ มึงมันไม่ใช่สไตล์นี้ว่ะ นี่อุตส่าห์ซื้อผ้าปูกับผ้าม่านใหม่เลยนะเว้ย” พี่ตองบอก ผมไม่ได้ตอบอะไร อีกฝ่ายมองผม เหลือบมองไปทางห้องน้ำจากนั้นพูดกับผมด้วยท่าทีจริงจัง
“กูจะบอกอะไรให้นะไอ้น้อง ไอ้กัสมันไม่ใช่แบบที่มึงเห็นหรอก” ผมหันไปจ้องพี่ตอง เมื่อเจ้าตัวพูดแบบนั้น ทำไมต้องมาทำลับลมคมในใส่กันด้วย
“แบบไหนล่ะ” ผมถาม
“มันแสดงแบบไหนให้มึงเห็นล่ะ” พี่ตองยังเล่นลิ้นอยู่อีกผมถอนหายใจ
“ก็เหมือนที่พี่เห็น แต่ตอนนี้พูดจาดีกว่าเมื่อก่อนเยอะ” ผมบอก
“เออว่ะ เมื่อก่อนเถื่อนไปหน่อย ฮ่าๆ” พี่ตองหัวเราะก่อนจะเดินออกจากห้องไปทิ้งให้ผมคิดมากอีก ชักไม่ชอบใจพี่ตองเข้าไปทุกที
“เมื่อกี้ไอ้ตองเหรอ” พี่กัสเดินออกมาจากห้องน้ำ พันผ้าเช็ดตัวรอบเอว หันมองไปทิศทางประตูห้องที่ปิดสนิท
“ใช่พี่ กวนประสาท” ผมตอบอย่างหงุดหงิด
“อย่าไปสนใจมัน” พี่กัสเดินมาที่กระเป๋าเสื้อผ้าตัวเองแล้วหยิบเสื้อกับกางเกงออกมา เมื่อเห็นว่าผมยังอยู่กับที่เลยหัวเราะ
“ไม่อาบน้ำเหรอวะ ใส่เสื้อไอ้ตองก็ได้” อีกฝ่ายหันมาถาม
“ไม่ล่ะ ผมอาบก่อนออกมาหาพี่แล้ว” ผมบอกแล้วนิ่งไป หวังว่าพี่กัสจะไม่ตีความผิดๆ นะ จากนั้นผมเดินไปล้างหน้าในห้องน้ำซึ่งไม่กว้างมากนัก มีแค่ชักโครกพร้อมม่านปิดกั้นไว้ มีฝักบัวริมผนังอ่างล้างหน้าเล็กๆ ผมหยิบโฟมล้างหน้ามาใช้ ไม่งั้นคงนอนไม่หลับแน่ๆ
“มาเงียบๆ ทำไมเนี่ย” ระหว่างที่ผมล้างหน้าจนสะอาด ตอนที่ผมเงยหน้าขึ้นมา ก็เจอเข้ากับพี่กัส ผมมองอีกฝ่ายที่สะท้อนผ่านกระจกพอดี ผมตกใจนิดหน่อย ก่อนจะหันไปหาอีกฝ่ายที่ยืนอยู่หน้าประตู
“กูถามอะไรหน่อยดิ” พี่กัสเอ่ยด้วยท่าทางจริงจัง ไม่ละสายตาไปจากผม
“ว่ามาสิพี่” ผมตอบ ในใจหวั่นกลัวอยู่บ้าง
“ไอ้ตองบอกว่ามึงชอบกู” พี่กัสพูดเรียบๆ มองหน้าผมไปด้วย ผมใจหายวูบ แต่ทำท่าไม่สะทกสะท้านอะไร ผมไหวไหล่
“แล้วไงครับ ก็เคยชอบอยู่” ผมตอบไปตรงๆ
“แล้วตอนนี้ล่ะ” พี่ตองถาม
“ไม่รู้สิพี่ บอกไม่ถูก” ผมไหวไหล่ แต่รู้สึกว่าผมแคร์พี่กัสมากพอที่จะตามต้อยๆ อยู่แบบนี้ อันที่จริงผมควรกลับหอพักไปทำงานให้เสร็จน่าจะเข้าท่ากว่าด้วยซ้ำ
“มึงดูแปลกๆ นะดีน” พี่กัสพูด
“แปลกยังไง” ผมพูด มองอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ
“ไม่รู้สิ กูอึดอัดนิดหน่อย” พี่กัสหัวเราะออกมา
“ผมก็เป็นแบบนี้แหละพี่แค่ไม่สังเกต” ผมตอบห้วน ไม่คิดว่าเจ้าตัวจะเพิ่งรู้จริงๆ ว่าผมคิดยังไง
“พูดเหมือนงอน หึๆ คิดมากว่ะ” พี่กัสส่ายหน้า
“พี่อย่าทำเป็นไม่รู้หน่อยเลย” ผมพูดด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์นัก เพราะมันน่ารำคาญมากกว่าที่ต้องมาทำเหมือนเป็นคนโง่ๆ ไร้เดียงสาแบบนี้
“แล้วมึงหวังอะไรจากกู” พี่กัสพูด มองผมด้วยสายตานิ่งเฉย ทำให้ผมไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่นัก
“เปล่า” ผมตอบ
“จะให้กูเชื่อเหรอ”อีกฝ่ายเลิกคิ้วสูง ผมมองอีกฝ่ายอย่างไม่นึกกลัว
“ผมแค่อยากให้พี่รู้ก็แค่...” ผมพูดไม่จบ แค่มองพี่กัสเหมือนคนแปลกหน้า ตอนนี้ผมไม่เข้าใจพี่กัสมากกว่า
“มึงไม่ใช่คนแบบนั้นนี่ที่จะยอมหยุดเพราะแค่ให้กูรู้เท่านั้น” พี่กัสพูด ผมเหมือนถูกมัดมือชก จะบอกว่าไม่จริงก็คงโกหกตัวเอง แล้วพี่กัสคาดหวังคำตอบแบบไหนกันแน่
“ไหนว่าอย่าให้ผมคิดลึก แล้วพี่มาพูดแบบนี้กับผมน่ะเหรอ” ผมชักไม่พอใจ มาทำให้ผมดูเหมือนง่ายๆ แบบนี้หรือไง
“....กูแค่อยากรู้ก็เท่านั้น” พี่กัสไหวไหล่
“รู้อะไร” ผมถามห้วนๆ แต่พี่กัสไม่พูด
ผมไม่ชอบตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ ดูท่าทางพี่กัสจะไม่ปล่อยให้ผมออกจากห้องน้ำไปได้ง่ายๆ แน่ ผมเลยรอดูท่าไปน่าจะง่ายกว่า แต่ไม่คิดว่าพี่กัสจะทำแบบนี้ อีกฝ่ายแค่โน้มตัวมาใกล้แล้วจูบผมเหมือนพยายามปลุกเร้าเต็มที่ แต่ผมไม่รู้สึกด้วยเพราะผมไม่ต้องการอะไรแบบนี้
“รู้สึกยังไง” พี่กัสถามเมื่อขยับตัวออกห่างเปิดช่องให้ผมออกจากห้องน้ำได้
“ไม่โอเค” ผมเดินหนี “งั้นผมกลับดีกว่า”
“กูคิดอยู่แล้วว่ามึงไม่ง่าย และก็ไม่คิดว่ามึงอยากให้เรื่องจบลงแบบนั้นด้วย... ไม่อยู่คุยจริงๆ เหรอ คราวนี้ไม่ทำอะไรแปลกๆ หรอก” พี่กัสพูดแล้วยิ้มแต่ผมลังเลอยู่สักพัก เกือบๆ จะไม่ไว้ใจอีกฝ่ายเท่าไหร่นัก
“เฮ้อ คราวหน้าผมต่อยนะ” ปกติผมไม่ยอมให้ใครมารุกใส่ง่ายๆ แบบนี้
“เออ ดึกแล้วมานี่มา” พี่กัสกระโดดไปที่เตียงแล้วตบลงที่ว่างข้างๆ ผมแค่เดินไปที่เตียงแล้วนอนลงข้างๆ อีกฝ่ายที่แค่นอนมองเพดานเงียบๆ ภายในห้องเหลือเพียงแสงไฟจากโคมไฟสีอ่อนนวลตา
“ไม่คิดว่ามึงจะชอบแนวนี้”อีกฝ่ายพูดอย่างไม่เชื่อนัก ผมขำออกมา
“คิดแบบนี้จริงๆ น่ะเหรอ” ผมว่าพี่กัสน่าจะมองออก ถึงผมจะคบผู้หญิงบ้างแต่ไม่ใช่ว่าผมไม่เคยจีบผู้ชาย
“ก็คิดว่าแค่อยากรู้อยากลอง” ผมตัดสินใจว่าควรจะพูดออกมา
“บางทีผมอาจไม่มีโอกาสได้พูดอีก พี่เป็นคนสำคัญต่อผม ผมว่าพี่น่าจะรู้ ถ้าผมไม่เจอพี่ผมคงเละเทะกว่านี้” เส้นทางที่เหลวแหลกอาจจะเป็นนักเลงอยู่ข้างถนน
“อืม ไม่ใช่ว่ากูไม่รู้นะ แต่มึงเป็นเด็กที่สูญเสียการควบคุม อ่อนแอ ใจเหลาะแหละ ไม่ยากหรอกที่จะยึดเกาะใครสักคนได้ง่ายๆ” พี่กัสเริ่มพูดขึ้นมาบ้าง
“แต่ผม....”
“มันไม่ใช่ความรักหรอกดีน จริงๆ นะ มึงน่าจะรู้ตัว” พี่กัสพูดตัดบท ทำให้ผมนิ่งไป ผมคิดว่าพี่กัสสำคัญต่อผมในเชิงจิตใจ
“อืม ขอบคุณที่ย้ำ” ผมหัวเราะเยาะ แค่ผิดหวังไม่ถึงกับเสียใจ
“มึงจะเสียใจต่างหากถ้าเกิดตัดสินใจพลาดเกี่ยวกับกู” พี่กัสพูดแปลกๆ ผมหันไปมองเจ้าตัวที่ยังคงไม่ละสายตาจากฝ้าเพดาน
“ทำไมล่ะ”ผมถาม ในใจรู้สึกรวดร้าวขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ 
“กูไม่ใช่คนดี มึงก็รู้” พี่กัสหันมาสนใจผมแทนผมพยักหน้า
“อือ”
“หึๆ มึงเลือกได้นี่ กูไม่ใช่ทางเลือกของมึง ไว้กูพร้อมเมื่อไหร่กูจะเล่าเรื่องของกูฟังให้หมดทุกอย่าง” พี่กัสหันมองผมด้วยรอยยิ้มอบอุ่น
“จริงนะ” ผมตอบ แสดงว่าที่เล่าให้ผมฟังไม่ถึงเศษเสี้ยวความจริงเลยหรือไง
“อืม เล่าทุกอย่าง” อีกฝ่ายยืนยัน ผมถอนหายใจ อย่างน้อยอีกฝ่ายก็ยังเห็นผมอยู่ในสายตา
“อย่าให้รอเก้อล่ะ” ผมทำเสียงจริงจัง
“มึงนี่ขี้ประชด” อีกฝ่ายแค่หัวเราะ
“แล้วครั้งนี้จะย้ายไปไหนอีกไหม” ผมถาม รู้สึกกลัวขึ้นมา หากว่าเจ้าตัวจะหนีหายไปอีกครั้ง
“ถ้าไม่เกิดเรื่องอะไรก็ไม่ย้าย” พี่กัสตอบเสียงสดชื่นขึ้นกว่าเดิม
“ดี จะได้แวะไปเยี่ยมบ้าง” ผมบอก พี่กัสยังไม่ได้บอกเลยว่าบ้านอยู่แถวไหน
“ดีน” พี่กัสเรียกนิ่งๆ ดูท่าจะซีเรียส
“ว่าไงครับ”
“กูชอบมึงนะ แต่มันไม่มากพอที่กูต้องทิ้งทุกอย่าง” ผมฟังแล้วรู้สึกโหวงแปลกๆ มันหมายความว่ายังไงกันล่ะ ชอบงั้นเหรอ...
“พี่พูดแบบนี้หมายความว่าไงกันแน่วะ” บางครั้งผมก็เกลียดที่ต้องกลับมาตีความคำพูดของคนอื่น
พี่กัสยิ้ม “แค่อยากให้รู้ กลัวมึงคิดมาก”
“แล้วที่พูดมานี่มันดีขึ้นไหม” ผมพูดเรียบๆ บอกไม่ถูกว่าควรดีใจไหม
“โทษทีๆ มึงก็รู้ว่ากูมันคนตรง”พี่กัสบอก ผมส่ายหน้า ตรงแบบนี้ก็ไม่ดีนะ ควรอธิบายให้เข้าใจด้วยสิ
 "กู๊ดไนท์" พี่กัสบอกก่อนจะนอนพลิกไปอีกด้านแทน
ในคืนนั้นผมนอนกระสับกระส่ายเพราะอึดอัดกับห้องนอนและคิดวนเวียนเรื่องพี่กัสซ้ำแล้วซ้ำเล่า


บทที่ 3 ยิ่งเกลียดยิ่งเจอ
ผมกลับมาที่หอพัก ใช้เวลาไปตั้งยี่สิบนาทีจากตัวเมือง รถติดแต่เช้าทำให้ผมสาย เมื่อเดินมาถึงชั้นของผมกลับกลายเป็นว่าต้องเจอเรื่องน่าหงุดหงิดก่อนเข้าคณะ ไอ้แกนมันยืนพิงประตูห้องผม ไม่รู้ว่าอยู่นานหรือยัง
“มึงมาทำไมอีก” ผมถามห้วนๆ ไอ้แกนขยับตัวบังประตูไว้คงกะไม่ให้ผมเข้าห้อง
“มีเรื่องจะถาม” มันเองก็ดูหงุดหงิดพอๆ กัน
“ว่ามา” ผมแปลกใจมันจะมาไม้ไหนกันแน่
“ฝีมือมึงเหรอ เรื่องอาจารย์” ไอ้แกนขึ้นเสียงใส่อย่างไม่พอใจ ไอ้เรื่องนี้เองน่ะเหรอ ผมได้ยินมาว่ามันโดนอาจารย์เรียกไปคุยเรื่องที่ไปพนันขันต่อกับการชกมวยกับรุ่นน้อง ทั้งเรื่องไอ้สอง ไอ้ท็อป ไม่รู้ว่าใครเอาไปฟ้องอาจารย์ จนเกิดเรื่องเข้า
“หมายถึงเรื่องอะไรล่ะ กูแค่พูดความจริง อาจารย์ถามกูก็ต้องตอบ” ผมบอก เพราะอารจารย์เรียกผมไปสอบถาม ผมตอบไปเท่าที่รู้ เป็นข้อเท็จจริง
“มึงวางแผนเอาไว้แล้วนั่นแหละว่ะ กูอาจมีปัญหาได้นะเว้ย นี่ไม่ใช้เรื่องสำคัญแบบนี้มาเอาคืนกูนะ” มันเดินเข้ามาผลักผมเหมือนจะมีเรื่อง
“กูเปล่า อาจารย์แกสงสัยมานานแล้ว ถึงไม่ได้ฟังจากกูอาจารย์ก็รู้จากคนอื่นอยู่ดี ไม่แน่อาจช่วยใส่สีตีไข่ให้พร้อมด้วยมั้ง” ผมบอกไปตามความจริงเพราะอาจารย์ก็ตามเรื่องนี้อยู่
“ถ้ามึงทำพัง กูไม่อยู่เฉยแน่” ไอ้แกนชี้หน้าผม
“กูไม่คิดเหมือนกันว่าเรื่องมันจะเลยเถิด จะโทษกูไม่ได้” ผมไม่ใส่ใจเพราะไม่ใช่ความผิดของผม
“มึงมันบ้า” ไอ้แกนตะคอกใส่
“ไม่เท่ามึงหรอก” ผมตอกกลับก่อนจะผลักมันออกไปให้พ้นทางแล้วรีบไขกุญแจห้อง
“กูขอโทษ” ไอ้แกนพูด ผมถอนหายใจแรงๆ แล้วหมุนลูกบิดเข้าไปในห้อง “กูจะพูดจนกว่ามึงจะยอมรับ ดูสิว่ามึงจะทนทิฐิสูงไปได้นานแค่ไหน” มันเข้ามาคว้าบานประตูไว้ได้ ดีแค่ไหนที่ผมไม่ได้ปิดเต็มแรง
“ก็ได้ กูรับคำขอโทษของมึง” ผมบอกมันจะได้ไปเสียที
“มึงน่าจะยอมฟังคนอื่นบ้าง” มันพูดนิ่งๆ
“กูฟังมามากพอแล้ว”
“มึงเป็นเอามากขนาดนี้เพราะเรื่องสมัยมัธยมน่ะเหรอ มันทำร้ายมึงขนาดนี้เลยหรือไง” มันยังจะเอาเรื่องเก่ามาพูดอีก
“มึงก็รู้นี่” ผมตอบแบบรำคาญ
“ตอนนั้นกูยังเด็ก” มันพยายามหาข้อแก้ตัว
“เด็กเหี้ยๆ” ผมพูดต่อให้ประโยคสมบูรณ์
“ก็ใช่”
“ตอนโตนิสัยไม่เปลี่ยนเท่าไหร่” ผมพูดเยาะๆ
“กูขอโทษ” มันมองหน้าผม ทำไมมันต้องมาพูดซ้ำซากอีก
“ถือว่าหมดเรื่อง มึงเลิกมาให้กูเห็นหน้าได้แล้ว อยู่ในที่ที่ควรอยู่เหมือนเมื่อก่อนไง ส่วนเรื่องที่กูจะรับคำขอโทษหรือไม่ยังไงกูจะเก็บไว้เอง” ผมบอกกับ มันไอ้แกนเงียบก่อนจะยอมรับ
“โอเค”
“เออ” ผมปิดประตูทันที หมดเรื่องก็ดี ผมเดินเข้าห้องน้ำส่องกระจก รู้สึกว่าโทรมไปหน่อย คราวนี้ก็หมดเรื่องให้ต้องคิดไปอีกเรื่อง
ตอนนี้ผมขอทุ่มให้กับงาน ผมยกเลิกนัดกับคนอื่นๆ ให้หมดเหลือแต่พี่กัสและงานที่คณะเท่านั้นที่ผมควรค่าแก่การเสียเวลา ไอ้แกนก็ทำได้อย่างที่มันพูด พวกผมกลับเข้าสู่โหมดปกติอีกครั้งตามที่ควรจะเป็น ไม่วุ่นวายต่อกัน
“งานบายเนียร์ปีนี้น้องๆ จัดธีมอะไรให้พวกเราวะ” เพื่อนในสาขาคนนึงถามขึ้นมาคนอื่นๆ เลยถามกันให้วุ่น
“ย้อนยุคๆ” ใครสักคนตอบ
“อืม กูใส่ชุดแหยมเลยดีไหมวะ” ไอ้กรหันมาพูดกับไอ้ติ
“เออ ได้อยู่ตัวดำๆ” มันหัวเราะ
“ตลกล่ะ”
“มึงนั่นแหละ ขอหล่อๆ สิวะ มาแนวตลกอีก ปีสุดท้ายทั้งที”
“เออว่ะ” มันหัวเราะกันครื้นเครงแต่ผมไม่อยู่ในอารมณ์นั้น
“เป็นอะไรอีกวะเพื่อน ทำหน้าเหมือนโลกจะแตก”ไอ้ติอีกตามเคย
“เปล่า แค่คิดอะไรเพลินๆ เว้ย”ผมตอบกลบเกลื่อนกลับไปอย่างไม่ใส่ใจนัก
“เอาแบบนี้ไหม วันนี้กูแดกเหล้าที่หอไอ้นะ มาแจมด้วยกันสิวะจะได้เลิกฟุ้งซ่านซะที”ผมชั่งใจเล็กน้อยแต่มันก็ไม่น่าจะเสียหายอะไรผมเลยตกปากรับคำไป
กว่าจะออกจากคณะฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว พวกนั้นเลยแบ่งกันไปซื้อของในวงเหล้า ส่วนใหญ่จะคุยเรื่องสาวๆ ซะมากกว่า ผมไม่มีอารมณ์มาฟังเรื่องพวกนี้เท่าไหร่ ในหัวคิดวนเวียนเรื่องพี่กัสที่พูดแบบนั้นต้องหมายถึงอะไร 'ไม่มากพอที่จะละทิ้งทุกอย่าง' ทุกอย่างนี่หมายถึงอะไร พี่กัสก็ไม่มีอะไรนอกจากตัวเอง หรือว่าเรื่องครอบครัวกัน
“เป็นอะไรวะดีน” ไอ้ติเดินมานั่งข้างๆ พร้อมแก้วเหล้าในมือสีเข้มเสียด้วย
“กะจะเมาเลยเหรอวะ” ผมถามมันก่อนจะดึงบุหรี่มาสูบสักมวน
“เออ แดกเหล้าต้องแดกให้เมา” มันหัวเราะ
“จะค้างกับพวกนี้เหรอ”ผมถาม พยายามเปลี่ยนเรื่องคุย
“อือ มึงชอบเก็บเรื่องไว้คนเดียว พวกกูดูออกนะเว้ยว่ามึงเครียด มึงมีความลับกูก็ไม่ติดใจอะไรหรอกแต่ถ้ามันทำให้มึงเป็นบ้าแบบนี้ระบายออกมาได้นะ”อีกฝ่ายเหลือบมองผมอย่างเป็นห่วง ผมดีใจนะที่มันสังเกตเห็น แต่ผมไม่อยากปรึกษาใคร โดยเฉพาะเรื่องเก่าๆ
"ขอบใจนะที่ห่วงกู แต่มันก็ดีขึ้นเอง”
"เหมือนกูไม่ค่อยรู้จักมึงเลยว่ะ" ไอ้ติพูด ผมหัวเราะในใจ เออ มึงไม่รู้จักกูจริงๆ หรอกเพื่อน
"กูก็เป็นกูนี่แหละ" ผมพึมพำแล้วถอนหายใจ
"กูสงสัยนะ สรุปมึงเป็นไบหรือว่าเกย์กันแน่" ผมว่ามันคงเมาถึงได้ถามแบบนี้ออกมา
"สำคัญด้วยเหรอวะ" ผมลุกเดินหนีมันมาที่วงเหล้าแทนทำผมอารมณ์เสียกว่าเดิมอีก
"เฮ้ย โซดาหมด กูบอกให้ซื้อมาเยอะๆ” พวกมันบ่นกันให้วุ่นวาย
"เดี๋ยวกูออกไปซื้อเอง ว่าจะไปซื้อบุหรี่” ผมเลยอาสาออกไปซื้อเพราะไม่อยากอยู่ในวงเหล้าเท่าไหร่
"เออ ซื้อบุหรี่ให้กูซองหนึ่ง"ไอ้กรยกมือบอก

ผมแวะเซเว่น ไม่วายหยิบลิปตันมาแพ็กหนึ่งเพราะนึกอยากลองของเก่าเลยต้องขี่รถไปทางสายหลังแวะมาซื้อยาร้านลุงทัศ ซึ่งมียาทุกประเภท ส่วนมากเด็กช่างกล ปวส. ปวช. จะมาอุดหนุนร้านลุงแกเยอะ ผมไม่อยากคิดถึงโทษของมันนัก แค่ไม่กี่ครั้งก็ไม่เป็นอะไรหรอก ผมรู้ลิมิตของตัวเอง
“ทรามาดอล” ผมพูดเบาๆ ลุงแกมองหน้าผมก่อนจะถอนหายใจ
“อย่าบอกว่ามาจากลุงล่ะ เดี๋ยวนี้กำลังกวาดล้างอยู่ ลุงต้องขายให้หมดสต็อก เอากี่แผง ถ้าสิบเอ็ดแผงไปเลยห้าลิตรเดี๋ยวลุงลดให้” ผมส่ายหน้า เยอะแบบนั้นได้ตายพอดี
“แผงเดียวพอครับ ไม่ได้ติด” ผมบอก ไม่อยากเสวนากับลุงนัก
“เหอะ ลุงไม่ใช่เด็กนะเว้ย อย่าโผล่มาร้านลุงอีกก็แล้วกัน" ลุงแกหัวเราะ ผมจ่ายเงินแล้วรีบบึ่งรถกลับ แต่เหมือนไปเหยียบโดนกับอะไรสักอย่างเข้าเพราะรถส่ายไปมาจนผมต้องจอดลงมาดู ซวยแล้วไง ยางรั่ว
ผมมองเส้นทางที่เงียบกริบและมืด ทางสายหลังไม่ค่อยมีไฟข้างทาง ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมไม่มาซ่อมแซมสักที แต่ผมกังวลอย่างอื่นมากกว่า แถวนี้เคยมีโจรปล้นชิงทรัพย์ด้วย ผมล้วงเอาโทรศัพท์ออกมาแต่ดันแบตหมดซะงั้น ผมก้มดูที่ล้อรถกลับมีหมุดเรือใบติดอยู่สองสามอัน ซวยฉิบ
ผมต้องไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด แต่แล้วแสงไฟจากรถมอเตอร์ไซด์ทางด้านหน้ากำลังใกล้เข้ามา ถ้าให้เดาไม่ได้มาดีชัวร์
“รถเป็นอะไรเหรอครับ” เสียงวัยรุ่นคนนึงถามซึ่งซ้อนกันมาสองคน
“รถยางรั่วแต่เดี๋ยวเพื่อนก็มารับแล้ว อยู่แถวนี้เอง ไม่ไกล” ผมตอบอย่างระวังและคิดว่าพวกมันคงต้องมาจี้แน่ สองคนนั้นเดินเข้ามาใกล้ อีกคนอ้อมไปด้านหลัง
"ถ้าไม่อยากไส้ไหลเอากระเป๋าเงินมา” ไม่พูดเปล่ามันจ่อมีดปลายแหลมใกล้กับเอวผมทำนองขู่ ผมยืนนิ่งจากที่สังเกตมันมีมีดพกแค่คนเดียวแถมยังตัวผอมแห้งเหมือนพวกติดยา
"เฮ้ย มึงดูนี่... มีของดีด้วยเว้ย” มันหยิบถุงของที่ผมซื้อไปถือไว้ ผมมองหน้าอีกคนที่ยืนถือมีดจ่อ ผมจำใจต้องล้วงไปที่กระเป๋ากางเกงแต่สุดท้ายแล้วก็เลือกที่จะซัดหมัดใส่หน้ามันไปแรงๆ ก่อนเอี้ยวตัวหลบวิถีมีดของมัน แต่เหมือนโดนเฉียดๆ บริเวณชายโครงเสียวแปลบขึ้นมาทันที พวกมันมันร้องโวยวาย
ผมผลักมันไปให้ไกลๆ อีกคนจะเข้ามาต่อย แต่ผมคว้าก้อนหินแถวนั้นขว้างใส่ลำตัวมันแทน เหมือนมีเสียงสวรรค์ช่วยชีวิต แสงไฟกะพริบสลับซ้ายขวาจากรถตรวจการของมหาลัยที่พวกชมรมอาสากู้ภัยของมอใช้ทำงาน กับรถมอเตอร์ไซด์อีกสองสามคันขี่ตามหลังมา พวกโจรตั้งท่าจะหนี
“ทางนี้ๆ”
“เฮ้ยๆ เดี๋ยวมันหนี” เสียงตะโกนโหวกเหวกดังไปทั่ว พวกนั้นขี่รถไปดักหน้าก่อนจะลงมาจับตัวไอ้สองคนนั้นไว้แล้วจะวอเรียกตำรวจ
“อ้าว นี่เพื่อนเก่าเรานี่หว่า” เเสงไฟจากไฟฉายส่องมาที่ผมจนแสบตา ผมเอามือบัง ส่วนคนพูดคือ ไอ้จิว ซี้ของไอ้แกน ผมอารมณ์เสียหนักกว่าเดิมก่อนเห็นไอ้แกนเดินมาที่รถมอเตอร์ไซด์ของผมแล้วก้มหยิบถุงของที่ผมซื้อจากพื้นมาถือ
“ของมึงเหรอ” มันถามแล้วหยิบแผงยากับลิปตันออกมาดู พวกมันมองหน้ากัน
“ดูเหมือนกูเจอแจ็กพอต คราวนี้กูคงได้เหรียญดีเด่น” หนึ่งในนั้นพูดกัน
“อะไรของพวกมึงวะ” ผมสบถอย่างหัวเสีย รู้สึกถึงลางร้าย พวกอาสาสมัครเข้าไปจับตัวโจรสองคนนั้นกดไว้ติดกับพื้นจนดิ้นไม่หลุด
“ไอ้ดีน คิดว่ากูไม่รู้เหรอว่าคืออะไร" ไอ้จิวขึ้นเสียงใส่
“ก็แค่ของมึนเมา" ผมตอบแบบส่งๆ และพวกมันคงไม่เชื่อ
“หึ น้องๆ ยาเสพติดดีๆ นี่เอง” ใครคนหนึ่งพูดทำเอาผมหน้าซีดไปเลย ผมไม่คิดว่าไอ้พวกนี้จะมาเจอผมในสภาพแบบนี้หรอก
“เฮ้ยมันเลือดออก” อีกคนส่องไฟมาที่ลำตัวผมซึ่งผมเองไม่ทันได้สังเกต ผมจับที่ชายโครงมีเลือดออกพอสมควร รู้สึกปวดแผลขึ้นมาทีละนิด ผมเม้มปาก
“พามันไปโรงพยาบาล” ใครคนหนึ่งพูด ไม่นาน ผมก็ได้ยินเสียงหวอตำรวจมาไกลๆ
ไอ้แกนเดินมาหาผม “เอาไงดีวะ”
“เออ มึงทำให้ไอ้แกนจบช้ากว่าพวกกู” ไอ้จิวเดินมาหาผมเหมือนจะหาเรื่องแต่เพื่อนมันจับไว้
“หมายความว่าไงวะ” ผมไม่เข้าใจที่มันพูดก่อนจะหันไปมองไอ้แกนที่ทำหน้าเหมือนโกรธแค้นผมมาสิบชาติ
“จารย์ลพติดไอมันเป็นข้ออ้างเรื่องชกต่อย มันเลยจบปีหน้า รับคนละรอบกับพวกกูไง ดูท่าแล้วถ้าส่งของนี่ให้ตำรวจมึงจะซวยยิ่งกว่าจบช้าอีก” ไอ้จิวยิ้มเหมือนสะใจ
อาจารย์ไม่น่าให้มันจบช้า ใครจะไปคิดว่ามันจะออกมาแบบนี้ ทำเอาผมพูดไม่ออก
“อย่านะเว้ย” ผมต้องปรามมันไว้แต่เพราะแรงตะโกนทำให้เลือดออกมาเรื่อยๆ ผมเพิ่งรู้สึกถึงความเจ็บที่บาดแผล
“เฮ้ย ไม่ต้องหรอก แค่ให้มันบอกชื่อร้านขายยาก็พอ คงจับพวกอื่นได้ อีกอย่างมันคงไม่ติดหรอกมั้ง” ไอ้แกนเข้ามาห้ามทัพก่อนจะหันมาพูดด้วย
“ไม่ได้ติด”ผมพูดกับอีกคนหนึ่งแทน
“มึงจะเอางั้นเหรอแกน” ไอ้จิวทำหน้าไม่พอใจ ไอ้แกนแค่เก็บถุงยาโยนลงใต้เบาะรถของมัน จากระยะไม่กี่เมตรผมเห็นรถตำรวจขับตรงมาทางพวกผม
“พามันไปโรงบาลก่อนค่อยคุย” คนที่เป็นแกนนำอาสาพูดกับไอ้แกน
ผมต้องซ้อนไอ้แกนเข้าไปที่โรงพยาบาลของมหาลัย โชคดีที่เอาบัตรนิสิตติดมาด้วยทำให้ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายแบบเต็มราคา ที่สำคัญแผลไม่ลึกมากแต่ต้องเย็บสามสี่เข็ม ต้องมาเช็ดแผลตามเวลานัด สภาพแบบนี้ทำให้ผมจะมีปัญหาเรื่องงานที่คณะเอาได้ พอออกมาจากแผนกฉุกเฉินก็เจอกับไอ้แกนและผมก็หมดคำพูด มันไม่น่ามาเจอผมในสถานการณ์แบบนี้
“เดี๋ยวมึงต้องไปให้ปากคำ” มันไม่ได้พูดอะไรถึงเรื่องยานั่นอีกเลย แค่พาผมไปสถานีตำรวจที่ป้อมบริเวณหน้ามหาลัย “ส่วนเรื่องทรามาดอลพวกนั้นไม่ลงบันทึกไว้แต่จะเเจ้งเบาะแสเรื่องร้านขายยา” มันพูดกับผมก่อนที่จะเข้าสน.
“แล้วกูจะโดนด้วยไหม เจ้าของร้านเห็นหน้ากู” ผมจำเป็นต้องคุยกับมัน กังวลเรื่องตำรวจจะสืบเจอได้ง่ายๆ แบบนั้นยิ่งแย่กว่าอีก
“คงไม่ เพราะไม่ใช่แค่มึงหรอกที่ไปซื้อ เด็กมอเราก็มี” อีกฝ่ายตอบกลับมาเรียบๆ ผมแปลกใจ ทำไมมันถึงมาทำชมรมอาสานี่ได้ มันว่างขนาดนั้นเลยเหรอ ไอ้แกนมองหน้าผมนิ่งๆ “กูจบช้ากว่าพวกมึง”
“แล้วกูผิดเหรอ” ผมพูด ถึงจะโกรธเกลียดมันแต่ไม่ได้อยากให้มันจบช้ารับปริญญาพร้อมรุ่นน้องหรอก
“ก็ไม่ได้บอกแบบนั้น” มันแค่มองหน้าเงียบๆ

จากนั้นก็ไปให้ปากคำที่สถานีตำรวจ ไอ้โจรนั่นถูกจับแต่ปากมันพล่ามเรื่องยาอีก โชคดีที่ตำรวจที่รับแจ้งรู้จักกับพวกไอ้แกนผมเลยไม่ถูกสอบไปมากกว่านี้ ส่วนรถผมเอาไปซ่อมที่ร้านทำให้ผมต้องกลับกับมันแทนแม้จะไม่เต็มใจก็เถอะ
“ไม่คิดว่ามึงจะเล่นของพวกนี้” ไอ้แกนรีบพูดหลังจากที่ลงสน.มาที่ลานจอดรถด้านหน้า
“กูยังไม่ได้ใช้” ผมพูดสั้นๆ ไม่อยากให้มันพล่ามเรื่องนี้อีก
“ก็นั่นแหละวะ แค่มึงมีมันก็เท่ากับมึงเล่น แสดงว่าเคยใช้เหรอ"ผมไม่ตอบอะไร
“ถึงกูจะเหี้ยแค่ไหนแต่ไม่เคยยุ่งกับยา คิดดูเอาว่าใครเหี้ยกว่ากัน” มันตอบด้วยอารมณ์โมโห ก่อนจะเดินมาดักหน้าผม
“มึงจะเอาอะไรว่ามา” ผมพูดอย่างหมดความอดทน
“ก็เปล่า แค่รู้สึกสมเพชมึง”
“มึงมีสิทธิพูดแบบนี้กับกูเหรอวะ” ผมผลักมันไปให้พ้นๆ ทางอย่างโมโห
“ทำไม กูช่วยชีวิตมึงไว้ก็แล้วกัน ถ้าไม่ได้พวกกูป่านนี้มึงนอนในคุกในตารางไปแล้ว ไม่รู้หรือไงว่าตำรวจอยากกวาดล้างวัยรุ่นขี้ยาพวกนี้แค่ไหน" มันตะโกนใส่เสียงดัง
"มึงจะไปส่งกูไหม ถ้าไม่ก็หุบปากเรื่องนี้" ผมเดินหนีออกจากมันแล้วเดินไปเรื่อยๆ แถวนี้น่าจะเหลือวินมอเตอร์ไซด์บ้าง
“เฮ้ยมึง อย่ามาทำหยิ่ง แถวนี้ไม่มีวินแล้ว มากับกู” มันขี่รถตามมาใกล้ๆ ผมไม่พูดอะไรแค่เดินไปซ้อนรถมัน ตอนนี้ผมมึนไปหมด เรื่องมันเกิดขึ้นเร็วมาก กลับกลายเป็นว่าผมติดหนี้บุญคุณมันครั้งใหญ่ ถ้าหากเรื่องหลุดไปถึงคณบดีผมตายแน่ๆ
ไม่กี่นาทีมันก็พาผมมาถึงหอพัก
“มึงติดค้างกู” ผมชะงักกับคำพูดของมัน ไอ้แกนโยนถุงของมาให้ผม “เลือกเอานะอยากช็อกเพราะยาหรือเปล่า”
“กูไม่โง่” ผมส่ายหน้า ใครจะบ้าทำตัวเองช็อก
“โง่สิวะ ร่างกายมึงรับยาพวกนี้ไม่ไหวหรอก มึงนอนดึกมาหลายวัน กูช่วยชีวิตมึงจากตำรวจ โจร แล้วก็ยา” ไอ้แกนเริ่มเสียงดัง มันทำท่าเหมือนจะลำเลิกบุญคุณ
“ทำไมกูต้องชดใช้ให้มึงว่างั้นเหอะ”
“เปล่า... กูกับมึงก็ติดค้างเท่าๆ กันไม่ใช่เหรอวะ มึงกับกูเป็นเพื่อนกันได้”
“เพื่อน! มึงกล้าพูดนะ หึ ทำไมไอ้ท็อปไม่กลับมาคบมึงล่ะทั้งๆ ที่ก็เคลียร์กันแล้ว” ผมยกตัวอย่าง เพื่อนไม่ได้จะเป็นกันง่ายดายโดยเฉพาะผมกับมันไม่มีทางเด็ดขาด
"ก็นั่นมันไอ้ท็อป แต่กูพูดกับมึงนะ อย่างน้อยๆ ญาติดีกันได้เก็บเอาไปคิดด้วยแล้วกัน" ไอ้แกนพูดก่อนจะบึ่งรถกลับไปตามทาง ผมเดินกลับห้องก่อนจะโยนของลงบนเตียง ชาร์จแบตโทรศัพท์มีเบอร์พวกเพื่อนผมโทรตามเป็นสิบๆ สาย
ผมโทรหาไอ้ติ
[เชี่ย หายไปไหนมาวะ]
"กูเจอเรื่อง แม่งเกือบถูกแทงตายห่าแล้ว" ผมเล่าเรื่องให้มันฟังยกเว้นเรื่องยานั่น
[โชคดีไป แต่เป็นไอ้แกนแบบนี้มันไม่มาตามทวงบุญคุณกับมึงเลยเหรอวะ]
"ไม่รู้ดิ ฝากบอกพวกไอ้กรมันด้วยนะเว้ยที่ทำให้เป็นห่วง"
[เออๆ มึงปลอดภัยก็ดีแล้ว]
ผมวางสายก่อนจะเดินมานอนที่เตียง อาการเจ็บแผลเริ่มแผงฤทธิ์ทีละน้อย ผมหยิบยาขึ้นมาพิจารณา อย่างน้อยก็เมาได้สักชั่วโมงสองชั่วโมง แต่นึกถึงความเสี่ยงแล้วผมต้องโยนมันทิ้งลงถังขยะ
พรุ่งนี้เช้า...
ผมไม่อยากเข้าคณะเลยจริงๆ เพราะรู้ดีว่าพวกไอ้จิวต้องมาดักรอแน่ๆ มันรักเพื่อนมันกันแทบตาย ทุกคนเห็นดีเห็นงามไปทุกๆ เรื่องกับไอ้แกน มันคงไม่ปล่อยผมเรื่องที่ทำให้เพื่อนมันจบช้าทั้งๆ ที่ก็ไม่ใช่ความผิดผมเลย ถึงมันจะเริ่มต้นมาจากผมก็เถอะ แต่อาจารย์รู้เรื่องมาจากเด็กปีหนึ่งแท้ๆ
ส่วนไอ้แกน ผมต้องเป็นเพื่อนหรือว่าญาติดีกับอีกฝ่ายจริงๆ เหรอ ผมหลับตาแน่น พยายามข่มใจไว้
"ทำไมมันต้องเป็นแบบนี้ด้วยวะ" ผมสบถคำหยาบออกมา แต่ก็ไม่มั่นใจว่าไอ้จิวจะเก็บเรื่องไว้เงียบๆ ได้จริงไหม ผมนึกภาพไม่ออกจริงๆ
ท้องไส้ของผมไม่ได้ปั่นป่วนมากนักเมื่อคิดเรื่องไอ้แกน มันเป็นเพียงแค่ความวิตกเรื่องความเป็นไปได้ หากว่าต้องเป็นมิตรกับมันเพราะลึกๆ แล้วใจผมรู้ดีว่าความโกรธแค้นในตัวไอ้แกนมันลดน้อยลงตั้งแต่วันที่มันมาขอโทษผมที่หน้าประตู
นั่นแหละที่อันตราย
อะไรจะเกิดก็ต้องให้มันเกิด ยังไงก็แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-02-2018 16:11:04 โดย รินดาwดาริน »

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ รินดาwดาริน

  • OnTop&N'Song
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +243/-2
Deen diary
บทที่ 4 หัวใจที่ไม่แข็งแกร่ง

เช้าวันต่อมา ผมเข้าคณะตามปกติ แต่ทว่าไร้วี่แววของไอ้จิวกับพวก ซึ่งทำให้ผมแปลกใจและหวั่นใจไปพร้อมๆ กัน อาการปวดของบาดแผลทุเลาลงแล้ว แต่ยังไม่สามารถเดินนานๆได้ ผมเลยไม่อยากจะขยับตัวไปไหนมากนัก ผมเดินมาจนถึงหน้าบันไดเพื่อขึ้นไปยังสตูก็เจอกับไอ้แกน ทำให้ผมหยุดชะงักก่อนจะถอนหายใจ ผมเบื่อหน้ามันมากกว่าที่จะหงุดหงิดเหมือนปกติ
“มาปิดบัญชีกันดีกว่า รู้ไหมว่าเพื่อนๆ กูไม่ชอบมึงแค่ไหน” มันพูด ท่าทางเหมือนเอืมระอา ผมเห็นว่ามันยังสะพานกระเป๋าเป้อยู่ แสดงให้เห็นว่ามันตั้งใจจะมาดักรอผม
“เออ กูรู้”ผมตอบ เห็นๆอยู่เพื่อนๆของมันไม่ชอบผมจริงๆ โดยเฉพาะ ไอ้จิว
“แต่เรื่องนี้กูมีเอี่ยวเลยขอจัดการเองน่าจะง่ายกว่า” ไอ้แกนพูด ยืนนิ่งไม่ขยับไปไหน ไม่ละสายตาไปจากผม ทำเอาผมเองที่อดจะเบือนหน้าหนีไม่ได้
“ว่ามาสิ”ผมบอกเบาๆ ก่อนจะกอดอกรอคำถามของอีกฝ่าย
“ได้กลับเอาไปคิดทบทวนหรือยัง” ไอ้แกนย้อนถาม จนผมชะงักไปเอง เมื่อคืนผมไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้น ไม่มีคำตอบอะไรทั้งสิ้น ผมได้แต่เงียบ
“ว่าไง...” อีกฝ่ายเอ่ยถาม แล้วขยับตัวเข้ามาหา
“กูมีทางเลือกเหรอ” ผมถอนหายใจก่อนจะเดินถอยห่างเว้นระยะออกจากไอ้แกน
“หึ ก็ดี เพราะต่อจากนี้ไปมึงอาจต้องเจอพวกกูบ่อยๆ” อีกฝ่ายเอยยิ้มร้ายๆ เหมือนเคย ผมมองนาฬิกาข้อมือเพราะไม่อยากเข้าเรียนสาย ผมถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย
“กูไม่สนใจหรอก ตราบใดถ้าไม่มาก้าวก่ายพวกกู”
“อีกไม่กี่เดือนก็จะจบกันแล้ว ต่างคนต้องแยกย้ายกันไป กูอยากให้มันจบสวยๆ ไม่ค้างคา” เจ้าตัวพูดแล้วเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า ทำให้ผมต้องเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายอย่างตรงไปตรงมา
“เออ...”ผมส่งเสียงตอบไปเบาๆ อีกฝ่ายเหลือบมองผมอยู่นาน มันเม้มปาก
“แล้วมึงโอเคไหม” ไอ้แกนเหมือนคิดอะไรก่อนจะเอ่ยถ้อยคำออกมา มันขมวดคิ้วเข้าหากัน
“อะไรนะ” ผมไม่เข้าใจที่มันถาม หมายถึงแผลหรือว่าอย่างอื่น
“ช่วงนี้มึงดูเครียดๆ แล้วแผลมึงเป็นยังไงบ้าง” อีกฝ่ายถอนหายใจ ยังคงไม่ละสายตาไปจากผมเสียที แววตาที่มองมามีความห่วงใยอยู่ ผมคิดว่าตาฝาดไปเอง แต่ก้เห็นความชัดเจนนั้นจนอึดอัด
“ทำไมเหรอ เกิดสนใจกูขึ้นมางั้นสิถึงได้อยากรู้” ผมพูด ไม่ตอบคำถามอีกฝ่าย
หลายที่ผ่านมา ผมไม่เคยสนใจรสนิยมของอีกฝ่ายเลยสักนิด ไอ้แกนปกติก็คบผู้หญิง แต่ช่วงหลังดูมันจะเงียบไป มีแต่ปัญหาเข้ามามากกว่าเรื่องสาวๆ ซึ่งผมไม่เคยฉุกคิดหรือเอะใจว่ามันสนใจผู้ชายหรือเปล่า แต่เท่าที่ผมสังเกตมันเป็นผู้ชายแท้ๆมากกว่า
"กูแค่ได้ยินพวกเพื่อนๆ มึงพูดกัน หึ มึงนี่ไม่ยอมให้เพื่อนรู้จักมึงจริงๆ บ้างหรือไง"ไอ้แกนพูด ผมเหมือนโดนแทงใจทำเลยกลบเกลื่อนสีหน้าและคำตอบ
"อย่ามารู้ดี" ผมผลักมันไปให้พ้นทางเพราะเสียเวลาอยู่ตรงนี้นานเกินไป
"กูว่ารู้จักมึงพอสมควรเลยนะ" ไอ้แกนพูดนิ่งๆ โทนน้ำเสียงที่ใช้ดูหนักแน่นซึ่งทำให้ผมไม่ชอบ
"ไอ้แกน อย่ามาเข้าใกล้กูให้มาก” ผมเตือนมัน ถึงจะไม่รู้จุดประสงค์ที่แท้จริงของมันเลยก็เถอะ ผมแค่ไม่ไว้ใจมันเท่านั้นเอง
"แล้วเจอกัน" ไอ้แกนบอกห้วนๆ ก่อนจะเดินขึ้นบันไดไป ระหว่างนั้นไอ้อาร์มเพื่อนในกลุ่มผมก็เดินมาหาพร้อมกับมองไอ้แกนที่เดินหายไปจากขั้นบันไดด้วยสายตางุนงง
"ทำไมมันมาอยู่กับมึงได้วะ" มันทำหน้าสงสัย ผมแค่ไหวไหล่ไม่สนใจ
"แค่เดินสวนกัน" ผมบอกปัด
"เออ อาจารย์มีเรื่องจะคุยด้วยเว้ย ทั้งสาขาเลย" ไอ้อาร์มบอก อาจารย์ที่ว่าคือที่ปรึกษาชั้นปีของพวกผมเอง
"เรื่องอะไรวะ" ผมแปลกใจ ปกติไม่เห็นอาจารย์เรียกประชุมชั้นปีเลยสักครั้ง สงสัยคงจะมีเรื่องอะไรอีกล่ะสิงานนี้
ผมเดินไปยังชั้นสามของตึกเรียนเข้าไปที่ห้องสโลป ส่วนมากเพื่อนร่วมสาขามากันเกือบครบ พวกไอ้แกนนั่งอยู่ทางด้านหลัง ผมเหมือนตกเป็นเป้าสายตา และไม่ชอบกับความรู้สึกแบบนี้เท่าไหร่ พยายามทำตัวให้ปกติ แผลแค่นี้เอง ผมอดกลั้น เดินไปนั่งโซนด้านหน้ากับไอ้กร ปกติจะอยู่แถวกลางๆ แต่ไม่อยากไปใกล้พวกไอ้แกน
“มีเรื่องอะไรกันแน่” ผมนั่งลงที่เก้าอี้ช้าๆ พยายามไม่ขยับตัวมากเพราะบาดแผลยังสด จากนั้นก็หันกระซิบกับไอ้กรที่ดูสงบเสงี่ยมแปลกพิกล คงไม่ใช่เรื่องของผมหรอกนะ ความรู้สึกไม่สบายใจกัดกินมากขึ้นทุกขณะ
“กูก็ไม่รู้อะไรมากหรอก คงจะเป็นเรื่องของพวกเรากับไอ้แกนล่ะมั้ง” ไอ้กรส่ายหน้าทำเสียงขึ้นจมูกเหมือนค่อนแคะหยามเหยียดเจ้าของชื่อไปในตัว
ไม่นานนักอาจารย์พิบูลที่ปรึกษาประจำรุ่นก็เดินเข้ามาในห้องด้วยมาดนิ่ง พวกที่เหลือยกมือไหว้ทักทายเป็นการใหญ่ แกเฮี้ยบมากจนทุกคนเกร็งเวลาพูดคุยด้วยเสมอ
“ไงปีสี่ จะจบแล้วก็คงไม่ได้เจอกันอีก ที่นัดมาคุยกันตอนนี้เพราะคงไม่มีโอกาสได้เรียกคุยกันบ่อยๆ หรอก ใช้เวลาไม่นาน กำหนดบายเนียร์ของรุ่นพวกคุณเกือบสิ้นเดือนเลยใช่ไหม”
“ครับอาจารย์” ไอ้ต๊ะตอบกลับ
“ไม่ใช่ว่าผมไม่รู้นะว่าพวกคุณมีปัญหากัน” อาจารย์เว้นจังหวะทำให้เกิดเสียงซุบซิบดังขึ้นมาให้ได้ยิน ไอ้กรเอียงตัวมากระซิบข้างๆ “เห็นไหมกูว่าแล้ว”
“พวกรุ่นน้องมันรู้ว่าพวกคุณทะเลาะกันเอง ด่ากันเอง ตีกันเอง ทั้งๆ ที่เจอหน้ากันอยู่ทุกวัน ปีนี้พวกน้องๆ มันเลยอยากจะจัดงานกระชับมิตรขึ้นในงานบายเนียร์พวกคุณ จะโอเคไม่โอเคผมไม่รู้ แต่นี่คือสิ่งที่รุ่นน้องคุณจะทำในวันนั้น ผมแค่อยากให้พวกคุณ ไอ้ดีน ไอ้แกน กรุณาสงบศึกสงบใจกันสักครั้ง” เหมือนเป็นประกาศิตใครก็ขัดไม่ได้ แต่ถ้อยคำที่พูดออกมาทำเอาผมนิ่งอึ้งไปได้นาน ผมมองหน้าอาจารย์อย่างไม่เห็นด้วย เรื่องที่พวกผมไม่ถูกกันไม่ควรเอาไปเป็นประเด็นสาธารณะในงานบายเนียร์ปีของเพื่อนร่วมรุ่น คนอื่นๆ คงไม่ได้อยากได้อะไรแบบนี้กันหรอก ทำไมอาจารย์ถึงต้องมายุ่งวุ่นวาย ไอ้แกน.... งั้นเหรอ
“ไอ้แกนแหง” ไอ้ติยื่นหน้ามาพูดจากด้านหลัง ผมถอนหายใจเซ็งๆ
“ว่ายังไงดีน คุณเป็นตัวหลักของรุ่นมาตลอด ไอ้แกนก็ด้วย เพื่อนๆ คุณคงอยากจะเห็นภาพแบบนั้นในวันเลี้ยงอำลา ถึงแม้ว่าไอ้แกนมันจะจบช้ากว่าคุณ” อาจารย์พิบูลมองหน้าผมไปด้วยจนผมเสียวสันหลังวาบ
แบบนี้นี่เอง เรื่องที่ไอ้แกนจบช้าคงไปถึงหูอาจารย์เข้าและคงคิดว่าสาเหตุมันมาจากผม ดูเหมือนคนในห้องจะคาดคั้นเอาคำตอบจากผมให้ได้ ผมทำใจลำบากที่ตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ อันที่จริงผมไม่เคยอยากให้มันต้องมาจบช้ากว่าพวกรุ่นเดียวกันหรอก
ทำไมผมต้องมารับความรู้สึกผิดเหล่านี้ด้วย
“ตามใจแล้วกันครับ ผมไม่ได้ขัดอะไรหรอกครับ อาจารย์” ผมพูดให้พวกมันได้ยินจะได้จบๆ ไอ้พวกปีสามมันคิดจะทำอะไรในงานกันแน่ ผมล่ะไม่ชอบเลยจริงๆ
“เออ ดีแล้ว จะได้ไม่เปลืองน้ำลาย ต้องขอบใจไอ้ระบบโซตัสของพวกคุณนะ ดูรักกันเหนียวแน่นซะจริง แล้วก็เรื่องสุดท้าย ผมเป็นคนกว้างขวางรู้จักคนเยอะ มีข่าวลือถึงหูผมบ่อยๆ หวังว่าผมจะไม่ได้ยินข่าวลือเสียๆ หายๆ มาจากลูกศิษย์ผมนะ อย่าให้เป็นแบบนั้น คนที่จะเสียก็คือตัวคุณนั่นแหละ” อาจารย์พูดชัดถ้อยชัดคำ กดให้ผมนิ่งงัน รู้สึกมึนงง อาจารย์พูดเหมือนรู้แถมสายตาที่มองผมอีก ผมไม่รู้ว่าอาจารย์สนิทกับพวกไอ้แกนแค่ไหน
“อะไรวะนั่น โดนเทศน์ไปยกนึง” ไอ้กรส่ายหน้าหัวเราะ อาจารย์เดินออกจากห้องไปภายในห้องกลับมาเสียงดังตามปกติ ส่วนมากก็พูดคุยกันเรื่องของผมกับไอ้แกนเนี่ยแหละ
“เฮ้ยดีน บายเนียร์ปีเราอย่าให้เกิดเรื่องเลยนะเว้ย”
“จะเกิดเรื่องอะไรล่ะ”
“ก็หาเรื่องพวกไอ้แกนไง จริงเหรอวะที่มึงเอาเรื่องมันไปบอกอาจารย์จนมันต้องจบช้ากว่าพวกเรา” นี่ก็เป็นหนึ่งในลูกหม้อไอ้แกน ผมถอนหายใจ
“มึงจะเสือกอะไรนักหนา กูไม่ได้ทำให้มันจบช้าซะหน่อย” ต้องโทษไอ้เด็กปีหนึ่งที่คาบข่าวไปบอกคนแรกสิวะ ผมหงุดหงิด พวกไอ้แกนยังคงไม่ไปไหน ไอ้จิวทำตัวเหมือนเป็นมาเฟียคุมห้องนี้ มันเดินลงมาตามบันไดห้องสโลป
“กูจะคอยดูมึงอยู่” มันเดินมาหยุดตรงหน้าผมพร้อมกับจ้องตาผมเขม็ง ทำให้ผมรู้ว่ามันเกลียดมากแค่ไหน
“หมายความว่าไงวะ” ไอ้กรโพล่งออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ ผมห้ามมันก่อนจะระเบิดลง
“อย่าไปยุ่งกับพวกมัน เสียเวลา” ผมบอกแล้วลุกออกจากห้องไปน่าจะดีที่สุด
ผมเพิ่งนึกถึงคำพูดของไอ้แกน นี่น่ะเหรอที่ว่าต้องเจอหน้ามันบ่อยๆ เพราะไอ้งานบายเนียร์งั้นสินะ ผมเจ็บใจตัวเองที่ทำอะไรไม่ได้ มันมีแบ็กอัพดีนี่ อาจารย์พิบูลดูจะเอียงไปทางไอ้แกนแบบนั้นคงต้องรู้อะไรจากปากพล่อยๆ ของไอ้จิวแน่ๆ
“ที่มันพูดหมายความว่าไงวะ” ไอ้ติเดินมาพูดข้างๆ สีหน้าไม่พอใจชัดเจน ผมถอนหายใจ
บางครั้งการมีเพื่อนถามเซ้าซี้ก็ทำให้รำคาญขึ้นมาได้เหมือนกัน

พวกผมตรงไปที่ห้องจิตรกรรมของปีสี่เพื่อทำงานต่อให้เสร็จทันกำหนดส่ง ระหว่างนั้นข้อความจากพี่กัสดังขึ้น
Gus: เย็นนี้ว่างไหม พอดีผ่านไปแถวมอเลยกะว่าจะแวะไปหาที่คณะ สะดวกเปล่าวะ ป.ล. ไม่อยากโทรมาเพราะกลัวมึงเรียนอยู่ ตอบกลับด้วย
ผมโทรกลับไปหาพี่กัสเลยน่าจะง่ายกว่าเพราะไม่ได้มีเรียน
“ฮัลโหลพี่ ผมว่างทั้งวันนั่นแหละ แค่มาทำงานที่คณะเอง” ผมบอกหลังจากที่เจ้าตัวกดรับสาย
[อ๋อ งั้นเดี๋ยวไปหานะ ถ้ากูถึงคณะมึงแล้วเดี๋ยวโทรหา]
“ได้พี่” ผมตอบ
[โอเค เอาอะไรเปล่าวะจะได้ซื้อไปให้] พี่กัสถาม
“ไม่ล่ะพี่ แล้วเจอกันครับ” ผมวางสายจากพี่กัสแล้วเริ่มทำงานต่อ
ปีนี้ผมไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับกิจกรรมคณะเลย แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากเพราะเกรดไม่ขยับมาตั้งแต่ปีสามแล้ว ผมชอบทำกิจกรรม ให้เวลากับกิจกรรมมากกว่าการเรียนผลเลยออกมาเป็นแบบนี้ เกรดไม่ค่อยดีเท่าไหร่ อยู่ในเกณฑ์พอใช้ซึ่งต่างจากไอ้แกนที่พฤติกรรมแย่แต่การเรียนดี ปีที่แล้วมันได้นักเรียนดีเด่นด้วย ดูเหมือนโชคเข้าข้างมันนะ เรียนก็ดี เป็นประธานสโมฯ อีก ผมไม่ปฏิเสธหรอกว่าไม่ได้อิจฉามัน... มันก็มีบ้าง
“เออ ไอ้ติ มึงรู้ไหมวะว่าใครเป็นคนต้นคิดเรื่องบายเนียร์” ผมถามขณะที่กำลังจัดเตรียมของอยู่ที่เฟรมของตัวเอง ไอ้ติหันหน้ามามอง
“ไม่รู้ดิ พวกไอ้แนนหรือเปล่า ไม่ก็น้องเทคมึงอะ”
“ทำกูซวยไปอีก” ผมส่ายหน้า ไอ้อาร์มเดินมาหาผมก่อนจะทำหน้าเหมือนข้องใจ
“เออ ทำไมอาจารย์เขาพูดแปลกๆ วะ แถมยังมองมาที่มึงบ่อยๆ ด้วย มึงไปทำอะไรมาหรือเปล่าวะเนี่ย” มันถามแล้วหัวเราะกลบเกลื่อน พวกนั้นหันหน้ามามองผมอย่างสนใจ
“จะไปรู้เหรอ กูก็อยู่ของกูดีๆ” ผมไหวไหล่ไม่สนใจก่อนจะไล่พวกมันไปให้พ้นๆ

ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงกว่าๆ พี่กัสก็โทรมาหาบอกว่ารออยู่หน้าคณะแล้ว ผมลงไปหาพี่กัสที่ยืนพิงรถวีออสสีแดงอยู่ เจ้าตัวเห็นผมก็เดินเข้ามาหา ใส่ชุดทะมัดทะแมงเสื้อเชิ้ตสีขาวสวมเสื้อยีนแขนยาวทับกางเกงยีนสีดำ ดูเผินๆ กลมกลืนกับพวกนักศึกษาได้เหมือนกัน
“กินอะไรยัง” พี่กัสถาม
“เช้าอยู่เลย ยังไม่หิว แล้วนี่รีบไปไหนต่อหรือเปล่า” ผมถามเพราะพี่กัสมารถยนต์น่าจะมาทำธุระสำคัญจริงๆ เพราะปกติพี่แกชอบใช้รถมอเตอร์ไซด์
“ไม่หรอก” พี่กัสไหวไหล่
“ขึ้นไปข้างบนไหมพี่” ผมชวน
“ก็ดี เอาขนมไปกินด้วย” พี่กัสเปิดประตูรถหยิบถุงขนม พวกบราวนี่กับขนมปังออกมา
“กินเป็นเด็กๆ เลย” ผมหัวเราะแล้วถือถุงขนมจากพี่กัส
ระหว่างที่เดินขึ้นบันไดว่าไปแล้วก็ได้กลิ่นหอมๆ ฟุ้งๆ มาจากพี่กัส ไม่ใช่น้ำหอมแต่เป็นแป้ง
“พี่ใช้แป้งเด็กด้วยเหรอเนี่ย กลิ่นหอมเชียว” ผมแซวพี่กัสหันมายิ้ม
“จริงดิ กลิ่นติดมาเลยเหรอเนี่ย” พี่กัสย่นหน้าแล้วดมแขนเสื้อตัวเองไปด้วย จะว่าไปแล้วไอ้สองมันก็ใช้แป้งเด็กด้วยเหมือนกัน เคยได้กลิ่นจางๆ มาจากมัน
“หอมดี” ผมยิ้มบอก พี่กัสทำหน้าแปลกใจ
“นึกว่าจะไม่ชอบ”
“กลิ่นเบาๆ ก็พอได้แหละครับ”
ผมพาพี่กัสไปที่ห้องจิตรกรรมเผื่อว่าสนใจจะแสดงฝีมือบ้าง พี่กัสเดินมองไปรอบๆ ห้องอย่างสนใจ เมื่อหยุดที่เฟรมของผม
“กำลังทำงานอยู่เลยสิเนี่ย ไม่ได้มากวนนะ”
“เปล่าหรอก ดีเสียอีกจะได้มีคนช่วยทำเพิ่ม” ผมหัวเราะ ถ้าพี่กัสจะช่วยจริงๆ ก็ดีสิจะได้เร่งงานให้เสร็จเร็วขึ้น ไอ้ติเงยหน้ามามองด้วยสายตาสงสัยแต่ไม่ได้ถามอะไรให้วุ่นวาย
“งานจบเหรอ”
“ใช่พี่ เป็นศิลปนิพนธ์น่ะ” สุดสัปดาห์นี้อาจารย์นัดคุยงานอีก พอสิ้นเทอมมีนิทรรศการจัดแสดงศิลปนิพนธ์ด้วย ถือว่าเป็นงานช้างเลยล่ะ
“อืม ก็มีไอเดียนี่หว่า” พี่กัสยิ้มก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้ ผมเดินไปหยิบเก้าอี้อีกตัวที่มุมห้อง ไม่ลืมที่จะชวนไอ้พวกเพื่อนๆ มากินขนมเพราะพี่กัสซื้อมาเยอะอย่างกับเหมามา
“นั่นใครวะ” ไอ้กรบุ้ยปากไปยังพี่กัสที่กำลังด้อมๆ มองๆ กับงานของผมอยู่
“พี่กูเองแหละ นานๆ จะแวะมาหา” ผมบอกแล้วยัดห่อขนมใส่มือมันไป ไอ้กรจ้องหน้าผมด้วยสายตาประหลาด
“เหรอ พี่มึงนี่ใจดีจริงๆ” มันว่าแล้วเดินไปล้างพู่กันในแก้วทรงสูง
“แล้วไม่ดีหรือไง”
“อืมก็ดี ของฟรี แต่จะว่าไปพี่มึงดูเจ๋งดีนะ น่าจะพามาตั้งนานแล้ว” ไอ้กรย่นหน้าแล้วเหลือบมองพี่กัสไปเรื่อยๆ
“อือ” ผมพยักหน้าเบาๆ
“จะบอกอะไรให้นะเว้ย ในฐานะที่กูเป็นเพื่อนมึง ขอร้องเหอะ ถ้ามึงคิดจะเอาผู้ชายจริงๆ เนี่ยช่วยหาไอ้ที่ซอฟต์ๆ หน่อย อย่าเอาพวกแมนๆ สิวะ กูรับไม่ไหวว่ะ” มันกระซิบกระซาบทำหน้าหน่ายๆ
“มึงนี่ ใครว่า กูจะคบผู้ชาย” ผมขำหึ แกล้งอีอกฝ่ายไป มันทำหน้ามึนงง
“อ๋อเหรอ แล้วที่ไปวนเวียนๆ กับไอ้สองนี่จุดมุ่งหมายมึงคือ...”
“ก็เล่นๆ ไปแบบนั้นเอง จะซีเรียสไปทำไม เชื่อไอ้ต๊ะมากไปแล้วมึง” ผมตบหัวมันเบาๆ ก่อนจะหยิบแก้วน้ำพลาสติกมาสองใบสำหรับล้างพู่กัน ผมเดินกลับไปที่เฟรม พี่กัสหันมายิ้ม
“ไม่น่าเชื่อนะ อีกไม่นานมึงก็จะจบแล้ว”
“เวลามันเดินเร็วจะตาย” ผมหัวเราะก่อนจะผสมสีใหม่ในถาด
“ถ้ากูมาเรียนที่นี่ป่านนี้คงจบ อะไรๆ ก็คงต่างออกไป” พี่กัสมองที่เฟรมภาพอย่างใจลอย
“เอาน่า ตอนนี้พี่ก็มีงานทำ เปิดร้านของตัวเองได้ก็ถือว่าดีแล้ว” มีธุรกิจของตัวเองไม่ใช่เรื่องง่าย ไหนจะเรื่องลงทุน เรื่องตลาด ดูจะเป็นเรื่องยากสำหรับผม แล้วยิ่งเรียนสายนี้หางานก็ไม่ใช่เรื่องง่ายถ้าหากไม่มีฝีมือจริงๆ คงเป็นได้แค่พวกต๊อกต๋อย

เกือบทั้งภาคเช้าที่พี่กัสอยู่ช่วยลงสีให้ผมที่คณะ ท่าทางเอาจริงเอาจังมาก ฝีมือยังคงเส้นคงวาแสดงว่าไม่ปล่อยให้แปรงสีและพู่กันห่างมือ พอเข้าช่วงบ่ายผมต้องฝากรถไว้ที่คณะเพราะพี่กัสพาผมเข้าไปในตัวเมืองเพื่อจะได้แวะไปดูร้านของพี่กัสไปด้วยเลย
หลังจากที่อิ่มหนำจากข้าวมื้อเที่ยงเจ้าตัวขับรถพาผมไปดูร้านแกลเลอรีกับชอปกีตาร์ที่หุ้นกับเพื่อนด้วย บรรยากาศภายในร้านออกแนวเรียบหรู จัดพื้นที่เป็นระเบียบเป็นโซน ใช้สีโทนสว่างแต่ร้านทำจากไม้พอแสงตกกระทบสีเลยนวลๆ ทึมๆ เล็กน้อยแต่ก็สวยดีไม่อึดอัด ชอปกีตาร์จะอยู่ทางด้านซ้าย ทางขวามือและชั้นบนจะเป็นแกลเลอรีของพี่กัส ผลงานไม่ได้มีแค่ภาพจิตรกรรมแต่จะมีงานศิลปะประยุกต์จำพวกของตกแต่งภายในบ้าน โคมไฟแบบแขวนและตั้งโต๊ะ มีตั้งแต่ขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่
“แต่งสวยแล้วนี่”
“เหลือชั้นบนยังไม่ได้ทาสีกับจัดของเลย” พี่กัสยิ้ม
จนเข้ามาที่เคาน์เตอร์ริมสุดเจอกับผู้ชายรุ่นๆ เดียวกับพี่กัส ตัดสกินเฮด สักเต็มแขนเชียว ชื่อว่าอาร์ต กำลังเคลียร์บัญชี
“นี่ดีนน้องกู” พี่กัสแนะนำผมให้รู้จักกับหุ้นส่วนของพี่แก เจ้าของชื่อหันหน้ามองผมนานหลายวินาทีก่อนจะพยักหน้าเป็นการทักทาย
“อ๋อ คนนี้น่ะเหรอที่มึงพูดถึงบ่อยๆ” พี่อาร์ตหัวเราะแล้วมองผมด้วยสายตาแปลกๆ
“พูดถึงผมด้วยเหรอเนี่ย นินทาเรอะ” ผมหันมาพูดกับพี่กัสที่ส่ายหน้า
“นิดหน่อยๆ ไม่พูดถึงสิแปลก” เจ้าตัวพูดแล้วหัวเราะก่อนพี่กัสจะดึงให้ตามไปที่หลังร้านที่มีทางเดินแคบๆ ก่อนจะเจอห้องแยกอีกสองห้องทางขวากับซ้าย เมื่อเปิดประตูบานซ้ายเข้าไปแล้วปรากฏว่าเป็นห้องมืดสำหรับล้างภาพ
“โห สุดยอดเลยพี่” ผมยิ้มก่อนจะอุทานเบาๆ พี่กัสเปิดไฟแสงอินฟราเรดในห้องดูอึดอัดเพราะไม่มีแสงสว่างเท่าไหร่ แต่ก็ไม่มืดจนมองไม่เห็นอะไร ผมยิ้มกว้างเมื่อเห็นรูปที่แปะอยู่ตามฝาผนังห้องและที่ห้อยอยู่เรียงกัน ส่วนมากเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแล้วก็ธรรมชาติ ส่วนใหญ่เป็นภาพจากฟิลิปปินส์
“ว่างๆ แวะมาลองทำได้นะ เดี๋ยวกูสอน” พี่กัสบอกก่อนจะแตะไปที่เครื่องล้างฟิล์มอัตโนมัติ ไม่ได้ใช้แบบเก่าที่ใช้อ่างล้างเยอะแยะ พี่กัสว่ามันเกะกะ ผมเหลือบไปเห็นภาพที่ล้างเสร็จแล้ววางเรียงอยู่อีกมุมนึง เหมือนเพิ่งจะล้างเมื่อไม่นาน ส่วนใหญ่เป็นรูปเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ มีรอยยิ้มสดใส บางรูปถ่ายกับพี่กัส ไม่ทันได้เอ่ยถามในสิ่งที่สงสัยพี่กัสก็พาผมออกไปด้านนอกเพราะกลัวผมจะอึดอัด
“แล้วพี่นอนที่ไหนเนี่ย”
“ห้องตรงข้ามนี่ไง เล็กไปหน่อยแต่ก็โอเค” พี่กัสยิ้มก่อนจะเปิดประตูอีกฝั่งเข้าไป ผมมองอย่างแปลกตา ถึงจะเล็กกะทัดรัดไปหน่อยแต่ก็เป็นห้องที่สวยทีเดียว เพราะใช้สีโทนอ่อนทำให้ห้องดูสว่างและกว้างขึ้น ใช้พื้นที่เป็นสัดส่วนได้คุ้มค่าจริงๆ เนื่องจากห้องไม่ได้มีพื้นที่กว้างมากจึงเป็นเตียงสองชั้นติดผนังห้อง มีหน้าต่างบานใหญ่อยู่บานเดียวเปิดไว้ มีต้นแคคตัสสามกระถางวางไว้ด้านนอกหน้าต่าง
“มึงก็ชอบแคคตัสใช่ไหมวะ” พี่กัสเดินไปที่หน้าต่างแล้วหยิบกระถางแคคตัสมาสองอัน เป็นทรงกลม ด้านในมีแคคตัสรูปทรงคล้ายมิกกี้เม้าส์ดูเติบโตจนขึ้นซ้อนกันได้ขึ้นมา
“ก็ชอบนะพี่ เลี้ยงง่ายสุด” ผมหัวเราะที่กระถางทาสีแดงกับสีเขียวมีชื่อพี่กัสกับชื่อผมติดไว้ด้วย ผมรับมาดูอย่างแปลกใจ “ทำไมมีชื่อผม” ผมถามงงๆ แต่ก็ยิ้มออกมา
“กะว่าจะให้ตอนมึงสอบติดไง แต่ชวดซะก่อน เลยติดแหง็กอยู่นี่” พี่กัสหัวเราะเบาๆ อีกฝ่ายดูเขินอาย ผมก้มมองกระถางในมือด้วยใจหวั่นไหว
“หลายปีแล้วสิเนี่ย” ผมส่งคืนให้เจ้าตัว พี่กัสหยิบไปวางไว้ที่เดิม
“อืม ว่าแต่ห้องมันแคบไปหน่อยแต่ก็ยังพอหายใจสะดวก” พี่กัสบอก แล้วเดินไปเปิดพัดลมติดผนังฝั่งตรงข้ามกับเตียง
“หายใจสบายน่าพี่” ผมบอกแล้วนั่งลงที่เตียงชั้นล่าง คงเป็นที่นอนของพี่กัสแน่ๆ เพราะริมผนังมีรูปลายสักสองสามลายแปะไว้อยู่
“จะสักเพิ่มเหรอเนี่ย” ผมถามเจ้าตัว จากทั้งตัวก็คงเต็มไปหมดแล้วมั้ง
“ก็ว่าอยู่แต่ไม่แน่ใจหรอก ยังหาที่เหมาะๆ ไม่ได้เลย” พี่กัสพูด เดินมาหาผม
“แล้วมีอะไรให้ผมช่วยไหม” ผมถาม
“ไม่หรอก แค่อยากพามาเซอร์เวย์ก่อน นอนเล่นฆ่าเวลาไปก่อนก็ได้นะ เดี๋ยวกูไปดูหน้าร้านแป๊บนึง” พี่กัสตบบ่าผมเบาๆ ก่อนจะเดินออกจากห้องไป
ผมถอนหายใจก่อนจะสอดส่องไปทั่วทุกมุมห้อง ผมยังสะดุดตากับรูปถ่ายในห้องมืดของพี่กัส แต่ภายในห้องนี้มีแต่ของใช้ส่วนตัวเท่านั้น ซึ่งกลับกันในห้องมืดที่มีรูปเด็กตัวเล็กๆ เต็มไปหมด คงคิดว่าผมไม่ทันได้มองล่ะมั้ง และผมเองก็ไม่อยากคิดอะไรทำนองนั้น มันดูงี่เง่า
พอมองไปรอบๆ ห้องนี้แล้วบ่งบอกว่าเจ้าตัวเป็นนักสะสมตัวยง มีตู้กระจกเล็กๆ เก็บแผ่นเพลงไวนิลทั้งเก่าและใหม่ปะปนกันไป แถมยังมีเครื่องเล่นแผ่นเสียงด้วย สุดยอดผมเลย ลองหยิบมาฟังเล่นๆ เพลงยุค Baroque-Chamber Music เลยถือโอกาสเปิดฟังสักหน่อย เสียงแจ่มมาก ฟังเพลินเลยกลับกลายเป็นว่าผมเผลอหลับจนไม่รับรู้ว่าเสียงเพลงหยุดไปแล้ว

ผมได้ยินเสียงพัดลม เสียงฝีเท้า เสียงปิดเครื่องเล่นแผ่นเสียง ผมค่อยๆ ให้ประสาทการรับรู้ตื่นตัวได้เต็มที่ก่อนจะลืมตาขึ้น ผมหันไปด้านข้างก็เจอแขนที่เต็มไปด้วยรอยสักของพี่กัสซึ่งนั่งอยู่กับพื้นห้อง
“มานานยังเนี่ย” ผมถามไปแบบนั้น เตียงชั้นแรกไม่ได้ยกสูงจากพื้นมากนัก พี่กัสนั่งอยู่ข้างๆ มองผมอยู่นิ่งๆ
“ก็สักพัก เห็นหลับเพลินๆ เลยไม่อยากปลุก”
“เหรอ” ผมยันตัวลุกจากเตียงมานั่งพิงหมอน พี่กัสแค่นั่งนิ่งๆ ก่อนจะเอ่ยพูด
“อืม ว่าจะถามอะไรมึงหน่อย”
“มีอะไรเหรอพี่”
“ที่ไปหามึงที่คณะกูเจอไอ้แกนด้วยนะ” พี่กัสยังคงไม่ละสายตาไปจากผม
“หือ เจอตรงไหนกัน” ผมถามอย่างสงสัย อยู่ๆ ทำไมมาพูดถึงไอ้แกนได้นะ
“แถวๆ นั้นแหละ แต่มันก็ดูไม่ได้เกลียดมึงเท่าไหร่นะ ออกจะปกติดี” พี่กัสไหวไหล่กอดอกมองผม สายตาพิจารณาผมอยู่นานสองนาน
“งั้นเหรอ.... แล้วนี่ปิดร้านแล้วเหรอเนี่ย” ผมเปลี่ยนเรื่องคุยแทน อีกฝ่ายค่อยๆยิ้ม
“อือ ไอ้อาร์ตกำลังปิดอยู่”
“แล้วไม่ไปช่วยเขาล่ะ พี่อู้เหรอ” ผมแกล้งแซวเล่น พี่กัสหัวเราะ “อยากมาหามึงไง ไม่ได้เจอบ่อยๆ นี่หว่า” พูดซะผมหุบยิ้มสะดุดกึก
“ทำเหมือนจะหายไปไหนอีกซะงั้น” ผมยิ้มบางๆ เหลือบมองเจ้าตัวไปด้วย ได้เห็นเจ้าตัวใกล้ๆแบบนี้แล้วก็กลัวว่าอีกฝ่ายจะหายไปอีก ผมคงเศร้าถ้าหากว่าจะไม่ได้เจอพี่กัสอีกแล้ว
“คนเราแน่นอนซะเมื่อไหร่” เจ้าตัวพูดเรียบๆ ผมเม้มปาก มองอีกฝ่ายแล้วลังเล ผมอยากถามอะไรบางอย่างกับเจ้าตัว
“ผมสงสัยอย่างนึงนะพี่” ผมพูดออกมาก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่
“ว่ามาดิ” พี่กัสขมวดคิ้ว
“รูปเด็กในห้องนั้นเป็นใครกัน ที่ถ่ายกับพี่น่ะ” ผมเห็นว่ามีเยอะ แสดงว่าต้องสำคัญกับพี่กัสมาก ไม่อย่างนั้นจะเก็บไว้ทำไมกัน เหมือนละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวแต่ถ้าไม่ถามก็คงไม่รู้เองแน่ๆ 
“ว่าจะบอกอยู่แล้ว” พี่กัสพูดแต่เสียงเคาะประตูแรงๆ ดังขัดจังหวะซะอย่างนั้น
ก๊อก ก๊อก
ผมขัดใจนิดหน่อย พี่กัสตะโกนถามว่าใคร
“กูเอง เปิดให้หน่อย” พี่อาร์ตส่งเสียงกลับมา
“เออๆ” พี่กัสลุกเดินไปเปิดประตูให้
เมื่อประตูเปิดออกกว้างเจอกับพี่อาร์ตแล้วก็ผู้หญิงตัวเล็กๆ น่ารักคนนึงยืนอยู่ด้วย
“นึกแล้วว่าต้องอยู่ที่นี่” ผู้หญิงคนนั้นพูดทำหน้าเหมือนเดาถูกก่อนจะเลื่อนสายตามามองผมสักพักจากนั้นก็เดินออกไป ผมงงหนัก พี่กัสเข้าไปคุยอะไรกับพี่อาร์ตด้านนอกก็ไม่รู้เดาว่าสถานการณ์ไม่ดีเลย
“มีอะไรเหรอพี่” ผมรู้สึกว่าบรรยากาศดูอึมครึมแปลกๆ คงต้องมีเรื่องอะไรแน่นอน พี่กัสเดินกลับเข้ามาในห้องส่งยิ้มให้ผมก่อนจะมานั่งข้างๆ
“เปล่าหรอกมึง จะค้างไหม”
“ไม่ล่ะพี่ กลับไปนอนหอดีกว่าไม่อยากรบกวนน่ะ” ผมบอกก่อนจะลุกออกจากเตียง พี่กัสพยักหน้าแล้วลุกเดินไปที่ลิ้นชักแล้วถืออัลบั้มรูปออกมาให้ผม
“ยังเก็บไว้อยู่เหรอเนี่ย” ผมยิ้มเมื่อเห็นว่ารูปด้านในเป็นรูปผมสมัย 3-4 ปีที่แล้ว สภาพหน้าตารูปร่างแตกต่างจากตอนนี้มาก เปลี่ยนเป็นคนละคน สภาพปัจจุบันดูดีกว่าเยอะ
“อือ ก็เผื่อว่าเจอจะได้เอาคืนไง มึงเก็บไว้เถอะ”
“ขอบใจพี่” ผมยิ้มบอก
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-02-2018 16:16:10 โดย รินดาwดาริน »

ออฟไลน์ sweetbasil

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 807
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-3
เด็กคนนนั้นลูกของพี่กัสเหรอ :ling3:

ออฟไลน์ nutty

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1142
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-3
เชียร์แกนดีน อยากให้มีหลายๆตอน

ออฟไลน์ Dark_Noah

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 838
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-3
เราชอบบรรยากาศระหว่างกัสกะดีนมากเลย มันแบบไม่ต้องรู้ว่าเรารู้สึกยังไง เป็นอะไร ขอแค่เข้าใจและรู้สึกดี ๆ ให้กันก็พอ
ไม่ว่ากัสจะไปทำอะไรมาดีนก็ยังคงเคารพกัสเหมือนเดิม ไม่ว่าดีนจะคิดยังไงหรืออยู่กับใคร กัสก็ยังไม่ลืมดีน มันดูอิ่มในตัวมาก
ส่วนเรื่องแกนกะดีน เพื่อนดีนน่ารำคาญไปหน่อย แต่เราก็พอเข้าใจ คงเพราะเล่าในมุมดีนเราเลยรำคาญเพื่อนดีนน้อยกว่าทั้งที่ทั้งสองฝ่ายก็พอกัน
ไม่ว่าบทสรุปของเรื่องราวของดีนจะเป็นยังไง ขอเพียงแค่ดีนมีความสุข ขก็พอ :กอด1:

ออฟไลน์ DuenTwinBII

  • ♥ “If you can't explain it simply, you don't understand it well enough.”♡
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +624/-4
หวังว่าเรื่องของแกนกับดีนจะจบแบบแฮปปี้นะ  :hao5: :กอด1:

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
ขอบคุณที่มาต่อนะคะ
เรื่องดีน แค่อยากให้เป็นผู้เป็นคนอะ. อย่าหาเรื่องอย่ายุ่งกับยาส่วนจะเป็นเพื่อนกับแกนไหมมันต้องใช้เวลาน่ะ
เรื่องพี่กัสนี่เป็นพี่น้องกันก็พอแล้วนะกำลังสวย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
เอาจริงๆตอนนี้อึดอัดกัยพาร์ทดีนมากอะ คืออะไรก็ไม่เคลียร์สักอย่างปมโน้นนี่เยอะแยะ ชอบมีอะไรมาขัดอยู่เรื่อย #ต่อมเผือกล้วนๆ

ออฟไลน์ รินดาwดาริน

  • OnTop&N'Song
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +243/-2
 -ผิง-   
ตอนที่ 5 เดทแรกแบบไม่ตั้งใจ

   หลังจากที่ไปสานความสัมพันธ์กับไอ้ยิมจากทริปแม่สอดในวันนั้นทำให้ผมมองมันดูดีขึ้นมาในสายตาแบบก้าวกระโดด ไม่น่าเชื่อแฮะว่าไอ้ยิมจะสามารถทำให้ผมมองมันในฐานะผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่ใช่เป็นแค่ไอ้ยิม หนุ่มแว่นผู้อกเดาะมาจากเพื่อนรักของผม ผมกับไอ้ยิมไม่ได้พัฒนาแบบก้าวกระโดด มีลิมิตขอบเขตเหมือนรู้ว่าตัวผมยังไม่พร้อมจะเปิดรับเรื่องแบบนั้นเร็วเกินไป ส่วนค่าน้ำมันผมจ่ายมันไปเรียบร้อยแล้ว เหลือแต่ค่าตุ๊กตาพม่าเท่านั้นที่ยังติดค้างมันไว้ แต่ไอ้ยิมยังคงไม่เผยไต๋ว่าจะให้ชดใช้อะไรมัน ซึ่งก็ดีเดี๋ยวก็ลืมเพราะไอ้ยิมยุ่งๆ กับงานวิจัยที่ต้องเคี่ยวเข็ญให้ผ่านอาจารย์ที่ปรึกษาให้ได้ ปกติทำตัวเครียดอยู่แล้ว มาโหมดนี้หนักเข้าไปใหญ่ อยากให้มันรีแลกซ์กว่านี้
วันนี้ผมเข้ามาหามันที่ห้อง แน่นอนว่ามันต้องก้มหน้าก้มตาอยู่หน้าจอโน้ตบุ๊ก ตอนมันจริงจังอยู่กับงานผมล่ะไม่อยากไปคุยด้วย
“ว่างไหมวะ” ผมถามไอ้ยิมที่กำลังนั่งจดจ่ออยู่หน้าโน้ตบุ๊ก แว่นตากรอบสีฟ้าอันโปรดเหมือนเดิม มันเหลือบมามองผม
“ทำไม” มันพูดสั้นๆ ตามปกติ
“แวะไปร้านพ่อกูไหม แก้เซ็ง” ผมลองหยั่งเชิงดู ไอ้ยิมแค่ขมวดคิ้วก่อนจะเงยหน้ามองผมแวบเดียว
“เลี้ยงนะ” มันพูดทันที สีหน้าฉาบรอยยิ้ม
“อืม เลี้ยงแน่นอน จะได้ไปเจอพ่อกูไง อยากเจอไหม” ผมหาทางคุยกับมันต่อไป
“เคยเจอแล้วตอนที่ไปกินข้าวคราวก่อนไง” มันหมายถึงที่มากับครอบครัวมัน โห นั่นก็นานแล้ว ไอ้ยิมหันไปสนใจหน้าจอโน้ตบุ๊กต่อ ทำเป็นไม่สนใจผมอีกแน่ะ หมั่นไส้จริงๆ ต้องเปลี่ยนหัวข้อใหม่ซะแล้ว
“งั้น...ไปเดทกันไหม” ผมกลั้นใจพูดออกไป อยากดูปฏิกิริยาของไอ้ยิมดูให้เป็นบุญตา มันชะงักนิ่งคิ้วขมวดเหมือนกำลังคิดทบทวนสิ่งที่ผมพูด จากนั้นก็เงยหน้ามามองผม
“จริงเหรอ” มันพับหน้าจอโน้ตบุ๊กลง สีหน้าดูมีประกายแห่งความรู้สึกดีใจออกมาให้ผมเห็นเต็มสองลูกตา
“เออสิ พูดจริงนะ อยากไปไหมล่ะ จะได้ให้พี่ฝนจัดโซนสวีทกันเลยเอ้า” ผมหัวเราะ ไอ้ยิมยิ้มออกมาจนได้แต่มันส่ายหน้าก่อนจะกอดอกมองผมด้วยสายตาใคร่ครวญ
“น่าสนนะ...จัดโซนแบบคู่รัก เอาสิ...โทรไปจองเลย” ไอ้ยิมรีบบอกก่อนจะลุกเดินมานั่งข้างๆ ผมเพื่อกดดันอย่างหนักหน่วง ผมนิ่งไป ในหัวพยายามหาทางออกแต่ไม่เจอ สรุปว่าผมต้องไปเดทกับมันจริงๆ และเป็นที่ร้านของพ่อด้วย... อุ่ย งามไส้ไหมล่ะ เดทแรกที่ร้านของพ่อก็กลายเป็นชายหนุ่มซะแล้ว พ่อจะตกใจไหมเนี่ย
“เออๆ กูพูดจริงทำจริงนะเว้ย” ผมบอกก่อนจะหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาพี่ฝน พนักงานคนสนิทในร้าน รอสายไม่นานนัก
[ไงจ๊ะ สุดหล่อ]
“พี่ฝน ที่ร้านคนเยอะไหมอะ อยากให้จัดโต๊ะให้หน่อย”
[ไม่เยอะค่ะ จะนัดทานข้าวกับใครเอ่ย รุ่นน้อง เพื่อน หรือแฟน ถ้าเป็นอย่างหลังเนี่ยพี่จะจัดให้เต็มที่เลย]
“อย่างหลังแหละพี่ ...เอาแบบหวานๆ เลยนะ พี่ฝนห้ามบอกพ่อนะ เคป่ะ”
[อ้าว ทำไมล่ะคะ พ่อน้องคงอยากรู้จะแย่]
“น่านะสุดสวย ความลับไง เดี๋ยวผมจะแวะเข้าไปตอนเย็นๆ นะ”
[ได้ค่ะ หายห่วงได้เลย] ผมวางสายจากพี่ฝน ไอ้ยิมแอบฟังอยู่ข้างๆ มันยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับตัวเอง ท่าทางจะมีความสุขดีจริงๆ
“เตรียมตัวไว้ได้เลย ขอแบบหล่อๆ สมาร์ทๆ” ผมบอกมัน
“....ทำไม....จะให้เปิดตัวกับพ่อมึงเลยเหรอ” มันย้อนกลับมาได้อย่างน่าถีบ
“เดี๋ยวพ่อกูช็อก มึงไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้นแหละ แค่แดกข้าวกับกูพอ เข้าใจ?” ผมมองหน้านิ่งๆ ของมันอย่างไม่ยอมแพ้
“...ก็...ตามนั้นก็ได้” ไอ้ยิมพูดเสียงเรียบแต่แววตาของมันดูแพรวพราวแปลกๆ เหมือนกำลังสนุกอยู่ มันต้องมีแผนร้ายแน่ๆ
“เออ งั้นไปที่ร้านตอนหกโมงครึ่งนะ บรรยากาศจะได้โรแมนซ์ๆ ไง” ผมบอกมัน
“อือ มึงนี่ลงทุนจริงๆ เลยนะ เรียกร้องความสนใจได้ดีนี่” มันพูดนิ่งๆ ได้น่าหมั่นไส้เป็นอย่างมาก จนผมคันปากยิบๆ
“ไม่ได้เรียกร้องความสนใจเว้ย แค่อยากให้มึงไม่เครียดไง ดูสิเนี่ย คิ้วผูกโบแล้ว” ผมพูดก่อนจะจิ้มนิ้วไปที่หว่างคิ้วบนหน้าผากของมัน ไอ้ยิมยิ้ม
“ก็อยากให้มันเสร็จๆ ที่เหลือจะได้ใช้เวลาให้คุ้มไง” มันพูดเบาๆ มองหน้าผมไปด้วย ทำเอารูสึกกระอักกระอวนแปลกๆ ผมหลบตามันพยายามหาเรื่องพูดคุยใหม่น่าจะดีกว่า
“ดีแล้วนี่”
“อยากไปเที่ยวกับกูอีกไหม” ไอ้ยิมเอ่ยถามก่อนจะหยิบอัลบั้มรูปที่ลิ้นชักข้างเตียงยื่นมาให้ผม
“อยากดิ สนุกดีนี่” ผมบอกก่อนจะรับมาเปิดดูรูปในอัลบั้ม ส่วนมากเป็นรูปทิวทัศน์กับสถานที่ท่องเที่ยวสวยๆ ดูแล้วไม่น่าจะใช่เมืองไทย ผมมองหน้าไอ้ยิมงงๆ
    “เกาลูนกับฮ่องกง...” มันพูดก่อนจะเกาจมูกเหมือนแก้อาการเขิน
“สวยเนอะ....ทำไม จะชวนกูไปเหรอ” ผมแกล้งพูดไปแบบนั้น แต่ในใจคิดจริงจัง ไม่อย่างนั้นมันจะเอามาให้ผมดูทำไม
“อือ ถ้าชวนไปจะไปด้วยกันไหม” ไอ้ยิมพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ ผมยิ้มก่อนจะมองสำรวจคนตรงหน้าอย่างพิจารณา ดูท่าทางมันจะเอาจริงด้วย ผมไม่เคยไปต่างประเทศ แต่นี่โคตรโชคดี เหมือนหนูตกถังข่าวสารจริงๆ เลยไอ้ผิง
“...เกรงใจว่ะ แต่ก็อยากไป” ผมหัวเราะ
“อยากเที่ยวด้วยกันไง เพราะกูต้องไปฝึกงานที่เกาลูนจริงๆ นะ” ที่ไอ้ยิมพูดทำเอาผมซึมไป นั่นสิ ถึงว่ามันถึงอยากชวนผมไป คงเหงาถ้ามันไปจริงๆ ตั้งสี่เดือนโน่น ทำไมป๊ามันไม่ให้ฝึกที่ไทยกันนะ
“เหรอ....ไปไกลเลยนะนั่น”
“อืม แต่มึงก็เฟซไทม์ไม่ก็ไลน์มาได้ อย่างน้อยก็ได้คุยกันอยู่” ไอ้ยิมบอกก่อนจะเก็บอัลบั้มรูปไปไว้ที่เดิม
“โอเค...ยังไงต้องกลับมาอยู่แล้ว ...ถ้ากูไปเที่ยวกับมึงกูต้องบอกพ่อแม่ มึงก็ต้องบอกป๊ากับม้ามึงอีก...ไม่รู้ว่าพวกผู้ใหญ่จะโอเคไหม” ผมนึกสภาพความเป็นจริง พ่อแม่ผมไม่น่าห่วงเท่าไหร่ แต่ฝ่ายไอ้ยิมเนี่ยสิ
“เชื่อกูสิ ป๊ากับม้ากูเข้าใจอยู่แล้ว เขารู้ว่ากูเป็นยังไงแต่แค่ไม่พูดออกมา กูโตแล้ว ที่ผ่านมากูพิสูจน์ให้ป๊าเห็นว่ากูเป็นผู้ใหญ่มีความคิด” มันพูดอย่างมั่นใจจนผมคล้อยตามได้
“งั้น... มึงต้องดูแลเทคแคร์กูทุกอย่างนะเว้ย ไม่เคยขึ้นเครื่องบินด้วย” ผมหัวเราะเบาๆ ไอ้ยิมแค่ยิ้ม
“เป็นอันว่าตกลงนะ”
“เออ ตกลง”
“ดีใจว่ะ...ดูเหมือนวันนี้เป็นวันดีของกูเลย เซอร์ไพรส์จริงๆ” ไอ้ยิมหัวเราะเบาๆ มันหน้าแดงอย่างเห็นได้ชัด พี่แว่นของผมตอนเขินก็ดู อบอุ่นดี จะว่าไปผมชักชอบมันขึ้นมาจริงๆ แล้วนะเนี่ย
“งั้นกูกลับห้องแล้วนะ ต้องไปขุดหาเสื้อดีๆ สักชุดแล้ว” ผมหัวเราะก่อนจะลุกขึ้นยืน ไอ้ยิมแค่ยิ้มบางๆ มาให้ ในเมื่อจะไปดินเนอร์ทั้งทีของแต่งตัวแบบเป็นผู้เป็นคนซะหน่อย
ผมเปิดตู้เสื้อผ้าควานหาเสื้อเชิ้ตดีๆ สักตัวกับกางเกงยีน จริงๆ ไม่ได้คิดว่าจะมาลงเอยอีหรอบนี้ คือดินเนอร์มื้อเย็นอะไรนั่น เพราะปากพาซวยนั่นแหละ ได้เรื่องเลยไหมล่ะ แต่เห็นๆ อยู่ว่าไอ้ยิมมันชอบความปากไวของผมนะ ได้กำไรเยอะด้วยสิ ผมกังวลนิดหน่อย ไอ้ยิมมันลงทุนกับผมมากจริงๆ ไม่รู้ว่าพ่อแม่จะว่ายังไงบ้าง 

เมื่อได้เวลาไปทานมื้อเย็น ตอนนี้หกโมงครึ่งไปถึงร้านคงหนึ่งทุ่มพอดี ไอ้ยิมมาเคาะประตูห้องผมรัวๆ ท่าทางกวนประสาทน่าดู ผมฉีดน้ำหอมไปสองสามครั้ง ปกติไม่เคยใส่ด้วยซ้ำ แต่วันนี้ไม่ใช่วันธรรมดา ผมสะพายเป้ก่อนจะเปิดประตูออกไปหาไอ้ยิม
พอเจอมันเท่านั้นแหละ ผมอึ้งมึนเบลอไปนิดหน่อยเพราะไม่คิดว่ามันจะแต่งหล่อ ที่จริงมันหน้าตาดีอยู่แล้ว แต่งตัวดีๆ ทำให้รูปลักษณ์ดีขึ้น มันใส่เสื้อเชิ้ตแขนยาวที่คอปกกับแขนเสื้อเป็นลายสก็อตสีน้ำตาล ไม่เคยเห็นมันแต่งตัวแบบนี้สักที มันเปลี่ยนแว่นด้วย ปกติสีฟ้า ตอนนี้เป็นสีดำสุภาพ โดยรวมไอ้ยิมหล่อมาก
“ทำไม อึ้งความหล่อของกูล่ะสิ” มันพูดเสียงเรียบๆ ใบหน้านิ่งๆ ตามเดิม ผมย่นหน้าก่อนจะล็อกประตู
“แต่งหล่อๆ ก็เป็นนี่หว่า” ผมบอกก่อนจะเดินไปหาไอ้ยิมที่มองผมตาไม่กะพริบ
“ใส่น้ำหอมเหรอ” มันเข้ามาดมๆ แถวใกล้ลำคอผม แน่ะ ไอ้นี่ ผมเอนตัวหนีมัน
“เออ หอมป่ะ”
“อืม ปกติไม่เคยใช้” ไอ้ยิมพูดยิ้มๆ ผมพยักหน้า
“เออ รีบๆ ไปดีกว่าเดี๋ยวพี่ฝนรอนาน” ผมบอกก่อนจะดึงแขนมันให้เดินลงบันไดเร็วๆ มัวแต่มาจ้องอยู่ได้ คนมันทำตัวไม่ถูก
การเดินทางเข้าไปในเมืองไปยังร้านอาหารของพ่อผม ไอ้ยิมเป็นคนขับรถตามเคย ระหว่างทางไม่ได้พูดอะไรกันมาก เหมือนมีเรื่องให้คิดอยู่ในหัวกัน เมื่อขับรถมาถึงร้านอาหารใช้เวลาไปเกือบยี่สิบนาที จากที่เห็นดูเหมือนมีลูกค้าพอสมควร บรรยากาศยามพลบค่ำท่ามกลางแสงไฟสีนวลสบายตา ผมกับไอ้ยิมลงจากรถ เดินเข้าไปในร้าน ผมมองหาพี่ฝนที่กำลังทำหน้าที่เป็นแคชเชียร์ประจำร้าน ส่วนพ่อคงอยู่ในครัว
“โต๊ะพร้อมแล้วนะ... พ่อน้องสงสัยว่าใครจะมา” พี่ฝนยิ้มก่อนจะมองไปที่ไอ้ยิมงงๆ ผมเลยแนะนำไป
“นี่ชื่อยิม คนที่ผมพามาไง” ผมหัวเราะ ไอ้ยิมยิ้มทักทาย
“สวัสดีครับ” พี่ฝนพยักหน้ามองหน้าผมอย่างมีคำถามก่อนจะนำทางไปยังโซนที่ผมจองไว้ อยู่ทางด้านในริมสุดติดกับกระจกใส ดูเป็นส่วนตัวกว่าด้านนอก โต๊ะถูกจัดสวยงามมีแจกันทรงสูงพร้อมดอกกุหลาบสามสี่ดอก ดูไม่เทอะทะ จานถูกวางไว้เป็นระเบียบตามตำแหน่งเป๊ะๆ
“อีกห้านาทีอาหารก็มาเสิร์ฟแล้ว... น้องผิงก็ไม่บอกพี่ก่อนว่าจะพาผู้ชายมา พี่ตกใจหมด” พี่ฝนเข้ามาพูดกับผมเบาๆ ก่อนจะหัวเราะ
“เซอร์ไพรส์ไง ขอบใจมากนะพี่” ผมบอกก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้ ไอ้ยิมทำหน้าแปลกๆ ก่อนจะมองไปรอบๆ ร้านที่ตกแต่งให้เข้ากับบรรยากาศพลบค่ำ
“ทำไมเตรียมหรูจัง”
“นี่ใครครับ ลูกเจ้าของร้านนะ ก็ต้องหรูหน่อย” ผมบอก ในใจยังแปลกใจในความเป็นระเบียบของโต๊ะ การวางจาน ช้อน แก้วน้ำ ถึงผมจะเป็นคนบอกพี่ฝนว่าขอแบบโรแมนซ์ก็เถอะ ไม่น่าจะรวมพวกออเดอร์แพงๆ
ผ่านไป 5 นาที พนักงานก็มาเสิร์ฟอาหารจริงๆ ด้วย ผมเองไม่ได้บอกว่าจะทานอะไรบ้าง แต่ที่ดูๆ แล้วเป็นพวกสเต็ก ไม่รู้ว่าเป็นสเต็กอะไร เครื่องดื่มเป็นไวน์ ไอ้ยิมมองหน้าผม
“ท่าจะแพง” ไอ้ยิมยื่นหน้ามาพูด ผมแค่ไหวไหล่เอาส้อมจิ้มๆ เนื้อสเต็ก
“อือ กินเลย” ผมบอกมัน ระหว่างนั้นก็มีเสียงฝีเท้าดังมาใกล้ๆ ผมหันไปมองทันที “อ้าว พ่อ” ผมตกใจเมื่อเห็นพ่อในชุดกุ๊กประจำครัว ออกมายืนข้างๆ โต๊ะผม ข้างๆ กันนั้นเป็นแม่ผมเอง ท่าทางแปลกใจที่เห็นไอ้ยิมอยู่ด้วย
“ทำหน้าตกใจอีก เป็นไง สเต็กพ่อทำเองเลย นี่เป็นลูกหรอกนะไม่งั้นไม่เปิดไวน์ให้หรอก” พ่อบอกก่อนจะหัวเราะเบาๆ แล้วเดินมาหาผม ตบไหล่เบาๆ สองสามที ตามองไปที่ไอ้ยิม “นั่นใคร”
“สวัสดีครับ....คือผิงชวนผมมาทานมื้อเย็น—” ไอ้ยิมพูดยังไม่ทันจบพ่อก็รีบพูดแทรกก่อน
“อ๋อ ที่ไอ้ฝนบอกใช่ไหม... พ่อนึกว่าจะพาสาวมาซะอีก ไหงเป็นผู้ชายซะได้” พ่อหันไปหัวเราะกับแม่ที่แค่ยิ้มบางๆ
“... นี่รุ่นพี่เราเหรอ ไม่เห็นเล่าให้ฟังบ้าง” แม่มองไปที่ไอ้ยิมอย่างสนใจ
“...ก็กะจะเล่าให้ฟังตั้งนานแล้วแต่ไม่ถึงเวลาซะที...คือแบบนี้นะครับ พ่อแม่ ไอ้นี่มันเป็นรุ่นพี่ผมชื่อยิม...กะจะพามาแนะนำให้พ่อกับแม่รู้จักไง” ผมพยายามหลีกสัญญาณอันตราย ไอ้ยิมเงียบกริบ
“แบบนี้ต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจนานแน่ๆ เลยแม่ หาเก้าอี้มานั่งคุยกันน่าจะดีกว่านะ ว่าไงไอ้หนุ่ม” พ่อหันไปพูดกับไอ้ยิม
“...ครับ ผมจะอธิบายให้ฟังเองครับ” ไอ้ยิมตอบพ่อผมไปนิ่งๆ แต่ดูอ่อนน้อม ไม่ได้แข็งกระด้างอะไร พ่อดึงเก้าอี้มาเพิ่มก่อนจะนั่งลงข้างๆ ผม ส่วนแม่นั่งลงอีกด้านหนึ่งแทน
“นี่ใช่แบบที่แม่คิดหรือเปล่าเนี่ย มีลางสังหรณ์แปลกๆ” แม่กระดิกนิ้วชี้มาทางผมกับไอ้ยิมไปมาก่อนจะเท้าคางมองผมอย่างครุ่นคิด พ่อถอนหายใจหยิบแก้วไวน์ของผมที่ยังไม่ได้แตะมายกดื่มทีเดียวหมด
“...นี่เล่นไม่บอกไม่กล่าวกันเลย พ่อตกใจนะเนี่ย เราก็ชอบผู้หญิงนี่...หรือไม่ใช่?”
“เปล่าหรอกพ่อ คือ...จะว่ายังไงดีล่ะ คงเพราะสนิทกัน อยู่ใกล้กันมั้ง” ผมตอบมึนๆ กลับไปก่อนจะมองไอ้ยิมไปด้วย “พ่อไม่โกรธใช่ไหม รับได้นะ”
“โห ให้เวลาแม่แกด้วย พ่อคิ้วกระตุกตั้งแต่เห็นมากับไอ้หนุ่มนี่แล้ว”
“นั่นสิ ตกลงนี่คบกันอยู่เหรอ...” แม่กอดอกถาม น้ำเสียงนิ่งๆ
“...ยังครับ...แต่เราชอบกันน่ะแม่” ผมเป็นคนพูดเองน่าจะง่ายกว่า
“งั้นก็ห่างๆ กันไปได้น่ะสิ”
“ไม่หรอกครับ... เพราะผมจริงจัง มีหลายเรื่องที่ผมวางแผนจะทำร่วมกับไอ้— กับผิง ...อีกอย่างผมเป็นผู้ใหญ่พอสมควร ดูแลตัวเองได้ แล้วก็มั่นใจว่าจะดูแลผิงมันได้ดี” ทำไมมันพูดเหมือนจะมาขอผมอะไรแบบนี้ ผมเตะขามันใต้โต๊ะ พูดอะไรน้ำเน่า
พ่อกับแม่เงียบไปก่อนจะมองหน้ากันเหมือนตกลงปรึกษากันทางสายตา
“อืม...พ่อไม่ใช่คนใจร้าย ไม่เคยบังคับเรามาแต่ไหนแต่ไร... แต่มั่นใจแน่แล้วใช่ไหมว่าจะไม่เสียใจทีหลัง โลกไม่ได้หมุนตามเราไปทุกเรื่องนะหนุ่มๆ”พ่อเอ่ยน้ำเสียงเข้มงวดขึ้นมา ผมหน้าเปลี่ยนสี ก่อนจะตั้งสติ
“ครับพ่อ จริงๆ ไอ้ยิมมันเป็นคนดีนะพ่อ ออกจะสุภาพ” ผมพูด
“พ่อไม่ห้ามเพราะเราตัดสินใจกันไปแล้ว... อืม...แต่ก็ผิดหวังนิดหน่อย เพราะคาดหวังว่าเราจะแต่งงงแต่งงานมีลูกมีหลาน” พ่อมองผมก่อนจะส่ายหน้า
“พูดแบบนี้เสียใจเลย” ผมทำหน้าจ๋อย
“เฮ้อ แม่ก็ไม่ชอบบังคับใจใครหรอก ยิ่งเป็นลูกด้วยแล้ว ทำใจยาก... ถ้าดูแลกันได้อย่างที่พูดก็ไม่ว่าอะไรหรอกนะ แต่ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้น... บางทีแม่ต้องคิดใหม่แล้วล่ะ” แม่บอก มองไปทางไอ้ยิม
“ส่วนเรื่องรายละเอียดพ่อไม่อยากฟัง ไม่ใช่ว่าโกรธอะไรนะ แต่มันเป็นเรื่องของพวกแกเอง ไม่อยากยุ่ง... มันขนลุก” พ่อส่ายหน้าก่อนจะยึดขวดไวน์ไว้
“อืม มีอะไรอยากจะพูดไหมจ๊ะ” แม่พูดกับไอ้ยิม
“...ขอบคุณที่คุณลุงคุณป้าเข้าใจครับ แต่ผมมีอีกเรื่องที่อยากขอร้องน่ะครับ” ไอ้ยิมเอ่ยอย่างสุภาพก่อนจะมองไปที่พ่อกับแม่ผม ผมเดาว่าน่าจะเป็นเรื่องที่ไปฮ่องกง ทำไมถึงเร่งรีบจัง เดี๋ยวก็ช็อกสองเด้ง
“ว่ามาสิ” พ่อพยักหน้า
“คือผมมีแพลนว่าจะไปฝึกงานแถวเกาลูน เลยอยากจะชวนผิงไปเที่ยวฮ่องกงก่อนไปฝึกงานน่ะครับ... ถ้าหากคุณลุงคุณป้าอนุญาต” ไอ้ยิมมันพูดจนได้
“โห ฮ่องกงเลยเหรอ” แม่อุทาน
“อืม เราออกเงินให้ไอ้ผิงมันหรือไง” พ่อถามได้ตรงจุด นี่ผมยังไม่ได้ถามมันตรงๆ เลยนะว่าเรื่องค่าใช้จ่ายทั้งหมดปาไปเท่าไหร่ ไอ้ยิมแค่หัวเราะ เหมือนผมเป็นตัวดูดเงินจากไอ้ยิมเลยแฮะ ถึงจะชอบของฟรีแต่แบบนี้ก็เกรงใจ
“...โธ่พ่อ ผมออกค่ากินเองไง” ผมรีบพูด
“แล้วอยากไปไหมล่ะ” แม่ถามผม
“อยากสิ” ผมตอบทันที ส่วนพ่อเงียบไปสีหน้าครุ่นคิดเรื่องดังกล่าวอยู่นานก่อนจะถอนหายใจ
“อืม ก็ตามใจ โตๆ กันแล้ว....” พ่อพูดช้าๆ ก่อนจะยิ้มให้
“ดีเลย ไปฮ่องกงแวะซื้อกระเป๋าให้แม่ด้วยสิ” แม่โน้มตัวมากระซิบกับผมก่อนจะยิ้มให้ไอ้ยิม
“เอ๊ะ งั้นสีฝุ่นจากจีนก็เป็นเราเหรอที่ซื้อให้ไอ้ผิงมัน” พ่อหันไปถามไอ้ยิม สิ่งคล้ายกันระหว่างผมกับพ่อคือการชอบงานศิลปะ พ่อเองก็มีงานอดิเรกเป็นพวกงานศิลป์เหมือนกัน
“...ก็...ใช่ครับ” ไอ้ยิมรับไม่เต็มปากเต็มคำเท่าไหร่เพราะตั้งใจซื้อให้ไอ้สองมันมากกว่า แต่โชคดีดันตกเป็นของผม
“ใช้ดีใช่ไหมพ่อ....กูให้พ่อยืมใช้ด้วย” ผมหันไปพูดกับไอ้ยิม มันแค่ยิ้มบางๆ
“ถ้ามีความสุขกันก็ไม่ห้ามหรอกนะ... พ่อต้องเข้าไปที่ครัวแล้ว” พ่อลุกขึ้นยืนก่อนจะหยิบขวดไวน์ไปด้วย “ไวน์นี่ไม่ต้องแล้วนะ เสียของ” พ่อยิ้มใจดีก่อนจะเดินหายเข้าไปที่หลังร้าน 
“งั้นแม่ไปทำงานดีกว่า ถ้ามีเรื่องอะไรบอกได้นะเรา” แม่ยิ้มจับไหล่ผมเบาๆ แล้วลุกจากเก้าอี้ ไม่วายหันมามองไอ้ยิมก่อนจะเดินไปทางหน้าเคาน์เตอร์ของร้านบริเวณด้านนอก ผมถอนหายใจเห็นไอ้ยิมมันนิ่งๆ ไปเลยแปลกใจ
“เป็นอะไร” ผมเตะขามันใต้โต๊ะเบาๆ
“แม่มึงดูไม่ค่อยมั่นใจเรื่องของกูกับมึงเท่าไหร่เลย” ไอ้ยิมเอ่ยเสียงจริงจัง มันไม่ยอมแตะอาหาร คงจะเย็นไปหมดแล้วแน่ๆ ผมไหวไหล่
“แล้วไง แต่ที่แน่ๆ พ่อกูไม่ได้ว่าอะไร... นี่ อย่าซีเรียสสิ เอ็นจอยหน่อย ยังไงซะยังมีเวลาอีกมากให้พ่อกับแม่เห็นว่าเราสามารถ... ดูแลกันได้ล่ะมั้ง ถ้ามึงอยากจะอยู่นานๆ น่ะ” ผมพูดไม่ได้สบตาไอ้ยิม แค่หยิบมีดมาหั่นเนื้อสเต็กไปพลางๆ
“อือ ก็อยากอยู่ด้วยนานๆ อยู่แล้ว...” ไอ้ยิมพูดงึมงำๆ ก่อนจะลงมือกินอาหารบ้าง เครื่องดื่มเปลี่ยนเป็นน้ำเป๊ปซี่
“ไปเป็นเพื่อนกูทำพาสปอร์ตหน่อยสิ กูไม่เคยไปเลยอะ” ผมเพิ่งนึกขึ้นได้ ไอ้ยิมพยักหน้า
“อืม ว่างวันไหนล่ะ”
“ไว้ดูอีกที ไม่ก็ถ้าใกล้ๆ จะไปที่นู่นแล้วค่อยไปทำก็ได้นี่” ผมบอกเพราะก็ไม่ได้ใช้เวลาทำนานมากมาย
“ตรุษจีนนี้ไปบ้านกูไหม” ไอ้ยิมเอ่ยปากชวน ผมแทบสำลัก
“หือ... เอาจริงดิ...ไปบ้านป๊าม้ามึงเนี่ยนะ” ผมกลัวคนที่บ้านมันนิดหน่อย ดูซีเรียสยังไงไม่รุ้โดยเฉพาะป๊ามัน เคยเจอครั้งเดียว เป็นคนดุๆ จริงจัง
“อืม..” ไอ้ยิมพยักหน้า ท่าทางเอาจริงอย่างที่พูด “มันจะดีเหรอ...คงมีแต่พวกญาติๆ มึง” ผมกลัวว่ามันจะไม่เหมาะสมเท่าไหร่
“...ก็ไปตอนวันตรุษก็ได้...ถึงยังไงกูก็บอกป๊ากับม้าเรื่องของมึงแล้ว”
“บอกแล้วเหรอ” มีเรื่องให้ผมได้ตกใจอีกแล้ว มันก็ไม่บอกไม่กล่าวกันเลยนะ
“อืม บอกแค่เป็นคนสนิท...ก็น่าจะรู้นั่นแหละ ม้าก็ยังชวนมาเลย จะได้อยู่กินอาหารกับที่บ้านกู...แต่ถ้ามึงไม่สะดวกก็ไม่เป็นไรนะ ไม่บังคับหรอก” ไอ้ยิมพูดนิ่งๆ ผมเดาไม่ออกว่ามันประชดหรือเปล่า แต่ถ้าให้ไปกินอาหารล่ะก็ ...มันก็โอเคอยู่ ถึงจะต้องไปเจอหน้าอาเจ๊ อาแปะ อากง เหล่าญาติๆ ของไอ้ยิมก็เถอะ แต่ก็ดีนะ...อย่างน้อยก็ได้ไปเจอป๊ากับม้าไอ้ยิมบ้าง
“ไปน่า... ไม่งั้นอาจมีคนงอนละมั้ง” ผมหัวเราะ ถ้าผมไม่ไปแน่นอนว่ามันต้องโกรธผม ทำตัวเป็นเด็กเลย
“...จริงนะ... จะได้บอกที่บ้านถูก” ไอ้ยิมถึงกับยิ้มออก
“แล้วมึงไม่กลับไปอยู่ที่บ้านเหรอ” ผมถามเพราะปกติ จะต้องมีวันจ่ายวันไหว้อะไรอีก ผมก็ไม่ค่อยรู้อะไรมากด้วย
“อ๋อ ค่อยไปวันไหว้ทีเดียวเลย ... เดี๋ยวกูไปส่งมึงแล้วก็คงต้องกลับบ้าน”
“งั้นเหรอ” ได้อยู่ด้วยกันแค่แป๊บเดียวเอง เหมือนเวลามันเดินเร็วยังไงก็ไม่รู้นะ ผมเองก็บอกไม่ถูกนัก อาจเป็นเพราะผมใช้เวลาอยู่กับไอ้ยิมมากขึ้น มันก็เลย...เริ่มเกิดความเคยชิน แล้วไหนมันจะต้องไปฝึกงานไกลๆ อีก ไม่รู้ว่าคณะมันอนุมัติได้ยังไง เฮ้อ
“เป็นอะไร...” ไอ้ยิมมองผมอย่างสังเกต ผมแค่ยิ้มให้มัน
“เฮ้อ เวลามันผ่านไปเร็วเหมือนกันนะ อีกแป๊บๆ ก็จะหมดเทอมแล้ว” ผมถอนหายใจดัง
“อืม ...ทำไงได้ เวลามันก็เดินไปเรื่อยๆ อยู่แล้ว ...ทำไม คิดเรื่องของกูอยู่เหรอ” มันดันรู้ดีอีก สงสัยผมแสดงออกผ่านสีหน้าแววตามากไป
“ก็มีบ้างแหละ เพิ่งเห็นกันหลัดๆ ก็ไปซะแล้ว” ผมหัวเราะ
“ตลกอีกแล้วนะมึง” มันส่ายหน้ายิ้ม
“เมื่อไหร่จะยอมคบกันจริงๆ จังๆ ซะที” ไอ้ยิมถามขึ้นมาทำเอาผมเหวอ
 “...อะไร จะเป็นแฟนกู อีกเดี๋ยวมึงก็ไปอยู่ไกลหูไกลตาแล้ว บ้าเหรอ” ผมเบ้หน้า แบบนั้นไม่เอาหรอก ผมกลัวว่าจะรู้สึกกับไอ้ยิมมากเกินไป ถ้าหากว่าต้องอยู่ห่างๆ กัน กลัวใจตัวเองเนี่ยแหละ ที่มันทนไม่ได้ คิดเองเออเองแล้วมันก็เสี่ยวจริงๆ
“งั้นรอก็ได้ แค่สี่เดือนเอง” ไอ้ยิมพูดเหมือนเป็นแค่สี่วัน
“เหรอออ พ่อคนใจแข็ง”
“หมายความว่ามึงกลัวคิดถึงกูล่ะสิท่า” ไอ้ยิมหัวเราะ แววตาดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
“อะไรมึง วู้ แดกๆ ไปเลย ไม่หมดล่ะเสียของ” ผมโวยวายกลบเกลื่อนความจริงในใจ ดันมาจี้ถูกจุดอีก ผมก้มหน้ากินต่อให้หมด ฝีมือพ่อแท้ๆ อุตส่าห์ทำให้สุดฝีมือเพราะนึกว่ามาแฟนมาเดท หลังจากนั้นของคาวหมดไปออเดอร์มาเสิร์ฟต่อเป็นสลัดผลไม้
“พ่อมึงใจดีนะ” ไอ้ยิมบอกก่อนจะจิ้มแก้วมังกรเข้าปาก
“บอกแล้วไง” ผมยิ้ม
“กูจริงจังกับมึงนะ ทุกๆ เรื่องนั่นแหละ แค่อยากให้มึงรู้จะได้ไม่ต้องคิดมาก” ผมนิ่งไป ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเปิดเผยความรู้สึกขนาดนี้
“อือ กูรู้แล้วน่า” ผมยิ้ม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-02-2018 15:31:15 โดย รินดาwดาริน »

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
 :katai2-1:  แมนๆ เรียลๆ ฟินค่ะ
ยิมผิงน่ารักดีค่ะ
คนเขียนน่ารัก  :L2: 

ออฟไลน์ รินดาwดาริน

  • OnTop&N'Song
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +243/-2

ตอนที่ 22 กลับบ้าน

หลังจากที่ใช้เวลาในวันหยุดเสาร์-อาทิตย์กับพี่ท็อปจนคุ้มแล้ว ผมก็ต้องกลับมาไฟท์กับงานอีก พี่ท็อปเข้าโหมดซีเรียส ขอปลีกตัวไปอยู่บ้านพักของพี่ธามเพราะเจ้าตัวให้เหตุผลว่าอยู่กับผมไม่มีสมาธิเอาเสียเลย ก็นะ...เลยไม่ได้ห้ามอะไร ผมเองกลับมาอยู่คนเดียวอีกครั้ง เลยได้โอกาสจัดห้องใหม่ ผมเลยออกไปตระเวนซื้อของตกแต่งห้องที่ร้านใกล้ๆมหา’ลัย มีร้านอุปกรณ์ของใช้ภายในบ้านพวกนี้อยู่ไม่ไกล ส่วนมากจะเป็นเครื่องมือในครัวเรือน ผมซื้อผ้าม่านผืนเล็กสีสันสดใสมาสี่ผืน
ผมทำความสะอาด ย้ายโต๊ะคอมกับลิ้นชักไปไว้ข้างตู้เสื้อผ้าแทน เริ่มติดผ้าม่านผืนใหม่ที่หน้าต่างให้พี่ท็อป ถึงแม้ห้องจะไม่กว้างมากแต่ถ้าเลือกสี และการจัดวางของใช้ให้เหมาะสม ห้องจะดูกว้างขึ้นมาเอง พอเสร็จจากห้องพี่ท็อปก็ไปจัดการให้กับห้องของตัวเอง ขณะที่กำลังเปลี่ยนผ้าม่านอยู่นั้น โทรศัพท์ที่วางอยู่บนเตียงก็สั่น

ตืด ตืด ตืด

หืม... ไอ้โก๋ โทรมาหา มีธุระอะไรหรือเปล่านะ

“ว่าไง” ผมกดรับสายทันที

[มึงรู้เรื่องงานกีฬาแล้วยังวะ] ไอ้โก๋พูดถึงงานกีฬาเชื่อมสัมพันธ์สี่คณะ สี่คณะที่ว่า มีวิศวกรรม สถาปัตยกรรม ศิลปกรรม เกษตรศาสตร์ เพราะสี่คณะนี้อยู่โซนเดียวกันหมด และมันก็มีข่าวลือกันบ่อยๆ ว่าสี่คณะไม่ถูกกัน ไหนจะบอกว่าวิศวะไม่ถูกกับเกษตร ถาปัตย์ไม่ถูกกับศิลปกรรม มันเลยกลายมาเป็นงานกีฬาเชื่อมสัมพันธ์ แต่ไม่รู้ว่าเป็นข้อดีหรือว่าข้อเสียเพราะต่างฝ่ายก็จะเอาชนะกันมากขึ้น ดุเดือดกันไป ส่วนด้านสแตนด์เชียร์คณะผมไม่เคยจริงจัง ปล่อยให้สามคณะแข่งกันไป

“รู้แล้ว ทำไมเหรอวะ”ผมถาม

[อาจารย์จะเอารายชื่อนักกีฬาไง ...เลยให้ปีเรารวบรวมรายชื่อส่ง งานนี้สนุกแน่ว่ะ] ไอ้โก๋พูดอย่างตื่นเต้น อยากส่องสาวคณะอื่นด้วยมากกว่าล่ะมั้งเพื่อน
 “เอาชื่อกูไปด้วยนะ ลงบาสกับวอลเลย์บอล” ผมบอกมัน
[เออ อีกเรื่อง เฮียแกนก็ลงเล่นนะ ลงบาสฯ]ไอ้โก๋บอก ผมถอนหายใจ ต่างคนต่างอยู่กันอยู่แล้ว ถ้าจะลงเล่นจริงๆ ก็ไม่มีอะไรต่างไปจากเดิม
“ไม่เป็นไรหรอกมั้ง”
[เออ แล้วพรุ่งนี้เจอกัน] แล้วมันก็วางสายไป
ผมกลับไปติดม่านตามเดิม ในหัวคิดเรื่องพี่ท็อป แต่ดันวกไปหายิมเฉยเลย ถ้างานกีฬาล่ะก็แบบนี้คงเจออีกฝ่ายแน่ๆ มันต้องลงบาสชัวร์ๆ กี่เดือนแล้วนะไม่ได้คุยกับมัน อีกอย่าง เจ้าตัวก็หายไปเลย ไม่ได้โทรมาส่งข่าวบ้าง ตอนนี้มันคงทำใจได้แล้วแน่ๆ ผมกดหาเบอร์ยิม ปรากฏว่ามันคงเปลี่ยนเบอร์แล้ว ช่างเถอะค่อยไปถามไอ้ผิงเอาทีหลัง
จากนั้นก็ว่างๆ เลยหันมาคิดไอเดียงานใหม่ดูไปเรื่อยเปื่อย พอมีเวลามาคิดเรื่องของผมกับพี่ท็อปอย่างใคร่ครวญแล้ว อีกฝ่ายก็ให้ผมมาเยอะเหมือนกัน และเปลี่ยนไปทิศทางที่ดีขึ้นมาก ความรักนี่มันเปลี่ยนคนได้จริงๆ ผมย้อนกลับไปคิดถึงคำพูดที่เคยบอกกับพี่ดีน ยอมรับว่าผมเป็นห่วงเจ้าตัว อยากให้พี่เขาได้เจอกับความรักที่มากพอที่จะทำให้เจ้าตัวเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ไม่ใช่แย่ลงแบบที่เป็นอยู่
พี่ท็อปกลับมาพร้อมกับของกินและของใช้พะรุงพะรัง ผมลุกไปช่วยอีกฝ่ายเก็บของใส่ตู้เย็น พี่ท็อปมองไปรอบบริเวณห้องอย่างชอบใจ
“ห้องสวยขึ้นเยอะเลย”
“เนอะ” ผมยิ้มก่อนจะนั่งลงบนเตียง มองพี่ท็อปเปลี่ยนกางเกง ท่าทางดูมีความสุขแบบเกินหน้าเกินตาสงสัยมีเรื่องดีๆ แน่
“ไปฟิตเนสกัน...” อยู่ๆ พี่ท็อปก็ชวน ทำเอาผมหุบยิ้ม
“โห ไหนว่าอาทิตย์หน้าไง”
“เอ้า ก็ต้องฟิตก่อนแข่งกีฬาไง ออกกำลังเป็นเรื่องดีนะจะได้มีออกซิเจนไปเลี้ยงสมองเยอะๆ ไง อย่าปล่อยให้มะเร็งครอบงำมึง”
“วันนี้เลยเหรอ ไม่เอาอะ”ผมส่ายหน้าขอผ่าน อนนี้ทั้งขี้เกียจ ทั้งเบื่อฟิตเนสเพราะคนเยอะ ดูวุ่นวาย พี่ท็อปส่ายหน้าก่อนจะเดินเข้ามานั่งข้างๆ ผม
“ไอ้ตัวมีขนเอ้ย ยังไงมึงก็หนีไม่พ้น มีเวลาเหลือเฟือเพราะโปรเจกต์กูผ่านแล้ว” พอพี่ท็อปพูดจบประโยคผมก็ลิงโลด แบบนี้คงมีเวลาอยู่ด้วยกันเยอะขึ้น
“จริงดิ งั้นก็มีเวลาให้ผมแล้วสิ”
“อือฮึ” เจ้าตัวพยักหน้ายิ้มแก้มแทบปริ
“แจ่มว่ะ”
“ไปเที่ยวกันป่ะ” พี่ท็อปโน้มหน้ามาถามใกล้ๆ เหมือนจะสะกดจิตผม
“ที่ไหนอะ ไม่อยากไปไกลๆ เลย” ผมนึกถึงเรื่องคราวก่อนแล้วทำเอาหมดสนุก
“อืม...ไปบ้านมึงก็ได้ อยากไปไหว้พ่อตา” พี่ท็อปยิ้ม
“ตลกละ แต่ถ้าอยากไปจริงๆ เดี๋ยวผมนำเที่ยวเอง” ผมบอก แม้ว่าที่บ้านผมจะไม่ได้มีที่เที่ยวมากมายอะไร
“ดี พ่อมึงใจดีไหมวะ” พี่ท็อปถาม
“ก็......ใจดีมั้ง” ผมนึกถึงพ่อตัวเอง
“อืมเหรอ ไม่เคยเห็นพูดถึงเลย” จำได้ว่าพี่ท็อปเคยถามเรื่องที่บ้านผมแค่ครั้งเดียว และผมก็ไม่ค่อยพูดถึงมากนัก
“ไม่รู้จะพูดถึงไปทำไม”
“ทะเลาะกับพ่อเหรอ” เจ้าตัวกอดอกมองผมเหมือนกำลังวิเคราะห์
“ก็ไม่เชิงนะพี่” ผมพูด เหมือนแค่ว่าไม่ได้คุยกันมากกว่า ความสัมพันธ์ก็ปกติแต่ไม่สนิทเหมือนเมื่อก่อนสมัยมัธยมเท่าไหร่ คราวก่อนที่ผมกลับบ้านไปช่วงปิดเทอมปีที่ผ่านมา แค่ไม่กี่วันหลังจากไปหาพี่ท็อปมาคราวนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรกันมากนัก อันที่จริงผมอยู่ไม่ติดบ้านมากกว่า
“อืม ก็คุยกันสิ ไม่อยากนั้นจะเสียใจภายหลังนะ” พี่ท็อปพูดเสียงน่าฟังก่อนจะเอื้อมมือมาตบไหล่ผมเบาๆ เหมือนให้กำลังใจ
“ครับ กะว่าจะคุยดีๆ ด้วย” ผมบอก บางครั้งก็รู้สึกผิดที่ทำตัวไม่ดีใส่พ่อ
“อืม กูไปคงไม่โดนเตะนะ” เจ้าตัวหัวเราะเสียงใส สีหน้าเหมือนหยอกล้อ
“ไม่หรอกน่า” ผมพูดอย่างไม่แน่ใจนัก พ่อผมเป็นคนตรงๆ หน้าดุ ไว้หนวด ภายนอกเป็นคนขรึมๆ ให้อารมณ์เหมือนพวกกำนันสมัยก่อน แต่จริงๆ แล้วผมรู้ดีว่าพ่อใจดีแค่ไหน อย่างน้อยๆ ก็ไม่เคยลงไม้ลงมือกับผมสักครั้ง ทั้งๆ ที่ผมทำตัวไม่เอาไหน
“แต่ผมไม่อยากเจอพวกเพื่อนเก่าๆ พี่นึกภาพออกนะ.....” คงนึกภาพวัยรุ่นต่างจังหวัดออก เฮี้ยวๆ และเพื่อนผมส่วนมากเรียนช่างไฟฟ้า ช่างกลบ้าง และอีกเรื่องที่กังวลมากกว่าก็คือ....เด็กเก่า
"เพื่อนแน่นะ” พี่ท็อปก็ตาแหลมจริงๆ เลย เจ้าตัวใช้ศอกดันมาที่เอวผมหลายครั้ง ผมแค่หัวเราะกลบเกลื่อน
“แน่สิครับ” จริงๆ แล้วผมเคยคบเด็กแถวบ้านด้วย แค่ระยะเวลาไม่กี่เดือนเพื่อแก้เซ็งระหว่างปิดเทอมรอเข้ามหาลัย ผมยังจำชื่อเด็กคนนั้นได้ดี โจ้ อยู่หมู่บ้านถัดไปแต่ผมลืมเลือนหน้าตาไปแล้วเพราะโจ้ไม่ได้มีอะไรโดดเด่น แค่ขาวสูงเท่านั้นเอง ตอนนั้นมันอยู่ม.ห้า แต่ปัจจุบันคงเข้าเรียนมหาลัยแล้วล่ะ ไม่เจอง่ายๆ หรอก แต่ถ้าเจอกันนี่ก็อีกเรื่องนึง ซึ่งผมไม่อยากคิดให้เสียความสนุกสานในชีวิต วัยเด็กวัยรุ่นใครๆ ก็พลาดกันได้...
“มึงว่างวันไหนบ้างจะได้ฟิกวันถูก” พี่ท็อปเอนตัวไปพิงหมอนก่อนจะหยิบโทรศัพท์มาเช็คตารางเวลาของตัวเอง คิ้วขมวดเข้าหากัน ผมชอบมองคิ้วพี่ท็อป มันสวยดี ไม่หนาและบางเกินไป จนเจ้าตัวรู้ว่ามีคนจับจ้องเลยยักคิ้วให้ผม
"อืม...อาทิตย์นี้เป็นไงพี่ ผมเองก็ว่างๆ อยู่” ผมนึกตารางงานของตัวเอง วันจันทร์มีเรียนแค่คาบเดียวอาจารย์คงไม่เข้ามาสอน แค่สั่งงานไว้ล่ะมั้ง น่าจะขาดได้
“ก็ดีนะ คราวนี้แหละกูจะได้รู้จักมึงมากขึ้น” พี่ท็อปยิ้มร้ายกาจก่อนจะหยิบรีโมตมาเปิดโทรทัศน์ดูรายการร้องเพลงไปพลาง
“แล้วจะไปยังไงดีพี่ จะขับรถไปหรือว่าขึ้นรถทัวร์เอา”
“นานๆ ทีจะได้ไปขนส่ง ขึ้นรถทัวร์ไปก็ได้ ไม่ถึงสามชั่วโมงไม่ใช่เหรอ” พี่ท็อปมองผม
“โอเคพี่ งั้นผมต้องโทรไปบอกพ่อก่อน จะได้เตรียมห้องไว้” ผมพูดไปเรื่อยๆ พี่ท็อปพยักหน้าโบกมือให้ผมลุกออกไปคุยที่ระเบียง เห็นพี่ท็อปหัวเราะหึๆ มองผมอยู่ตลอด แต่ว่ารอสายอยู่นาน จนผมต้องโทรไปใหม่อีกครั้ง
ตู๊ด ตู๊ด ตู๊ด
สงสัยจะทำงานหรือไม่ก็ไม่อยากรับสายผมล่ะมั้ง ผมตั้งใจจะวางสายแต่พ่อกดรับได้ทันก่อนพอดี วินาทีนั้นเหมือนหัวสมองผมว่างเปล่า จากที่คิดถ้อยคำไว้ซะดิบดีกลับลืมไปเสียหมด
“ฮัลโหลพ่อ นี่สองเองนะ” ผมบอกไป ที่ปลายสายแค่เงียบไปก่อนจะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงแข็งๆ เหมือนอารมณ์ขุ่นมัว
[เออ ชื่อก็โชว์มาอยู่ ...มีอะไรถึงได้โทรมา]
"ก็โทรมาคุยเฉยๆ แล้วนี่เป็นยังไงบ้าง” ผมถามกลับไปห้วนๆ 
[เอ็งสนใจข้าด้วยเหรอ นึกว่าลืมไปแล้วว่ามีพ่ออยู่ ข้าก็เกือบๆ ลืมว่ามีลูกกับเขาด้วย] พ่อประชดประชัดกลับมา ทำเอาผมไม่รู้จะพูดอะไรต่อ
“ทำไมพูดแบบนั้น ก็ไม่ค่อยว่าง....แล้วอาทิตย์นี้ผมจะกลับบ้านนะ” ผมบอก กลั้นหายใจฟังคำตอบ
[...มีอะไรอีกล่ะสิหือ]
“เปล่าหรอก ไม่ได้กลับไปหาหลายเดือนแล้วไง พารุ่นพี่มาด้วย”
[อืม...รุ่นพี่นี่คือรุ่นพี่จริงๆ ใช่ไหม] พ่อย้อนถามกลับเสียงดังจนต้องเอาโทรศัพท์ออกห่าง ถึงผมจะคบหากับผู้ชายก็ใช่ว่าพ่อจะเห็นดีเห็นงาม แม้จะไม่เคยด่าทอต่อว่าแสดงอาการต่อต้านมากมายแต่เหมือนแค่ปล่อยๆ ผมไป ชีวิตเป็นของผม อะไรทำนองนั้น พ่อเงียบไปนานหลายนาที ผมเลยกังวลใจขึ้นมา หันไปมองพี่ท็อปที่นอนจ้องผ่านหน้าต่างบานเกล็ด
“พ่อ” ผมเรียก
[นึกว่าเลิกคบผู้ชายไปแล้วนะ... ข้าตกใจนะเนี่ย]
“พ่อก็รู้นี่ว่าผมเป็นยังไง...” ผมบอกไปช้าๆ
[ตามใจๆ แล้วจะมายังไงกัน]พ่อเปลี่ยนเรื่องคุย
“น่าจะขึ้นรถทัวร์ พ่อมารับที่ขนส่งได้ไหมอะ”
[ได้สิ] พ่อพูด
 [ถ้ามาถึงขนส่งแล้วโทรมาแล้วกันจะได้ไปรับ...กลับมาบ้านนี่คงไม่มาสร้างเรื่องอะไรนะ]พ่อหัวเราะหึๆ
"ผมจะไปทำอะไรได้... ยังไงก็ขอบคุณมากนะพ่อ” ผมพูด
 [เออๆ มีอะไรก็โทรมา]
“ครับ...ไว้โทรหานะ” แต่พ่อชิงวางสายไปก่อน ผมเดินกลับเข้ามาในห้อง พี่ท็อปที่นั่งอยู่บนเตียงเหลือบมองผมขณะที่เดินเข้ามาหา สงสัยจะได้ยินที่ผมคุยกับพ่อล่ะมั้ง
“ทำไมพูดไม่เพราะเลย” พี่ท็อปเบาเสียงโทรทัศน์ ผมแค่ส่ายหน้า
“ก็คุยแบบนี้แหละ เรียบร้อยแล้วพี่”
“อืม อยากเห็นหน้าพ่อมึงแล้วสิเนี่ย” พี่ท็อปพูดเจือเสียงหัวเราะ
“พ่อผมไม่ดุหรอก” จริงๆ นะ ยกเว้นตอนโมโหเท่านั้นแหละ
“รอไปถึงก่อนดีกว่า คงได้รู้กัน” พี่ท็อปยิ้ม
.....
ผมกับพี่ท็อปไม่ได้เอาอะไรไปมากนอกจากเสื้อผ้าเพราะไปไม่กี่วัน เหมือนแค่ไปพักผ่อนในวันหยุด เมื่อได้กำหนดออกเดินทางผมเลือกใช้ลูกรัก เคเอสอาร์ขาประจำไปฝากไว้ที่ขนส่งแล้วรอขึ้นรถทัวร์ พี่ท็อปดูจะไม่ชินสักเท่าไหร่ หลังจากซื้อตั๋วมาแล้วก็ต้องนั่งรอไปอีกเนื่องจากรถทัวร์มาช้าไปสิบนาทีแล้ว ผมเริ่มอารมณ์เสียเพราะขี้เกียจรอนาน แต่พี่ท็อปดูจะมากกว่าผม
“รู้แบบนี้ยืมรถแม่มาซะก็ดี สะดวกกว่าอีก” พี่ท็อปบ่นอุบ
ระหว่างนั้นรถทัวร์เที่ยวของผมก็มาพอดิบพอดี พี่ท็อปเลยดูกระปี้กระเปร่าขึ้นมาทันทีก่อนจะเดินไปขึ้นรถทัวร์ ผมเลือกนั่งริมหน้าต่างเพราะเคยชินไปแล้ว พี่ท็อปขยับมาใกล้ผมมากขึ้นทั้งๆ ที่นั่งคนละเบาะ ผมมองพี่ท็อปงงๆ
“แอร์หนาว” เจ้าตัวแค่ยิ้มแล้วก่อนจะดึงแขนผมไปกอดไว้แล้วเอนตัวมาใกล้ ที่กล้าเปิดเผยขนาดนี้เพราะเก้าอี้ข้างๆ กับด้านหน้าว่าง 
“เอาเสื้อแขนยาวไหมพี่ น่าจะอุ่นกว่า” ผมหัวเราะ พี่ท็อปย่นจมูกก่อนจะเหลือบมองไปรอบๆ รถทัวร์ 
“ตื่นเต้นเหมือนกันเนอะ ไม่เคยไปไหว้พ่อตา”
“เดี๋ยวก็ชิน” ผมบอกอย่างหมดมุก ปล่อยให้พี่ท็อปเอ็นจอยกับเรื่องนี้ไป ผมยอมแพ้แล้ว
“ยอมรับตั้งแต่แรกก็จบเรื่อง” พี่ท็อปกระซิบกระซาบ
“ถ้าง่วงก็พิงผมได้นะ” ผมหันไปพูด จังหวะนั้นใบหน้าของเราใกล้กันพอดีเกือบๆ จะหอม แต่เก็บอาการหน่อยมันดูไม่งามเลย
“อือ” พี่ท็อปพยักหน้าก่อนจะเอื้อมไปหยิบเอาของในกระเป๋า เป็น iPod เพื่อเอามาฟังเพลง เจ้าตัวยื่นหูฟังอีกข้างมาใส่หูผม จากนั้นก็นอนหลับตาไปเรื่อยๆ ไม่ก็มองวิวข้างทางไปเพลินๆ ซึ่งผมชอบมองจนชิน ทั้งๆ ที่เส้นทางก็เหมือนๆ เดิม แต่ในระหว่างนั้นมันทำให้ผมคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้เหมือนกัน เหมือนได้ทบทวนตัวเองจากหลายๆ ปีที่ผ่านมา   
“คิดอะไรอยู่” พี่ท็อปเอ่ยถามเบาๆ เพราะทั้งคันรถเงียบกันหมด ผมแค่ยิ้ม
“คิดอะไรเพลินๆ น่ะพี่” ผมตอบ พี่ท็อปมองหน้าผมก่อนจะย่นคิ้วสงสัย
“อืม นึกว่าคิดถึงกูซะอีก”
“อยู่ข้างๆ ยังต้องคิดอะไรอีก”
“หึๆ หวังว่าไปถึงบ้านมึงแล้วคงไม่มีเรื่องอะไรให้คิดอีกนะ” พี่ท็อปมองหน้าผมเหมือนรู้ทันความคิดผม ที่ผมแอบกังวลนิดหน่อยคือเรื่องเด็กเก่าผมเนี่ยแหละ ผมไม่อยากเจอเรื่องวุ่นวาย แต่เหมือนมีลางร้ายแฮะ
“จะมีอะไรได้ล่ะครับ” ผมหัวเราะเบาๆ จากนั้นพี่ท็อปก็นอนหลับพิงไหล่ผมไปตลอดทาง เล่นเอาเหน็บกินเลย แต่ก็ทนได้ หลังจากที่รถทัวร์เลี้ยวเข้าสู่ขนส่งประจำจังหวัด ผมจึงโทรหาพ่อให้มารับ รออยู่ประมาณสิบนาที รถกระบะสีเทาก็ขับมาจอดเทียบ ผมทักทายพ่อ
“สวัสดีครับ” พี่ท็อปยกมือไหว้ ท่าทางดูจะเกรงๆ พ่อผมระหว่างที่เข้าไปนั่งด้านในรถ ผมนั่งเบาะด้านหน้าข้างๆ พ่อ ส่วนพี่ท็อปนั่งเบาะหลัง พ่อเหลือบมองพี่ท็อปนิ่งๆ
“สอง เอ็งไม่เห็นบอก ว่ารุ่นพี่คนนี้ชื่อแซ่อะไร”พ่อพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเข้างวด ผมหันมอง ทำเอาหายใจไม่ทั่วท้อง 
“ผมชื่อท็อปครับ เป็นรุ่นพี่ของสองหนึ่งปีครับ”พี่ท็อปเอ่ยขึ้นด้วยความสุภาพ แต่พ่อแค่เหลือบมองก่อนจะถอนหายใจแรงๆ
“อืม จะให้เชื่อว่าเป็นรุ่นพี่จริงๆ สินะ”
“พ่อ แฟนผมเอง เรียนวิศวะด้วยนะเผื่อพ่ออยากใช้งาน”ผมพูดติดตลก แต่กลายเป็นว่าสร้างความเงียบขึ้นมาแทน พ่อถอนหายใจขับรถไปเงียบๆ เปิดเพลงลูกทุ่งเพื่อชีวิตตามประสาคนแก่
“แล้วต้องไปฝึกงงฝึกงานอะไรกับเขาไหม” พ่อพูดกับพี่ท็อป ทำเอาเจ้าตัวทำหน้าแปลกๆ เพราะไม่คิดว่าพ่อจะถาม
“ครับ เทอมหน้าก็ไปฝึกแล้ว”
“อืม จะจบแล้วสิ...ไอ้สองมันทำตัวดีขึ้นบ้างไหม” อยู่ๆ พ่อก็ถามขึ้นมา ผมเหลือบไปมองพี่ท็อปก่อนจะยิ้มให้ อย่างน้อยพ่อก็ไม่ได้เมินใส่ ถือว่าเป็นลางดี
“ครับ ไม่ค่อยเที่ยว เรื่องเหล้าเรื่องบุหรี่ก็ลดๆ ลงแล้ว” พี่ท็อปยิ้ม
“เหรอ” พ่อหันมองหน้าผมด้วยสายตาไม่เชื่อ
“แล้วคิดจะคบมันไปตลอดเลยเหรอ ไม่แต่งงานมีลูกมีเต้าหรือยังไง” พ่อยิงคำถามเบสิกใส่ พ่อน่าจะพัฒนามุกในการกดดันพี่ท็อปหน่อยนะ เพราะมุกนี้ล้าสมัยไปแล้ว พ่อแม่คนเมืองหัวสมัยใหม่ไม่ได้บังคับจิตใจลูกตัวเอง
“ก็คงเป็นแบบนั้นครับ ผมเองคงแต่งงานไม่ได้เพราะผมเป็นแบบนี้ แต่ครอบครัวผมก็เข้าใจ ไม่ได้กีดกันถ้าจะคบผู้ชายด้วยกัน”
“อืมๆ พ่อแม่สมัยนี้ก็แปลกๆ กันทั้งนั้น” พ่อส่ายหน้า
“แล้วพ่อล่ะ” ผมหันไปถามพ่อบ้าง
“อยากรู้จริงๆ เหรอ” พ่อไม่ได้มองหน้าผมระหว่างที่พูด
ตลอดเส้นทางที่ขับไปยังหมู่บ้านก็ไม่มีการพูดคุยกันอีก ผมเองขี้เกียจเปิดหัวข้อสนทนาแล้วด้วย ภายในรถจึงมีแค่เสียงเพลงเท่านั้นละแวกบ้านผมไม่ได้ห่างไกลความเจริญ เป็นเมืองใหญ่แต่เงียบสงบดี แต่ด้วยความที่บ้านผมห่างจากตัวเมือง ตำบลที่ผมอยู่มีหลายหมู่บ้าน ตั้งแต่หนึ่งถึงสิบเลย บรรยากาศหมู่บ้านออกจะชนบท เวลาใครกลับมาจากต่างจังหวัดก็รู้กันหมด ใครทำเรื่องไม่ดีไว้ก็เป็นขี้ปากคนยันลูกบวช ผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น... เรื่องมิ้นท์นั่นไง
ผมแค่ย้ายโรงเรียนแต่ไม่ได้ย้ายบ้านหนี ผมถึงไม่อยากกลับบ้านบ่อยนัก เพราะไม่ค่อยชินกับเสียงซุบซิบนินทาของมนุษย์ป้ามนุษย์ลุงเท่าไหร่ ยิ่งผมกลับมาพร้อมผู้ชายหล่อๆ แบบพี่ท็อป คงจะเอาไปคุยกันบ้างตามประสาคนนิยมเผือกเรื่องชาวบ้าน เหมือนผมเลย
“กลับมาบ้านทีไรก็คุยฟุ้งกันไปทั้งตำบล” พ่อบ่นระหว่างที่เลี้ยวรถเข้าภายในซอยเข้าบ้านแคบๆ
“ทำไงได้... โทษใครดี”
“เอ็งไง ทำตัวเองแท้ๆ เฮ้อ” พ่อส่ายหน้าก่อนจะขับเข้าไปจอดที่ลานหน้าบ้านของเรา ก่อนจะลงจากรถพ่อหันไปพูดกับพี่ท็อป“คงรู้นะว่ามันทำตัวห่วยแค่ไหน ไม่มีใครเหนื่อยเท่าพ่อมันอีกแล้ว” พ่อพูดซะทำเอาผมจิตใจห่อเหี่ยว
จากนั้นก็ขนกระเป๋าเข้าไปไว้ในบ้าน ส่วนมากบ้านเรือนของที่นี่จะเรียงติดกันและเป็นบ้านไม้ยกสูง บางหลังผสมปูน บ้านของผมชั้นล่างเป็นปูนชั้นบนเป็นไม้ เมื่อเข้ามาภายในบ้านพ่อก็เดินหายไปชั้นบน
“เป็นไง บ้านสวยไหมล่ะ” ผมหัวเราะ พี่ท็อปแค่มองไปรอบบ้านอย่างแปลกตา
“ดูอบอุ่นดีนะ” พี่ท็อปวางกระเป๋าที่เก้าอี้ไม้ตัวยาว ก่อนจะนั่งลง
“ถ้าไม่อยากอยู่แต่ในบ้าน ตอนเย็นไปปั่นจักรยานไม่ก็ไปตกปลาที่หนองได้นะพี่” ผมแนะนำในฐานะเจ้าบ้านเพราะกลัวเจ้าตัวเบื่อเอาเสียก่อน
“มีที่ตกปลาด้วยเหรอ” พี่ท็อปถามด้วยน้ำเสียงสนใจ
“เป็นหนองเก็บน้ำธรรมดานี่แหละ มีปลาอยู่นะแต่จะติดเบ็ดหรือเปล่าอีกเรื่อง” ผมบอก ถ้าอดทนหน่อยคงได้ปลาสักสองสามตัว
“อือ ว่าแต่พ่อมึงโอเคกับเรื่องของเราไหมวะ” พี่ท็อปพูดกับผมด้วยสีหน้าหมองหม่น คิ้วขมวดเข้าหากันเหมือนวิตกกังวล
“ก็โอเคแหละ ทำฟอร์มไปแบบนั้น” ผมพูดเบาลงเมื่อพ่อเดินลงมาจากชั้นสอง ถึงจะไม่ค่อยได้คุยกับพ่อแต่ผมรู้นิสัยของพ่อดี พ่อเองไม่ได้โกรธอะไรผมมากมายแต่แค่ไม่อยากให้ผมได้ใจซะมากกว่าเลยทำตัวขรึมๆ เข้าไว้ เรื่องพี่ท็อปพ่อก็ไม่ได้ชอบใจที่ผมเลือกคบกับผู้ชาย แต่ทำอะไรไม่ได้นอกจากทำเป็นไม่สนใจ
“จัดห้องไว้ให้แล้ว คงนอนด้วยกันล่ะสิ” พ่อมองหน้าผมก่อนจะเหลือบไปมองพี่ท็อป “แล้วนี่กินอะไรมากันหรือยัง หิวไหม จะได้ทำของว่างให้กินไปก่อน” พ่อไม่สนใจฟังคำตอบก่อนจะหันพูดกับพี่ท็อป
“ยังไม่หิวเลยครับ” เจ้าตัวตอบ
“ไม่ต้องเกรงใจหรอก ...ยังไงก็ลูกๆ หลานๆ งั้นเอาน้ำมะตูมไปกินก่อน” พ่อบอกเสียงเข้มแต่ไม่ได้มีความดุดันอยู่ในน้ำเสียงและสีหน้า พี่ท็อปหันมายิ้มกับผมก่อนจะลุกเดินตามพ่อเข้าไปในครัว ผมเลยปล่อยให้สองคนนั้นได้คุยกันบ้างก่อนจะหิ้วกระเป๋าไปเก็บยังชั้นบน ในห้องนอนของผมไม่ได้กว้างมากนัก ห้องไม่มีอะไรมากนอกจากกระดาษปรู๊ฟม้วนใหญ่ที่เก่าซีดและแผ่นกระดานไม้สามแผ่นวางพิงกับฝาผนังไว้ 
ผมได้ยินเสียงรถมอเตอร์ไซค์ดังลั่น เสียงเหมือนผ่านการแต่งมาแล้ว ผมยื่นหน้าไปมองที่หน้าต่างเห็นรถโนว่าแดชจอดอยู่ ใครมากัน ดูจากรถแล้วน่าจะเป็นเพื่อนเก่าผมแน่ๆ แต่ทำไมรู้ข่าวผมไวจัง
“ไอ้สองเพื่อนเอ็งมาหา” เสียงพ่อตะโกนมาจากด้านล่าง ผมรีบเดินลงไปหาทันที คงต้องเพื่อนสมัยเรียนมัธยมโรงเรียนเก่าแน่ๆ เมื่อเดินลงมายังด้านล่าง พี่ท็อปนั่งอยู่หน้าโทรทัศน์ กำลังกินขนมหวานอยู่กับพ่อที่มองผมอย่างไม่สบอารมณ์
“ใครอะพ่อ”ผมถาม 
“ไอ้เต็งเพื่อนเก่าเอ็งไง”พ่อบอก แล้วทำหน้ามุ่ย ผมจึงเดินออกไปหามันข้างนอก เจออีกฝ่ายยืนสูบบุหรี่อยู่ใกล้รถของมัน ผ่านไปสามปีกว่าๆ มั้งที่ผมไม่ได้เห็นหน้าค่าตามัน ไอ้เพื่อนคนนี้นิสัยห่ามๆ เป็นเพื่อนที่ดีแต่นิสัยน่ะเหรอ...ไม่อยากพูดถึง
“กลับมาบ้านไม่ส่งข่าวบอกกันบ้าง” มันเอ่ยก่อนที่จะดับบุหรี่แล้วเดินเข้ามาหาผมใกล้ๆ
“มาแป๊บเดียวก็กลับแล้วไง...แล้วนี่มึงรู้ข่าวไวจัง”
“อ๋อ เมื่อกี้กูอยู่ที่ตลาดพอดี เห็นรถพ่อมึงขับผ่านไงเลยเห็นมึงแวบๆ กะมาทักทายซะหน่อย หายไปนานเลยนึกว่าจะไม่มาเหยียบที่นี่อีก” มันพูดก่อนจะชะเง้อเข้าไปมองด้านในบ้านอย่างสอดรู้
“บ้าเหรอ บ้านเกิดทั้งทียังไงก็ต้องกลับมาอยู่แล้ว”
“อืม คราวก่อนที่มึงมากูก็ไม่อยู่ด้วย ...แล้วนั่นใครวะ”ไอ้เต็งมันจ้องไปที่พี่ท็อปจากทางหน้าต่างที่เปิดไว้
"แฟนกูเอง” ผมตอบไปตรงๆ ยังไงมันก็รู้อยู่แล้วว่าผมเป็นแบบไหน“เออ ทำไมวะ”
“ก็เปล่า” มันหัวเราะแล้วหยิบบุหรี่มาจุด ก่อนจะยื่นให้ผม
“ไม่ว่ะ กูลดแล้ว”ผมบอก ไม่ได้แตะบุหรี่มาหลายวัน พยายามจะลดเรื่อยๆ 
“เออ คนดีจริงๆ” มันสูบบุหรี่ แล้วพ่นควันออกมาเรื่อยๆ “หมู่บ้านข้างๆ มีงานประจำปี ไปด้วยกันไหมวะ”
“ก็น่าสนใจดี”ผมพึมพำ 
“อย่าบอกนะต้องขออนุญาตแฟน ขออนุญาตพ่อมึงอีกน่ะ”ไอ้เต็งเลิกคิ้วแปลกใจ ก่อนจะมองเข้าไปในบ้าน
“อือ นานๆ มาทีไม่อยากให้มีเรื่อง”ผมบอกไปตามตรง มาบ้านครั้งนี้เหมือนมาพักผ่อน มาหาพ่อมากกว่าจะมาเที่ยว 
“จะมีอะไรได้...เออ มึงยังจำไอ้โจ้ได้หรือเปล่า”อีกฝ่ายเอ่ยขึ้นมา แล้วพูดชื่อที่ผมไม่อยากได้ยินนัก ผมสะดุ้ง คิดไว้แล้วว่าคงได้เจอหรือไม่ก็ได้ยินชื่อของมัน
“ทำไมวะ”ผมถามเหมือนไม่ใส่ใจนัก มันมองผม
“มันก็ไปนะเว้ย มันอยากเจอมึงอีกสักครั้ง” ไอ้เต็งส่ายหน้าก่อนจะมองผมด้วยสายตาแปลกๆ
“เหรอวะ...” ผมตอบเบาๆ มันจะมาอยากเจอผมทำไมอีก
“งั้นกูไปดีกว่า เดี๋ยวพ่อมึงมาไล่กู” ไอ้เต็งหัวเราะก่อนจะสตาร์ทรถเสียงดังกระหึ่ม มันยิ้มกวนๆ ขัดตาขัดใจผมมากก่อนจะขับออกจากบ้านไป ผมย่นจมูกเพราะกลิ่นน้ำมันจางๆ ก่อนเดินกลับเข้ามาข้างในนั่งลงที่ม้านั่ง พี่ท็อปมองหน้าผม
“แล้วมันพูดถึงอะไรเหรอ งานประจำปี”
“เออไอ้สอง พาไอ้ท็อปมันไปเปิดหูเปิดตาหน่อยสิ นานๆ จะเจองานแบบนี้ใช่ไหมเรา” พ่อหันไปถามพี่ท็อป
“ครับ อยากไปเปิดหูเปิดตาดูบ้าง”เจ้าตัวรีบตอบทันที ก่อนจะยิ้มออกมา
“กลัวจะตีกันอะดิ” ผมหลีกเลี่ยง จริงๆ ไม่ชอบไปเบียดเสียด งานประจำปีของหมู่บ้านมักจะมีเรื่องกันอยู่บ่อยๆ ตีกันเกือบทุกปี
“เอ็งอย่ามาลีลา เดี๋ยวข้าไปด้วยจะขับรถไปส่งให้” พ่อบอก
“ตามใจครับ”ผมจำต้องบอกอย่างเสียไม่ได้ พี่ท็อปแค่ยิ้ม
“ในงานคงเจออะไรที่น่าสนใจเนอะ”
“จะมีอะไรได้” ผมไหวไหล่อย่างไม่ใส่ใจแต่ข้างในนี่สิมันปั่นป่วนอย่างบอกไม่ถูก จริงๆ ถ้าไปเจอไอ้โจ้คงไม่มีอะไรนอกจากทักทายกันล่ะมั้ง อีกอย่างจะให้บอกพี่ท็อปเรื่องนี้ออกจะเชื่องไปหน่อย ไม่เห็นจำเป็นต้องบอกพี่ท็อปทุกเรื่อง ก็แค่คนเคยรู้จักเพราะไม่ถึงขั้นกิ๊กซะหน่อยที่ผมห่วงที่สุดคือถ้าไปงานกลัวว่าจะเจอทั้งโจทก์เก่าทั้งไอ้โจ้ด้วยน่ะสิ แบบนั้นแจ็กพอตพอดีไอ้เรื่องทะเลาะวิวาทผมไม่อยากข้องเกี่ยว ยิ่งมาเจอเพื่อนเก่าอย่างไอ้เต็ง อริมันคงไม่ใช่น้อยๆ คงเป็นงานที่สนุกดีจริงๆ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-01-2018 17:31:07 โดย RindadaRin »

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
พี่ดีนเมาก็นอนซะอย่าหาเรื่องเลย. สองมันเจอมาเยอะแล้ว
หวังว่าจะไม่มีเรื่องอะไรนะ
ขอบคุณที่มาต่อค่ะ.

ออฟไลน์ sweetbasil

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 807
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-3
พี่ดีนรักตัวเองหน่อยสิพี่ สองจะมีปัญหากับพี่ท็อปไหมเนี่ย :z3:

ออฟไลน์ boobooboo

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 748
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-2

ออฟไลน์ NuNam

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-3
ดีนมีหลายอารมณ์มาก สับสนไปไหนคะ คบๆ ไปทั้ง กัส และ แกน นั้นแร่ะ 3P ไปเลยคะ 5555

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
เหยยยยย หวังว่าพี่ท็อปคงไม่เข้าใจผิดอีกนะ พี่ดีนก็อย่าหาเรื่องอีกเลย พอเหอะ

ออฟไลน์ DuenTwinBII

  • ♥ “If you can't explain it simply, you don't understand it well enough.”♡
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 369
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +624/-4
เห็นใจดีนนิดๆ แต่ทำตัวเองทั้งนั้นเลย
หวังว่าพี่ท็อปจะไม่โกรธสองนะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ nutty

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1142
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-3
ปล่อยไว้ห้องตัวเองดีแล้ว
พาชายอื่นมานอนห้องแฟน
ระวังจะมีมาม่าชามโต

ออฟไลน์ Kaemmiizz

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 727
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-4
สองจะมีปัญหากับพี่ท็อปไหมนะ??

ออฟไลน์ ChaniiNoiy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 13
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
 :hao7: ท็อปมาแน่นอน

ออฟไลน์ nightsza

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2035
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +61/-1
พี่ดีนอกหักจากใครน้อ พี่กัสหรือเปล่า

ออฟไลน์ รินดาwดาริน

  • OnTop&N'Song
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +243/-2
ตอนที่ 22 กลับบ้าน ต่อ

ระหว่างที่รอเวลาพลบค่ำเพื่อเตรียมตัวไปงานประจำปีของหมู่บ้าน พี่ท็อปดูอารมณ์ดีกว่าเมื่อเช้ามาก ผมมือเป็นระวิงเพราะอยู่ๆ เพื่อนเก่าสมัยม.ห้าก็โทรมาหาผมโดยไม่ได้นัดหมาย ผมล่ะแปลกใจว่าพวกมันเอาเบอร์ผมมาจากไหนหนึ่งในเพื่อนสนิทและนิสัยโอเคที่สุดแล้ว นั่นก็คือ ไอ้คิว มันเรียนมหาลัยที่ต่างจังหวัด ชีวิตดูมีอนาคตเพราะมันตั้งใจเรียนและขยันที่สุดในก๊วนผมแล้วเลยไม่แปลกใจถ้ามันจะได้ดิบได้ดี
“ฮัลโหล” ผมกดรับสาย
[นึกว่าจะโทรผิดเบอร์แล้วนะเนี่ย] เสียงนุ่มๆ ของเพื่อนเก่าดังขึ้นพร้อมกับเสียงหัวเราะเบาๆ
“เออ เอาเบอร์กูมาจากไหนวะเนี่ย” ผมถามกลับไปอย่างสงสัย
[ไม่ยากหรอก แล้วกลับมาครั้งนี้อยู่นานไหม] มันเปิดหัวข้อสนทนาก่อน
“ไม่นานหรอก แค่มาหาพ่อเฉยๆ”
[ว่าจะชวนไปเที่ยวไง นานๆ จะเจอกันสักที แล้วเป็นยังไงบ้าง]
“เรื่อยๆ แหละ แล้วจะไปเที่ยวที่ไหนล่ะ” ผมถาม ระหว่างนั้นพี่ท็อปหันมามองผมทันที คงจะได้ยินเรื่องเที่ยวๆ นั่นแหละ
[หมู่บ้านข้างๆ มึงมีงานไม่ใช่เหรอ กูว่าจะแวะไปเดินเที่ยวหน่อย มึงไปหรือเปล่า]
“คงไปแหละ ว่าจะแวะไปซื้อกินแล้วก็กลับ”
[พูดจริง...มีคอนเสิร์ตด้วยนะเว้ย ไม่อยากจอยหน่อยเหรอ] ไอ้คิวหัวเราะ
“ไม่ว่ะ พ่อกูไปด้วย” ผมลดเสียงลงก่อนจะเหลือบไปมองพี่ท็อปที่หันไปสนใจหน้าจอทีวีแทน
[อะไรว้า ลูกแหง่ว่ะ] มันคงแกล้งแซวผมเล่นเพราะมันเองก็ไม่แตะแอลกอฮอล์เลย ถึงมันจะคบกับพวกคนไม่เอาถ่านแบบพวกผมก็เถอะ
“กลับมาบ้านทั้งทีจะไปเละเทะได้ไงวะ” ผมบอก
[อือๆ ไว้เจอกันหน้างาน] ไอ้คิวบอกก่อนที่จะวางสายไป ผมเดินกลับมานั่งข้างๆ พี่ท็อปที่ม้านั่ง อีกฝ่ายกำลังสนใจกับหน้าจอทีวี
“ใครวะ” พี่ท็อปถามโดยไม่ละสายตามามองผม
“อ๋อ ไอ้คิวเพื่อนเก่า นานๆ จะติดต่อมาที” ผมบอกสบายๆ
“เหรอ ดูเหมือนว่างานประจำอะไรนั่น เพื่อนๆ มึงนี่พรีเซ็นกันจังนะ มีอะไรดีๆ หรือเปล่าวะ” พี่ท็อปหันมาจ้องหน้าผม สายตาประดุจเครื่องสแกนที่ทะลุทะลวงจนผมเกือบหลบสายตาไปทางอื่น ทำตัวมีพิรุธอีกผม
“เปล่าซะหน่อย แค่กลัวคนตีกัน” ผมบอก
“แล้วนี่จะไปพร้อมพ่อจริงๆ น่ะเหรอ นึกว่าพูดเล่น”
“อื้อ พ่อคงไปส่งแล้วเดินหาอะไรกินแล้วก็กลับล่ะมั้ง” ผมบอก “มีอะไรหรือเปล่าครับ”
“ก็...ไม่รู้ดิ รู้สึกแปลกๆ กูคงไม่ชินกับพ่อมึงมั้ง” พี่ท็อปไหวไหล่พลางมองไปรอบๆ บ้านอย่างระมัดระวัง ผมพอเข้าใจพี่ท็อป คงจะเกร็งๆ กับพ่อ อีกทั้งไม่ชินกับบรรยากาศที่บ้านผมที่เงียบสงบคงจะอึดอัด
“เดี๋ยวก็ชินพี่ เชื่อสิ” ผมยิ้มแล้วเอื้อมมือไปบีบไหล่พี่ท็อปให้คลายกังวล
“อือ คงงั้น” พี่ท็อปหันมายิ้ม
“พ่อไปไหนก็ไม่รู้ พี่อยากขึ้นไปข้างบนป่ะ” ผมชะเง้อมองออกไปที่หน้าต่างเผื่อจะเห็นพ่อ แต่อันที่จริงพ่อออกไปดูไร่ฆ่าเวลาแทน
"มึงคิดจะทำอะไร ทะลึ่งนะมึง” พี่ท็อปมองหน้าผมก่อนจะปัดมือที่เกาะแกะหัวไหล่ตัวเองออก ผมแค่ยิ้ม
“จะทำอะไรได้ กลางวันแสกๆ” ผมว่า
“เดี๋ยวเหอะ ไม่เจียมตัวอีก”เจ้าตัวส่ายหน้าพร้อมกับรอยยิ้มของผู้ชนะ ผมเบ้ปากก่อนจะเอนพิงกับพนักเก้าอี้แข็งๆ
“โอเคๆ ไม่ได้จะทำอะไรซะหน่อย แค่อยากให้พี่หายเหนื่อยไง เนี่ยที่บ้านผมมีนวดบำบัดด้วยนะ” ผมเสนอ
“นวดมึงใช่ไหม”
“นวดพี่สิครับแหม”
“อ๋อ ถ้ากูยอมนวดมึงจะ...” พี่ท็อปพูดด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์พร้อมรอยยิ้มของคนหื่นกระหาย ให้ผมเดาผมคงต้องเจ็บตัวแหงๆ
“โห อันนี้สาระเลย นวดบำบัดจริงๆ” ผมบอก ผมเคยเห็นคนเฒ่าคนแก่เขานวดให้พ่อผม ใช้พวกเครื่องสมุนไพรจริงๆ คนแก่ว่าหอมแต่ผมว่าเหม็นกลิ่นแรงอย่าบอกใครเชียว พี่ท็อปพยักหน้า
“ใครจะนวดให้ล่ะ”
“ป้าๆ ยายๆ ท้ายบ้านนู่น” ผมบอก พี่ท็อปย่นหน้าก่อนจะขยับเข้ามาหาผมซะใกล้จนรู้สึกร้อนประหลาดๆ
“เหรอ กูไม่สนใจหรอก มาบ้านมึงทั้งทีมึงน่าจะใจปล้ำเอาใจแขกหน่อยดิ” พี่ท็อปเอ่ยทำหน้าเหมือนงอน ผมแอบหัวเราะในใจ วิธีป้อที่ชวนขนลุกมาก ไม่ทันไรแขนพี่ท็อปก็ยื่นมาโอบไหล่เรียบร้อยแล้ว เผลอเป็นไม่ได้
“โธ่พี่ พูดซะผมกลัว” ผมหัวเราะไปด้วย เจ้าตัวแค่ไหวไหล่
“เอ้า กูคิดนะว่าชวนกูมาบ้านมันต้องได้อะไรบ้างแหละ”
“งั้นเย็นนี้พี่ต้องเป็นเบ๊ผมนะ” ผมสั่ง เย็นนี้ไปงานประจำปีคนคงเยอะ เหมือนได้ย้อนวัยเด็กอีกรอบ คงมีแต่ร้านของเล่นพวก ปาโป่ง ยิงปืนทั้งหลายแหล่ ปกติเวลาไปซื้อของผมนี่เบ๊พี่ท็อปดีๆ นี่เอง ไหงเป็นแบบนั้นก็ไม่รู้
“หืม...ทำไมวะ” พี่ท็อปทำหน้างง
“น่า ตามใจแฟนบ้างได้ป่ะ” ผมโวย ไอ้คิวต้องมาเดินกับผมแน่ๆ ถ้าจะแนะนำแฟนกับเพื่อนทั้งทีผมต้องไม่ใช่ฝ่ายเสียเปรียบ
“อะๆ ได้ๆ แหมมีโวย” พี่ท็อปยกมือเหมือนจะตีผม ปกติผมไม่ใช่ประเภทไม่พอใจแล้วงอแง ผมว่ามันน่ารำคาญไปนิด
หลังจากนั้นพ่อก็กลับมาจากไร่พร้อมกับผักบุ้งแตงไทยหลายกิโล ผมกับพี่ท็อปเลยต้องมาช่วยพ่อล้างผักกับแตงไทย เห็นว่าลองทำขนมแตงไทยให้พวกผมลองชิมดู ผมอดคิดไม่ได้ว่าเพราะพ่ออยู่คนเดียวเลยต้องเรียนรู้การทำอาหารทำขนมเอง ผมก็อดหดหู่ไม่ได้
“เป็นอะไร”
“เฮ้อ เห็นพ่ออยู่คนเดียวแล้วเป็นห่วงน่ะ”ผมพูดเบาๆ เกิดเป็นอะไรขึ้นมาใครจะช่วยได้ พี่ท็อปยิ้ม
“ถ้ามึงเป็นห่วง เรียนจบแล้วก็กลับมาอยู่กับพ่อสิ”เจ้าตัวบอก ผมขมวดคิ้ว “ที่นี่หางานยากจะตาย”ผมพูดแล้วถอนหายใจทิ้ง ไม่ใช่เมืองที่มีการท่องเที่ยวเจริญนัก
“สายงานแบบมึงพลิกแพลงได้ไม่ใช่เหรอ ลองคิดดีๆ สิ กูว่ามันก็พอมีงานนะ” พี่ท็อปบอก
“อือ เดี๋ยวค่อยคิดละกัน”
“เอ้า เสร็จแล้วก็ยกไปเก็บไว้ก่อนสิ เอ็งอยู่กับข้านี่แหละ”พ่อพูดกับพี่ท็อปผมเลยได้แต่ยืนมองอยู่ห่างๆ ระหว่างที่ยกถาดแตงไทยสามสี่ลูกไปเก็บในครัว อยากรู้จริงๆ ว่าพ่อคุยอะไรกับพี่ท็อป แต่ดูท่าทางจริงจังเลยต้องยับยั้งใจตัวเองขึ้นไปบนห้องเตรียมอาบน้ำน่าจะดีที่สุด ผมเตรียมชุดให้พี่ท็อปก่อนจะเข้าไปอาบน้ำ แต่กว่าจะได้อาบจริงๆ ก็ผ่านไปเกือบสิบนาทีเพราะมัวแต่เหม่อลอยคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย
ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูห้องน้ำดังขึ้นมาเบาๆ ตามมาด้วยเสียงของพี่ท็อป
“เปิดประตูให้หน่อย” ผมสตันไปหลายวินาทีก่อนจะเปิดประตูไว้เป็นช่องเล็กๆ แล้วยื่นหน้าออกไปแทน
“มีอะไรพี่”เจ้าตัวยืนถือผ้าเช็ดตัวพร้อมกับกางเกงบ็อกเซอร์ตัวเดียว
“เอ้า จะอาบด้วยไง หลีกๆ”อีกฝ่ายบอกท่าทางอารมณ์ดี รีบเดินเข้ามาในห้องน้ำทันที คงกลัวว่าผมจะปิดประตูซะก่อน ผมเลยทำอะไรไม่ได้ พี่ท็อปฮัมเพลงคลอไปด้วยท่าทางอารมณ์ดี
“พ่อคุยอะไรด้วยเหรอ” ผมถามทันที
“อืม...ไม่บอก ความลับ”เจ้าตัวยิ้มก่อนจะเดินมาดันผมออกห่างจากฝักบัวอาบน้ำ
“พ่อคงคุยเรื่องของเราแน่ๆ” ผมพูดก่อนจะล้างหน้าแทน เหลือบมองอีกฝ่ายที่ทำเป็นอาบน้ำสบายใจเกินกว่าเหตุ
“อือ ถึงเวลาก็รู้เองแหละ ...แล้วมึงยังไม่อาบน้ำอีกเหรอ เข้ามาตั้งนาน” พี่ท็อปมองผมก่อนจะฉีดน้ำใส่
“คิดอะไรเพลินๆ” ผมบอกแล้วเดินเข้าไปยืนใต้ผักบัวด้วย สถานการณ์ล่อแหลมแต่ผมไม่ยักจะรู้สึกอะไรเท่าไหร่ พอคิดแบบนี้ได้ก็อดเหลือบไปมองเจ้าตัวไม่ได้
“มองกูอีก” พี่ท็อปไม่วายจะลูบฟองสบู่ที่หน้าท้องของตัวเองเล่น
“หวงเหรอ” ผมถามยียวน
“เปล่า เมียมอง ใครจะไม่ชอบ”คำตอยของอีกฝ่ายทำเอาผมใจห่อเหี่ยว ผมส่ายหน้า
“โธ่” ผมหมดอารมณ์อีโรติกกับพี่ท็อปชั่วขณะ เลยรีบอาบน้ำให้เสร็จก่อนพี่ท็อปเพราะมัวแต่ล้อผมเล่นอยู่ได้
เมื่อถึงเวลาแล้วพ่อขับรถไปส่งผมที่งานประจำหมู่บ้าน ซึ่งสถานที่จัดงานมีระยะทางห่างจากหมู่บ้านผมพอสมควร แต่ก็มีเสียงดนตรีแว่วมาให้ได้ยินแต่ไกล ทุกปีจะจัดที่บริเวณโรงเรียนประจำหมู่บ้านเพราะมีสนามกีฬากว้าง รวมไปถึงพื้นที่บริเวณฝั่งตรงข้ามของโรงเรียนมีพื้นที่อยู่ติดกับริมแม่น้ำเลยมีเนื้อที่ให้จัดคอนเสิร์ตเล็กๆ ได้ ส่วนใหญ่จะเป็นเพลงสตริง เพลงเพื่อชีวิตบริเวณนั้นเลยมีพวกวัยรุ่นเยอะ ตอนนี้แค่หนึ่งทุ่มกว่าๆ คนก็ทยอยมากันเยอะแล้ว พ่อหาที่จอดรถได้แล้วเลยแยกกับผมไปอีกทางเพราะนัดเพื่อนไว้แถวลานเบียร์ 
“เหมือนๆ งานวัดเลยนะ” พี่ท็อปพูดก่อนจะมองไปรอบๆ งาน
“อือ ก็คล้ายๆ นั่นแหละพี่”
ตืด ตืด ตืด
 ไม่นานนักก็มีสายเข้า คาดว่าเป็นเพื่อนผม พี่ท็อปหันมองอย่างสนใจ
“เพื่อนโทรมาพี่.../เออ ว่าไง”ผมหันมารับสาย
[เดี๋ยวกูไปหานะเว้ย กูเห็นมึงแล้ว]
“เออได้ๆ” จากนั้นมันก็วางสายไป“เดี๋ยวเพื่อนผมจะมาด้วยนะพี่” ผมบอก พี่ท็อปแค่พยักหน้า
“เพื่อนคนนี้โอเคนะ”
“ไอ้นี่มันเด็กเรียนพี่” ผมบอก ไม่นานนักก็เห็นผู้ชายรูปร่างหน้าตาคุ้นๆ เดินมาทางผม มันโบกมือเป็นสัญญาณ สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปจากแต่ก่อนของไอ้คิวคือมันใส่แว่นสายตา มันเดินมากอดผมเฉยเลย ท่าทางคงดีใจที่เจอเพื่อนเก่า
“มึงสูงขึ้นหรือเปล่าเนี่ย...” มันยิ้มกว้างก่อนจะหันไปมองพี่ท็อปที่ยืนนิ่งๆ
“เออนี่ พี่ท็อปแฟนกูเอง” ผมบอกไปตามตรงไม่อยากปิดบังว่าเป็นแค่พี่ อีกอย่างพี่ท็อปคงไม่ชอบใจหรอกถ้าต้องมาเป็นแค่พี่ผมน่ะ ไอ้คิวตาโตก่อนจะจ้องพี่ท็อปอีกรอบ มันยิ้มแหยๆ ก่อนจะยกมือไหว้ซะงั้น
“หวัดดีครับพี่”
“อือ... ไม่ต้องไหว้ก็ได้มั้ง” พี่ท็อปบอกก่อนจะโบกมือปัดๆ มัน
“ไม่เป็นไรพี่ แล้วนี่คบกันนานแล้วเหรอครับเนี่ย ไม่งั้นคงไม่พามาบ้าน” ไอ้คิวยิ้มมองผมกับพี่ท็อป
“ไม่นานหรอก ปีกว่าๆ มั้ง”อีกฝ่ายตอบ ก่อนจะไหวไหล่ ใบหน้ามีรอยยิ้ม 
หลังจากที่คุยกับไอ้คิวถามสารทุกข์สุกดิบเป็นที่เรียบร้อยก็เลยพากันเดินดูของในงานไปเรื่อยๆ
“มา จับมือผมไว้เดี๋ยวหลง” ผมกระซิบไปบอก พี่ท็อปหันหน้ามามองผมด้วยสายตาแปลกๆ
“เว่อร์น่า คนเยอะด้วย” เจ้าตัวบุ้ยใบ้ไปที่ไอ้คิวที่เดินอยู่ข้างๆ ผม แต่มันไม่ได้สนใจอะไรผมกับพี่ท็อปสายตามันมองแต่ผู้หญิงที่เดินสวนไปมา
“ก็นั่นแหละ คนเยอะ ใครจะมามองเราล่ะพี่” ผมบอกก่อนจะดึงมือพี่ท็อปมาจับไว้แล้วเดินไปตามทางแคบๆ ที่มีแต่คนเบียดเสียด ข้างทางมีพวกของกินของเล่น ปาโป่ง ยิงปืน แต่ที่พีคสุดคือไอ้คณะแสดงตัวประหลาดที่เอาไว้หลอกเด็ก เมื่อก่อนผมเชื่อนะว่ามันมีของประหลาดๆ แบบนั้นจริงๆ “กูสงสัยว่าน้องเขาจะเมื่อยเปล่าวะ” ไอ้คิวหัวเราะคิกคักมองไปที่หัวเด็กที่โชว์อยู่ ผมกับพี่ท็อปส่ายหน้า
“มึงไม่ไปเช็คความแม่นบ้างเหรอวะ เดี๋ยวกูออกเอง” ไอ้คิวสะกิดผมเมื่อเดินมาหยุดหน้าซุ้มยิงปืน พี่ท็อปพยักหน้า ไอ้คิวเปิดกระเป๋าจ่ายค่าเล่นไปให้ผมเรียบร้อยท่าทางมันเหมือนพ่อเวลาพาลูกน้อยเล่นของเล่น
“มึงคิดว่ากูจะแม่นเหรอไง” ผมส่ายหน้า ต้องยิงโดนสามนัดถึงจะได้เลือกตุ๊กตาในร้าน
“เอาน่า” ไอ้คิวว่าก่อนจะกอดอกมองผมส่องตุ๊กตาตรงหน้า สรุปคือยิงโดนแค่ตัวเดียวเท่านั้น แต่ไอ้คิวมันเป็นคนออกเงินนี่เสียไปเกือบห้าร้อยแน่ะเพราะความดื้อดึงของมันเอง พี่ท็อปเลยต้องออกโรงเอง สุดท้ายพี่ท็อปก็แม่นสุด
“แบบนี้สินะที่เขาเรียกว่าช้างเท้าหน้า” ไอ้คิวว่าส่งสายตาตำหนิผ่านแว่นกลมๆ ของมัน ผมเบ้ปากไม่เห็นเกี่ยว ส่วนใหญ่ก็เป็นตุ๊กตาเด็กๆ ตุ๊กตาหมีอะไรแบบนั้น ไอ้ผมไม่ใช่คนชอบของแบบนี้เลยไม่ได้อยากได้อะไร ไอ้คิวมันก็ไม่อยากได้เพราะต้องถือเอง มันเลยให้พี่ท็อปแทน เป็นตุ๊กตาควายตัวกลมๆ สีน้ำตาลดำหน้าตากวนๆ ทำเอาผมนึกถึงการ์ตูนเด็กเรื่องหนึ่ง ‘โอ๊ยสงสัยจัง’ ที่มันชอบพูด“โง่ โง่ โง่” ดูแล้วขำดี
เดินดูของไปสักพักก็เดินมาถึงโซนสวนสนุกเล็กๆ ที่ขาดไม่ได้เลยคือบ้านผีสิง พี่ท็อปชะเง้อมองอย่างสนใจ
“บ้านผีสิง...” พี่ท็อปหันมาพูดกับผม แต่มันกิ๊กก๊อกมาก ผมเคยเข้าไปเล่นกับเพื่อนสมัยม.ปลายแล้วมีแค่ผีไม่กี่ตัว หนำซ้ำยังดูหลอกตาอีกต่างหาก ไอ้คิวถึงกับส่ายหน้า
“เอาจริงดิ มีแต่เด็กนะนั่น” ผมบอกก่อนจะมองไปที่กลุ่มเด็กวัยสิบเอ็ดขวบที่มากับพ่อแม่ที่กำลังต่อคิวซื้อตั๋ว
“เห็นว่ามันง่อยเลยอยากลองไปดูบ้าง” พี่ท็อปพูด
“ก็ได้ พี่คงไม่กลัวของเด็กๆ นะ” ผมหัวเราะก่อนจะเดินไปซื้อตั๋วเลยปล่อยให้พี่ท็อปอยู่กับไอ้คิวแทน เมื่อได้ตั๋วมาเรียบร้อย พี่ท็อปกับไอ้คิวเดินมาใกล้ผม
“มึงว่าผู้ชายคนนั้นเขาตามเรามาหรือเปล่าวะ” ผมได้ยินดังนั้นเลยผงะหันไปมองตามทิศทางที่อีกฝ่ายบุ้ยใบ้ เป็นวัยรุ่นตัวสูงๆ หน้าตี๋ๆ ปกติทั่วไปไม่มีรังสีของจิ๊กโก๋กำลังยืนคุยโทรศัพท์อยู่ข้างๆ ต้นปาล์ม ผมหันไปสบตากับพี่ท็อป
“ใช่เหรอพี่ อาจจะมาทางเดียวกับเราพอดีล่ะมั้ง” ผมบอก คงบังเอิญมากกว่าเพราะผมก็เคยเห็นไอ้เด็กคนนี้แถวๆ ตรงซุ้มแสดงเด็กประหลาดนั่นพอดี 
“กูเห็นตั้งแต่ซุ้มยิงปืนแล้วนะเว้ย” ไอ้คิวกอดอกพลางมองไปที่ไอ้เด็กวัยรุ่นคนนั้น
“คงไม่หรอกมั้ง” ผมส่ายหน้าไม่อยากคิดมาก อีกอย่างมางานสนุกๆ ไม่อยากเจอเรื่องให้ปวดหัวด้วย
“เหรอวะ...ช่างเหอะๆ” พี่ท็อปบอก
“มึงเข้าเหอะเดี๋ยวกูรออยู่ตรงนี้ดีกว่า ขี้เกียจเข้าไปเล่น” ไอ้คิวบอก ผมเลยปล่อยมันไว้กับตุ๊กตาควายด้านหน้าคนเดียว พี่ท็อปไม่ค่อยสบายใจ ผมว่ามันเลยอยู่จับตาดูไอ้เด็กคนนั้นไว้มากกว่า
ผมกับพี่ท็อปเดินเข้าไปในบ้านผีสิง พอเข้าไปด้านในบรรยากาศวังเวงแบบปลอมๆ มีซาวด์โหยหวนดังมาให้ได้ยิน พี่ท็อปตัวติดผมตั้งแต่ทางเข้า อย่าบอกนะว่าพี่ท็อปกลัวน่ะ ผมมองพี่ท็อปที่อยู่ข้างๆ
“น่ากลัวเนอะ” พี่ท็อปยิ้มให้ ผมว่าเจ้าตัวน่ากลัวกว่าผีล่ะตอนนี้
เดินไปสักพักก็มีเสียงตึงพร้อมกับหัวกระสือห้อยลงมา จะแกล้งตกใจเป็นเพื่อนเด็กๆ ก็จะดูตลกเกินไปหน่อย ระหว่างทางพี่ท็อปกอดคอผมไว้ ด้วยความสูงที่ไม่ห่างกันมากเลยทำให้พี่ท็อปสามารถหันหน้ามาหอมแก้มผมได้สบายๆ ไม่เกรงใจผีปลอมเลย
“แน่ะ ว่าล่ะ ต้องมาอีหรอบนี้” ผมยิ้ม
“นิดๆ หน่อยๆ เอง” พี่ท็อปหัวเราะก่อนจะเอี่ยวคอไปด้านหลัง “เห็นไหมมันตามเรามาจริงๆ ด้วยนะสอง” พี่ท็อปยื่นหน้ามากระซิบกระซาบ ผมเลยหันไปมองตามบ้างก็เจอไอ้เด็กวัยรุ่นคนเดิมเดินตามมาห่างๆ ท่าทางตื่นๆ เวลาผมมองมัน
“เออ มันตามเรามาจริงๆ ด้วย” ผมหันไปพูดกับพี่ท็อป
“เห็นไหมเซ้นส์กูแรงจะตาย” พี่ท็อปพาผมเดินวกกลับไปทางออก มันก็เดินตามมาอีก จะสะกดรอยก็น่าจะเนียนๆ หน่อยหรือว่าอยากให้รู้กัน ผมเลยสงสัยว่าใครส่งมันมา ท่าทางมันดูไม่เหมือนนักเลงเท่าไหร่ ผมกับพี่ท็อปแอบอยู่ข้างทางรอให้มันโผล่ออกมาจะได้ถามให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย ไม่นานนักมันก็โผล่มาพอดี มันทำหน้าตกใจเมื่อเห็นผม ท่าทางดูลุกลี้ลุกลน
“เฮ้ย ตามกูมาทำไมวะ” ผมเดินมาดักหน้ามัน ในเมื่อแน่ใจแล้วว่ามันจงใจตามผมกับพี่ท็อปมาแสดงว่าต้องมีจุดประสงค์ คงมีใครสั่งให้มันตามผมแน่นอน
"เปล่าซะหน่อย” มันตอบเบาๆ และไม่สบตากับผม ทำท่าจะเดินหนีแต่พี่ท็อปเดินไปดักมันอีกทางหนึ่ง มันถอนหายใจทำหน้าตาเหมือนจะร้องไห้ 
“อย่าให้กูโมโหน่า บอกมา ตามมาทำไมวะ รู้จักกูเหรอ” ผมเดินไปเกาะไหล่มัน
"เอ่อ พี่โจ้ให้มาตาม” พอได้ยินคำตอบแล้วใจผมก็หล่นวูบไปเลย ไม่รู้ว่าเพราะอะไร สายตาหันไปสบกับพี่ท็อปพอดี เจ้าตัวตีหน้านิ่งคิ้วขมวดแน่น
"ทำไมวะ” ผมถามต่อ มันส่ายหน้าดิก
"ไม่ได้บอกเหมือนกันแค่ให้มาเฝ้าเฉยๆ” มันบอกก่อนจะหันไปมองพี่ท็อปเหมือนระแวงว่าจะกระทืบมันจากด้านหลัง
“มึงมีเบอร์มันใช่ไหมวะ โทรไปหามันดิแล้วก็ถามซะว่าต้องการอะไร” พี่ท็อปออกโรงเอง เดินเข้ามาหามันด้วยท่าทางหงุดหงิด
“ได้ๆ” ไอ้เด็กนี่มันพยักหน้ารัวๆ ด้วยท่าทางตกอกตกใจก่อนจะโทรไปหาไอ้โจ้ มันทำตาลอกแลก ระหว่างนั้นไอ้คิววิ่งเหยาะๆ เข้ามาหาพวกผม มันมองไอ้เด็กนั่นด้วยสายตางงๆ
“กูว่าละ” มันกอดอกขยับแว่นไปพลางก่อนจะมองสำรวจไอ้เด็กนั่นไปด้วย มันมองหน้าผมก่อนจะส่ายหน้า
“ไม่รับอะพี่”
“โทรไปอีก ไม่ก็บอกมาว่ามันอยู่ไหน” พี่ท็อปพูดเสียงต่ำ สีทำหน้าจริงจัง
“ไม่รู้เหมือนกันครับพี่...” มันทำหน้าจ๋อยก่อนจะกดโทรศัพท์ อาศัยจังหวะเผลอวิ่งหนีพวกผมไป ผมไม่คิดจะตามอะไรมันหรอก ไร้ประโยชน์อยู่แล้ว
“ไอ้โจ้มันคงอยากรื้อฟื้นความหลัง” ไอ้คิวว่าผมเลยเตะขามันไปทีนึงแทน มันก้มหน้างุดหลบสายตาพี่ท็อป
“กูล่ะอยากเห็นหน้ามันจริงๆ” พี่ท็อปกระแทกเสียงก่อนจะคว้าตุ๊กตาจากไอ้คิวไปถือเองแล้วเดินนำหน้าออกไปไม่บอกไม่กล่าว
“สงสัยจะหึง... ไอ้โจ้มันคงอยากเจอมึงจริงๆ นั่นแหละ” ไอ้คิวกระซิบบอกก่อนจะออกเดินไปกับผม ปล่อยให้พี่ท็อปฟาดงวงฟาดงาไปคนเดียวก่อน
“อือ มันจะมาอยากเจออะไรกูอีก” ผมส่ายหน้าเซ็ง ไอ้คิวหัวเราะหึๆ
“อยากเสียตัวให้มึงไง มึงอย่ามาอินโนเซนส์หน่อยเลย”
“เออน่า กูรู้ แต่ไม่อยากคิดไง”
“ทางที่ดีไม่ต้องไปเจอมันหรอก เผื่อพวกไอ้เต็งอยู่ด้วยเดี๋ยวความจัญไรจะเกิดเปล่าๆ” ไอ้คิวว่า ผมก็คิดแบบนั้น ไอ้พวกนี้ขึ้นชื่อเรื่องเหี้ยๆ อยู่ ประสบการณ์ที่ผ่านมาย้ำเตือนว่าไม่ควรประมาทอะไรทั้งสิ้น ถึงจะกลับมาที่บ้านตัวเองก็เถอะ
“อืม...”
สุดท้ายพี่ท็อปมาหยุดอยู่ที่หน้าห้องน้ำ หันมาขอเศษเหรียญจากผม
“รอแป๊บนะ มึงจะเข้าไปไหม” พี่ท็อปถาม ยังคงทำหน้านิ่ง
“ผมไม่ปวดอะ” ผมบอกระหว่างที่รอพี่ท็อปจัดการธุระไอ้คิวก็สะกิดแขนผมแรงๆ
“อะไร” ผมมองมัน ไอ้คิวหันหน้าไปหากลุ่มวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งที่อยู่ไม่ห่างจากผมนัก
“ไอ้โจ้ไง...” ผมแปลกใจก่อนจะมองไปที่กลุ่มวัยรุ่นพวกนั้น เอาตรงๆ ผมจำหน้ามันไม่ได้ แต่หนึ่งในจำนวนนั้นมีคนที่สะดุดตาผมอยู่ ก็คงเป็นไอ้โจ้ ตัวสูง ผิวขาวเหลือง หน้าตาแปลกไปจากเดิม
“ได้ข่าวว่ามันไปทำดั้งมาด้วยนะเว้ย” ไอ้คิวกระซิบ ผมพ่นลมหายใจแรงๆ ไม่อยากมองมันมากเดี๋ยวหาว่าผมเล่นหูเล่นตาใส่ ผมกอดอกกระดิกนิ้วรอพี่ท็อปออกมา ภาวนาอย่าให้มันเดินมาหาผม แต่หางตาลิบๆ บ่งบอกว่ามันกำลังเดินมาหาผม ไอ้คิวกระแทกไหล่ผมเบาๆ
“ไม่คิดจะทักเลยเหรอ” นั่นไง ผมหันไปมองทางต้นเสียง ไอ้โจ้มาคนเดียวมันยืนมองผมด้วยสายตาแปลกๆ
“กูจำมึงไม่ได้ไง” ผมบอก ไอ้คิวส่งยิ้มให้มัน
“จริงเหรอ แล้วแฟนมึงไปไหนวะ” มันทำเป็นมองหาพี่ท็อป ยืนอยู่หน้าห้องน้ำแท้ๆ มึงจะมองหาอะไรอีก 
“เข้าห้องน้ำ ...แล้วมึงให้เด็กมาตามกูทำไมวะ” ผมถามมันตรงๆ ไอ้โจ้ไหวไหล่แล้วยิ้ม
“แค่อยากรู้ว่ามึงไปไหน ทำอะไรบ้าง ทำไม โกรธเหรอ” มันพูดแล้วถอนหายใจ
“มีอะไรรึเปล่า” ผมถามมัน
“อยากคุยด้วยหน่อย...” ไอ้โจ้พูด มันมองไอ้คิวนิ่งๆ ระหว่างนั้นพี่ท็อปออกมาพอดี เจ้าตัวชะงักไปนิดหน่อยเมื่อเห็นคนแปลกหน้าจากนั้นก็ทำหน้าเหมือนจะรู้ว่ามันคือใคร พี่ท็อปเดินมาหาผมโดยไม่สนใจไอ้โจ้
“ไปหรือยัง” พี่ท็อปพูดกับผม
“อืม...กูไปล่ะนะ” ผมหันไปพูดกับไอ้โจ้ รู้สึกเหมือนน้ำลายเหนียวขึ้นมาซะอย่างนั้น 
“อ้าว อยู่คุยก่อนดิไม่เจอตั้งนาน ขอเวลาคุยด้วยหน่อยได้ไหม” คราวนี้มันกล้าหันไปพูดกับพี่ท็อปแทน ผมล่ะหวั่นว่าพี่ท็อปจะตบมันไหมเพราะดูเจ้าตัวนิ่งจนน่ากลัว
“อยากคุยก็คุย” พี่ท็อปถอนหายใจเซ็งๆ ก่อนจะหันมากระซิบกับผม“นั่นน่ะเหรอเมียเก่า” ก่อนจะหยิกแขนผมแรงๆ พร้อมกับดันหลังผมไปหาไอ้โจ้ด้วย
โห ประชดแรงเชียว
“มีอะไรอะ มึงก็เห็นกูมากับแฟน”
“เออ เห็น แต่ไม่ยักรู้ว่ามึงสนใจเรื่องนี้ด้วย ทีเมื่อก่อนกูมีแฟนอยู่แล้วมึงยังมายุ่งกับกูเลย” ไอ้โจ้พูดอย่างดึงดันมันทำหน้าเหมือนผมเป็นแฟนมันยังไงยังงั้น ผมถอนหายใจ
“นั่นมันเมื่อก่อนไง ตอนนี้กูโตแล้วอะไรๆ ก็ต้องเปลี่ยน” ผมบอกมันให้เข้าใจทั้งๆ ที่ไม่จำเป็นต้องเสียเวลามาอธิบายเรื่องนี้ด้วยซ้ำ ถึงจะยอมรับว่ามันหน้าตาดี มีน้ำมีนวลขึ้นมากแต่ผมก็ไม่ได้สนใจมันมากไปกว่านั้นแล้ว
“ไม่ใช่ว่าเพราะเกรงใจแฟนมึงหรอกนะ ถ้าแฟนมึงไม่อยู่มึงจะมากับกูไหมล่ะ” มันพูดก่อนจะเหลือบมองพี่ท็อปที่อยู่ทางด้านหลังด้วยสายตาเชือดเฉือน ท่าทางมันดูมั่นใจว่าผมต้องมากับมันแน่ๆ และประเด็นไม่ได้อยู่ที่พี่ท็อปจะมาด้วยไหม
“ต่อให้กูมีแฟนมาด้วยหรือไม่มียังไงกูก็ไม่ไปกับมึงอยู่ดี มึงเข้าใจนะ”
“ก็กูไม่ได้เจอมึงตั้งหลายปีอะ ...ถ้างั้นกูขอเบอร์มึงหน่อยดิ” มันไม่สนใจที่ผมพูดเลยหรือไงกัน มันยื่นโทรศัพท์มาให้ผม ตอนแรกผมจะเดินหนีมันไปแล้วแต่พี่ท็อปเดินเข้ามาหาผมก่อนจะพูดกับไอ้โจ้ด้วยสีหน้ากวนๆ
“ไม่ให้มีอะไรไหมวะ” ไม่ใช่แค่นั้นพี่ท็อปปัดโทรศัพท์ไอ้โจ้หล่นลงพื้น ดีนะที่ไม่กระจาย มันทำหน้าไม่พอใจก่อนจะก้มลงไปเก็บโทรศัพท์
“มึง...” ไม่ทันที่มันจะพูดได้จบ พี่ท็อปตัดบทมันซะก่อน
“ทำไมวะ มีปัญหาอะไร แล้วก็เลิกเซ้าซี้แฟนกูซะทีเห็นแล้วรำคาญตา”พี่ท็อปพูดเยาะเย้ย ก่อนจะดึงตัวผมให้ออกห่างจากไอ้โจ้
“นี่มึงกล้ากร่างขนาดนี้เลยเหรอ ท่าทางคงอยากมีเรื่องสินะ”ดูเหมือนไอ้โจ้ดูจะแค้นใจมาก ขณะเดียวกันไอ้คิววิ่งมาหาผมท่าทีตื่นตระหนก มันคงกลัวว่าจะมีเรื่องกัน ระหว่างนั้นเองพวกเด็กๆ ของไอ้โจ้ก็วิ่งเข้ามาหาพวกผมเตรียมที่จะรุม ผมไม่คิดว่ามันจะมีพวกเยอะ
“เฮ้ย อย่ามีเรื่องเลยน่าไอ้โจ้” ไอ้คิวทำหน้าตาตื่น มันกวาดสายตามองพวกเด็กๆของไอ้โจ้อย่างระแวงก่อนจะหยิบโทรศัพท์กดหาอะไรสักอย่าง
“ใครล่ะที่ปากดีก่อน”คู่กรณีว่า สายตามันจับจ้องไปที่พี่ท็อปเขม็งแบบเอาเป็นเอาตาย“กูไม่อยากจะมีเรื่องกับมึงหรอกนะสอง แต่ดูแฟนมึงดิ ปากดีเอง”
“เอาสิวะ กูก็อยากรู้เหมือนกันว่าพวกมึงจะดีแต่ปากหรือเปล่า” พี่ท็อปดูท่าทางจะเอาจริง ถ้าห้ามคงเอาไม่อยู่ ผมเองก็ไม่อยากมีเรื่องในเวลาแบบนี้หรอก อีกอย่างพวกมันมีเยอะกว่า จะมีอาวุธอะไรหรือเปล่าก็ไม่รู้
“พอเหอะน่าไอ้โจ้... มึงก็รู้ถ้ากูเอาจริงขึ้นมากูไม่ไว้หน้าใครเหมือนกัน” ผมพูด เอาเข้าจริง ผมไม่นักเลงพอที่จะมีเรื่องกับพวกมันหรอก แต่ถ้าหลังจากนั้นค่อยว่ากัน
“ดูแฟนมึงสิ ปากแบบนี้เป็นมึงจะปล่อยไว้หรือเปล่าล่ะ”ไอ้โจ้โวยวาย มันหันไปมองเด็กๆ มันคล้ายจะออกคำสั่ง งานนี้มันต้องมีเจ็บตัวจริงๆ สินะ ผมกับพี่ท็อปคอยดูท่าทีของพวกมันอย่างระมัดระวัง
“พี่โจ้ พี่โจ้” ไม่ทันไรเสียงวิ่งพร้อมกับร่างหนาๆ ของวัยรุ่นชายอายุไล่ๆ กับพวกนี้วิ่งเข้ามาหาไอ้โจ้ หอบแฮก “อะไร” ไอ้โจ้ไม่สบอารมณ์ที่มีคนขัดจังหวะ
“เอ่อ พี่นาคให้มาตามพี่ด่วนเลย”เด็กคนนั้นตอบ ผมไม่รู้ว่าคนชื่อนาคเป็นใครแต่มันทำให้ไอ้โจ้หน้าเสียไปเลย แถมพวกมันก็ยอมถอยไปง่ายๆ ไม่พูดอะไรสักคำ ไอ้โจ้จ้องหน้าพี่ท็อปก่อนจะจากไปเงียบๆ
“เฮ้อ เกือบมีเรื่องเพราะเรื่องไม่เป็นเรื่องแท้ๆ” ผมถอนหายใจอย่างโล่งอก
“เรื่องไม่เป็นเรื่องเหรอ” พี่ท็อปหันมามองหน้าผมแบบเอาเรื่อง ทำเอาผมตั้งตัวไม่ทัน ไอ้คิวยิ้มก่อนจะแทรกขึ้นมา
“สงสัยไอ้เต็งมันช่วยแหงๆ เพราะกูส่งข้อความไปหามันเมื่อครู่ก่อนนี่เอง” ไอ้คิวบอก สีหน้ามันดีขึ้นกว่าเดิมมาก คงกลัวว่าจะมีเรื่องกันจริงๆ
“จะไปต่อที่ไหนดีพี่”ผมถามพี่ท็อป เพื่อเป็นหัวข้อสนทนา อีกฝ่ายเหลียวมองผมด้วยสายตาดุดัน
“ยังจะมาหน้าระรื่นอีก”ผมไหวไหล่ ขณะนั้นไอ้คิวเลยค่อยๆพูดขึ้นมา “เออ งั้นก็ขอแยกไปหาเพื่อนตอนนี้เลยนะ”
“อ้าว ...งั้นโอเค โชคดี ขอให้สนุกนะมึง”ผมพูด เอื้อมไปตบไหล่มันเป็นการส่งท้าย “ไว้เจอกันคราวหน้านะ”ไอ้คิวส่งยิ้มให้พี่ท็อปก่อนจะเดินหายเข้าไปในงาน ผมถอนหายใจอย่างโล่งอก
“กูได้ยินมาว่าตอนนั้นมึงเป็นคนจีบมันก่อนเหรอ” พี่ท็อปวกมาเรื่องไอ้โจ้ต่อ ผมจับแขนอีกฝ่ายให้เดินออกจากบริเวณหน้าห้องน้ำ เพื่อเดินเข้าไปในโซนงานต่อ 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-01-2018 17:33:58 โดย RindadaRin »

ออฟไลน์ รินดาwดาริน

  • OnTop&N'Song
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +243/-2
Deen diary
บทที่ 5 ปล่อยวาง

  เมื่อออกมาที่หน้าร้านพี่อาร์ตกับผู้หญิงคนนั้นหายไปแล้วแต่ผมไม่ได้ถามอะไรให้วุ่นวาย คงเป็นเรื่องส่วนตัวของพี่กัสล่ะมั้ง ไม่อยากก้าวก่ายมาก นี่อาจเป็นเหตุผลที่พี่กัสหายตัวไปเงียบๆ ไม่ติดต่อมา ระหว่างทางที่พี่กัสขับรถไปส่งผมที่หอพักเจ้าตัวก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก จนกระทั่งมาถึงที่หน้าหอพัก
“ยื่นจบเมื่อไหร่บอกกูด้วยนะ เดี๋ยวกูพาไปเลี้ยงเต็มที่เลย” พี่กัสพูดเหมือนชวนคุยทำลายความเงียบ
“ได้พี่ อีกไม่กี่เดือนหรอก” ผมบอก
“แล้วถ้าอยากมาหาก็แวะมาได้นะเว้ย” พี่กัสบอกทิ้งท้าย
“ครับพี่” ผมส่งยิ้มให้พี่กัสมองรถที่ขับออกไปตามทางแล้วก็ถอนใจ
เมื่อเข้ามาในห้องพักของตัวเองแล้วก็รู้สึกล้าอย่างประหลาดเลยเดินออกไปสูบบุหรี่นอกระเบียงให้สมองโล่ง อยากปลดปล่อยความอึดอัด ความกังวล ออกจากหัวไปให้หมด ใจจริงอยากไปนั่งรถเล่นตอนกลางคืนคงสดชื่นสมองโล่งน่าดู แต่ไปคนเดียวก็ไม่น่าสนุก
ตืด ตืด ตืด
เป็นเบอร์แปลก ผมลังเลว่ากดรับสายดีหรือไม่ ถ้าไม่ได้เมมชื่อไว้คงเป็นคนไม่รู้จัก เพราะเพื่อนในสาขาก็เมมไว้หมด น้อยคนที่สนิทๆ จะใช้เบอร์อื่นโทรมาเพราะรู้จักนิสัยผมดี แต่คราวนี้มีลางสังหรณ์ชอบกลเลยจำใจกดรับสาย
“ฮัลโหล”
[…] ปลายสายเงียบได้ยินแต่เสียงหายใจแผ่วๆ พวกโรคจิตหรือเปล่าวะเนี่ย
“ไม่พูดจะวางแล้วนะ” ผมบอกเสียงดัง
[กูเอง] ปลายสายเอ่ยขึ้นมา ผมชะงักค้าง คิ้วขมวดทันที น้ำเสียงทุ้มฟังแล้วไม่ต้องเค้นสมองคิด ผมแปลกใจว่ามันมีเบอร์ของผม
“มึงโทรมาทำไม” ผมถาม โจทก์เก่าคนเดียวของผมเนี่ยแหละ
[ก็แค่โทรมา] อีกฝ่ายตอบอย่างยียวน
“งั้นกูวาง” ผมถอนหายใจก่อนจะตอบกลับไปห้วนๆ
[เดี๋ยว...] ผมเงียบรอให้มันพูดเอง
[กูไม่ได้บอกอาจารย์นะ อาจารย์แกรู้เรื่องเอง] ที่แท้ก็เรื่องนี้ อันที่จริงผมไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจด้วยซ้ำ
“อ๋อเหรอ”
[ถามจริงๆ เถอะ มึงไม่เหนื่อยบ้างเหรอวะที่ต้องตั้งแง่กับกูแบบนี้]
“...” ผมหมดคำพูดกับมันแล้ว อยากพูดอะไรก็เชิญ
[กูแค่อยากคุยดีๆ กับมึง] แต่ที่ไอ้แกนพูดมาคราวนี้ทำเอาผมฉุนกึก บางครั้งผมก็สงสัยว่าทำไมต้องเป็นตอนนี้ ในช่วงเวลานี้ เหมือนรอเวลา
“ทำไมวะ กูไม่เข้าใจ”
[กูไม่อยากให้เรื่องมันเป็นแบบนี้หรอก กูรู้สึกผิดเรื่องมึงมานาน แต่มึงไม่ให้โอกาสกูได้ขอโทษมึงไม่ใช่เหรอ]
“มึงจะให้กูเปลี่ยนปุบปับไม่ได้หรอก”
[ปีหน้ามึงก็จะจบแล้วแต่กูยังอยู่] มันพูดแบบนี้หมายความว่ายังไงกัน ขณะเดียวกันผมก็คิดอะไรไม่ออก
“...”
[กูมีเวลาอีกเยอะ แต่อยู่ที่มึง]
“มึงต้องการอะไร” ถามแบบนี้จะง่ายกว่าที่จะได้คำตอบ
[ถ้ามึงอยากเริ่มต้นเป็นเพื่อนใครสักคนจริงๆ] ผมไม่คิดว่าจะได้ยินมันพูดแบบนี้อีก เหลือเชื่อนิดหน่อยที่มันโทรมาเพราะเรื่องนี้น่ะเหรอ
“มึงน่ะเหรอ” ผมหัวเราะแบบไร้อารมณ์ขัน
[ใช่ กูพูดตรงๆ กูเบื่อที่ต้องทะเลาะกับมึงแล้ว กูไม่อยากให้เรื่องมันแย่ไปกว่านี้ มึงก็รู้ดี]
“ขอเวลากูก่อน กูมีเรื่องต้องคิดเยอะแยะ”
[มันต้องใช้เวลานานขนาดนั้นเชียว ถ้ามึงคิดจริงๆ จังๆ น่ะนะพรุ่งนี้กูอาจจะได้คำตอบ] มันวางสายไปก่อนที่ผมจะสาปส่งมันได้ทัน ไอ้แกนเป็นบ้าอะไรของมัน ผมไม่คิดว่ามันจะพูดอะไรแบบนี้
ผมกลับเข้ามาในห้องรู้สึกเคว้งแปลกๆ กับคำพูดของไอ้แกน ในเวลานี้ตัวผมเองก็ไม่แน่ใจว่ายังคงเกลียดมันอยู่หรือเปล่าแต่มันน้อยลงกว่าเดิมมาก มากจนผมอดคิดไม่ได้ว่า
‘จะเป็นเพื่อนกับมันได้ไหมนะ?’
ผมไม่แน่ใจกับอะไรทั้งนั้น ทั้งเรื่องพี่กัส เรื่องไอ้แกน ถ้าคิดแบบไร้ซึ่งอคติผมเองก็มีคำตอบของตัวเองอยู่แล้ว

หลังจากวันที่ไอ้แกนโทรมาในคืนนั้นผมต้องยอมรับว่าความโกรธอคติของผมมันลดลง ในเมื่อมันกล้าหน้าหนาขนาดนี้แล้วผมก็จะมีคำตอบให้มัน ผมกลับมาทำงานที่คณะตามปกติหรือไม่ก็นั่งเล่นเอื่อยเฉื่อยเพราะทั้งเทอมมีลงทะเบียนเรียนแค่ตัวเดียว เวลาว่างเลยเยอะ บางครั้งพวกไอ้ต๊ะก็ชวนผมไปทำกิจกรรมข้างนอกบ้าง อย่างเช่น ค่ายสอนน้องร่วมกับสถาปัตย์ แต่ไม่ได้ลงไปช่วยแบบจริงจัง ผมชอบไปนั่งเพ้นท์รูปที่ดาดฟ้าเพราะว่าเงียบสงบดี ส่วนใหญ่คนที่ขึ้นมาบนนี้ก็มาหาความสงบ บางคนมาถ่ายรูป นั่งเล่น วาดรูป ระหว่างนั้นเองผมได้ยินเสียงฝีเท้าที่ตรงมาทางผมแต่ไม่ได้หันไปดู เดาได้จากจังหวะการเดินถ้าเป็นเพื่อนๆ ผมคงเดินเร็วกว่านี้เพื่อเข้ามาหาผม
“เป็นไงบ้าง” ไอ้แกนเอ่ยขึ้น มีเสียงกรอบแกรบของถุงของที่มันถือมาด้วยดึงความสนใจผมได้ดี ผมหันไปมองมัน มันยืนอยู่เยื้องไปจากที่ผมนั่งอยู่ไม่ไกล ในมือมันถือถุงขนาดเท่ากระดาษเอสี่ที่ผมไม่รู้ว่าคืออะไร
“ก็เรื่อยๆ”
“บางครั้งกูก็เข้าไม่ถึงมึง ไม่รู้ว่ามึงจะเกลียดขี้หน้ากูหรือจะอยากเป็นมิตรกัน” ไอ้แกนเดินมาหาผม
“เพราะกูไม่อยากให้มึงมารู้จักกูไง มึงจะมาเอาคำตอบเหรอ” ผมถามน้ำเสียงเป็นมิตรขึ้นกว่าแต่ก่อน
“อือ ก็มีส่วน” มันไม่รอให้ผมอนุญาต นั่งลงบนพื้นถัดไปจากผม ทิ้งระยะห่างไว้พอประมาณ ผมเก็บพู่กันใส่กล่องเพราะคงไม่มีอารมณ์วาดต่อ
“ถ้ามึงจบแล้วจะไปทำอะไร” ผมถามมันทั้งที่ไม่ได้อยากรู้
“มันตั้งปีหน้านู่นกว่ากูจะยื่นจบได้ กูคงออกไปหาประสบการณ์ก่อนแล้วค่อยทำงาน” มันพูด
“ก็ดี” ผมกำลังจะยื่นจบสิ้นเทอมนี้แล้วไปฝึกงาน ผมยังคิดไม่ออกว่าอยากทำงานที่ไหนหรือว่าควรเรียนต่อ
“มึงโอเคแล้วหรือยัง” อยู่ๆ มันก็ถามออกมา ผมหันไปมองอย่างไม่เข้าใจ โอเคไม่โอเคอะไร มันมองหน้าผมอย่างไม่ลดละ
“หมายถึงอะไร”
“ก็...ทุกเรื่อง” ไม่รู้ว่ามันจะมาใส่ใจอะไรผมมากมายนัก ผมถอนหายใจ
“มึงจะอยากรู้ไปทำไม”
“กูไม่อยากให้มึงเดินทางผิด มึงใกล้จะจบแล้ว ที่กูถามเพราะว่ากูเป็นห่วง” คำพูดของมันทำให้ผมหัวเราะออกมาแต่มันไม่มีอะไรขำ
“มึงเนี่ยนะ พูดออกมามึงคิดดีแล้วใช่ไหม กูรู้สึกแหยงๆ”
“กูห่วงแบบเพื่อน” มันพูดน้ำเสียงจริงจัง ผมเงียบไป
“กูรู้ว่าตัวเองทำอะไรอยู่” ผมบอกก่อนจะเก็บกระดานสเก็ตช์ใส่กระเป๋าใบใหญ่ให้เรียบร้อย
“อืม แบบนั้นก็ดี” อีกฝ่ายตอบ หันมองผมไม่ละสายตา
“มีเรื่องอะไรจะพูดอีกหรือเปล่า กูจะลงไปด้านล่างแล้ว” ผมมองไปที่ไอ้แกนที่นั่งคิดอะไรสักอย่างท่าทางเคร่งเครียด
“กูอยากให้มึงลดทิฐิลงให้มากๆ มองที่ความเป็นจริง”
“เออ กูก็ลดแล้วนี่ไง” ผมบอก การที่ผมอยู่คุยกับอีกฝ่ายนานขนาดนี้ ถือว่าเป็นพัฒนาการที่ดี
“กูจะจับตาดูมึง” ไอ้แกนลุกขึ้นยืนแล้วจ้องหน้าผม มันทำท่าอย่างกับเป็นผู้ปกครองผมอะไรแบบนั้น
“ด้วยเรื่องอะไร”
“มึงมีความผิดติดตัวอยู่นะ คิดให้ดีสิ” ผมรู้ว่ามันพูดจริง ใครๆ ก็พูดว่ามันเป็นคนจริงใจกับเพื่อนฝูง ผมสะพายกระเป๋าแล้วเดินลงไปด้านล่างโดยไม่ได้พูดอะไรสักอย่าง แค่นี้ก็มากพอแล้วที่ผมสามารถชนะความรู้สึกของตัวเองได้
ตืด ตืด ตืด
‘พี่ตอง’ ผมขมวดคิ้วเมื่อเห็นว่าใครโทรเข้ามา
“ว่าไงพี่”
[เออ มึงว่างหรือเปล่าวะ] อีกฝ่ายเอ่ยขึ้น
“ว่างพี่ มีอะไรหรือเปล่า” ผมตอบ พลางนึกสงสัยว่าที่อีกฝ่ายโทรมาเกี่ยวข้องอะไรกับพี่กัสหรือเปล่า และก็คิดไม่ผิดจริงๆด้วย
[มึงไปร้านไอ้กัสมาเหรอวะ]
“ครับ หลายวันแล้ว ทำไมครับ” ผมพูด ในใจมีลางสังหรณ์ไม่ดี
[…อ่อ เปล่า กูแค่นึกว่ามึงจะรู้]
“รู้อะไร” ผมถามกลับอย่างรวดเร็ว
[เรื่องไอ้กัสไง ที่จริงก็ไม่อยากปิดบังมึงนะแต่กูกลัวว่าจะมีปัญหาขึ้นอีก] เสียงพี่ตองดูจริงจังมากจนผมอดกังวลไปด้วยไม่ได้
“มีเรื่องอะไรกันแน่พี่”
[มึงมาหากูที่บ้านดีกว่า โอเคไหม]
“ก็ได้ครับ เดี๋ยวผมไปหา” ผมบอกจากนั้นสายก็ตัดไป ผมรู้สึกไม่ค่อยดีมีลางสังหรณ์ว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับพี่กัสเต็มๆ ผมหวนนึกไปถึงวันที่ผมไปร้านของพี่แก ผมพยายามไม่ปะติดปะต่อเรื่องเองเพราะกลัวใจของตัวเองมากกว่า ผมไม่ชอบที่รู้สึกแบบนี้เลย

ผมขี่รถไปหาพี่ตองในเมือง คิดไม่ตกเรื่องพี่กัส ดีเหมือนกันจะได้รู้เรื่องกันไปเลยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
เมื่อมาถึงบ้านพี่ตองผมเคาะประตูสองสามครั้งเจ้าของบ้านก็เปิดประตูให้ผมเข้าไป
“มาเร็วดี ตามมา” พี่ตองบอกก่อนจะเดินนำไปที่ห้องเดิมที่ผมเคยมาค้างที่นี่ แสดงว่าข้าวของของพี่กัสยังอยู่ที่นี่งั้นเหรอ
“พี่กัสยังอยู่บ้านพี่เหรอ นึกว่านอนที่ร้าน” ผมถามงงๆ พี่ตองแค่ไหวไหล่ก่อนจะหยิบอัลบั้มรูปออกมาจากลิ้นชักตู้
“ตอนแรกแค่มานอนสองสามวัน แต่คราวนี้มีเรื่องนิดหน่อยมันเลยต้องมานอนบ้านกูไง” พี่ตองบอกก่อนจะลากเก้าอี้มาให้ผมนั่ง “ที่จริงไอ้กัสมันไม่อยากให้มึงมาสนใจเรื่องนี้หรอก คงกลัวมึงเสียใจล่ะมั้ง” พี่ตองยื่นอัลบั้มรูปมาให้ผมดู
ในนั้นมีรูปพี่กัสสมัยเรียนม.ปลาย เปิดไปเรื่อยๆ ก็เจอรูปถ่ายเด็กทารกผู้หญิงวัยเรียงตามอายุตั้งแต่หนึ่งเดือนจนกระทั่งสี่ขวบ ผมเดาได้แล้วว่าเด็กน้อยคนนี้เป็นใคร ยิ่งรูปสุดท้ายทั้งจมูกและดวงตาเหมือนกับพี่กัสเลย
“ลูกพี่กัสเหรอ” ผมถามเบาๆ เหมือนคนคอแห้ง พี่ตองพยักหน้า
“อือ มันมีลูกตอนยังเด็กๆ ตามประสาวัยรุ่น พวกเรามันโง่เง่า มึงน่าจะรู้จักกลุ่มพวกกู ตอนที่เจอมึงแรกๆ กูไม่คิดนะว่าจะสนิทกันมาขนาดนี้ ก็เห็นมึงกับไอ้กัสเข้ากันได้ดี” พี่ตองพูดเรื่อยๆ
“แล้วยังไงต่อ พี่กัสมีลูกแล้ว?” ผมถามต่อ
“ช่วงที่มึงกำลังสอบเข้ามหาลัยไง ไอ้กัสมันหายหัวไปเพราะว่าฝ่ายหญิงอยากให้รับผิดชอบ อันที่จริงมันจ่ายแค่ค่าเลี้ยงดูอย่างเดียวแต่พ่อแม่เขาคงไม่พอใจที่มันเองก็ไม่ทำงานทำการเป็นหลักเป็นแหล่งเลยจะให้มันแต่งกับผู้หญิงคนนั้น มันก็เลยกะว่าจะหนี”
ผมฟังแล้วไม่นึกว่าพี่กัสจะทำแบบนั้นได้ แต่นิสัยของพี่กัสไม่ชอบการผูกมัด ชอบความอิสระอะไรทำนองนั้น
“มันทำผิดนะอันนี้กูก็รู้ ที่จริงมันไม่อยากให้มึงรู้เพราะกลัวมึงเสียกำลังใจ มันคงรู้ล่ะมั้งว่ามึงคิดอะไรอยู่ ไอ้กัสคงบอกมึงไปแล้วว่ามันก็ชอบๆ มึงบ้าง ตอนมันย้ายหนีไปมันไม่ได้บอกกูนะ กูมารู้ทีหลัง” พี่ตองเล่าเรื่องราวที่ผมไม่เคยรู้มาก่อน พี่กัสแค่อยากหนีไปตั้งหลักเพราะไม่อยากแต่งงาน ส่วนเรื่องลูกพี่กัสพลาดไปทำผู้หญิงท้องตอนอายุยี่สิบปลายๆ แต่แยกกันอยู่ ผมไม่รู้รายละเอียดอะไรมากนักเพราะพี่ตองไม่ได้เล่า
พี่กัสก็ทำตัวอย่างที่เห็น ไม่ได้ทำงานจริงๆ จังๆ แต่ส่งเงินไปเป็นค่าเลี้ยงดูลูกและแม่เด็ก ส่วนเรื่องเดินทางไปฟิลิปปินส์นั่นหลังเคลียร์กันได้ คงแต่งงานกันไปแล้วเพราะไม่ได้ไปคนเดียวคงไปเป็นครอบครัว
“ไม่เห็นพี่กัสต้องปิดเลยนี่” รู้สึกแย่นิดหน่อยที่พี่กัสไม่ยอมบอกอะไร ถ้าหากว่าคืนนั้นเรื่องระหว่างผมกับพี่กัสเกิดไม่ได้จบลงแบบนั้นมันคงกลายเป็นเรื่องแย่ๆ
“มันคงไม่อยากให้มึงรู้” พี่ตองตอบสั้น ๆ ผมไม่เข้าใจเรื่องทั้งหมดนัก
“ทำไมล่ะก็ในเมื่อ...” ถึงพี่กัสไม่มีลูก ไม่แต่งงานไปซะก่อน ผมก็ไม่คิดว่าพี่กัสจะมาชอบผมแบบจริงๆ จังๆ แน่นอน ถึงพี่กัสจะทำตัวดีกับผมแต่ก็มีบางมุมที่ทำตัวแย่ๆ
“ที่จริงมันมีหอพักอยู่ใกล้มอมึงด้วยแต่ไม่ได้พักเอง ให้เมียกับลูกมัน” พี่ตองพูดขึ้นมา ถึงว่าพี่กัสมาธุระแถวมหา’ลัยผมได้เพราะแบบนี้นี่เอง
“แล้วทำไมพี่ต้องบอกผมด้วยล่ะ อันที่จริงผมกับพี่กัสไม่ได้เป็นอะไรกันอยู่แล้ว” ผมบอกไปตามตรง
“เผื่อเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นมาไง ตอนนี้ไอ้กัสมันกำลังมีปัญหากับเมียมันอยู่ มันไม่ค่อยกลับไปเยี่ยมลูกมันเพราะเรื่องงานนี่แหละ นึกออกไหม” พี่กัสมักหมกมุ่นกับสิ่งที่ทำเสมอ
“อีกเรื่องนึงกูกลัวว่าเมียมันจะเข้าใจมึงผิดๆ เพราะเขาก็รู้ว่าไอ้กัสมันชอบมึง”
“ก็แค่ชอบ” ซึ่งผมเองก็ไม่รู้ว่าไอ้คำว่าชอบของพี่กัสมันมากขนาดไหน ชอบแบบไหน เพราะพี่กัสไม่เคยมีท่าทีในเชิงนั้นกับผมด้วยซ้ำ ถ้าไม่นับเรื่องในวันนั้น และผมก็ไม่ชอบที่พี่กัสทำตัวแบบนั้นด้วย
“กูคิดว่าบอกให้มึงเข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นจะดีกว่า ที่จริงไอ้กัสมันใส่ใจมึงมากกว่าที่มึงคิดนะ ตอนมันหายหัวไปมันก็ฝากให้กูดูๆ มึงไว้และคอยรายงานมันตลอด”
“เหรอ... คิดว่าผมจะดีใจหรือไง”
“หึ ถ้าอยากรู้จากปากมันก็ไปหามันเองแล้วถามมันไปตรงๆ จะได้จบๆ” พี่ตองเก็บอัลบั้มรูปไว้ที่เดิม ผมแค่นิ่ง ผมกลัวคำตอบจากปากพี่กัสมากกว่า
“แล้วมันจะมีประโยชน์อะไรกัน” ผมบอกก่อนจะลุกเดินออกจากห้องแคบๆ
“ตามใจ ถ้ามึงอยากรู้อะไรก็ไปที่หอพักนี่” พี่ตองเขียนชื่อหอพักมาให้ผม “มึงน่าจะรู้จักอยู่แล้ว” ผมรับมาอ่าน เป็นหอพักเงียบๆ อยู่คนละฝั่งกับหอพักของผมเลย
“รู้จักสิพี่ ผมกลับล่ะนะ” ผมบอกก่อนจะเดินกลับไปที่รถ ในหัวผมตีกันไปหมด พี่กัสไม่เหนื่อยบ้างเหรอไงที่ต้องเทียวไปเทียวมาอยู่แบบนี้ หอพักนี่คุ้นๆ ว่าไอ้สองก็อยู่ ทำเอาผมไม่อยากย่างกายไปที่นั่นเลย เผื่อไปเจอทั้งไอ้ท็อปไอ้สองพี่กัสอีกผมจะทำหน้ายังไง

ผมขี่รถกลับมาแถวมหาลัยอีกครั้งเลยแวะซื้อของทำงานเพิ่มเพราะไม่อย่างเสียเที่ยวเปลืองน้ำมันไปกลับตัวเมืองเปล่าๆ ผมชั่งใจว่าจะไปที่หอพักนั่นดีไหม แล้วผมจะไปเพื่ออะไร... ไปเพื่อให้เห็นกับตาแล้วผมจะได้อะไร จะรู้สึกอะไรไหม ผมอยากรู้ว่าตัวเองจะเป็นยังไงที่เฝ้าบอกว่าไม่ได้ชอบพี่กัสมากมายขนาดนั้น
ผมขี่รถไปตามเส้นทางที่คุ้นเคย ถึงไม่ค่อยได้แวะมาแถวนี้บ่อยๆ เพราะอยู่เกือบๆ ท้ายซอยเลย ผมแวะมาจอดรถที่ใต้ต้นไม้ใหญ่หน้าหอพักไม่กล้าไปใกล้ แต่ไม่เห็นรถของพี่กัสเลย ผมหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาพี่กัส แค่อยากคุยด้วยก็เท่านั้น
[ว่าไงดีน]
“พี่ว่างคุยไหมครับ”
[กูไม่ค่อยสะดวกว่ะ ขับรถอยู่] ปลายสายตอบกลับมา
“โอเค ไว้พี่โทรกลับมานะ” ผมบอก
[ได้ๆ] จากนั้นก็วางสายไป ผมแค่อยากรู้ว่าไม่เห็นต้องปิดเรื่องนี้เลย มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
ผ่านไปสิบนาทีกว่ารถเก๋งคุ้นตาก็ขับเลี้ยวเข้ามายังทางเข้าหอพัก แน่นอนว่าเป็นรถของพี่กัส รถคันดังกล่าวชะลอจอด เจ้าตัวคงเห็นผมกระจกรถเลื่อนลง พี่กัสไม่ได้มาคนเดียวแน่นอนว่ามาพร้อมกับเมียและลูกของพี่แก
“มาทำอะไรที่นี่”
“มาหาพี่นั่นแหละ” ผมบอก พี่กัสหันไปมองหญิงสาวที่นั่งอยู่เบาะข้างๆ
“มีอะไรหรือเปล่าคือ...”
“เปล่าหรอก ตอนแรกกะว่าจะมาคุยอะไรด้วยซะหน่อยแต่ตอนนี้ไม่ต้องแล้วพี่ งั้นผมไปก่อนนะ” ผมรีบพูดเพราะทำให้พี่กัสเสียเวลามากกว่า ผมเดินกลับไปที่รถมอเตอร์ไซด์ของตัวเองก่อนจะสตาร์ทแล้วขี่ออกไปให้พ้นสายตาของพี่กัส
ที่จริงก็รู้สึกผิดหวังนิดหน่อยเพราะผมรู้อยู่แล้วว่าจะต้องเจอกับอะไร และที่สำคัญคือผมกับพี่กัสไม่ได้เป็นอะไรกัน ด้วยแต่ลึกๆ ก็ต้องยอมรับว่าเสียใจ อาจเป็นเพราะผมคาดหวังในตัวพี่กัสมาตลอด ตั้งแต่สนิทกันมากขึ้นแล้วพี่กัสหายไปผมก็เคว้ง พยายามตามหา แต่เมื่อมาเจอกันอีกผมดีใจนะแล้วมันก็เป็นแบบนี้วนลูปไป ผมไม่แน่ใจว่าพี่กัสจะย้ายไปไหนอีกไหม แต่คงไม่หรอกเพราะเปิดร้านได้ไม่นานเอง แต่ถึงเรื่องมันจะเป็นแบบนั้นผมก็ยังคงเศร้าอยู่ลึกๆ โหวงเหวงอย่างบอกไม่ถูก ผมแค่อยากหาความสุขในชีวิตจริงๆ

มีสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึก ‘สุข’ ได้จริงๆ ก็คงเป็นแอลกอฮอล์ ผมเสพติดการดื่มเพื่อให้เมา พอเมา ผมรู้สึกว่าได้ปลดปล่อยอะไรบางอย่าง ความคิดที่น่าปวดหัวมันทำให้ผมเสพติดที่จะดื่มจนเมา เพื่อที่ตัวเองจะได้มีความสุขจอมปลอม อาจจะรวมไปถึงของมึนเมาแบบอื่น ถึงมันจะเป็นสิ่งไม่ดีก็ตาม ผมรู้ดีแก่ใจ แต่ก็ยังต้องพึ่งพามันแค่เล็กน้อย
เมื่อมีโอกาสไปสังสรรค์ผมก็เต็มที่ทุกครั้ง จะว่าไปแล้วชีวิตผมเปรียบเหมือนกราฟที่ผกผันอยู่ตลอด มันเคยดีมากๆ อยู่ช่วงหนึ่ง แต่มันกลับดิ่งลงมา และดูเหมือนว่ากราฟความสุขของผมจะไม่สามารถกลับไปพุ่งสูงเหมือนเดิมได้อีก

หลังจากที่แยกกับพี่กัส ผมเหมือนเบลอหนัก รู้สึกแย่ขึ้นมา ผมไม่รู้ว่าทำไมถึงยังรู้สึกห่วงหาอีกฝ่ายขนาดนี้ ผมไม่ได้รักพี่กัสมากขนาดนั้น แต่ลึกลงไปในใจกลับสูญเสียความเชื่อมั่นในตัวพี่กัสไป เพราะอีกฝ่ายหายหน้าไป ผมบอกไม่ถูกหรอกว่าเสียใจเรื่องที่พี่กัสมีครอบครัวไปแล้วหรือเปล่า ผมไม่ได้หวังจะได้ครอบครองพี่กัสในเชิงนั้น การเป็นคนรัก ...เหมือนผมแค่ไม่อยากให้พี่กัสเปลี่ยนไปมากกว่า อย่างน้อยก็ควรเล่าให้ผมฟังบ้าง ให้ผมรู้สึกว่าเป็นคนสำคัญ เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของอีกฝ่าย พอมาคิดดูอีกที ผมกลับคิดมากเกินไป...
หลังจากที่ไปดื่มเหล้าที่ร้านไอ้ตั้มคนเดียว ผมแค่อยากเมา เมาให้ลืมเรื่องทุกอย่างไปซะ ผมกลับมาที่หอพักในสภาพดูไม่ได้ เหม็นกลิ่นเหล้าไปหมด เมื่อเดินมาถึงหน้าห้อง ผมก็เจอไอ้แกนอีกแล้ว มันยืนรอยู่ อีกฝ่ายมองผมด้วยสายตาไม่พอใจ
“มีอะไร” ผมหมดอารมณ์ทะเลาะ ในตอนนี้ผมอยากอาบน้ำแล้วรีบเข้านอนซะ แต่ไอ้แกนไม่ขยับไปไหน
“ทำไมมึงยังทำตัวแบบนี้อีก” อีกฝ่ายเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง น้ำเสียงไม่แดกดันอย่างที่คิดไว้ ผมนิ่ง
“ตอนนี้กูไม่มีอารมณ์มาทะเลาะกับมึง รีบๆ กลับไปเถอะ” ผมบอกมันห้วนๆ ก่อนจะไขกุญแจห้อง ไอ้แกนส่ายหน้า
“กูไม่ได้มาทะเลาะ ...” ไอ้แกนพูดน้ำเสียงอ่อนลงมา ผมมองอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ ทำไมต้องมาพยายามกับผมมากขนาดนี้กัน
“อยากทำอะไรก็ทำ กูเหนื่อย” ผมพูด ก่อนจะเปิดประตูเข้าไป แน่นอนว่ามันต้องตามเข้ามา แต่ผมไม่สนใจอีกฝ่าย จากนั้นเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวมาเพื่อเตรียมอาบน้ำ
“เดี๋ยว—” มันเดินมาดักหน้าห้องน้ำ
“ไอ้แกน การที่กูไม่ไล่มึงไป ไม่ได้หมายความว่ามึงต้องมาวุ่นวายกับกู มึงเป็นอะไรขึ้นมาวะ ทำตัวบ้าๆ บอๆ”
“กูแค่สงสารมึงก็เท่านั้น กูไม่อยากให้มึงทำอะไรผิดๆ เหมือนกู หรือคนอื่นๆ กูไม่อยากเดาใจมึงหรอกนะ แต่มึงเป็นเพื่อนกับกูได้ แค่มึงระบายเรื่องหนักใจให้กูฟังก็เท่านั้น มึงจะเก็บไว้ทำไม” ไอ้แกนพูดด้วยน้ำเสียงปกติไม่ได้ใช้อารมณ์รุนแรง ผมนิ่งพยายามไม่ใส่ใจคำพูดของมัน
“ทำไม มึงจะมาสนใจอะไรกูหนักหนา ไม่ลำบากใจหรือตะขิดตะขวงใจบ้างเลยเหรอ” ผมอยากรู้ความคิดของมันจริงๆ ว่ามันรู้สึกนึกคิดอะไร
“มันอาจใช้เวลานานที่มึงจะไว้ใจกูได้ แต่ที่กูกำลังทำมันยังไม่ชัดเจนอีกเหรอ กูไม่อยากทะเลาะ กูอยากคืนดีกับมึง”
“หึ กูกับมึงเคยดีกันด้วยเหรอ อย่าใช้คำพูดแบบนี้นะกูไม่ชอบ” มันรู้สึกแปลกๆ
“โอเค แต่กูพูดจริงๆ มึงก็น่าจะรู้นิสัยของกูนะ” มันพูดอย่างสำคัญตัวเอง
“...”
“กูต้องจบช้าเพราะมึง เรื่องจะเป็นไงมาไงก็ตามแต่กูจะถือว่าเป็นความผิดมึง เพราะฉะนั้นกูมีเวลาเหลือเฟือเรื่องของมึงแล้วมึงก็ควรจะคิดเรื่องนี้ดีๆ มึงเป็นคนมีความคิด มันอาจต้องใช้เวลา”
“แค่นี้ใช่ไหม กูจะได้อาบน้ำ กูเสียเวลามานานแล้ว” ผมไม่ได้สนใจคำพูดของมันแต่กลับจำได้ขึ้นใจ ผมเดินเข้าห้องน้ำโดยไม่สนใจมันอีก ตามใจ อยากจะทำอะไรก็ทำ ผมจะไม่พยายามอะไรอีกแล้วเพราะมันเหนื่อย ผมแค่อยากพักทำใจให้สงบจะได้กลับมาเป็นผมคนเดิม
เมื่อผมออกมาจากห้องน้ำยังคงเจอไอ้แกนเดินไปมาอยู่ในห้อง ผมเลือกที่จะไม่สนใจมันแทนการโมโหมัน ผมเดินไปที่เตียงกะว่าจะนอนหลับเอาแรงเพราะไม่ไหว
“จะนอนเหรอ” มันถาม
“อือ มึงกลับไปได้แล้ว” ผมบอกห้วนๆ เพิ่งเห็นว่ามันถืออัลบั้มรูปของผมไว้ในมือ อัลบั้มที่พี่กัสให้ผม
“เนี่ยนะเหรอ คนที่ทำให้มึงกลายเป็นคนแบบนี้ไปได้” ไอ้แกนไม่พูดเปล่า พลิกรูปไปมาอย่างสนใจ ผมเดินไปแย่งมาจากมือของมัน
“อย่ามาค้นของๆ กู” ผมบอกน้ำเสียงเด็ดขาด อีกฝ่ายไหวไหล่ทำเป็นไม่สะทกสะท้านอะไร
“กูเห็นมันวางอยู่ ไม่ได้ค้น”
“มึงกลับไปเหอะ กูอยากนอน” ผมบอกมันเป็นครั้งสุดท้ายเพราะกำลังจะหมดความอดทน
“ก็นอนไปสิ”
“กลับไปก่อน ให้กูคิดว่าจะเอายังไงกับมึง ถ้ามึงอยากรู้เรื่องของกูก็กลับไปได้แล้ว” ผมบอกมัน ไอ้แกนยืนนิ่งๆ ก่อนจะถอนหายใจ
“ตามใจ อยากทำอะไรก็ทำ มึงมีเบอร์กูแล้วโทรมาละกัน” อีกฝ่ายบอกนิ่งๆ ก่อนจะเดินออกจากห้องไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมทิ้งตัวลงนอนบนเตียงอย่างอ่อนล้า ผมหลับตาด้วยความเพลีย
ถึงเวลาที่ต้องทิ้งเรื่องเก่าๆ ให้มันจมลงพร้อมๆ กับความรู้สึกบ้าบอของผมเสียที
และให้ผมได้เริ่มต้นใหม่

หลังจากที่ไอ้แกนกลับออกไปผมถึงได้อยู่ในห้องอย่างสบายใจมากขึ้น ผมนอนคิดถึงคำพูดของไอ้แกนวนไปวนมา ถ้าให้เป็นเพื่อนคงจะอีกนานกว่าผมจะสนิทใจด้วย ถ้าแค่พูดคุยกันธรรมดาก็พอรับได้ แต่ไม่ต้องมาก้าวก่ายแบบที่มันทำอยู่ ผมคงสบายใจมากกว่านี้
ตืด ตืด  ตืด
ผมหยิบโทรศัพท์ออกมาดูปรากฏว่าเป็นพี่กัสก็อดถอนหายใจยาวๆ ไม่ได้ ยังไงก็ต้องเคลียร์กันให้รู้เรื่องไปเลย ผมเองก็ไม่อยากค้างคานัก
“ครับพี่” ผมกดรับสาย
[พี่ว่าเราต้องมาคุยกันหน่อย] พี่กัสพูดขึ้นมา 
“ตามใจพี่เลย” ผมตอบ ไม่คิดจะหลบเลี่ยงอยู่แล้ว
[เดี๋ยวแวะไปหานะ] อีกฝ่ายตอบกลับมา
“ได้สิครับ” ผมตอบตกลง ไม่อยากปล่อยผ่านไปนานเพราะมันเป็นผมเองนี่แหละที่จะแย่ หลังจากนั้นผมเลยมีแรงลุกจากเตียง แล้วมาเก็บกวาดห้องให้สะอาด ผมเดินผ่านกระจกหน้าตู้เสื้อผ้าก็ต้องชะงักเมื่อเห็นสภาพตัวเอง
ทำไมต้องทำตัวเองให้แย่ขนาดนี้ด้วย...
ผมยกมือลูบหน้าลูบตาสัมผัสถึงความหยาบกร้านและสันกรามนิดหน่อย บ่งบอกว่าผมไม่ได้ดูแลตัวเองมานานเท่าไหร่แล้ว ผมกำลังทำร้ายตัวเองอยู่ชัดๆ ปล่อยตัวมาขนาดนี้ได้ยังไง นึกถึงคำพูดของไอ้สอง มันเป็นคนที่พูดชี้ทางผมได้ดี พอมานึกทบทวนตัวเองแล้ว คงมีแต่ผมที่เป็นฝ่ายอ่อนแอ เหมือนคนหลงทาง
พี่กัส ไอ้แกน ล้วนต่างมีทางของตัวเอง ในเวลานี้ผมเกลียดกระจกเงาที่สุด มันชอบสะท้อนในสิ่งที่ไม่อยากเห็น “ตัวตน” จริงๆ ของผมล่ะมั้ง อ่อนแอ ขี้แพ้ และเป็นคนโง่
ที่สำคัญ เวลามองกระจกทีไร ผมก็อดที่จะมองร่องรอยแห่งความโง่เง่าของตัวเอง ที่ครั้งนึงเคยสักชื่อของมันเอาไว้ เป็นเรื่องโง่ๆ ในวัยเด็ก ผมเอี้ยวตัวให้เห็นตัวอักษร GAN ตอนนั้นผมคิดอะไรอยู่กันนะถึงได้สักชื่อของมันลงบนตัว แล้วเมื่อคืน อีกฝ่ายจะเห็นรอยสักของผมไหม หวังว่ามันจะไม่คิดไปไกล
ผมอาบน้ำโกนหนวดให้เกลี้ยงเกลาก่อนจะใช้โฟมล้างหน้าอีกรอบ ผมเคลียร์ห้องให้สะอาด ในใจอดคิดถึงพี่กัสไม่ได้ ตั้งแต่วันที่เจอพี่กัสก็เฝ้าถามตัวเองว่าจริงๆ แล้วผมรู้สึกยังไงกับอีกฝ่ายกันแน่ แต่รู้สึก ‘รัก’ คงไม่มีทางเป็นไปได้

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-02-2018 16:22:25 โดย รินดาwดาริน »

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
 :mew5:   โธ่พี่กัสจะปิดทำไมว้า. จริงอย่างแกนว่าถ้าเป็นเพื่อนกันได้มันก็ดีจะได้เปิดอกคุยไปเลย
ขอบคุณที่มาต่อนะคะ

ออฟไลน์ flimflam

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 881
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-4
นั่นไง ใช่จริงๆด้วย 5555555555
พี่หัสก็ไม่ควรจะปล่อยให้พี่ดีนค้างๆคาๆแบบนั้นนา...
แล้วแกนนี่คิดแค่เพื่อนเฉยๆ? แน่นะ 555555555555

ออฟไลน์ Dark_Noah

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 838
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-3
ความจริงเราก็เข้าใจพี่กัสนะ อาจจะไม่อยากให้ดีนรู้สึกดีกับตัวเองน้อยลงเลยเลี่ยงที่จะไม่บอก
ความสัมพันธ์ของสองคนนี้เราพอเข้าใจ ความรักความชอบบางทีมันก็ไม่ใช่การครอบครอง มันอาจไม่ได้รู้สึกมากขนาดนั้น
ส่วนดีนกับแกนจริง ๆ ก็คงไม่ไปถึงไหนหรอก ถ้าเราเป็นดีนมันก็ยากจะก่อความรู้สึกใหม่กับคนที่เรารู้สึกเกลียดไปแล้ว สองคนนี้คงต้องค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไปแบบสโลว์ไลฟ์จริง ๆ เลย

ออฟไลน์ sweetbasil

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 807
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-3
เริ่มต้นใหม่ให้ได้นะพี่ดีน
ชีวิตแค่โดนทำร้าย :o12:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด