เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียงวิศวะ ตอนพิเศษ 14.11.62 อัปจ้า
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียงวิศวะ ตอนพิเศษ 14.11.62 อัปจ้า  (อ่าน 248840 ครั้ง)

ออฟไลน์ flimflam

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 881
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-4
คิดถึงพี่ท็อปจังค่ะ
ลืมเนื้อเรื่องตอนก่อนไปแล้ว T_T
ต้องอ่านใหม่อีกรอบเลย ฮือ 5555555555555555
 :ling1:

ออฟไลน์ ChaniiNoiy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 13
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
^__________^ ดีใจคนเขียนมาต่อแล่ววว

ออฟไลน์ Dak

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
คิดถึงจังเลยยยยย :katai2-1:

ออฟไลน์ รินดาwดาริน

  • OnTop&N'Song
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +243/-2
ตอนที่ 23 เติมรักทีละน้อย


หลังจากที่กลับมาจากบ้านของผมแล้ว พี่ท็อปเตรียมตัวไปฝึกสหกิจและรอหนังสือตอบกลับจากสถานทำงาน และเทศกาลกีฬาสี่คณะก็มาถึง บรรยากาศในมหา’ลัยคึกคักเหมือนช่วงรับเฟรชชี่ ทั้งสี่คณะเตรียมซ้อมสันทะนาการ ซ้อมเชียร์กันเต็มที่ ส่วนพวกผมผู้ชายใช้แรงงานนอกจากจะทำฉากแล้วยังต้องลงเป็นตัวแทนของคณะไปแข่งกีฬา
กลุ่มพวกผม ไอ้เชี่ยวก็ซ้อมกันพอเป็นพิธี เย็นนี้เลยอยู่ซ้อมบาสฯกับน้องๆปีหนึ่งปีสองที่คณะ อาศัยลานหน้าตึกเป็นสนามบาสฯชั่วคราว   เสียงฝีเท้ากระทบพื้นกับเสียงลูกบาสดังตึงตังเป็นสีสันให้แก่คณะ เวลานี้คณะยังคงคึกคัก ส่วนมากจะมาทำงานกันใต้ตึกกันมากกว่า
ระหว่างที่กำลังเลี้ยงลูกบาสฯไปหน้าแป้นปลอมๆ ลูกบาสฯในมือก็ถูกฉกไปอย่างน่าใจหาย เมื่อมองกลับไปพบว่าเป็นพี่ดีน
“ช้าว่ะ”พี่ดีนฉีกยิ้มก่อนจะเลี้ยงลูกบาสฯกลับไปอีกฝั่งหนึ่งแทนก่อนจะชู๊ตลงแป้นได้อย่างแม่นยำ เจ้าตัวเดินกลับมาหา ก่อนจะลากตัวผมออกจากวง
“มีอะไรเปล่าพี่”ผมถามงงๆ ยอมเดินตามพี่ดีนไป
“อือ มีอะไรจะคุยด้วยหน่อย”พี่ดีนยิ้มก่อนจะพาผมไปที่หลังห้องเพ้นท์ตามเคย เจ้าตัวนั่งลงที่เก้าอี้หินอ่อน
“ว่ามาสิพี่”ผมเร่ง ลึกๆแล้วอยากรู้ พี่ดีนหัวเราะเบาๆก่อนจะล้วง
“กูฝึกงานที่คณะ คงได้เจอกันบ่อยๆ ดีใจป่ะ”เจ้าตัวยิ้มกวนๆ ทำเอาผมแปลกใจ ฝึกงานที่คณะเนี่ยนะ
“จริงดิ”
 “อือ พอดีอาจารย์แนะนำมา กูก็เบื่อๆไม่อยากเรื่องมากเลยตอบตกลง”
 “ก็ดีนี่ ไม่ต้องไปไหนไกล ...เรื่องที่จะคุยแค่นี้เหรอ...”ผมถาม แอบเซ็งเล็กๆ นึกว่าจะเป็นเรื่องปัญหาในชีวิตแกซะอีก พี่ดีนยิ้มแปลกๆ
 “ไหนอ่ะของฝาก กลับไปบ้านทั้งที”พี่ดีนยื่นมือมาหาผม เหมือนหลบเลี่ยงคำถาม
 “ไม่มีหรอกพี่”ผมหัวเราะ ก่อนจะเดินไปนั่งที่เก้าอี้อีกตัวแทน พี่ดีนถอนหายใจเฮือกใหญ่
“กูฝึกงานที่ตึกกลางนู่น คงไม่ค่อยได้เจอแล้ว เผื่อมึงคิดถึงกู”
“หึ พูดไปเรื่อย”ผมหัวเราะเบาๆ รู้สึกสบายใจกว่าเมื่อก่อนเวลาคุยกับพี่ดีน เพราะเดี๋ยวนี้พี่แกแสดงเจตนาดีมากกว่าร้ายน่าระแวง
“เออ แล้วมึงไปร้านพี่ตั้มวันไหนวะ”
“อาทิตย์หน้าหลังบายเนียร์แหละพี่... มาด้วยกันไหม”ผมชวนไม่อยากให้พี่แกฟุ้งซ่านอยู่คนเดียว พี่ดีนหันหน้ามามองผมอยู่นานสองนานจนผมคิ้วขมวด
“อือ ไปสิ แต่มึงต้องรับผิดชอบกูนะ เพราะกูจะเมาแน่ๆ”เจ้าตัวพูดด้วยยิ้ม
“ได้สิ ไว้ใกล้ๆวันแล้วผมจะโทรไปหาอีกทีแล้วกันนะ”ผมบอก
“เออ งานกีฬามึงลงอะไรบ้างนะ กูยังไม่ได้ดูรายชื่อเลย เจอคณะอะไรคณะแรกวะ”พี่ดีนเปลี่ยนเรื่องคุยต่อ เท่าที่จำได้ดูเหมือนรายการแรกที่ต้องแข่งคือบาสฯ เจอกับวิศวะฯมั้งนะ ถ้าจำไม่ผิด
“วิศวะมั้งพี่ ไม่แน่ใจ พี่ลงบาสฯด้วยป่ะ”
“อือ ลงสำรองไว้ เผื่อพวกมึงหมดแรงไง”

 “ฮ่ะๆ ก็ว่าอยู่นะพี่ พวกผมก็ไม่ได้เล่นกันบ่อยด้วย คงไปเล่นเอามันส์แหละพี่”ซึ่งก็เป็นแบบนี้ทุกปี และโดนแซวทุกปีด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะคู่อริอย่างสถาปัตย์ฯก็สนุกกันใหญ่ ไอ้ตรงนี้แหละที่มันเป็นสีสันของงาน ทำให้งานสนุกมากขึ้นและเป็นที่สนใจด้วย และทั้งสี่คณะก็ไม่ได้จะแข่งเอาเป็นเอาตาย ขึ้นชื่อว่ากีฬาสัมพันธ์ก็ต้องสมัครสมานท์สามัคคีกันอยู่แล้ว เป็น Group of death พวกเพื่อนๆผมมันแซวกันเอง

หลังจากคุยกับพี่ดีนได้สักพักเจ้าตัวก็เดินหายไปที่ตึกสถาปัตย์ฯฝั่งตรงข้าม ผมกลับไปเล่นบาสฯตามเดิม ก่อนจะไปสบทบกับพวกไอ้เชี่ยวที่กำลังแบ่งงานเรื่อง Street art ธีมหลักของงานปีนี้ ก็ดึงเอางานของศิลปินในแต่ละยุคมาประยุกต์ ส่วนมากจะกระจายงานไปตามชั้นปี ที่ต้องทำคือเพ้นท์รูปแบ็คกราวด์คล้ายๆ กราฟิตี้ตามผนัง แต่ก็จะมีพวกคัทเอ้าท์ใหญ่ๆเอาไว้โปรโมทงาน


   ในสัปดาห์ที่ผ่านมาเด็กๆคณะผมก็ซ้อมกีฬา ซ้อมสันทนาการกันอย่างคึกคัก ไม่ได้โดนกดดันจากพวกรุ่นพี่ อย่างที่บอกคณะเราแค่รวมสนุกกันเท่านั้น วันนี้เป็นวันที่ทีมบาสนัดมาซ้อมกันครั้งสุดท้าย เพราะอีกสองวันก็จะลงแข่ง แมทแรกต้องเจอกับคณะวิศวะฯ พวกผมกับรุ่นพี่ก็เลยคึกกันใหญ่
พรรคพวกของผม ไอ้ผิง ไอ้โก๋  มาถึงที่ลานคณะก่อนใคร มี6 ชื่อเฮียหมูกำลังชู๊ตลูกบาสฯเล่น พวกผมเอ่ยทักทายอีกฝ่ายอย่างเป็นกันเอง เฮียหมูพี่ปี 6 คนนี้ก็สายกิจกรรมของเอกผม เพราะจะเจอหน้าแกประจำเวลามีกิจกรรม หรือพิธีการของเอก ถือเป็นรุ่นใหญ่ที่แท้จริง เหนือเฮียแกนก็มีเฮียหมู
ไม่นานคนอื่นๆก็ทยอยกันมา แต่ผมปลกใจเมื่อเห็นเฮียก็มา ที่น่าแปลกกว่าคือพี่ดีนกับพี่ติก็มา แต่ไม่ได้คุยอะไรกันมาก
“ทีมเวิร์คเราจะเป็นยังไงวะ น่าสนุก”ไอ้โก๋กระซิบกับผมอย่างสนใจ ผมก็คิดแบบนั้นนะ ถ้าให้สองคนนั้นลงด้วยกันจะเป็นยังไง ไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้พวกเขาดีกันหรือยัง พี่ดีนส่งยิ้มก่อจะเดินมาหาผมท่าทางร่าเริง
“น่าสนุกนะว่าไหม”พี่ดีนยกแขนมากอดคอผมอย่างสนิทสนม ผมคิดว่าเจ้าตัวคงคิดตกแล้วล่ะ
“อือฮึ สงสัยจะมีตัวถ่วง”ผมแกล้งแซว พี่ดีนคิ้วขมวดก่อนจะส่งเสียงครางต่ำๆไม่เห็นด้วย
“ก็แค่เล่นกีฬา ไม่เห็นต้องคิดมาก”อีกฝ่ายไหวไหล่ เห็นเฮียแกนคุยกับเฮียหมู ไม่นานก็เรียกซ้อมหลังจากประกาศว่าใครจะเป็นตัวจริงและยืนตำแหน่งอะไร เฮียแกนเป็นเซ็นเตอร์ ส่วนผมเป็น SG ไอ้โก๋ SF รุ่นน้องปีหนึ่ง PG ปีสองเอกปั้นPF ส่วนพี่ดีนกับไอ้ผิงขอเป็นตัวสำรอง
  ระหว่างที่ซ้อมก็ไม่ได้มีเหตุการณ์น่ากลัวๆเกิดขึ้น ทางเฮียหมูเลยแบ่งทีมมาซ้อมกันเล่นๆ ทีมละ5คน พี่ดีนขอย้ายมาเล่นทีมผม แลกกับกับรุ่นน้องตำแหน่ง PG เฮียแกนมองอย่างกับเพชฌฆาตเพราะอยู่คนละทีมกับพี่ดีน การซ้อมไม่ได้มีการกระทบกระทั่งอะไรกัน มันคงน่าตลกถ้าจะมาหัวร้อนเพราะเหตุผลแค่ว่าไม่ชอบขี้หน้ากัน
หลังจากลองทีมกันไปแล้วผลออกมาคือทีมผมแพ้ แค่มีเฮียแกน เฮ้ยหมู ไหนไอ้โก๋อีก พวกนี้มันออกกำลังกายกันตลอด เจอแบบนี้ก็หอบแดกเลยสิ ผมเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะกลมก่อนจะดื่มน้ำด้วยความกระหาย พี่ดีนเดินมาหาท่าทางทะเล้นเหมือนจะมาล้อเลียนผม
 “อ่อนชิบ”พี่แกเหน็บแนม ก่อนจะนั่งลงข้างๆ ผมเหลือบไปมองหน้าอีกฝ่าย เพราะเจ้าตัวมาทำเป็นปาท่องโก๋กับผม ตามติดอย่างกับเป็นเจ้าของซะงั้น 
 พี่ดีนส่งยิ้มมาให้ ก่อนจะยกขวดน้ำมาดื่มบ้าง “คืนนี้แดกเหล้ากัน”พี่แกชวน
“หือ ใครไปบ้าง”ผมลองถามไปแบบนั้น พี่ดีนไหวไหล่ “ก็พวกเราไง ยังไงมึงก็จะไปสุ่มหัวกันที่ร้านไอ้ตั้มอยู่แล้วนี่หว่า เดี๋ยวกูเลี้ยงเอง อีกหน่อยก็ไม่ได้เจอแล้ว ต้องเลี้ยงส่งหน่อยสิวะ”พี่ดีนอธิบาย ผมมองอีกฝ่ายแล้วดูไม่มีท่าทางอันตรายอะไร เลยหันไปขอความเห็นจากไอ้ผิงบ้าง มันพยักหน้ามาให้
“ก็อย่างที่พี่แกบอกนั่นแหละ”ไอ้ผิงพูด
“ไปก็ไป”ผมบอก ต้องรายงานพี่ท็อปให้รู้ก่อน ผมหยิบโทรศัพท์ออกมาส่งไลน์ไปบอกพี่ท็อปว่าวันนี้ขอไปแจมกับเพื่อนร่วมสาขา แน่นอนว่ามีพี่ดีนติดสอยห้อยตามไปด้วย พี่ท็อปรับรู้ ไม่ได้ว่าอะไร แต่แค่บอกว่า
Ontop : ห้ามเมานะมึง เดี๋ยวกูไปรับ เลิกเมื่อไหร่ก็โทรหานะ’\
“ต้องรายงาน”พี่ดีนหัวเราะ ผมจิ๊ปากด้วยความเซ็ง
หลังจากที่ซ้อมกันพอหอมปากหอมคอกินเวลาไปสามชั่วโมง ตอนนี้ก็ดึกแล้ว สามทุ่มนิดๆ ทุกคนแยกย้ายกันกลับเหลือแต่พวกผมที่นัดกันจะไปดริ๊งต่อ “จะมากันกี่ทุ่ม”นี่ก็ดึกแล้วด้วย เดี๋ยวไม่มีโต๊ะ ไม่รู้ว่าพวกไอ้บีไอ้เชี่ยวจองโต๊ะทันหรือเปล่าเพราะช่วงนี้มันเป็นช่วงเลี้ยงพี่เลี้ยงน้องด้วย
“ใครอาบน้ำอาบท่าเสร็จก่อนก็ไปเลย ตัวใครตัวมัน”ไอ้โก๋บอก
“แล้วมึงไปกับใครหรือไอ้ท็อปไปส่ง”พี่ดีนถาม ขณะที่เดินมายังลานจอดรถ
“ไปกับไอ้โก๋ มึงมารับกูได้ไหมวะ”ผมถาม เพราะพี่ท็อปไม่ได้อยู่ห้องด้วย ไปหมกตัวอยู่ที่บ้านพี่อิฐเพื่อทำงาน ไอ้โก๋รีบตอบตกลง ถึงพี่ดีนจะเลิกคิดจีบผมแล้วก็เหอะ แต่ปลอดภัยไว้ดีกว่า พี่ดีนขำเบาๆ
“ยังคิดมากเรื่องกูอีกเหรอ ...ไว้เจอกันที่ร้านแล้วกัน”พี่ดีนโบกมือลาก่อนจะเดินไปที่รถแจ๊สสีส้มที่เจ้าตัวขับมา ไอ้โก๋เกาจมูกมองตาม
“พี่แกมาดีนะ สงสัยเลิกบ้าได้แล้วมั้ง”มันว่า ผมก็เห็นด้วย กลับมาทำตัวปกติได้ก็ดีต่อตัวพี่เขาเองนั่นแหละ ผมกลับหอพัก รีบอาบน้ำแต่งตัวมารอไอ้โก๋ที่ด้านหน้าหอพัก  พี่ท็อปโทรมาพอดี
“ครับพี่”ผมรับสาย
[จะไปหรือยัง]
“ออกมา รอไอ้โก๋น่ะพี่”ผมบอก เจ้าตัวส่งเสียงตอบ
[อย่าเมาล่ะ ผสมโซดาพอ ไม่ต้องไปพิเรณท์เหมือนเพื่อนมึง] พี่ท็อปพูดเสียงดุนิดๆ ผมหัวเราะออกมา
“ครับ ไม่เมาหรอก รุ่นพี่ผมหลายคนก็ไปนะ เหมือนช่วงนี้มีโปรไง พี่ปีสี่เลี้ยง”ผมบอก
[อืม ถ้ายังไง คืนนี้จะกลับไปนอนด้วยนะเว้ย] พี่ท็อปบอก นอนนี่ในความหายไหนวะ ผมแอบคิด
“ดีเลย จะได้ไม่เหงา”
[หึหึ ตลอดนะมึง เออ แค่นี้แหละ] หลังจากที่วางสายจากพี่ท็อปได้ไม่นาน ไอ้โก๋ก็ขี่รถมารับผมพอดี นี่ก็เกือบสี่ทุ่มแล้ว โชคดีที่เป็นร้านคนรู้จักจะเกินเวลาก็ยังได้
“นึกครึ้มอะไรวะ มาแดกเหล้ากับพวกพี่ตั้มจนได้”
“พี่นพก็มาเรี่ยราดตามแถวนั้นเหมือนกันนี่ ก็กะว่าจะไปหาซะหน่อย”ผมบอกมัน ไอ้โก๋หัวเราะ อันที่จริงเพราะพี่ดีนนั่นแหละ ก็ถือว่าดื่มอวยพรให้พี่แกเท่านั้นเอง
“เออ ทำไมไม่ชวนเฮียแกนมาเลยล่ะวะ จะได้ครบ”ไอ้โก๋พูดมาจากด้านหน้า ผมส่ายหน้า งานกร่อยน่าดูล่ะพี่น้อง ระหว่างทางผมกับไอ้โก๋ก็เงียบไปจนถึงร้านพี่ตั้ม เห็นโซนด้านนอกคนเยอะพอตัว ผมไม่ชอบอัดอยู่ด้านในเลยจริงๆ
ผมเห็นพี่ดีนกับไอ้ผิงยืนรอผมอยู่ที่ทางเข้า
“ช้าว่ะ พวกไอ้เชี่ยวแม่งจัดไปก่อนล่ะ”พี่ดีนบ่น พวกผมเลยเดินเข้าไปด้านใน เสียงวงดนตรีสดร้องเพลงดังประจำร้าน ผมเดินไปนั่งข้างๆไอ้ผิง พี่ดีนขยับมานั่งใกล้กับผม
“มึงกินอะไร”อกีฝ่ายถาม ระหว่างที่เด็กเสิร์ฟมาเคลียร์โต๊ะให้
“เบียร์ก็พอ”ผมบอก เซฟตัวเองที่สุดแล้ว พี่ดีนเลยสั่งเบียร์ให้ผม บริการดีไปอีก ไอ้ผิงกับไอ้โก๋สั่งเหล้า โซดามาเต็มที่กะว่าจะเมาให้เต็มที่ พี่ตั้มกับพวกพี่สายรหัสของผมเดินมาหาที่โต๊ะ เอ่ยทักทายกันอย่างสนิทสนม พี่นพ พี่รหัสของผมก็เข้ามาทักตามกันปกติ แน่นอนว่าไม่มาทักอย่างเดียว ยื่นแก้วใบเล็กพร้อมน้ำใสๆที่ไม่ใสอย่างที่เห็น ผมก็ขัดไม่ได้ด้วยเลยจำใจยกหมดแก้ว เผาคอสุดๆ จากนั้นก็กลับกันไปที่โต๊ะตัวเอง
“เออ จะอยู่จนร้านปิดก็ได้นะ”พี่ตั้มบอกพวกผม ก่อนจะหันมาพูดกับพี่ดีน “เออ ดีน กูขอคุยอะไรด้วยหน่อย”ผมเหลือบมองสีหน้าของพี่ดีนที่ดูแปลกใจมากแต่ก็ไม่ได้ขัด ลุกเดินตามพี่ตั้มไปที่หลังร้าน ผมเลิกสนใจอีกฝ่ายก่อนจะหยิบแก้วเบียร์มาดื่มช้าๆ ไอ้โก๋ขยับตัวมาหาเพื่อคุย
“เออ มึงได้ยินเรื่องพี่ยิมหรือเปล่าวะ”มันกระซิบกระซาบเพราะไอ้ผิงนั่งอยู่ถัดไปจากมัน แต่ไอ้โก๋ใช้วิชามารหลอกล่อไอ้ไอ้ผิงดื่มไปหลายแก้วแล้วถึงมานั่งนินทาเพื่อนได้ ผมเองก็ไม่ได้ไปก้าวก่ายอะไรมันสองคนนะ ไอ้ผิงไม่ค่อยอยากพุดถึงยิมเท่าไหร่ ผมเองก็พอจะรู้มาบ้าง มันคงไม่อยากมาปรึกษาเรื่องยิมกับผม เพราะยิมมันเคยชอบผม มันแปลกเกินไปนะ
“อืม ทำไมเหรอ”ผมถามกลับ รู้สึกสนใจขึ้นมานิดหน่อย
“ได้ข่าวว่ามันจะไปเที่ยวด้วยกัน เกาลูน ฮ่องกงมั้ง”ไอ้โก๋พูดอย่างรู้ดี ยิมนี่ทำแปลกใจจริงๆมันดูจริงจังกับไอ้ผิงมากๆ ผมก็ไม่รู้หรอกนะว่าไอ้ผิงรู้สึกเท่าที่ยิมรู้สึกไหม แต่พอมองหน้าไอ้ผิงแล้วก็มีคำตอบ มันคงกั๊กความรู้สึกแบบที่มันชอบทำ ผมเห็นแบบนี้ประจำเวลาไอ้ผิงมันคิดจะคบกับใครสักคน ชอบถอยออกมาในเวลาที่ควรไปต่อ
“จริงดิ ก็ดีนี่”ผมพูด เหลือบมองไอ้ผิงที่กำลังยกแก้วเหล้าขึ้นมาดื่ม ข้างๆมันมีไอ้เชี่ยวมาคุยด้วย
“กูไม่รู้หรอกนะว่ามันเกิดเพี้ยนอะไรขึ้นมา อยู่ๆก็มาพูดกับกูว่ารู้สึกปอดแหกขึ้นมา มึงเข้าใจมันไหมวะ”ไอ้โก๋ถามผม ทำอย่างกับว่าผมเป็นหูดของไอ้ผิง ที่ต้องรู้ไปซะทุกอย่าง
“จะไปรู้มันเหรอ มึงก็น่าจะเคยเห็นไอ้ลักษณะนี้ของมันเวลาคุยกับใครนี่หว่า สุดท้ายเป็นยังไง แม่งก็เป็นเพื่อนกันไป โคตรตลก”ผมส่ายหน้า ไม่อยากวิจารณ์มันหรอก แต่บางครั้งผมก็ออกจะไม่ชอบที่มันไม่เต็มร้อยแบบกั๊กความสัมพันธ์อะไรแบบนั้น ผมกับมันเลยต่างกันตรงนี้ ถ้าผมชอบจนมั่นใจว่าไม่เปลี่ยนใจแล้วล่ะก็ ผมก็พุ่งเข้าใส่เลยล่ะ ชอบก็คือชอบ ไม่อยากเสียเวลา ไอ้โก๋พยักหน้าเห็นด้วย
“อือ เห็นมันมาบ่นๆว่ารู้สึกไม่อยากไปฮ่องกงขึ้นมาไง กูเลยแปลกใจมันก็เห็นก่อนหน้านั้นสนิทกันดีนี่หว่า”
คงเป็นช่วงโปรโมชั่นสินะ แบบว่ากำลังอินเลิฟ เหมือนว่าไอ้ผิงอินกับอะไรใหม่ๆมันก็จะอินยาว ใช้เวลาสักพักก็กลับมาเป็นปกติ แต่ครั้งนี้มันเป็นเรื่องความรู้สึกของคนจะไปยึกยักเดี๋ยวถอยเดี๋ยวนำหน้าไม่ได้หรอก เดี๋ยวยิมก็เศร้าตายเลย แต่ก็เข้าใจไอ้ผิงเพื่อนผมล่ะ มันเป็นผู้ชายไลฟ์สไตล์แตกต่างกันสุดๆ มันชอบทำอะไรที่คาดไม่ถึง และเป็นคนมีแบบแผน ตั้งแต่เข้าเรียนมา มันก็จะฝึกฝีมือตลอดส่งงานเข้าประกวดเก็บประสบการณ์ไว้เยอะๆ ซึ่งเป็นเรื่องดี แต่เรื่องความรักก็นั่นแหละ อย่างที่เห็น
“ไม่เห็นมันมาเล่าอะไรให้กูฟังบ้างเลย นี่กูยังไม่เคยได้ยินจากปากมันเลยว่ากำลังคุยกับยิมน่ะ”ผมยกแก้วเบียร์มาดื่มจนเหลือครึ่งแก้ว
“กูว่ามึงเข้าใจมันนะ”ไอ้โก๋พูด มองผมยิ้มๆ นั่นสิ เข้าใจมันและพร้อมจะเข้าข้างมันด้วย
“ฮื่อ มันคิดได้เดี๋ยวก็วิ่งมาหากูเองนั่นแหละ”ผมบอกอย่างไม่สนใจอะไรมาก เชื่อเถอะ ถ้าทนไม่ไหวจริงๆมันต้องมาหาผมแน่ๆ เพราะยิ่งถ้าช่วงยิมไปฝึกงานแล้วใครจะไปคุยกับมันนอกจากผม
ไอ้โก๋เลิกพูดเรื่องไอ้ผิงก่อนจะชงเหล้าให้ผม เมื่อเห็นว่าเบียร์ผมจะหมดแก้วแล้ว มันหันไปคุยกับไอ้ผิงต่อตามปกติ มันมองหน้าผมแวบนึงแล้วหันไปสนใจแก้วเหล้ามันต่อ เพื่อนเวร
พี่ดีนกลับมาที่โต๊ะ ท่าทางอารมณ์ไม่ดีเท่าไหร่ ผมเลยไม่แซวปล่อยให้อีกฝ่ายนั่งดื่มเหล้าย้อมใจไปคนเดียวเงียบๆ
“กูควรจะทำยังไงดีวะ”เจ้าตัวพึมพำ ไม่รู้ว่าพูดกับผมหรือตัวเองกันแน่
“เมาแล้วเหรอพี่”ผมถาม
“เปล่าหรอก แค่นี้เอง”เจ้าตัวโบกมือ
คืนนั้นแก๊งผมก็เมาเละไปตามๆกัน ยิ่งพี่ดีนนี่ต้องแบกไปนอนที่หลังร้านพี่ตั้ม ดีนะที่พี่แกจะดูแลให้ ผมเลยเบาใจเพราะไม่ต้องกังวลเรื่องเพื่อนๆ ที่กลับได้ก็มีไอ้โก๋ ส่วนไอ้ผิงก็ต้องซ้อนท้ายไอ้โก๋กลับตามเคย ผมรอพี่ท็อปมารับที่หน้าร้าน ดึกมากแล้ว เที่ยงคืนครึ่งเห็นจะได้ คนก็เริ่มซาๆกัน ร้านใกล้เคียงก็เริ่มเก็บโต๊ะกัน รอไม่นานพี่ท็อปก็มารับผม เจ้าตัวยิ้ม
“ไม่เมาจริงๆด้วย”อีกฝ่ายพูด แล้วยื่นหมวกกันน็อคให้ผม
“สัญญาแล้วนี่ครับ”ผมบอกขึ้นไปซ้อนท้ายมอเตอร์ไซด์


ผมกับพี่ท็อปก็เลยแวะไปหาอะไรทานก่อนนอนเลยแวะร้านข้าวไข่เจียว สั่งต้มยำมาหนึ่งถ้วยแก้กระหาย นานๆทีจะมีเวลาออกมานั่งกินข้าวมื้อดึกแบบนี้ ผ่านไปครึ่งชั่วโมงเราสองคนก็กลับมาที่หอพักของผม พี่ท็อปบอกว่าจะมานอนกับผม เจ้าตัวแค่ล้างหน้าก่อนนอนเท่านั้น เพราะก่อนออกมารับผมก็อาบน้ำไปแล้ว ผมใช้เวลาอาบน้ำนานกว่าปกติเพราะมีกลิ่นเหล้ากลิ่นบุหรี่ติดมาเลยสระผมไปด้วยเลย เมื่อเดินออกมาจากห้องน้ำก็เห็นพี่ท็อปนั่งอยู่บนเตียง


“ยังไม่ง่วงเหรอครับ”ผมถาม ก่อนจะเดินไปที่ตู้เสื้อผ้า เจ้าตัวส่ายหน้า ผมหยิบกางเกงบ็อกเซอร์มาสวม ใส่เสื้อแขนกุดสีเทา ก่อนจะเอาผ้าขนหนูไปตาก
“มา กูเช็ดผมให้”พี่ท็อปเรียก ผมมองอย่างแปลกใจ ก่อนจะเดินไปหา อีกฝ่ายถือผ้าขนหนูผืนเล็ก เปลือกตาเริ่มล้าๆเลยเดินไปนั่งบนพื้นเอนหลังพิงขาพี่ท็อป เจ้าตัวนั่งอยู่บนเตียงค่อยๆเช็ดผมให้
“ง่วงแล้วเหรอ”พี่ท็อปหัวเราะเบาๆ
“อือ ง่วงแฮะ”ผมบอก ปล่อยให้พี่ท็อปวุ่นวายเช็ดผมต่อไป เจ้าตัวโอบรอบลำคอของผมก่อนจะดึงไปใกล้ๆจนหลังติดกับเตียง พี่ท็อปโน้มหน้าลงมามองด้วยรอยยิ้มเอ็นดูเหมือนมองเด็ก
“มีอะไรหรอครับ”ผมถาม
“เปล่าหรอก แค่คิดว่ากูไม่ค่อยดูแลมึงเลย”พี่ท็อปพูด ทำให้ผมยิ้มออกมา ก่อนจะลืมตาพบว่าใบหน้าของอีกฝ่ายอยู่ไม่ห่างนัก
“คิดมากทำไม มีเวลาให้ดูแลอีกตั้งเยอะ”ผมบอก เอื้อมมือไปจับหน้าพี่ท็อปเบาๆ
“อืม กูแค่ฟุ้งซ่านน่ะ”เจ้าตัวดึงให้ผมลุกมานั่งบนเตียงแทนก่อนจะโยนผ้าเช็ดตัวลงตะกร้าหน้าห้องน้ำอย่างแม่นยำ ผมคลานไปนอนฝั่งติดผนังห้อง พี่ท็อปลุกไปปิดไฟ ไม่ลืมเปิดโคมไฟไว้แทน จากนั้นเจ้าตัวก็เข้ามานอนข้างผม
ร่างกายเริ่มเข้าสู่โหมดชัทดาวน์ ผมเริ่มผล็อยหลับ อีกฝ่ายแค่ขยับมานอนใกล้ๆผมก่อนจะหลับไปแค่นั้น

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-01-2018 17:51:35 โดย RindadaRin »

ออฟไลน์ รินดาwดาริน

  • OnTop&N'Song
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +243/-2
พอเช้าวันรุ่งขึ้น พี่ท็อปปลุกผมด้วยกลิ่นหอมของต้มเลือดกับข้าวเปล่า เจ้าตัวว่าอยากดูแลเพราะต่อไปจะไม่ค่อยว่างมาเอาใจแบบนี้แล้ว ผมไม่ได้ว่าอะไร แต่เดาได้จากเมื่อคืนที่เซอร์วิสผมดีกว่าปกติ ผมกับพี่ท็อปนั่งกินมื้อเช้าด้วยกันก่อนที่ผมจะไปส่งพี่ท็อปที่คณะ ไม่ได้แวะไปทักทายพวกพี่ธาม แต่ต้องกลับไปที่คณะเพื่อเข้าไปเล็คเชอร์วิชาเอก
จนกระทั่งถึงวันแข่งกีฬา 4 สัมพันธ์ คณะศิลปกรรมฯกับคณะวิศวะกรรมฯ แค่กองเชียร์ก็เหมือนจะแตกต่างกัน แต่บรรยากาศออกมาสนุกสนานคึกคัก แค่สันทนาการของพวกผมออกมาก็ได้รับความสนใจจากเด็กๆคณะอื่นได้อยู่
เกมส์การแข่งขันออกมาสูสี เพราะมีเฮียแกน ไอ้โก๋ กับเฮียหมูอยู่ในทีม พวกนี้วิ่งเร็วและแข็งแรง พี่ดีนไม่ได้ช่วยอะไรทีมมากมาย ตอนถูกเปลี่ยนตัวเข้ามาก็ดูเหมือนไม่มีสมาธิเท่าไหร่ ไม่รู้ทำไม จนจบควอเตอร์ที่สามต้องเปลี่ยนออก จนจบเกมส์การแข่งขัน ถึงคณะผมจะแพ้แต่โดยรวมแล้วเกมส์เชียร์กันสนุกสนาน ไม่ได้จริงจังมากนัก
ผมเหนื่อย เดินไปนั่งพักเหงื่อเต็มตัว ผลของการไม่ออกกำลังกายก็แบบนี้แหละ ผมรับน้ำมาจากไอ้ผิงก่อนจะดื่ม มันได้ลงเล่นควอเตอร์สุดท้ายพอดี มันมองหน้าผมเหมือนอยากจะพูดอะไรด้วย
“มีอะไร”ผมถาม
“อยากปรึกษาอะไรด้วยหน่อย”ไอ้ผิงพูด
“อืม ได้สิ นัดมาสิว่าวันไหน”ผมบอกมัน ไอ้ผิงพยักหน้ารับรู้ก่อนจะมานั่งข้างๆผม มันถอนหายใจเซ็งๆ
“เออ ช่วงเปิดเทอมสอง เดี๋ยวนัดอีกที”
“อีกตั้งหลายสัปดาห์แหนะ ทำไมวะ”
“ก็อยากคิดอะไรก่อนน่ะ”มันไหวไหล่ ผมไม่ได้คาดคั้นอะไร
“จะไปเที่ยวกับมันก่อนหรือไง”ผมอดไม่ได้ที่จะพูด ไอ้ผิงหันมามองผม
“รู้อีกแหนะ ก็ทำนองนั้นแหละ”ไอ้ผิงยกน้ำมาดื่ม ดูท่ามันมีเรื่องให้คิดเยอะแยะ
ผมกับพรรคพวกกลับไปพักที่คณะ รู้สึกเมื่อปวดขาขึ้นมานิดหน่อย เลยไปนั่งกินเค้กที่ร้านพี่แยมข้างคณะแทน ได้ของหวานๆก็รู้สึกดีขึ้นมาหน่อย ผมหยิบโทรศัพท์ออกมาเช็คไลน์กลุ่ม กับเฟซบุ๊คอย่างคนไม่มีอะไรทำ
ตั้งแต่วันนั้นพี่ดีนไม่ได้มาวุ่นวายอะไรกับผมอีก ที่ผมเห็นคือความหงุดหงิดของเจ้าตัวมากกว่า ผมเลิกสนใจเรื่องของคนอื่น เห็นว่าใกล้ๆกับมหา’ลัยมีร้านเหล้าสไตล์ผับเปิดใหม่ เหมือนมีโปรโมชั่น เห็นเพื่อนคนนึงมันแชร์เข้ามาในกลุ่มของรุ่น ก็น่าไปลองเหมือนกัน
มีสายเข้าจากพี่ท็อป ผมดูเวลาตอนนี้บ่ายสองโมง อีกฝ่ายคงทำงานเสร็จแล้วล่ะมั้ง ไม่ได้มาดูผมเล่นบาสฯด้วย
[ว่างหรือยัง เดี๋ยวซักบ่ายสามกูไปรับที่คณะนะ]
“งั้นเหรอ โอเคแล้วจะรอครับ”ผมตอบกลับ
[วันนี้ไม่ได้ไปดูเลย คงไม่งอนนะ]
“ไม่หรอก ไร้สาระน่า”ผมบอก
[อือ แล้วเจอบ่ายสามนะ ห้ามเลทนะ] พี่ท็อปกำชับ ผมรับปาก เพราะว่างอยู่แล้ว วางสายจากพี่ท็อป ผมก็เดินเอื่อยเฉื่อยกลับเข้าห้องเพ้นท์ต่อ เจอไอ้โก๋นอนหลับอยู่ด้านหลังบอร์ด ส่วนไอ้ผิงหายแซดไปเลย
...
เวลาบ่ายสามเป๊ะผมออกไปรอพี่ท็อปที่หน้าคณะ อีกฝ่ายขับรถรถเก๋งสีขาวมาจอดที่เบื้องหน้า เจ้าตัวลดกระจกลง ก่อนจะยักคิ้วทำเป็นเท่ห์มาให้
“ไง เดี๋ยวพาไปเปลี่ยนบรรยากาศ”พี่ท็อปหัวเราะเสียงใส ก่อนจะปลดล็อกประตูให้ผมจากด้านใน ผมเลยต้องเดินเข้าไปนั่งอย่างประหลาดใจสุดๆ รถของใครกันนะ ผมปิดประตูรถ มองคนขับด้วยสายตามีคำถาม
“หืม รถคันนี้ของเพื่อนกู ยืมมาใช้ก่อน”พี่ท็อปบอกก่อนจะขับรถออกไปอย่างนิ่มนวล ผมเหลียวมองอีกฝ่ายพลางคิดว่าจะพาผมไปไหน
“จะพาผมไปไหนเหรอครับ”ผมถาม
“อืม ก็กะจะพาเด็กไปนวดซะหน่อย เพิ่งเล่นกีฬามาไม่ใช่เหรอ คลายกล้ามเนื้อหน่อย”พี่ท็อปบอก หันหน้ามาส่งรอยยิ้มมุมปากมาให้ ผมไหวไหล่มองอีกฝ่ายอยู่นานก่อนจะหันไปสนใจที่นอกรถแทน
“ใจดีจริงๆช่วงนี้”ผมยิ้ม ให้ผมเดาพี่ท็อปคงอารมณ์ดีมากกว่า เลยพาผมไปเที่ยว แถมยืมรถหรูจากเพื่อนมา กำลังสงสัยว่าพาผมไปที่ไหนกันแน่ อีกฝ่ายไม่ได้ขับเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด เจ้าตัวอารมณ์ดีฮัมเพลงไปด้วย นิ้วมือเคาะกับพวกมาลัยรถ ผมเห็นแหวนไม้ที่ผมให้ยังอยู่ดีอยู่บนนิ้วของเจ้าตัว ออกจะซีดลงไปบ้าง ตั้งใจว่าจะเอาไปขัดสีเพิ่ม ผมเปลี่ยนไปมองเสี้ยวหน้าของอีกฝ่ายแทน
“อารมณ์ดีนะครับ”ผมยิ้ม พี่ท็อปเหลียวหน้ามามอง เมื่อติดสัญญาณไฟ เจ้าตัวเอื้อมมาจับศีรษะผมเหมือนจะลูบ ผมขมวดคิ้วมองด้วยความงุนงง ทำอีกฝ่ายมาทำอ่อนโยนแปลกๆ
   “ทำไม แปลกใจล่ะสิ...ก็อยากเอาใจแฟนไง ช่วงนี้น้องก็เหนื่อยๆใช่ไหมล่ะ พี่ก็ล้าๆเหมือนกัน เพื่อนมันเลยแนะนำโฮมสปาให้น่ะ แบบว่านวดคลายเมื่อย”พี่ท็อปยอมเปิดปากบอก นวดน่ะเหรอ พี่ท็อปดูจะชอบการนวดนะ ผมไม่ได้คิดลึกอะไร เมื่อไฟเขียว พี่ท็อปก็ขับไปไม่ถึง2กิโลฯ ก็ถึงโฮมสปาบรรยากาศผ่อนคลายสไตล์คลาสสิก ไทยโอเรียนทอล พี่ท็อปจองห้องนวดอโรม่าแบบส่วนตัว มีสองเตียง พนักงานก็สุภาพดี
   “มึงคงไม่ตื่นกับการนวดหรอกนะ”เจ้าตัวเข้ามากระซิบกับผม ‘ตื่น’ของพี่ท็อปหมายความว่ายังไง ผมยิ้มขำ
“ไม่หรอกน่า ไม่ใช่มือพี่ก็ไม่—”ไม่ทันได้พูดจบพี่ท็อปก็ยื่นมือมาบิดหูผม ผมเอี้ยวตัวหลบก่อนจะไปเอาของไปเก็บในล็อกเกอร์ เปลี่ยนเป็นชุดคลุม ก่อนจะนวดต้องไปล้างเนื้อล้างตัวก่อน ผมกับพี่ท็อปเลยต้องแยกห้องกันอาบ ด้านในห้องน้ำมีอ่างสี่เหลี่ยมลวดลายเหมือนหินเล็กๆ บรรยากาศโทนสว่างชวนให้ผ่อนคลาย ผมลงไปแช่ตัวในย้ำที่กลีบดอกไม้โรยอยู่เต็ม มีกลิ่นหอมอ่อนๆของดอกไม้ชนิดหนึ่งไม่แน่ใจว่า ใช่ยูคาลิปตัสหรือเปล่า ผมอาบน้ำให้สะอาดแล้วออกมาที่ห้องนวด
   พี่ท็อปเดินออกมาสมทบกับผมหลังจากนั้นไม่นาน “เห็นว่ามึงก็คงปวดเนื้อปวดตัว เลยพามาไง”พี่ท็อปยิ้ม บุ้ยใบ้ให้ผมไปนอนที่เตียงริมผนัง จากนั้นก็มีพนักงานหญิงมานวดให้ แอบมองพี่ท็อปที่ล้มตัวลงไปนอนคว่ำเรียบร้อย ท่าทางดูผ่อนคลาย อาจเพราะโทนแสงไฟ เสียงเพลงที่เปิดคลอเบาๆช่วยให้ประสาทการรับรู้ผ่อนคลายลง ผมก็ทำเป็นหน้าหนาลืมอายพนักงานสองสาวไป
“ไม่ต้องอายค่ะ เดี๋ยวก็ชิน”เธอพูดเหมือนจะดูออกว่าผมอาย ผมเลยนอนลงกับเตียงปล่อยให้พนักงานนวดลงน้ำมัน กลิ่นลาเวนเดอร์อ่อนๆถูกหยดตามแผ่นหลัง ยังดีที่พนักงานชวนคุย ส่วนมากจะพูดถึงประโยชน์ของอโรม่ากลิ่นลาเวนเดอร์ให้ฟัง ผมก็เคลิ้มๆไปด้วย การนวดมันก็ดีนะช่วยให้ผ่อนคลายความเครียด สงบและเริ่มง่วงขึ้นมานิดหน่อย ผมเหลือบไปมองอีกเตียงข้างๆ พี่ท็อปหลับไปแล้ว ท่าทางดูสบายดี จากนั้นก็เปลี่ยนมานวดด้านหน้า น้ำหนักมือของคนนวดก็กำลังดี ตอนแรกก็ไม่ชินเท่าไหร่หรอก นึกภาพตามให้มานวดๆที่ตัว แต่ก็ยังดีที่ผมไม่ได้มีจิตนาการล้ำลึกพวกนั้น
ผ่านไปเกือบๆ 40 นาที ผมกับพี่ท็อปก็ออกมาแช่ตัวต่อไม่นานนักเหมือนได้เกิดใหม่เลยแฮะ สบายตัวขึ้นเยอะ สมองปรอดโปร่ง พี่ท็อปชวนผมไปนั่งเล่นพักผ่อนที่อีกโซนหนึ่ง มีโซนนั่งเล่น บรรยากาศร่มรื่น มีเก้าอี้ไม้ตัวยาวกับผืนหญ้าที่พอเท้าสัมผัสไปแล้วก็เย็นสบาย มีน้ำชามาเสิร์ฟบริการที่โต๊ะ
“เป็นยังไงบ้าง”พี่ท็อปเอ่ยถาม ผมยิ้มบางๆ “สบายกว่าเดิมตั้งเยอะ ลดอาการปวดเมื่อยได้ดีจริงๆเลย”ผมบอก ก่อนจะยกชาคาโมมายมาจิบ
“อืม ลองศึกษาแล้วมาดให้พี่ดีไหม”เจ้าตัวเริ่มหาทางกล่อมผมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ผมมองแววตาประกายสีดำคู่นั้นอย่างรู้ทัน อโรม่ามีหลายกลิ่น แน่นอนว่ามีกลิ่นที่กระตุ้นอารมณ์อยู่
“หึหึ พี่อาจหลังเดาะได้นะ”ผมหัวเราะ
“ไม่ลองไม่รู้น่า”พี่ท็อปจ้องตาผมเหมือนจะสะกดจิต ผมเองก็คิดว่ามันน่าสนใจดีนั่นแหละ ก็จะศึกษาไว้ใช้ เผื่อวันไหนที่อยากงัดไม้เด็ดมาใช้ก็จัดการนวดให้ซะเลย กำไรเน้นๆ ผมกับพี่ท็อปนั่งเล่นพักผ่อนจนเต็มที่ ล่วงเลยเวลามาจนถึงเวลา 18:00 น. ส่วนมากใช้เวลาไปกับการนอนซะมากกว่า พี่ท็อปไปเช็คบิล ออกเงินกันคนละครึ่ง ถึงแม้ว่าเจ้าตัวจะใจป๋าจะจ่ายเอง
“มีงานต้องทำที่คณะหรือเปล่า”พี่ท็อปเอ่ยถามขณะขับรถกลับเข้าไปทางคลองชลฯหลังมหา’ลัย
“ก็มีไปเคลียร์งานนิดหน่อย แล้วพี่ล่ะ”
“เหมือนกัน ต้องแวะไปหาไอ้ธามที่หอสมุด มันจองห้องติวเอาไว้”พี่ท็อปบอก ผมพยักหน้ารับรู้ รถเก๋งสีขาวขับเข้ามาจอดที่หน้าคณะ ก่อนจะลงจากรถ ผมเอื้อมไปจับมือข้างซ้ายพี่ท็อปมาดู ตั้งใจว่าจะพูดตั้งนานแล้ว ผมมองแหวนไม้ที่เกลี้ยงเกลาอยู่บนนิ้วนางของอีกฝ่าย
“มันเริ่มซีดล่ะ ผมว่าจะเอาไปขัดอีกรอบ ว่าจะสลักชื่อผมลงไปด้วยดีกว่า”ผมบอก เพราะแหวนที่เราใส่คนละวงมีแค่ชื่อของอีกฝ่ายเท่านั้น พี่ท็อปหันมามองผมด้วยสายตาปลื้มปริ่ม ท่าทางพอใจ
“ได้เลย กูใส่ซะจนชินไปแล้ว”พี่ท็อปพูด ก่อนจะกระชับมือให้แน่น ผมยิ้มกว้างอย่างอดไม่ได้ เจ้าตัวถอดแหวนออกก่อนจะยื่นให้ผม
“จะได้เป็นชื่อคู่ไง”ผมบอกอย่างอารมณ์ดี พี่ท็อปยื่นมือมาผลักผมเบาๆ
“ไหนว่ามีงานไง ลงไปสิ”เห็นว่าพี่ท็อปกลั้นรอยยิ้ม ลักษณะนี้ท่าทางจะเขินนะ
“ครับๆ ไปก็ได้”ผมหัวเราะในลำคออย่างสุขใจ ก่อนจะลงจากรถแล้วปิดประตูเบาๆ ค่อยๆมองรถคันหรูเคลื่อนออกไปช้าๆ ผมโบกมือทิ้งท้าย ก่อนจะแวะไปสั่งอเมริกาโน่สามแก้ว เอาไปไอ้ผิงกับไอ้โก๋ ผมกลับมาทำงานที่ห้องเพ้นท์ต่อ เจอพวกเพื่อนหน้าเดิมตามปกติ
“เอามาฝาก”ผมวางแก้วอเมริกาโน่บนโต๊ะไอ้ผิงกับไอ้โก๋ มันยิ้มกว้างเพราะของฟรี ผมนั่งลงที่โต๊ะตัวเอง ไอ้ผิงสไลด์เก้าอี้มาหา
“สวีทจังนะ”มันแอบแซะ ขณะที่ผมหยิบถาดสีกับพู่กันออกมาล้าง ก่อนจะมองหน้าไอ้ผิงยิ้มๆ
“มึงก็เอาอย่างกูบ้างสิ ต้นรักจะได้งอกงาม”ผมหัวเราะ มันทำหน้าง้ำงอ ไม่ได้พูดอะไร
“มึงกับพี่ท็อปสนิทกันจะตาย จะทำอะไรก็คงไม่อายกันหรอกมั้ง”มันพึมพำ ผมส่ายหน้า ก่อนจะเริ่มทำงานวิชาจิตรกรรมสร้างสรรค์ ส่วนใหญ่ผมใช้สีน้ำมัน ไม่ได้อุปกรณ์พวกเกรียง พวกพ่นสีอะไรเทือกนั้นไม่ใช่งานถนัด
“เฮ้อ ตามใจมึง มึงไม่เคยบอกอะไรกูอยู่แล้วนี่”ผมแอบเหน็บมันไปดอกนึง ไอ้ผิงทำตาโต
“ไม่ใช่น่า มึงก็รู้ดี”มันว่า ก่อนจะยื่นมือมาตบไหล่ผมราวกับว่ากลัวผมคิดมาก ผมหัวเราะนิดหน่อย แค่แอบแซวมันไปแค่นั้น ไม่คิดว่ามันจะมาจริงจังว่าผมจะน้อยใจมันหรอก ผมก็แค่ตามเผือกทีหลังสนุกกว่าอีก ไอ้ผิงไม่มาวุ่นวายกับผมอีก คงกลัวผมล้วงความลับมันน่ะสิ ในห้องเพ้นท์มีเสียงพูดคุยกันปกติ ส่วนมากแค่แก้เหงาเพราะต่างคนต่างทำงานปากมันก็เหงาเป็นปกติ ผมลงสีจนเสร็จเรียบร้อย รอส่งงานพรุ่งนี้เช้า เหลือแค่วิชา คอมฯออกแบบ ยังไม่ได้แม้แต่ร่างภาพเลย   
   ผมยืมอุปกรณ์แกะสลักไม้ของไอ้โก๋ เพื่อเอามาแกะชื่อผมกับพี่ท็อปลงแหวนสองวงนั้น ใช้เวลาไม่นานมากนัก จากนั้นก็เอาไปขัดสีให้เข้มกว่าเนื้อไม้สีเดิม จะได้ไม่ซีดเร็ว
“เห็นมึงทำแหวน กูเลยเอากล่องมาให้”ไอ้เชี่ยวเดินถือกล่องไม้มะค่ามาให้ผม มาแปลกแฮะ ผมเอ่ยปากขอบใจมัน “งานเสร็จแล้วเหรอวะ”ผมถามมัน
“อือ นี่กูเพิ่งเริ่มทำงาน”มันบอก ผมหยิบกล่องแหวนมาดู เปิดกล่องออก ผมแปลกใจที่เห็นด้านในฝามีผ้ากำมะหยี่สีขาวปักชื่อผมกับพี่ท็อป ผมเงยหน้ามองไอ้เชี่ยว มึนนึกใจดีอะไรขึ้นมานะ
“มาแปลกนะมึง”ผมพูด
“หุ้ ทำมางง กูก็แค่เอาของเหลือมาให้ไง ก็เห็นว่ายังรักกันดี ก็เลยทำให้ เออ อีกอย่างที่หลังมอมีร้านเหล้ามาเปิดใหม่ ว่างๆพวกเราลองไปนั่งดีไหมวะ”ไอ้เชี่ยวพูดชวน นี่หรือเปล่าค่าตอบแทน ผมยิ้มไม่ปฏิเสธ
“อืม เอาสิ จะไปวันไหนก็นัดกันมานะ เออยังไงก็ขอบใจนะเว้ย เหมาเจาะพอดี”ผมบอกไอ้เชี่ยว มันไหวไหล่ ก่อนจะเดินไปล้างพู่กันที่อ้างล้างมือต่อ ดีเลยกะว่าจะเอาไปคืนพี่ท็อปได้กล่องแถมมาด้วย
ผมเอาแหวนของพี่ท็อปเก็บไว้ในกล่อง เสียดายที่เก็บได้แค่วงเดียว ผมเก็บของใส่กระเป๋า มองดูนาฬิกาที่สร้อยคู่ใจ หนึ่งทุ่มครึ่งแล้ว ผมเดินไปหาไอ้โก๋กับไอ้ผิงว่ามันเสร็จงานกันหรือยัง
“จะกลับพร้อมกูหรือเปล่า”ผมถามมันสองคนที่กำลังล้างแปรงพู่กัน ผมสำรวจว่าพวกมันก็เสร็จงานกันแล้ว
“เออ แวะกินอะไรก่อนกลับไหมวะ”ไอ้โก๋ถาม นานๆทีจะออกไปด้วยกันสามคนแบบนี้ ผมมองไอ้ผิงมันพยักหน้าตกลง พวกผมล่ำลาพรรคพวกที่ห้อง ก่อนจะนัดกันไปเจอที่ร้านน้ำเต้าหู้ จริงๆก็มีของหวานประเภทเติมนมทุกอย่าง ขนมปังปิ้ง ขนมปังสังขยา ยามเย็น รถในมอและด้านนอกเยอะกว่าปกติ สร้างความหงุดหงิดในการใช้ท้องถนนขึ้นมานิดหน่อย เมื่อมาถึงร้านประจำประตู 6 เห็นว่ายังมีโต๊ะว่าง พวกผมก็สั่งของกินคนละอย่างสองอย่าง
ผมเลือกโต๊ะด้านในสุด
“เฮ้อ กว่าจะได้ออกมานั่งชิลล์ๆแบบนี้เล่นเอาคอแทบเคล็ด”ไอ้โก๋เอียงคอไปมาอย่างปวดเมื่อย ผมมองมันยิ้มๆ
“ว่างๆก็ไปนวดสิ ได้ผลนะเว้ย ดูกูสบาย”ผมบอก มันสองคนมองผมตาไม่กระพริบ
“ใครนวด?”
“หมายถึงนวดจริงๆโว้ย ไปเข้าร้านอะไรทำนองนั้น ไม่แพงหรอก เผื่อพวกมึงจะได้ผ่อนคลายไง”ผมบอก อุตส่าห์แนะนำมันไป ยังจะมาวกเข้าเรื่องทะลึ่งอีก มันสองคนหัวเราะอย่างรู้กัน
“ก็แหม อยู่ๆมึงกูพูดขึ้นมา กูก็นึกว่าพี่ท็อปนวดให้”ไอ้โก๋พูดเหมือนรู้ดี ผมไหวไหล่ ไม่อยากเถียง รอไม่นานนักของที่สั่งก็ถูกเสิร์ฟจนครบ
“แดกให้หมดนะเว้ย”ไอ้ผิงบอก ก่อนจะจิ้มขนมปังกับสังขยา ไหนจะขนมปังปิ้งของไอ้โก๋อีก ดีนะที่ผมไม่ได้สั่ง มีแค่โกโก้นมสดร้อนๆเท่านั้น
“เมื่อคืนก่อนมึงทิ้งพี่ดีนไว้ที่ร้านเหรอวะ”อยู่ๆไอ้ผิงก็เอ่ยขึ้นมา
“อือ แกเมาหัวทิ่ม เลยฝากพี่ตั้มดูแล”ผมบอก วันนี้ตอนแข่งบาสฯก็ไม่เห็นแกมาพูดอะไรกับผม จะโกรธก็คงไม่ใช่
“งานบายเนียร์ปีสี่ สงสัยจะได้เห็นภาพเด็ด”ไอ้โก๋บอก ผมมองอย่างอยากรู้ พี่ดีนกับเฮียแกนน่ะเหรอ ได้ยินมาเหมือนกันว่าอาจารย์อยากให้จับมือสามัคคีกันได้แล้ว
“หึหึ งานจะสงบแน่เหรอวะ”ไอ้ผิงย่นหน้า
“ก็ไม่แน่หรอกมั้ง ใครจะตีกันในงาน”ผมพูด ที่แน่ๆไม่ใช่พี่ดีนกับเฮียแกนอยู่แล้ว จะเป็นเพื่อนๆพี่แกมากกว่าที่ดูจะแรงกันทั้งสองฝ่าย
“มึงจะไม่ไปจริงๆเหรอ”ไอ้โก๋ถามผม
“ไม่ว่ะ ไม่อยากไปวุ่นวาย”ผมบอก บายเนียร์ก็คงไม่มีอะไรมากหรอก
“อืม เทอมหน้ามึงจะลงวิชาอะไรกันบ้างวะ”ไอ้โก๋เปิดประเด็นเรื่องเรียน เทอมหน้ามีวิชาเลือกให้ลงหลายตัว ไหนจะเลือกเสรีอีก พวกผมนั่งคุยกันเรื่องเรียนกันอยู่สักพักก่อนจะพากันกลับหอพักใครหอพักมัน เมื่อกลับมาที่ห้องพัก ผมเห็นว่าพี่ท็อปน่าจะมาอยู่ที่ห้องผม ผมหมุนลูกบิดปรากฏว่าไม่ได้ล็อกไว้ เป็นพี่ท็อปจริงๆนั่นแหละ ผมเปิดประตูเข้าไป เห็นพี่ท็อปกำลังจัดเสื้อผ้าใส่ตู้ให้ผมอยู่
“กลับมาแล้วเหรอ”
“อ้าว นึกว่าจะอยู่ติวกับพี่ธามดึกซะอีก”ผมพูด ก่อนจะเดินไปวางกระเป๋าที่โต๊ะเขียนหนังสือ พี่ท็อปส่ายหน้า
“ก็พอรู้เรื่องแล้วล่ะ เลยไม่อยากนั่งแช่อยู่ในนั้นเลยกลับมาหาแฟนดีกว่า”พี่ท็อปหันมายักคิ้วให้ผมก่อนจะเดินไปนอนเล่นที่เตียง ผมเลยไปจัดการธุระส่วนตัวอาบน้ำให้ร่างกายสดชื่น พออกจากห้องน้ำก็เห็นว่าพี่ท็อปยังคงนอนเล่นโทรศัพท์อยู่บนเตียง ผมเลยเดินไปตากผ้าเช็ดตัวที่เก้าอี้ก่อนจะแอบหยิบกล่องแหวนไม้มะค่าออกมากำไว้ในมือ เพิ่งถอดเมื่อตอนเย็น ตกดึกก็ได้คืนแล้ว
ผมแอบย่องไปหาพี่ท็อปก่อนจะกระโดดลงเตียงไปหาพี่ท็อปเจ้าตัวขมวดคิ้วจ้องผมเหมือนจะด่า ผมเลยยื่นหน้าไปหอมแก้มอีกฝ่ายซะเลย
“หอมจัง”ผมบอกก่อนจะเข้าไปนัวเนียกับอีกฝ่าย พี่ท็อปหัวเราะเบาๆเพราะจั๊กกะจี้ที่ผมเอาปากไปโดนลำคอของเจ้าตัว
“อะไรเนี่ย หืม มาอ้อนเอาอะไร”พี่ท็อปวางโทรศัพท์ลงก่อนจะหรี่ตามองผมอย่างใคร่ครวญ ผมส่ายหน้าเผยยิ้มอย่างสุขใจ
“ลืมอะไรหรือเปล่าครับ”ผมพูด ก่อนจะเอื้อมไปจับมือซ้ายของพี่ท็อป เจ้าตัวทำหน้างุนงงก่อนจะเปลี่ยนเป็นรู้ทัน ผมยื่นกล่องแหวนไปให้
“สวมให้หน่อยสิ อยากได้ฟิวส์เมียขอแต่งงาน”พี่ท็อปพูดซะผมไปไม่เป็นเลย ผมดึงมืออีกฝ่ายมากัดนิ้วเบาๆ
“โธ่ พี่พูดซะหมดอารมณ์เลย”ผมส่ายหน้าก่อนจะเปิดกล่องแหวนออก พี่ท็อปยิ้มกวางก่อนจะดึงผมเข้าไปกอดแน่นๆ “มึงก็แบบนี้ มาทำให้กูไม่อยากไปไหนไกลหูไกลตา”เจ้าตัวพูด ก่อนจะหยิบกล่องไปสำรวจอย่างสนใจ พี่ท็อปหยิบแหวนออกจากกล่อง ก่อนจะส่งตัวอักษรที่ผมสลักเพิ่งลงไป Song love Top พอเห็นว่าสลักว่าอะไรเจ้าตัวก็มองหน้าผมเหมือนปลื้มปริ่มมาก
“สวยไหมล่ะ”
“อืม รักเลยว่ะ”พี่ท็อปยื่นหน้ามาจูบเบาๆไม่ได้ดูดดื่ม
“มาเดี๋ยวผมสวมให้”ผมบอกก่อนจะจับมือซ้ายของพี่ท็อปขึ้นมา หยิบแหวนในมืออีกฝ่ายมาสวมลงนิ้วนางของเจ้าตัวที่เข้าไปแบบพอดีนิ้ว
“จองไว้แล้ว”ผมพูด แล้วจุ๊บลงที่หลังมืออีกฝ่าย พี่ท็อปหัวเราะชอบใจ
“เข้าใจพูดนะ เดี๋ยวก็ไม่ได้นอนหรอก”พี่ท็อปยิ้มปริ่ม ก่อนจะดันให้ผมลงไปนอนกับเตียง “ขอบใจนะเว้ย ที่ใส่ใจกัน”พี่ท็อปบอก ผมยิ้ม “เรื่องแค่นี้เองน่าพี่”
“พอๆ นอนดีกว่า ไม่งั้นไม่ได้นอนจริงๆนะไอ้สอง”เจ้าตัวลุกไปปิดไฟให้ผมโดยที่ไม่ต้องบอก ผมนอนมองอีกฝ่ายเดินกลับมาที่เตียงในความมืด เงาร่างของพี่ท็อปเดินมาที่เตียงก่อนจะล้มตัวนอนลงข้างๆอย่างเคยชิน
“กู๊ดไนท์ที่รัก”พี่ท็อปพูดกระซิบ ผมหลุดขำ “ครับ ฝันดีเหมือนกัน”ผมบอกกลับ ก่อนจะปล่อยให้ตัวเองเข้าสู่ห้วงนิทราไปพร้อมกับคนข้างกาย
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-01-2018 17:52:39 โดย RindadaRin »

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
 :กอด1:   คิดถึงมากเลยค่ะ  :pig4:

ออฟไลน์ lllittled

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 97
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
 :hao7: ยิมมีความลึกลับรู้สึกชอบคาแร็คเตอร์ยิมนะ
เป็นคนตรงๆด้วยอ่ะ เอาไปแต่งเป็นพระเอกเรื่องหน้าไปเดี๋ยวตามอ่าน55555
ทีแรกคิดว่าจะออกมาพลิกแบบโยเป็นพระเอกตอนท้ายไรงี้ไง
สารภาพว่าห่วงภูมิหลังท็อปมากกลัวมาร้าย
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-06-2016 18:15:15 โดย lllittled »

ออฟไลน์ lllittled

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 97
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
 :katai5:
มีความรู้สึกตั้งแต่ตอนยิมโผล่มาแรกๆแล้วนะว่าทำไมยิมดูแมนกว่าสอง5555
รู้สึกงี้จริงๆ ยิมสองไรงี้ ออร่ายิมมั้งดูเมะอ่ะ

ออฟไลน์ kawisara

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1583
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-7

ออฟไลน์ lllittled

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 97
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ยิมผิงจ่ะ

แต่ใจจริงไม่อยากให้ยิมมีคู่เลย

ดูคนดีเกินไปดีแบบอยากเก็บไว้ประดับนิยายอ่ะ #ประสาทมาก

แต่ในเรื่องนี่ชอบยิมสุดแล้วไม่อยากให้มีคู่ด้วยตัดใจจากสองได้แต่ไม่ต้องมีคู่ก็น่าจะดีนะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ lllittled

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 97
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
 :ling3:
อยากได้ท็อปสองอ่ะ ไม่ปลื้มสองท็อปเท่าไหร่
ดูท็อปให้ออร่าความเป็นรุกสูงกว่า
ขนาดตอนออนท็อปสองท็อปยังดูเป็นฝ่ายเสียบมากกว่าถูกเสียบเลย

ออฟไลน์ lllittled

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 97
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
 :a5:
มันยังจะมีพายุลูกสุดท้ายอีกเหรอเนี่ย
แลดูชีวิตมีแต่มรสุม :katai1:

ออฟไลน์ Rhythm

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
ดูท่าทางเรื่องที่พี่ท็อปคุยกับพ่อสองจะลับสุดยอดน่าดู ไม่มีบอกใบ้ให้เดากันสักนิดเลย

สองนี่เสน่ห์แรงพอควรเลยนะ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมีคนเค้ามาให้ปวดหัวได้ตลอด ไม่แน่ใจว่าอ่านข้ามไปหรือเปล่า แต่ตั้งแต่ต้นเรื่องยังไม่เคยเจอบทบรรยายที่บอกลักษณะของสองเลยว่ารูปลักษณ์เป็นยังไง มีแต่พี่ท็อปนี่แหละที่คิดว่ามี Sex Appeal สูงมากๆ แน่นอน  :z1:

รอติดตามต่อไปนะจ๊ะ  :L2:


ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
เกือบลืมเรื่องนี้แล้ว พี่ท็อปไปฝึกงานหวังว่าคงไม่มีเรื่องอะไรมาอีกนะ พี่ดีนก็เหนื่อยใจแทนเคลียร์ๆกันได้แล้วพี่ คิดถึงคู่ ยิมผิง อะ

ออฟไลน์ รินดาwดาริน

  • OnTop&N'Song
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +243/-2
Deen Diary
บทที่ 6 เปิดใจ

“เมื่อคืนนอนไม่หลับเหรอวะ” พี่กัสถามขณะเก็บกระเป๋าขึ้นมาสะพาย สายตาจับจ้องมาที่ผมอย่างเป็นห่วง หลังจากที่ผ่านค่ำคืนของการนอนไม่หลับมาอย่างยากลำบาก ในใจผมล่ะนึกอยากซัดยานอนหลับไปให้รู้แล้วรู้รอด ผมยิ้มบางๆ ให้อีกฝ่าย
“นิดหน่อยพี่ แล้วกลับไปดูร้านเหรอพี่” ผมถามเพราะไม่เห็นพี่แกพูดถึงเรื่องร้านเลย พี่กัสถอนหายใจมองหน้าผมครู่หนึ่งก่อนจะไหวไหล่อย่างไม่ซีเรียส
“เปล่าหรอก อะไรๆ ยังไม่เข้าที่เข้าทาง นี่ก็ให้เพื่อนมันดูไปก่อน”
“คงไม่ย้ายไปไหนแล้วนะพี่” ผมพูดขำๆ หวั่นใจเหมือนกันว่าพี่กัสอาจจะต้องย้ายที่ทำมาหากินไปกับครอบครัวของเขา ด้วยคำพูดของผมทำให้พี่กัสหลุดยิ้ม
“หู้ยยย คิดมากทำไมยังไม่ถึงเวลาหรอก จะให้กูย้ายไปไหนอีกมาอยู่ได้ไม่ถึงเดือนเลย” พี่กัสหัวเราะก่อนจะโบกมือลา ผมแค่เดินไปส่งหน้าประตูห้อง
“มีอะไรก็โทรหาผมได้นะ” ผมบอกอีกฝ่าย
“มึงสิต้องโทร งั้นกูไปล่ะ มีอะไรก็โทรหานะเว้ย” พี่กัสส่งยิ้มให้ผมก่อนจะยื่นมือมาตบไหล่ผมอย่างให้กำลังใจ ภายในใจอบอุ่นขึ้นมา ก่อนจะยกโบกมือลาให้พี่กัส คิดว่าหลังจากนี้คงไม่ได้เจอกันง่ายๆ อีกแล้ว
หลังจากพี่กัสกลับไป ผมก็ได้รับข้อความจากไอ้แกน อีกฝ่ายนัดเจอที่ลานหลังคณะวิทย์ ผมแปลกใจที่มันเลือกสถานที่นั้น เพราะมันเหมือนสวนสาธารณะ อีกอย่างมันค่อนข้างเงียบสงบด้วย ผมไม่ได้ขัดอะไรแค่ตอบตกลง
ผมยืนมองตัวเองในกระจกอยู่เนิ่นนาน มาตอนนี้จะหันหลังกลับไม่ได้อีกแล้ว ผมคว้ากระเป๋าสะพายติดมาด้วยพร้อมกับขนงานไปทำต่อถ้าเกิดว่าจบเรื่องกับไอ้แกนเรียบร้อยแล้ว

ผมจอดรถไว้ที่ริมถนนก่อนจะเดินไปตามทางเส้นเล็กๆ ที่ลัดเลาะไปยังเนินหญ้าเขียวขจีสูงต่ำสลับกันไป ความสงบและธรรมชาติทำให้ข้างในผมสงบอย่างบอกไม่ถูก ที่โต๊ะกลมใต้ต้นสนสูงใหญ่มีไอ้แกนนั่งรออยู่ก่อนแล้วมันเงยหน้ามองผมก่อนจะโบกมือเรียกเหมือนคนสนิทกัน ผมถอนหายใจมองซ้ายขวามีเด็กปีหนึ่งสองสามคนนั่งห่างออกไปสามโต๊ะ ซึ่งไม่ได้สนใจอะไร
“มึงสบายดีนะ” มันทักผมด้วยประโยคนี้ ผมส่ายหน้า
“มึงเห็นกูป่วยหรือไง” ผมตอบก่อนจะเลือกนั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม ไอ้แกนมองหน้าผมนิ่งๆ ดูเหมือนว่ามันจะไปตัดผมมาอีกแล้วเพราะดูสั้นลงจากคราวก่อน
“อือ มึงดูหน้าซีดๆ” ไอ้แกนพูด ผมส่ายหน้าอีกรอบ ก็แค่พักผ่อนน้อย
“เข้าเรื่องเลยน่าจะดีกว่า กูไม่อยากเสียเวลา”
“เข้าเรื่อง? จริงๆ แล้วมึงกับกูไม่ได้มีเรื่องข้องใจอะไรมาก มันก็แค่อดีต มันอยู่ที่มึงทั้งนั้น” ไอ้แกนพูดมันวางมือบนโต๊ะสองมือประสานกันท่าทางหนักแน่น ผมเบนสายตาไปรอบๆ ตัว
มันก็จริง ผมเองเหนื่อยมานานและเบื่อกับเรื่องที่ผ่านมา
“กูขอโทษ” ไอ้แกนพูดคำนี้เบาๆ แต่น้ำเสียงจริงใจ มันคงเห็นผมไม่พูดอะไรออกมาสักที
 “กูไม่ใช่คนดีกูรู้ตัว ตอนนี้ก็ยังไม่ใช่คนดีอะไร แต่กูอยากจะทิ้งเรื่องเก่าๆ ลง เรื่องไม่ดีๆ กับมึง” อีกฝ่ายพูดออกมาอีกครั้ง ผมหลับตาลง ยอมรับว่าไม่ได้โกรธเกลียดมันเท่าเมื่อก่อน
“มึงต้องการอะไรจากกูล่ะ” ผมถามมองหน้ามันชัดๆ ไอ้แกนนิ่งไป
“เลิกแล้วต่อกัน”
“อืม มึงกับกูจะเป็นเพื่อนกันได้เหรอวะ” ผมพูด นึกภาพไม่ออกสักนิด กับการต้องเป็นเพื่อนกับไอ้แกน อีกฝ่ายหัวเราะเบาๆ
“มึงคงจะอึดอัด แต่มันต้องใช้เวลาบ้าง” มันบอก
“กู...ยกโทษให้มึงได้” ผมเอ่ยออกไปช้าๆ แต่ก็ไม่ทั้งหมดอยู่ดี ไม่รู้สิ ถึงผมอยากจะให้อภัยมันมากแค่ไหนแต่มันมีบางอย่างติดอยู่ในใจตลอด เรื่องของผมกับมันอาจไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไรนัก แต่ผมได้รับผลกระทบนั้นรุนแรงเหลือเกิน หรือเพราะบางที ใจผมคงจะดีขึ้นถ้าหากได้กล่าวโทษใครสักคน
“กูเข้าใจ มันไม่ง่ายหรอก ตอนนั้นเรายังเด็กกันแต่ต่อจากนี้มึงกับกูคงหนีกันไม่พ้นจริงๆ ได้ยินว่ามึงฝึกงานที่คณะ” มันวกเข้าหาเรื่องใหม่ ผมแปลกใจที่มันรู้เรื่องนี้เพราะผมบอกไม่กี่คนเอง ไม่ก็อาจารย์ท็อปไปคุยให้มันฟัง
“อืม กูขี้เกียจไปไกล” ผมตอบ
“ก็ดี” มันพึมพำเบาๆ
“แล้วมึงต้องเรียน—” พอพูดถึงเรื่องที่มันต้องจบช้าแล้วก็ใจหาย ไม่มีใครอยากจบทีหลังเพื่อนปีเดียวกันหรอก ถึงจะไม่ใช่ความผิดของผมซะทีเดียวก็เถอะ แต่ลึกๆ แล้วผมเสียใจกับมันนะ
“อืม แต่กูไม่เสียใจหรอกนะ อย่างน้อยกูก็มีเวลามากขึ้น อย่างน้อยกูก็ขายงานให้ฝรั่งได้ กูว่าจะลงเรียนตัวอื่นเพิ่มในเมื่อมีเวลาเรียนเพิ่ม กูจะเรียนต่อ หึ คิดในแง่ดีไงวะ” อีกฝ่ายตอบในแง่บวก ผมเงียบไป
“มึงเลิกชกมวยแล้วเหรอ” ผมถาม เปลี่ยนเรื่องคุยแทน ก่อนจะเหลือบมองหน้ามันถึงได้รู้ว่ามันจ้องมาที่ผมอยู่แล้ว ไอ้แกนเดาะลิ้นเล่น
“เออ ไม่มีเหตุผลอะไรที่กูจะต้องเอาหน้าไปรับหมัดคนอื่นแล้ว พักรักษาตัวนาน แถมไม่คุ้มค่าตอบแทนด้วย” ไอ้แกนแค่นเสียงท่าทางมันไม่พอใจ “แล้วมึงคิดจะจีบไอ้สองจริงๆ หรือแค่เล่นๆ” อยู่ๆ มันก็มาถามเรื่องนี้ ผมหงุดหงิดนิดหน่อย
“กูกับไอ้สองก็พี่น้อง” ผมตอบไปตามจริง ถึงบางครั้งจะแอบคิดเกินเลยไปบ้างก็เถอะ
“หึ เห็นมึงยังไปยุ่งกับมันอยู่” ไอ้แกนยังคงเซ้าซี้เรื่องนี้
“อืม แค่คุยไม่ได้หมายความว่าไปยุ่ง ว่าแต่มึงเหอะ มายุ่งกับกูทำซากอะไร” ผมหันไปต่อล้อต่อเถียงอย่างไม่ยอมลดละ อีกฝ่ายส่ายหน้า
“แค่อยากจะเตือน มึงก็ไม่ใช่ว่าจะดีเด่อะไร อยากเป็นขี้ปากชาวบ้านหรือไง”
“กูก็ไม่มีเรื่องดีอยู่แล้ว คนมันจะพูดก็พูดอยู่ดี มึงจบเรื่องแล้วใช่ไหมกูจะไปทำงาน” ผมเลิกคิ้วมองอีกฝ่าย เหลียวมองไปรอบตัวอย่างหาที่วางสายไม่ได้
“อือ” มันตอบมาห้วนๆ จากนั้น ผมลุกขึ้นยืน เมื่อหมดเรื่องคุย ไอ้แกนมองตาม
“วันไหนอยากเมาก็นัดกู”
“มึงพูดจริงๆ เหรอ” ผมหัวเราะ กับคำชวนของมัน ถึงจะพยายามทำดีด้วยแต่ไอ้การชวนไปเมาเนี่ยต้องเพื่อนสนิท จะให้ไปดื่มเหล้าปรับทุกข์กับมันล่ะก็... ขอบายดีกว่า
“จริงสิวะ กูพูดจริงทำจริงอยู่แล้ว” ไอ้แกนขมวดคิ้วจ้องหน้าผมเหมือนยืนยันว่าที่พูดมาทั้งหมดนั่นคือความจริง
“กูไปล่ะ” ผมรีบตัดบทก่อนจะเดินไปที่รถเพราะเกลียดสายตาของมัน
พอได้คุยกับมันในช่วงเวลาสั้นๆ แม้ว่าจะมีบางอย่างที่ยังไม่สามารถก้าวผ่านไปได้แต่ก็ทำให้ผมเบาใจไปได้เปราะหนึ่ง อย่างน้อยๆ ศัตรูก็ลดไปหนึ่งและได้มิตรมาเพิ่มแทน

นับตั้งแต่วันที่ผมคุยกับไอ้แกนก็ล่วงเลยมาสัปดาห์หนึ่งแล้ว จะว่าไปผมไม่เห็นมันที่คณะเท่าไหร่ คงเพราะมันว่างมากอาจจะไปขลุกอยู่ที่ชมรมอาสาฯ ของมันล่ะมั้ง ผมมาที่คณะตามปกติได้ยินเสียงเอะอะปึงปังมาจากลานคณะ เห็นว่าพวกเด็กปีหนึ่งปีสองปีสามประปรายคละกันไปกำลังเล่นบาสกันหน้าดำคล้ำเครียด หนึ่งในนั้นมีไอ้สองด้วย ผมแปลกใจที่เห็นมันเพราะช่วงนี้มันหายหัวไปเลยทั้งเรื่องงานเรื่องแฟนมัน
พอมาสำรวจใจตัวเองแล้ว สำหรับผมไอ้สองก็แค่น้องที่ผมแคร์มากคนหนึ่ง ถึงบางครั้งใจจะเอนเอียงไปบ้างแต่ให้ตายยังไงไอ้สองมันก็คงไม่คิดอะไรเกินเลยกับผมหรอก ผมลากมันมาคุยด้วยสักหน่อย ไอ้สองทำหน้าสงสัยแต่ก็ยอมตามผมออกมา แซวมันนิดหน่อยให้กระชุ่มกระชวย
ผมเดินกลับไปยังตึกภาคชั้นสี่ ผมเจอเพื่อนร่วมชั้นปี บางคนทักทายกันตามปกติ ที่สตูส่วนมากก็มีแต่พวกปีสี่สาขาเดียวกันหลักๆ จะเป็นพวกเพื่อนๆ ผมมากกว่า พวกไอ้แกนไปอยู่ห้องอีกฝั่งตรงข้ามแทนเพราะห้องบรรจุคนไม่พอ ส่วนเพื่อนกลุ่มเดียวกับผมนั้นหลายคนหายหน้าหายตาทั้งไอ้กร ไอ้ต๊ะ
อันที่จริงพวกนั้นก็ไม่ใช่เพื่อนสนิทสักเท่าไหร่เพราะผมไม่เคยบอกเล่าความในใจกับพวกมันเลย และพวกมันก็คงจะรู้สึกถึงเลิกตามเซ้าซี้ผมไปนานแล้ว จะมีก็แค่ไอ้ติล่ะมั้งที่ยังคงคุยกับผมได้มากที่สุด
“เฮ้ย ไม่เห็นหน้ามึงหลายวันเลย” ไอ้ติทักขณะที่ผมเดินกลับมาที่กระดานเขียนรูปของตัวเอง ผมยิ้มทักทายมัน
“กูไปคุยกับอาจารย์น็อตมาว่ะ” ผมตอบ มันพยักหน้าก่อนจะเดินมาหาผม
“พักนี้มึงดูแปลกๆ นะ เป็นอะไรหรือเปล่าวะ” มันถามอย่างห่วงใยตามประสาเพื่อน ผมแค่ไหวไหล่ตบบ่ามันสองสามที
“เปล่าหรอก แค่เซ็งๆ น่ะ” ผมบอกมัน ไอ้ติมองหน้าผมอยู่ชั่วครู่ก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ ที่ผมยังไม่บอกอะไรมัน
“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว แล้วเรื่องไอ้แกนล่ะว่าไง” อยู่ดีๆ มันก็ถามถึงไอ้แกนขึ้นมา ผมไม่เข้าใจนิดหน่อย หลังจากที่อาจารย์มาบ่นในคลาสคราวนั้นดูเหมือนในสายตาหลายๆ คนคงคิดว่าผมกับไอ้แกนคงอยู่ร่วมกันไม่ได้จริงๆ
“ไม่ยังไงหรอก ต่างคนต่างอยู่” ผมบอกไปตามจริง
“ดีแล้ว จะจบทั้งทีไม่อยากติดค้างอะไร” ไอ้ติบ่นงึมงำอยู่ข้างๆ ทำให้ผมนึกขึ้นได้ว่ามันจะต้องอยู่ที่คณะอีกหนึ่งปี ก็ไม่ได้รู้สึกดีเท่าไหร่
เสียงสั่นเตือนจากโทรศัพท์ในกระเป๋า ผมหยิบออกมาดูก็เห็นว่า ‘พี่กัส’ ผมไม่แปลกใจเท่าไหร่แต่อยากจะรู้ว่าพี่แกจะโทรมาด้วยเรื่องอะไรหรือเปล่า
“ครับพี่” ผมกดรับปลายสายเงียบไปก่อนจะเปิดปากพูด
[เออดีน ว่างคุยไหมวะ]
“ว่างครับ มีอะไรหรือเปล่าครับพี่” นั่นไง เริ่มต้นด้วยประโยคนี้ทำเอาผมขมวดคิ้วตาม คงจะมีเรื่องจริงๆ ล่ะมั้ง
[อืม พรุ่งนี้ว่างหรือเปล่า] พี่กัสถาม
“น่าจะว่างนะพี่ ทำไมเหรอครับ” ผมตอบ
[พอดีว่ากูเพิ่งคุยกับแม่กูว่าจะย้ายไปฟิลิปปินส์เร็วๆ นี้น่ะ กูก็เลยต้องย้ายอีกรอบ] ผมเงียบ รู้สึกตกใจที่พี่กัสจะย้ายกลับไปเร็วแบบนี้ ยังมาอยู่ที่นี่ได้ไม่ถึงเดือนเลยด้วยซ้ำ เจ้าตัวก็เป็นคนบอกเองแท้ๆ
“ทำไมถึงกลับไปเร็วจัง” ผมถามมึนๆ ใจจริงผมอยากถามว่า ‘มีเรื่องอะไรหรือเปล่า’ แต่ดูจะก้าวก่ายเกินไปเพราะถ้าอีกฝ่ายอยากบอกคงบอกผมแล้ว ไม่ต้องให้ตั้งคำถาม ไม่รู้ว่ามีปัญหาอะไรหรือเปล่าเพราะล่าสุดที่เจอกันยังบอกว่าจะยังไม่ย้ายไปไหน
[ที่บ้านกูอยากให้ไปช่วยทำงานด้วยน่ะ มันน่าจะลงตัวมากกว่า] พี่กัสบอก ผมฟังแล้วตงิดๆ ในใจ
“เหรอ... แล้วแกลเลอรีของพี่ล่ะ” ไหนว่าเพิ่งหุ้นกับเพื่อนท่าทางจริงจังขนาดนั้น น่าเสียดายที่ร้านยังไม่เข้าที่เข้าทางก็จะย้ายไปอีกแล้ว
[คงให้ไอ้ตองช่วยดูไปก่อน กูวางแผนไว้กับไอ้ตองแล้ว ว่าไง... มึงจะมาได้ไหม จะได้ออกไปเลี้ยงส่งกูด้วยเลย] พี่กัสถามน้ำเสียงดูปกติเหมือนคุยเรื่องธรรมดาราวกับคุยเรื่องชีวิตประจำวัน แต่ผมยังคงงงๆ ใจหายไปบ้าง
“เอ่อ” ผมติดอ่างไปชั่วขณะคิดหาข้ออ้างอะไรไม่ออกจริงๆ ทั้งๆ ที่ผมน่าจะตอบตกลงไปเลยก็ดี
[ถ้าไม่ว่างก็ไม่เป็นไรนะเว้ย] พี่กัสรีบพูดต่อ ผมลังเล
“งั้นเดี๋ยวผมโทรไปบอกอีกทีนะพี่ รอดูคิวก่อน” ผมหัวเราะไปเก้อๆ
[อืม ได้ๆ ถ้างั้นโทรมาบอกก่อนล่ะ กูจะได้รู้] พี่กัสพูดหลังจากนั้นก็วางสายไป ผมถอนหายใจ ดูเหมือนพี่กัสจะไม่รู้สึกอะไรเลย
ผมไม่อยากถามให้มากความในเมื่อเจ้าตัวตัดสินใจดีแล้ว แต่ผมไม่อยากไปดื่มกับพี่กัสเท่าไหร่ กังวลว่าผมจะต้องพูดอะไรกับอีกฝ่ายเรื่องย้ายไปอยู่ฟิลิปปินส์ชั่วคราวหรือว่าถาวร แต่ดูจากคำบอกเล่าเมื่อครู่ผมเดาได้รางๆ ว่าคงจะไปอยู่ยาวแน่ บางทีผมควรจะไปส่งพี่กัสที่สนามบินก็พอหรือเปล่า
วันพรุ่งนี้งั้นเหรอ อย่างน้อยผมก็มีคำตอบให้ตัวเองแล้ว
“เป็นอะไร” ไอ้ติถาม มันแตะแขนผมเบาๆ เป็นการเรียกสติ ผมเงียบ ไอ้ติถอนหายใจจ้องหน้าผม มันเป็นเพื่อนที่อดทนกับผมมาตลอด มันไม่เคยทู่ซี้ถามผมในเรื่องที่มันอยากรู้
“มึงว่ากูเหมือนคนอกหักไหมวะ” ผมยังคงคาใจกับความรู้สึกนี้อยู่ ไอ้ติพ่นเสียงหัวเราะออกมาอย่างไม่เกรงใจเพื่อนร่วมสตู
“มึงถามจริงๆ เหรอวะ” มันยิ้มก่อนจะต้องคลายลงเมื่อเห็นสายตาของผม มันพินิจพิจารณาผมอยู่นานสองนาน “ไม่น่าถามกูนะ ถึงกูจะเป็นเพื่อนมึงแต่กูแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมึงเท่าไหร่ ช่วงนี้มึงไปไหนกับใครคบกับใครกูไม่รู้ แต่ให้เดาๆ นะ มึงก็คล้ายๆ อยู่” ไอ้ติพูด ผมนิ่งประมวลสิ่งที่มันพูด
“งั้นเหรอ”
“เออ มึงมีวิธีแสดงออกให้ต่างจากนี้ไหม กูเห็นมึงชอบทำตัวบ้าบอๆ แบบนี้มาสักระยะแล้ว มึงคงมีปัญหาอะไรสักอย่างล่ะมั้ง” ไอ้ติส่ายหน้ามันกลอกตาไปมาท่าทางลังเลเหมือนอยากจะพูดอะไรออกมา
“มึงจะพูดอะไรก็ว่ามา”
“กูพูดได้ใช่ไหม เออ...บางทีปัญหาของมึงคือมึงไม่เปิดใจให้ใครเลยล่ะมั้ง แม้กระทั่งเพื่อน ผลก็เลยออกมาอย่างที่เห็น กูเลยไม่รู้ว่าพักนี้มึงเป็นอะไร แค่เซ็งๆ เหมือนที่มึงชอบบอกหรือว่าอกหัก?”
“คงจะจริง” ผมถอนหายใจ
“กูรู้ว่ามึงมีความลับ มึงควรจะมีที่ปรึกษาปัญหาหัวใจไว้สักคนนะไม่งั้นจะบ้าเอา ไม่ขอให้เป็นกูหรอกไม่งั้นมึงคงบอกมาตั้งนานแล้ว” มันยิ้มแต่ดูไม่โกรธเท่าไหร่
“อือ บางทีกูก็อยากจะเล่านะแต่มันก็อธิบายยาก” ไอ้ติไม่ได้พูดอะไรแต่พยักหน้า “มึงอยากรู้ไหมวะเผื่อจะคลี่คลายให้กูได้” ผมลองถามออกไป มีเพื่อนสนิทจริงๆ สักคนก็คงดี มันมองหน้าผมตาแป๋วเหมือนแปลกใจ
“เป็นความลับไหม”
“อือ” ผมส่งเสียงบอกมันเบาๆ ก่อนจะชวนมันไปคุยที่ดาดฟ้าน่าจะสะดวกกว่า

ผมกับไอ้ติขึ้นมาที่ดาดฟ้ามีเด็กๆ อยู่กลุ่มนึงกำลังฝึกถ่ายรูป ผมเลี่ยงไปที่เงียบๆ แทน มีเก้าอี้ยาวกับที่บังแดดไว้พร้อม เป็นฝีมือของพวกสถาปัตย์ที่เอางานตัวเองมาทิ้งไว้ที่นี่ให้มีประโยชน์ใช้สอย ไอ้ตินั่งลงท่าทางอยากรู้เต็มที ผมแอบขำนิดหน่อย มันถือเป็นคนแรกที่ได้คุยเรื่องพี่กัสกับผม หลายปีที่ผ่านมานอกจากพี่กัสแล้วก็ไม่มีใครเลยที่ผมคุยเปิดเผยได้ กลับกันในตอนนี้กลายเป็นว่าผมคุยเปิดเผยกับพี่กัสไม่ได้อีกแล้วเพราะอีกฝ่ายปิดประตูใส่ผมไปซะแล้ว ถึงแม้ว่าเจ้าตัวจะบอกว่าปรึกษาได้ก็เถอะ
“กูจะเริ่มแล้วนะ กูรู้จักพี่คนนึงหลังจากที่กูทะเลาะกับแม่ อย่างที่รู้กูกับที่บ้านไม่ค่อยได้คุยกันเท่าไหร่ ตอนนั้นกูยังเด็กแค่ม.สี่เองมั้ง พี่แกทำให้กูรู้จักโลกมากขึ้นเข้าใจคนมากขึ้นแล้วก็ทำให้กูหันมาสนใจศิลปะจนแอดติดที่นี่ได้ กูไม่รู้ว่ากูรู้สึกชอบอีกฝ่ายมากแค่ไหนแต่ก็บอกตัวเองมาตลอดว่ากูรู้สึกแค่ชื่นชอบ มันไม่ใช่แบบรักใคร่ แต่พอกูได้รู้ความจริงเรื่องพี่กัส...” ผมเล่าให้มันฟังเรื่องของพี่กัสยกเว้นเรื่องไอ้แกน บอกเล่าถึงความรู้สึกลึกๆ ที่แท้จริงแล้วว่าผมรู้สึกยังไงกับพี่กัส
“บางทีมึงคงชอบพี่เขานะแต่มึงตีกรอบไว้แค่ชื่นชอบ เพราะมึงเห็นว่าพี่กัสอะไรนั่นเป็นเสาหลักของมึง เป็นพี่ที่มึงชื่นชม เป็นคนที่มึงคิดว่าเจ๋ง แต่มันถล่มลงมาเมื่อเขาหายไปและกลับมาพร้อมกับเมียและลูก มันก็ยิ่งล่มความรู้สึกของมึงไม่ใช่เหรอวะ กูว่ามันก็ชัดแล้วนะอยู่ที่ว่ามึงจะยอมรับไหม แน่นอนว่ามึงไม่อยากจะยอมรับหรอกว่ามึงรู้สึกอยากรักพี่เขาน่ะ แต่โลกนี้มึงสามารถหาเสาหลักดีๆ ได้อีกหลายคนนะเว้ย อย่ายึดติดกับคนคนนึง มึงน่าจะปล่อยวางได้แล้วนะ มึงจะได้มีชีวิตของตัวเอง ความรู้สึกของตัวเองที่เอาไว้ไปชอบคนอื่นได้จริงๆ”
ผมอยากจะหัวเราะกับไอ้ติ เอาความรู้สึกไว้ชอบคนอื่นจริงๆ น่ะเหรอ
ผมทบทวนความรู้สึกตัวเอง พี่กัสกำลังจะจากไปอีกครั้งผมยังไม่ทันได้ตั้งตัวเลย ยังดีที่ครั้งนี้บอกให้ผมรู้ก่อน
แค่วันเดียว...พรุ่งนี้เลี้ยงอำลาแล้วก็ไปเลยงั้นเหรอ เป็นพี่กัสก็คิดอะไรง่ายๆ ดีเหมือนกันนะ
“แล้วไงต่อ เมื่อกี้นี้พี่กัสโทรมาหรือไง มีอะไรหรือเปล่า”
“จะย้ายไปฟิลิปปินส์แล้ว จะไปอยู่วันสองวันนี้ก็พึ่งมาบอกกู” ผมพูดอย่างอารมณ์เสีย
“มึงเสียใจ?”
“อือ” ผมยอมรับว่าเสียใจที่พี่กัสจะย้ายไปอีกและพี่กัสไม่บอกผมให้เร็วกว่านี้
“มึงชอบพี่เขาใช่ไหม” ไอ้ติพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนจะเข้าใจ ผมเงียบไป
“ชอบล่ะมั้งแต่กูไม่อยากยอมรับ กูรู้ว่ากูมีพื้นที่แค่ไหน กูอยากให้พี่กัสเป็นพี่ชายที่เจ๋งสำหรับกู” ผมพูด อย่างที่บอกไป ผมไม่ต้องการครอบครอง
“มึงควรปล่อยวางจากพี่เขาได้แล้วนะ พี่กัสนั่นก็มีครอบครัวแล้วมีชีวิตของตัวเอง ใครๆ ก็อยู่เพื่อตัวเองทั้งนั้น” ไอ้ติถอนหายใจดังเฮ้อ ดีนะที่มันไม่รู้เรื่องไอ้แกนไม่งั้นพล่ามใส่ผมชุดใหญ่
“อืม กูรู้แล้ว” ผมพึมพำ แค่จะไปส่งพี่กัสที่สนามบินก็พอ
“มึงลองคิดทบทวนเอาแล้วกัน” ไอ้ติยิ้มให้ก่อนจะลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจตบไหล่ผมเหมือนจะปลอบใจแล้วเดินหายไปที่บันไดทางเข้าไปเงียบๆ
ผมเอนหลังลงไปนอนใช้แขนเป็นหมอนชั่วคราวหลับตาลงแล้วคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ในสมองผมยังติดภาพพี่กัสอยู่ ผมนึกสบถในใจ ‘ช่างพี่เขาเหอะ’ ในเมื่อพี่กัสยังคงเป็นพี่กัสทำไมผมต้องมาซังกะตายแบบนี้ก็ไม่รู้... แย่ฉิบ
ผมได้ยินเสียงกรอบแกรบเหมือนมีคนเดินเข้ามาใกล้คิ้วขมวดโดยกะทันหัน ผมพอจะรู้ว่ามันคือใคร ไอ้ติก็กลับลงไปแล้วมันคงไม่มาวอแวผมอีกแน่ๆ ช้อยส์ก็มีอยู่คนเดียวที่จะมาวุ่นวายกับผมได้ ผมแกล้งหลับอยากรู้ว่ามันจะทำยังไงต่อ ความเงียบสงบนั่นทำให้ผมหวั่นๆ เพราะผมเดาไม่ถูกว่าความเคลื่อนไหวสงบนั่นกำลังทำอะไร แต่รู้สึกเหมือนมีเงาทาบลงมาบริเวณหน้าของผม เสียงบดของรองเท้าผ้าใบลงกับพื้น ผมลืมตาใจหายวูบเหมือนเดินลงบันไดผิดขั้นรู้สึกโหวเหวงที่ท้องกะทันหัน
ไอ้แกนมันจ้องมาที่ผมด้วยสีหน้าประหลาดใจเหมือนไม่คิดว่าผมจะลืมตา ผมนอนมองมันที่ยืนเท้าแขนก้มหน้ามองมาที่ผมในระยะที่ไม่ห่างจากกันมากนัก ผมนิ่วหน้าไอ้แกนแค่กระตุกยิ้มแปลกๆ
“กูนึกว่าเพื่อนกูซะอีก” ผมพูดไปแบบนั้นทำลายความเงียบน่าอึดอัด
“อืม มึงง่วง?”
“เปล่า”
“อ้อเหรอ งั้นอยู่เป็นเพื่อนกูสิ” ฟังจากที่มันพูดเหมือนจะเป็นประโยคคำสั่งมากกว่าขอร้อง ผมลุกขึ้นมานั่งระหว่างที่มันเดินอ้อมมาหาผม
“ทำไมวะ” ผมกำลังหาทางปลีกตัวหนี ไอ้แกนทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ ผม
“ก็ไม่ทำไม แค่อยากมีเพื่อนคุยบ้าง” ไอ้แกนหันมามองผมด้วยสายตาเหมือนขอร้อง ผมคิดว่าตาฟาดไป ผมละสายตาจากมันไปมองท้องฟ้าแทนรู้สึกอึกอัดเต็มทน ความรู้สึกแบบนี้เมื่อไหร่จะหายไปก็ไม่รู้ ผมเชื่อว่ามันคงคิดแบบเดียวกัน
“หึๆ มึงคงเพื่อนไม่คบสินะ” ผมหัวเราะเยาะ
“แล้วมึงล่ะ เพื่อนเยอะหรือไง” มันสวนกลับมาทำเอาผมหุบยิ้มถลึงตาใส่มันอย่างไม่พอใจ
มันแทงใจผมอยู่หลายส่วน....
“เหอะ กูแค่ปลีกตัวออกมาก็เท่านั้น” ผมพิงกับพนักเก้าอี้เพราะปวดหลัง ถอนหายใจทิ้งอีกเฮือกนึง ไอ้แกนเหล่มามองผมอยู่นานสีหน้าเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่าง “มีอะไร” ผมถามมัน สบตาอีกฝ่ายตรงๆ ไอ้แกนมันขยับมาใกล้ๆ อย่างผิดวิสัย ปกติมันจะทิ้งระยะห่างระหว่างกันไว้ ตอนนี้มันทำตัวแปลก
“ทำไมมึงถึงสักชื่อกูไว้” ไอ้แกนมองนิ่งๆ ทำเอาผมนิ่งงันไป แสดงว่าวันนั้นมันเห็นจริงๆ ด้วย ผมนึกคำอธิบาย
“ก็แค่สักไปแบบนั้น” ผมตอบไปอย่างระมัดระวังไม่ให้คำพูดมาทำร้ายตัวเองได้ภายหลัง
ไอ้แกนยังคงจ้องผมไม่ละสายตาไปไหนจนผมอึดอัดมากกว่าเดิม มันขมวดคิ้ว
“ต้องสักไว้ด้วยเหรอวะ ไม่อยากลืมกูหรือไง”
“แค่ชื่อไม่ได้หมายถึงตัวมึงหรอก ตอนนั้นกูยังเด็กไม่ได้คิดอะไรลึกซึ้ง” ผมบอกไปตามที่คิด ก็แค่สักไว้กันลืม
“มึงไม่มีทางลืมกูหรือชื่อกูได้อยู่แล้ว มึงเจ้าคิดเจ้าแค้นหรือแค่...” มันหยุดพูดก่อนจะใช้สายตาประเมินพินิจพิจารณาอะไรสักอย่าง เป็นสายตาที่ไม่เคยใช้กับผมมาก่อน ผมแปลกใจ
“อะไร ว่ามาสิ” ผมถามต่อ
“เปล่า” มันบ่ายเบี่ยงก่อนจะเสมองไปที่ทิวทัศน์ตรงหน้าแทน ท้องฟ้าปลอดโปร่งเมฆบางตาดวงอาทิตย์ยามบ่ายส่องแสงจ้า ผมหงุดหงิดในใจที่มันทำเป็นปิดบัง
“ช่างเถอะ” ผมตัดบทไม่อยากรู้เท่าไหร่ มันคงยั่วโมโหผมก็เท่านั้นแหละ
“ตอนเย็นว่างไหม” มันจะถามทำไมกัน
“ไม่ว่าง” ผมตอบแบบไม่ต้องคิด ไอ้แกนทำหน้าไม่พอใจกับคำตอบ
“คิดก่อนสิวะ” ไอ้แกนหันมามองผม
“มีอะไรล่ะ”
“แค่อยากชวนเฉยๆ” ผมต้องหูฝาดไปแน่ๆ เมื่อเช้ามันก็พูดแบบนี้ หวังว่าจะไม่บ้าจี้ชวนผมไปเลี้ยงเหล้าอะไรแบบนั้นหรอกนะ
“มึงอยากสงบศึกกับกูจริงๆ หรือเปล่าวะ ถามหน่อย” มันพูดห้วนๆ เหมือนหงุดหงิด รับรู้ได้ถึงสายตาที่จ้องเขม็ง ผมไหวไหล่
“จะให้กูยิ้มแย้มกอดคอดีใจที่เป็นเพื่อนกับมึงหรือไง มันง่ายไปไหม” มันควรจะให้เวลาผมอีกสักระยะ ไอ้แกนทำเสียงหงุดหงิดฮึดฮัดอยู่ข้างๆ แต่ไม่ได้พูดอะไรต่ออีก “มึงมีอะไรหรือเปล่า” เป็นผมซะอีกที่ต้องคาดคั้นเอาคำตอบจากมัน
“ช่างเถอะ” มันตอบอย่างรำคาญ เอ้าไอ้เวรนี่
“มึงควรตอบดีๆ ไม่ต้องมาเล่นลิ้น” ผมสกัดกั้นอารมณ์อย่างอดทน
“มึงคงปฏิเสธอยู่ดี” มันตอบอย่างหงุดหงิด ผมงงกับมัน เมื่อเช้ามันยังพูดกับผมด้วยท่าทีถ้อยทีถ้อยอาศัย จะว่าไปมันก็อดทนกับผมมาตลอดนั่นแหละ
“แล้วอะไรล่ะ มึงก็พูดมาสิวะ” ผมชักอารมณ์เสียบ้าง
“ไปห้องกูไหม”
“หา” ผมอึ้งไปเล็กน้อย ตอนแรกคิดว่ามันจะชวนผมไปกินเหล้าซะอีก
“จะไปไหม”
“แล้วทำไมกูต้องไปห้องมึง” ผมอดคิดไม่ได้จริงๆ มันคิดอะไรแปลกๆ อยู่หรือเปล่า
“แค่อยากให้มึงรู้จักกูบ้าง มีแต่มึงไม่ใช่เหรอที่ไม่เคยเปลี่ยนแต่กูเปลี่ยนให้มึงไม่รู้ตั้งเท่าไหร่” ผมไม่ชอบที่มันมาพูดจาอะไรแบบนี้ โดยเฉพาะประโยคหลังมันทำให้ผมร้อนๆ หนาวๆ “เลิกทิฐิกับกูสักทีไม่ได้เหรอวะ” สิ้นคำของมันน้ำเสียงที่มันใช้สะกิดใจผม
“ก็บอกแล้วไงว่าไม่ใช่เร็วๆ นี้”
“กูยอมลงให้มึงมากแล้วนะ คนแบบกู...” มันเน้นคำ สายตามันก้าวร้าวชัดเจน
อืม...นั่นน่ะสิ คนอย่างไอ้แกนมันรักศักดิ์ศรีของมันจะตายไป มันยอมอ่อนข้อให้ผมมานานแล้วแต่นั่นเพราะมันเป็นฝ่ายผิดไง ก็สมเหตุสมผลดี
“อือ ทำไมกูจะไม่รู้คนแบบมึงน่ะ”
“กูอยากให้มึงรู้จักกูจริงๆ สักครั้ง ตอนนั้นกูแกล้งมึงหนักจริงๆ แต่ไม่ใช่ตอนนี้ กูโตแล้ว” มันก็แปลกนะ มันบอกว่าโตแล้วแต่ดูจากที่มันทำกับไอ้สองหรือไอ้ท็อปเหมือนคนไม่รู้จักโตสักเท่าไหร่ ทำตัวเป็นเด็กๆ ไปได้ คิดไปคิดมาผมก็ชะงักก่อนจะย้อนดูตัวเอง ที่ผมกำลังทำอยู่ตอนนี้ผมรู้จักโตหรือแค่นิสัยเด็กๆ กันนะ
ผมกับมันเงียบไปพักใหญ่
“ตอนนี้มึงเลิกกินอะไรพิสดารนั่นหรือยัง” สุดท้ายมันก็เป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาก่อน ไอ้เรื่องเหล้ายาของมึนเมาประเภทนั้นผมไม่ได้ไปยุ่งอีก พักหลังมาร่างกายโทรมๆ ไป ผมถอนหายใจเบาๆ
“อืม”
“ที่กูพูดถึงเพราะกูเป็นห่วง” ไอ้แกนพูดห้วนๆ แต่ไม่ได้ฟังดูก้าวร้าวอะไร สิ้นคำพูดเหมือนมีลมหอบใหญ่พัดผ่าน ผมเงียบมันก็เงียบ
อีกฝ่ายทำให้ผมพูดไม่ออก หูผมไม่ได้ฝาดและตาผมไม่ได้บอด มองออกว่ามันพูดจริงผมเลยรู้สึกกระดากกับมันมากจริงๆ
“ว่าตามตรงช่วงหลังมานี้กูก็อยู่เงียบๆ ไม่ได้มีพวกพ้องเหมือนแต่ก่อน” มันเล่าไปเรื่อยๆ
“อืม”
เป็นไอ้แกนที่เป็นฝ่ายเงียบไปไม่ตอบโต้อะไร ผมมองไปที่มัน อีกฝ่ายแค่จ้องไปที่ความว่างเปล่าตรงหน้าผม ไม่รู้ว่าพักหลังมานี้มันเจออะไรมาบ้าง
“ก็ได้... ถ้ากูตอบตกลงแล้วมันจะจบเรื่อง” ผมพยายามไม่คิดอะไรมากกับเรื่องที่มันพยายามเข้าหาผมอยู่เรื่อย ไอ้การเข้าหาแบบนี้ทำให้ผมไม่ไว้ใจมันเท่าไหร่ ไม่อยากคิดในทางแง่ลบและผมก็ไม่เห็นว่ามันจะมีท่าทีพิศวาสเพศเดียวกัน แน่นอนว่ามาจากความรู้สึกผิดล่ะมั้ง มันไม่ตอบอะไรแค่นั่งนิ่งๆ “ทำไมต้องให้กูไปห้องมึงด้วย มีอะไรดีหรือไงวะ” ผมลองหยั่งเชิงมันดู ความรู้สึกขยาดมันลดน้อยลงไปบ้าง
“ไม่รู้สิ ถ้าถึงห้อง ก็รู้เอง” ไอ้แกนพูด ใบหน้าหยาบกระด้างเหมือนจะอ่อนลงไปบ้าง ถ้าผมมองไม่ผิดเพิ่งได้สังเกตว่ามันดูซูบไป ผมไม่เคยมองมันนานๆ อย่างชัดเจนแบบนี้ ปกติผมจะมองเห็นแค่ความผิดของมันก็เท่านั้น ไม่ได้มองด้านอื่น สนใจเรื่องอื่น
“มึงป่วยเหรอ ถึงดูผอมๆ” ผมลองถามดูถือเป็นเรื่องใหม่ ที่ผ่านมาผมไม่ใส่ใจมันนัก ไอ้แกนเลิกคิ้วประกายความแปลกใจพาดผ่านแววตาของมันอย่างไม่ปิดบัง ดูมันจะนิ่งไปก่อนจะส่ายหน้า
“ไม่หรอก แค่ไปช่วยงานชมรมฯเยอะไปหน่อย กูสบายดี” ไอ้แกนพูด ระหว่างนั้นมันมองหน้าผมไปด้วย ทำตัวเป็นผู้พูดที่ดีต้องมองตาผู้ฟังอะไรแบบนั้น ผมเบนหน้าไปอีกทางแทน
“อ๋อเหรอ” ใช่สิ มันว่างนี่ ผมหยิบโทรศัพท์ออกมาดูเวลาเพราะเสียเวลากับไอ้แกนมาหลายนาทีแล้ว “กูไปล่ะ” ผมตัดบทมันก่อนจะลุกขึ้นยืน ไอ้แกนลุกยืนตาม ผมหันไปมองมันอย่างไม่สบอารมณ์เท่าไหร่
“มึงต้องมาเพราะกูจะคืนของให้มึง” ไอ้แกนรีบเดินเข้ามา ระหว่างนั้นผมเดินไปจนถึงหน้าบันไดแล้ว
ของอะไร? ผมพยายามนึกถึงว่าเมื่อก่อนมันได้ขโมยเอาอะไรจากผมไปบ้าง
“ของ?” ผมทวนคำงงๆ ไอ้แกนพยักหน้า
“เออ กูถึงอยากให้มึงมาไง”
“อืม ก็ได้” ผมตอบไปเพราะเดี๋ยวมันก็หาเรื่องมากรอกหูผมอีก
ผมรีบเดินลงบันไดกลับไปที่สตูเพราะไม่อยากอยู่กับมันนานๆ ใจผมรู้ดีว่าตอบตกลงมันไปง่ายๆ แต่ก็นะ จะให้เออออไปกับมันรวดเร็วเกินไปก็ดูแปลกๆ แน่นอนว่าผมกับมันคงเจอการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เพราะผมกำลังจะญาติดีกับมันไงล่ะ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดล่ะนะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-02-2018 16:29:14 โดย รินดาwดาริน »

ออฟไลน์ Dark_Noah

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 838
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-3
อยากอ่านความรู้สึกแกนบ้าง ที่ก่อนหน้านี้แกนเคยพูดถึงคน ๆ นึงแล้วบอกว่าคงสายไปแล้วนี่คือ ดีน รึเปล่า  :hao5:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ซับซ้อนจริง จิตใจคน
ดีน เลือกทางที่ทำให้ตัวเองมีความสุข สักทีเถอะ
ที่ผ่านมา มีแต่ความทุกข์ ความสับสน
ตัดใจจากความทุกข์  หม่น เศร้า
เอาใจช่วยดีน อยากเห็นดีนมีความสุข
ยิ้มแย้มเหมือนคนที่มีความสุขจริงๆ เสียที :mew1: :mew1: :mew1:
      :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:


ออฟไลน์ flimflam

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 881
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-4
คู่นี้จะยังพอมีหวังสินะคะ  :hao5:
หรือจะจบแบบเฟรนด์โซน 555555555555

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
ถึงดีนกับแกนจะไม่ใช่คนดีอะไรมากมายแต่เราก็อยากให้มีคว่มสุขนะ
ชีวิตเรามันสั้น อย่ามัวจมดับอดีตที่แก้ไขไม่ได้เลย
สองคนนี้อาจจะเป็นเพื่อนกันก็ได้ ขี้เกียจหวังสูง
ขอแค่เขียนจบก็พอละ

ออฟไลน์ ChaniiNoiy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 13
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
แกนดีน คู่นี้จะเป็นยังไงนะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
ถึงจะหายไปนานก็ยังตามอยู่นะ ขอพาร์ทแกนบ้างงง

ออฟไลน์ ChaniiNoiy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 13
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ดราม่าเอย จงซับซ้อนยิ่งขึ้น ไรท์คะมาได้แย้ววววว

ออฟไลน์ รินดาwดาริน

  • OnTop&N'Song
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +243/-2
Deen Diary
บทที่ 7 แท้จริงแล้ว เราอาจไม่ได้เกลียดกัน

ผมตัดสินใจส่งข้อความไปหาพี่กัสเรื่องงานเลี้ยงส่ง
Deen : พี่กัสผมคงไปงานเลี้ยงพี่ไม่ได้ ผมมีนัดสำคัญพอดี งั้นไว้เจอกันที่สนามบินเลยดีกว่า บอกผมด้วยนะครับว่าจะไปไฟล์ทไหน
ผมกดส่งหลังจากที่ชั่งใจอยู่หลายนาที ผมกลั้นใจเก็บโทรศัพท์และจะไม่เปิดอ่านข้อความตอบกลับของพี่กัส และหวังว่าเจ้าตัวจะไม่โทรกลับมาแทน แต่ผ่านไปห้านาทีก็ไร้วี่แววข้อความของพี่กัส คงรับรู้แล้วล่ะ
หลังทำงานเสร็จผมลงไปที่ลานจอดรถเห็นไอ้แกนนั่งรออยู่ที่ฟิกเกียร์คันโปรดของมัน ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ อยากจะรู้จริงๆ ว่ามันมีอะไรจะคุยกับผมหรือห้องของมันมีอะไรน่าสนใจงั้นเหรอ เมื่อไอ้แกนเห็นผมมันก็เตรียมตัวจะกลับ
“ตามกูมาก็แล้วกัน หรือว่ามึงรู้จักหอกูอยู่แล้ว” ไอ้แกนพูดท่าทางปกติแต่ผมตงิดในใจ
ใช่... ผมรู้ว่าหอพักมันอยู่ที่ไหน ใครๆ ในสาขาก็รู้กันทั้งนั้น
“เออ” ผมบอกห้วนๆ แล้วเดินไปที่รถมอเตอร์ไซด์ของตัวเองก่อนจะสตาร์ทเครื่อง ไอ้แกนมันปั่นฟิกเกียร์นำออกไปก่อน ผมรอให้มันปั่นจนออกจากคณะค่อยขี่ตามมันไป
ใช้เวลาไม่นานนักไม่ถึงสิบนาทีด้วยซ้ำก็ถึงหอพักไอ้แกน เพราะมันพักอยู่ข้างมอที่เองมันเลยปั่นจักรยานมาได้ ผมจอดรถเห็นไอ้แกนยืนอยู่ที่หน้าประตูรอ ผมท้องไส้ผมปั่นป่วนขึ้นมาอยากจะกลับซะตอนนี้ แต่เมื่อมาแล้วก็ไม่อยากปอดแหก ผมเดินไปหาไอ้แกนมันส่งยิ้มให้ผมทำให้ผมงงเล็กน้อย มันบ้าหรือเปล่า ผมแค่ทำหน้าตึงใส่มัน ไอ้แกนใช้คีย์การ์ดเปิดเข้าไปห้องของมันที่อยู่ชั้นแรกริมสุด สภาพหอพักก็กว้างขวางดี มันไขกุญแจอยู่นานไม่รู้มันตั้งใจกวนตีนหรือเปล่า
“เข้าไปได้ห้องรกนิดหน่อย” มันบอกดันประตูออกกว้าง ผมมองมันอย่างไม่ไว้ใจแต่ก็จำใจเดินเข้าไปในห้อง ไอ้แกนตามเข้ามาเปิดไฟ เอาจริงๆ ห้องของมันก็ไม่ได้รกหรอกออกจะสะอาดเป็นสัดส่วนกว่าห้องของผมด้วยซ้ำ ไอ้แกนเดินเอากระเป๋าไปเก็บที่โต๊ะ ผมมองทุกอากัปกิริยาของไอ้แกน
“มีอะไรว่ามาเลย” ผมรีบพูดไม่อย่างนั้นมันจะลีลาไม่เปิดปากซะที
“นั่งก่อนน่า” มันบอกเสียงเหมือนขัดใจ
ผมถอนหายใจเดินไปนั่งเก้าอี้ริมหน้าต่าง ไอ้แกนเดินไปที่ตู้เสื้อผ้ามันเปิดลิ้นชักล่างสุดค้นหาอะไรสักอย่างดังขลุกขลัก ผมเลยได้โอกาสสำรวจห้องของมัน เตียงนอนเป็นระเบียบแม้กระทั่งหมอนยังวางไว้เป็นแนวเดียวกัน มุมห้องมีตู้หนังสือระดับศีรษะส่วนมากเป็นสมุดภาพหนังสือสเก็ตช์ซะส่วนใหญ่ ห้องมันสะอาดไม่เหมือนคนที่เรียนศิลปะที่ปกติต้องรกบ้าง อย่างน้อยต้องมีกระดานเกะกะ กระดาษพรูฟสักม้วนมุมห้อง ยกเว้นเฟรมผ้าแคนวาสวางสอดอยู่ใต้โต๊ะคอม
ผมละสายตาออกจากข้าวของของไอ้แกนก็พบว่ามันกำลังจ้องผมอยู่ เขม็งซะขนาดนั้น ในมือมันถือกล่องขนาดครึ่งเอสี่ ผมยิ่งสงสัยว่าในนั้นมีอะไร ผมไม่เคยทำอะไรตกหล่นไว้หรือเคยให้อะไรมันสักอย่างแน่นอน
“อะไร” ผมถาม ไอ้แกนเดินมาหาพร้อมยกเก้าอี้มาด้วย ทำเอาผมขมวดคิ้วอย่างกังวล ตอนนี้ผมไม่ไว้ใจมันเลย
“เลิกระแวงกูเหอะ รำคาญลูกตา” มันพูดแดกดันก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้ตรงข้ามกับผม ทิ้งระยะห่างไว้ไม่มากนัก ถ้าเขยิบมาใกล้อีกนิดก็คงเข่าชิดกันไปแล้ว
“นั่นอะไร” ผมถามคำถามเดิม ไอ้แกนเหลือบมองหน้าผมก่อนจะยื่นมาให้
“เปิดดูเอง” สิ้นคำของมันผมมองของในมือมันก่อนจะเอื้อมไปรับมา ผมแปลกใจที่มันไร้น้ำหนักอย่างเหลือเชื่อ เพราะผมคิดว่ามันต้องมีสิ่งของอยู่ข้างในแน่ๆ แต่มันไม่หนักแม้แต่น้อย ถ้าอย่างนั้นเป็นสิ่งของที่เบาเช่นกระดาษงั้นเหรอ
ผมเหลือบมองไปที่ไอ้แกนท่าทางมันดูตื่นเต้นเพราะสายตามันหลุกหลิกคอยระวัง เมื่อมือของผมแตะไปที่ฝาเปิด ผมเปิดออกก่อนจะมองสิ่งที่อยู่ข้างใน
ผมอึ้งไปหลายนาที ไม่คิดว่ามันจะให้ผมดูสิ่งนี้
‘เงิน’ นั่นเอง จำนวนสามร้อยห้าสิบบาทเป็นแบงค์เก่าๆ บ่งบอกว่าผ่านมาหลายปี
ที่แท้ก็เป็นเงินที่มันเอาจากผมไปเมื่อสมัยมัธยม เงินค่าขนมของผมตอนนั้นในเวลานี้มันก็แค่เงินสามร้อยกว่าบาท ไม่มากมายอะไร แต่เทียบกับเมื่อก่อนที่ผมได้รับเป็นรายสัปดาห์ถือว่าเก็บไว้กินได้หลายมื้อ
ผมสงสัยว่ามันให้ผมเพื่ออะไร? อยากให้ผมรู้สึกอะไร
ยอมรับว่าวินาทีแรกผมเจ็บใจนิดหน่อยเพราะเรื่องตอนนั้นมันผุดขึ้นมา ผมไม่ได้มองหน้าไอ้แกน ผมไม่อยากเห็นว่ามันทำหน้าตายังไงหรือรู้สึกยังไง ผมไม่ได้พูดอะไรออกไปเพราะเหมือนคอมันเหือดแห้งไปหมด
มันเก็บไว้ทำไม? มันไม่ได้เอาไปใช้งั้นเหรอ
“มึงต้องการอะไร” ผมปิดกล่องแล้วยื่นคืนให้มัน ไอ้แกนไม่ได้รับกลับไปทำให้ผมมองหน้ามัน ไอ้แกนแค่มองผมนิ่งๆ ผมเดาไม่ออกว่ามันคิดอะไรอยู่มันแค่นั่งนิ่งๆ
“ไม่ได้ต้องการอะไรมาก แค่เอาคืนให้มึงก็เท่านั้น”
“แล้วไง”
“ถือว่าเป็นความจริงใจจากกูก็แล้วกัน กูรู้สึกไม่ดีเรื่องมึง” มันพูดช้าๆ ผมถือกล่องไว้ในมือบอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร ผมสูดหายใจลึกๆ อันที่จริงไม่เห็นว่ามันต้องทำแบบนี้เพราะผมยอมคุยกับมันก็ถือว่าผมลดทิฐิลงแล้วไม่ใช่เหรอ
“อือ กูไม่ได้โง่นี่” ผมบอกห้วนๆ ไม่ได้มองหน้ามัน แต่เห็นจากหางตาว่ามันกำลังจ้องผมอยู่ มันทำให้ผมอึดอัดแทบตาย อยากจะออกไปจากตรงนี้... ที่ของมัน
“มึงจะยอมให้กูบ้างไม่ได้เหรอ” อยู่ๆ มันก็พูดจาน่าสงสารขึ้นมาเหมือนเรียกร้องความสนใจ แน่นอนมันทำได้เพราะผมสนใจมัน ไม่รู้ว่ามันแกล้งทำตัวน่าสงสารให้ผมเห็นใจหรือเปล่า แต่ผมไม่อยากคิดว่ามันกำลังทำตัวน่าสงสารเพราะมันน่าสงสัยว่าเพื่ออะไรกัน
“ได้เท่านี้ก็ดีเท่าไหร่” ผมแค่นหัวเราะแบบไร้อารมณ์ขัน เพราะผมไม่ได้เกลียดมันแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นตอนไหน
“ก็ถือว่ากูพยายามดีใช่ไหม”
“...” ผมไม่ตอบ
ไอ้แกนถอนหายใจก่อนจะผายมือไปรอบๆ “ที่จริงแล้วกูก็แค่หาเรื่องคุยกับมึงมากกว่า”
“อะไรนะ” ผมถามซ้ำ ไอ้แกนเม้มปากมันยิ้มเยาะตัวเอง
“ถ้ากูไม่บอกว่ามีของให้ มึงคงไม่มีวันมาใช่ไหมวะ” มันถามเหมือนต้องการคำตอบ
“ใช่ กูไม่มาหรอก” ผมตอบไปตามตรง
“เพราะแบบนี้ไงกูถึงหาข้ออ้างให้มึงแล้วก็ตัวกูด้วย” ประโยคสุดท้ายผมคงได้ยินผิดไป ผมนิ่งค้างก่อนจะมองหน้ามันแบบเต็มๆ ตาอีกครั้ง นี่คือคำพูดจากปากไอ้แกนเหรอวะนั่น ผมตกใจมากกว่า คำถามเต็มไปหมด
“อะไรของมึง” ผมไม่เข้าใจที่มันจะพูด บรรยากาศในห้องเหมือนออกซิเจนหมดเพราะมันหายใจลำบาก มันคือความอึดอัดความเคลือบแคลงใจต่อกันและความประหวั่นแบบแปลกๆ ผมรู้สึกอย่างนั้น
“ที่ผ่านมากูเสียเพื่อนไปหลายคน กูแค่ไม่อยากเสียไปอีกก็เท่านั้นล่ะวะ” มันพูดเหมือนยอมรับชะตาตัวเอง มันเพื่อนน้อยลงหลังจากไปท้าต่อยตีบนสังเวียนมวย ชื่อเสียงด้านลบก็มากขึ้น ผมไม่คิดว่ามันจะแคร์หรอกเว้นแต่ถ้ามันไม่หนักหนาจริงๆ
หรือว่าบางทีมันอาจจะเป็นแค่คนอ่อนแอเท่านั้น ไม่ใช่เฮียแกนที่ใครๆ ก็เรียกหา
ผมเงียบกำลังเรียบเรียงเรื่องราวในหัวอย่างสับสน สุดท้ายผมก็ไม่เข้าใจไอ้แกนเลยจริงๆ นี่ไม่ใช่ไอ้แกนที่ผมรู้จักหรือจริงๆ แล้วผมไม่เคยรู้จักมันจริงๆ
“แล้วจะให้กูทำยังไง กูไม่รู้จริงๆ” ผมบอกมันผม ‘ควร’ วางตัวกับมันยังไง ผมยังนึกภาพไม่ออกระหว่างมันกับผม ไม่ใช่ความสัมพันธ์แบบคู่อริ เพื่อนก็ไม่ใช่ หรือศัตรูก็ไม่เชิง แล้วผมต้องอยู่ตรงไหนระหว่างเส้นกั้นความสัมพันธ์พวกนี้กัน?
ผมเงียบ ไอ้แกนเงียบ
ให้ตาย ที่แท้มันเกิดอะไรขึ้นแน่
“กูขอโทษ” อยู่ๆ ผมก็อยากพูดคำนี้ ในเวลานี้ผมกลับไม่ได้รู้สึกไม่ชอบมัน ทั้งๆ ที่ลดลงจาก ‘เกลียด’ คงเป็น ‘ไม่ชอบ’ แต่มันไม่ได้เป็นแบบนั้น ผมแค่รู้สึกปกติธรรมดาก็เท่านั้น
ไอ้แกนเงียบไป มันกอดอกหัวเราะเบาๆ กับตัวเอง ผมมองมัน
“อะไร”
“ตลกนะว่าไหม ดูมึงกับกูสิ” ไอ้แกนส่ายหน้า
“งั้นกูกลับล่ะ” ผมควรกลับดีกว่า อยู่นานกว่านี้ผมคงคอนโทรลตัวเองไม่ได้ ผมต้องสติแตกแน่ๆ ผมลุกขึ้นยืนแต่คำถามของไอ้แกนทำให้ผมสะดุด
“มึงสักชื่อกูไว้ทำไม” ไอ้แกนถามอีกรอบแต่ผมไม่มีคำตอบให้มัน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-02-2018 16:32:37 โดย รินดาwดาริน »

ออฟไลน์ รินดาwดาริน

  • OnTop&N'Song
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +243/-2
โปรดติดตามตอนต่อไป  :กอด1:

ตอนหน้าจะมาด้วยพาร์ทของแกนสักหน่อย จะได้รู้ว่าเจ้าตัวรู้สึกนึกคิดอะไรบ้าง พาร์ทของแกน เราค่อยข้างคิดหนักอยู่
เพราะ ด้วยคาแรกเตอร์ของแกนเอง ที่ดูไม่ค่อยมีเหตุผลสักเท่าไหร่ ฮ่าๆ เวลาใช้บทบรรยายไม่รู้ว่าจะใช้ซอฟท์ๆหรือดิบๆไปเลย
ก็กลัวว่าจะดูหยาบไป เพราะ เราตั้งใจจะรีไรท์บทพูด บทบรรยายในเรื่องใหม่ให้มันดูหยาบน้อยลง เวลาอ่านจะๆได้ไม่กระดากๆชอบกล

เรากลับไปอ่านทวนเเล้วตกใจตัวเองเหมือนกันนะคะนั่น  :a5: ช่วงนี้ขอเคลียร์เรื่องของดีนไปก่อน แล้วจะต่อด้วยคู่หลัก
จะมีผิงมาแซมบ้างเล็กน้อย เพราะตั้งใจจะเก็บไว้ใส่ตอนพิเศษอีก เดี๋ยวหมดมุกค่ะ 5555

ยังไงก็ฝากติดตาม ดีนไดอารี่กันต่อ อย่าเพิ่งหายหน้าหายตากันไปซะก่อนนะคะทุกคน
จะแค่เฟรนด์โซน หรืออะไรพิเศษ ก็รอติดตามกันนะจ๊ะ  :เฮ้อ:

ขอบคุณสำหรับการติดตามจ้า แม้คนเขียนจะหายไปหลายเดือน  :hao5:


เรื่อง สายลับจับเสี่ย กำลังปั่นอยู่เช่นกันจ่ะ รอติดตามกัน สามารถไปกด ไลค์แฟนเพจกันได้นะจ๊ะ ตามรูปด้านล่างเลยจ้า
V
V
 :bye2:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ลึกๆ ดีน คงคิดกับพี่กัส แบบเป็นไอดอล เป็นพี่ชาย
กัส ต้องมีปัญหา ที่ทำให้กลับไปฟิลิปปินส์แน่ๆ
กัส ทำตัวปกติ แต่ดูไม่ปกติ ดูสบายๆ
แต่คำพูด ก็ขัดกับที่พูดคราวก่อน
แกน นี่คิดกับดีนยังไง เหมือนชอบๆ ดีน นะ
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:



ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
ขอบคุณที่มาต่อค่ะ แกนก้อแอบน่ารักดีนะ บางมุม ฮ่าๆๆๆๆ

ออฟไลน์ aommyga40

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 99
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
เย้ๆ ดีใจที่มาต่อ สู้ๆๆๆค่ะ รอออออ :mew1: :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ ChaniiNoiy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 13
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
จะได้รู้ความรู้สึกแกนบ้างแล้ว

ออฟไลน์ nutty

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1142
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +63/-3
 มุมแกนก้อดี คิดอะไรในใจ 555

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด