เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียงวิศวะ ตอนพิเศษ 14.11.62 อัปจ้า
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียงวิศวะ ตอนพิเศษ 14.11.62 อัปจ้า  (อ่าน 248968 ครั้ง)

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
กลับมาพร้อมความหวานของคู่หลัก แต่พี่ท็อปนี่รสนิยมน่าสนใจดีนะคะ

ออฟไลน์ Bradly

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 200
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1

ออฟไลน์ Dark_Noah

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 838
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-3
เราชอบความสัมพันธ์ของคู่นี้มาก เป็นความสัมพันธ์ในอุดมคติของเราเลย ทั้งความเข้าใจกันและกัน และการไม่ยึดติดกับตำแหน่งบนเตียง เป็นคู่ที่รักกันด้วยใจ ไม่ใช่แค่ใครเป็นผัวเป็นเมีย แต่ตอนนี้เราอยากรู้ความเป็นไปของอีกคู่แล้ว 555555555555555

ออฟไลน์ kun

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-10
ท็อปสองเป็นคู่ที่น่ารักมากเลยอ่ะเข้าใจกัน ไม่ยึดติดดูแลกัน ดีงามอ่ะ

ออฟไลน์ Dark_Noah

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 838
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-3
ขอโทษนะคะ หาตอนแรกๆอ่านได้ที่ไหนคะ หรือต้องรอรีไรท์เสร็จอย่างเดียว

คนเขียนลงตอนแรก ๆ ในธันวลัยไว้ค่ะ

ออฟไลน์ Bradly

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 200
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
รักท็อปสอง ขอบคุณที่มาต่อนะคะ รักนิยายเรื่องนี้มาก :pig4:

ออฟไลน์ รินดาwดาริน

  • OnTop&N'Song
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +243/-2
Deen Diary
บทที่ 8 การเริ่มใหม่ กับที่คนที่เคยเกลียด

ผมมองสภาพของตัวเอง มันน่าสมเพชที่ต้องให้มันมาเห็นผมแบบนี้ ผมเหนื่อย.....

ถูกอย่างที่ไอ้แกนว่าทุกอย่าง มันถึงเวลาแล้วจริงๆ พี่กัสก็เริ่มต้นใหม่แล้ว ผมต้องเริ่มต้นใหม่ให้ได้ ผมไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องอ่อนแอขนาดนี้ เรื่องมันไม่ได้หนักหนาสาหัสอะไรแต่ทำไมมันกระทบต่อใจมากนักนะ ความรู้สึกคนไม่ใช่เรื่องเล่นๆ และไม่ควรมองข้าม
ผมได้ยินเสียงจากด้านนอกไอ้แกนยังไม่ไปไหน มันคงเก็บกวาดห้อง ผมหลับตาลงมองข้ามความเป็นไอ้แกนออกไป หากมองว่ามันแค่คนคนนึงแล้วมันทำขนาดนี้ก็สมควรได้รับการให้อภัยใช่ไหม ผมลุกขึ้นยืนก่อนจะล้างหน้า พอน้ำเย็นปะทะกับใบหน้าทำให้ผมได้สติขึ้น ผมไม่อยากร้องไห้ไม่มีอะไรต้องร้องไห้
มันก็เจ็บอยู่หรอก แต่ผมจะเลิกทำร้ายตัวเองเสียที
เหตุผลที่ผมสักชื่อมันไม่ได้มีอะไรลึกซึ้งขนาดนั้น แค่อยากจำไม่ลืม ผมคิดว่ามันสำเร็จนะ นอกจากจะไม่ลืมแล้วมันยังไม่ไปไหนอีกด้วย ไล่ให้ตายก็ไม่ไป ทำไมมันหน้าด้านขนาดนี้
ไม่เหี้ยจริงก็ทำไม่ได้.... หึ

ผมอาบน้ำ จำไม่ได้อาบน้ำครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ ผมโกนหนวดออกก่อนจะหยิบผ้าเช็ดตัวมาพันรอบเอว ไอ้แกนมันยังไม่ไปอีก ผมถอนหายใจก่อนจะเดินออกจากห้องน้ำ ผมเห็นว่าห้องกลับมาสะอาดเหมือนเดิม ไอ้แกนมันเป็นคนทำ ผมไม่เข้าใจมันเลย
“มึงซักผ้าบ้างหรือเปล่า” ไอ้แกนว่าก่อนจะเดินไปยังตู้เสื้อผ้าเพื่อค้นหาเสื้อผ้าให้ผม
“อย่ายุ่งน่า ถอยไป” ผมบอกมันห้วนๆ ไอ้แกนยอมถอย มันนั่งลงบนเตียงสายตาจับจ้องความเคลื่อนไหวของผมระหว่างที่ค้นหาเสื้อยืดคอกลมสักตัวและเจออยู่ท้ายตู้ มันยับยู่ยี่ ผมหยิบเสื้อออกมาใส่แล้วเหลือบมองไปทางไอ้แกนเห็นว่ามันละสายตามองไปทางอื่นแทน ผมเลยได้โอกาสใส่กางเกงในกับบ็อกเซอร์เพราะไม่เหลือกางเกงแล้ว ผมไม่ได้ซักผ้ามาหนึ่งอาทิตย์
“ออกไปด้านนอกกันไหม” ไอ้แกนชวน ผมเงียบกำลังคิด
“ไปไหน”
“ไปนั่งเล่นที่ไหนก็ได้ที่มึงสบายใจ” ผมเกือบหลุดตอบไปว่า ‘ที่ๆ ไม่มีมึง’ นั่นเป็นคำพูดที่ไม่คิดเลย อยู่ดีๆ ก็นึกถึงประโยคของมัน ‘มึงเคยเสียดายอะไรบ้างไหม ถ้าผ่านวันนั้นมาเเล้วมานั่งคิดเสียดายทีหลังมันไม่คุ้มกันเลย กูรับรู้เข้าใจความรู้สึกนั้นได้ดี’ มันหมายถึงอะไรหรือหมายถึงใครหรือเปล่า แต่ผมไม่ลืมประโยคนี้ของมันแน่ๆ ลืมไม่ลง
“แล้วแต่” ผมได้ยินมันถอนหายใจเฮือกใหญ่ เวลาแบบนี้ไปนั่งเล่นแถวอ่างเก็บน้ำของมหาลัยก็น่าจะโอเค แต่ผมไปกับมันแล้วจะยังไงต่อ นั่งเงียบๆ ถอนหายใจไปมางั้นเหรอ... น่าขำ
“ไปอ่างเก็บน้ำ” ไอ้แกนขานรับ มันหันมายิ้มให้ผมนิดนึง ตาฝาดไปสินะ.....
ผมมองอีกฝ่ายที่กำลังเดินออกไปรอข้างนอก ผมหยิบกางเกงยีนมาสวมก่อนจะคว้ากระเป๋ามาสะพาย
ถ้าตัดทุกอย่างออกไปได้ก็คงดี.....

แม้จะเป็นช่วงเวลาที่น่าอึดอัดแต่ผมกับไอ้แกนก็มาถึงที่บริเวณอ่างเก็บน้ำของมหาลัยจนได้ ไอ้แกนแวะซื้อขนมปังมาสี่ห่อใหญ่จนผมอดคิดไม่ได้ว่ายิ่งซื้อเยอะก็ยิ่งอยู่ที่อ่างเก็บน้ำนานกว่าเดิม คิดไปคิดมาผมก็เลิกอคติกับมันไปซะก็สิ้นเรื่อง ไอ้แกนพาผมมาที่หอใน อ่างเก็บน้ำอยู่ติดกับบริเวณโรงอาหารของหอใน เด็กปีหนึ่งเดินกันให้ควั่ก
“จะกินอะไรหน่อยไหม” ไอ้แกนหันมาถามเมื่อยืนอยู่ข้างๆ ในโรงอาหาร ผมเห็นว่าคนเยอะเลยปฏิเสธก่อนที่จะเดินไปตามทางเพื่อไปอ่างเก็บน้ำแทน อากาศไม่ร้อนเพราะอยู่ในช่วงเย็นมีลมบางๆ พัดมาปะทะใบหน้าเป็นระยะ ผมไม่ได้สนใจอีกฝ่ายมากนักแค่เดินไปเรื่อยๆ “ใจลอยไปถึงไหนกัน มานี่” ไอ้แกนพูดขึ้นมาก่อนจะคว้าแขนผมให้เดินตามมันไป มีบันไดลาดลงไปตามแนวตลิ่งของอ่างเก็บน้ำ ไอ้แกนนั่งลงที่บันไดขั้นสุดท้าย มันยื่นถุงขนมปังมาให้ผมเงียบๆ
จ่อม
ผมขว้างขนมปังลงไปในน้ำ ไม่นานนักปลาสีดำเล็กใหญ่ก็พากันมารุมกินขนมปัง เสียงน้ำกระเซ็นแว่วมาให้ได้ยิน ผมโยนขนมปังไปไกลๆ เหลือบเห็นไอ้แกนไม่ได้ให้อาหารปลามันแค่มองลงไปในน้ำ
“เป็นอะไร” ผมถามมัน เดี๋ยวจะหาว่าผมใจจืดใจดำ มันหันหน้ามามอง
“แค่คิดอะไรนิดหน่อย” มันบอกก่อนจะโยนขนมปังทั้งแถบลงไปในน้ำ ผมมองมันอย่างไม่เข้าใจเลยสักนิด ปลาเข้ามารุมกินขนมปังเสียงดัง เป็นภาพที่น่ากลัว “มึงโอเคแล้วสินะ” ไอ้แกนถาม ผมเงียบกำลังหาคำพูดดีๆ
“อืม ก็ปกติดี” ผมบอก ให้ตายสิวะอึดอัดจริงๆ ผมต้องคิดหาหัวข้อสนทนาต่อไปให้ได้ “กูเองก็คิดมาหลายครั้งแล้วเหมือนกันนะ เฮ้อ... กูเหนื่อยที่จะต้องมาสนใจเรื่องของมึง กูจะปล่อยๆ ให้มันผ่านไป”
“กูไม่ดีเองนั่นแหละ” ไอ้แกนรีบขัด
“ช่างเหอะ มันผ่านมานานแล้วจริงๆ” ผมบอก
“ตกลงมึง...”
“กูจะไม่ถือโทษโกรธอะไรมึงแล้วว่ะ” ผมบอกก่อนจะหันหน้าไปมองอีกฝ่าย ไอ้แกนนิ่งไป มันดูตกใจก่อนจะมีประกายแห่งความยินดีขึ้นมาให้เห็นบ้าง ผมเบนสายตากลับไปที่ผิวน้ำ ขนมปังจมหายไปหมดแล้วปลาพวกนั้นก็หายไปแล้วด้วย
“เรื่องที่มึงจบช้ากูขอโทษก็แล้วกัน” ผมพูดไปเรื่อยๆ เรื่องนี้มาคิดดูอีกทีผมก็มีส่วนที่ผิดอยู่บ้าง ส่วนเรื่องที่ไอ้แกนเคยพูดเรื่องรีเกรดผมเองก็กำลังคิดอยู่เหมือนกัน แต่เทอมหน้าผมต้องไปฝึกงานแล้วจะรีเกรดคงต้องลงช่วงซัมเมอร์
“ดีน” ไอ้แกนเรียกชื่อผมทำเอารู้สึกประหลาดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก พอหันไปมองข้างๆ ไอ้แกนมันจ้องผมอยู่ก่อนแล้ว
“มีอะไร”
“...” มันเงียบผมเลยไม่ได้ถามอะไรอีก ความเงียบที่เกิดขึ้นมันทำให้เกิดช่องว่างของความรู้สึกกระอักกระอ่วนใจล่ะมั้ง หรือกระดากอายงั้นเหรอ ผมเองก็บอกไม่ถูก
“ขอบคุณนะเว้ย” ไอ้แกนพูด ผมเผลอกำมือแน่น มันขอบคุณผมงั้นเหรอ ทำไมกันล่ะ ผมหันไปหามันมันยิ้มเหมือนขบขันที่ผมดูไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง
“ทำไม ขอบคุณเรื่องอะไรกัน”
“ที่มึงยกโทษให้กูไง กูรู้สึกมีค่าขึ้นมาบ้าง” ผมนิ่งอึ้งไปไม่คิดว่าคนอย่างมันจะคิดแบบนี้
“…มึงก็พูดเกินไป” ผมพึมพำกับตัวเองก่อนจะหยิบขนมปังออกมาโยนลงน้ำอีก.... ผมอึดอัด
“อีกอย่างนะ กูเข้าไปคุยกับอาจารย์มาแล้ว กูติดไอรอแก้ช่วงซัมเมอร์คิดว่าคงยื่นจบทัน” ไอ้แกนหันมาอธิบาย หมายความว่าผมกับมันจบพร้อมกันได้สินะ ถือเป็นข่าวดี
“จริงเหรอ ดีใจด้วย” ผมบอกไอ้แกนเม้มปาก
“มีอาจารย์หลายคนไม่อยากให้กูจบช้าไปโดยใช่เหตุหรอก” เพื่อนมันจะได้เลิกสาปแช่งผมซะที

หลังจากที่คุยกันวันนั้นผมกับไอ้แกนก็ไม่ได้ไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อย แค่ต่างคนต่างอยู่เจอหน้าก็แค่ทักทายสร้างความประหลาดใจให้กับเพื่อนๆ ผม ไหนจะรุ่นน้องที่สนิทกันอีก ผมไม่ได้มีเวลาไปสนใจมากนัก
วันเวลาผ่านไปรวดเร็ว สำหรับปีสี่เข้าสู่ช่วงฝึกสหกิจแล้ว
ผมได้ทำงานกับอาจารย์ท็อปที่ตึกคณะ ส่วนใหญ่งานที่ได้รับมอบหมายคือผู้ช่วย หรือ TA และสิ่งที่ต้องปรับตัวให้ชินคือโปรแกรม Excel ที่ผมไม่คิดว่าจะต้องได้ใช้เท่าไหร่ ทุกๆ เดือนต้องเข้าร่วมประชุมเรื่องการจัดนิทรรศการแสดงภาพศิลป์ร่วมกับสำนักงานอื่นๆ ข้อเสียของการฝึกสหกิจกับคณะก็คือเจอไอ้แกนเนี่ยแหละ ผมไม่เข้าใจว่ามันจะมาวุ่นวายกับผมทำไม ได้ยินมาว่ามันฝึกสหกิจที่หอศิลป์ในเมืองไม่ใช่ของหน่วยงานรัฐด้วย ไม่คิดว่ามันจะว่างขนาดที่มาหาผมได้
“มาได้ยังไง” ผมถามหลังจากที่เพิ่งส่งแปลนไปให้อาจารย์ท็อปตรวจได้เวลาพักเที่ยงพอดี ผมเดินออกมาจากห้องทำงานก็เจอไอ้แกนนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ที่โซฟารับรองแขกที่หน้าห้องติดกับทางเดิน
“วันนี้มาประสานงานกับหอศิลป์ของมหาลัยน่ะ มึงก็น่าจะรู้นี่ว่าเดี๋ยวที่ปาร์คกลางเมืองจะมีจัดนิทรรศการศิลปะกลางแจ้ง ตอนนี้พักเที่ยงเลยแวะมาดู” ไอ้แกนพูดแบบหน้าตาเฉย
“อืม แล้วมีอะไร”
“ไปกินข้าวกัน” มันชวนผมกินข้าวเที่ยงเนี่ยนะ
“เดี๋ยวกูกินที่คณะเนี่ยแหละ ไม่อยากออกไปข้างนอก”
“ก็ไม่ได้ออกไปข้างนอก กูแวะมากินข้าวที่คณะเหมือนกัน แต่บังเอิญเจอมึงไง” ไอ้แกนลุกขึ้นยืน มันพับหนังสือพิมพ์เก็บเข้าที่ก่อนจะเดินมาหาผม
ให้ตายเหอะ ไม่คิดว่ามันจะมาอีหรอบนี้
“ตามใจ” ผมไม่อยากรู้หรอกว่ามันจะมาแดกข้าวที่คณะทำไมกัน ไม่สมเหตุสมผลเลย แต่ผมไม่ควรหาคำตอบหรอก

ที่โรงอาหารของคณะคนไม่เยอะอยู่แล้วเพราะมีร้านอาหารไม่กี่ร้าน ส่วนใหญ่คนไปกินข้างนอกไม่ก็ที่โรงอาหารรวม ผมเลยซื้อข้าวกะเพราไข่ดาวเมนูสิ้นคิดจำเจแต่ก็อร่อยที่สุดนั่นแหละ ผมเลือกนั่งโต๊ะด้านในสุดไอ้แกนเดินตามมาทีหลัง มันวางน้ำเปล่าให้ผม
“ไม่เคยได้กินข้าวด้วยกันเลยนะว่าไหม” มันพูดขณะที่เริ่มกินข้าวมันไก่ของตัวเอง
นั่นสินะ... ไม่ถูกกันจะมีโอกาสมานั่งซดก๋วยเตี๋ยวกินข้าวด้วยกันได้ยังไง
“อือ แล้วยังไง” ผมถาม
“ก็ไม่ทำไม” ไอ้แกนบอกท่าทางกวนตีน ผมถอนหายใจก่อนจะก้มหน้าก้มตากินข้าวโดยไม่สนใจมันอีก
“ตกลงจะรีเกรดไหมวะ”
“อืม”
“งั้นเหรอ ดีๆ กูก็ลงซัมเมอร์” มันพูดคนเดียว
“มึงต้องการอะไรวะ” ผมถามมัน
“เปล่า แต่กูก็นึกเป็นห่วงมึง” มือที่กำลังจับช้อนชะงัก ผมเงยหน้ามองอีกฝ่าย.....  มึงเนี่ยนะ?
“ไอ้แกน มึงจะทำอะไรก็ได้แต่อย่ามาก้าวก่ายกูก็แล้วกัน” ผมเตือน มันแค่ไหวไหล่
“ก็ไม่ได้จะทำอะไรซะหน่อย คิดมากอีกแล้ว”
เป็นมื้อกลางวันที่แปลกประหลาด หลังจากที่กินอิ่มไอ้แกนก็เดินหายไปที่ห้องเพ้นท์ ผมไม่ได้สนใจเลยกลับไปที่ห้องทำงาน จากนั้นเป็นต้นมาไอ้แกนก็หายเงียบเข้ากลีบเมฆไป มันไม่ได้มาวุ่นวายกับผมอีก คงเพราะไม่ได้มีเรื่องให้มาที่มหาลัยบ่อยๆ

จบปีการศึกษา ผมเสร็จสิ้นการฝึกสหกิจ ภารกิจสุดท้ายคือมางานแสดงศิลปนิพนธ์ที่คณะและหอศิลป์ของมหาลัย ซึ่งจะถือว่าเป็นครั้งสุดท้ายของการเจอหน้ากันของปีสี่ หลังจากนี้ทุกคนต้องไปหางานทำรอรับปริญญา ส่วนผมยังมีเวรกรรมอีกสามเดือน ผมลงซัมเมอร์เพื่อรีเกรดวิชาภาพพิมพ์ที่เกรดต่ำกว่า C เพราะมีแค่สามเดือนเลยต้องเรียนสัปดาห์ละสามวัน หกชั่วโมงต่อวัน มีอาจารย์สองท่านหมุนเวียนมาสอนผม มีเพื่อนร่วมเรียนเป็นรุ่นน้องสี่คน
ผมไม่ค่อยได้เจอหน้าไอ้แกนเท่าไหร่เพราะเวลาเรียนไม่ตรงกัน อีกอย่างมันเองก็มีงานจะมาทำตัวว่างไม่ได้ ในบางครั้งผมหวนนึกถึงพี่กัสบ้าง เจ้าตัวไม่ได้เล่นโซเชี่ยลผมมีแค่อีเมลเท่านั้นเลยส่งเมลไปถามไถ่ความเป็นอยู่ นานๆ จะตอบกลับมาที ราวกับว่าผมกับพี่กัสห่างไกลกันเหลือเกิน ผมมีโอกาสแวะไปหาพี่ตองบ้างแต่ก็ไม่มีประโยชน์อะไรหรอก แค่หาเพื่อนคุยเวลาว่าง ผมถือโอกาสหางานที่น่าสนใจดู ถ้าจบแล้วจะได้ไม่เคว้งคว้าง

ผ่านไปสามเดือน ช่วงซัมเมอร์จบลงในที่สุด ทำเอาผมแทบอยากโห่ร้องดีใจ ผมยื่นขอทรานสคริปเพื่อเอาไว้สมัครงาน ช่วงนี้ผมเลยมีโอกาสได้พักผ่อนมากขึ้น ผมเจอไอ้แกนอีกครั้งที่หอศิลป์ของมหาลัย ผมนึกแปลกใจว่าอะไรดลใจให้มันมาที่มอเพราะได้ยินว่าหลังจบซัมเมอร์ปุ๊บมันก็หายเข้ากลีบเมฆเพื่อหางานทำไม่ได้มาวุ่นวายอะไรกับผมอีก ซึ่งถือเป็นเรื่องดีนั่นแหละ
พอมาเจอมันที่นี่ผมคิดว่ามันจะบังเอิญไปไหมแต่ก็ไม่ได้คิดว่าการที่มาเจอไอ้แกนเพราะมันตามผมหรืออะไรซะหน่อย ผมมันยาวขึ้นกว่าเดิม ผมหยักศกถูกรวบไว้ด้านหลัง มันสวมกางเกงยีนสีซีดกับเสื้อแขนยาวสีน้ำตาล มันโบกมือให้ผมก่อนจะเดินมาหาด้วยสีหน้าที่ดูสดชื่น ผมเหลือบไปมองรอบๆ กายไม่มีใครสนใจ
“บังเอิญจังนะ” มันพึมพำ
“อืม มาดูงานของใครเหรอ” ผมถาม
“หึหึ แค่แวะมาดูไม่ได้เจาะจงหรอก” มันตอบก่อนจะเหลือบมองผมอย่างจงใจ “ว่างคุยไหม”
“อือ” ผมตอบสั้นๆ ไอ้แกนเลยชวนผมไปนั่งคุยที่เก้าอี้รูปทรงประหลาดๆ เหมือนเป็นรังนก มีโต๊ะกลมที่มีลักษณะเหมือนตอไม้ใหญ่มีลายเส้นเล็กขดเป็นวงกลม
“ช่วงนี้ทำอะไรอยู่เหรอวะ” ไอ้แกนถามผมไหวไหล่
“ก็กำลังหางานทำอยู่” ผมบอก
“คงได้งานแล้วสิ”
“เปล่าหรอกรอเรียกตัวไปน่ะ ไม่รู้จะได้หรือเปล่า” ผมยังรอการตอบกลับจากแผนกช่างศิลป์ของบริษัท InDecor เกี่ยวกับออกแบบภายใน Interior Decoration มีรุ่นพี่เคยไปฝึกงานด้วยหลายรุ่นผลตอบรับค่อนข้างดีทำให้มีโอกาสถูกเรียกตัวไปทำงานได้มาก แต่ไม่รู้ว่ามีกี่คนที่ยังทำงานต่อ
“งั้นเหรอวะ” มันพึมพำ ผมนั่งมองนิ้วมือตัวเองอย่างสนอกสนใจ มีอะไรอีกหรือเปล่าวะ ผมพยายามหาหัวข้อสนทนา
“มึงล่ะเป็นยังไงบ้าง หายหน้าหายตา” ผมถาม ไอ้แกนมองผมนิ่งๆ อะไรบางอย่างในแววตาคู่นั้นของมันที่จ้องมองมาที่ผมนั้นทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ
“ก็ไม่ได้ไปไหนนี่หว่า”
“เหรอ”
“อือ กูได้งานในเมืองน่ะ พอดีมีคนรู้จักแนะนำให้เขาก็เลยรับ มึงล่ะอยู่แถวไหน”
“บริษัท InDecor ในเมือง ถ้าไม่ได้ที่นี่ก็คงหาต่อไม่อยากไปต่างจังหวัดเท่าไหร่” ผมบอก
“อืม งั้นก็ต้องหาที่พักแล้วสิ มีที่พักหรือยังล่ะ” ไอ้แกนถามอย่างกระตือรือร้น ผมมองมันงงๆ อะไรของมัน
“ยัง” ผมตอบและไม่คิดว่าคำตอบของผมจะนำมาซึ่งความวุ่นวายอีกด้วย

หลังจากนั้นไม่กี่วัน บริษัทก็เรียกตัวผมให้ไปทดลองงานสามเดือน ถ้าผ่านก็ทำสัญญาจ้างต่อ รายได้ไม่ถือว่าน่าเกลียด อย่างน้อยๆ ก็ไม่ได้ทำงานวันเสาร์ ระยะนี้ผมจึงวุ่นอยู่กับการเก็บของในห้องพักเพราะกะว่าจะย้ายออก
วันนี้ไอ้แกนมาหาผมถึงหอพัก
“มีอะไร”
“มึงได้หอพักหรือยัง” มันเบียดตัวเองเข้ามาในห้องของผมจน ได้สายตากวาดมองของที่วางอยู่ตามพื้นมันย่นหน้า
“ยังเดี๋ยวกูจะ—”
“ไปเช่าอพาร์ทเม้นท์ของเพื่อนกูก็ได้นะ ถูกด้วยแถมยังอยู่ใกล้ที่ทำงานมึงด้วย ในซอยใกล้ถนนสายหลักทางไปที่ทำงานมึงอะ สนใจไหม” ไอ้แกนพูดให้ผมฟัง มันมาเสนอของให้เพื่อนมันสินะ ผมกำลังหาหอพักอยู่แต่ยังไม่เจอที่ถูกใจเพราะนอกจากเรื่องราคาที่เหมาะสมกับกำลังทรัพย์ไหนจะระยะทางของหอพักกับที่ทำงานอีก
“อือ เดี๋ยวกูดูอีกที” ผมตอบ
“เฮ้ย มึงไม่ไว้ใจกูเหรอ มึงลองดูก่อน” ไอ้แกนทำหน้ายักษ์ก่อนจะยื่นมือถือมาให้ ผมมองดูเป็นรูปสภาพอพาร์ทเม้นท์ ผมเห็นว่ามันสวยดี ห้องกว้างแถมยังใกล้ที่ทำงาน แต่ทำไมมันต้องมาทำเหมือนสนิทชิดเชื้อด้วย ผมยังลำบากใจนิดหน่อย
“อืม ก็น่าสนใจดี” ผมบอกไปแบบนั้น
“ตามใจ เรื่องของมึงนี่หว่า กูแค่แนะนำให้เท่านั้น” ไอ้แกนพูด ผมมองหน้านิ่งเฉยของมัน ท่าทางเหมือนไม่สบอารมณ์แต่ข่มเอาไว้ ผมไหวไหล่แต่ก็เก็บเอาไว้พิจารณา
“ทำไมมึงต้องมาวุ่นวายด้วย” ผมถามไปตรงๆ ตั้งแต่ผมเก็บห้องมันก็ชอบมาเสนอหน้าใกล้ๆ ถึงจะญาติดีกันแล้วแต่ไอ้การที่มันจะกลายมาเป็นเพื่อนแบบนี้ออกจะประดักประเดิด
“ก็แค่เห็นว่ามึงยังไม่มีหอพักเท่านั้นเอง” มันตอบเรียบๆ ผมพยักหน้าไม่ได้สนใจอะไรมันอีก ไอ้แกนเลยกลับออกไป ไม่รู้ว่ามันโกรธอะไรผมหรือเปล่าผมเลยไปปรึกษาไอ้ติ ซึ่งมันแนะนำให้ผมเช่าอพาร์ทเม้นท์นี้ทันทีเพราะราคาถูกดี อาจจะถูกเกินไปด้วยซ้ำ
ผมเลยโทรหาไอ้แกน
[มีอะไร] มันถามกลับมาแบบนี้
“ทำไมราคามันถูกจังวะ”
[ก็เพื่อนกูเป็นเจ้าของ ตอนนี้มันไปเรียนต่อเลยปล่อยเช่า] มันบอก ผมประมวลเหตุและผลอยู่นาน
[ทำไมวะ กลัวอะไร]
“เปล่า ถ้าอย่างนั้นขอเบอร์ติดต่อเพื่อนมึงหน่อย กูจะคุยรายละเอียด”
[ไม่ต้องหรอกเดี๋ยวกูคุยให้ รอเซ็นสัญญาก็พอ] ไอ้แกนพูดห้วนๆ ไม่ทันไรมันก็ชิงตัดสายไปก่อน ผมจิ๊ปากอย่างหงุดหงิด อะไรวะนั่น พฤติกรรมของมันทำให้ผมสงสัย แต่ก็นั่นแหละคงจะเป็นของเพื่อนมันจริงๆ

ผ่านไปสองวันไอ้แกนก็มาหาผมพร้อมกับสัญญาเช่า ผมอ่านรายละเอียดแล้วไม่มีอะไรผิดปกติผมเลยฝากค่ามัดจำให้ไอ้แกนไป
“มันไม่มีบัญชีเหรอ กูโอนไปก็จบ”
“มันเป็นเพื่อนกูนี่ ไม่ต่างกันหรอกน่า” ไอ้แกนพูดเหมือนรำคาญ ผมจ้องหน้ามันอย่างอดทน “ย้ายไปวันไหนบอกด้วยแล้วกันกูมีรถไม่ต้องไปจ้างรถมาขนหรอก” ไอ้แกนมันเป็นญาติกับเผด็จการเหรอวะ มันไม่ฟังผมเท่าไหร่ ท่าทางมันคงลืมนึกไปสินะว่าผมไม่ใช่เพื่อนมันซะหน่อย แต่พูดไปก็เท่านั้นมันไม่ฟังหรอก

ทุกๆ อย่างดูลงตัวไปหมดจนผมอดคิดไม่ได้ว่ากำลังโดนหลอกอะไรหรือเปล่า
นับเป็นวันที่สองที่ผมย้ายมาอยู่ที่อพาร์ทเม้นท์ใหม่ ในขณะที่ผมกำลังไขกุญแจห้องอยู่นั้นก็รู้สึกว่าทางด้านหลังมีเงาดำอยู่เหมือนมีใครเดินมาอยู่ด้านหลัง ผมเหลียวไปมองก่อนจะสะดุ้งเพราะระยะห่างระหว่างผมกับอีกฝ่ายไม่ไกลกันนัก
“ไงวะ ตกใจอย่างกับเห็นผี” มันหัวเราะเยาะ จะใครได้ล่ะ ไอ้แกนไง
ผมมองมันด้วยความแปลกใจ ไอ้แกนในชุดทำงานแบบทางการ นั่นก็คือเสื้อเชิ้ตสีขาวกางเกงสีดำ มันตัดผมใหม่ด้วย ผมสั้นดูสุภาพ ในตอนนั้นผมย้อนไปถึงวันที่เจอกับมันที่หอศิลป์ ผมบอกเรื่องบริษัทไปหวังเหลือเกินว่าจะไม่ใช่บริษัทเดียวกัน
“มึงมาได้ยังไง” ผมไม่อยากมองหน้ามันนัก ระหว่างผมกับมันยังคงมีช่องว่างอยู่ถึงแม้ว่ามันจะพยายามเข้ามาตีสนิทก็เถอะ ไอ้แกนเดินไปยังห้องพักข้างๆ ที่ติดกันทางซ้ายมือ ผมอึ้งหนักไปกว่าเดิม
“กูมาทำงานเหมือนมึงไง แต่ไม่ต้องตกใจไปไม่ใช่ที่เดียวกับมึงหรอก บอกแล้วนี่ว่าได้งานจากคนรู้จักน่ะ” มันพูดเหมือนจะขบขัน ผมย่นหน้ารู้สึกเหมือนโดนหักหลัง
“ทำไมมึงไม่บอกว่าพักอยู่ที่นี่ล่ะ”
“ถ้าบอกมึงก็ไม่อยู่น่ะสิ ใช่ไหม” ไอ้แกนมองหน้าผม
ใช่ ผมไม่อยู่หรอกมันอึดอัดเกินไป
ไอ้แกนแค่หมุนลูกบิดเปิดประตูออก มันกำลังจะเข้าไปข้างในห้อง ผมอับจนถ้อยคำอย่างบอกไม่ถูก
“ไม่ต้องห่วงกูไม่ได้จะมาฆ่ามึงซะหน่อย ยังไงก็ฝากตัวด้วยนะ อย่างน้อยก็เป็นเพื่อนข้างห้อง” ไอ้แกนส่งยิ้มเห็นฟันมาให้ท่าทางเหมือนปีศาจซะมากกว่า มันปิดประตูทิ้งท้าย ผมได้แต่ยืนนิ่ง
‘นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันวะ’
ผมเปิดประตูเข้าไปข้างในห้อง มิน่าล่ะ... ถูกมันมาเซ้าซี้เรื่องเช่าอพาร์ทเม้นท์ห้องนี้เพราะแบบนี้น่ะเหรอไอ้แกน... สุดท้ายมันก็ยังคงเป็นที่ไม่น่าไว้ใจอยู่ดี รู้แบบนี้ไม่น่าหลงกลไอ้แกนมันเลย ทำแบบนี้มันต้องการอะไรกันแน่ะวะ? ผมหาคำตอบดีไหม แต่ลึกๆ แล้วผมไม่อยากได้คำตอบ กลัวว่าคำตอบนั้นจะร้ายแรงเกินไป

ตลอดสามเดือนที่ผ่านมาก่อนที่จะรู้ตัวว่าผมกำลังคิดวนเวียนเรื่องของไอ้แกนมาตลอด ตั้งแต่คำพูดของมันคราวนั้น ทำไมกันนะ? ท่าทีของไอ้แกนที่มีต่อผมมันคืออะไร ผมเข้าใจว่าที่มันมาวุ่นวายกับผมมากขนาดนี้เพราะอยากจะเป็นเพื่อนกับผม เป็นมิตรกันมากขึ้น แต่นานๆ ไปมันกลับไม่ใช่ ผมไม่ใช่เด็กที่ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร
กาลเวลาผ่านไปเร็วจนผมลืมไปเลยว่าพี่กัสไปฟิลิปปินส์เกือบจะครบเจ็ดเดือนแล้ว ไม่มีข่าวคราวมาให้ผมได้รู้... โดยตรงน่ะนะ ผมต้องไปถามเอากับพี่ตอง ก็แน่นอนล่ะสบายดีและไอ้แกนมันเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผมไปแล้วจริงๆ ผมมีพื้นที่ส่วนตัวของผมแต่ไอ้แกนมันพยายามจะเข้ามาก้าวก่าย นั่นมันออกจะเกินไปหน่อย
ผมกับมันมีสัมพันธมิตรที่ดีขึ้นเรื่อยๆ แต่ไม่ใช่ในทำนองเดินกอดคอกันแน่ๆ แค่พูดคุยกันซะส่วนใหญ่ ไอ้แกนมันย้ายมาอยู่หอพักเดียวกับผม ผมยังจำคำพูดของมันได้ ‘จับตาดูไม่ให้คาดสายตา’ ของไอ้แกน ผมไม่สนใจมันถ้ามันว่างขนาดที่ว่าจะคอยมาสอดส่องผมแบบนั้น
หลังเลิกงานผมแวะเข้าห้างกะว่าไปเดินตากแอร์แวะซื้อของลดราคาติดไม้ติดมือมาบ้าง ผมเดินไปที่โซนเสื้อผ้าที่ติดป้ายลดราคาอยู่ เดินดูเสื้อเชิ้ตผู้ชายแขนสั้นและแขนยาว ผมเลือกเสื้อเชิ้ตสีพื้นออกจะสีธรรมชาติกับเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีเทาออกน้ำเงินที่น่าจะเป็นผ้าชิโน่ กับเชิ้ตทรงวินเทจสีฟ้ายีนมีกระเป๋าเสื้อ มีช่องสำหรับใส่ปากกา เหมาะใส่ไปทำงาน ระหว่างนั้นใบหน้าของไอ้แกนก็วาบขึ้นมาในหัว อยู่ๆ ก็คิดว่าเชิ้ตสีนี้เหมาะกับมัน
ผมปล่อยมือจากเชิ้ตพวกนี้ กำลังจะเดินกลับแต่ก็หยุดเดินนึกถึงคำแนะนำของไอ้แกนที่มันบอกให้ผมไปรีเกรด ผมเลยตัดสินใจซื้อเสื้อเชิ้ตให้มันสักสองตัว ผมไม่เคยขอบคุณมันสักครั้งกับเรื่องที่มันทำให้ผม ตอนนี้ไอ้แกนเหลือแค่รอรับปริญญา
ครืด ครืด
‘แกน’
ผมถอนหายใจก่อนจะกดรับสายมัน
“ฮัลโหล” ผมรับสายเสียงทื่อๆ
[เย็นนี้มึงออกไปไหนหรือเปล่า] มันถามทันที ผมนิ่งเงียบไปครู่นึงก่อนจะตอบไปตามจริง ผมไม่มีแผนออกไปไหนอยู่แล้ว ซึ่งมันรู้นั่นแหละ
“เปล่า มีอะไร”
[จะชวนออกไปข้างนอก] ไอ้แกนพูดเหมือนว่าผมกับมันเป็นสนิทกันมานาน น้ำเสียงสบายไม่มีความกดดันหรืออึดอัดเหมือนเมื่อก่อน ผมเงียบใช้เวลาคิดอยู่หลายนาที
[เฮ้ยว่าไง] ไอ้แกนทักเมื่อผมเงียบไปนาน
“จะไปไหนล่ะ” ผมถามเพื่อถ่วงเวลา พยายามหาข้ออ้างให้ตัวเองเหมือนทุกครั้ง
[เปิดหูเปิดตาไง] มันยังไม่ยอมบอก ผมถอนหายใจ คราวก่อนมันชวนผมไปเที่ยวงานวัดแถวบ้านมัน มันบ้าแน่ๆ
“ไปก็ไป” ได้ยินเสียงมันหายใจแรงๆ
[เออ งั้นไว้เจอกันนะ] มันบอกผมเลยวางสาย กำลังใคร่ครวญว่าไอ้แกนมันคิดจะทำอะไรกันแน่ มันมีเป้าหมายอะไรหรือเปล่า ผมหยิบเสื้อเชิ้ตสองตัวที่เล็งไว้ไปจ่ายเงิน เสียไปเกือบสามพัน

ในเมื่อตัดสินใจไปแล้วก็ไม่ควรไปนึกเสียดาย กว่าผมจะกลับเข้าอพาร์ทเม้นท์ก็เป็นเวลาหกโมงครึ่ง ผมเข้าไปอาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาดเพื่อจะได้สดชื่น
ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูดังเบาๆ ขณะที่ผมกำลังใส่เสื้อผ้า มีอยู่คนเดียวที่จะมาหาผม
“แป๊ปนึง” ผมร้องบอกคนด้านนอก จากนั้นก็เดินไปเปิดประตูให้อีกฝ่ายเข้ามา
ไอ้แกนสวมเชิ้ตสีน้ำเงินแขนสั้นลายจุดกับกางเกงผ้าชิโน่สีน้ำตาลอ่อนเข้ากัน มันดูดีในแบบของมัน แน่ล่ะว่ามันค่อนข้างโดดเด่นเพราะเลือดฝรั่งที่ได้มาจากปู่ของมัน ตอนนี้มันกลับมาไว้ผมยาวตามเดิม ผมหยักศกเป็นลอนเล็กๆ ไม่หนากระจายล้อมใบหน้าคมคายของมัน ผมเลิกสนใจหน้าตาของอีกฝ่ายกำลังสงสัยว่ามันแต่งตัวเพื่อออกไปข้างนอกหรือเพิ่งกลับจากที่อื่นมา
“กูเพิ่งกลับมาถึงก่อนหน้ามึงไม่นานเอง” มันบอกราวกับว่าอ่านสายตาของผมได้ ผมยักไหล่อย่างไม่ถือสาอะไรก่อนจะเดินไปหวีผมหน้ากระจกที่ตู้เสื้อผ้า กว่าจะรู้ตัวว่าผมกำลังพิถีพิถันในการแต่งตัวเพราะมันชวนผมไปข้างนอก ผมชะงักก่อนจะเหลือบมองอีกฝ่าย จากหางตาเห็นว่าไอ้แกนกำลังจ้องมองผมอยู่เช่นกัน
ผมขนลุกซู่ มันมองทำไม ผมเลิกสนใจผมเผ้าของตนเอง
“บอกได้หรือยังว่าจะไปไหน” ผมถามมันแล้วหยิบกระเป๋าเป้ออกมาสะพาย ไอ้แกนไหวไหล่ดันกระพุ้งแก้มเหมือนมันกำลังคิดหาคำตอบ อย่าบอกนะแค่หาเรื่องชวนผมไปเตร็ดเตร่
“ไปตลาด” มันบอก
“แล้วจะไปหรือยัง” ผมไม่อยากอยู่กับมันในห้องแบบนี้เพราะอึดอัดเล็กน้อย ไอ้แกนพยักหน้าก่อนจะลุกเดินมาหา ไอ้แกนมองหน้าผมก่อนจะเดินออกจากห้อง ผมมองมันงงๆ ไม่เข้าใจพฤติกรรมของมัน สายตาของผมไปสะดุดกับถุงพลาสติกที่มีตรายี่ห้อเสื้อเด่นหรา ผมคิดว่าไอ้แกนคงเห็นเพราะมันวางอยู่บนหมอน ปกติผมไม่ชอบใส่เชิ้ตแต่มัน ชอบและก็เป็นยี่ห้อเดียวกันซะด้วย หวังว่ามันคงไม่รู้ดีขนาดที่ว่าผมซื้อมาให้มัน

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-02-2018 16:39:33 โดย รินดาwดาริน »

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
แกน รู้จักดีน เข้าใจดีน มากกว่าดีน รู้จักตัวเองซะอีก
ถ้าแกนทำให้ดีนดีขึ้น เปลี่ยนแปลงตัวเองได้
เท่ากันแกนได้ชดเชยดีน ที่ในอดีต แกนเคยทำร้ายดีนมาก่อน
ท่าทางดีนอ่อนลง น่าจะดีกับตัวดีนเอง
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Bradly

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 200
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ flimflam

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 881
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-4
แต่เฮียแกนก็ต้องเข้าใจนะ พี่ดีนเป็นแบบนี้ก็เพราะเฮีย  :serius2:

ออฟไลน์ minneemint

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1632
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-0
โอ๋โอ๋โอ๋ ดีนเข้มแข็งนะ

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
พอคู่นี้ทีไรเราอ่านไปลุ้นไปทุกที คืออยากให้เขาปรับความเข้าใจกันให้มันดีขึ้นๆกว่านี้อะ ก็เห็นใจดีนนะแต่ถ้าดีนยังยึดติดแบบนี้ดีนก็จะยังเป็นอยู่แบบนี้แหละ เหมือนที่เขาว่าอ่อนแอก็แพ้ไปอะ ดีนควรเข้มแข็งได้แล้ว

ออฟไลน์ รินดาwดาริน

  • OnTop&N'Song
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +243/-2
-ผิง-
ตอนที่ 6 พักเบรกสักพัก (ต่อ)

  ผมกับไอ้ยิมนั่งดื่มเบียร์คนละสองกระป๋องจนหมด ยิ่งดึกก็ยิ่งคึกคัก เวลาประมาณสี่ทุ่มเศษๆ ไอ้ยิมชวนผมไปร้านที่เล็งไว้ มันบอกเคยมาเมื่อคราวก่อน ร้านตรงจิตมันก็เกิดอาการติดใจ ไอ้ยิมพาผมไปนั่งดื่มที่หน้าบาร์ ผมให้ไอ้ยิมจัดการเรื่องเครื่องดื่ม บาร์เทนเดอร์มีสามคน ผมขอความแรงพอประมาณไม่อยากเมาในต่างแดนเท่าไหร่ ถึงจะมีไอ้ยิมเป็นไกด์ก็เถอะ
“อันนี้เบาๆ” มันยื่นแก้วค็อกเทลหน้าตาดูไม่น่ากลัว แต่จะประมาทไม่ได้ ผมยกมาจิบๆ ก็ไม่แรงจริงๆ นั่นแหละ บาร์ที่นี่เปิดเพลงประมาณฮิปฮอป จังหวะพอโยกได้อยู่ สาวๆ พลิ้วเชียว ส่วนมากมีแต่นักท่องเที่ยวต่างชาติมากกว่า
“ระวังเมานะ เดี๋ยวกูพากลับไม่ได้” ผมบอกก่อนจะหัวเราะเพราะมันดื่มประมาณวิสกี้เพียวๆ ใส่น้ำแข็งสามก้อนอะไรแบบนี้ ไอ้ยิมหันมายิ้ม
“กูคอแข็งจะตาย น่าจะจำได้นี่” มันบอก ผมนึกถึงคราวที่ไปออกค่ายด้วยกันเมื่อปีก่อน ผมยิ้มเพราะผมเป็นฝ่ายเมาปลิ้นก่อนมันอีกต่างหาก
“เออว่ะ ลืม คอทอแดงแต่ก็ระวังร่วงไม่รู้ตัว” ผมบอกก่อนจะมองไปรอบกายไปเรื่อยหาที่วางสายตา ไอ้ยิมขยับแว่น มันเม้มปาก แกว่งน้ำแข็งที่ละลายทีละน้อยเบาๆ ในแก้ว
“ถ้าเกิดกูลุ่มลามกับมึงจะโดนต่อยไหมวะ” มันพูด ผมขำ ให้มันกล้าก่อนเถอะ
“อือ อาจโดนต่อยนะเว้ย” ผมบอก ไอ้ยิมมองหน้าผม
“เฮ้อ กลัวโดนต่อย” มันพูดงึมงำก่อนจะยกแก้วเหล้ามาดื่ม ผมมองมันอย่างประหลาดใจ
หลังจากที่นั่งดื่มพอเป็นกระษัย กะจะมานั่งชิลๆ ก็ปาไปเที่ยงคืน ออกไปเต้นยึกยักเพลงเดียว ไอ้ยิมไม่ได้ออกสเตปตามเคย มันคอแข็งอย่างที่พูด เมื่อเคลียร์บิลเสร็จผมกับไอ้ยิมก็ออกมาสูบบุหรี่ด้านนอกก่อนจะเรียกแท็กซี่ไปนั่งรถไฟฟ้ากลับฝั่งเกาลูน ไปลงที่สถานีเกาลูนใช้เวลาเพียงยี่สิบนาทีเศษๆ ก่อนจะนั่งแท็กซี่กลับโรงแรมเพราะขี้เกียจต่อรถหลายรอบ
สุดท้ายผมกับไอ้ยิมก็มาถึงโรงแรมจนได้ ผมอาบน้ำสระผมก่อนจะออกมาจากห้องน้ำเจอไอ้ยิมที่ถอดแว่นรออาบน้ำ
“เมาเปล่าวะ” ผมเดินไปแตะไหล่มันเพราะมันดูเงียบๆ อีกฝ่ายส่ายหน้า
“หึ ไม่เมา แค่...” มันเหลือบมองหน้าผมเหมือนกำลังลังเล ผมเลิกคิ้วมองเหมือนมันมีอะไรในใจ “มากอดหน่อย” มันบอก ผมแอบยิ้มในใจ มารยาทดีงามจริงๆ ผมไหวไหล่แบบไม่คิดอะไร
“เอาสิ” ผมบอก ไอ้ยิมถึงได้เข้ามากอดผมเหมือนเด็กๆ เห็นมันเป็นแบบนี้แล้วอดใจสั่นไม่ได้ มาเที่ยวครั้งนี้เหมือนเป็นจุดเปลี่ยนอะไรหลายๆ อย่างของผมกับมัน แทนที่จะดีขึ้น... กลับตรงกันข้าม
“เฮ้อ เนื้อตัวแข็งไปหมดไม่นุ่มนิ่มเลย” ไอ้ยิมหัวเราะเบาๆ ก่อนจะผลักผมออกแล้วเดินไปเข้าห้องน้ำ แอบเห็นว่ามันยิ้มด้วย ผมรอเช็ดผมให้แห้งก่อนค่อยเข้านอน รู้สึกว่าวันนี้ใช้พลังงานไปเยอะ ปวดขานิดหน่อยด้วย จำได้ว่าไอ้ยิมมันซื้อแผ่นแปะบรรเทาปวดมาด้วย วางแผนดีจริงๆ ถึงจะเป็นผู้ชายแต่ก็ไม่ค่อยได้ออกกำลังขาบ่อยๆ มันมีอาการปวดเมื่อยขึ้นมาบ้าง ผมแกะแผ่นมาแปะที่น่องกับที่บริเวณฝ่าเท้าแล้วเตรียมเอามาวางไว้ให้ไอ้ยิมบนเตียง ผมกลับไปนอนเตียงฝั่งติดกับหน้าต่าง เช็คไลน์กับเฟซบุ๊กมีเพื่อนๆ ส่งข้อความมาหา ส่วนมากจะมาป่วนผมมากกว่า ไอ้ยิมผู้อาบน้ำนานเป็นปกติ ผมเผลอหลับก่อนมันจะออกจากห้องน้ำเสียอีก

ผมตื่นมาอีกทีตอนสายๆ บิดขี้เกียจไปมาบนเตียง หันไปดูทางเตียงไอ้ยิมเห็นว่ามันนอนอ่านหนังสืออยู่ ท่าทางเหมือนอาบน้ำแล้วด้วย
“ตื่นเช้าจัง มอร์นิ่ง” ผมทักทายก่อนจะหาวนอน ผมแกะแผ่นแปะบรรเทาปวดออก รู้สึกสบายเหมือนเดิมแล้ว ไอ้ยิมเหลือบมองผมผ่านแว่น
“ไม่เช้านะเว้ย นี่สิบโมงแล้ว ป่ะ หิว” มันบอกก่อนจะบุ้ยใบ้ให้ผมไปอาบน้ำ
“มึงน่าจะออกไปหาอะไรกินก่อน ไม่ก็ปลุกกู” ผมบอกมัน ไอ้ยิมส่ายหน้า
“น่า รีบอาบน้ำเถอะ” มันพูดก่อนจะลุกไปแต่งตัว
ด้วยความที่ผมอาบน้ำไม่นานนัก จึงใช้เวลาไม่ถึงยี่สิบนาทีก็เสร็จเรียบร้อย วันนี้แต่งตัวสบายๆ แค่เสื้อแขนยาวสีดำกับกางเกงสามส่วนสีครีม ไอ้ยิมก็ปกติของมันเสื้อเชิ้ตกางเกงยีน วันนี้มันคงชอปกระจายแน่ๆ
ไอ้ยินวางแพลนไว้ว่าวันนี้จะพาไปเที่ยวย่านจิมซาจุ่ย ถนนสายชอปปิ้งอย่างแท้จริง นอกจากจะเจอฝูงชนอันคับคั่งแล้ว การมองคนในพื้นที่ที่เร่งรีบทำกิจวัตรประจำวันก็เป็นอีกอย่างที่ผมชอบ มันพาผมไปทานก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นถ้วยใหญ่กับห่านย่างครึ่งตัว ที่ขาดไม่ได้เลยคือของหวานของคนฮ่องกง ผมว่ามันมันๆ เลี่ยนๆ ก็พอกินได้แต่ไม่ถึงกับชอบเท่าไหร่ แล้วจบลงที่น้ำมะม่วงปั่น ก่อนจะแวะไปเดินชอปปิ้งบนถนนนาธาน ราคาระดับกลาง จากนั้นไอ้ยิมพาผมไปย่านมงก๊ก แวะไปดูตลาดดอกไม้ที่ Flower market มีดอกแปลกๆ หลายอย่างที่ผมไม่รู้จัก มีแบบให้จัดช่อเองด้วย แต่ราคาแพงกระเป๋าฉีก ดอกคาร์เนชั่นสีผสมสวยดี ชมพูเหลืองๆ ดอกดูหุบๆ เลยซื้อช่อเล็กเห็นว่าดอกสดดี กระเป๋าสั่นเชียว
“ซื้อมาทำไม” มันว่าก่อนจะส่ายหน้า
“รู้ป่ะ คาร์เนชั่นหมายถึงอะไร” ผมแกล้งทำเป็นยื่นไปให้มัน
“น้ำเน่า” มันบ่น
“กูอยากซื้อให้บ้าง ถึงมันจะเหี่ยวแต่อยากให้ไง สวยดีนะ” ผมบอกมันก่อนจะยื่นช่อดอกคาร์เนชั่นสองสามดอกไปให้มัน ไอ้ยิมแค่ยิ้ม
“เฮ้อ เหมือนเล่นขายของ” มันหัวเราะก่อนจะเก็บช่อดอกไม้ใส่กระเป๋าอย่างดีเชียว ผมยิ้ม
ตลาดดอกไม้ที่นี่เช้าๆ ร้านคงเยอะกว่านี้ จากนั้นไอ้ยิมก็พาทัวร์วัดต่อ ที่แน่ๆ ต้องไปสวนหนานเหลียน ปอดของเมืองฮ่องกงอีกแห่ง ด้านในเงียบ สดชื่นดี คนไม่เยอะมากด้วย เหมือนหลุดมาคนละด้านกับฮ่องกงที่วุ่นวายเลย ผมชอบการผสมผสานระหว่างจีนและญี่ปุ่น ระหว่างนั้นก็มีโอกาสคุยกับไอ้ยิมหลายเรื่อง ก่อนจะเข้าไปชมสำหนักชีหลิน สถาปัตยกรรมแบบราชวงศ์ถัง หลังเที่ยงวันเมื่อทานมื้อเที่ยงกันจนอิ่ม ไอ้ยิมแวะไปตลาดหยก ซึ่งส่วนใหญ่จะมีแต่หยก พวกสร้อยอะไรทำนองนี้
“กูซื้อนิลให้มึง” มันบอก
“ไม่เป็นไรน่า” ผมเกรงใจ ไม่อยากให้มันมาสิ้นเปลืองกับผม แต่ไอ้ยิมมันดื้อ
“มันถูกโฉลกกับราศีมึง ถึงได้ซื้อให้ไง” ไอ้ยิมย้ำอีกรอบผมเลยไม่ขัดใจมัน เป็นนิลก้อนกลมเกลี้ยง มันบอกให้เก็บไว้ดีๆ ทำนองว่าเป็นของประจำราศีอะไรแบบนี้ ผมซื้อหยกสีแดงกลมแบนๆ มาพร้อมกับสร้อยข้อมือกับหยกสีเขียวอ่อนเห็นว่าสวยดี แล้วก็พวกพู่หยกลวดลายต่างๆ ละลานตามาก ถ้าคนชอบสะสมคงวนเวียนอยู่ในตลาดนี่อยู่นาน ผมเดินเลือกหยกสีขาวดูเหมาะกับไอ้ยิมดี เป็นสร้อยข้อมือหยกรูปเหรียญเล็กๆ ร้อยด้วยเชือกสีดำ ดูไม่เป็นงิ้วมากนัก
ช่วงบ่ายผมกับไอ้ยิมกลับมาเดินชอปใน Harbors City คงเดินอยู่ตามย่านนี้ ส่วนมากไม่ได้หิ้วแบรนด์เนมอะไรเยอะ ไอ้ยิมมันโดนฝากหิ้วพวกรองเท้าซะเยอะ ส่วนผมมีแต่กระเป๋าของแม่เท่านั้นเอง ก่อนกลับแวะไปซื้อภาพสีน้ำมันในซอยเล็กของย่านจิมซาจุ่ยที่พ่ออยากได้ ภาพเลียนแบบศิลปินดังพวกแวนโก๊ะ อะไรทำนองนั้น วาดได้เหมือนมากๆ
จากนั้นเราแวะไปกินบะหมี่เกี๊ยวกุ้งแถวนั้น เกี๊ยวกุ้งเนื้อแน่นหาไม่ได้ในเมืองไทย ไอ้ยิมชอบเมนูนี้น่าดู มีน้ำชากับปาท่องโก๋ตามเคย นอกจากโจ๊กแล้วมีเมนูเบสิกพวกนี้ที่ผมสามารถกินได้แบบอร่อยเหาะ นอกนั้นมันออกจะต้องหาอะไรมาล้างปากหลังกินของเลี่ยนๆ ทุกที
ตกเย็นก็กลับไปนอนพักที่ห้องต่อ วันนี้เดินชอปมาทั้งวันเลย ไอ้ยิมเก็บดอกไม้ของผมไว้ซะด้วย อย่างที่เห็นไอ้ยิมเป็นคนละเอียดยิบต่างจากผมที่ไม่ค่อยจะสนใจดีเทลพวกนี้เท่าไหร่ จะให้ทำเพื่อเอาใจก็ได้อยู่หรอกแต่ไม่ใช่นิสัย ตกดึกพวกเรามานั่งชิลที่ย่าน Knutsford Terrace อยู่บริเวณถนน Kimberley เพราะไม่ไกลจากโรงแรมที่พักเท่าไหร่ บรรยากาศที่ถูกแต่งเติมไปด้วยแสงไฟหลากสี เป็นทิวทัศน์ที่ดูสับสนวุ่นวายแต่แฝงไปด้วยสีสันยามค่ำคืน 
“พรุ่งนี้มึงก็กลับแล้ว” ไอ้ยิมเอ่ยขึ้นมาก่อนทำให้ผมละสายตาจากท้องถนนด้านนอกกลับมายังที่ต้นเสียง ผมยิ้มนิดนึง ไอ้ยิมกอดอกมองผม ในมือมันมีแก้วไวน์ที่ยังไม่ได้แตะ ผมมองนิ้วที่เคาะกับโคนแก้วของอีกฝ่าย มันกำลังคิดอะไรอยู่กันนะ?
“อือ เร็วเนอะ เหมือนเพิ่งมาเมื่อวาน” ผมพูดก่อนจะหันมาสนใจพิซซ่าตรงหน้า ในตอนนี้ผมไม่ค่อยอยากอาหารเท่าไหร่นัก ใจจริงอยากจะซดเหล้าเข้มๆ ซะมากกว่า แต่เดี๋ยวจะคุยกันไม่รู้เรื่อง
“มีหลายเรื่องที่เราต้องคุยกันไม่ใช่เหรอ” ยิมพูด คงไม่อยากให้ค้างคาอะไรอีก เพราะถ้าผมกลับไปเรียนต่อคงไม่มีโอกาสมาปรับความเข้าใจกันอีกแน่ๆ ผมสบตาสีดำสนิทคู่นั้นของอีกฝ่าย มันไม่สั่นไหวแต่ยังเต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึก... ความไม่มั่นคง
“เออ ก็ว่างั้นแหละ ตกลงจะฝึกงานที่นี่จริงๆ สินะ” ผมพูด บางทีป๊ามันอาจจะให้มันมาทำงานที่นี่ก็ได้ ธุรกิจครอบครัวน่ะนะ ไอ้ผมก็เข้าใจพวกผู้ใหญ่นั่นแหละ 
“อืม แค่ไม่กี่เดือนเอง... กูก็คงเหมือนๆ เดิม” ยิมมองหน้าผมก่อนจะเงียบไม่ได้พูดอะไรต่อ ผมนึกถึงช่วงเวลาที่ไปเที่ยวกับมันสองคน สนุก ผ่อนคลาย อาจจะได้เห็นมุมมองนิสัยของอีกฝ่ายชัดเจนขึ้น ผมก็หวั่นไหวขึ้นมาบ้าง
“มึง... เฮ้อ อย่าทำหน้าซีเรียสสิ กูแค่จะบอกว่าบางอย่างไม่ต้องรีบร้อนหรอก ชีวิตมันยังอีกยาวไกลไม่ใช่เหรอ” ผมพูดเมื่อเห็นว่ามันยังคงเงียบ 
“อือฮึ... แล้ว?” มันไหวไหล่ก่อนจะจับจ้องอยู่ที่แก้วไวน์ 
“จำที่กูเคยบอกมึงได้ไหม...” 
“เรื่องอะไรล่ะ...” 
“ตอนที่ไปให้อาหารปลาเมื่อปีก่อนนู่นน่ะ...” ผมบอก ไอ้ยิมขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างครุ่นคิด ไม่นานนักอีกฝ่ายก็พยักหน้าว่าจำได้
“อืม มึงกำลังจะบอกอะไรกูหรือเปล่า” มันพึมพำก่อนจะยกแก้วไวน์จรดริมฝีปาก ผมเม้มปากรู้สึกปอดขึ้นมาทันที ก่อนจะหลุบตาลงมองจานพิซซ่าแทน
“กูแค่อยากจะบอกว่า กูใช้ชีวิตอย่างเต็มที่มาตลอด กูสนุกไปกับทุกเรื่อง เรื่องงาน เรื่องเรียน เรื่องความรักบ้าง ถ้ากูรู้สึกว่าชอบก็คือชอบ รักก็คือรัก” อยู่กับไอ้ยิมผมเองได้เจอสิ่งใหม่ๆ เข้ามา มุมมองชีวิตของไอ้ยิมที่ผมไม่เคยรู้ ตัวตนของมันที่ผมไม่เคยได้เห็น รอยยิ้มของมัน คำว่ารักอาจไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของชีวิต ไม่ใช่ว่ามันไม่มีความหมาย แต่ความรักมันให้ผลผลิตออกมา ทุกข์กับสุขเหมือนเหรียญสองด้าน ในตอนนี้เหมือนกับการครุ่นคิดอะไรนานๆ แล้วยังไม่ได้คำตอบ 
“ทำไมอยู่ๆ ถึงเปลี่ยนใจเร็วขนาดนี้” ไอ้ยิมพูด สายตาที่มองมาทางผมไม่ได้โกรธเคืองแต่เต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ
“กูไม่ได้เปลี่ยนใจซะหน่อย กูก็เหมือนเดิม ยังคงเต็มที่กับมึงได้ เที่ยวด้วยกัน ไปกินข้าวด้วยกัน” 
“มันต่างจากเพื่อนยังไงเหรอ” ไอ้ยิมถาม ผมนิ่งไป “จำตอนที่มึงไปค้างที่บ้านกูได้หรือเปล่า”
“อืม” 
“กูคิดว่ามึงเปิดใจแล้วซะอีก” 
“ไม่ใช่ว่ากูไม่เปิดใจ กูเปิดใจให้มึงนะยิม กูยังจำทุกเรื่องได้ดี ทุกเรื่องมีความหมายสำหรับกูนะ... กูรู้ว่ามึงเองก็พยายามกับที่บ้านเรื่องป๊ามึงน่ะ—”
“รู้ขนาดนี้แล้วทำไมมึงยังทำลายความรู้สึกของกูอีกล่ะผิง” ไอ้ยิมพูดนิ่งๆ ผมมองหน้ามันอย่างตกใจ ไม่คิดว่ามันจะตอกกลับแบบนี้ สถานการณ์ไม่ดีเอาซะเลย
“...เปล่าซะหน่อย” ผมตอบ ไม่อยากให้เรื่องมันลงเอยด้วยความเศร้าหรือจบกันไปแบบไม่ดี ผมอยากพูดให้ยิมมันเข้าใจ
“ที่มึงดีกับกู อย่าบอกนะว่าสงสาร” 
“ไม่ใช่นะ! มึงคิดมากอีกแล้ว” 
“อ้อ แล้วมึงมาเที่ยวกับกูเพื่อมาพูดแบบนี้น่ะเหรอ ทำไปทำไมวะ” ไอ้ยิมเหมือนหงุดหงิดมากกว่าเดิม ผมมองไปด้านนอกร้าน แสงสีสวยงามที่ด้านนอกไม่ได้ช่วยอะไรมาก
“มึงอย่าพูดแบบนี้ดีกว่า ไม่อยากทะเลาะกันเพราะเรื่องนี้หรอก กูแค่อยากให้มึงเข้าใจ...” ผมถอนหายใจหมดคำพูด ผมไม่รู้ว่าจะสื่อสารออกมายังไงให้อีกฝ่ายเข้าใจ
“มึงอยากให้กูเป็นอะไรสำหรับมึงกันแน่ ตอนนี้กูสับสน” ยิมบอก ผมมองหน้ามันช้าๆ
“กูขอเวลาสักหน่อย กูอยากได้พื้นที่ของตัวเอง อาจจะยังไม่ใช่แฟน แต่—มึงก็ยังเป็นคนพิเศษสำหรับกูนะเว้ย” ผมพูดแทบไม่หายใจ ผมกลัวมันรู้สึกไม่ดีเอามากๆ ไอ้ยิมมองหน้าผมอยู่นาน ไม่ได้พูดอะไรออกมา จนผมชักเป็นห่วง
“...กูเข้าใจล่ะ...” ในที่สดมันก็พูดออกมาจนได้ มันถอนหายใจ
“หืม? เข้าใจว่า...” 
“มึงแค่กลัวการผูกมัด... จากกูก็เท่านั้น” ไอ้ยิมยิ้มออกมานิดๆ ผมเงียบไป 
คำพูดของยิมเหมือนกระแทกตรงกลางใจผม ใช่... มันพูดถูก ไอ้ความรู้สึกเหมือนมีมือคอยมาบีบคั้นอยู่ตลอด ผมไม่ได้รังเกียจที่มีไอ้ยิมเข้ามาในชีวิต ผมได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างจากมันด้วยซ้ำ
“มึงจะโกรธหรือเกลียดกูก็ได้นะ” ผมบอก
“กูควรจะทำแบบนั้นเหรอ... มันไม่ได้อะไรหรอก กูเข้าใจนะ แต่... กูเหมือนโดนทิ้งกลางทะเลทำนองนั้น” มันบอก ผมเงียบ พูดได้เจ็บปวดดี 
“ขอ—” “อย่าได้พูดออกมาเชียว กูล่ะเกลียดคำนี้จริงๆ มึงก็ไม่ได้ผิดอะไรนี่” ไอ้ยิมส่ายหน้า ผมรู้ว่ามันกำลังเสียใจ
“นี่ไม่ใช่การบอกเลิกนะเว้ย คือ กูเหมือนเดิมนั่นแหละ” 
“อือ แต่ไม่มากไปกว่านี้ใช่ไหมล่ะ” มันพูด ผมกำลังจะอ้าปากตอบ
“อิ่มหรือยัง ไปเดินเล่นกันเหอะ” ผมพยักหน้าก่อนจะลุกตามอีกฝ่ายไปติดๆ หลังจากที่เช็คบิลเรียบร้อยผมกับไอ้ยิมก็เดินเรื่อยเปื่อยระหว่างทางกลับโรงแรม ถนนที่นี่ไม่เคยหลับใหลไร้ผู้คน
“กูไม่ได้เศร้าอะไรขนาดนั้นหรอก... ดีแล้วที่มึงบอกเราจะได้รู้ลิมิต” มันว่าก่อนจะเหลือบมามองผม
“กูไม่สบายใจ กูเป็นห่วงมึงนะ” พูดจบได้ยินมันหัวเราะ 
“ดูแลตัวเองได้น่า อีกหน่อยกูต้องมาทำงานที่นี่ ยังไงซะอนาคตกูก็คงอยู่คนเดียว” มันพูดจาเหน็บแนมผมไปตลอดทาง 
“เฮ้อ ถ้ามึงอยากด่ากูกูจะไม่ตอบโต้อะไรนะ” ผมบอกคว้ามือมันไว้ จะว่าไปตั้งแต่รู้จักมันมา เว้นจากก่อนเมื่อคืนแล้วไอ้ยิมไม่เคยจับมือผมสักครั้ง หมายถึงจับมือแบบคนรักอะไรเทือกๆ นั้น ทำเหมือนว่าผมเป็นสาวแรกรุ่นที่ต้องรักษาเวอร์จิ้นเอาไว้ตอนแต่งงานอะไรแบบนั้น อีกฝ่ายอาจจะไม่กล้าหรือกลัวอะไรสักอย่าง 
ไอ้ยิมหยุดเดิน มันนิ่ง ก่อนจะมองผมด้วยสายตาแปลกๆ “มีอะไร...” ผมถาม สายตามันจับจ้องมาที่มือของเราที่กุมกันอยู่ ออกจะจั๊กจี้อยู่ แต่อย่างน้อยก็ทำให้มันอุ่นใจบ้างว่าผมไม่ได้ใจด้านชา ไอ้ยิมชูมือข้างที่จับกันไว้ขึ้นมา
“แล้วมึงหวังให้กูไม่โกรธมึงเนี่ยนะ... มึงจะทำยังไงกับการใช้หนี้คืนให้กู” อยู่ๆ มันก็หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมา เกือบลืมไปแล้วด้วยสิ ผมร้องอ๋อ ใช่น่ะสิ หนี้เงินน่ะใช้มันไปแล้ว ก็เหลือแต่หนี้ที่ผมปากดีไปท้ามันเอาไว้ตอนที่ไปเที่ยวด้วยกัน ไอ้ยิมมองหน้าผมนิ่งๆ ทำเอาผมออกอาการอึกอักอ้ำอึ้ง
“เอ่อ...” ผมก็ยังคิดไม่ออก
“ฮึ...” มันไม่ได้พูดอะไรต่อก่อนจะปล่อยมือออกแล้วเปลี่ยนมากอดคอผมแทน ทำเอาผมงุนงงไปพักนึง อยู่ๆ ก็มีความกล้าขึ้นมาซะอย่างนั้น
“อืม ถ้าอย่างนั้นกูทำอะไรก็ได้งั้นสิ เพราะไหนๆ ก็เป็นได้แค่คนพิเศษอะนะ” ไอ้ยิมพูด ผมไม่เข้าใจอยู่นานก่อนจะเดินมาหยุดที่หน้าโรงแรมจนได้ 
“มึงจะทำอะไรก็ได้ แต่ถ้ามึงเจ็บตัวขึ้นมาจริงๆ อย่ามาว่ากูก็แล้วกัน” ผมจ้องหน้ามันหลายวินาทีก่อนจะเดินเข้าโรงแรมอย่างอารมณ์เสียนิดหน่อย ไอ้ยิมมันตั้งใจจะกวนประสาทผมล่ะสิ ระหว่างนั้นไอ้ยิมตามหลังมาเงียบๆ กว่าจะได้นอนปาไปตีสองกว่าๆ แล้ว 
“ในเมื่อมึงยังไม่ตัดสินใจเรื่องของกู... ถ้าอย่างนั้นกูขออะไรสักอย่างสิ” ไอ้ยิมพูดหลังจากที่มันอาบน้ำเสร็จ เตรียมตัวจะเข้านอน
“อืม ว่ามาสิ” ผมมองมันที่นั่งอยู่บนเตียงอีกฝั่งหนึ่ง
“ยังไงซะพรุ่งนี้มึงก็ต้องกลับแล้ว คืนนี้กูขอนอนด้วยได้ไหมวะ” มันบอก พอมันพูดจบทิ้งไว้แต่ความเงียบ หลังจากนั้นผมก็อดจะกลัวขึ้นมานิดๆ เผื่อมันบ้าเลือดทำอะไรขึ้นมาจริงๆ ก็แย่เลย... แต่มันไม่ใช่คนแบบนั้นหรอก
“ตามใจ ทำตัวเป็นสุภาพบุรุษอยู่ได้ตั้งนาน” ผมว่าก่อนจะเขยิบที่บนเตียงให้มันมานอนข้างๆ นี่เป็นครั้งที่สองที่เรานอนเตียงเดียวกัน ครั้งแรกที่บ้านของมัน ไอ้ยิมเดินมาหาผมก่อนจะทิ้งตัวลงบนเตียงนุ่ม
เป็นค่ำคืนที่แปลกประหลาดมากๆ ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้เศร้าอะไรมากนัก หรือมันแค่ทำตัวปกติเหมือนเดิมเพื่อให้ผมไม่คิดมาก มีใครจะปกติถ้าหากว่าโดนปฏิเสธลดความสัมพันธ์ แต่เรื่องของผมกับยิมมันต่างจากคู่อื่นๆ เนื่องจากเราไม่ได้คบกัน คงเข้าข่ายแค่ช่วงระยะดูใจอะไรทำนองนั้น แต่มันไม่ได้พัฒนาไปมากนัก
“กูรู้สึกโหวงเหวงแปลกๆ นะ มึงเป็นหรือเปล่า” อยู่ๆ มันก็พูดขึ้นมาท่ามกลางความมืดสลัว ผมลืมตาหันไปมองอีกฝ่าย แสงสลัวจากค่ำคืนที่ไม่หลับใหลพอจะทำให้เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังลืมตาอยู่เช่นกัน พอมันพูดแบบนี้แล้วอดรู้สึกตามไปด้วยไม่ได้
“ใช่... รู้สึกเหมือนกัน” บางทีไอ้ยิมอาจจะอยู่กับความเหงาตัวคนเดียวมานาน เป็นความรู้สึกที่ผมไม่เคยเผชิญมากนักเพราะผมไม่เคยสัมผัสกับคำว่ารักหรืออะไรแบบนั้น ตัวผมสนใจแค่การทำงาน อยู่กับงานศิลปะมันก็ลืมเรื่องอื่นๆ ไปแทน
การรู้สึกในสิ่งที่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนมันน่ากลัวนะผมว่า เพราะถ้าเมื่อไหร่มันหายไปมันคงทรมานยิ่งกว่าเก่ากว่าตอนที่ไม่เคยมีความรู้สึกพวกนั้นอีก ไอ้ยิมเป็นคนที่น่ากลัวจริงๆ
ผมได้ยินมันหายใจสม่ำเสมออยู่ข้างๆ 
“แล้วมึงจะเสียใจที่ทิ้งกูไอ้ผิง” มันหันมาพูดกับผม สีหน้าของมันออกจะติดตลกมากกว่าจะหมายความแบบนั้นจริงๆ ผมยิ้มออก
“ฮึ อือ กูก็ไม่รู้เหมือนกัน” ผมบอกไปแบบนั้นเพราะไม่รู้จริงๆ ว่าจะมาเสียใจทีหลังหรือเปล่า ผมเชื่อมั่นในการตัดสินใจของตัวเองในครั้งนี้ ผมกับมันก็ใช่ว่าจะตัดความสัมพันธ์ไปเลยซะเมื่อไหร่ ความสัมพันธ์ดีๆ ใช่ว่าจะมีแต่รูปแบบของแฟนหรือคนรักกันนี่ ผมไม่เข้าใจทำไมจะต้องไปกะเกณฑ์กับสิ่งที่มันยังไม่เกิดขึ้นเลยด้วยซ้ำ ถ้าเมื่อไหร่ที่ผมรักไอ้ยิมขึ้นมาจริงๆ ล่ะก็ ต่อให้ผมต้องไปตื้อมันสามชาติเศษผมก็ยอม
“มึงมันบ้าจริงๆ กูเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้นี่เอง ก็คิดอยู่ว่ามึงมันแปลกคน” มันบอก เพิ่งรู้นะว่ามันคิดแบบนี้ ผมพลิกตัวไปหาไอ้ยิม ไอ้ความรู้สึกไม่ชินเวลานอนเตียงเดียวกันกับมันหายไปแล้ว คงเป็นเพราะมันคือไอ้ยิมนั่นแหละ ทำให้ผมสบายใจได้ 
“มึงเป็นคนดีจริงๆ” ผมพูดอย่างที่รู้สึก เป็นคนดีมักได้บทพระรองอยู่เรื่อย
“อืม ขอบใจนะเว้ยที่มาเที่ยวกับกู ที่จริงกูคิดว่าจะเซอร์ไพรส์มึง แต่กลายเป็นว่ามึงเป็นฝ่ายเซอร์ไพรส์กูซะอย่างนั้น เลยลืมๆ ไปว่าจะทำอะไร” ผมเงียบ ไอ้ยิมนะไอ้ยิม
“กูต่างหากที่ควรขอบคุณมึงมากๆ ถ้ามึงเหงามึงโทรหากูได้นะเว้ย” ผมบอกก่อนจะเอื้อมมือไปแตะไหล่มัน
“งั้น...” ไอ้ยิมมันกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ผมมองหน้ามันเงียบๆ
“อะไร...” 
“ขอกอดหน่อยดิ” มันว่า
“มึงนี่ต้องขออนุญาตตลอดศกเลยนะ” ไม่ทันชาวบ้านชาวช่องแน่ๆ ผมยิ้มให้ ไม่รู้ว่าควรจะรอให้มันมากอดผมหรือผมควรกระโจนไปกอดมันดี แบบไหนดีล่ะ
“กูก็เป็นแบบนี้” มันว่าแต่มันไม่ขยับมาหาผม อ้าว ไอ้นี่ ผมต้องเริ่มก่อนงั้นสิ
ผมกลั้นหายใจขยับตัวไปหามันแทน เอ้า ไหนๆ จะกอดกันครั้งสุดท้ายก็ควรจะทำซึ้งหน่อย ผมกอดมันแน่นๆ ไม่รู้ว่ามันต่างจากกอดไอ้สอง ไอ้โก๋ หรือกอดพ่อยังไงเหมือนกัน แต่แน่นอนล่ะมันมีความแตกต่างอยู่เล็กๆ ‘ความรู้สึก’ บางอย่างที่มันปะทุอยู่ข้างใน 
“กูรอมึงได้นะผิง” 
“อือ...กูรู้แหละ” ผมบอกเบาๆ 
“มึงเองก็...”
“อืม อย่างกูใครก็รักไม่ลงหรอก” ผมพูดติดตลก ไอ้ยิมเลยตีหลังผมดังเพียะ หลังจากนั้นต่างคนก็ต่างหลับ
ช่วงสายเราเช็คเอ้าท์ออกจากโรงแรมเตรียมตัวกลับไทย มารอบนี้เหมือนไม่จุใจ อาจเพราะมีเรื่องหม่นหมองเลยทำให้ไม่ค่อยสนุกนัก มาตอนนี้ผมยังเดาใจไอ้ยิมไม่ถูก มันไม่แสดงออกมาว่าเสียใจหรือเปล่า ผมเลยอึดอัดนิดหน่อย
เฮ้อ ขอโทษนะไอ้ยิม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-02-2018 15:40:58 โดย รินดาwดาริน »

ออฟไลน์ รินดาwดาริน

  • OnTop&N'Song
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +243/-2
-ผิง-
ตอนที่ 7 ยังเหมือนเดิม

หลังจากกลับมาจากฮ่องกง พวกปีสี่เข้าสู่โหมดฝึกงานอย่างเต็มตัว แน่นอนว่ารวมถึงหนุ่มแว่นอย่างไอ้ยิม มันบินไปที่เกาลูนเรียบร้อย เรื่องของผมกับมันเหมือนจะยังคลุมเครืออยู่บ้างแต่ก็ถือว่าต่างคนต่างเข้าใจกัน โชคดีที่ยิมมันเป็นคนมีเหตุผล แต่พอมองดูอย่างละเอียดแล้วผมกับมันค่อนข้างต่างกัน พูดถึงปีสี่ต้องเรื่องงานบายเนียร์ที่ผ่านมา ดูเหมือนจะผ่านไปได้ด้วยดีเพราะพวกพี่ดีนกับเฮียแกนก็จับมือกันได้สำเร็จ ทำเอาลุ้นเกร็งกันทั้งงาน ผมแค่คอยสอดส่องไปตามเรื่องตามราว ถึงจะชอบเสือกเรื่องชาวบ้านแต่เรื่องเฮียแกนขอบายดีกว่าเพราะฤทธิ์พี่แกยังทำผมผวาได้จากตอนมีเรื่องกับไอ้สอง   
ผมเตรียมของสำหรับคลาสแรกของเทอมที่สอง ผมหยิบกระเป๋าเพจมาเคลียร์ของด้านในออก ระหว่างนั้นภาพในสมองก็ปรากฏเรื่องของไอ้ยิมเรื่อยๆ สุดท้ายบั้นปลายชีวิตก็ต้องลงหลุมลงโลงตัวคนเดียวนั่นแหละ ผมถอนใจ แต่ช่างเถอะ... ไอ้ผิงไม่ซีเรียสหรอก นี่ไม่ใช่คำพูดแค่เอาไว้ปลอบใจตัวเองหรอกนะ ผมหมายความแบบนั้นจริงๆ
เสียงไลน์ดังขึ้น ผมหยิบมาดู

2: กินอะไรหรือเปล่าเดี๋ยวซื้อเผื่อ

 ไอ้สองไลน์มานั่นเอง เดี๋ยวนี้ทำตัวมีน้ำจิตน้ำใจมากกว่าเดิม ผมเลยฝากมันซื้อข้าวเหนียวหมูปิ้งเจ้าประจำหน้าประตูสี่ ผมเดินไปที่ลิ้นชักบริเวณตู้เสื้อผ้า เปิดลิ้นชักแรกเอื้อมมือไปหยิบกล่องไม้เนื้อสีไข่อ่อนผิวเรียบออกมาดู ทำให้นึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในฮ่องกง นิลดำที่ไอ้ยิมมันซื้อให้ผมเป็นของขวัญเพราะมันถูกโฉลกกับราศีของผม สีดำแวววาวสะท้อนมาให้เห็น บางทีก็คิดว่ามันทุ่มเทให้ผมมากเกินไปหรือเปล่า ลึกๆ แล้วผมก็กลัว... กลัวว่ามันอาจต้องเสียใจเพราะผมน่ะสิ
ผมมาถึงคณะแต่เช้า แวะไปนั่งเล่นฆ่าเวลาที่โรงอาหาร เห็นไอ้สองกับพรรคพวกนั่งกันอยู่สองสามโต๊ะ ไอ้สองโบกมือให้
“เย็นนี้ว่างเปล่า” มันถามขึ้นมาทันทีที่ผมหย่อนก้นนั่ง ผมพยักหน้า
“มีอะไร”ผมถาม
“กูมีนัดเล่นบาสกับพวกไอ้เถา กะว่าจะไปอุดหนุนซอยโลกีย์ซะหน่อย วันเกิดเพื่อนมัน”
“อื้อหือ จัดตั้งแต่วันแรกของเทอมเลยนะ” ผมยิ้มก่อนจะหยิบหมูปิ้งมากินบ้าง กลิ่นหอมยั่วยวนเหลือเกิน
“ก็เบื่อๆ ไง อยากหาอะไรทำ” มันบ่นงึมงำท่าทางไม่สบอารมณ์เท่าไหร่ ผมเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ มองไปรอบๆ บริเวณอย่างใจลอย
“อือ ก็ดีเหมือนกัน เบื่อๆ” ผมมองหน้ามันก่อนจะหัวเราะไปพลางเหมือนคนรู้กัน ไอ้สองยื่นเท้ามาเตะขาผมอยู่ใต้โต๊ะ
“มึงนี่น้า...เหลือเชื่อ” มันส่ายหน้า ผมรู้ว่ามันจะแพล่มเรื่องอะไรออกมา เลยดักไว้ก่อน
“เออน่า มึงก็รู้ว่ากูเป็นคนยังไง” ผมพูดไปตามตรง ไหนๆ ก็ไม่มีทางหลุดพ้นไปจากเรื่องไอ้ยิมได้ เพราะตั้งแต่เช้ามามีแต่มันวนเวียนเหมือนแมลงหวี่แมลงวันมากวนหวี่ๆ อยู่ข้างหู แค่เอามือปัดก็ไม่หายไปไหนง่ายๆ
“อือฮึ เรื่องของมึง” ไอ้สองทำหน้าบูดก่อนจะเก็บขยะใส่ถุงพลาสติกแล้วเอาไปทิ้งลงถังขยะที่อยู่ไม่ไกลจากโต๊ะของพวกเรานัก ผมหยิบโทรศัพท์ออกมากดดูเล่นอย่างเรื่อยเปื่อย ไม่มีอะไรอัพเดตสักอย่าง ผมเข้าไปส่องอินสตาแกรมไอ้ยิมไปพลางๆ ก็เห็นว่ามันลงรูปที่เกาลูนอย่างสนุกสนานเหมือนเยาะเย้ยผมกลายๆ ว่ามันอยู่เป็นสุขดี เฮ้อ
เปิดภาคเรียนที่สองในวันแรก นอกจากมีเล็คเชอร์ระเบียบวิธีวิจัยฯ นิดหน่อย นอกนั้นก็มีวิชาเลือกสองสามตัวที่วันแรกไม่มีอะไรมาก หลังจากที่ผ่านช่วงเช้าไปแล้วแต่ละคนก็แยกย้ายกันไปเรียนตามที่ตัวเองเลือก ผมลงมาสิงสถิตอยู่ที่ห้องปั้นชั้นล่างกับไอ้สองเพราะเลือกเรียนเหมือนกัน เจอกับพวกรุ่นพี่สองสามคนที่กำลังเก็บของออกจากห้อง ผมเดินไปหามุมถนัดของตัวเองจองพื้นที่สำหรับเรียนปั้น เทอมที่แล้วก็เรียนเรื่องประติมากรรมพื้นฐานไป

ระหว่างนั้นโทรศัพท์ก็สั่น พอหยิบออกมาดูปรากฏว่าเฟซบุ๊กมันแจ้งเตือนวันนี้ในอดีต เป็นเหตุการณ์ที่ผมอัพรูปสีฝุ่นอิมพอร์ตจากจีนลงเฟซบุ๊ก อืม ผ่านมาปีกว่าๆ แล้วนี่หว่า
“เฮ้อ” ผมถอนหายใจ ในบางครั้งผมก็ไม่ค่อยอยากจะหาเหตุผลมารองรับไปซะหมดหรอก ไม่อย่างนั้นผมคงตัดสินใจอะไรไม่ได้ นึกย้อนกลับไปเมื่อหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา... ผมยังจำคำพูดของไอ้ยิมในตอนที่เราไปเที่ยวฮ่องกงด้วยกันได้อยู่เลย
“เฮ้ย ไอ้ผิง...” เสียงเรียกจากเพื่อนก๊วนเดียวกัน ไอ้โก๋มันเดินมาสะกิดไหล่ผมสองสามจึก
“มีอะไร”
“อาจารย์กานต์เรียกบอกว่ามีเรื่องจะคุย” มันบอก ผมพยักหน้างงๆ อาจารย์กานต์สอนรายวิชาเพ้นท์ ผมเดินออกไปหาอาจารย์ที่ด้านนอก เห็นว่าอาจารย์กำลังนั่งอยู่ตรงระเบียงยาว ขณะนั้นอาจารย์ก็เงยหน้าขึ้นมาพอดิบพอดี
“สวัสดีครับอาจารย์” ผมทักทายตามมารยาท อาจารย์กานต์ยิ้ม
“มานั่งนี่มีข่าวดีมาบอก” อาจารย์บอกก่อนจะขยับที่ให้ผมนั่ง 
“ครับ” ผมรับคำ อาจารย์หยิบแผ่นโบรชัวร์ออกมา ผมมองอย่างสงสัย
“เผื่อว่าจะสนใจ” อาจารย์บอก ผมก้มลงอ่านข้อความภาษาอังกฤษที่ไม่เข้าใจเป็นบางคำ คร่าวๆ คืองานแสดงนิทรรศการศิลปะภาพหมึกจีน
“อาจารย์จะให้ผมไปเหรอครับ”
“ใช่ พอดีว่ามีงานแสดงภาพ มันจะมีลานแสดงของนักศึกษาหรือคนทั่วไปด้วยเลยอยากให้คุณลองส่งไปเผื่อว่าผ่านการคัดเลือก ถ้าคุณสนใจน่ะนะ ผมไม่บังคับหรอก” อาจารย์อธิบาย ผมเปิดไปดูหน้าอื่นเพิ่มเติมแต่ก็ไม่เข้าใจอะไรมากนัก
“ครับ ผมว่าน่าสนใจเพราะช่วงนี้ก็เพิ่งเรียนไม่ได้มีงานเข้ามาเยอะเท่าไหร่ครับ”
“อือ ลองไปเช็ครายละเอียดในเว็บไซต์ดูนะ ผมไม่ได้โพสต์ลงในกลุ่มเพราะมันเป็นงานเฉพาะทาง มีไม่กี่คนที่เรียนแขนงจีน ยังไงลองไปคุยกับพวกที่เหลือดูนะ ถ้าสนใจมาติดต่อได้ที่ผมเดี๋ยวผมจะทำเรื่องส่งผลงานไปให้เอง ถ้ามีอะไรก็ติดต่อได้ ในเฟซบุ๊กหรือโทรมาหาผมได้เลย” อาจารย์กานต์บอกก่อนจะยื่นนิตยสารภาพผลงานภาพหมึกจีนมาให้ผมดู
“ครับอาจารย์ เดี๋ยวผมบอกเพื่อนๆ ให้อีกทีครับ”

  หลังจากที่อาจารย์กลับไปแล้วผมก็อ่านรายละเอียดอีกรอบเลยโพสต์ลงกลุ่มทัศนศิลป์ อย่างที่อาจารย์บอกภาพหมึกจีนไม่ได้มีสอนในหลักสูตร ส่วนมากจะเป็นวิชาเลือกที่ต้องรวบรวมคนไปขอเปิดรายวิชาเอง มันไม่แมสต่อคนกลุ่มใหญ่ เผื่อว่ามีคนสนใจ ในสาขาผมเท่าที่รู้มีไม่ถึงสิบคนด้วยซ้ำ ผมลงเรียนเพราะความชอบส่วนตัว วิชาเอกเลือกของผมคือประติมากรรม
ผมกลับมาที่โต๊ะของตัวเองเลยลองหาไอเดียร่างงานไว้คร่าวๆ เพราะต้องเจียดเวลาส่งงานไปร่วมนิทรรศการอีก ระหว่างที่ร่างงานบนกระดาษสเก็ตช์ ไอ้โก๋ก็สไลด์เก้าอี้มาหาจากด้านข้าง
“ฮั่นแน่”
“อะไร”
“รับงานเหมือนบ้านมีหนี้” มันคงเห็นโพสต์ผมแล้วนั่นแหละ ผมไหวไหล่ไม่สนใจ ก็เป็นเรื่องปกติเห็นกันจนเจนตา บางคนเป็นสายขยันรับงานนอกอยู่ตลอด ดูอยากไอ้เชี่ยวเห็นแบบนั้นมันยังแอบลักงานที่เพื่อนส่งอาจารย์ไปขายเอาเงินได้เลย จึงไม่แปลกหรอกถ้าจะมีเด็กบางส่วนกระตือรือร้นทำกิจกรรมอยู่เรื่อยๆ ผมถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีนะ สนุกจะตายไป แต่ต้องรู้ขีดจำกัดของตัวเองด้วยว่าไหวหรือเปล่าเพื่อไม่กระทบกับการเรียน
“หึหึ มึงน่าจะชินนะ”
“แต่คราวนี้มาแปลกไง ไม่ค่อยเห็นมึงรับงานจีนแบบนี้”
“อือ ช่วงนี้อยากลองอะไรใหม่ๆ” จริงอย่างที่มันบอก มันก็มีงานภาพจีนอยู่บ้างแต่ผมไม่ได้ส่งไปเข้าร่วมสักปี เผอิญอาจารย์กานต์อุตส่าห์มาบอกทั้งทีคงอยากให้มีเด็กมอเราส่งไปบ้างเผื่อจะได้ไปแสดงผลงาน
“อ๋อ นึกว่ามีแรงจูงใจอย่างอื่น” ว่าแล้วมันต้องแพล่มเรื่องนี้ออกมา ผมเบ้ปากไม่สนใจมันเหมือนเคย
“ถ้ามึงว่างก็ไปทำงานต่อไป กูใช้สมาธิอยู่”
“โอเค เพื่อนมาคุยก็ไล่ ว่าแต่มึงจะเอายังไงเรื่องซัมเมอร์” มันวกกลับมาเรื่องนี้จนได้ สำหรับผมยังไงประสบการณ์ถือเป็นกำไรชีวิตเลยล่ะ
“อือ มึงไปกูก็ไปแหละ” ผมบอก ไอ้โก๋พยักหน้าหงึกหงัก
“เยี่ยม กูจะได้ไปบอกไอ้เชี่ยว ยังไงก็ไว้คุยกันอีกทีละกัน” ไอ้โก๋ยิ้มก่อนจะขยับเก้าอี้ไปตามทางกลับเข้าช่องของตัวเอง ผมเปลี่ยนใจยกเลิกนัดกับพวกไอ้สองไป มันเหมือนจะไม่พอใจผมเท่าไหร่ เข้าใจเพราะมันคงเหงา ยังดีที่มีโอ้โก๋ไปแทนผมเลยรอดตัว
ช่วงหลังๆ ไอ้ยิมแค่ไลน์มาหาผมเท่านั้น ผมมีโอกาสแวะไปหาพ่อที่ร้านในตัวเมืองบ้าง ทั้งสองคนไม่ได้ถามอะไรผมเรื่องไอ้ยิมเลย ไม่แน่ใจว่ารู้หรือแค่ไม่อยากมายุ่งกับเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ของวัยรุ่น แต่ก็ดีที่พ่อแม่ให้พื้นที่แก่ผมพอสมควร ผมเอารูปมาติดในห้องอาหาร บางครั้งรูปสเก็ตช์รูปเพ้นท์ก็ขายได้ประปราย ส่วนมากคนที่ซื้อจะเป็นคนวัยทำงาน

สองเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว หลังจากที่ผมกับเพื่อนอีกสองคนส่งผลงานไปร่วมแสดงกับนิทรรศการภาพหมึกจีนเมื่อหนึ่งเดือนก่อน ตอนนี้ผลงานของผมกับเพื่อนผ่านเข้ารอบไปได้ ทำให้อาจารย์กานต์ทำเรื่องกับคณะว่าจะนำชั้นปีของผมไปดูงานนิทรรศการยกเซคชั่นไปเลย ถือเป็นกิจกรรมนอกห้องเรียน และนอกจากเรื่องเรียนที่มารุมมาตุ้มแล้วยังมีไอ้โยที่มาวนเวียนใกล้ๆ มหาลัย ประมาณว่าบังเอิญเจอที่ร้านบุฟเฟ่ต์บ้าง ตามคณะบ้าง มันมาเกาะแกะผมบ่อยๆ
วันนี้ก็เช่นกัน ผมมานั่งทำงานที่ลานหญ้าแถวคณะวิทยาศาสตร์ บริเวณนี้ร่มรื่นมีศาลาไม้ไว้นั่งเล่นแถมยังใกล้โรงอาหารใหม่กับหอสมุดของมหาลัยอีกด้วย ผมเลยถือโอกาสมานั่งเพ้นท์งานฆ่าเวลา ดันเจอไอ้โย มันบอกว่ามาดูงานที่คณะวิทยาศาสตร์ ไม่ยักรู้ว่าคณะนั้นมีงานอะไร

“ทำไมล่ะ ไม่อยากเจอหน้าโยเหรอ แหงล่ะ คนมีความผิดเหมือนวัวสันหลังหวะ” ไอ้โยมันพูด เดี๋ยวนี้ปากมันร้ายกาจกว่าเดิม เวรกรรมของผมแท้ๆ มันคงตั้งใจมาป่วนผมเพราะเรื่องไอ้ยิมแน่นอน
“มึงนี่นะ... ว่างนักเหรอวะ” ผมส่ายหน้า ไอ้โยมันเดินมานั่งข้างๆ ผม
“เฮ้อ รู้แบบนี้หาแฟนใหม่ให้เฮียไปเลยก็ดี” มันบ่นเบาๆ แต่ผมได้ยินชัดเจน
“ไอ้ยิมให้มึงมาหรือไง”
“เปล่า โยแค่แวะมาหาพี่เท่านั้น มาดูหน้าซะหน่อย”
“แล้วเป็นไงวะ” ไอ้โยมันส่อแววกวนทีนขึ้นมาทีละน้อย ผมเลยจ้องหน้ามันเงียบๆ ข่มมันให้กลัวบ้าง
“ไม่แกล้งก็ได้ ...เดี๋ยวนี้ไม่เห็นไปที่ร้านอาหารเลย ป๊ากับม้าไปมาสองรอบยังไม่เจอพี่ผิงเลย” ผมสะดุ้ง เพิ่งรู้ว่าปะป๊ามาม้าไอ้ยิมโอ้โยไปทานข้าวที่ร้านพ่อผมด้วย
“จริงเหรอ”
“อือ ถามหาพี่อยู่ คงจะมาคุยด้วยล่ะมั้ง แต่โยบอกว่าจะเอาเบอร์พี่ผิงหรือเปล่า ป๊าก็บอกว่าไม่เอา” มันบอก ผมนิ่งคิด
“ป๊ามึงพูดอะไรถึงกูบ้างวะ” ผมถาม ไอ้โยหันมามองหน้าผม มันยิ้ม
“เปล่าหรอก แค่ถามว่าเดี๋ยวนี้ยังดีกับเฮียหรือเปล่า ได้คุยกันอยู่ไหมอะไรทำนองนี้ โยก็ตอบไปตามตรงนั่นแหละ” มันเล่า
“เหรอวะ...” ผมเงียบ ป๊ามันดูเหมือนไม่ค่อยชอบผมเท่าไหร่ตั้งแต่คราวก่อนนู่นที่ไปบ้านช่วงตรุษจีน ไอ้โยเหมือนเดาความคิดผมออก
“อย่าคิดมากน่าพี่ ป๊าก็ดุเป็นเรื่องปกติ ใจดีสิแปลก” มันว่าแล้วหัวเราะเบาๆ ผมเลยเก็บของใส่กระเป๋ากะว่าจะกลับไปนอนพักสมองที่ห้องดีกว่า ไอ้โยทำหน้าหงอย “จะกลับแล้วเหรอ”
“อือ มึงล่ะ ให้กูไปส่งหรือเปล่า” ผมถามอย่างมีน้ำใจ
“ไม่ล่ะ โยกลับกับคุณครูน่ะ แล้วนี่จะไม่คืนดีกลับเฮียจริงๆ เหรอ” ผมกับไอ้ยิมไม่ได้โกรธอะไรกันซะหน่อย เสียงสั่นเตือนข้อความเข้า ผมหยิบมาเปิดดูเป็นไลน์จากไอ้ยิมนั่นเอง ผมเปิดอ่าน มันส่งรูปพู่กันจีนอันใหญ่มีด้ามลวดลายสลักสวยงามมาให้ผม
Yim : ของฝากจากเซี่ยงไฮ้ ถูกใจไหม
มันถามมา ผมสงสัยว่ามันไปเซี่ยงไฮ้มาจริงๆ น่ะเหรอ
Phing : อือ สวยมาก จะให้กูเหรอ
Yim :  เออ ซื้อให้เป็นของขวัญ 
Phing :  ไม่ต้องหรอก มึงให้ของฝากกูเยอะล่ะ 
Yim : เออ มันคนละส่วน อันนั้นไม่ใช่ของฝากเป็นของที่กูอยากให้มึงเก็บดีๆ ของๆ กูอะ

ไอ้ยิมอธิบาย นึกภาพตามมันจะต้องขมวดคิ้วหน้าบึ้งแหงๆ ผมเลยเออออห่อหมกขอบคุณมันไป ผมว่ามันคงหาเรื่องมาคุยกับผมมากกว่า ส่วนมากจะไลน์คุยกัน นานๆ จะไลน์มาหาผมเหมือนมันพยายามอยู่กับตัวเองมากขึ้น
เมื่อถึงวันงานนิทรรศการแสดงผลงานภาพหมึกจีน อาจารย์ก็นำทัพพานักศึกษาไปที่หอศิลป์ประจำจังหวัดที่อยู่ในตัวเมือง งานที่ได้รับเลือกจะจัดแสดงอยู่ชั้นล่าง ผมเลยต้องอยู่ประจำที่งานของตัวเองเพื่อคอยอธิบายงานให้ผู้ที่สนใจฟังอยู่เรื่อยๆ แต่ช่วงสำคัญจะอยู่ตรงที่คณะศิลปินกับอาจารย์ศาสตร์ต่างๆ แวะมาชมงาน ถือเป็นไฮไลท์เช่นกัน
ผ่านไปไม่นานนักเหมือนผมหูแว่วไปเอง ได้ยินเสียงคับคล้ายคับคลาเสียงเจื้อยแจ้วอย่างกับไอ้โยมาป้วนเปี้ยนแถวนี้ ผมเลยสอดส่องมองหาต้นตอของเสียง เหมือนมีลางสังหรณ์ ทางซ้ายมือของผมเป็นทางเชื่อมต่อจากชั้นบน ผมเห็นเครื่องแบบนักเรียนเอกชนกำลังเดินมาทางผมอย่างรวดเร็ว ผมเบ้หน้ากะว่าจะเผ่นแต่ไม่ทันการณ์

“พี่ผิง!” ไอ้โยคว้าหมับเข้าที่ลำแขนของผมพอดี มันดึงรั้งผมไว้อย่างแรงผมเลยไม่อยากผลักให้มันล้ม ยืนนิ่งปล่อยให้มันเขย่าแขนไปมา
“มาได้ยังไงเนี่ย” ผมถามมัน ไอ้โยมองหน้าผมเหมือนโกรธเคืองสักสิบชาติได้ มันกอดอกจ้องหน้าผม
“มากับป๊าน่ะสิ” ผมสะดุ้งเหมือนเจอของร้อน ซวยล่ะ ไม่อยากเจอป๊ามันเลยแฮะ
“ทำไม กลัวล่ะสิ แหงแหละ มาหลอกลูกชายป๊าก็ต้องโดนดีซะบ้าง”
“หลอกอะไรของมึงวะ พูดไปเรื่อย” ผมส่ายหน้าไปมาก่อนจะมองไปทั่วบริเวณเผื่อเจอป๊าของมัน ไอ้โยจิ๊ปากไม่พอใจก่อนจะเดินมาดูรูปของผมแล้วทำหน้าย่น มันทำปากขมุบขมิบทำนองว่า ‘ไม่เห็นจะสวยเลย’ ผมล่ะอยากทุบมันสักอั้ก
“เฮ้อ อยากมาคุยกับพี่ให้รู้เรื่องไง” มันเดินวนกลับมาตรงหน้าผม
“คุยเรื่อง?” ผมตีมึนแกล้งมันเพื่อความสะใจส่วนตัว
“เอ้า ก็เรื่องเฮียไง น่าสงสารจะตาย ทำดีแทบตายสุดท้ายก็แห้ว” มันบ่น ผมถอนหายใจ จับไหล่เล็กๆ ของมันไว้
“นี่ไอ้โย บางเรื่องมันไม่ใช่แค่ทำดีหรอกนะเว้ย มึงยังเด็ก”
“แล้วพี่โตแค่ไหนกันเชียว” มันย้อนซะผมจุกเลยล่ะ ผมหน้าบึ้ง
“กูไม่คุยด้วยละ” ผมบอกมันก่อนจะหยิบโทรศัพท์มากดเล่นไม่สนใจมันอีก แต่เห็นจากหางตาว่ากางเกงสีน้ำเงินยังคงยืนอยู่ จากนั้นมันก็โบกมือร้องเรียก
“ป๊า โยอยู่ตรงนี้ไง พี่ผิงก็อยู่” มันเรียก ผมเงยหน้าไปตามทิศทางที่มันโบกไม้โบกมือ ผมเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกงก่อนจะรู้สึกเหมือนอากาศตรงนี้ร้อนอบอ้าวซะเหลือเกิน ไม่ทันไรร่างท้วมของชายวัยกลางคนก็เดินมาหาไอ้โย ผมยกไหว้ด้วยความเกร็งนิดหน่อย
“สวัสดีครับ”
“อ้อ เห็นว่าได้แสดงผลงานด้วย เก่งนะเรา” ป๊าแกบอก ไอ้โยยืนเรียบร้อยอยู่ข้างๆ ผม ในสายตาผมป๊าไอ้ยิมยังคงดุอยู่เหมือนเดิม ดูเหมือนท่านจะไม่ค่อยชอบใจผม ซึ่งผมไม่ได้รู้สึกหรือคิดไปเองจริงๆ
“ขอบคุณครับ”
“แล้วได้คุยกับยิมมันบ้างหรือเปล่า” อยู่ๆ ป๊าก็ถามถึงไอ้ยิมซะอย่างนั้น ทำเอาผมยิ้มค้างไปวูบนึง
“มีติดต่อกันบ้างครับ นานๆ ที” ผมบอกไปตามความจริง ป๊าพยักหน้าเข้าใจไม่ได้ยิ้มแย้ม ผมเหลือบมองไอ้โยที่มองหน้าผมนิ่งๆ เหมือนกัน เอ้า คนบ้านนี้มาโกรธผมด้วยหรือไง
“เฮ้อ เรื่องหนุ่มสาวสมัยนี้ไม่เข้าใจจริงๆ รักๆ เลิกๆ ยังไงก็โชคดีนะ อะ เป็นธุระให้ป๊าหน่อย” ป๊าไอ้ยิมพูดกับผมเสร็จก็หันไปคุยกับไอ้โย ในมือยืนถุงกระดาษสีขาวไปให้ไอ้โยแทนก่อนจะเดินไปดูผลงานทางอื่นต่อ ผมมองตามอย่างไม่เข้าใจ
“พี่ผิง อะ มีคนฝากมาให้”
“หืม ไอ้ยิมเหรอ” ผมรับถุงมางงๆ ไอ้โยย่นหน้า
“อือ นั่นแหละ ป๊าโกรธแทบตายเลย” ไอ้โยยิ้มให้นิดนึง มันกวักมือให้ผมฟังมันเม้าธ์
“อือว่า”
“เฮียรู้ว่าพี่มานิทรรศการไง เลยส่งของมาให้โยเอามาให้พี่ แต่เผอิญป๊าดันเป็นคนรับของน่ะเลยรู้ว่าเฮียยังคุยกับพี่อยู่ คงโกรธไง”
“อืม โกรธมันหรือโกรธกู”
“โอ้ย สองคนเลยแหละ...น่าโกรธอยู่ ก็เล่นไม่บอกไม่กล่าวว่าไม่ได้คุยกันแล้ว คือพี่ต้องเข้าใจป๊าหน่อยนะ กว่าจะให้เฮียมีแฟนเป็นผู้ชายก็ว่ายากแล้ว ตอนที่พาพี่มาที่บ้านคราวนั้นถือว่าป๊าเปิดใจมากๆ เลยแหละ ป๊าคงไม่เข้าใจวัยรุ่นไงว่าทำไมนึกจะเลิกก็เลิก”
“กูยังไม่ได้คบกับไอ้ยิมเลยนะ... แต่ก็เข้าใจป๊ามึง”
“อือ แล้วเมื่อไหร่จะคบกันจริงๆ สักทีล่ะเนี่ย”
“...ไม่รู้สิ ถึงเวลามันใช่ก็คงใช่เอง”
“โอ้ย รอเวลาก็ไม่ทันกินหรอก” ไอ้โยพูดเสียงสูง มันทำหน้าบูด
“เออน่า มึงไม่ต้องเข้าใจหรอก” อย่างน้อยๆ ไอ้ยิมมันก็เข้าใจผม ไอ้โยมองค้อน
“โอเค ก็เข้าใจอยู่หรอก ไม่งั้นป่านนี้โยคบพี่สองไปนานแล้ว” มันพูดถึงเรื่องเก่าๆ จากนั้นมันก็หยิบโทรศัพท์มาถ่ายรูปผมแบบไม่บอกไม่กล่าว
“เฮ้ยอะไร”
“มิชชั่นคอมพลีส” มันว่าก่อนจะเดินจากไปอย่างรวดเร็ว ผมมองตามหลังมันไปแบบงงๆ พี่น้องคู่นี้เหมือนกันเลยแฮะ ผมยืนนิ่งในมือถือถุงของขวัญอย่างหนักใจ ไอ้ยิมมันก็แค่จะป่วนผม

หลังจากที่ใช้เวลาอยู่กับนิทรรศการศิลปะอยู่สองวันเต็มๆ พวกผมพร้อมกับอาจารย์ก็ยกขบวนกันกลับมหาลัยตามกำหนดการ แต่ผมกลับรู้สึกไม่ปลอดโปรงเหมือนมีเมฆดำๆ ลอยอยู่เหนือศีรษะตลอดเวลา ผมส่งไลน์ไปหาไอ้ยิม
Phing : คืนนี้ว่างไหม
 Yim : ทำไม?
Phing : คอลกันหน่อย
Yim : ได้สิ
           好想你 
ผมมองภาษาจีนที่มันส่งมาอย่างไม่เข้าใจ
Phing : แปลด่วน 
อีกฝ่ายไม่ตอบมันแค่ส่งสติ๊กเกอร์หน้าโกรธมาให้
Yim:เออ เพลงนี้เพราะ อยากให้มึงฟังจริงๆ 我们的歌 -王力宏 ลองไปฟังนะ 
Phing: ไม่ฟังเพลงน้ำเน่านะเว้ย
ผมดักมันไว้ก่อน 
Yim:เออ กูชอบไงเลยอยากให้ฟังบ้าง
 Phing:โอเคๆ 
Yim:เดี๋ยวสองทุ่มคอลไปนะ 
ไอ้ยิมบอก สุดท้ายมันก็ต้องคอลมาหาผม ทั้งๆ ที่ตอนแรกผมกะจะคอลไปหามันแท้ๆ แต่ช่างเถอะ ผมกลับมาที่หอพักก่อนสองทุ่ม อาบน้ำให้ร่างกายสดชื่น ลองฟังเพลงจีนที่มันแนะนำ ผมเข้ายูทูปฟังไปสองรอบ เพลงก็ติดหูดี ไอ้ยิมมันเป็นคนโรแมนติกนะ
เมื่อเวลาเดินมาถึงสองทุ่มเป๊ะๆ อีกฝ่ายก็คอลมมาแบบตรงต่อเวลา ผมกดรับ หน้าจอสมาร์ทโฟนปรากฎใบหน้าของไอ้ยิมขึ้นมา ผมแปลกใจวูบนึง มันไม่สวมแว่น ตัดผมสั้นเหมือนมีหน้าม้า ทำให้หน้ามันดูเด็กลง มันยิ้มโบกมือมาให้ผมท่าทางตื่นเต้น
“ไง ไม่เห็นหน้านาน มึงตัดผมอีกแล้วเหรอ” ผมทักทายมัน ไอ้ยิมยกมือลูบเส้นผมไปมา
[เป็นไง ดูดีป่ะวะ]
“เออ ก็ดี ดูเด็กลงนะ” ผมบอก เห็นมันยิ้มแก้มตุ่ย
[อาบน้ำแล้วเหรอ]
ผมพยักหน้า “อือ เพิ่งอาบเสร็จล่ะ แล้วมึงนึกเพี้ยนอะไรหามาทำเป็นส่งเพลงสื่อรักเหรอ” ผมแกล้งแซวมัน ผมยังไม่ได้กูเกิ้ลหาความหมายของเพลง แต่ดูๆ แล้วน่าจะเป็นเพลงรักนั่นแหละ มีชื่อภาษาอังกฤษว่า our song
[เปล่า แค่ให้ฟัง มึงไม่ฟังเพลงจีนนี่หว่า อีกอย่างส่งให้มึงฟังก็เหมือนขว้างก้อนหินใส่กำแพง] สำบัดสำนวน ขว้างก้อนหินใส่กำแพงมันก็จะกระเด็นกลับใส่ตัวน่ะสิ ผมมองไอ้ยิม สีหน้ามันดูสดชื่นดี ด้านหลังมีตุ๊กตาหมีแพนด้าอยู่สองสามตัว
อ้อ อีกเรื่องนึง ผมเพิ่งเห็นว่าช่วงนี้มันบ้าหมีแพนด้า
“ไปเซี่ยงไฮ้มาเหรอ ขอบคุณเรื่องของฝากด้วยนะ ที่จริงไม่เห็นต้องให้เลย” นี่มันกะจะให้ผมติดค้างมันไปเรื่อยๆ สินะไอ้ยิม
[อืม กูอยากให้ มึงก็แค่รับไปเท่านั้นแหละ พอดีกูไปธุระที่เซี่ยงไฮ้กับน้าสุเลยแวะเที่ยวเฉิงตูมา] ผมพยักหน้า ไม่ค่อยรู้เรื่องหรอก แต่ก็เคยได้ยินว่าที่เฉิงตูที่มีแพนด้า
“ได้ไปดูหมีแพนด้ามาป่ะ น่ารักไหม” ผมถามไปแบบนั้นแหละ ไอ้ยิมแค่ยิ้ม ชักยิ้มบ่อยเกินไปล่ะนะ แดกเนื้อมาเหรอไอ้นี่
[เออ แวะไปดูมาแหละ ...น่ารักไหม มึงอยากได้หรือเปล่าเดี๋ยวกูส่งไปให้] มันหยิบตุ๊กตามาใกล้ๆ 
“ฮึ ไม่เอา อย่าเปลืองค่าส่งเลยดีกว่า” ผมบอก ถ้าจะให้ตุ๊กตาผมขอบาย ผมไม่ชอบตุ๊กตาเท่าไหร่ “...กูอยากถามเรื่องป๊ามึงหน่อย”
[ได้สิ จะถามเรื่องอะไร] มันทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้
“เขาโกรธอะไรกูหรือเปล่าวะ กูเจอป๊ามึงที่งานนิทรรศการน่ะ”ผมพูด รู้สึกกังวลใจขึ้นมา หากป๊าของอีกฝ่ายไม่ชอบหน้าผมขึ้นมา 
[อืม รู้แล้วล่ะ... จริงๆ ไม่โกรธมึงหรอก ป๊าเขาโกรธกูมากกว่า]
“ทำไมวะ” ผมถาม รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา
[ก็...เรื่องที่กูเป็นเกย์ไง กูพยายามยืนหยัดเรื่องนี้กับครอบครัวมาตลอด เขาคงโมโหที่ว่ากูอุตส่าห์ยอมแตกหักแต่สุดท้ายก็ลงเอยแบบนี้ไง] มันอธิบาย เรื่องเป็นแบบนี้ยิ่งทำให้ผมรู้สึกแย่ ดูเหมือนไอ้ยิมคงอยากให้ผมรู้สึกไม่ดีบ้างล่ะมั้ง
“...” ผมพูดไม่ออก
[ไม่เกี่ยวอะไรกับมึงหรอกผิง เป็นเรื่องระหว่างกูกับป๊าน่ะ] เป็นผมเองที่เข้าไปเสือกสินะ
“อ๋อ กูนี่เจ๋อไปเองงั้นสิ”
[ฮ่าๆ กูพูดแบบนั้นเหรอ ไม่ใช่น่าไอ้ผิง คิดเยอะจัง] มันทำเสียงเหมือนสุขใจซะเต็มปะดา ผมถอนหายใจ
“มึงไม่เป็นอะไรแน่นะ” ผมเป็นห่วงมันเรื่องป๊ามันล้วนๆ
[อื้อ สบายมาก ถึงป๊ากูจะดูเหมือนดุ ใจร้าย แต่ยังไงเขาก็เป็นพ่อกู ถ้ากูมีเหตุผลเขาก็รับฟัง โตๆ กันแล้วนี่หว่า จะใจร้อนไม่ฟังกันได้ยังไง... ไม่ต้องห่วงหรอก เชื่อกู]
หืม ดูไอ้ยิมมันพูดเข้า น่าหงุดหงิดจริงๆ
“อือ กูแค่ไม่อยากเป็นสาเหตุให้ใครต้องบาดหมางกันหรอก ถ้ามึงโอเคก็ไม่มีปัญหาหรอก”ผมพูดอย่างจริงจัง เหลือบมองหน้าจอโทรศัพท์ ในวีดีโอคอลไอ้ยิมเผยยิ้มออกมา 
[ที่อยากคุยเพราะเรื่องนี้น่ะเหรอ...ใจดีจังนะ] มันพูดน้ำเสียงอบอุ่น ผมเงียบกริบ
“มึงเห็นกูเป็นคนจิตใจดำมืดขนาดนั้นหรือไง” ผมพูด ทำหน้าหน่ายๆ
[ก็นิดหน่อยนะ]
“ยังไงก็ดูแลตัวเองด้วยล่ะ” ผมเปลี่ยนเรื่องคุย ไอ้ยิมยิ้ม
[อือ อีกเดือนเดียวกูก็กลับแล้ว] มันบอก 
“อีกนิดเดียวเอง ตั้งใจเข้าล่ะ” ผมนึกอะไรไม่ออกเลยเงียบ ไอ้ยิมยื่นหน้ามาใกล้ๆ จอ ผมอดไม่ได้ที่จะเลื่อนโทรศัพท์ออกไปห่างๆ ตัว
[หว่อหาวเสี่ยงหนี่] ไอ้ยิมพูดให้ผมได้ยิน มันชอบพ่นจีนมาให้ผมฟัง มันบอกว่าไม่ค่อยได้ใช้นานไปจะลืม
“ไอ้ยิม—มึง” มันวางสายไปแล้ว ผมนั่งอึ้งๆ มองหน้าจอโทรศัพท์นิ่งๆ ผมไม่อยากไปเสาะหาคำแปลหรอกนะ เดี๋ยวรู้แล้วจะโลเล ผมเบ้ปาก ปล่อยให้มันทำไปเถอะ ถ้ามันชอบน่ะนะ
เฮ้อ ว่าแต่เฉิงตูมันอยู่ที่ไหน ผมเข้ากูเกิ้ลค้นหาดูไปพลาง แก้เบื่อ “ฮื่อ คงสนุกล่ะสิ” ผมพึมพำก่อนจะเอนตัวลงไปนอนเล่นบนเตียง ในหัวโลดแล่นไปด้วยความคิดบางอย่าง บางทีนะ ผมอาจจะ... ผมหลับตาปล่อยให้เรื่องวุ่นๆ ค่อยๆ เลือนหายไปพร้อมเข้าสู่ห้วงนิทราไปเอง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-02-2018 15:45:28 โดย รินดาwดาริน »

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11

ผิง ใจอ่อนกับยิมได้แล้ว
ยิม มั่นคง โรแมนติค ให้เกียรติผิงจริงๆ
ถ้าเทียบยิมกับคนอื่น พวกนั้นไวไฟกว่าเยอะ
ยิม ผิง  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ Bradly

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 200
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1

ออฟไลน์ รินดาwดาริน

  • OnTop&N'Song
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +243/-2
Deen Diary
บทที่ 8 การเริ่มใหม่ กับคนที่เคยเกลียด (ต่อ)

ไอ้แกนพาผมไปสนามกีฬาด้วยรถ เคเอสอาร์คันโปรดของมัน ผมงง.... มันพาผมไปค่ายมวยจะพาไปชกหรือพาไปดูใครหรือยังไง ผมไม่ชอบดูมวยเลยสักนิด
“มาที่นี่ทำไม” ผมถามหลังจากไอ้แกนหาที่จอดรถได้แล้วเพราะลานจอดรถแน่นเอี๊ยด
“มาดูเพื่อนชกน่ะ มาเหอะ” มันบอก คิ้วขมวดเข้าหากันเหมือนรำคาญใจที่ผมถามมากมาย ผมย่นคิ้วตามมันแต่ก็เดินตามมันเข้าไปด้านใน
เสียงเชียร์ดังพร้อมๆ กับเสียงพากย์มวยคู่เอกบนเวทีกำลังแลกหมัดกันอย่างไม่ลดละ ไอ้แกนกับผมแทรกตัวไปดูฝั่งมุมน้ำเงินที่คาดว่าเป็นเพื่อนมัน ไอ้แกนเอนตัวมาใกล้เพื่อคุยกับผม จังหวะนั้นผมต้องเบนตัวหนีมันเล็กน้อย
“น้ำเงินนั่นเพื่อนกูเอง หวังว่ามันจะชนะนะเพราะเป็นสังเวียนสุดท้ายของมันแล้ว” ผมเลื่อนสายตาจากใบหน้าของไอ้แกนไปมองกางเกงน้ำเงินที่ท่าทางเหมือนจะจนมุม หน่วยก้านคู่ต่อสู้ดูจะแกร่งกว่าแต่เพื่อนไอ้แกนดูจะได้เปรียบเพราะสูงกว่านิดหน่อย ผมเบ้หน้าเมื่อเข่าซ้ายของกางเกงแดงคู่ต่อสู้กระแทกเข้าที่หน้าท้องของอีกฝ่ายแดงเป็นทางเลย
“ไม่ชอบเหรอ” มันถามโง่ๆ มันน่าจะรู้ว่าผมไม่นิยมความรุนแรงหรอก ถึงจะจัดว่าเป็นกีฬาก็เถอะแต่มันน่าหวาดเสียว คงจะเจ็บมากด้วย
“ฮึ เพื่อนมึงจะแพ้ไหม” ผมพูดลอยๆ แต่ดูรูปเกมแล้วถ้าไม่พลิกกลับมาน็อกคู่แข่ง เพื่อนมันอาจแพ้ด้วยคะแนนก็ได้ ไอ้แกนส่ายหน้า
“มันน่ะมีลูกเด็ดแต่จะดึงมาใช้ไหวหรือเปล่าก็อีกเรื่อง” ไอ้แกนว่า มันกอดอกมองเพื่อนตัวเองอย่างตั้งอกตั้งใจ ผมมองไปรอบๆ ตัว คนที่กำลังดูสนุกกันมากแต่ผมไม่อยู่ในอารมณ์นั้น
คนดูเมามันส่งเสียงเชียร์เฮลั่น จนกระทั่งยกสุดท้ายอยู่ๆ ไอ้แกนก็เดินไปหาพี่เลี้ยงที่มุมพักที่ตอนนี้กำลังบีบนวดให้เพื่อนมันอยู่ มันพูดอะไรสักอย่างกับเพื่อนมัน ไอ้แกนมันคงจะชอบชกมวย เพื่อนมันพยักหน้าหงึกหงักก่อนที่เสียงระฆังจะดังและเสียงคนพากย์เริ่มพูดออกไมค์ ไอ้แกนเดินกลับมาหาผม
“ต้องไปกระตุ้นมันหน่อย” มันพึมพำ ผมมองหน้ามันอย่างฉงน เพื่อนที่มันว่าดูไอ้แกนจะเป็นห่วงมากกว่าไอ้จิวหรือเพื่อนๆ มันที่คณะ ไอ้แกนก็มีมิตรแท้เหมือนกันแฮะ
บนเวทีกำลังดุเดือดจนผมเองก็พลอยเอาใจช่วยฝ่ายน้ำเงินไปด้วย เสียงเชียร์ฝ่ายน้ำเงินดังกระหึ่มทำให้เจ้าตัวดึงจังหวะหลอกล่อคู่แข่งให้ถอยไปติดมุมเชือกก่อนจะปล่อย ‘หมัดฮุกขวา’ ข้างถนัดไปแบบเต็มแรง ปะทะเข้ากับบริเวณกรามซ้ายของอีกฝ่ายจนร่วงลงไปกองกับพื้น เสียงพากย์อันตื่นเต้นทำให้ผมละสายตาจากเวทีมวยหันไปมองคนข้างๆ ผมอย่างอดไม่ได้
ผมใจหล่นวูบพบว่าไอ้แกนมันมองมาที่ผมเช่นกัน
‘ทำไมกัน’ แทบทุกครั้งเลยด้วยซ้ำ
ผมเบนหน้าไปมองบนเวทีต่อด้วยใจไม่สงบ เหมือนคนโดนจับได้ บนเวทีฝ่ายน้ำเงินกระโดดไปยืนบนเชือกเส้นล่างสุดกู่ร้องอย่างดีใจกับชัยชนะ
“ไปกันเถอะ มันชนะแล้ว” ผมถูกสะกิดที่แขน ผมเลิกคิ้วมองมัน แค่มาดูแล้วก็กลับงั้นเหรอ
“แค่มาดูเพื่อนมึงน่ะเหรอ” ผมถาม ไอ้แกนเหลียวหน้ามาหา มันกลอกตาเหมือนคนกำลังคิด
“เปล่า... กูพามึงไปตลาดไงแค่แวะมาดูเพื่อนก่อนน่ะ” มันยิ้มบอกให้ผมรอที่ทางออกของสนามกีฬาเพราะมันไปเอารถ คนเริ่มทยอยกลับเพราะเป็นคู่สุดท้ายแล้ว
ผมกดปลายเท้าลงไปที่ก้อนหินก้อนใหญ่ ไอ้แกนมันจงใจพาผมออกมาเพื่ออะไรกัน ผมว่ามันมีจุดประสงค์หรืออาจจะแค่อยากให้ผมออกมากับมันเท่านั้น เสียงรถ KSR คู่ใจไอ้แกนดังมาใกล้ๆ ผมจำเสียงได้

ผมซ้อนท้ายมัน ไอ้แกนพาผมลัดเลาะไปตามซอยเพื่อไปโผล่ที่หัวมุมถนนเลี่ยงไฟแดง มันขี่รถไปจอดใกล้ๆ กับป้ายไวนิลขนาดใหญ่ที่เขียนไว้ว่า ‘ศูนย์รวมปลากัดทุกชนิด’
“เนี่ยนะ?” ผมงง ไม่ยักรู้ว่ามันเลี้ยงปลากัด ไอ้แกนทำหน้าเหมือนขบขันที่เห็นผมไปไม่เป็น
“กูชอบมาดูน่ะ สวยดี ก็อยากจะซื้อไปเลี้ยงสักตัวสองตัว” มันบอก สายตาเหมือนมีเลศนัยอะไรบางอย่าง ผมถอนหายใจแรงๆ เพราะความอ้อยอิ่งของมัน ดูท่ามันจะรู้จักเจ้าของร้านที่ชื่อว่าบาสเพราะเห็นทักทายกันปกติ
ผมเข้าไปด้านใน ร้านถูกแบ่งโซนเป็นสองส่วนคือส่วนของตู้ปลากัดกับส่วนรับลูกค้า มีเก้าอี้นั่งพร้อมอัลบั้มรูปปลากัดของร้าน ผมว่ามันก็สวยดี ไอ้แกนหันมาหาผม “มาช่วยเลือกหน่อย” ผมตกใจเพราะไม่ได้ตั้งตัวอะไร พูดเหมือนสนิทกันด้วย ช่วยเลือก ราวกับว่าผมเป็นส่วนนึงของการตัดสินใจของมัน ผมเบะปาก
“กูเลือกไม่เป็นหรอก” ผมบอก ปลากัดต่างสายพันธุ์ในขวดแก้วสวยๆ ทั้งนั้น โดยเฉพาะประเภทที่หางยาวๆ สวยงามและราคาน่าจะสูงทีเดียว
“เลือกมาตัวนึง” ไอ้แกนหันมาพูดกับผมน้ำเสียงดูอ่อนกว่าที่เคยมันใช้ เป็นน้ำเสียงอีกแบบนึง ปกติคุยกับผมมันก็เสียงห้าวๆ ทุ้มๆ หน่อยแต่โทนเสียงนี้มันเพิ่งมาใช้กับผม
“เอ่อ” ผมอึกอัก บาสเจ้าของร้านกำลังกดดันด้วยสายตา ผมเหลือบไปเห็นปลากัดพันธุ์อะไรไม่รู้สีขาวสวยครีบกับหางแผ่เหมือนพัด “พันธุ์อะไร” ผมถามชี้ไปที่ตู้ปลาตัวนั้น
“อ๋อ นั่นคราวเทล สวยนะ” บาสบอกก่อนจะตวัดสายตามองผมที ไอ้แกนที
“กูซื้อให้” มันบอก ผมนิ่งเพราะไม่อยากเลี้ยงปลากัด จะไปหักหน้ามันตอนนี้ก็ไม่ใช่เรื่อง มันคงโกรธผมแน่ๆ
“เออ ตัวนี้ก็ได้” ผมบอกเสียงราบเรียบเหมือนโดนมัดมือชกยังไงชอบกล “มึงจะให้กูเลี้ยงเหรอ” ผมหันไปพูดกับไอ้แกนเบาๆ รู้สึกเครียดนิดหน่อยเหมือนโดนไอ้แกนปั่นหัวและผมเองก็ทำตัวไม่ถูก ถ้าให้เลี้ยงอย่างอื่นยังเข้าท่ากว่า
อย่างอื่น..... ผมตกใจกับความคิดของตัวเอง
“กูเลี้ยงเองก็ได้ถ้ามึงเลี้ยงไม่เป็น” ผมมองหน้ามันอึ้งๆ อีกฝ่ายไม่บอกว่าทำไมต้องซื้อปลากัดและทำไมต้องพาผมมาด้วย ผมไม่เข้าใจมันจริงๆ
“เฮ้ย ทำไมมึง—” มันไม่ฟังผมพูดให้จบแต่เดินไปหาบาสแทนเพื่อคุยกันตกลงกันเรื่องราคาเพราะมันซื้อปลากัดเพิ่มอีกหนึ่งตัว ฮาร์ฟมูน หางกุหลาบสีน้ำเงินสวยเชียว แต่ก็นั่นล่ะ... ผมมีคำถามว่ามันซื้อไปเพื่ออะไร เลี้ยงปลามันไม่ง่าย ต้องให้อาหารเปลี่ยนน้ำ มันติดโรคหรือเปล่า ผมถึงไม่ค่อยชอบเลี้ยงสิ่งมีชีวิต

สรุปแล้วมันได้ปลากัดมาสองตัว “ถือไว้ดีๆ” มันบอกราวกับว่าผมโง่ดักดาน
“มีโหลไว้เลี้ยงมันเหรอ” ผมไม่ใส่ใจคำพูดของมัน
“มีสิวะ กูเลี้ยงปลาหางนกยูง” มันบอก สายตาอ้อยอิ่งอยู่ที่หน้าผม
‘มองห่าอะไรวะ’ ผมขมวดคิ้วเพ่งมองโหลปลากัดอย่างสนอกสนใจซะเต็มประดา แต่เรื่องที่มันเลี้ยงปลาผมก็ไม่รู้เลยแฮะ ไม่เคยเข้าไปในห้องของมันด้วย มีแต่มันนั่นแหละที่ชอบมาวุ่นวายในห้องของผม
“เหรอ ไม่เห็นรู้” ผมพึมพำ
“มึงไม่สนใจนี่หว่า” มันแสดงสีหน้าไม่ถือสาเอาความอะไร ผมถือขวดแก้วสองใบที่มีปลากัดสวยงามอย่างระมัดระวัง กลัวมันจะตายก่อนได้ที่อยู่ใหม่น่ะสิ
ระหว่างทางกลับไปอพาร์ทเม้นท์ผมเองก็ได้แต่คิดว่านานแค่ไหนที่ไม่ได้ออกมาเที่ยวในเวลาพลบค่ำแบบนี้ ส่วนมากผมจะอยู่ในแต่ห้อง ถ้าไม่ออกไปนั่งร้านเหล้าชิลๆ บางครั้งผมไปนั่งคนเดียว บางคราวก็มีไอ้แกนไปเกะกะอยู่ข้างๆ
ผมและเจ้าปลากัดสองตัวกลับมาถึงอพาร์ทเม้นท์อย่างปลอดภัย ไอ้แกนเดินไปที่ห้องของมัน ไขกุญแจไม่นานก็เปิดประตูให้ผมเข้าไป ห้องของมันกว้างเพราะไม่ได้วางของไว้รกหูรกตา เป็นระเบียบ สะอาด ห้องครัวแยกไปอีกประตูนึง ไอ้แกนมีโซนเลี้ยงปลาของมันเองอยู่ริมห้องตรงข้ามกับปลายเตียง แต่มีพื้นที่ว่างพอสมควรเพราะปกติจะต้องมีชั้นวางโทรทัศน์ กลายเป็นเปลี่ยนเป็นตู้ปลานาโนทรงสี่เหลี่ยมขนาดสิบสองนิ้ว มีปลาหางนกยูงสี่ตัว จัดตู้เรียบง่ายแค่หินสีดำกับหินกรวดสีน้ำตาลกับขาวคละกัน ไอ้แกนเดินไปยกตู้ปลามาสองใบ กะจากสายตากว้างพอสมควร น่าจะสักไม่เกินสิบนิ้วมั้ง
ไอ้แกนเดินหายไปในห้องน้ำจากนั้นเดินกลับมาพร้อมน้ำหนึ่งถัง มันค่อยๆ เทน้ำลงไป ผมมองมันจัดการอยู่คนเดียว ผมไม่เข้าใจการเลี้ยงปลากัด
“ช่วยเอาต้นไม้ใส่ให้หน่อย” มันหันมาพูดกับผม สายตาสีนิลคู่นั้นจ้องมองผมปราศจากความอึดอัด เป็นครั้งแรกด้วยซ้ำที่ผมเห็นว่าแววตานั้นมีชีวิตชีวา
“อืม” ผมหยิบพรรณไม้น้ำที่ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไร
“สาหร่ายหางกระรอก” ไอ้แกนบอกขณะที่เดินผ่านผมไป ผมใส่ลงไปในตู้ทั้งสองใบ รวมไปถึงอนูเบียสแคระพันขอนไม้ขนาดเล็กๆ เผื่อว่ามันจะเอาไว้นอน อย่างน้อยๆ ปลาจะได้ไม่เครียด ก่อนจะเทกรวดลงไปพอประมาณ
“ไม่ต้องใช้ออกซิเจนเหรอวะ”
“ไม่หรอกมันอยู่ได้” ไอ้แกนค่อยๆ ปล่อยปลากัดลงทีละด้านของตู้ปลา ปลาสองตัวกับบ้านใหม่มีที่กว้างพอให้มันว่ายสำรวจ ปลากัดมันไม่ถูกกันพอมันเห็นหน้ากันต่างฝ่ายก็สำแดงฤทธิ์ นั่นก็คือทั้งสองตัวกางครีบกางหางท่าทางคึกคัก ไอ้แกนรีบไปหยิบกระดาษมากั้นมันสองตัวไว้ ไม่นานมันก็สงบ ผมรู้สึกตื่นตาตื่นใจปกติก็ไม่เคยสนใจปลากัดพวกนี้
ผมกวาดตามองไปที่โต๊ะเลี้ยงปลามีอาหารปลากัดกับอาหารปลาทั่วไปวางอยู่
“ท่าจะเลี้ยงยาก” ผมพูดเหมือนคุยกับตัวเอง ไอ้แกนส่ายศีรษะไปมากอดอกมองผม
“ไม่หรอก แค่มั่นเปลี่ยนน้ำแล้วก็ไม่ให้พวกพืชมันเน่าแค่นั้นเอง” มันพูดอย่างไม่เดือดเนื้อร้อนใจอะไร ก่อนจะหยิบอาหารปลาคิงส์ฟิชออกมาเทใส่ไปทีละนิดในตู้ปลา
“เหรอ” ผมไม่คิดว่ามันง่ายเลย ต้องใส่ใจพอสมควร ผมมองปลาฮาร์ฟมูนสีน้ำเงินตัวนั้นอ้าปากกินเม็ดอาหารทีละเม็ด
“ดีน ถ้ามึงอยากดูมันก็มาที่นี่ได้นะ” มันบอก ผมนิ่งชาดิกทั้งตัว บางทีนี่อาจเป็นเหตุผลที่มันซื้อปลากัดมาเลี้ยง ผมคิดในแง่ร้าย
“หึ มึงฝันไปเหอะ” ผมเอ่ยขึ้น
“นั่นสินะ” ไอ้แกนงึมงำเบาๆ
“มึงคงว่างเลี้ยงมันอยู่แล้วล่ะ” ผมบอกก่อนจะถอนหายใจเฮือก
“อือ แค่เลี้ยงปลาเองถ้าเลี้ยงไม่ได้ก็ไม่ต้องไปดูแลใครหรอก” เสียงของไอ้แกนพลุ่งพล่านด้วยอารมณ์
ผมนิ่งไป... มันว่าผมหรือเปล่า
“หมายถึงอะไร” ผมอดไม่ได้ที่จะถามอีกฝ่าย
“ก็มึงไง กูเลี้ยงเองดีกว่า” มันพึมพำเหมือนพูดกับตัวเอง “แต่กูพูดจริงๆ นะเว้ย ถ้าอยากมาดูมันก็มาได้ไม่เห็นต้องคิดมาก เดี๋ยวกูให้กุญแจสำรองมึงไว้เผื่อว่ากูไม่อยู่ห้องจะได้ให้อาหารมันด้วย” ไอ้แกนบอกอย่างไม่แน่ใจ ผมเงียบ... มันพูดเองเออเองหมดทั้งนั้น
“กูต้องทำงาน” ผมพูด
“อืม โทษที” มันว่าไหวไหล่เบาๆ ก่อนจะเดินหายไปในห้องน้ำ มีเสียงปึงปังให้ได้ยิน ผมจ้องปลากัดสีขาวที่ว่ายผลุบๆ โผล่ๆ ไปตามรากไม้ที่ใส่ไว้ ผมกัดกระพุ้งแก้มพยายามหาทางออกจากสิ่งที่ผมเพิ่งพูดออกไป ไอ้แกนเดินโผล่ออกมาจากห้องน้ำ มันพยายามไม่มองมาที่ผม
“เอากุญแจมา” ผมบอกไป ไอ้แกนกำลังจะเอื้อมมือไปคว้าโทรศัพท์ชะงักค้างมีแววแปลกใจปรากฏพาดผ่านใบหน้าของมัน มันยืดตัวก่อนจะเปิดลิ้นชักหยิบกุญแจดอกเล็กๆ มีเชือกสีแดงถักห้อยไว้ อีกฝ่ายเดินเข้ามาหาผม
“มาตอนไหนก็ได้” ไอ้แกนพูดและยื่นกุญแจมาให้ ผมยื่นมือออกไปรับมาถือไว้ก่อนจะหมุนเล่นในมือ
“อือ” ผมบอกก่อนจะยัดกุญแจใส่กระเป๋ากางเกง
“ขอบใจที่ออกไปด้วยกัน” มันเอ่ยห้วนๆ แต่ออกมาจากใจ ผมเหลือบมองหน้าอีกฝ่ายแต่จ้องได้ไม่นานก็เบนหน้าหนี
“อืม... งั้นกูไปนะ” ผมบอกแล้วเดินผ่านไอ้แกนไป ผมกัดปากอย่างพิจารณา นึกถึงเสื้อเชิ้ตที่ผมซื้อมาแล้วก้เกิดความลังเลใจ
“เออกู…” ผมพยายามจะพูดแต่ก็ต้องกล้ำกลืนถ้อยคำลงไปในที่สุด... ผมไม่กล้า ไอ้แกนหรี่ตามองผม มันยังคงเปิดประตูห้องค้างไว้เพื่อรอฟังผมพูดให้จบ
“พูดมา กูไม่รีบหรอก” มันยกมุมปากเหมือนจะขบขัน ผมหายใจเฮือกใหญ่อย่างหงุดหงิด
“กูอยากขอบใจมึง รอตรงนี้ก่อน” ผมบอกไม่ได้รอฟังความเห็นจากมัน
ผมรีบกลับเข้าไปในห้องของตนเองเอื้อมไปคว้าถุงเสื้อออกมา ผมหลับตารวบรวมความกล้า เรื่องแค่นี้เองทำไมมันยากเย็นนักวะ ผมเปิดประตูออกไปก่อนจะเดินไปหาไอ้แกนที่ยังคงยืนรอผมอยู่ห้องถัดไป มันจ้องมองถุงในมือผมไม่วางตา เหมือนว่าแววตาของมันมีประกายขึ้นมาเล็กน้อย
“กูให้” ผมยื่นออกไปให้ ไอ้แกนรับของไปเงียบๆ มันเปิดถุงดูของด้านใน มันกระตุกยิ้มมุมปากแกมหัวเราะเบาๆ ให้ได้ยิน ผมนิ่งงัน
“ขอบคุณ” มันเงยหน้าจากถุงในมือมาสบตาผม
“เออ” ผมพยักหน้าก่อนจะเดินกลับเข้าห้อง รู้สึกว่าร่างกายหนักไปหมดทุกอย่าง ดูเหมือนก้าวผ่านช้าๆ มือผมแตะสัมผัสลูกบิดเย็น
“ดีน” มันเรียก ผมสูดลมหายใจ
“มีอะไร” ผมไม่ได้เอี้ยวตัวไปหามัน
“ไม่มีอะไร” มันบอกทำให้ผมหันไปมองทางมัน ไอ้แกนยืนพิงขอบประตูจ้องมองมาที่ผม
“อะไรของมึง” ผมบ่นพึมพำ
“ฮึๆ กูดีใจนะที่มึงเปลี่ยน” ไอ้แกนเอ่ยขึ้น มันยิ้มให้ผม คำพูดของมันทำให้ผมยืนนิ่งไปอยู่นาน ผมกลืนน้ำลาย
“มันก็ผ่านมาแล้ว” ผมบอก
“เก็บกุญแจของกูไว้ให้ดีๆ นะ ดอกสุดท้ายแล้ว” ไอ้แกนพูดก่อนจะยิ้มแล้วขยับตัวเดินเข้าห้องไปก่อนจะปิดประตูตามหลัง ผมอดไม่ได้ที่จะล้วงกระเป๋ากางเกงเอากุญแจห้องของมันออกมาดู
มันให้กุญแจห้องตัวเองกับผม
ไอ้แกนมันจะบอกอะไรผมหรือเปล่าวะ ทั้งปลากัดนั่นด้วย จะเลี้ยงปลาต้องเอาใจใส่สม่ำเสมอ มันคล้ายกับการดูแลคน นั่นไม่สำคัญหรอกมันจะคิดอะไรอยู่ สำคัญที่ว่าตอนนี้ในหัวผมมีแต่เรื่องของมัน ผมคิดวกวนเรื่องไอ้แกนอยู่ตลอด
นั่นมันส่งสัญญาณอะไรหรือเปล่านะ
ให้ตายเหอะ โลกนี้มันเพี้ยนไปแล้วจริงๆ ถึงต่อให้มันพูดออกมาจริงๆ ผมจะทำยังไง จนตอนนี้ผมเจอ Comfort zone ของตัวเองแล้วและก็ไม่อยากเจอกับการเปลี่ยนแปลงบ่อยๆ ด้วย
หึ.... ยังทำอะไรตามใจตัวเองเหมือนเดิม ไอ้แกนมันไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-02-2018 16:41:30 โดย รินดาwดาริน »

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ดีน คงรู้คำตอบในใจแล้วว่าแกนชอบตัวเอง

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
เอิ่มจะรักกันได้เหรอเนี่ยคู่นี้
เอาเป็นว่าเอาใจช่วยละกัน

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ minneemint

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1632
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +45/-0

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
 นี่ลุ้นคู่ยิมผิงมากอะ สงสารพี่ยิมนิดๆพี่ผิงก็ใจแข็งน่าดูเลย ส่วยคู่แกนดีนนี่อ่านไปก็อึดอัดใจหน่อยๆ คือไม่รู้เฮียแกนแกจะเอาไงกันแน่ จะจีบก็ให้ชัดๆหน่อยสิคะ

ออฟไลน์ รินดาwดาริน

  • OnTop&N'Song
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +243/-2
ผิง -
ตอนที่ 8  เรื่องดีๆ

บรรยากาศในมหาลัยเต็มได้ด้วยมวลของความสดใสจากการตกแต่งพืชพรรณยินดีกับบัณฑิตจบใหม่ ใช่แล้วล่ะ ช่วงนี้เริ่มเข้าสู่เทศกาลฉลองของเหล่าปีสี่ที่สำเร็จการศึกษา บางคนได้งานทำเป็นที่เรียบร้อย ถนนซอกซอยรอบๆ รั้วมหาลัยเริ่มคึกคักมากกว่าปกติ แน่ๆ คือรถเริ่มติดเป็นบางเส้นทาง

วันนี้ผมส่งเล่มวิจัยไปให้อาจารย์เสร็จแล้วเลยเข้ามาในเมืองเพื่อมารับของที่สั่งทำไว้ให้ไอ้ยิม มันเรียนจบทั้งทีมีของขวัญให้หน่อย มันคงดีใจจนแว่นหล่นแน่ๆ ยังไงก็ต้องหาของขวัญไปให้ไอ้ยิม อย่างน้อยๆ เพื่อตอบแทนน้ำใจของมันกับเรื่องที่ผ่านมา

ผมสั่งทำแหวนนิลดำ นิลที่ได้มาจากฮ่องกงนั่นแหละ ไอ้ยิมซื้อให้ผม มันเป็นของผม แต่ตอนนี้ผมจะทำให้มันเป็นของขวัญให้ไอ้ยิม ผมซื้อสร้อยเชือกเทียนสีดำมาด้วยเผื่อว่าไอ้ยิมไม่อยากใส่แหวน จะได้เอามาร้อยกับสร้อยได้
ในวันสำเร็จการศึกษาของยิม ผมไปรอไอ้ยิมที่คณะวิศวะ คนเยอะจนผมเกือบหาไอ้ยิมไม่เจอ จนกระทั่งผมเจอป๊ากับม้าของมัน ปกติป๊าของอีกฝ่ายก็ไม่ค่อยพูดกับผมอยู่แล้ว มาคราวนี้หน้าผมท่านยังไม่มองเลยด้วยซ้ำ ยกเว้นมาม้าผู้ใจดีของมัน ท่านคุยกับผมหลายเรื่อง ส่วนมากก็เรื่องไอ้ยิม แต่ไม่มีคำถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับความสัมพันธ์ของผมกับยิม ส่วนไอ้โยก็มา กลายเป็นว่ามันโกรธผมซะอย่างนั้น ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนยังดีๆ อยู่เลย มันไม่คุยกับผมแม้แต่คำเดียว


ผมยื่นช่อดอกไม้ให้มัน ไอ้ยิมยิ้มกว้าง “ยินดีด้วยนะ บัณฑิตใหม่” ผมบอกมันท่ามกลางสายตาของคนในครอบครัวของยิม เลยทำให้ผมไม่กล้ายื่นของขวัญให้มัน พอได้ถ่ายรูปคู่กันไม่นานไอ้ยิมก็ถูกดึงตัวไปถ่ายกับคนนั้นคนนี้ ผมเองอยู่คณะวิศวะมาหลายชั่วโมงแล้วจึงขอตัวกลับก่อน ที่จริงครอบครัวไอ้ยิมจะไปฉลองกันต่อแต่ผมไม่ได้รับเชิญ ก่อนจะกลับผมเลยถือโอกาสให้ของขวัญที่เตรียมมาอย่างดี

“ของขวัญจากกู” ผมยื่นให้ยิมก่อนที่มันก่อนจะขึ้นรถตู้ ไอ้ยิมเบิกตาโตด้วยความประหลาดใจจากนั้นก็กลับมาอยู่ในท่าทีปกติ รักษามาดตามเดิม
“ขอบคุณนะ ที่จริงไม่ต้องให้ก็ได้ คือกูดีใจนะที่มึงมา” มันยิ้มกว้างที่สุดของวันนี้ แม้จะมีความเหนื่อยล้าแต่แววตาผ่านกรอบแว่นคู่นั้น ผมไม่ลืมเลย
“ได้ไงวะ นี่งานของบัณฑิตใหม่ทั้งที ยังไงก็เก็บไว้ดีๆ นะ” ผมบอก ไอ้ยิมก้มมองกล่องเล็กๆ กะทัดรัดในมือ มันยิ้ม
“แกะเลยได้ไหม” มันเงยมาสบตาผมพอดี
“ตามใจ” ผมบอกก่อนจะยืนกอดอกมอง คนตัวสูงกว่ากำลังแกะกล่องสี่เหลี่ยมอย่างรวดเร็ว ผมแอบตื่นเต้น ขณะที่ไอ้ยิมเปิดกล่องออกผมเห็นสีหน้าแปลกใจก่อนจะเปลี่ยนเป็นความอ่อนโยนในแววตาของมัน มันยิ้มกว้างแก้มแทบปริก่อนจะมองหน้าผมอยู่นาน ผมพยายามจะไม่ยิ้ม
“ที่ให้มีความหมายอะไรหรือเปล่า” มันถามก่อนจะหยิบสร้อยสีดำออกมาดู มันลูบแหวนนิลวงนั้นไปมา
“ของมีค่านี่หว่า แพงนะเว้ยจะกระจอกได้ยังไง” ผมบอกมันก่อนจะบุ้ยใบไปที่รถตู้สีดำของครอบครัวมันที่จอดแช่อยู่นานแล้ว ไอ้ยิมมองผมด้วยแววตาสดใส
“อืม จะเก็บไว้อย่างดี” ไอ้ยิมบอกกับผม มันยิ้มดีใจ ผมโบกมือให้มันขึ้นรถได้แล้ว ไอ้ยิมโบกมือลาผมก่อนจะเดินขึ้นรถตู้ไป ผมยืนมองรถตู้สีดำคันนั้นขับออกไปก่อนจะกลับคณะตัวเอง


   ในวันนั้นผมคิดว่าไอ้ยิมมันเข้าใจความรู้สึกของผมที่มีต่อมันแล้วนะ อย่างน้อยยิมมันจะได้เลิกคิดมากเสียที ไอ้ความคิดที่ว่าผมจะมีแฟนไปซะก่อน ไม่มีทางซะล่ะ




    หลังจากที่เปิดภาคเรียนใหม่ ไอ้โก๋มันเขามาถามผมทันทีว่า “ตกลงกลับไปจู๋จี๋ดู๋ดี๋กันเหมือนเดิมแล้วเหรอ”
“เปล่าหรอก”
“ทำไมวะในเมื่อใจตรงกันจะลีลาไปทำไม” ไอ้โก๋พูดอย่างไม่เข้าใจ
“ยังไม่อยากมีภาระในเวลาที่กูไม่พร้อมหรอก” ผมบอก ตอนนี้ผมขอโฟกัสเรื่องเรียนเพราะปีสุดท้ายแล้ว อีกอย่างไอ้ยิมมันเริ่มหางานทำแถวในเมือง มันเลือกที่จะไม่เข้าไปเมืองกรุง มันพอใจกับงานในบริษัทผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ เป็นบริษัทย่อยประจำจังหวัด รายได้เหมาะสมกับโปรไฟล์ของมันดี คงไม่มีเวลามาดูแลกันหรอก
“อืม ก็จริง เกิดทะเลาะกันขึ้นมาไม่รู้ว่าใครจะสติแตกกว่ากัน” ผมคิดตามไอ้โก๋ ผมยังไม่เคยเห็นมันโกรธแบบสุดเหวี่ยงมาก่อน
ผมก็เหมือนกัน ยังไม่อีกตั้งมากมายให้เราได้ศึกษากัน ผมอายุยี่สิบสองจะรีบไปทำไม มีเวลาอีกตั้งเยอะแยะ อีกเรื่องหนึ่งคือมีเพื่อนผมหลายคนวางแผนจะเรียนต่อโท จำได้ว่ามีรุ่นพี่สองสามคนไปต่อโทที่ต่างประเทศ อย่างจีนหรืออินเดีย ซึ่งน่าสนใจมาก ผมค้นคว้าข้อมูลไปพอสมควร ถ้าจะให้เลือกไปจริงๆ ผมคงเลือกอินเดีย


................




    วันเวลาในรั้วมหาลัยผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในที่สุดผมก็จบอย่างเป็นทางการ งานวันรับปริญญาของเหล่าบัณฑิต วันนี้เป็นวันแห่งความวุ่นวาย (โคตรๆ เลยล่ะ) ผมกำลังยืนท่ามกลางแสงแดดเรืองรองเป็นนายแบบให้ช่างภาพถ่ายรูป วันนี้เป็นวันแห่งความสำเร็จ ความภาคภูมิใจ และบลาๆ พ่อแม่ยืนข้างๆ ผม มีรอยยิ้มแห่งความปลื้มปิติยินดีอยู่ตลอด ผมมองไปรอบๆ บริเวณ เจอเพื่อนๆ รุ่นเดียวกันเกาะกลุ่มถ่ายรูปกับครอบครัว แต่สายตาผมกำลังเสาะหาหนุ่มแว่นที่รับปากว่าจะมางานผม กลัวว่ามันจะเบี้ยวน่ะสิ

“ฮั่นแน่ มองหาใคร” น้ำเสียงสดใสดังมาจากด้านหลังพร้อมกับน้ำหนักมือแปะมาที่กลางหลังของผม ไอ้โยนั่นเอง เห็นมันแล้วก็โล่งอก ไอ้โยมันยกมือไหว้ทักทายพ่อแม่ผมอย่างไม่มีติดขัด
“มึงมาได้ไงวะ” ผมถาม ไอ้โยย่นจมูก
“ไม่ได้มาหาพี่หรอกนะ มาหาพี่สองต่างหาก” มันว่า ผมไหวไหล่ ไอ้โยชะเง้อมองไปทางด้านหลังทางเดียวกับที่มันเดินมาหาผม
“ไอ้ยิมล่ะ”
“คงจะมาหรอก ไปหักอกอาเฮียแล้วคิดว่าจะมาเหรอ” ไอ้โยทำเสียงงอน ผมส่ายหน้า ใครว่าผมไปหักอกไอ้ยิมกันล่ะ
“ใช่ที่ไหน” ผมบอกไม่ทันขาดคำยิมก็เดินมาหาผมพร้อมกับดอกไม้ช่อโต มันแต่งตัวโทนสดใส เชิ้ตสีฟ้าทะเลกับกางเกงยีนลีวายสีดำ มันยื่นช่อดอกไม้ให้ผม
“ยินดีด้วยนะ” มันส่งยิ้มให้ผม
“นึกว่าจะไม่มาซะละ” ผมพึมพำก่อนจะรับช่อดอกไม้ไว้ ยิมหันไปสวัสดีพ่อกับแม่ที่ไม่ได้สนใจผมสักเท่าไหร่นอกจากกำลังดูรูปในกล้องของช่างภาพ
“อ้อ หวัดดีจ้ะยิม”
“รับปากแล้วนี่หว่า” มันขมวดคิ้วระหว่างที่พูด ผมเม้มปากมองมันหัวจรดเท้า มันไม่ได้สวมแว่นนี่นา ถึงว่ามันดูสดใสและแปลกตาไปกว่าทุกครั้ง
“อือ ขอบใจนะที่มา” ผมบอก ไอ้โยยืนแกว่งมือไปมามองคนนั้นทีคนนี้ที
“โย ไปหาพี่สองดีกว่า” มันบอกก่อนจะวิ่งหายไปทางซุ้มดอกไม้หน้าป้ายคณะ

พ่อกับแม่ชวนยิมมาเข้าเฟรมด้วย แน่นอนว่ากว่าจะปล่อยตัวยิมให้เป็นอิสระก็กินเวลาไปเกือบยี่สิบนาที เมื่อเสร็จสิ้นพิธี ครอบครัวผมกลับไปนอนโรงแรมเพราะผมย้ายออกจากหอพักแล้ว พ่อกับแม่อยู่ห้องติดกัน ผมเปิดประตูเข้าไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วหลับเป็นตาย ตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็ปาไปสี่ทุ่มแล้ว

ผมหยิบโทรศัพท์มาดู ยิมโทรมาหาสองครั้ง ผมเลยโทรกลับไปหามัน รอสายไม่กี่อึดใจ ก็รับสาย

[เพิ่งตื่นเหรอ] เสียงทุ้มใหญ่เอ่ยถามทันที
“ฮื่อ โคตรเพลีย เนี่ยเพิ่งตื่น” ผมรายงาน อีกฝ่ายหัวเราะเบาๆ
[กินอะไรหรือยัง ให้ไปรับไหม]
“อืม ก็ดีนะ อีกสิบนาทีค่อยมานะขออาบน้ำก่อน”
ความสัมพันธ์ของผมกับไอ้ยิมเรียกได้ว่าอยู่ในสถานะเพื่อนที่ดีต่อกัน ผมขอยืนยันด้วยความสัตย์จริงว่าเรายังคง ‘ดี’ ต่อกันไม่เปลี่ยนไปจากเดิมเท่าไหร่นัก ผมชอบความสัมพันธ์ในรูปแบบนี้มากกว่า มันไม่ผูกมัดและไม่ทำให้ผมอึดอัด ผมมีอิสระ รู้สึกหัวสมองปลอดโปร่งไม่ต้องคิดสะระตะอะไรให้วุ่นวายเหมือนแต่ก่อน ไม่ใช่ว่าแต่ก่อนความสัมพันธ์ของผมกับไอ้ยิมมันไม่ดี แต่ผมไม่อยากให้เรามองหน้ากันไม่ติดหลังจากที่จบกันน่ะสิ โลกยังไม่แตกเสียหน่อย ผมยังไม่ตาย ไอ้ยิมยังไม่ตายและยังสามารถคุยกันได้
ย้อนกลับไปสมัยที่ผมกับยิมยังคงอยู่สถานะดูใจ ทดลองใจ ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ผมเหมือนรู้สึกมีห่วงคอยดึงรัดบีบคั้นจนผมหายใจไม่ค่อยออก อย่างเช่นว่า เมื่อไหร่จะเป็นแฟนกันซะที มันเหมือนผมโดนกดดัน ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากเป็นแฟนมันหรอก ผมก็เป็นผู้ชายคนนึง การเป็นแฟนหมายความว่าเราต้องรู้สึกกับคนคนนั้นมากกว่าเพื่อน เป็นคนพิเศษ คนที่ชอบ
ผมยอมรับว่าชอบยิม เป็นห่วงถ้าหากมันไม่สบายหรือทำงานหนักๆ ไม่ดูแลตัวเอง ผมยังไม่สามารถจับมือมันได้แบบที่คนเป็นแฟนควรจะทำ หรือสัมผัสที่มากกว่านั้น ผมทำไม่ได้ ผมแทบไม่คิดเลยด้วยซ้ำ ผมก็ไม่ใช่เด็กๆ ไร้เดียงสา ในตอนแรกผมคิดว่าปล่อยไปตามธรรมชาติ (แน่นอนว่ามันจะไม่เกิดขึ้น) เพราะผมไม่มีความต้องการแบบนั้นด้วยซ้ำ ผมเปิดใจตัวเองไม่คิดเรื่องเพศสภาพ ผมรับได้ แต่เอาเข้าจริงๆ มันยากมากที่ร่างกายจะตอบสนองต่ออีกฝ่ายหรือผู้ชายด้วยกัน
ผมไม่เป็นตัวของตัวเองเวลาอยู่กับไอ้ยิมและมันไม่ใช่เพราะผมหวั่นไหวหรือกำลังตกหลุมรักมัน ผมยังไม่ได้ไปถึงขั้นนั้นเลย ผมยังไม่ได้รักมันหรอกนะ ออกจะดูใจร้ายไปบ้างแต่นั่นคือความจริง และผมก็ค้นพบว่าอยากให้เวลาตนเองมากกว่านี้ แต่ก็ไม่อยากให้มันหายไปจากชีวิตของผมหรอก ฟังดูเห็นแก่ตัว
หลังจากกลับจากฮ่องกงผมคิดทบทวนแบบมีสติ ไม่ได้ว้าวุ่น ผมทำความเข้าใจตัวเองต่างหาก ผมต้องการอะไรกันแน่ เราต่างรับรู้ว่าทุกอย่างดูเปลี่ยนไป ไอ้ยิมมีเวลาทำความเข้าใจผมตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา ผมกลัวว่ามันจะเจ็บหนักจากผม เพราะมันคาดหวังว่าจะได้รับการรักตอบ มันคงเหนื่อยกับการไล่ตามอีก 
“แล้วกูจะกลับมา ใช้เวลาไม่นานหรอก” ไอ้ยิมเป็นคนเข้มแข็ง มันอยู่กับตัวเองได้ ช่วงที่มันหายไปผมก็กลับมาสนใจเรื่องฝึกงาน แต่ลึกๆ ยังคงกังวลเรื่องของมันอยู่ ยังมีไอ้โยโทรมาโวยวายกับผมยกใหญ่เรื่องอาเฮียของมัน
หลังจากจบซัมเมอร์ฝึกงานเสร็จสิ้น ผมได้รับข่าวคราวจากไอ้ยิม มันเริ่มเดินสายหางานทำ มันโทรมา ผมแปลกใจมาก ตอนแรกคิดว่ามันแกล้งทำเป็นสดใสร่าเริงกลบเกลื่อน แต่มันบอกว่ามันเข้าใจสิ่งที่ผมต้องการ เท่าที่คุยกันมันสงบลงมาก บางทีอาจได้คนคุยด้วย คงเป็นที่บ้านล่ะมั้ง ไม่อย่างนั้นไอ้โยคงไม่โทรมาจวกผมซะเละ

หลังจากที่ผมอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็ลงไปรอไอ้ยิมมารับที่หน้าโรงแรม ผมเห็นรถโฟลคสีเหลืองคันเดิมของมันชะลอมาจอด แถมยังบีบแตรอีก ผมเดินไปหาอีกฝ่าย
“ให้ไปส่งที่ไหนดีครับ” พอเข้าไปนั่งเบาะข้างๆ ได้ ไอ้ยิมมันมาแปลก ทำเป็นเล่นมุกแบบนี้ ผมเบ้ปาก
“ตามใจมึงเลย”
“โอ้ พอดีมีร้านที่น่าสนใจอยู่” มันพูดเหมือนกำลังท่องบทละคร ผมส่ายหน้าพยายามหาถ้อยคำมาต่อล้อต่อเถียงกับมันแต่นึกไม่ออก ผมสังเกตว่ามือที่จับพวงมาลัยรถ มือซ้ายมีแหวนนิลสีดำปรากฏเด่นชัดอยู่ ไอ้ยิมเหลียวมองผมไม่นาน มุมปากยกขึ้นเหมือนจะหลุดยิ้ม มันจงใจให้ผมเห็น
“ไม่ต้องหรูมากนะ” ผมส่งเสียงประท้วง ไอ้ยิมยิ้มแกมหัวเราะ มีอยู่ครั้งหนึงไอ้ยิมมันพาผมไปเข้าร้านอาหารฝรั่งเศส ซึ่งไอ้ผมก็พอจะได้ยินอาหารชื่อดังอย่าง ฟัวกราซึ่งผมไม่อยากกิน (ตับห่าน) ต่อให้น่ากินแค่ไหนก็เถอะ ผมเคยได้ยินที่มาของมันเหมือนกันเลยไม่ชอบกินนัก
“วันของบัณฑิตใหม่ทั้งที” มันหันมาพูด ผมย่นหน้า มันใช้คำพูดของผมเมื่อปีก่อนนี่นา ไอ้ยิมพาผมไปร้านเกี๊ยวธรรมดา ค่อยโล่งหน่อย ผมสั่งติ่มซำกับบะมี่เกี๊ยวกุ้ง ไอ้ยิมสั่งแค่เกี๊ยวหมูแดงกับเกี๊ยวทอด นั่งรอออเดอร์มาเสิร์ฟไม่นานนักก็ได้เวลาจัดการหลังจากที่ท้องว่างมาหลายชั่วโมง
เราต่างกินเงียบๆ
“ที่จริงกูมีของมาให้ด้วยนะ” มันบอก
“อะไรเหรอ” ผมย่นคิ้ว อย่าบอกนะว่าแหวนเหมือนกัน ไอ้ยิมยักไหล่
“เดี๋ยวก็รู้” มันทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ก่อนจะสนใจแต่อาหารตรงหน้าอย่างเดียว
“หึหึ ลีลา” ผมพึมพำ ถึงได้แห้วไง ไม่วายที่จะจ้องผมด้วยสายตาเชือดเฉือน
หลังจากทานเสร็จมันพาผมไปย่อยด้วยการเดินสะพานรับลมเล่น เสียงรถแล่นผ่านดังก้องพร้อมกับลมที่ปะทะกลับมา เราหยุดตรงกลางสะพานจ้องมองแม่น้ำที่มืดสนิท มองจากยามค่ำคืนแล้วน่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก แสงจันทร์และดวงดาวกระทบผิวน้ำระยิบระยับแต่น่าสะพรึง
“ได้ยินว่าอยากเรียนต่อเหรอ” ยิมเอ่ยขึ้นในที่สุด ผมแปลกใจว่ามันไปเอาข่าวมาจากไหน หรือเป็นไอ้โก๋?
“อือ ก็แค่ลองเช็คดูเฉยๆ” ผมบอก
“ชักจะห่างกันไปทุกที” มันว่า
“แค่อยู่ไกลกันเฉยๆ ไปมาหาสู่กันได้นี่หว่า”
“อินเดียนะเว้ย” มันพูด ปล่อยให้ประโยคนี้กลืนหายไปตามแรงลม
เรื่องเรียนต่อโทผมได้คุยกับอาจารย์ที่ปรึกษา ท่านแนะนำว่าที่อินเดียก็น่าสนใจ ศิลปะที่นั่นขึ้นชื่อแต่ผมยังไม่ได้มีรายละเอียดเรื่องของมหาลัย หรือด้านที่สนใจ ที่จริงผมสนใจที่จีนมากกว่าเพราะขึ้นชื่อด้านดรออิ้งกับเพ้นท์ แต่ผมยังกังวลเรื่องการปรับตัว ส่วนใหญ่รุ่นพี่ผมไปอินเดียกันทั้งนั้น 
“อืม กูก็กังวลอยู่...”
“แน่ล่ะสิ แต่มึงคงปรับตัวได้อยู่แล้ว”
“ฮื่อ... ไหนล่ะของขวัญน่ะ” ผมเปลี่ยนเรื่อง ยิมเหลียวมามอง
“หลับตาสิ” มันบอก
“หลับตา?” มันจะทำอะไร ผมยังไม่เห็นว่ามันซ่อนของขวัญไว้ตรงไหน ผมลังเลแต่ก็ยอมหลับตา อยากจะแอบมองแต่ก็ไม่อยากเสียเวลา ช่วงที่ผมหลับตา อาจจะประมาณสักสิบวิให้หลัง ผมสัมผัสถึงลมหายใจ ทำให้ผมลืมตา
ไอ้ยิม
ผมตกใจชะงักกึกอยู่กับที่ อดไม่ได้ที่จะใจเต้นรัว
“ทำไม ตกใจหรือว่าเสียดาย” มันไม่ได้จูบผมแค่มาอยู่ในระยะประชิด ใบหน้าห่างกันไม่กี่นิ้ว ไอ้ยิมยืดตัวกลับไปตามเดิม ผมค่อยหายใจคล่องขึ้นมาบ้าง
“ตกใจสิ ไหนล่ะของขวัญอะ” ผมทวงต่อ
“ไม่มี” มันพูดหน้าตาเฉยไม่เดือดเนื้อร้อนใจ
“อ้าว” ผมไหล่ตก หลอกให้ดีใจเล่นนี่หว่า
“แค่อยากมาเดินเล่นด้วย” ไอ้ยิมก้มมองมือของตัวเอง
“ชวนมาก็ได้นี่” ผมพูดก่อนจะจ้องมองมันนิ่งๆ ผมปล่อยให้มันทำอย่างที่มันอยากทำ
“เดี๋ยวไม่ประทับใจ” ไอ้ยิมเอ่ยก่อนจะยิ้ม ผมหัวเราะกับคำตอบของมัน จะบ้าหรือไง
“ได้ผลนะ ใช้ได้นะมึง” ผมผลักมันเบาๆ ยิ่งโตยิ่งเล่ห์เหลี่ยมเยอะนะไอ้ยิม ผมยังไม่ได้ตัดสินใจจริงจังว่าจะไปเรียนต่อที่อินเดีย ไอ้ยิมมันรู้ข่าวรวดเร็วมาก
“งั้นกูตามมึงไปอินเดียดีไหมวะ”
“มันไม่มีข้อห้ามนี่หว่า อยากทำอะไรก็ทำสิ” ผมบอก ไอ้ยิมแค่ยิ้มไม่รู้ว่าพูดเล่นพูดจริง
“เออ อย่ามาบ่นว่ากูตื๊อล่ะกัน” ไอ้ยิมพูด

ผมกับยิมเดินกลับไปที่รถ อย่างที่ผมบอก ชีวิตมันไม่แน่นอนมีอะไรเกิดขึ้นอยู่ตลอด ผมไม่คิดว่าตัวเองจะเรียนต่อโทที่อินเดีย ในอนาคตอาจเกิดเรื่องต่างๆ อีกมาก การจะมายึดติดกับความรักแบบหนุ่มสาวครองคู่ไปจนตายมันไม่ใช่สิ่งที่ผมหวังหรอก แต่ผมไม่ปฏิเสธหรอกนะว่าอยู่กับไอ้ยิมแล้วสบายใจ เหมือนได้เจอกับคนที่คุยกันได้อย่างไม่เขินอาย อาจไม่ใช่เพื่อนไม่ใช่แฟน แต่มันก็สำคัญต่อผมมากๆ ด้วยเช่นกัน ผมจะไม่พูดอะไรให้มันสวยหรู ยังไงสุดท้ายแล้วผมกับไอ้ยิมก็ยังคงอยู่ตรงนี้ มันยังไม่ได้ไปไหนซะหน่อยและมันก็ยังไม่ใช่จุดจบของความสัมพันธ์ของเรา

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-02-2018 15:52:02 โดย รินดาwดาริน »

ออฟไลน์ Bradly

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 200
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
สองของเราค่าตัวแพงมากเลยมาแต่ชื่อ 555 คิดถึงท็อปสองแล้วจะมีคู่นี้อีกมั้ยคะ

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
เหมือนจะเข้าใจผิง
แต่ยังสงสัยความสัมพันธ์แบบนี้ ว่าเมื่อไหร่จะหวานๆกัน
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ รินดาwดาริน

  • OnTop&N'Song
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +243/-2
บทส่งท้าย 


ปี 3 เทอม 2 

เริ่มเข้าเทอมใหม่ แน่นอนว่าเด็กศิลป์อย่างพวกผมต้องมาพบเจอกับระเบียบฯวิจัยซึ่งไม่ใช่ทางถนัดเลยด้วยซ้ำ แต่ก็ถือเป็นบททดสอบก็แล้วกัน ไอ้ผิง ไอ้โก๋ ไอ้เชี่ยว นัดรวมตัวกันที่หลังห้องปั้น ปรึกษาหารือเรื่องฝึกงานช่วงซัมเมอร์ ไอ้เชี่ยวจะหาแนวร่วม

“เออ มึงสนใจกันไหมวะ อย่างน้อยๆก็ได้ประสบการณ์ พอเราขึ้นปีสี่ก็ลุยเรื่องศิลปะนิพนธ์อย่างเดียวเลย”ไอ้เชี่ยวพูดจบมันคอยมองสีหน้าท่าทางของพวกผมที่เหลืออย่างมีความหวัง ผมก็ว่าน่าสนใจ มีรุ่นพี่หลายคนไปหาประสบการณ์ช่วงซัมเมอร์ถึงจะไม่ใช่การฝึกงานจริงๆเพราะช่วงเวลาของซัมเมอร์มันสั้นๆเอง ไอ้โก๋มุ่นคิ้วท่าทางลังเล ผมคิดว่ามันสนใจแต่อาจยังไม่แน่ใจ ส่วนไอ้ผิงมันไม่ไปหรอกมีงานต้องช่วยที่บ้าน ไม่ก็งานของมันเอง

“กูว่าก็น่าสนใจดี”ผมบอกมัน  แต่ถ้าหากผมไปซัมเมอร์ พี่ท็อปก็คงกลับจากฝึกสหกิจพอดี ไอ้เชี่ยวพูดขึ้นมาเหมือนอ่านใจออก

“ลังเลเพราะแฟนเหรอไง”มันส่ายหน้าแล้วหัวเราะเบาๆทำนองว่าหมดหวัง

“ถ้ามึงอยากไป ไม่ต้องหาข้ออ้างหรอก”ไอ้ผิงออกโรงด้วยอีกคน ผมนิ่งคิดอย่างลังเล ปรึกษาพี่ท็อป เจ้าตัวคงบอกให้ผมคิดเอง “กูไป”ไอ้โก๋พูดเสียงดังฟังชัด มันตัดสินใจได้แล้ว มันยิ้มกับผม ไอ้เชี่ยวตบมือเข้าหากัน สีหน้าสดชื่นขึ้นกว่าหลายนาทีที่ผ่านมา ไอ้โก๋มันรู้ใจผมพอสมควร มันรู้ว่ากำลังลังเลอะไร เรื่องอะไร

พี่ท็อปไปฝึกงานแล้ว  ความรู้สึกแรกหลังจากที่พี่ท็อปไปฝึกงานเเล้วคือ เงียบเหงา ผมเป็นคนขี้เหงา และขี้เบื่อ ผมคิดว่าข้อนี้มันไม่เปลี่ยน ผมฆ่าเวลาด้วยการไปสตูฯกับเพื่อนๆ ใช้เวลากับคนอื่นๆทำให้ผมไม่คิดฟุ้งซ่านมากนัก

ตั้งแต่เปิดเทอมสองมาพอมีเวลาว่าง ผมก็เลยมีโอกาสไปตลาดนัดมอแล้วเจอเจ้าแคคตัสเลยตัดสินใจซื้อมาเลี้ยง ตอนนี้ผมก็ซื้อกระถางดินเผารูปแบบต่างๆมาใส่แคคตัส ให้ดูสวยงาม ผมเลี้ยงเจ้าแคคตัสมารวมๆแล้ว 10 กระถาง เป็นอิชินอปซิส ดอกสีขาว คอนโดนางฟ้า ดิสโก้ แมมขนนก และนูดัมปนๆกันไป ผมเลี้ยงดูปูเสื่อพวกมันอย่างดี ดูๆไปมันก็สวยดี เพลินตาดี ผมเลยไปซื้อหนังสือแคคตัสมาอ่านบ้างเพราะสนใจพวกมัน เดี๋ยวนี้คนก็นิยมเพาะ นิยมเลี้ยงแคคตัสพืชต้นเล็กๆแบบนี้ 

ส่วนพี่ท็อปพอเห็นว่าผมเลี้ยงแคคตัสเจ้าตัวเลยซื้อมาเลี้ยงไว้บ้าง แต่แค่สามต้น ซึ่งหน้าตาออกจะดุดัน ทั้งยิมโนหัวสี กับแอสโตร แคปริคอน อันกลมๆขนาดใหญ่กว่าไอ้พวกเด็กๆที่ผมเลี้ยงอีก เจ้าตัวไม่สนใจความสวยงามเลยแฮะ “น่ารักสมเป็นมึง”พี่ท็อปแอบเหน็บเมื่อเห็นหน้าตาแคคตัสของผม

..............

ผมมาทำงานที่คณะตามปกติ นั่งสิงสถิตที่ห้องปั้น มีไอ้โก๋อยู่เป็นเพื่อนเพราะมันกำลังทำงานปั้นกับรุ่นน้องมัน
“ว่างๆก็ช่วยกูหน่อยก็ได้นะเว้ย จะได้มีอะไรทำไงวะ”มันเงยหน้าจากงานปั้น ที่ขึ้นเป็นรูปเป็นร่างบ้างเเล้ว มีรุ่นน้องมันยืนมองตาปริบๆอย่างไม่ช่วยอะไร

“แล้วจะให้กูเสือกแทรกอยู่ตรงไหนของงานมันวะ”ผมบ่น ก่อนจะมองไอ้โก๋ที่ขูดดินส่วนเกินออกจากแผ่นปั้นไป มันสอนงานรุ่นน้องมันสองสามนาทีแล้วล้างมือ ก่อนจะเดินมาหาผมด้วยสีหน้าประหลาดๆ

“มีอะไร”ผมเอ่ยถาม

“มีเรื่องอะไรจะขอร้องหน่อย”

“อย่ามาสลิด”

“เออ ไปช่วยกูทำซุ้มหน่อย ไอ้ผิงก็ไม่ว่าง”

“โอเค”

“ดี”ไอ้โก๋มองผมด้วยรอยยิ้มประหลาด
   
ช่วงเย็นที่คณะครึกครื้นไปด้วยเหล่าปีหนึ่ง และปีสอง เป็นส่วนใหญ่ พวกเด็กๆมาช่วยงานของแต่ละสาขา ผมกับไอ้โก๋ช่วยกันจัดซุ้มขายของ ไม่ได้ตกแต่งอะไรมากมายเพราะจัดแค่สองวัน ส่วนมากก็หาของเหลือใช้จากห้องเพ้นท์ มีพวกกระดาษสเก็ตแผ่นใหญ่ เอามาตั้งเป็นฉากได้ โซนที่ผมได้มันก็แค่บล็อกสี่เหลี่ยมผืนผ้านาดเท่าๆกัน Background ด้านหลัง
จึงใช้เป็นผ้าสีดำ ประดับด้วยหลอดไฟ ห้อยลงมาสี่ห้าดวงสลับสั้นยาวกันไป แสงไฟถูกปรับไส้ให้เป็นสีโทนเย็น พวกสีฟ้า สีเหลืองนวล สีส้ม พอจะตัดกันได้ ส่วนด้านข้าง ก็ขึงด้วยด้ายเส้นใหญ่ มีไม้หนีบ สำหรับโชว์กระเป๋าผ้าต่างขนาด มีพวกสร้อยข้อมือ แหวน Hand makes ตั้งอยู่ตรงกลางเป็นโซนเล็กๆของผมเอง มีกระจกทรงกลมขนาดเล็ก

   หลังจากที่จัดของเสร็จ ไอ้ผิงก็โผล่หัวมาพอดี ไอ้โก๋พ่นไฟใส่มันไม่ยั้งโทษฐานอู้ไม่มาช่วยกัน มันแค่ยักไหล่ ทำหน้าตากวนประสาท

“นึกว่าจะมีอะไรให้ช่วย”มันว่า

“พูดแบบนี้กูรื้อของออกให้หมดดีกว่า”ไอ้โก๋สวน

“เออ ที่กูมากะจะมาให้กำลังใจเพื่อนๆ แล้วก็...”มันทำเป็นพูดกระแดะ ก่อนจะหันมาทำหน้าตามีลับลมคมในกับผม ไอ้โก๋มองหน้ามันก่อนจะเลิกคิ้วสงสัย “อะไร”

“กูไม่อยากให้มึงคิดมากนะสอง”มันเริ่มแบบนี้ มันคงยิ่งกว่าต้องการให้ผมคิดมากน่ะสิ ร้ายกาจจริงๆ ผมเดินไปหามัน “ว่ามาสิ เรื่องอะไร”ผมถาม แน่นอนว่า ชื่อพี่ท็อปโผล่มาในใจ ไอ้ผิงมองหน้าผมด้วยสายตานิ่งสงบท่าทางจริงจังกว่าปกติ

“คือ มึงว่าพี่แกไปฝึกงาน อาทิตย์นี้ยังไม่กลับมาบ้านใช่ป่ะ”

“เออ เห็นว่าต้องอยู่กับแม่”

“เหรอ แต่กูเจอพี่แกที่เซ็นทรัลในเมือง”ไอ้ผิงพูด ผมชะงักไป ไม่อยากเชื่อที่มันพูดด้วย

“จริงเหรอ”ผมถามมันด้วยน้ำเสียงสูงกว่าปกติ เหมือนไม่ใช่เสียงตัวเอง

“เออ กูไม่ได้พูดอำ กูเห็นจริงๆ นั่งอยู่ร้านเชสเตอร์กริล เหมือนรอใคร เพราะกูเห็นมีแก้วน้ำสองใบ”ไอ้ผิงเล่า ผมเหลือบมองไอ้โก๋ที่ทำหน้าจริงจัง ผมขมวดคิ้ว รู้สึกใจหายแบบแปลกๆ พี่ท็อปไม่มีทางนอกใจผมแน่ๆ เพราะเจ้าตัวเกลียดเรื่องแบบนี้และไม่มีทางทำแน่ๆ ขนาดแม่พี่ท็อปยังเคยพูดกับผม แต่ไอ้เรื่องปกปิดมกเม็ดจากผม อันนั้นผมไม่รับประกัน ผมไม่เคยก้าวก่ายพื้นที่ส่วนตัวของพี่ท็อปเลย ถึงจะไม่ได้ชอบใจที่อีกฝ่ายมีความลับก็เถอะ

“มึงเห็นหรือไงว่ามากับคนอื่นจริงๆ”ผมย้ำ

“ไม่รู้ดิ มีแก้วน้ำอีกใบ คงมากับใครสักคนแน่ๆ ไม่ได้ใส่ไฟ แต่กูเดินวนสองสามรอบ ไม่เห็นใครนอกจากพี่ท็อป แต่มีแก้วน้ำฝั่งตรงข้ามแสดงว่ามีคนนั่ง...ใช่ไหมล่ะ”ไอ้ผิงหันไปหาไอ้โก๋ที่ฟังเงียบๆ ผมรู้สึก...ไม่อยากเชื่อมากกว่า พี่ท็อปอาจมีนัดสำคัญจริงๆ แต่ทำไมต้องมาที่เซ็นทรัลฯแถวนี้ ไม่ใช่ที่ชลฯล่ะ

“อืม...มึงคิดว่าไง”ผมไม่อยากคิดเป็นตุเป็นตะ ไม่อยากมานั่งคิดมากให้ปวดหัว ผมเกลียดความรู้สึกระแวงไม่ไว้ใจที่จะเกิดกับพี่ท็อป

“คิดว่าคงมากับใครสักคน อาจเป็นเพื่อนก็ได้ แต่ทำไมถึงมาที่นี่ล่ะ ไม่บอกมึงด้วย นี่คือประเด็น”เพราะไม่อยากให้ผมรู้ไง แค่นั้น

“อือ แต่ก็ฟันธงอะไรไม่ได้ว่าพี่แกจะมากับคนอื่น อาจเป็นธุระสำคัญมากๆก็ได้นะเว้ย”ไอ้โก๋พูดต่อเหมือนไม่อยากให้ผมคิดมาก ผมไหวไหล่ ปกติ ผมไม่ใช่พวกใจร้อน คงต้องรอดูต่อไป...

“ยังไงก็ต้องดูต่อไปเรื่อยๆ กูก็ไม่ได้ตัวติดกับพี่ท็อปนี่”

“หาใครไปช่วยดูก็ไม่ได้ แล้วพี่ธามล่ะ แกฝึกงานที่ไหน”

“แถวในเมืองนี่แหละ จะมีก็พี่อิฐล่ะมั้งไปฝึกที่ชลฯเหมือนกัน”แต่ผมคงไม่อยากให้ไปสืบอะไรหรอก แอบกลัวนิดหน่อยเพราะผมมั่นใจว่าพี่ท็อปจะไม่นอกใจ แต่อะไรก็เกิดขึ้นได้ สิ่งเร้ารอบตัวมันก็เยอะ ยิ่งไปอยู่ในสังคมใหม่ เจอคนหลายประเภท จะเจอประเภทที่พี่ท็อปชอบหรือเปล่านะ จะว่าไปผมก็ไม่เคยถามว่าสเป็คของพี่ท็อปเป็นแบบไหนเหมือนกัน 
   
“อือ กูทำให้มึงเครียดใช่ป่ะวะ”

“นิดหน่อย”ผมบอก แต่ไม่อยากเก็บมาใส่ใจ

“เอาน่า นี่แค่ข้อเท็จจริง ออกได้สองหน้า”ไอ้โก๋ว่า มันพยายามทำให้ผมรีแลกซ์ ผมถอนหายใจ ผมไม่เคยคิดว่าพี่ท็อปจะทิ้งผมไปหรือไปคบกับคนอื่น ผมไม่ได้มองไปจุดนั้นเลย แค่มองเห็นแต่เรื่องราวปัจจุบันสิ่งที่กำลังจะเกิดมากกว่า หรือพี่ท็อปจะคิดแบบนั้น เรื่องของอนาคต

พี่ท็อปเป็นพวกจอมวางแผน แต่อีกฝ่ายเคยพูดว่าอนาคตที่มีผมอยู่ด้วยคงดีไม่ใช่เหรอ

ผมสบายใจขึ้นมาบ้าง ไม่ได้เก็บเอามาคิดเกิน 40% ของเรื่องที่วนเวียนอยู่ในหัว ผมแยกตัวจากไอ้โก๋ ไอ้ผิงกลับไปที่ห้องเพ้นท์ ไปเก็บของใส่กระเป๋า

เวลาแบบนี้ ผมอยากโทรหาพี่ท็อป อยากได้ยินเสียง อยากเห็นหน้าด้วย ผมลองโทรไปหาพี่ท็อป แต่เจ้าตัวไม่รับ ผมมองโทรศัพท์ที่เด้งประวัติการโทรออกมาด้วยใจลอย มีไลน์เด้งมาหาจากพี่ท็อป

‘ตอนนี้ยังคุยไม่ได้ ไว้โทรกลับนะ’ ผมมองข้อความที่เด้งมาอย่างครุ่นคิด ทำไมกันนะ? ผมสงสัยเหลือเกิน

 ผมกลับหอพัก ด้วยอารมณ์หมองหม่นเหมือนฟ้าในวันฝนตก

....
   เข้าสัปดาห์ที่ 2 ผมกับพี่ท็อปก็ยังคงคุยกันปกติ เหมือนทุกครั้ง บางทีไอ้ผิงมันคงคิดมากไปเอง อาจจะมีธุระกับใครก็ได้ งาน street art เริ่มตั้งแต่วันนี้ ผมอยู่ซุ้มกับไอ้โก๋ ไอ้ผิงไปช่วยพวกไอ้เชี่ยวอีกซุ้มนึงแทน กระจายตัวกันไป เด็กปีหนึ่งในมอมาเลือกซื้อของกันเยอะเพราะ ก็อยู่หอในกัน กระเป๋าผ้าขายออกได้เยอะกว่าที่คิด คงเพราะราคาถูกกว่าตลาดนัดมอด้วย ต้นทุนของพวกผมก็ไม่สูงนัก เกรดผ้าไม่ได้ระดับพรีเมี่ยม

งาน Street art เริ่มเปิดตั้งแต่ 5 โมงเย็น ล่วงเลยมาถึงเวลา 3 ทุ่มครึ่ง คนเริ่มน้อยลง พวกผมเริ่มเก็บของใส่กล่อง ขณะนั้นเองเสียงคุ้นหูดังขึ้น 

“ขายดีไหมจ๊ะ”พี่ธามนั่นเอง ผมหันไปมอง มีพี่แบม กับใครอีกคนที่ผมไม่เคยเห็นหน้า “ถ้าไม่ซื้อก็ออกไปเลยครับ”ผมบอก พี่ธามหัวเราะ “พ่อค้าปากแบบนี้นี่ น่ากระทืบจริงๆ”พี่แบมแทรกตัวเข้ามาหาผม ก่อนจะทำเป็นหยิบกระเป๋าใบหนึ่งมาดู

“นี่พี่จะมาซื้อจริงๆหรือแค่กวนประสาทเนี่ย”

“เปล่า แค่แวะมาดูน้องหน่อย”พี่ธามว่า ผมเหลือบมองไอ้โก๋ที่กำลังเก็บของอยู่อีกฝ่าย มันหูผึ่งแน่นอน

“ก็สบายดีนี่ครับ แล้วพี่ๆล่ะ ฝึกงานเป็นไงบ้าง”

“ก็เรื่อยๆแหละ เด็กฝึกงาน ใครใช้ทำอะไรก็ทำไป”พี่ธามพูด ก่อนจะเดินมากอดคอผม ส่งยิ้มหวานมาให้ ดูท่าทางจะมาปั่นหัวผมเล่นล่ะมั้ง

“พี่ท็อปล่ะ เป็นไงบ้าง”ผมถาม ยังไงซะพี่ธามต้องพูดถึงอยู่แล้ว

“ก็ยุ่งบ้างแหละนะ อยู่ฝั่งนู้นยังไงก็มีงานทำล้นมืออยู่แล้ว...”ผมเงียบ รอฟังว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรอีก

“แน่นอนว่าไม่มีเวลาไปกิ๊กกับใครหรอก”พี่ธามบีบไหล่ผมแน่น

“ใครคิดกันล่ะ”ผมทำหน้าตาย

“หึหึ เออ ถ้ามีอะไรก็โทรมาหาพี่ได้นะเว้ย”พี่ธามว่า ก่อนจะผิวปากมองไปรอบๆร้านที่ไม่มีของขายแล้ว พี่แบมเกาจมูกเหลือบมองผมยิ้มๆ

“ที่มาถึงนี่เรื่องแค่นี้เหรอ”

“ก็ส่วนนึงแหละ เออ ไอ้อิฐก็ฝึกใกล้ๆไอ้ท็อป อยากได้เบอร์มันป่ะ”

“เอาไปทำไม”

“อย่ามาไขสือ เอาเป็นสปายไง มีไว้หน่อยก็ดีนะเว้ย”พี่ธามว่า ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ออกมา ขยั้นขยอให้ผมเมมเบอร์พี่อิฐให้ได้

“โอเคๆ ...พี่ท็อปได้ฝากอะไรมาบอกผมไหม”

“จะฝากกูมาทำไม ก็โทรหากันตลอดไม่ใช่เหรอ”

“มันก็ใช่...แล้วที่พี่มาวนเวียนแถวนี้ เพราะพี่ท็อปสั่งไว้หรือไง”

“ก็ส่วนนึงด้วยแหละ แต่กูก็แค่อยากแวะมาที่มอบ้างไง”พี่ธามบอก คุยกันไม่นาน สามคนนั้นก็กลับ ผมถอนหายใจ ยังไงซะ พี่ท็อปก็ไม่ให้ผมห่างหูห่างตาหรอก ไอ้โก๋เดินมาหา

“เออ อาจจะไม่มีอะไรก็ได้นะ”มันว่า มองผมอยู่นาน “กูไม่ได้คิดมาก มีแต่พวกมึงนี่แหละมายุกู”ผมส่ายหน้าอย่างนึกขำ ถ้าพี่ท็อปรู้คงหัวเราะลั่น


   ผมได้รับข่าวดีจากพี่ท็อปว่าเสาร์อาทิตย์นี้เจ้าตัวว่าง เลยนัดชวนผมมาหา ส่วนการเดินทางไปพร้อมกับแม่พี่ท็อปเพราะแม่พี่ท็อปก็ตั้งใจว่าจะลงไปหาลูกชายพอดิบพอดี ผมเลยรู้สึกกระชุ่มกระชวยขึ้นมาบ้าง จนแล้วจนรอด ผมก็ไม่ได้ถามว่าพี่ท็อปมาทำอะไรแถวเซ็นทรัลฯ และผมก็ยุ่งจนกว่าจะเก็บมานั่งคิดอีก แต่ไอ้พวกที่เดือดร้อนดันเป็นไอ้เพื่อนๆผมน่ะสิ มันทำตัวเป็นนักสืบ เฮ้อ อยากจะขำให้ฟันร่วงหมดปาก วันศุกร์ผมเก็บกระเป๋าไปหาแม่ที่บ้าน จริงๆแล้วผมก็ไม่ได้พูดคุยกับแม่พี่ท็อปบ่อยมากนัก ถ้าไม่มีเรื่องอะไรสำคัญหรือเร่งด่วนผมก็ไม่ได้แวะไปที่บ้านหรือโทรหาท่าน

วันนี้ไอ้ทูอยู่บ้านแสดงว่าแม่พี่ท็อปก็อยู่ ผมกดออด ผมเองก็ไม่อยากเสียมารยาทเปิดประตูเข้าไปเอง ถึงพี่ท็อปจะทิ้งกุญแจไว้ให้ผมชุดหนึ่งก็ตาม แม่เดินออกมา สีหน้าดีใจที่เห็นผม

“เอ้าสอง เข้ามาสิจ๊ะ”แม่เปิดประตูให้ ผมยกมือสวัสดีแม่ ไอ้ทูเห่าเสียงดังท่าทางดีใจที่เห็นผม

“ไง...อ้วนปุ๊กเชียว”มันอ้วนมากกว่าเดิมด้วย สงสัยแม่เลี้ยงดี ผมกับแม่เดินเข้าไปข้างในบ้าน

 “แม่ไปหาพี่ท็อปทุกอาทิตย์เลยเหรอครับ”ผมลองถามดู แม่พาผมไปนั่งก่อนจะรินน้ำให้ผม

“ไม่หรอกจ๊ะ พอดีเสาร์อาทิตย์นี้ก็ว่างๆพอดีเลยแวะไปหาท็อปมันซะหน่อย เพราะช่วงหลังๆแม่คงไม่ได้บินไปหาแล้วล่ะ งานล้นมือเลย”

“อ๋อ งั้นเหรอครับ”ผมพึมพำ ไม่ได้ติดใจอะไร

คืนนี้ผมมาค้างที่บ้านพี่ท็อป เพราะต้องออกเดินทางช่วงเช้าตรู่ ผมเดินไปที่ห้องพี่ท็อป เห็นแบบนี้ก็ยิ่งคิดถึงเจ้าของห้องจริงๆ ผมเดินไปนั่งที่โต๊ะเขียนหนังสือ ในลิ้นชักมีสมุดสเก็ตของผมเก็บไว้ ผมหยิบออกมาดู ด้านในมีรูปที่ผมเคยวาดไว้นานมาแล้ว ในหน้าหลังก็มีภาพร่างของผมบ้างประปราย ฝีมือพี่ท็อปก็ไม่เลวหรอก

ก่อนเข้านอนผมอาบน้ำอีกรอบเพื่อความสดชื่น ใช้ครีมอาบน้ำของพี่ท็อปแล้วก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึง ผมต้องเป็นบ้าเพราะความคิดถึงแหงๆ

ผมกลับมาที่เตียงนอน แล้วล้มตัวลงนอนเหมือนคนหมดแรง คิดถึงมากกว่าเดิมอีก ผมพลิกตัวนอนหงาย นอนมองอากาศที่ว่างเปล่า อยากให้ถึงวันพรุ่งนี้ใจจะขาดแล้ว ผมเอื้อมหยิบมือถือ พี่ท็อปจะนอนหรือยัง ลองเช็คในไลน์ ปรากฏว่าพี่ท็อปคอลมาหา

[นอนที่ห้องเหรอ]พี่ท็อปถาม ผมลุกขึ้นนั่งพิงหมอนก่อนจะยื่นหน้าไปใกล้ส่งจุ๊บไปหา

“อือ ใช่ คิดถึงเลยแฮะ”

[ก็เห็นหน้าแล้วนี่ หายคิดถึงยัง]เจ้าตัวหัวเราะเบาๆ ผมเห็นว่าเส้นผมของพี่ท็อปเปียกคงเพิ่งอาบน้ำเสร็จ

“ก็นิดนึงนะ...”

[พรุ่งนี้ก็เจอแล้ว กูยอมให้ฟัดเลยเอ้า]

“จะเหลือเหรอ”ผมก็ไม่ได้คิดถึงเรื่องเซ็กส์อย่างเดียวหรอกนะ แต่เชื่อเถอะ เป็นคู่ไหนๆก็ต้องโหยหากันบ้างแหละ

[หึหึ ว่าแต่เป็นยังไงบ้าง งานเยอะหรือเปล่า]

“ก็ไม่เท่าไหร่ครับ งานน้อยแต่ต้องละเอียดกว่าเดิมน่ะครับ”ผมบอก

[อื้ม แล้วแม่ว่ายังไงบ้าง]พี่ท็อปถาม ผมมุ่นคิ้วงง

“แม่ก็ไม่ได้พูดอะไรนี่ ทำไมเหรอ มีอะไรหรือเปล่า”

[ฮื่อ เปล่าหรอก แม่ได้บอกหรือเปล่าว่าจองโรงแรมไว้ ไม่ได้มาพักที่หอกูนะ]

“เหรอพี่ ก็ดีนะ เป็นส่วนตัวดีออกนะ”ผมบอก นอนโรงแรมก็สะดวกดี

[อยากไปเที่ยวที่ไหนไหม จะได้แพลนไว้]

“ไม่ล่ะ อยากอยู่กับพี่มากกว่า มีเวลาเที่ยวแป๊บเดียวเอง”ผมบอก ช่วงเสาร์อาทิตย์ สองวันเท่านั้น ไปเที่ยวก็เหมือนไม่คุ้ม อีกอย่างผมไม่ได้วางแผนอะไร แค่อยากไปหาพี่ท็อปเท่านั้นเอง

[เข้าใจล่ะ]พี่ท็อปยิ้ม

หลังจากนั้นก็คุยกันอีกไม่นาน ผมชักง่วงเลยขอนอนก่อน พี่ท็อปเองก็เพลียๆเลยวางสายไป ผมล้มตัวลงนอน หลับตาแล้วก็ยังหลับไม่สนิท ผมคิดอะไรเรื่อยเปื่อยเกี่ยวกับพี่ท็อปว่าจะทำอะไรกันดีจนเผลอหลับไปเอง

ผมตื่นอีกทีก็เมื่อนาฬิกาปลุก ผมจัดแจงธุระส่วนตัวเรียบร้อยแล้วลงไปหาแม่ที่ชั้นล่าง ท่านกำลังเทอาหารให้ไอ้ทู คงต้องฝากป้าแม่บ้านเลี้ยง เมื่อได้เวลาเดินทาง ผมยกของขึ้นรถ แม่เอาของว่างไปฝากพี่ท็อป เพราะเจ้าตัวบ่นอยากกินอาหารฝีมือของแม่

...

..

โรงแรมที่จองไว้ใกล้ๆกับอมตะนคร ทำเลดีใกล้เมือง แหล่งช็อปปิ้งอย่างเซนทรัล ใกล้หาดบางแสนด้วย ไม่อยากจะคิดถึงราคาต่อคืน

“แม่ไม่พักที่โรงแรมเหรอครับ”ผมถามงงๆเมื่อเห็นว่าท่านไม่ได้ลงมา

“อ้าว ท็อปไม่ได้บอกเหรอลูกว่าแม่พักกับเพื่อนน่ะ”แม่บอกด้วยรอยยิ้ม พี่ท็อปนะพี่ท็อป ผมเลยบอกลาแม่ ก่อนจะโทรหาพี่ท็อป เจ้าตัวน่าจะอยู่ที่โรงแรมแล้ว ผมเดินเข้าไปด้านในโรงแรม บรรยากาศดูหรูหราดี ผมเจอพี่ท็อปนั่งอยู่ที่โซฟารับรองพอดี พี่ท็อปดูคล้ำลงนิดหน่อย เจ้าตัวยิ้มหน้าบานเดินมาหาผมทันที

“นึกว่าแม่จะมาหาพี่ซะอีก”ผมพูด จริงๆแล้วแม่มาทำธุระแถวๆอมตะนครนี่แหละ พี่ท็อปเลยถือโอกาสชวนผมมา

“ฮ่ะๆ เถอะน่า...อุตส่าห์อยากเจอ”พี่ท็อปยิ้ม ก่อนจะยื้อแย่งกระเป๋าเดินทางของผมไปสะพายเอง ผมเลยถือแค่กระเป๋าใส่อาหารว่างเท่านั้น

“เจ้าแผนการจริงๆ นี่ผมคบอยู่กับจิ้งจอกร้ายใช่ใหมเนี่ย”ผมบ่นงึมงำระหว่างทางที่เดินไปขึ้นลิฟต์ พี่ท็อปไหวไหล่พร้อมกับยื่นหน้ามาใกล้ๆ

“ไหนว่าคิดถึง แทนที่จะดีใจ อย่าพึ่งบ่นเลยน่า”พี่ท็อปหัวเราะอารมณ์ดี ผมเลยไม่ได้พูดอะไร ไอ้ดีใจก็ดีใจอยู่แล้ว แต่ลงเอยอีหรอบนี้ ผมตกเบี้ยล่างอีกแล้วสิเนี่ย

จนกระทั่งมาถึงห้องพัก เปิดประตูเข้าไป ก็พบว่าห้องกว้าง มีโซฟาหนึ่งตัวกับโต๊ะรับแขก ห้องเป็นสัดส่วนดี ผมวางกระเป๋าลงกับโต๊ะ พี่ท็อปเข้ามากอดผม

“อืม นี่มึงใช้ครีมอาบน้ำของกูด้วยเหรอเนี่ย”พี่ท็อปทำจมูกฟุดฟิดใกล้บริเวณต้นคอผม

“อื้อ หอมป่ะ”

“หอมสิ ถามได้”พี่ท็อปหัวเราะ ยิ้มแยกเขี้ยวเหมือนปีศาจร้าย ผมเลยดันพี่ท็อปออกห่างก่อนที่อีกฝ่ายจะลุกล้ำพื้นที่ส่วนตัวไปมากกว่านี้

“ไม่ต้องมาทำหน้าระรื่น ไหนลองสารภาพมาสิ ว่าไปทำอะไรแถวๆเซนทรัล”ผมนึกถึงเรื่องที่ไอ้ผิงเล่าให้ฟัง ในเมื่อมันอุตส่าห์ใส่ไฟพี่ท็อปขนาดนั้น เลยถามไปตรงๆ พี่ท็อปทำหน้าเหมือนกลั้นขำ

“เอาจริงดิ ฮ่าๆ นี่ไม่มีใครบอกอะไรมึงเลยเหรอเนี่ย น่าสงสารจังเลย”พี่ท็อปนั่งลงบนเตียงก่อนจะกวักมือเรียกผมให้ไปหา

“หมายความว่าไงอ่ะ”ผมงงๆ ก่อนจะเดินเข้าไปหาพี่ท็อป ผมนั่งลงข้างอีกฝ่าย

“คิดว่ากูมาหาใครกันหืม”พี่ท็อปมองหน้าผม มุมปากมีรอยยิ้มเผยให้เห็นนิดนึง ผมเริ่มไม่แน่ใจว่ากำลังถูกใครต้มอยู่หรือเปล่า

“เปล่านะ ไม่รู้สิ เพื่อนเล่าให้ฟัง ผมก็แค่ตามน้ำไปงั้นเอง”

“หึหึ เห็นนี่ป่ะ ของใครกัน”พี่ท็อปหยิบสร้อยออกมา ผมเห็นเป็นตะกรุดเงินรูปร่างเหมือนเคยเห็นที่ไหน


“เอ่อ...นั่นใช่ของพ่อผมหรือเปล่า”ผมเอ่ยอย่างไม่อยากจะเชื่อ นั่นมันตะกรุดสาลิกาของพ่อผม ซึ่งเก่ามากแล้ว ทำไมต้องเอามาให้พี่ท็อปด้วยล่ะ

“อือ พอดีว่าพ่อโทรมากูน่ะ บอกว่าอยากเจอ ตอนนั้นกะจะให้พ่อมาหาที่ชลฯก็ไกลไป กูเลยกลับไปที่บ้านดีกว่า แล้วพ่อก็ให้ตะกรุดนี่มา รู้ป่ะความหมายว่าไง”พี่ท็อปยิ้มกว้าง ผมมองอย่างไม่ไว้ใจ ต้องไม่ใช่เรื่องดีแหง

“ไม่อยากรู้แล้ว พอๆ”ผมบอกห้าม พี่ท็อปหัวเราะ

“คราวหลังอย่าไปฟังเพื่อนมึงเลย สงสัยมันคงแกล้งมึงนะ”พี่ท็อปบอก ก่อนจะเก็บตะกรุดไว้ที่อื่นแทน พ่อลงทุนมาหาพี่ท็อปคงมาคุยอะไรด้วยน่ะสิ

“คุยเรื่องอะไรกันเหรอพี่”ผมถาม

“ก็เรื่องของเรานั่นแหละ จำได้ป่ะ ที่กูบอกว่าอยากไปอยู่ที่บ้านมึง กูก็กำลังคิดปรึกษากับแม่ดู ...ก็แค่ความคิดน่ะ”พี่ท็อปเอ่ยก่อนจะมองหน้าผมไปด้วย พี่ท็อปอยากไปอยู่บ้านผมจริงๆน่ะเหรอ ผมยิ้ม

“จริงดิ คงเป็นเรื่องอีกไกลเลยเนอะ”ผมพึมพำ

“เออ กูเห็นมึงชอบ เลยเอามาให้ดู”พี่ท็อปเดินไปที่ด้านนอกระเบียง ผมเดินตามออกไปดู ที่ริมระเบียงมีแคคตัสยิมโนหัวสี หนึ่งกระถางกำลังโตเลย ดอกสีชมพูสวย พี่ท็อปเลี้ยงจนออกดอกหรือไปซื้อมากันนะ

“ของพี่เหรอ”

“ให้มึงต่างหาก”พี่ท็อปบอก ผมมองหน้าอีกฝ่าย

“ขอบคุณครับ”ผมบอก ก่อนจะยื่นหน้าไปหอมแก้มพี่ท็อปซะเลย ทำตัวน่ารัก

“จะได้คิดถึงกูไง ป่ะ เข้าไปด้านในดีกว่า นี่กูอุตส่าห์ทำโรแมนซ์จองโรงแรมไว้เลยนะ ไหนอ่ะ กำไรของกู”พี่ท็อปพูด นี่คือตัวอย่างของการทำบุญหวังผลสินะ ผมยิ้ม

“ยังเช้าอยู่เลย พี่นี่หื่นทุกเวลา”ผมบอก ก่อนจะเดินสำรวจห้อง แวะไปดูห้องน้ำ มีอ่างให้ลงไปแช่ด้วย อืม แบบนี้ค่อยน่าสนุกขึ้นมาหน่อย แต่แคบไปหน่อย ผมเดินออกมา เห็นพี่ท็อปเปิดกระเป๋าเสื้อผ้าของผมอยู่ เจ้าตัวหยิบเสื้อยืดออกมาดม ทำอะไรโรคจิตจริงๆ

“ทำอะไรพี่”

“แค่ดมว่ากลิ่นเดียวกันหรือเปล่า”พี่ท็อปหัวเราะ ก่อนจะเก็บใส่กระเป๋าตามเดิม แล้วเปิดกระเป๋าอาหารของแม่ออกมาดู แล้วทำหน้าพอใจ

“เยี่ยมไปเลย”เจ้าตัวพูด

ระหว่างนั้นผมขอนอนพักผ่อนสักชั่วโมงสองชั่วโมงเพราะว่าเพลียจากการเดินทาง ก่อนจะหลับผมเห็นพี่ท็อปก็มานอนข้างๆเหมือนกัน เจ้าตัวพูดอะไรสักอย่างที่ผมได้ยินไม่ชัด

...

..

.

[...สองมันหลับอยู่ครับ...ฮ่ะๆ พ่อก็น่าจะบอกมันสักหน่อย...] ผมตื่นเมื่อได้ยินเสียงของพี่ท็อป ฟังแล้วคงคุยโทรศัพท์กับพ่ออยู่สินะ หึ พ่อนี่ก็ใช่ย่อยเลยนะ มาทำเป็นลับลมคมในกับลูกชาย

[ครับ จะดูแลอย่างดีครับ]

ผมลืมตา เห็นพี่ท็อปนั่งคุยอยู่ตรงโซฟา เจ้าตัวเหลียวหน้ามามองผมแล้วยิ้มให้ คุยกับพ่อไม่นานก็วางสายไป

“พ่อโทรมาหามึง แต่กูรับแทนน่ะ แค่โทรมาถามว่าถึงโรงแรมหรือยัง”พี่ท็อปเดินมาหาผมที่เตียง พ่อก็รู้ด้วยเหรอเนี่ย ผมบิดขี้เกียจ ก่อนจะเข้าไปออเซาะแฟนซะหน่อย

“ใจร้ายจังน้า สนุกล่ะสิได้แกล้งผมน่ะ”ผมบ่น ก่อนจะดึงแขนพี่ท็อปให้ลงมานอนข้างๆผม เจ้าตัวก็ไม่ขัดล้มตัวลงนอนกับผม

“กูไม่รู้นะว่ามึงคิดแบบนั้น ทำไมไม่โทรถามเลยล่ะ”

“ฮึ มันไร้สาระ เรื่องจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ไง”ผมบอก พี่ท็อปจ้องผมตาใส

“ฮึๆ ตลกน่ะมึง ก็คิดมากเหมือนกันไม่ใช่เหรอไง ปากแข็ง”พี่ท็อปดีดหน้าผากผมเบาๆ

“ฮ่ะๆ อือตลกจริงๆนั่นแหละ”ผมว่า แล้วเห็นว่าเจ้าตัวดูแข็งแรงดี อีกอย่างเหมือนว่าหุ่นจะกลับมาฟิตแล้วล่ะ

“เราจะทำอะไรต่อกันดีล่ะ พรุ่งนี้ด้วย”พี่ท็อปเอ่ยขึ้น ขยับมานอนตะแคงมองผมด้วยสายตาละมุนละไม ผมยิ้ม

“ก็...พักผ่อนตามอัธยาศัย อย่างที่บอก เหมือนมาหาพี่แล้วก็พักกายพักใจให้หายคิดถึง”ผมบอก พี่ท็อปมองหน้าผมอยู่เงียบๆ

“สอง มึงจำวันนั้นได้ไหม”

“วันไหน?”ผมถาม พี่ท็อปดูจริงจัง

“วันที่เรา make love กันไง”ผมฟังแล้วนิ่งไป พี่ท็อปเปิดประเด็นมาแบบนี้ กำลังจะสื่ออะไรหรือเปล่า

“อื้ม ครับ พี่อยากจะทำอีกเหรอ”ผมจำได้ว่าวันนั้นพี่ท็อปเป็นคนขับเคลื่อนทุกอย่าง คุมเกมส์แบบเบ็ดเสร็จเลยล่ะ ผมก็ไม่ได้ขัดอะไรหรอก ธรรมชาติมันเป็นแบบนั้น

“กูกำลังคิดว่า อยากได้ห้องสไตล์แบบนั้นบ้าง”ผมคิดตาม ไอ้ห้องไม่ใช่ปัญหาหรอก แต่มีห้องแบบนั้นไว้ภารกิจโดยเฉพาะแบบนั้นมัน...โคตรแปลก พี่ท็อปดีดนิ้วดังเป๊าะตรงระดับสายตาผมพอดีเหมือนให้ผมกลับมาสนใจอีกฝ่ายต่อ

“ก็ได้ล่ะนะพี่ แต่นั่นไม่ใช่ห้องนอนสินะ”

“มึงจะนอนหลับไหมวะ ถ้าตกแต่งแบบนั้น”พี่ท็อปหัวเราะ ผมก็ไม่คิดว่ามันเสียหายอะไรหรอก

“ฮ่ะๆ ก็ดีนะพี่ พอเห็นห้องแบบนั้นแล้วมันก็ได้ฟีลลิ่งมาเองล่ะมั้ง”ผมพูด เพราะเมคเลิฟครั้งนั้นผมก็ลืมไม่ลง พอได้เห็นอะไรที่มันไปกระตุ้นความคิด ความทรงจำเก่าๆมันก็จะนึกถึงโดยอัตโนมัติ ก็ถือเป็นไอเดียที่ดีสำหรับเอาไว้รื้อฟื้นความจำกันน่ะนะ 

ออฟไลน์ รินดาwดาริน

  • OnTop&N'Song
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +243/-2

“แค่คิดน่ะ...แต่จริงๆก็ห้องไหนก็เหมือนกันนั่นแหละเนอะ”พี่ท็อปพูด ผมมองหน้าอีกฝ่าย พยายามหาอารมณ์ความรู้สึกในตอนนี้ ดูเหมือนอีกฝ่ายก็จุดติดง่ายจังนะ

“พี่เข้าฟิตเนสมาเหรอ”ผมถาม

“อืม สังเกตด้วยเหรอ ฮั่นแหน่ะ คิดอะไรทะลึ่งๆอยู่ล่ะสิ”พี่ท็อปยิ้ม แหม ถ้าอีกฝ่ายล่วงรู้ความคิดผมล่ะก็ คงไม่แซวผมแบบนี้แน่ๆ

“รู้เหรอว่าผมคิดอะไร”ผมพูด จ้องตาพี่ท็อปนิ่งๆ อีกฝ่ายแค่ยิ้ม ก่อนจะมองผมแล้วลุกขึ้นนั่งทันที ผมมองดูนาฬิกาที่ผนังห้อง นี่ก็เพิ่งสิบโมงเช้าเองด้วย

“ก็ไม่ขัดศรัทธาหรอกนะ”พี่ท็อปบอก ไหวไหล่ไม่ซีเรียสอะไร ผมเลยดึงแขนอีกฝ่ายเข้าหาตัวเอง พี่ท็อปเลยนั่งคร่อมผมไปโดยปริยาย เอาจริงๆแล้วผมก็จุดติดง่ายพอๆกับพี่ท็อปนั่นแหละ  ห่างหายไปนานก็ต้องทบทวนความจำบ้าง ไม่งั้นก็เสียราคาหมด นานๆทีผมคิดจะเปลี่ยนสถานะบ้าง 
   
พี่ท็อปโน้มหน้าลงมาดมดอมบริเวณซอกคอของผมไม่นานนัก “มีอะไรเหรอพี่”ผมถาม ท่าทางจะติดใจกลิ่นผมนะ

“เปล่า แค่อยากได้กลิ่นมึงเฉยๆ ถึงมึงจะใช้ครีมอาบน้ำของกู แต่ยังไงกลิ่นก็ไม่เหมือนกันนะ”พี่ท็อปยิ้มกริ่ม ผม
มองอีกฝ่าย พูดจาน่าขนลุกอีกแล้ว พี่ท็อปเลิกเล่นก่อนจะถอดเสื้อออก สีผิวพี่ท็อปไม่เท่ากันโดยเฉพาะตรงท่อนแขนกับลำตัว แต่ก็ไม่ต่างมากนัก ที่สำคัญพี่ท็อปผู้มีซิกแพคน่าหลงใหลก็กลับมาแล้ว อย่างน้อยๆก็ดูน่าลูบอยู่หรอก ไม่ได้มีกล้ามเนื้อเยอะเกินไป เพราะพี่ท็อปแค่ฟิตหุ่นให้เฟิร์มเฉยๆเท่านั้น ไม่ได้เล่นเอาเป็นเอาตาย

“มองจังเลย”พี่ท็อปหัวเราะเบาๆชวนให้ใจหวิว อีกฝ่ายโน้มลงมาประกบจูบผมแบบนิ่มๆ ริมฝีปากอุ่นกำลังปลุกเร้าอย่างเนิบนาบ ผมขยับตัวดันพี่ท็อปออกแล้วพลิกกลับไปคร่อมอีกฝ่ายไว้แทน ริมฝีปากยังคงไม่แยกจากกัน ร่างกายพี่ท็อปเริ่มตอบสนองต่อสัมผัสของผมขึ้นเรื่อยๆ อีกฝ่ายดึงเสื้อผมออกอย่างช้าๆ ตอนแรกผมรู้สึกหนาวเพราะแอร์เย็น แต่ไม่นานนักก็กลายเป็นร้อนรุ่มแทน

พี่ท็อปกอดผมไว้ ผมเลื่อนลงมาจูบไหปลาร้าอีกฝ่าย สองมือไม่อยู่นิ่ง เพิ่มความปรารถนาของเจ้าตัวมากขึ้นไปอีก ได้ยินพี่ท็อปครางเบาๆ ผมเลื่อนมือลงไปถอดกางเกงอีกฝ่ายจนหมด ผมเองก็ปลดเปลื้องทุกอย่างออกจนหมด

“ผอมลงนะ”พี่ท็อปเอ่ยเบาๆก่อนจะขยับตัวมาซุกไซร้ลำคอ และลำตัวของผมอย่างชำนาญ ก่อนจะผลักร่างของผมให้นอนราบ ก่อนจะขยับกายมาคร่อมผมไว้ นี่ก็ถือเป็นซิกเนเจอร์ของพี่ท็อปล่ะนะ จากนั้นก็จัดการทำให้ส่วนนั้นไม่เป็นอุปสรรคแก่ตัวเอง และของผมด้วย

“อะ...”พี่ท็อปหลับตาลง เมื่อกดตัวลงมากับสิ่งนั้นของผมที่พร้อมรบเต็มที่ แม้ไม่ได้ไปสัมผัสอะไรมากมาย ผมจับเอวอีกไว้ กลัวว่าจะเจ็บเพราะก็ไม่ได้ชำนาญด้านนี้ กว่าจะกดตัวลงมาได้หมดก็เล่นเอาเกร็งไปทั้งตัว เมื่อร่างกายปรับตัวเข้าหากันได้เรียบร้อย พี่ท็อปก็เป็นฝ่ายจัดการเอง
    
ผมเพิ่มความเร่งเร้าให้กับพี่ท็อปอีกสักหน่อยด้วยการจัดการกับส่วนนั้นของพี่ท็อปไปด้วย
    
“อืม...อะ...อา...”เราสองคนแทบจะหลอมละลาย พี่ท็อปยิ่งเกร็งมากขึ้น หน้าท้องอันเซ็กซี่หดเกร็งชัดเจนขึ้น คนด้านบนใกล้ถึงจุดหมาย ผมโน้มลำคออีกฝ่ายลงมา ก่อนจะจูบดูดกลืนความกระหายของเราทั้งคู่ ผมเปลี่ยนมาคุมเกมส์อีกครั้ง เปลี่ยนโพสิชั่น
    
ริมฝีปากคลอเคลียไม่ห่าง เมื่อร่างกายต่างกอดเกี่ยวกระหวัดกันแนบแน่นและสัมผัสกันและกันอย่างเร่าร้อน แต่ไม่หื่นกระหาย ไม่นานนักเค้าโครงที่เราทั้งสองปรารถนานั้นยิ่งขยับใกล้ละมีชีวิตชีวามากขึ้น มันค่อยๆแพร่กระจายอยู่ในก้นบึ้งหัวใจของผมกับพี่ท็อป เพราะเริ่มด้วยรัก มันก็จบลงด้วยรักตอบ จนกระทั่งผมกับพี่ท็อปต่างก็ไปจนถึงความปรารถนาของกันและกันได้

   ผมกับพี่ท็อปกลับมาสงบเงียบอยู่บนเตียงอันยุ่งเหยิง อีกฝ่ายนอนซบในอ้อมอกของผมอย่างเหนื่อยล้า ผมพ่นลมหายใจออกมา

“พี่โอเคไหม”ผมถาม เพราะพี่ท็อปนอนนิ่ง ยื่นหน้าไปใกล้อีกฝ่ายจนกระทั่งลืมตาขึ้นมา

“อือ ไม่เป็นไรหรอก หายห่วง”พี่ท็อปยิ้มก่อนจะเปลี่ยนท่านอน ขยับดึงผมเข้าไปกอดแทน ผมปล่อยให้พี่ท็อปเล่นลูบศีรษะผมไปมาอย่างเบามือ

“ผมรักพี่นะ”ผมกระซิบบอก อยู่ๆก็อยากพูดออกมา พี่ท็อปหยุดมือที่เล่นเส้นผม

“ฮึๆ เด็กน้อยจริงๆ มึงยังเป็นคนเปิดเผยตลอดเลยนะ กูชอบ”พี่ท็อปเอื้อมมาจับใบหน้าของผม ผมกำลังคิดว่าเจ้าตัวจะทำอะไร เพราะสายตาดูเจ้าเล่ห์ขึ้นมา

“ก็มันอดไม่ได้นี่หว่า”ผมบอก พี่ท็อปหัวเราะก่อนจะยื่นหน้ามากระซิบ “งั้นพรุ่งนี้กูจะบอกรักมึงบ้างล่ะกัน แฟร์ๆดีเนอะ”พี่ท็อปบอกก่อนจะปล่อยให้ผมเป็นอิสระ ผมขยับไปนอนหมอนของตัวเอง หมายความว่าไง

  “พี่คิดจะซั่มผมเหรอ”ผมหันไปถาม

“เอ้า มีอาหารอันโอชะมาวางอยู่ตรงหน้า ใครจะไม่กินวะหืม? กูอ่ะเป็นแค่ออเดิร์ฟ ส่วนมึงน่ะจานหลักเลยล่ะ”พี่ท็อปเปรียบเปรยให้ฟัง ผมนิ่วหน้าแต่ก็ไม่ขัดข้องอะไร ยังไงก็ต้องวินๆแฟร์ๆกันอยู่ดี

“หึ พี่นี่นะ ลีลาดี คำพูดยังโดนใจอีก”ผมหัวเราะเบาๆไม่วายเข้าไปกกกอดพี่ท็อปต่อ

“แหม คนเราไม่ควรครึ่งๆกลางๆนะสอง กูว่ามึงอ่ะ ให้ 7/10ล่ะกัน”พี่ท็อปหัวเราะก่อนจะผลักผมออก แล้วเดินตรงไปเข้าห้องน้ำ ผมส่ายหน้า อีหรอบนี้ก็กลางวันแสกๆเหมือนเคย ผมลุกออกจากเตียงไปล้างเนื้อล้างตัวกับพี่ท็อปในห้องน้ำ

“ไหนๆก็ไหนบริการอาบน้ำให้เลยแล้วกัน”พี่ท็อปพูด
   
ผมกับพี่ท็อปใช้เวลาอาบน้ำไม่นานนัก เพราะไม่ได้ทำอะไรนอกเหนือไปจากการขัดตัวให้กัน มือกลางวันเป็นบริการจากโรงแรม มีของว่างฝีมือแม่ตบท้าย พี่ท็อปเลยมีความสุขมากขึ้นไปอีก การอยู่ห่างบ้านได้กินข้าวฝีมือแม่มันช่างดีจริงๆนั่นแหละ

   “เทอมหน้าฝึกงานที่ไหนเหรอ”พี่ท็อปถาม

“ที่ศูนย์แสดงศิลปะของจ.นั่นแหละ ว่าจะไปกับพวกไอ้โก๋”ผมบอก ไม่อยากไปไหนไกล อีกอย่างที่ศูนย์แสดงงานศิลปะฯรุ่นพี่ปีก่อนๆก็ไปฝึกกันมาแล้ว ก็ได้ประสบการณ์ดีๆมาเหมือนกัน พี่ท็อปพยักหน้า

“ก็ดีนะ กูคงหางานทำในเมืองไปก่อน ไม่อยากทำที่นี่เท่าไหร่ มันไกลบ้าน คงกลับมาอยู่กับแม่ถาวร ตอนนั้นมึงจะพักที่ไหน ถ้าไม่เช่าหอมาอยู่ด้วยกันก็ได้นะ”พี่ท็อปชวน

“อื้อ ก็น่าสนใจ ลองไปคุยกับพวกไอ้โก๋ก่อนว่าจะเอายังไงกัน”ผมบอก ยังไม่แน่ใจเรื่องที่พัก ที่แน่ๆเพื่อนๆผมก็เช่าหอพักกันทั้งนั้น อีกอย่างบ้านพี่ท็อปกลับที่ฝึกงานมันก็ห่างกันเยอะอยู่ มันอยู่นอกชานเมืองเลย

“ยังไงก็บอกด้วยล่ะกัน”

“ครับ”

หลังจากทานอิ่ม หนังท้องตึงหนังตาเริ่มหย่อน พี่ท็อปเลยชวนผมไปเดินย่อยที่สระน้ำของโรงแรม ที่นี่บรรยากาศร่มรื่น สบายตา ที่สระน้ำกว้างสีครามสวย มีแขกฝรั่งสองสามคน มานั่งพักผ่อน แต่ยังไม่มีใครลงน้ำ พี่ท็อปจับมือผมไปนั่งที่ม้านั่งตัวริมสุด
   
“นึกถึงแคคตัสน่ารักๆของมึงแล้ว ก็เหมาะกับมึงดีนะแบบนั้น”พี่ท็อปหันมาพูด ผมไหวไหล่ “ผมเน้นความสวยงาม”

“หน่อมแน้มจริงๆ ผู้ชายมันต้องดุดันแข็งแกร่ง”พี่ท็อปหัวเราะเบาๆกวนประสาทผมเล่นๆ ผมส่งเสียงอืมตอบรับ ขำตายล่ะ

“จะว่าไปพอมานั่งชิลล์ๆแบบนี้ ก็นึกถึงตอนเราไปออกทริปกันเนอะ น่าจะมีโอกาสไปเที่ยวกันอีก”ผมพูดขึ้นมา

“อืม สองเราเคยไปเดทกันหรือยังวะ”

“ก็ตอนไปที่บ้านพี่ไง พี่บอกว่าเดท”อาบน้ำให้ไอ้ทู กับความโรแมนซ์ของพี่ท็อปนั่นไง

“ก็ยังไม่ใช่เดทแบบสมบูรณ์แบบล่ะนะ”พี่ท็อปพึมพำก่อนจะดึงมือผมไปจับเล่น นิ้วมือหยาบกระด้างของอีกฝ่ายให้ความรู้สึกอบอุ่น มือนั้นกำลังคลึงเล่นอยู่กับกระดูกนิ้วมือของผมอยู่เงียบๆ ผมเหลียวมองพี่ท็อปนิ่งๆ เจ้าตัวกำลังมองมือของผมอยู่

“มึงอาจจะไม่รู้นะ...ว่าจริงๆแล้วกูน่ะหลงมึงแค่ไหน”อีกฝ่ายพูด ทำให้หัวใจของผมเหมือนมีดอกไม้ผลิบานออกมา พี่ท็อปเงยหน้ามาสบตาผมก่อนจะจูจู๊บลงกับมือข้างซ้ายของผมเบาๆ สายตาของผมเหล่มองรอบกาย ไม่มีใครสนใจ ส่วนมากก็อ่านหนังสือ สนใจแต่เรื่องของตัวเอง

“ทีนี้ก็มั่นใจได้แล้วนะว่ากูไม่มองใครอื่นหรอก แค่มึงคนเดียว”พี่ท็อปหันมาพูดกับผมนิ่งๆ สายตาคู่นั้นสะกดผมได้อยู่หมัด ผมพยักหน้า “ครับ ผมเข้าใจ”

“เฮ้อ กูไม่น่าพูดอะไรแบบนี้เลย ได้ใจไปหมดแล้ว”พี่ท็อปพึมพำกับตัวเอง ใบหน้าเผยรอยยิ้มไม่ปกปิด อีกฝ่ายกำลังเขินอยู่สินะ ผมกับพี่ท็อปนั่งชิลล์ๆกันอยู่สักพักก่อนจะกลับเข้าไปขลุกอยู่ในห้องจนกระทั่งถึงยามค่ำ

เหมือนผมกับพี่ท็อปคุยกันมากขึ้น เรามีโอกาสพูดคุยกันหลายเรื่อง คงเพราะไม่ได้อยู่ด้วยกันเลยทำให้มีเรื่องพูดคุยมากกว่าปกติ

ก่อนนอน พี่ท็อปถามผม “สอง ถ้าหากว่าไม่สามารถนอนหลับลงได้ มึงมีวิธีอะไรจะเสนอไหม”

“อืม...พี่นอนไม่หลับเหรอครับ”ผมถามกลับ พี่ท็อปหันมามอง “เปล่าหรอก แค่อยากรู้ว่าถ้าเป็นมึงจะทำยังไง”พี่ท็อปบอก ผมนิ่งคิด ผมไม่เคยมีปัญหาเรื่องการหลับยากหรือการนอนไม่หลับแบบจริงๆจังๆ

“นอนดูดาวไปจนหลับล่ะมั้ง ก็เหมือนนับแกะไหมพี่ แต่เปลี่ยนเป็นดาวแทน ไม่รู้สิ สำหรับผมมันก็เป็นวิธีที่น่าลอง”

“อืม คิดดีๆ”

“เป็นอะไรหรือเปล่าพี่”ผมเป็นห่วงอีกฝ่ายนิดหน่อย พี่ท็อปหันมากอดผม เหมือนเจ้าตัวดูอ้อนๆแปลกๆ

“ก็แค่รู้สึกใจหายน่ะ พรุ่งนี้ก็เป็นสุดท้ายแล้วที่จะได้กอดมึงอ่ะ ถึงจะแค่สามสี่เดือนก็เถอะ แต่มันก็คิดถึงอย่างบอกไม่ถูกนะ เฮ้อ สงสัยสาวแตกล่ะมั้งกู”พี่ท็อปพูดติดตลก ผมก็ไม่ได้คิดในมุมของพี่ท็อป เจ้าตัวเองก็ไม่ต่างจากผมหรอก อยู่ในที่แปลกถิ่น คนแปลกหน้า ก็คงมีอาการโฮมซิกขึ้นมา แบบนี้ไปอยู่ต่างประเทศไม่ได้แหงๆเลย

“นอนหลับนะพี่ เดี๋ยวผมกล่อมเอง”ที่พี่ท็อปถามขึ้นมาเพราะเจ้าตัวนอนไม่หลับสินะ พี่ท็อปขยับตัวมานอนใกล้ๆบนหมอนใบเดียวกัน ผมคุ้นชินกับการสัมผัสใกล้ชิดของอีกฝ่าย แขนข้างที่โอบกอดเจ้าตัวไว้ลูบหลังเบาๆเป็นจังหวะ ไม่รู้ว่าแบบนี้ช่วยอะไรไหม แต่เจ้าตัวไม่ได้ประท้วงอะไรแค่หลับตานอนเงียบๆอย่างสงบ

เหมือนเด็กน้อยเลยแฮะ

ผมนึกในใจ

พี่ท็อป ผมก็หลงรักพี่เหมือนกันนั่นแหละ คืนนี้เป็นค่ำคืนที่หลับไม่ลงจริงๆ

...

..

ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกที ก็ตอนตี5 แสงไฟจากด้านนอกระเบียงทำให้ผมต้องย่นหน้า มองดูอีกครั้งชัดๆผมเห็นพี่ท็อปยืนอยู่ด้านนอกระเบียง ผมลุกขึ้นมานั่ง เหมือนเจ้าตัวเพิ่งอาบน้ำเสร็จเพราะใส่ชุดคลุมอาบน้ำอยู่

“ทำไมตื่นเร็วจังล่ะครับ”ผมเดินออกไปหาอีกฝ่าย พี่ท็อปหันหน้ามามอง “มันชินไปแล้วน่ะ กูทำมึงตื่นหรือเปล่า”

“อือ แต่ไม่เป็นไรหรอก”

“ไม่ไปอาบน้ำหน่อยเหรอ จะได้สดชื่น”พี่ท็อปเอ่ยเสียงนุ่ม ก่อนจะยืดแขนออกมาโอบไหล่ผมไว้ เจ้าตัวยิ้ม ผมเหลือบมองพี่ท็อปก่อนจะทบทวนว่าผมกำลังตกหลุมพรางอะไรหรือเปล่า แต่ต่อให้ตกจริงๆก็ไม่เสียหายหรอก

“โอเค รอผมแป๊บนึงนะ”ผมบอก ลูบแก้มพี่ท็อปอย่างจงใจ ผมเดินกลับเข้าไปในห้อง หยิบผ้าเช็ดตัวเข้าไปในห้องน้ำ ผมใช้เวลาอยู่ในห้องน้ำอยู่นาน ต้องเช็คความเรียบร้อยนิดนึง ผมมั่นใจว่าพี่ท็อปไม่น่าปล่อยให้ผมรอดตัวอยู่แล้ว ผมส่องกระจก จากนั้นเดินออกจากห้องน้ำ เพิ่งเดินออกมาได้ไม่กี่ก้าว พี่ท็อปนั่งเอนหลังพิงกับหมอนอย่างสบายใจ

“มานี่มา”พี่ท็อปตบที่ว่างบนเตียง สายตาจับจ้องผมเหมือนมองเหยื่อ ผมส่ายหน้าก่อนจะเดินไปที่กระเป๋าเสื้อผ้าบนโต๊ะ ผมแค่อ้อยอิ่งอยู่หน้ากระจกเพื่อเช็ดผมให้แห้ง ก่อนจะหมุนตัวเดินเข้าไปหาพี่ท็อปที่เตียง ปล่อยให้รอนานเดี๋ยวก็หงุดหงิดพอดี พี่ท็อปยิ้มแล้วฝ่ามือข้างถนัดก็เอื้อมมาคว้าสะโพกของผมทันที ไม่มีพิธีรีตองอะไร พี่ท็อปดึงผมให้ล้มลงเตียงได้ง่ายๆ แผ่นหลังของผมสัมผัสเตียงนุ่ม พี่ท็อปคร่อมทับลงทันที ดึงแถบผ้าเช็ดตัวออกอย่างง่ายดาย

วินาทีต่อมา ปลายลิ้นนุ่มครอบครองริมฝีปากของผมไปหมด เรือนร่างถูกสองมือของพี่ท็อปลูบไล้ไปทั่ว ผมตอบสนองต่อรักอันร้อนฉ่าของพี่ท็อปช่วยปลดสายเสื้อคลุมอาบน้ำออกก่อนจะดึงออกจากแขนเจ้าตัวไปด้านหลัง

“มองอีกแล้ว มึงนี่ติดใจซิกแพคกูเหรอ”พี่ท็อปพูด ก่อนใช้วนเวียนอยู่กับหน้าอกแบนราบของผมเหมือนหยอกล้อ ลิ้นนุ่มสัมผัสกับส่วนปลายยอดสีเนื้อ ผมส่งเสียงอืมเบาไปให้ เลยลูบไล้กล้ามเนื้อน่ากัดไปด้วย

 แล้วนิ้วมือของพี่ท็อปก็มาอยู่ที่ต้นขาของผม อีกฝ่ายใจเย็นช่วยทำให้ส่วนนั้นของผมชุ่มชื้นและเปิดทางให้เจ้าตัวได้ ผมเลยนอนอย่างจดจ่อเห็นท่อนล่างของพี่ท็อปกำลังคึกคะนอง ปลายนิ้วของเจ้าตัวสอดลึกขยับไปมาจนรู้สึกเกร็งขึ้นมาพี่ท็อปลุกขึ้นชั่วขณะเพื่อเตรียมการป้องกัน ผมโน้มคอพี่ท็อปมาจูบ ไม่ทันไรพี่ท็อปแยกขาผมออกแล้วสอดแทรกส่วนนั้นเข้ามาอย่างช้าๆ

ผมอดไม่ได้ที่จะร้องออกมาเบาๆ ร่างกายเกร็งขึ้นมาโดยทันที พี่ท็อปโน้มลงมาจูบผมต่อ ปลายลิ้นนั้นเหมือนมีความเร่าร้อนส่งมาให้ไม่หยุด ผมโอบกอดพี่ท็อปไว้ ร่างกายตอบสนองต่อแรงปรารถนาที่ส่งเข้ามา พี่ท็อปออกแรงขึ้นอีก

“อืม”ผมหลับตา รับการบุกเข้ามาอย่างแข็งแกร่ง บางจังหวะที่ผมลืมตาขึ้นมาก็เห็นว่าพี่ท็อปจ้องผมไม่วางตา

“อะ”คนด้านบนครางเสียงต่ำพลางซุกหน้าไว้ที่ซอกคอผม

“อ๊ะ...”ผมหัวสมองว่างเปล่าไปชั่วขณะ การจู่โจมอันต่อเนื่องนั้นทำให้ผมขยับไปใกล้จุดหมาย พี่ท็อปเลื่อนมาจูบผมต่อ ดูเหมือนว่าอีกไม่นานเจ้าตัวก็คงจะเสร็จสมไปพร้อมกันนี่แหละ

อารมณ์พลุ่งพล่านหยุดลง บรรยากาศเงียบสงบกลับคืนมา ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ พี่ท็อปยังไม่ขยับไปไหน ผมเลยได้แต่กอดอีกฝ่ายไว้เงียบๆ “ถึงตาพี่บ้าง พี่รักสองนะ...”พี่ท็อปพูดจริงๆด้วยแฮะ ผมมองหน้าเจ้าตัวที่กลับมาสงบ เราสองคนจูบนัวเนียกันอีกรอบ แล้วพี่ท็อปก็ถอนตัวออกไปจนได้ ผมเหลือบมองนาฬิกา

นี่หกโมงเช้าแล้วเหรอเนี่ย

“มอนิ่งครับพี่”ผมบอก ก่อนจะหยิบผ้าเช็ดตัวที่ตกอยู่ที่พื้นมาพันเอวอีกรอบ ต้องอาบน้ำอีกรอบแล้วสิเนี่ย พี่ท็อปเปิดประตูห้องน้ำรอ แค่อาบน้ำเท่านั้นเอง

ผมรู้กระปี้กระเปร่าต้อนรับเช้าวันอาทิตย์  พี่ท็อปก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่ สีหน้าสดชื่นขึ้นเยอะ พอเจ็ดโมงเช้าแม่พี่ท็อปก็มาหาพร้อมอาหารเช้า

“ไงล่ะเรา สีหน้าสดชื่นเชียว”แม่พูดกับลูกชายสุดรัก ผมยิ้มนิดๆ เจ้าตัวไหวไหล่

“เห็นไหมแม่ ท็อปบอกแล้วว่ามันอ่ะเป็นยาดีๆนี่เอง”พี่ท็อปพูด คงหมายถึงผม ฮึ ไอ้คนเจ้าแผนการ แม่หันมายิ้มให้ผม “สองรู้แล้วสินะ ว่าใครอยู่เบื้องหลังแผนการนี้ แม่ก็นึกว่าจะคิดถึงกัน ที่ไหนได้ กลับเป็นสองไปซะได้”

“โธ่แม่ครับ ท็อปเจอแม่เดือนนึงตั้งหลายครั้งแล้วนี่นา ก็อยากเจอหน้าแฟนบ้างนี่ ถ้าจะรอให้มันมาหาก็คงรอจนฝึกเสร็จนู่นล่ะมั้ง”พี่ท็อปทำเป็นบ่น แม่ส่ายหน้าอย่างจนใจ

“แต่ก็จริงอย่างที่ว่า ดูสิ พอเจอสองปุ๊บ หน้าตาสดใสเชียว ตอนทำงานล่ะหน้าหม่นหมองเชียว”

“ยาดีครับยาดี”พี่ท็อปพูดย้ำ ส่งสายตากระลิ้มกะเหลี่ยมาให้ ผมแอบยักไหล่ หลังทานข้าวเช้าเสร็จ แม่อยู่คุยกับพี่ท็อปอยู่ครึ่งชั่วโมงก่อนจะกำชับผมว่าจะมารับตอนสองทุ่ม

“ตกลงพี่นอนไม่หลับจริงๆน่ะเหรอ”ผมชวนคุย ก่อนจะเดินมาเปิดทีวีดู นั่งโซฟาพร้อมกับปอกเปลือกแอปเปิ้ลไปพลาง พี่ท็อปถือน้ำองุ่นมาสองแก้ว ก่อนจะวางให้ผมแล้วนั่งลงข้างๆ

“ก็มีบ้างนะ แต่ก็ไม่ถือว่าเป็นปัญหาหรอก สบายใจได้นะเว้ย”พี่ท็อปบอกโอบไหล่ผมอย่างปลอบประโลมเกินกว่าเหตุ แค่หาเรื่องจับเนื้อจับตัวผมมากกว่า

ผมหั่นแอปเปิ้ลใส่จานจนเสร็จ แล้วจิ้มป้อนพี่ท็อป “อ้า”ผมบอก พี่ท็อปอ้าปากงับชิ้นแอปเปิ้ลไปช้าๆ

“ทำตัวน่ารัก อยากได้อะไรหรอ”พี่ท็อปถาม

“เปล่าหรอก แค่อยากเอาใจ”ผมบอก

“หึหึ สกิลเอาใจสามีใช่ย่อยนะมึง”พี่ท็อปผลักหัวผมเบาๆแล้วโยกเล่นราวกับเป็นลูกบอล

“อ่ะอ่ะ ได้ทีก็เอาใหญ่”ผมส่ายหน้า ไม่สะทกสะท้านต่อการหยอกล้อของพี่ท็อป

“กลับไปประจำตำแหน่งเดิมได้ล่ะนะสอง ไม่ต้องเทรนมาก”พี่ท็อปพูด ผมกรอกตาอย่างสุดทน สกิลปากพี่แกกลับมาแล้ว ไอ้ที่อ้อนเมื่อวานนี่หมดโปรแล้วสินะ

“ก็ไม่ขัดข้องหรอกนะครับ”ผมบอก ไม่มีความเอียงอาย พี่ท็อปผิวปากเบาๆ  เฮ้อ กวนประสาทแต่เช้าเลยว่ะ
   วันทั้งวันพี่ท็อปชวนผมคุยไปเรื่อยเปื่อย ก่อนจะชวนผมไปเดินเล่นที่สระว่ายน้ำ เจ้าตัวบอกอย่างลงน้ำ ผมได้แต่มองพี่ท็อปดำผุดดำว่ายอย่างสบายใจ ผมไม่อยากลงไปแช่น้ำหรอก ที่จริงแล้วพี่ท็อปทิ้งรอยจางๆเอาไว้ ทั้งๆที่ผมก็ไม่ได้ไปดูดไปกัดอะไรพี่ท็อปซะหน่อย
   
การมาหาพี่ท็อปครั้งนี้ถือว่าคุ้มกันทั้งสองฝ่าย ที่จริงผมก็ไม่ได้กะว่าจะมีเซ็กส์กับแฟนอย่างเดียว ก็ตั้งใจว่าจะมาอยู่เพื่อให้หายคิดถึง แน่นอนว่าไอ้ที่คิดถึงไม่ได้ถึงเซ็กส์ มันก็หลายๆอย่าง ผมก็ไม่ได้มีอารมณ์งุ่นง่านขนาดนั้น ก็แค่เซอร์วิสให้พี่ท็อปนิดๆหน่อยๆ

   ถือว่าเป็นการวางแผนที่คุ้มค่ามากๆ ยังไงผมก็ขอซูฮกพี่ท็อปจริงๆ

   ก่อนกลับ พี่ท็อปบอกผมว่า “กูกลับไปอยู่บ้านเมื่อไหร่ ไปเดทกันอีกรอบนะสอง”เจ้าตัวกอดผม ไม่ลืมที่จะเอาแคคตัสน่ารักๆนั่นมาส่งมอบให้ผม

“อื้ม ตั้งใจทำงานนะครับ”ผมบอก อารมณ์เหมือนส่งสามีไปทำงานยังไงยังงั้น

หลังจากที่กลับมาชลบุรี ผมก็ขอซัดไอ้เพื่อนช่างยุทั้งสองตัวอย่างไอ้ผิงและไอ้โก๋ มันทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ แถมแก้ตัวน้ำขุ่นๆว่า “ก็กูเป็นห่วงมึงนี่หว่า ไม่อยากให้เพื่อนเสียใจ”

“หึ เชื่อมึงเลย”ผมไม่ถือสาหาความอะไรมันสองคน
สุดท้ายเทอมสุดท้ายของปีสามของผมก็จบลงด้วยประการฉะนี้ล่ะครับ



........................TBC
ตอนนี้เซอร์วิสซะหน่อย สำหรับท็อปสอง
ส่วนตอนเดทขอเก็บไว้ในตอนพิเศษเเล้วกันนะคะ
ตอนหน้าจะเป็นบทส่งท้ายของดีนไดอารี่ต่อค่ะ

ขอบคุณค่ะ

ออฟไลน์ flimflam

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 881
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-4
สองยังได้รุกกับเขาบ้าง นึกว่าจะเสียตำแหน่งไปตลอดกาลซะแล้ว 5555555555
ตอนนี้หวานจนมดขึ้นเลย เหม็นความรัก

ออฟไลน์ kun

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-10
พี่ท็อปใจดีจังให้สองได้รุกบ้าง อิอิ คู่นี้เขาหวานเขาน่ารักมากกกก

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด