เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียงวิศวะ ตอนพิเศษ 14.11.62 อัปจ้า
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: เหตุเกิดบนเตียงของห้องข้างเคียงวิศวะ ตอนพิเศษ 14.11.62 อัปจ้า  (อ่าน 248959 ครั้ง)

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
เหมือนพี่ท๊อปจะทำให้สองระแวงเล็กๆ
แต่จริงๆไม่มีอะไรน่ากลัว
ที่แท้พ่อสองมาเจอพี่ท๊อปนี่เอง

พี่ท๊อป สอง มีเวลาโรแมนติคกันและ
เหมือนแผนแม่ แต่เป็นแผนพี่ทอปเอง
เติมความหวานให้กันและกัน กระชุ่มกระชวยเลย
ที่แท้สอง เป็นยาของพี่ท๊อป
พี่ท๊อปหลงสองแล้ว
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
นานๆคู่หลักจะโชว์หวานสักที ถ้าถามเราเราชอบพี่ท็อปรุกมากกว่านะเราว่าแกเหมาะกับสายนี้มากกว่าอะ ฮ่าๆ ตอนหน้าดีนไดอารี่คู่นั้นก็จะมีอะไรคืบหน้ารึเปล่านะ

ออฟไลน์ รินดาwดาริน

  • OnTop&N'Song
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +243/-2

Deen Diary
บทส่งท้าย

‘จะทำยังไงดีวะ’
ผมกำลังนอนคิดมากเรื่องของไอ้แกน ถ้าหากว่ามันสภาพรักกับผมขึ้นมาจะทำยังไง ขนาดเรื่องอพาร์ทเม้นท์มันยังจัดการเองเสร็จสรรพ ผมพลิกตัวไปมาบนเตียงอย่างนอนไม่หลับ ระหว่างนั้นผมเอื้อมไปหยิบกุญแจห้องของไอ้แกนที่วางอยู่บนโต๊ะลิ้นชักข้างเตียง
เฮ้อ..... ไม่เคยรู้สึกหนักใจแบบนี้มาก่อน
รุ่งเช้าผมตื่นมาแบบไม่สดชื่นนัก ผมแต่งตัวเตรียมไปทำงานเหมือนอย่างที่เคย ระหว่างทางที่ไปทำงานผมไม่เจอไอ้แกน ก็ดี.... ผมคิดในใจก่อนจะเดินไปซื้อน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋ไว้เป็นอาหารเช้า ผมยังคงใช้รถมอเตอร์ไซด์ไปทำงาน
ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงบริษัท ผมเข้ามาที่สตูทักทายคนในห้องอย่างคุ้นเคย ตอนนี้ทางทีมของผมกำลังทำโปรเจกต์ของคอนโดใจกลางเมือง นับวันคอนโดก็ผุดขึ้นราวกับดอกเห็ด ผมนั่งลงที่โต๊ะเพื่อเริ่มงาน ปกติตอนเรียนส่วนใหญ่ก็เน้นงานที่ไม่ได้ใช้คอมเท่าไหร่ แต่ก็ยังดีที่เคยลงเรียนคอมออกแบบ ส่วนมากงานที่ได้รับมอบหมายจะเป็นพวกงานศิลป์ ภาพวอลเปเปอร์ ศิลปะสื่อผสม ไอ้พวกออกแบบจัดวางเป็นหน้าที่ของอินทีเรีย กว่าจะได้งานออกมาก็ต้องประชุมแล้วประชุมอีก
“เออดีน แบบที่มึงส่งมากูชอบอันที่สองที่สุดล่ะ มึงลุยงานนั้นเลย” พี่สรหัวหน้าทีมเดินมาที่โต๊ะบอกผม เจ้าตัวจบสายสถาปัตย์มา เก่งมาก งานขายต้องยกให้พี่เขาเลย พี่สรลักษณะเหมือนเด็กสายอาร์ตตามปกติ ดูมีชาติตระกูลใช้ของมียี่ห้อหน้าตาตี๋ๆ
“ได้เลยครับ แล้วพี่เสนองานของเฮียพัฒน์ผ่านไหมครับ” ผมค่อนข้างสนิทกับพี่สรพอตัวเพราะความคิดไลฟ์สไตล์ใกล้เคียงกันเลยคุยกันไม่ยาก แถมยังไม่มาวางอีโก้ใส่ผม อย่างที่เขาว่าต่อให้งานจะแย่แค่ไหนแค่มีหัวหน้าดีๆ ก็วินแล้ว โชคดีที่เพื่อนร่วมงานของผมค่อนข้างดี ไม่ค่อยมาชิงดีชิงเด่นอะไร
“อ้อ สบายมาก เสนอไปล้านแปดไอเดียแม่งมาถูกใจกับไอ้แค่แบบง่ายๆ เปลืองน้ำลายสุดๆ” พี่สรส่ายหน้าก่อนจะหัวเราะพร้อมกับเหล่ตามามองงานในจอคอมของผมอย่างสนใจ
“มึงนี่ก็พัฒนาขึ้นเยอะ นึกว่าจะเอ๋อไปสักสองสามเดือน ฮ่าๆ” พี่แกพูดติดตลก
“ได้พี่ๆ ช่วยนั่นแหละครับ ดีที่ไม่โหดใส่ผมไม่งั้นตายแน่” ผมพูดซึ่งก็จริงนั่นแหละครับ ถ้าโหดจริงๆ ผมคงไม่ผ่านช่วงทดลองงานแน่ๆ พี่สรมาแก้งานผมอยู่หลายนาทีก่อนจะเดินไปทำงานที่โต๊ะประจำของตัวเอง
ตลอดทั้งวันทีมของผมทำงานกันจนเสร็จ มาประชุมกันรอบสุดท้ายเพื่อที่พี่สรจะไปเสนองานกับบอสอีกที ก่อนที่จะไปขายงานให้ลูกค้า
วันนี้ก็เป็นอีกวันที่เลิกดึก สองทุ่มแล้ว ผมเก็บของใส่กระเป๋า พวกพี่สรพาไปเลี้ยงข้าวมื้อดึกฉลองที่เคลียร์โปรเจกต์เสร็จแล้ว แน่นอนว่าไม่พ้นร้านอาหารกึ่งร้านเหล้า
ไอ้แกนมันไลน์มาหาผม
Gan : เลิกงานดึกอีกแล้ว กูซื้อโจ๊กไว้ให้ถุงนึงแขวนไว้หน้าห้องนั่นแหละ
Gan : สัปดาห์นี้กูไปสัมมนากับบริษัทไม่อยู่สักพักนะ ฝากให้อาหารปลาแล้วก็อย่าลืมเปลี่ยนน้ำให้ปลากัดนะเว้ย ถ้างงก็โทรหานะ
ผมมองข้อความอย่างจนใจ มันเผด็จการอีกแล้ว ผมไม่ได้ตอบกลับไป เพราะส่วนมากไอ้แกนมันก็เป็นฝ่ายพล่ามอยู่แล้ว
“เฮ้ย ดีนกินเยอะๆ นะ เห็นมึงเงียบๆ มีใครดูแลยังวะ” อยู่ๆ พี่สรแกก็เอ่ยขึ้นมาแบบนี้พี่ๆ บนโต๊ะขำกันเหมือนเห็นเป็นโจ๊กสนุกๆ ผมแค่ยิ้ม
“ขอบคุณครับพี่” ผมรับแก้วเหล้ามาจากพี่สรที่นั่งอยู่ข้างๆ ก่อนจะรับถ้วยยำทะเลมาจากพี่ๆ ที่คอยเติมอาหารให้ ผมยังไม่อยากเมาเท่าไหร่
“เฮ้ย นี่ถามจริงๆ นะ” พี่สรเอนมากระซิบ ผมหัวเราะ
“มีแต่ภาระแหละพี่” ผมนึกถึงไอ้แกน พี่สรทำหน้าย่น
“แน่ะ ข้ออ้างล่ะสิ มึงก็ดูเหงาๆ นะ” พี่สรแกพูดให้ผมได้ยินคนเดียว ผมเหลือบมองอีกฝ่ายที่เริ่มกรึ่มๆ เพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์
“ไม่หรอกพี่” ผมไม่อยากหาเรื่องให้ตัวเอง พี่สรแกชอบทำตัวเป็นป๋าเอ่ยปากเลี้ยงเด็กคนนั้นคนนี้ บางทีก็พูดจริงบางครั้งก็แค่แซวสนุกปาก ผมไม่ชอบเป็นหัวข้อเม้าธ์ของพี่ๆ ในที่ทำงานหรอก
“ฮึ จะแซะมึงนี่ยากนะ” พี่สรหัวเราะอย่างไม่ใส่ใจ ผมเลยค่อยหายใจคล่องหน่อย เข้าใจว่าพี่เขาคงแกล้งไปแบบนั้น

หลังจากที่ดื่มกันพอประมาณ พี่ๆ เป็นฝ่ายเลี้ยงผมก็ปฏิเสธไม่ได้เลยแยกย้ายกันกลับ พี่สรไม่ได้มาวุ่นวายอะไรกับผมแล้ว ผมกลับมาที่อพาร์ทเม้นท์เห็นถุงโจ๊กแขวนไว้ตรงลูกบิด ผมจับดูยังอุ่นๆ อยู่แต่ก็คงนานแล้วล่ะ นี่ก็เพิ่งห้าทุ่มนิดๆ เท่านั้นเอง ผมลองไปเคาะประตูห้องไอ้แกนแต่ไม่มีเสียงอะไรตอบกลับมา สงสัยว่ามันไปสัมมนาแล้วหรือเปล่า
Deen : ไม่อยู่ห้องเหรอ
Gan : อือ ออกเดินทางกับรถของบ ทำไมเหรอ มึงไปหากู?
Deen : เปล่า เห็นห้องเงียบๆ
Gan : อือ อย่าลืมนะ ไม่เข้าใจโทรหาได้
ผมอ่านข้อความของไอ้แกนแล้วเดินกลับเข้าไปในห้องของตัวเอง เอาโจ๊กไปอุ่นให้ร้อนก่อนจะเดินไปดูปลาของไอ้แกนซะหน่อย ไม่รู้ว่ามันให้อาหารทิ้งไว้หรือเปล่า ผมไขกุญแจเข้าไปในห้องของมันก่อนจะเปิดไฟ ภายในห้องเงียบกริบ ผมเดินไปดูที่ตู้ปลาเห็นว่าพวกมันสบายดี มีร่องรอยการให้อาหารไว้ทั้งสามตู้ ผมก้มไปดูปลากัดมันเหมือนนอนมากกว่า ผมเห็นกระดาษที่แปะไว้ข้างๆ ตู้
'ถ้าเปลี่ยนน้ำให้ปลากัดแล้ว อย่าลืมเอาไรแดงในห้องน้ำให้มันกินด้วยนะ'
ผมไม่เข้าใจเท่าไหร่เลยเดินไปดูในห้องน้ำ เห็นว่ามีถังน้ำขุ่นๆ ที่เหมือนมีตัวอะไรเล็กๆ เหมือนฝุ่นลอยเต็ม ไรแดงสินะ ผมถอนหายใจ เลี้ยงปลาพวกนี้ก็ลำบากไม่รู้มันจะหางานให้ตัวเองทำไม
ผมเดินกลับมาที่ห้องของตัวเอง รู้เหนื่อยล้าขึ้นมา ผมอาบน้ำก่อนจะจัดการกับโจ๊กนั่นจนหมด มาคิดดูอีกทีเหมือนไอ้แกนมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผมไปแล้วจริงๆ
เฮ้อ... เวลาแบบนี้มีพี่กัสอยู่ด้วยก็น่าจะดี ‘ก็ดีแล้วนี่จะได้ไม่เหงา’ พี่กัสต้องตอบผมมาแบบนี้แน่ๆ พอนึกแบบนี้ได้ผมก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ นานแล้วที่ไม่ได้ยินเสียงพี่กัส เจ้าตัวใจแข็งจริงๆ ไม่ยอมบอกอะไร แค่บอกว่าอยู่เมืองเบงเกวตแค่นั้น
ผมไม่สามารถติดต่อพี่กัสได้ มีแค่อีเมลเท่านั้นแหละ เวลาที่ฟิลิปปินส์น่าจะเร็วกว่าไทยหนึ่งชั่วโมง ผมส่งอีเมลไปหาพี่กัส ‘ตอนนี้พี่ทำอะไรอยู่ พี่ตองก็ไม่ยอมบอกอะไรแค่บอกว่าพี่สบายดี น่าจะติดต่อหาผมบ้างนะ’ ผมเขียนข้อความไปไม่ยาวมาก ส่วนใหญ่ก็เล่าเรื่องของตัวเองให้อีกฝ่ายได้อ่าน ไม่รู้จะเปิดอ่านหรือเปล่า ผมกดส่งเมลไปจนได้ตอนนี้ก็เกือบเที่ยงคืนแล้ว พี่กัสคงหลับ นั่นสิต้องเลี้ยงลูกคงเหนื่อย
ผมนอนไม่หลับ
Gan : กลับถึงห้องหรือยัง?
ไอ้แกนส่งไลน์มาหา ผมมองข้อความนั้นก่อนจะถอนหายใจ
Deen : อืม กำลังนอน
ผมพิมพ์ตอบกลับไปก่อนจะหลับตาลง เสียงเตือนข้อความดังขึ้นอีก
Gan : ฝันดีนะ
ผมจ้องข้อความนั้นอย่างใจลอย ไม่เข้าใจว่าทำไมคนอย่างมันถึงต้องมาอดทนกับผมมากขนาดนี้ จะตอบว่าชอบก็เกินไปหน่อย ‘แย่ล่ะ คิดเรื่องของมันอีกแล้ว’ พอกันทีผมจะเลิกคิดเรื่องของไอ้แกนดีกว่า

หนึ่งสัปดาห์ที่ไอ้แกนไปสัมมนากับบริษัท ผมรู้สึกทรมานอย่างบอกไม่ถูกเพราะต้องมาดูแลปลากัดของมันน่ะสิ ไอ้ปลาหางนกยูกน่ะเลี้ยงง่ายแค่ให้อาหาร แต่ปลากัดต้องดูแลมันหน่อย เปลี่ยนน้ำเปลี่ยนต้นไม้เพราะไม่งั้นมันจะเน่า จนกระทั่งครบหนึ่งอาทิตย์ที่ไอ้แกนหายหัวไป ผมกลับมาอยู่ที่ห้องเพราะมันบอกจะกลับมาวันอาทิตย์ ผมเลยใช้เวลาช่วงเช้าลองทำเครปเค้กชาเขียวดู เปิดขั้นตอนในเนตเอา เพราะผมเองก็อยากกิน ระหว่างที่เตรียมส่วนผสมโทรศัพท์ก็สั่นเพราะมีสายเข้า ผมหยิบออกมาดูแล้วก็ต้องแปลกใจปนตื่นเต้นเพราะเป็นเบอร์โทรจากต่างประเทศ มีคนอยู่คนเดียวนี่แหละ
“สวัสดีครับดีนพูด” ผมรับสาย ในใจขอให้เป็นพี่กัส
[หวัดดีเว้ยนี่พี่กัสเองนะ ดีใจล่ะสิ] ปลายสายเป็นเสียงของพี่กัสจริงๆ ด้วยล่ะ ผมวางของในมือลงก่อนจะเดินไปนั่งคุยแทน รู้สึกหลากหลาย ทั้งดีใจ โกรธ ปนกันไปหมด
“พี่นี่ใจร้ายจริงๆ เงียบหายไปนานมากๆ ถ้าผมไม่บ่นพี่ก็จะไม่ติดต่อมาเลยสินะ”
[โทษทีๆ อย่าโกรธกันน่า ฮ่าๆ มึงโกรธพี่จริงเหรอดีน]
“ก็นิดหน่อย พี่หายไปเลยนี่” แล้วมาบอกผมว่าติดต่อมาได้ตลอดแต่เจ้าตัวก็หายไปเข้ากลีบเมฆ
[พอดียุ่งๆ น่ะ พี่ยุ่งจริงๆ นะ]
“ครับ เข้าใจนั่นแหละ แต่ก็น่าจะบอกกันหน่อย ผมไม่ไปรบกวนพี่แน่ๆ”
[น้อยใจเหรอ ขอโทษเว้ย พอดีช่วงนี้กูกำลังเรียน BFA ที่เกซอนซิตี้อยู่น่ะ] ผมฟังแล้วก็ดีใจกับอีกฝ่ายที่กลับไปเรียนแถมยังเรียนอินเตอร์อีกต่างหาก
“จริงเหรอ ก็ดีเลยสิพี่”
[อืม จะว่าดีก็ดีแต่เหนื่อยมากเพราะมันอยู่คนละเมืองกันก็เลยลำบากกันนิดนึง แล้วมึงโอเคนะ] เหมือนพี่กัสไม่อยากพูดเรื่องตัวเองเท่าไหร่เลยเบนมาที่ผมแทน
“ก็สบายดีแหละ พี่ทำงานก็เหนื่อยเป็นธรรมดา”
[เออ มีเรื่องอะไรก็เขียนมาเล่าให้รู้บ้างนะ กูก็เปิดอ่านตลอดนั่นแหละ ถ้างั้นก็วางสายก่อนนะไว้ว่างๆ จะโทรหาใหม่ แต่ไม่ต้องรอนะเว้ย คงอีกนาน]
“โอเคครับ” คุยกันไม่นานพี่กัสก็วางสายไป ในเมื่อเจ้าตัวได้เริ่มต้นใหม่ก็ถือเป็นเรื่องดี
ผมเดินกลับมาทำเครปเค้กต่อ มันจะยากก็เวลาที่ทอดแผ่นเครปนั่นแหละ หน้าตาออกมาไม่น่ากินเท่าไหร่ ผมใช้เวลาอยู่นานกว่าจะออกมาเป็นรูปเป็นร่าง พอหันครึ่งซีกแล้วก็หน้าตาใช้ได้อยู่ ยังไม่ได้ลองชิมเลยด้วย
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
ผมเดินไปเปิดประตูก็เจอไอ้แกนยืนอยู่ ในมือมันถือของฝากจากเมืองเหนือ ผมมองหน้ามันนิ่งๆ
“ของฝากไง” มันยื่นให้ผมถือแต่ตัวมันกลับเบียดเข้ามาด้านใน ผมชะงักเมื่อเห็นมันเดินเข้าไปอย่างถือวิสาสะ แต่ที่ตกใจกว่านั้นคือรอยสักบริเวณท้ายทอยของมัน ผมเห็นไม่ชัดเท่าไหร่แต่ผมรู้สึกได้ถึงลางไม่ดี ผมปิดประตูก่อนรีบเอาถุงของฝากทั้งอาหารแห้งและของที่ระลึกไปวางไว้ที่โต๊ะ
“มึงทำอะไร” ผมถามมันเสียงดัง ไอ้แกนแค่ไหวไหล่ก่อนจะยืมกอดอกมองผมด้วยสายตานิ่งๆ
“ทำอะไรล่ะ” อีกฝ่ายตอบกลับมาอย่างไม่สะทกสะท้าน มันแกล้งตีมึน
“มึงสักเหรอ” ผมถามมัน รู้สึกตกใจอยู่มาก ที่มันไปสักมา
“เออ สักชื่อมึงไง” มันตอบอย่างชัดเจนทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ ขึ้นมา ไอ้แกนเดินเข้ามาใกล้ผม
“เพื่ออะไรวะ” ผมอยากถามว่ามันต้องการอะไรต่างหาก ไอ้แกนแค่แค่นเสียงอยู่ในลำคอมันเหลือบมองมาที่ผม จ้องมองอยู่นานจนผมเริ่มอึดอัดเลยเสไปมองทางอื่นแทน
“มึงดูแลปลาของกูดีหรือเปล่า” มันเปลี่ยนเรื่อง
“ก็ทำตามที่มึงบอกนั่นแหละ” ผมตอบมันห้วนๆ
“มึงสักชื่อกูได้ ไม่ถามกูสักคำ แล้วทำไมกูถึงจะสักชื่อมึงบ้างไม่ได้ล่ะ” ไอ้แกนวกกลับเข้าเรื่องเดิม คำตอบของมันทำให้ผมอึ้งไป มันคิดบ้าอะไรของมัน
“มันไม่เหมือนกัน มึงก็น่าจะเข้าใจ”
“อืม ก็เข้าใจแต่กูต้องขออนุญาตมึงก่อนเหรอไง” มันถามอย่างท้าทายก่อนจะก้าวมาหาผม ผมผงะออกตามสัญชาติญาณ ไอ้แกนแค่ยักยิ้มออกมา
“มึงออกไปได้แล้ว” ผมไล่มันไปเพราะไม่อยากเห็นหน้ามันอีก
“อืม กูไปอยู่แล้วแต่มึงเอานี่ไปใช้ด้วย” ไอ้แกนมันหยิบซองสีน้ำตาลที่ดูนูนๆ เหมือนมีของอยู่ด้านใน ผมมองอย่างไม่วางใจ ผมไม่รับของจากมัน “เอาไปเถอะน่า” มันหัวเราะเยาะ ผมรับมาถือสัมผัสน้ำหนักเหมือนมีหลอดครีมหรืออะไรสักอย่างอยู่ด้านใน ผมเหลือบไปมองมัน
“ลองเปิดดูก็ได้จะได้ด่ากูตอนนี้เลยเป็นไง” ไอ้แกนทำท่ากวนประสาท มันกอดอกมองผมด้วยท่าทีสบายใจ ผมเม้มปากข่มอารมณ์หงุดหงิดไว้ก่อนจะแกะซองสีน้ำตาลออก พอเปิดออกมาเป็นหลอดครีม Extreme Tattoo Care ผมนิ่งงัน
“เพื่ออะไร”
“กูเพิ่งสังเกตว่ารอยสักมึงมันเริ่มจาง กูไม่อยากให้มึงต้องไปย้ำสีอีกตรงๆ แต่ก็ไม่อยากให้ชื่อกูจางลงไปเรื่อยๆ หรอกว่ะ” คำพูดของมันทำให้ผมรู้สึกแปลกประหลาด ไม่ได้ตกใจแต่วิธีการที่มันแสดงออกทำให้ผมทึ่งอยู่เสมอ
“มึงต้องการอะไรจากกูกันแน่ มึงสนุกรึไงวะ” ผมมองหน้ามัน
“ไม่นี่ กูแค่เป็นห่วงมึงเท่านั้นเอง มาตอนนี้แล้วมึงยังตะขิดตะขวงใจอะไรอีกทำไม มึงไม่ทำตัวเหมือนปกติ มันไม่ได้แย่ขนาดนั้นนี่หว่า” ไอ้แกนพูด แววตาดุดันคู่นั้นสะท้อนประกายความรู้สึกบางอย่าง
โกรธผมที่ไม่เข้าใจตัวมันงั้นเหรอ
“มึงก็รู้ว่าเป็นไปไม่ได้หรอก” คงไม่มีทางที่ผมจะเป็นแบบนั้นกับมันได้แน่ๆ การเป็นเพื่อนมันง่ายกว่าเยอะ
“กูไม่ได้ขอซะหน่อย มึงอย่าคิดไปเองสิ กูพูดเหรอ” ไอ้แกนพูด ผมมองหน้ามัน ใช่... มันไม่เคยพูดออกมาอยู่แล้วแต่มันหน้าด้านที่จะแสดงออกมาในทำนองนั้น
“เออ ช่างเถอะมึงกลับไปได้แล้ว” ไม่อยากจะต่อล้อต่อเถียงด้วย
“กูสักชื่อมึงไว้ไม่ใช่เพราะกูอยากจดจำมึงหรอก กูแค่อยากให้มึงเห็นก็เท่านั้นแหละ มึงรู้สึกยังไงบ้างล่ะที่เห็นชื่อตัวเองบนตัวคนอื่น” ไอ้แกนพูดอย่างไม่ลดละ ผมไม่รู้หรอกว่ามันกำลังพูดด้วยอารมณ์ไหน ที่มันพูดผมก็ไม่เคยเก็บเอามาคิดจริงๆ จังๆ ในมุมของมันหรอกว่ามันรู้สึกยังไงเวลาเห็นชื่อตัวเองบนตัวผมน่ะ
“มึงเลิกกดดันกูได้ไหม”
“ช่างเถอะ กูก็คิดอยู่แล้วไม่มีทางได้คำตอบจากมึงแน่ๆ” มันพูดก่อนจะเดินออกจากห้องของผมไป
ผมถอนหายใจอย่างโล่งออกก่อนจะมองครีมในมือ ความหมายก็ตรงตามชื่อนั่นแหละ ไว้สำหรับดูแลบำรุงเพื่อให้รอยสักสีสดและใหม่ ตั้งแต่ผมสักชื่อมันผมก็ไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่เพราะผมไม่ได้ต้องการความสวยงามนี่ มาตอนนี้ก็จางลงกว่าเดิมแล้ว
ผมเก็บของในครัวรู้สึกไม่อยากอาหารอีกต่อไปแล้ว มันรู้สึกยังไงกันล่ะ? มันเองก็ไม่เคยบอกผมสักครั้ง

ตั้งแต่วันนั้นไอ้แกนก็ไม่ได้มาวุ่นวายอะไรกับผมอีก ตอนเช้าแค่เจอกันหน้าอพาร์ทเม้นท์ มันไม่ได้คุยกับผม มันโกรธงั้นสิ ผมนึกย้อนดูแล้วมีตรงไหนที่ผมไปทำให้มันโกรธ อีกอย่างก็ไม่ใช่กงการอะไรของผมด้วย
ช่วงที่ผมอยู่ที่บริษัทพี่สรก็เหมือนคนละคนกับเวลาเหล้าเข้าปาก พี่แกก็สุภาพตามปกติผมไม่เก็บมาใส่ใจ บางวันทีมของผมก็ออกไปเก็บงานข้างนอก เหมือนได้ออกไปเปิดหูเปิดตา
ดูเหมือนว่าไอ้แกนจะหายหน้าไปจากผม รู้สึกเหตุการณ์แบบนี้เคยเกิดขึ้นไปแล้วนั่นก็คือช่วงที่ฝึกสหกิจตอนปีสี่ มันก็หายไปสักพักพอกลับมาก็มาวุ่นวายกับผมต่อ ผมเดาอารมณ์มันไม่ถูกหรอก
“ดีนๆ ลองไปดูไอ้แกนหน่อยสิมันดีขึ้นหรือยัง” ลุงเปาเจ้าของร้านน้ำเต้าหู้หน้าปากซอยอพาร์ทเม้นท์พูดขึ้นมาเมื่อผมออกมาซื้อน้ำเต้าหู้ทรงเครื่องกับขนมปังสังขยา
“ทำไมเหรอครับ” ผมแปลกใจ
“ก็เมื่อสองสามวันก่อนไอ้แกนมันดูหงอยเป็นหมาป่วยเลย มันมาซื้อน้ำเต้าหู้ท่าทางคงป่วยมั้ง”
“มันป่วยเหรอครับลุง” ผมถามงงๆ ไม่คิดว่ามันจะป่วยจริงๆ
“คงอย่างนั้นแหละ สีหน้าไม่ดีเท่าไหร่ แกก็อยู่ชั้นเดียวกับมันลองไปดูมันหน่อยสิ ไม่ใช่ว่านอนขึ้นอืดอยู่ในห้องนะ ฮ่าๆ” ลุงเปาพูดติดตลก ผมจ่ายเงินเสร็จแล้วก็กลับเข้าอพาร์ทเม้นท์ ผมรู้สึกไม่ดีเท่าไหร่เลยลองไลน์ไปหามันดู
Deen : ไม่สบายหรือไง
มันไม่อ่าน จนผ่านไปสิบนาทีก็ยังไม่อ่าน ผมเองยังไม่ได้ไปเคาะห้องมันดูเผื่อว่ามันจะป่วยขึ้นมาจริงๆ ผมหยิบกุญแจห้องของมันพร้อมกับน้ำเต้าหู้ไปด้วย ผมเคาะประตูสองสามครั้งก่อนจะไขกุญแจเข้าไปด้านในห้อง พอเปิดประตูเข้ามาภายในห้องมืดเพราะยังไม่ได้เปิดไฟบวกกับเป็นเวลาพลบค่ำตะวันตกดินแล้ว
“ไอ้แกน” ผมลองเรียกดู มันอยู่ห้องแน่เหรอทำไมเงียบ ผมเดินเข้าไปที่ห้องนอนของมัน บนเตียงปรากฏรอยยับย่นมีร่องรอยการนอนของเจ้าของเตียง ผมเดินไปเปิดไฟ ในห้องสว่างวาบ เดินไปดูที่ห้องครัวห้องน้ำก็ไม่มี ผมกะว่าจะโทรหาก็เหลือบไปเห็นโทรศัพท์ของมันวางอยู่บนโต๊ะ
‘คงไม่อยู่ห้อง’ ผมคิดแบบนั้น ตั้งใจจะกลับแต่สายตาดันไปสะดุดกับกลุ่มควันบางเบาที่ด้านนอกระเบียง เพราะเป็นกระจกสีดำ ตอนแรกจึงไม่เห็นว่ามีคนนั่งอยู่ตรงนั้น ผมถอนหายใจแรง ไอ้แกนนั่นเอง มันนั่งสูบบุหรี่อยู่ด้านนอก ผมเลื่อนประตูกระจกออกก่อนจะก้าวออกมานอกระเบียง ไอ้แกนนั่งอยู่บนพื้น ข้างๆ กายมันมีกระป๋องเบียร์ 4 - 5 กระป๋อง สภาพเหมือนคนเพิ่งตื่นนอน กางเกงขาสั้นกับเสื้อกล้ามสีดำ
“กูนึกว่ามึงตายหรือป่วยซะอีก” ผมพูด
“แล้วมึงแคร์ด้วยหรือไง” มันย้อนผมกลับมา เพิ่งเห็นว่ามันเหมือนคนไม่ได้อาบน้ำมากกว่าเพราะมันไม่ได้โกนหนวดเลยด้วยซ้ำ
“อย่ามาเล่นลิ้น กูนึกว่ามึงป่วยเลยซื้อน้ำเต้าหู้มาให้ มึงแดกอะไรหรือยัง” ผมถามแต่ไม่ได้รับคำตอบกลับมาทำให้อารมณ์พุ่งปรี๊ด “มึงได้ยินหรือเปล่า เรื่องของมึงเถอะกูกลับล่ะ” ผมบอกทิ้งท้ายก่อนจะจับประตูเลื่อนออก
“ดีน” มันเรียกชื่อ ผมไม่เคยชินที่ไอ้แกนเรียกแบบนี้สักครั้ง
“มีอะไร” ผมหันกลับมามองมัน ไอ้แกนดับบุหรี่ขยี้มันลงกับพื้นห้องจนมอดดับไป มันเงยหน้ามองผมนิ่งๆ
“ที่จริงกูก็เหมือนคนป่วยนั่นแหละ” มันพูด
“งั้นก็ลุกไปอาบน้ำกินยาสิวะ” ผมบอกห้วน ๆ อีกฝ่ายยังคงเงียบ ก่อนจะหันมองผม
“ทำไมวะ มึงเป็นห่วงกูจริงๆ เหรอวะ หรือแค่ได้ยินลุงเปาพูดถึง” มันพูดเหมือนรู้ดี
“แล้วไง” ผมตอบอย่างไม่สนใจเท่าไหร่
“ตอบมาสิ” ไอ้แกนคาดคั้น
“กูก็นึกว่ามึงจะตายซะก่อน เห็นหายหน้าหายตาไปหลายวัน ตกลงมึงแค่อยากประชดชีวิตใช่ไหมวะ” อยู่ๆ ผมก็เหมือนเห็นภาพตัวเองซ้อนทับช่วงที่ผมเมานั่นแหละ อนาถพอกัน
“งั้นเหรอวะ”
“มึงไปอาบน้ำดีกว่างั้นเดี๋ยวกูไปซื้ออะไรให้มึงกินเอง” ผมลองทำใจดีดูบ้างเผื่อมันจะลุกจากสภาพเน่าๆ นี่เสียที
“เหลือเชื่อแฮะ ไอ้ดีนจะเป็นห่วงกู”
“เออ กูเป็นห่วง ถ้าเกิดมึงตายกูคงรู้สึกผิด” ผมบอกมัน ไอ้แกนแค่เงียบไป ผมเดินกลับเข้าไปด้านในห้องก่อนจะเดินออกจากห้องของมันด้วยอารมณ์ขุ่นมัว มันเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ

เมื่อบอกว่าจะซื้อข้าวให้มันกิน ผมจำต้องไปซื้อข้าวต้มทรงเครื่องจากร้านข้างๆ อพาร์ทเม้นท์มาสองถุงเผื่อว่าตัวผมอาจจะหิวขึ้นมากลางดึก และแวะซื้อยาพารามาหนึ่งแผง ไม่รู้ว่ามันป่วยจริงหรือป่วยปลอม
ผมกลับมาที่ห้องของไอ้แกนได้ยินเสียงอาบน้ำมาจากห้องน้ำ ผมถอนหายใจก่อนจะจัดการเทข้าวต้มใส่ถ้วยให้มัน เพิ่งนึกขึ้นได้ผมเดินไปดูที่ตู้ปลากัดเห็นว่ายังอยู่ดีเลยหย่อนอาหารปลาไปให้พวกมัน ขนาดท่าทางเหมือนคนไร้วิญญาณมันก็ยังอุตส่าห์ดูแลปลาพวกนี้อยู่
ไอ้แกนอาบน้ำเสร็จ มันมองผมแวบเดียวก่อนจะเดินไปแต่งตัว ผมกำลังคิดอยู่ว่าจะกลับห้องตัวเองดีไหมในเมื่อมันก็กลับเข้าสู่โหมดปกติแล้ว
“อยู่ด้วยกันสิ มึงซื้อมาสองถุงไม่ใช่เหรอ ก็กินมันด้วยกันนั่นแหละ”
ผมนิ่งกำลังประมวลผลแต่ไอ้แกนถอนหายใจเฮือกใหญ่ผมเลยเซ็งๆ ตาม คงไม่เสียหายอะไร ผมเดินไปหยิบถ้วยมาแกะถุงข้าวต้ม สายตาดันไปเห็นไอ้แกนกำลังสวมเสื้อยืด ผมเห็นรอยสักตัวอักษร DEEN ที่ท้ายทอยเริ่มชัดเจนขึ้นเยอะ มันหยิบครีมมาทาบริเวณรอยสัก ปกติเวลาสักใหม่ต้องบำรุงอยู่แล้วเพราะมันจะตึงและแห้ง ลดอาการคันได้มาก
ไอ้แกนเดินมาหาผมที่โต๊ะกินข้าว ผมเงียบทำเป็นไม่สนใจมัน
“ขนาดรอยสักมึงกูยังดูแลดี” มันพึมพำ ผมมองหน้ามันนิ่งๆ
“หายบ้าแล้วเหรอวะ”
“หึ เลิกพูดเถอะ” มันไม่เถียงแค่ก้มหน้าก้มตากินข้าวต้ม ผมไม่ค่อยอยากอาหารเท่าไหร่
“ตกลงมึงป่วยหรือเปล่า” ผมถามอีกครั้ง มองอีกฝ่ายแล้วยังดูซีดเซียวให้เห็น
“ป่วย แต่หายแล้ว” มันตอบเสียงแข็ง
“จริงเหรอ”
“เออ ถ้ากูรอมึงจริงๆ ก็คงได้เน่าคาห้องไปแล้วนั่นแหละ” มันพูดอย่างไม่ใส่ใจ
ผมรีบจัดการข้าวต้มจนหมด เห็นไอ้แกนหยิบยาในลิ้นชักออกมากิน มันป่วยจริงๆ นั่นแหละยังจะมาทำปากแข็ง ผมมองเวลาตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว สี่ทุ่มนิดๆ
“งั้นกูกลับล่ะนะ หัดดูแลตัวเองบ้าง” มัวแต่ดูแลปลาอยู่ได้ ผมมองไอ้แกนค่อยๆ ล้มตัวนอนบนเตียง มันมองหน้าผมก่อนจะเรียกให้เข้าไปหา ผมลังเล
“มาเถอะน่า ไม่ทำอะไรหรอก” มันบอกผมเลยเดินไปหาไอ้แกนที่นอนอยู่บนเตียง
“อืม ว่ามาสิ” ผมรอให้มันพูด
“มึงจะใจดีกับกูบ้างไม่ได้เหรอดีน” อีกฝ่ายเอ่ยออกมา แววตาของมันทำให้ผมเลื่อนไปจ้องส่วนอื่นบนหน้ามันแทน
“นี่กูก็ใจดีแล้วไง” ผมบอกน้ำเสียงอ่อนลง
“มึงยังชอบพี่กัสอะไรนั่นอยู่เหรอ” อยู่ๆ ไอ้แกนก็พูดถึงพี่กัสขึ้นมา ผมมองมันแล้วส่ายหน้า กับพี่กัสผมแค่หวังให้เจ้าตัวมีความสุขก็เท่านั้น ผมยังเคารพพี่แกเสมอไม่เปลี่ยน
“เปล่า ไม่ได้ชอบก็แค่เป็นพี่” ผมบอกมัน ไอ้แกนเงียบไป
“งั้นเหรอ แต่คนๆ นี้มีอิทธิพลต่อมึงมากนะรู้ตัวหรือเปล่า”
“อืม แต่ตอนนี้ไม่แล้วนี่ พี่แกก็ไปอยู่กับครอบครัวแล้ว” ผมบอกมันเพื่ออะไรก็ไม่เข้าใจ ไอ้แกนกัดปากเหมือนคิดอะไรอยู่
“กูจะพูดเป็นครั้งสุดท้ายนะดีน” ผมไม่คิดว่ามันจะทำแบบนี้ มันคว้าแขนผมให้นั่งลงบนเตียงแถมยังไม่ปล่อยมืออีกด้วย ผมจ้องมันเขม็งรับรู้ถึงแรงที่กำรอบข้อมือของผม มือของมันหยาบตามปกติของผู้ชายที่ทำงานหนัก
“ว่ามาสิ”
“ให้กูอยู่ข้างๆ มึงไม่ได้เหรอวะ” ผมนิ่งงันไม่ได้ตกใจเพราะผมคิดว่าสักวันมันต้องทำตัวบ้าๆ แบบนี้ แต่ผมไม่เข้าใจว่ามันกำลังเรียกร้องอะไรในเมื่อครั้งสุดท้ายมันเคยพูด 'กูไม่ได้ขอซะหน่อยมึงอย่าคิดไปเองสิ กูพูดเหรอ' ตอนนี้มันพูดสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจออกมาแล้ว
“เพื่ออะไร” ผมถามเหมือนทุกครั้งว่าเพื่ออะไร?
“เพื่อตัวกูเองแหละมึงก็รู้ว่ากูมันคนเห็นแก่ตัวไม่ใช่เหรอวะ กูหน้าด้านใช่ไหมล่ะ”
“เออ”
“มึงไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้นกูแค่... ให้กูได้อยู่ข้างๆ มึงแบบนี้ไง มึงไม่ต้องเปลี่ยนอะไรหรอก” ไอ้แกนพูดสีหน้าดูสับสน ผมยังเคยคิดว่ามันกำลังสับสนมากกว่าเพราะหลายปีที่ผ่านมามันคอยตามผม ที่จริงผมกับมันก็เป็นแค่เพื่อนธรรมดาๆ เท่านั้น
“มึงแน่ใจแล้วเหรอว่าคิดแบบนี้จริงๆ น่ะ”
“กูไม่ได้โง่นะเว้ยแล้วก็ไม่ใช่เด็กๆ ที่แยกไม่ออกว่ากูรู้สึกยังไงกันแน่” มันยังคงดึงดัน
“มึงรู้สึกยังไงเหรอที่เห็นกูสักชื่อมึงน่ะ” ผมถามเพราะยังไม่เคยได้คำตอบ เผื่อว่าอะไรๆ จะดีขึ้น ผมเองก็ไม่รู้หรอกกว่ามันจะไปในทิศทางไหน ผมไม่เคยคิดว่าไอ้แกนกับผมจะเป็นแบบไหน จะเดินหน้าไปยังไง ผมแค่เห็นว่ามันเป็นตัวอันตรายก็แค่นั้น ไอ้แกนดูแปลกใจที่ผมถามแบบนี้ แน่ล่ะสิ....
“ก็บอกไม่ถูกหรอก ลึกๆ แล้วก็ควรจะรู้สึกไม่ใช่เหรอ คงแปลกๆ มั้ง มึงเกลียดกูแต่สักชื่อกูไว้ หึ กูควรรู้สึกยังไงเหรอ”
“...” ผมเงียบปล่อยให้มันพูดไป
“กูเสียใจมากกว่าที่มึงเกลียดกูขนาดถึงกับสักชื่อกูไว้” มันพึมพำเบนหน้าไปทางอื่นแทน มือที่จับแขนผมไว้คลายออก ผมนั่งนิ่งมันก็ถูก
“อือ ก็เคยเกลียด” ไอ้แกนหันกลับมามองผมอีกครั้ง ถ้าตาไม่ฝาดนั่นน้ำตาหรือเหงื่อกันล่ะ
“ทำไมมึงใจร้ายจังวะ” อยู่ๆ มันก็พูดขึ้นมา อาจจะหมายถึงผมพูดไม่ดีกับมันสินะ ผมไม่ได้เกลียดมันเท่าเมื่อก่อน ก็แค่เฉยๆ มันคงต้องใช้เวลาอีกสักพัก
“กูว่ากูใจดีกับมึงแล้วนะ” ผมตอบ ถ้าเกลียดผมไม่มีทางมานั่งกับมันแบบนี้แน่นอน
“ขอบคุณ” ไอ้แกนพูดช้าๆ ยังคงมองผมอยู่ไม่ละสายตาไปไหน
“อือ” ผมรับคำในลำคอ
“กูพูดจริงๆ นะ” มันบอก ผมพยักหน้ารับรู้ “เออกูเข้าใจ”
“แล้วเรื่องที่ขออยู่ข้างๆ มึง” ไอ้แกนจ้องผม
“อืม” ผมไม่รู้ว่าจะตอบยังไงดี
“มึงรู้สึกยังไงล่ะ” มันถามเสียงห้วนในแบบของมัน
“ไม่รู้ กูควรรู้สึกยังไงดีล่ะ” ผมพูด ไหวไหล่อย่างไม่รู้สึกอะไรนัก
“กูถึงได้บอกว่ามึงใจร้ายไอ้ดีน” ไอ้แกนยิ้มเจื่อนๆ
“กูกลับห้องดีกว่ามึงเริ่มเพ้อแล้ว” ผมลุกขึ้นยืนมองไอ้แกนที่นอนนิ่งสายตาจับจ้องมาที่ผม ‘เมื่อไหร่จะเลิกจ้องซะที’ ผมคิดในใจ ถ้าเป็นปลากัดคงออกลูกเป็นพรวนแล้วล่ะมั้ง ชักเพี้ยนล่ะ ปลากัดตัวผู้ก็ต้องกัดกันสิวะ
“ตอนเช้าให้กูไปส่งนะ” มันบอก
“เอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะว่ะ”
“เออ กูหายแน่ รับปากมาสิ” มันสั่งสินะ ให้ตาย มันกำลังขอให้ผมไปกับมันแต่ดูรูปประโยคสิ
“อือ กูไปได้หรือยัง” ผมหันหลังเดินออกจากห้องของมันน่าจะดีที่สุด
“ขอบใจนะเว้ยดีน” ไอ้แกนตะโกนไล่หลัง
ผมปิดประตูห้องไอ้แกนลงก่อนจะผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก ‘เฮ้อ อึดอัดเป็นบ้า’ ผมทุบที่หน้าอกสองสามที พอคิดไปคิดมาลุงเปาร้านน้ำเต้าหู้ต้องโดนไอ้แกนติดสินบนแน่ๆ ไอ้แกนมันไม่ได้ป่วยมากมายอะไร แค่ทำสำออยเพื่อให้ผมเข้าไปหานั่นแหละ อืม..... แต่มันอยู่ที่ผลลัพธ์มากกว่า ในเมื่อรู้อยู่แล้วก็ยังไปหา
“น่ากลัวจริงๆ นะ” ไอ้แกนน่ะ ..รวมไปถึงสิ่งที่เรียกว่าหัวใจ มันคาดเดาอะไรไม่ได้เลย ผมสร้างกำแพงไว้ในใจเพื่อให้ใครสักคนพังมันลงมา ...กลับกลายไอ้แกนที่ข้ามกำแพงนั้นมาได้สำเร็จ


(จบ)


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-02-2018 16:43:35 โดย รินดาwดาริน »

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
โอ้ยยยยใจบางมากทำไมเขินพี่แกนก็ไม่รู้ อยากเห็นมุมหวานของคู่นี้บ้างจะมีโอกาสไหมนะ ฮ่าๆๆ ตอนสรุปนอกจากคู่หลักแล้วขอคู่ยิมผิงด้วยจะขอบคุณมากเลยค่ะ

คำผิด คาดสายตา ต้องเป็น คลาดสายตา นะคะ

ออฟไลน์ วายซ่า

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +205/-6
จบแล้ว แต่ละคู่ก็มีแนวทางเป็นของตัวเอง มีการพัฒนาไปในทางที่ดี เปิดใจให้กันมากขึ้น 
ชอบคู่ท๊อป-สอง เป็นการรักกันแบบไม่มีเงื่อนไข รักกันแบบเข้าใจซึ่งกันและกัน

ขอบคุณมากนะคะสำหรับนิยายดีๆ   :L2:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
อยากอ่านบทสรุปของ แกน ดีน  :กอด1: :กอด1: :กอด1:

แกน เปิดเผยออกชัดเจน บอกเลยว่าเลี้ยงดีนได้
ที่ผ่านมาแกนคงรู้ใจตัวเองมานานนนนนน แล้ว
ดีน ปล่อยวาง ปล่อยใจอีกหน่อย ก็เจอกัน
ขอบคุณไรท์มากกกกก
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ mareya.no7

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 556
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
ชอบคู่ของท๊อป สองที่สุด และเกลียดคนนิสัยแบบผิงที่สุดเหมือนกัน ไม่คบแต่กั๊ก ถ้าเราเป็นยิมจะไม่เสียเวลากับคนประเภทนี้เลย ขอบคุณคับ

ออฟไลน์ ชมพูพาล

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 248
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-0
ขอบคุณค่ะ ปกติไม่ค่อยอ่านแนวสลับกัน แต่เรื่องนี้ชอบ ถือว่าเปิดโลกเราเลย 555
 :mew1: :mew1: :mew1:

ออฟไลน์ Rhythm

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 156
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
จบซะแล้ว อ่านมาตั้งแต่เริ่มเรื่องใหม่ๆ คู่ท็อปสองรักกัน ก็หวานไป ส่วนอีก 2 คู่ ยิม-ผิง แกน-ดีน สุดท้ายก็ไม่แน่ใจว่าจะ Happy Ending หรือเปล่า แต่เวลาน่าจะช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้นได้

สนใจหนังสือค่ะ แต่รบกวนขอให้ช่วยดูเรื่องการสะกดคำให้ถูกต้องอย่างละเอียดก่อนสั่งพิมพ์ด้วยนะคะ อย่างตอนสุดท้ายของแกนดีน เท่าที่จำได้ก็มีคำว่า "ปรายเท้า" กับ "ปรายเตียง" ที่ต้องเป็น "ปลายเท้า" กับ "ปลายเตียง" ค่ะ
  :3123:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24-08-2017 13:18:44 โดย Rhythm »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ รินดาwดาริน

  • OnTop&N'Song
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +243/-2

  *บทสรุปสุดท้าย*
Finally found the love of a lifetime



-สอง-
 



ชีวิตนักศึกษาของผมและเหล่าผองเพื่อนคณะศิลปกรรมฯได้สิ้นสุดลงตั้งแต่งานเปิดแสดงงานศิลปะนิพนธ์
เทอมที่ผ่านมา ผมไปฝึกสหกิจที่ศูนย์แสดงงานศิลปะประจำจังหวัด ไปที่เดียวกับไอ้โก๋และไอ้เชี่ยว จนมาตอนนี้ผมก็ถือว่าเรียนจบอย่างเป็นทางการ ถึงตอนนี้จะว่างงานอยู่ก็เถอะ แม้ว่าส่งเรซูเม่หางานประมาณสองเดือนกว่าๆ ผมรู้สึกเคว้งคว้างนิดหน่อย เพื่อนๆของผมหลายคนก็มีอาการแบบเดียวกันแต่ผมก็ไม่ได้ทำตัวไร้ประโยชน์ เนื่องจากผมหันมารับงานฟรีแลนซ์ เดือนนึงก็พอจะมีงานเข้ามาสองสามงาน รายได้ก็พอต่อชีวิตได้บ้าง ส่วนคนที่ไม่กล่าวถึงไม่ได้เลย พี่ท็อป ตอนนี้เจ้าตัวได้งานอยู่ในฝ่ายวิศวกรส่วนงานพัฒนาเครื่องจักร

วันหยุดเสาร์ อาทิตย์พี่ท็อปชวนผมไปเดินเล่นที่เดอะ ปาร์ค สวนสาธารณะในย่านทาวน์เฮาส์แห่งนี้ ซึ่งผมใช้เวลาช่วงเช้าหมดไปกับการนอนชาร์จแบตฯพลังชีวิต โทษใครไม่ได้ต้องโทษเจ้าตัวนั่นแหละที่หาเรื่องชวนผมเดทอีกครั้ง แถมยังเอาเปรียบด้วยการต้อนรับวันเดทด้วยการสู้รบบนสังเวียนเตียงนอนนั่นแหละ

ยานพาหนะที่ใช้ในวันนี้ก็คือไอ้รถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าคันเดิม ผมยังสงสัยว่าใต้เบาะรถมีอะไรหรือเปล่า เพราะผมนึกถึงเรื่องครั้งก่อนที่พี่ท็อปชอบทำเซอร์ไพรส์ผม หลังจากที่ได้ทำเลในการนั่งปิกนิกริมสระบัว   

“อุตสาห์ตื่นเช้ามาทำกับข้าวให้ ดันหลับอย่างกับตาย”พี่ท็อปเหลือบตามามองอย่างเคืองๆ ระหว่างที่กำลังจัดแจงกล่องข้าวออกมาวางเรียง เท่าที่ประเมินด้วยสายตามีต้มจืดเต้าหู้หมูสับสาหร่ายอาหารเบสิคเลย ไข่ดาว2ฟอง กระเพราหมูสับไม่ละเอียดสีสันดูจืดไปนิด แถมด้วยหมูทอดกระเทียมที่เกรียมหน่อยๆกับข้าวหอมมะลิหน้าตาดูดีใช้ได้

“รสชาติไม่ได้วัดกันที่รูปลักษณ์หรอกเว้ย”พี่ท็อปรีบแก้ตัว ก่อนจะยื่นช้อนมาให้ผม

“ก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่ครับแหม ร้อนตัว”ผมหัวเราะ ก่อนจะรอบมองไปทั่วบริเวณ มีคนประมาณห้าหกคนได้ ส่วนมากพาหมามาเดินเล่น ไม่ก็นั่งพักผ่อนหย่อนใจ เหมือนผมกับพี่ท็อป จะว่าไปแล้วพอมานั่งที่นี่ ที่เดิมกับครั้งก่อน จำได้ว่าตอนนั้นค่อนข้างจะดราม่าพอสมควร แต่ผมถือว่าเป็นความทรงจำที่แสบๆคันๆ

“ยิ้มแปลกๆ คิดอะไรอยู่”พี่ท็อปเอ่ยทัก ก่อนจะจ้องมองมาที่ผมอย่างไม่วางตา

“อ๋อ นึกถึงเรื่องเก่าๆไง พี่จำไม่ได้เหรอ”ผมแกล้งไปสะกิดแผลพี่ท็อปเล่น เจ้าตัวทำหน้ามืดมนแค่พริบตาเดียวจากนั้นก็ปรับสีหน้าให้เป็นปกติ

“หึๆ ทำมาเป็นตอกย้ำ เออซี่ กูมันไม่ดี”เจ้าตัวทำปากยื่นปากยาว เข้าใจว่าต้องงอนผมนิดหน่อย

“ชีวิตมันก็แบบนี้แหละครับ มีแผลถลอกบ้าง”ผมพูดเสียงเรียบเฉยทำนองว่าเป็นสัจธรรมชีวิตที่พบเจอได้ปกติทั่วไป เมื่อผมพูดจบ อีกฝ่ายเงยหน้าจากกล่องข้าวมองมาที่ผมด้วยสายตาเฉียบแหลม

“แหม คมคายเสียจริง น่าจะละทางโลกได้แล้วนะมึง”พี่ท็อปไม่วายมาเหน็บผม

“โห ไม่ได้หรอก กิเลสหนา”ผมบอก ทำให้พี่ท็อปหัวเราะออกมา

“อือ จริงของมึง คงอาบัติตั้งแต่คืนแรก”พี่ท็อปแซว ผมกลั้นยิ้มไว้ มองอีกฝ่ายก้มหน้าก้มตาทานข้าวด้วยรอยยิ้ม ผมลองชิมอาหารฝีมือพี่ท็อปแบบเต็มคำ รสชาติก็พอใช้ได้ ไม่ได้ย่ำแย่อะไร ผมกับพี่ท็อปทานข้าวจนอิ่มก่อนจะเก็บกวาดเคลียร์พื้นที่ให้สะอาด เผื่อว่าจะนอนหลับเอนหลังสักหน่อย ผมมองไปที่สระน้ำ มีนกสองสามตัวบินโฉบลงมาเกาะวัชพืชกลางน้ำเพื่อหาสัตว์เล็กกิน

“คิดอะไรอยู่ล่ะ”พี่ท็อปพูด

“คิดอะไรเพลินๆน่ะครับ ว่าแต่พี่ชอบแคคตัสหรือเปล่า พอดีผมเจอเพื่อนที่เพาะเมล็ดแคคตัสน่ะพี่”การเพาะเมล็ดก็เหมือนการปลูกต้นใหม่ ใช้เวลานานเป็นปีๆเลย ถึงต้องใช้ความอดทนแต่ก็เป็นงานที่น่าสนุกดี

พี่ท็อปเลิกคิ้วสูง “อืม กูก็ชอบนะ เวลามันออกดอกก็สวยดี เผื่อว่าเพาะได้หลายพันธ์ เอาไปปล่อยตลาดก็ได้ หรือไม่ก็...หรือไม่ก็เอามาแต่งในบ้านเราก็ได้”พี่ท็อปพูดประโยคหลังช้าๆจงใจให้ผมได้ยินชัดเจน ผมหูผึ่ง ‘บ้านเรา’ ผมยิ้ม มันก็เป็นความคิดที่ดี พวกแคคตัสเลี้ยงไม่ยากก็จริงแต่ก็ต้องหมั่นดูแลหน่อย ถ้าอยากได้ดอกสวยๆ

พี่ท็อปขยับตัวเข้ามานั่งใกล้ๆกับผม สปริงเกอร์น้ำหมุนเบาๆเป็นจุดๆ ทำให้อากาศรอบๆตัวไม่ร้อนอบอ้าวออกจะเย็นชุ่ม พี่ท็อปยื่นมือมาจับมือผมแล้วลูบเล่นไปมาเหมือนเด็กวัยซน

ผมเพ่งมองในสระน้ำอย่างสบายใจ พี่ท็อปหันมามองหน้าผมเหมือนจะทำให้ผมสึกหรอให้ได้ เราต่างเงียบ นึกถึงบรรยากาศเก่าๆ แน่นอนว่าความรู้สึกต่างจากครั้งก่อน ตอนนี้เราไม่ได้คิดอะไรร้อยเล่ห์พันกล เหมือนเราได้มาพักผ่อนจริงๆ

“ดีเนอะ เห็นแบบนี้แล้วนึกถึงบ้านมึงเลยสอง”พี่ท็อปเอ่ยเสียงเรียบก่อนจะเอนตัวลงนอนราบกับเสื่อ ไม่ได้หันมามองทางผม

“อืม นั่นสิ ผมก็คิดนะ หางานเก็บเงินได้สักก้อน ผมจะย้ายกลับไปทำงานที่บ้านดีไหม มันคงเป็นชีวิตที่ดีอีกแบบหนึ่ง”ผมเคยคิดเล่นๆหลายครั้ง บางครั้งผมก็เบื่อเมืองใหญ่ที่วุ่นวาย อยากหาความสงบให้ชีวิตบ้าง เชื่อว่าถ้าเราอยู่ถูกที่ถูกทาง ปัญหาไม่มากร่ำกรายเราบ่อยแน่ๆ อย่างน้อยที่อโคจรก็ลดลง

 พี่ท็อปบีบมือผมไม่แน่น ไม่คลายมากเกินไป เจ้าตัวเองก็เคยเอ่ยถึงบ้านพ่อขึ้นมาหลายครั้ง เหมือนเรื่องนี้ติดอยู่ในใจพี่ท็อป ผมว่า อีกฝ่ายคงมีความคิดคล้ายๆผมล่ะมั้ง

“มันต้องดีแน่ๆ”พี่ท็อปหันมาสบตาผมอยู่นาน จนผมคิดว่าพี่ท็อปคงตั้ง Goal อะไรไว้แล้วแน่ๆ จะเกี่ยวกับเรื่องที่เคยคุยกับพ่อผมเมื่อคราวก่อนไหมนะ ถือเป็นสัญญาณดี

“เห็นด้วยครับท่าน”พี่ท็อปนี่ก็เป็นช้างเท้าหน้าจริงๆนะ ฮ่าๆ ผมแอบขำในใจ ก้มมองพี่ท็อปก่อนจะดึงมืออีกฝ่ายมากัดแรงๆอย่างรู้สึกหมั่นไส้ยังไงชอบกล ชอบถือไพ่เหนือกว่าผมไง มันน่านักเชียว พี่ท็อปไม่ได้โวยวาย แค่ยิ้มแก้มปริ

“หึหึ เบามือหน่อย”เจ้าตัวว่า ผมปล่อย ก่อนจะเหลียวหลังมองรอบกาย ไม่มีใครสนใจผมกับพี่ท็อป

“เฮ้อ น่าจะเอาไอ้ทูมาด้วยเนอะ”ผมแอบมองหมาพันธุ์ปั๊กที่เดินเฉียดมาบริเวณนี้ มันเดินมาเล่นน้ำตรงสปริงเกอร์

“อือ อาบน้ำให้มันแล้วน่ะสิ เดี๋ยวได้เลอะอีก”พี่ท็อปตีขาผม “ทำไม คิดถึงเพื่อนเหรอ”ไม่วายแซวผมต่อ ไอ้ทูเอ้ย เป็นหมาหัวเน่าแล้วไง

“อือฮึ...”

“กูเลยพามึงมาเดินเล่นแทนไง”ผมหันมามองพี่ท็อป นั่นไงโดนอีกหนึ่งดอก เจ้าตัวหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเอื้อมมาจับสร้อยนาฬิกาของผมเพื่อดูเวลา “มีอะไรเหรอ”

“ไปเอาของที่รถดิ”

“ห๊ะ”ผมงง ไม่คิดว่าพี่ท็อปจะเอาอะไรใส่ไว้ใต้เบาะอีก คงไม่ดอกไม้แน่ เพราะคงเฉาแน่นอน

“เลิกเหว๋อ แล้วไปที่รถน่า อ่ะ”พี่ท็อปยื่นกุญแจรถให้ ผมมองหน้าอีกฝ่ายก่อนจะลุกเดินไปอย่างว่าง่าย พี่ท็อปหัวเราะไล่หลังมาให้ได้ยิน นี่ผมโดนหลอกอะไรหรือเปล่าวะ เมื่อมาถึงรถ ผมเปิดเบาะรถ ปรากฏว่าไม่มีอะไร ผมล่ะอยากจะปากุญแจทิ้ง ตอนนี้เจ้าตัวคงหัวเราะผมแน่ๆ ผมเดินหัวฟัดหัวเหวี่ยงกลับไปหาพี่ท็อป อย่างน้อยๆเจ้าตัวต้องโดนซะบ้าง

“วิ้ว หลอกง่ายจังวะ”พี่ท็อปหัวเราะ ผมแอบเสียเซลฟ์นิดหน่อย “โธ่พี่ เหนื่อยเปล่าเลย”ผมต่อยเข้าที่ไหล่พี่ท็อปไม่แรงมากนักแก้อาการอาย

“หึหึ คงฝังใจจริงๆ กูไม่ใช้มุขเก่าหรอก เออ มึงลืมจริงๆเหรอว่าวันนี้วันอะไร”

“ห๊ะ วันอะไร...”ผมชะงัก อ้าปากค้างก่อนจะเริ่มตระหนักทีละนิดว่าทำไมวันนี้ยังคงเป็นวันพิเศษ ที่เจ้าตัวขยันหาเรื่องเซอร์ไพรส์ผมเรื่อยๆ แถมก่อนหน้านั้นเจ้าตัวบอกว่าวันเดทครั้งนี้สำคัญ

“ลืมไปแล้วเหรอ วันนี้ครบรอบหนึ่งปีแล้วนะ ที่เราเป็นแฟนกัน”ผมอึ้งนิดหน่อย ไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้

“จริงเหรอ ผมไม่ได้นับ แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่ใส่ใจนะพี่”ผมพูดเสียงแผ่ว พี่ท็อปยิ้ม

“อือรู้ กูเกือบลืมๆ ถ้าเพื่อนกูไม่เตือน กูก็ลืม”

“เป็นแฟนกันหนึ่งปีแล้วนะ”ผมเอ่ยและยิ้ม

“ขอบคุณนะที่ให้โอกาสอีกครั้ง”พี่ท็อปพูด เห็นแววตาของอีกฝ่ายดูเป็นประกาย มีน้ำตาคลอนิดหน่อย ผมคงตาไม่ฝาดไป ผมยิ้ม

“ครับ ผมก็ดีใจที่ให้โอกาสตัวเอง”ผมบอก จริงๆที่ผมเลือกที่จะตัดใจ ผมก็ทำได้อาจจะไปคบใครสักคน แต่ตอนนั้นพี่ท็อปยังคงวนเวียนอยู่ และมีหนทางที่จะคบกันได้ผมก็ไม่อยากให้เสียโอกาสไป

“ดูนั่น...เพื่อนมึง”พี่ท็อปสะกิด ผมหันไปมองทางด้านหลัง คำว่าเพื่อน ก็คือไอ้ทูแน่ๆ แต่ผมประหลาดใจ ตกใจและสุดท้ายแล้วผมดีใจ ที่เห็นไอ้ทูกำลังวิ่งด็อกแด๊ก ใส่เสื้อมาตัวหนึ่งเพื่อที่ลูกโป่งจะได้มีที่ยึดติด ลูกโป่งมีอักษรแปะว่า ท็อป สอง ตัวใหญ่ สีชมพูเชียว ในปากมันคาบอะไรสักอย่างมาด้วยเหมือนการ์ด หวังว่าไม่เปียกน้ำลายนะ ผมสงสัยว่าไอ้ทูอาจมีใครสักคนพามาปล่อยที่เดอะ ปาร์คแน่ๆ ผมหันไปมองพี่ท็อป เจ้าตัวยังคงยิ้ม

“มานี่มาลูกป๊า”พี่ท็อปร้องเรียก ทำสัญญาณมือให้มันวิ่งตรงมาหา มันใช้เวลาไม่นาน มันหอบแฮ่ก พี่ท็อปหยิบการ์ดออกมาก่อนยื่นมาให้ ผมรับมา อดไม่ได้ที่จะมองไอ้ทูอีกรอบ เสื้อของมันยังมีชื่อผมติดอยู่ด้วย ท่าจะเอาไปปักเพิ่ม

“แหม เสื้อไอ้ทูทำไมชื่อสอง”ผมว่า

“ก็สองไหมล่ะ”พี่ท็อปว่า

“ไหนว่ามาจากทูน่า”ผมทวนความจำพี่ท็อป

“ตอนนี้มันชื่อ two โอเค ก็สองใช่ไหมล่ะ”อีกฝ่ายตอกกลับอย่างไม่ยอม ผมหัวเราะ ก่อนจะเอื้อมไปลูบหับไอ้ทูผู้น่าสงสาร นอกจากหมาหัวเน่าแล้วยังเป็นเบ๊อีก

“ใครพามันมา”

“อ้อ ไอ้แบม มันมาเอาของที่บ้านกูเลยคิดแผนใช้งานมันหน่อย”พี่ท็อปอธิบาย ผมก้มมองการ์ดในมือ ใส่ซองพลาสติกไว้คงกันน้ำลายไอ้ทูจริงๆ ผมยังไม่เห็นหน้าตาของการ์ดเพราะมันอยู่ในซองน้ำตาลอีกที “พี่ทำเองเหรอ”ผมชวนคุย

“อือ มึงก็ด้วยนะ วันครบรอบของเรานี่”พี่ท็อปทำให้ผมงง เจ้าตัวอุ้มไอ้ทูมานั่งตักได้สำเร็จ กำลังแกะเชือกลูกโป่งมามัดกับแขนตัวเองอย่างทุลักทุเล ผมยังคงพุ่งความสนใจมาที่การ์ดนี่ พอดึงออกมา ผมก็อึ้ง ไม่คิดว่าพี่ท็อปจะคิดได้ ครั้งนึง พี่ท็อปเคยขอสมุดสเก็ตภาพจากผมไป หลังจากนั้นผมก็ไม่ได้ถามว่าเจ้าตัวเอาไปทำอะไร

การ์ดครบรอบ เป็นรูปสเก็ตดินสอรูปผมและรูปพี่ท็อป ผมมั่นใจว่าไม่ได้สเก็ตรูปตัวเองแน่นอน แต่เป็นพี่ท็อปวาด พูดง่ายๆคือ รูปพี่ท็อปในกระดาษสเก็ต จะมีรูปสเก็ตของผมเพิ่มเข้ามาด้วย และที่สำคัญคือพี่ท็อปลงสีน้ำด้วย ทำให้ภาพออกมามีสีสัน มองเผินๆราวมาจากรูปเดียวกัน ริมขอบกระดาษมีดอกไม้แห้งแปะอยู่

“ผมชอบครับ พี่คิดได้ไง”ผมถาม ในการ์ดไม่ได้มีคำบรรยายอะไร เป็นแค่รูปที่ติดดอกไม้แห้งๆ ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นดอกอะไรด้วยซ้ำ แต่นั่นไม่สำคัญ

“อือ ก็คิดเรื่อยเปื่อย เห็นว่าสมุดสเก็ตมึงมีรูปกูตั้งเยอะ ก็อยากสเก็ตมึงบ้าง ในเฟรมเดียวกัน หึหึ เป็นไงบ้าง”พี่ท็อปตอบ มือหมุนเล่นเชือกลูกโป่งไปมา

“เพอร์เฟ็ค ผมประทับใจมากนะ”ผมยิ้ม

“ที่จริงกูกะจะยื่นให้มึงเลยโต้งๆ แต่ก็นะ กูมันไม่ชอบอะไรเรียบง่าย เดี๋ยวมึงไม่จำ อีกอย่างไอ้ทูกูก็รักนะเลยพามาด้วย เป็นสักขีพยาน”พี่ท็อปจูบลงที่หัวไอ้ทู มันทำหน้าเหมือนโดนบังคับ ซึ่งมันก็หน้ามึนแบบนั้นแหละ ผมยิ้มเข้าไปจุ๊บหัวไอ้ทูบ้าง ก่อนจะทำท่าจะจุ๊บพี่ท็อป

“แหนะ จูบหมามาแล้วยังจะมาจูบปากกู”พี่ท็อปรีบยกมือมาดันไหล่ของผมออก ซึ่งผมก็ล้อเล่นไปแบบนั้น พี่ท็อปปล่อยให้ไอ้ทูเป็นอิสระ มันวิ่งไปเล่นน้ำที่สปริงเกอร์อย่างรื่นเริง

“ลูกโป่งนี่...”ผมสงสัยพี่ท็อปละเอียดขนาดนี้เลยเหรอ

“อ๋อ ไอ้แบมทำให้น่ะ ฮ่ะๆ ไอเดียมันเลย”พี่ท็อปบอก ก่อนจะสบตาผมไม่นานนักก็เสไปมองทางอื่นแทน เจ้าตัวคงเขิน “ขอบคุณนะครับ ผมจะไม่ลืมวันครบรอบปีแรกของเราเลย”ผมบอกจากใจจริง พี่ท็อปพยักหน้า

“ลิเกชิบเป๋ง”เจ้าตัวสบถแล้วส่ายหน้า

“หึหึ ยิ่งกว่าผมอีกด้วย”ผมสำทับ พี่ท็อปยักไหล่ก่อนจะปล่อยลูกโป่งที่มีชื่อเรา มันลอยไปติดต้นไม้ข้างๆไม่ไปไหน ตอนแรกผมคิดว่ามันจะแตกซะอีก

“นั่นดิ กลายเป็นกูที่โคตรเซอร์ไพรส์”พี่ท็อปพูดงึมงำ ก้มหน้ามองลายเสื่ออย่างสนอกสนใจ บรรยากาศความเขินอายเริ่มเข้ามาแผ่เหมือนเป็นละอองที่ฟุ้งไปทั่ว บ่อยครั้งที่เราตกหลุมรักแฟนตัวเองซ้ำๆอยู่อย่างนั้น ให้ตายความรู้สึกแบบนี้ช่างทำให้ชุ่มชื่นหัวใจ ผมหัวเราะอย่างสุขใจ

วันเดทของเราสองคนถือว่าสมบูรณ์แบบ โดยรวมแล้วผมคงไม่มีวันลืมอย่างแน่นอน 


...
 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-08-2017 04:53:15 โดย RindadaRin »

ออฟไลน์ รินดาwดาริน

  • OnTop&N'Song
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +243/-2
เรื่องของผิง บทส่งท้าย (จบ)


ตั้งแต่วันที่ไอ้ยิมกลับไปทำงาน ผมก็กลับมาช่วยงานที่ร้านอาหารของพ่อก่อน มีเวลาว่างก็หาข้อมูลเรื่องเรียนต่อ ส่วนมากที่อินเดียจะศึกษาเกี่ยวกับศิลปะกับศาสนาดูจะขึ้นชื่อ แต่ด้านอื่นๆ ก็ไม่น้อยหน้าหรอก ส่วนมากรุ่นพี่ผมจะเข้า Visual Arts มหาลัยพาราณสี ที่ผมเล็งๆ ไว้เป็นวิทยาลัยเกี่ยวกับศิลปะโดยเฉพาะ ที่ Delhi Collage of art
เย็นวันนี้ผมมาช่วยที่ร้านตามปกติ
“ผิง ไปรับออเดอร์ที่โต๊ะสิบทีจ้ะ” พี่ฝนบอกขณะที่กำลังวุ่นวายอยู่หลังเคาน์เตอร์ ผมเดินไปหยิบเมนูกับกระดาษจดก่อนจะเดินออกไปที่โซนด้านนอก พอเห็นว่าเป็นใครผมก็โบกมือทักทาย
“ไงยิม วันนี้ว่างเหรอไง” ผมยิ้มก่อนจะยื่นเมนูไปให้อีกฝ่าย ไอ้ยิมไหวไหล่
“เออ เลิกเร็วน่ะเลยแวะมาหา” มันเหลือบมองหน้าผม แว่นกรอบสีฟ้า กับเชิ้ตสีขาวกางเกงสแล็คเหมือนมองไอ้ยิมในวัยนักศึกษามากกว่าอีก
“จะรับอะไรดีครับ” ผมถาม รอจดออเดอร์ ไอ้ยิมขำ
“มานั่งก่อนสิ อยากคุยด้วย”
“เป็นยังไงบ้างล่ะ เหนื่อยไหม”
“ก็ปกติแหละ แต่วันนี้ไปประชุมเฉยๆ เลยไม่ได้ทำอะไรมากหรอก” มันเล่าให้ฟังเหมือนที่เคยเป็น ถ้าหากว่าวันไหนเลิกงานเวลาปกติและมันไม่เหนื่อยจนเกินไปมันจะแวะมาหาผมที่ร้าน
“จะกินอะไรไหมเดี๋ยวกูไปเอาให้” ผมบอก ส่วนมากผมจะไปหยิบในครัวมาให้ไอ้ยิมเอง ของฟรีนั่นแหละ ไอ้ยิมกินไม่จุหรอกส่วนใหญ่จะเป็นเครื่องดื่มมากกว่า ไอ้ยิมนั่งอยู่ที่ร้านจนกระทั่งร้านปิด มันคงตั้งใจจะชวนผมไปเดินตลาด
ผมเหลือบมองคนตัวสูงกว่าที่กำลังเลือกดูกระเป๋าอย่างพิจารณา นึกถึงคำพูดไอ้สองที่เหน็บแนบผมเมื่อตอนนั้น
‘มึงก็รู้ว่าไอ้ยิมมันโคตรพระเอก มึงยังจะไปทำดีกับมัน ตอนนั้นถ้ามึงมาปรึกษากูตั้งแต่แรกกูไม่ให้มึงไปฮ่องกงกับมันหรอก เลิกกั๊กความสัมพันธ์แบบนี้ซะทีเถอะว่ะ’
วันนั้นมันเหมือนจะเคืองผม หลังจากที่ผมกลับจากฮ่องกงผมมาคุยกับไอ้สองแบบเปิดอก แน่นอนว่ามันด่าผมยกใหญ่โทษฐานที่ไม่ยอมให้มันเผือกเรื่องไอ้ยิม ที่จริงผมโสดมาจนป่านนี้เพราะผมไม่เคยสานต่อความสัมพันธ์ โดนคนอย่างไอ้สองด่านี่คงสุดทนแล้วจริงๆ
‘จะบอกว่ากูแย่ใช่ไหม’
‘ยังไม่รู้ตัวอีก ตัวเหี้..ยต่างหาก เพื่อนเวร’
‘เออน่า งั้นมึงก็รู้สันดานกูดีที่สุดล่ะ’
‘ก็นะ...น่าจะรู้ให้เร็วกว่านี้’
‘มึงกับกูไม่เหมือนกันไงกับความสัมพันธ์พวกนี้’
‘กูเห็นเป้าหมายก็พุ่งชนเลย ไม่มีอ้อมค้อม แวะเติมนั่นเติมนี่ก่อนแน่ๆ ล่ะ เสียเวลา’
เฮ้อ ตั้งแต่นั้นมาไอ้สองก็ไม่ได้มาถามไถ่เรื่องของผมกับไอ้ยิมอีก
“มึงอยากได้อะไรหรือเปล่า” ไอ้ยิมหันมาถาม ทำไมมันชอบทำตัวป๋าๆ ก็ไม่รู้
“ไม่ล่ะ ซื้อของกินดีกว่า” ผมบอก ไอ้ยิมไหวไหล่ก่อนจะดึงแขนผมให้ฝ่าฝูงชนคนเดินตลาดไปหยุดอยู่ที่ร้านไอศกรีมกะทิสด ผมเลยซื้อมาคนละถ้วย

คืนนั้นจบลงที่น้ำเต้าหู้คนละถุง ไอ้ยิมขับรถมาส่งผมที่บ้าน หลังจากเรียนจบผมย้ายมาอยู่กับครอบครัว ซึ่งบ้านผมกับบ้านไอ้ยิมอยู่ไม่ไกลกันเท่าไหร่ แต่ใช้เวลาในการเดินทางประมาณสิบห้านาทีถ้ารถไม่ติด บ้านของผมไม่ได้ใหญ่โตเพราะเป็นทาวน์เฮ้าส์ มีพื้นที่จำกัด บ้านของผมอยู่หลังแรกเลยติดกับต้นไม้ มีสองชั้น สองห้องนอน ที่ผมไม่ค่อยกลับมาบ้านเพราะมันไม่ค่อยเป็นส่วนตัวรั้วก็ไม่มี
ผมเห็นว่าที่บ้านยังไม่มีใครกลับมาเพราะรถยนต์ของพ่อแม่ยังไม่จอดอยู่หน้าบ้าน ในใจผมกำลังลังเล ถ้าชวนมันเข้าบ้านคงไม่น่าเกียจอะไร เพราะวันนี้มันดูเหนื่อย อย่างน้อยหาน้ำให้มันดื่มก่อนน่าจะดีกว่า ไอ้ยิมจอดรถที่หน้าบ้าน
“อย่าคิดลึกนะถ้ากูจะชวนมึงเข้าบ้าน” ผมบอก ไอ้ยิมหันขวับมามอง
“พูดจริงเหรอ” มันเลิกคิ้วสูงดูแปลกใจ
“จริงสิ อีกตั้งหลายวันกว่าจะได้เจอ อยู่คุยกันก่อนก็ดีนะ” ผมบอก
“ตามใจ” ไอ้ยิมไม่ปฏิเสธ แน่ล่ะ มันได้กำไรนี่
ผมกับมันกลับไปในบ้านก่อนจะเปิดไฟที่ห้องโถงไว้ ผมเดินไปที่ห้องครัวรินน้ำเย็นๆ มาให้ไอ้ยิม ถือเป็นครั้งแรกเลยมั้งที่มันมีโอกาสมานั่งเล่นด้านในบ้าน เพราะส่วนมากแค่มาส่งเท่านั้นเอง
“สงสัยพ่อกับแม่แวะไปที่อื่นต่อ” ผมบอกก่อนจะเปิดทีวีแล้วนั่งลงข้างๆ มัน ไอ้ยิมหยิบโทรศัพท์ออกมาจิ้มเล่น ผมไม่ได้สนใจมันเท่าไหร่ ตามองแต่รายการทีวีตรงหน้า
“คืนนี้กูขอค้างนะ” อยู่ๆ มันก็พูดขึ้นมา ผมหันไปมองหนุ่มแว่นที่จ้องมาที่ผมด้วยสายตานิ่งๆ ผมคิดไต่ตรอง คงไม่มีอะไรเสียหาย ผมมองนาฬิกา นี่ก็สามทุ่มครึ่งแล้ว
“แล้วแต่ พรุ่งนี้ไปทำงานไม่ใช่เหรอ” ผมถามมัน
“อือ กลับบ้านไปตอนเช้าๆ ก็ได้นี่หว่า เผื่อว่าจะมีโอกาสกินมื้อเช้ากับที่บ้านมึง” มันพูดทีเล่นทีจริง ผมมองหน้ามันนิ่งๆ
“ดูแลตัวเองก็แล้วกัน” ผมบอก ไอ้ยิมแค่ยิ้มเท่านั้น

เวลาล่วงเลยมาเกือบจะเที่ยงคืนแล้ว พ่อกับแม่ผมกลับมา ผมกับไอ้ยิมขึ้นไปชั้นสองแทน มีโอกาสทักทายนิดหน่อย ผมอาบน้ำก่อนเพราะใช้เวลาไม่นาน ไม่ได้เจ้าสำอางอย่างที่รู้ๆ กัน ส่วนไอ้ยิม มีปัญหาแค่ชุดนอนของมันนั่นแหละจะเอายังไง สรุปมันใส่แค่บ็อกเซอร์ของผมแทน เพราะยังไงมันก็ไม่ยอมใส่ของเก่า ส่วนเสื้อเป็นของผมเหมือนกัน ยังดีที่ผมใส่เสื้อฟรีไซต์เป็นโหลเอาไว้เวลาทำงาน
ผมเข้านอนก่อนไอ้ยิมเพราะมันทำอะไรยืดยาดกว่าที่คิด มันเดินไปปิดไฟเหลือแค่ไฟดวงเล็กๆ ที่โต๊ะกระจก ไอ้ยิมเข้ามานอนบนเตียง ผมไม่ได้ตื่นเต้นอะไร ชินแล้วล่ะกับการนอนกับคนอื่น ไม่สิ เพราะมันคือไอ้ยิม อีกฝ่ายถอดแว่นตาออก หน้าตาดูแปลกไปนิดหน่อย ผมเริ่มง่วงขึ้นมา สักพักไอ้ยิมชวนคุยต่อ
“ตกลงจะไปอินเดียจริงๆ เหรอ” ไอ้ยิมนอนอยู่ข้างๆ เอ่ยถาม
“อื้อ จริง แต่ไม่ใช่เร็วๆ นี้หรอก” ผมบอกเพื่อให้มันสบายใจ ในเวลานี้ผมหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง
“กูคงคิดถึงมึงนะ” มันพูด ผมจับได้ถึงหางเสียงของความเศร้า ผมกะพริบตาในความมืด ทำไมนะผมถึงเจ็บที่ใจแบบนี้ ผมไม่อยากให้มันเศร้าหรอกนะ
“ยิม...” ผมเรียก รวบรวมความกล้า
“หืม...” มันส่งเสียงในลำคอ
“รอกูได้ไหมล่ะ อาจจะใช้เวลาหน่อยแต่กูรับปากนะว่ากูมีคำตอบให้มึงแน่” ผมได้ยินตัวเองพูดไปแบบนั้น ยังคงเห็นแก่ตัวเช่นเคย เอาแต่ได้จริงๆ เลยไอ้ผิง
“นานแค่ไหนล่ะ สำหรับการรอน่ะ” น้ำเสียงของคนข้างๆ ดูไม่สบอารมณ์
“...ไม่รู้” คำตอบของผมทำให้มันพ่นลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“มึงมันก็เป็นแบบนี้ ไม่นึกถึงจิตใจกูบ้าง” ไอ้ยิมพูด เสียงของมันสะท้อนอยู่ในความมืดไม่จางหายไปจากใจผมด้วย ผมเม้มปากเหลียวมองไปทางอีกฝ่าย มันนอนหงายไม่ได้หันมาพูดกับผม
“ขอโทษ” ผมพึมพำ รู้สึกเสียใจจริงๆ
“ไม่ต้องหรอก” มันบอก น้ำเสียงแหบพร่าเล็กน้อย
“บางทีมึงเป็นคนดีเกินไป มึงควรทำตัวโฉดๆ บ้าง” ผมบอกมันก่อนจะหัวเราะแห้งๆ ถ้ามันโวยวายหรือแสดงท่าทีที่ดุดันกว่านี้ผมอาจจะพิจารณาก็ได้ แต่มันถอยไปเงียบๆ โคตรพระรอง
“หึ ยังจะพูดอีก” มันฟาดมือมาที่ลำตัวผมหนึ่งที
“มึงมันป๊อด” ผมว่ามัน ไอ้ยิมเงียบ
ผมนึกถึงเรื่องที่สะพานเมื่อวันรับปริญญาของผม ตอนแรกนึกว่ามันจะจูบผมซะอีก ผมไม่ได้เสียดายอะไรแต่มันเป็นคนไม่กล้าได้กล้าเสีย ถ้ามันจูบมันอาจได้ใจผมไปแล้ว ผ่านมาหลายเดือนแล้วที่ผมใช้เวลาอยู่กับตัวเอง มันเงียบไปนาน คงแทงใจดำมันมากสินะ
“กอดกูสักครั้งสิ” ผมพูดกับไอ้ยิม มันไม่เคยกล้ากอดผมสักที หรือต้องรอให้ผมอนุญาต ไอ้ยิมขยับตัว มันหันมามอง
“ทำไม” มันถามโง่ๆ
“ไม่กอดก็ตามใจ” ผมบอก เตรียมจะหันหลังให้มันแล้วแต่มือหนาคว้ามือผมไว้ คราวนี้มันจับมือผมแบบสัมผัสจริงๆ ฝ่ามืออุ่นๆ ของมันลูบไปตามอุ้งมือของผม ก่อนจะจับมือไว้ไม่ปล่อย
“เฮ้อ มึงก็เป็นแบบนี้” ไอ้ยิมพึมพำก่อนจะขยับตัวเข้ามาใกล้ผม ดึงแขนผมให้เข้าไปในอ้อมกอดของมัน ผมกำลังประมวลความรู้สึกนึกคิด อ้อมกอดอุ่นๆ ผมไม่รู้ว่ามันแตกต่างกับการกอดกับพ่อยังไง แน่นอนล่ะ นั่นพ่อผมไง มันอบอุ่นปลอดภัย มันกอดผมแน่นราวกับว่ากลัวผมจะหนีหายไปตลอดกาล ในเวลานั้นผมเองก็มีคำตอบในใจชัดเจนขึ้น ‘เลิกเห็นแก่ตัวได้แล้ว ไอ้ยิมอยู่ตรงหน้านี่แล้วไง พุ่งชนมันซะก็สิ้นเรื่อง’ อยู่ๆ เสียงไอ้สองก็ดังมาในความคิด
“ยิม” ผมเรียก
“หืม...” มันขยับตัวออกก้มมองมาใกล้กับใบหน้าของผมเพื่อจะได้ยินคำพูดของผม
“เรามาคบกันเถอะ” ผมพูดหันไปสบตามันท่ามกลางความมืด
แววตาสีดำสนิทที่ปราศจากแว่นสายตาสะท้อนกลับมาให้เห็น ผมตัดสินใจแล้วล่ะ ไม่อยากพลาดโอกาสดีๆ ถึงการคบกันของผมกับมันอาจไม่ทำให้เราสองคนเปลี่ยนแปลงไปมากกว่านี้ แต่อย่างน้อยสถานะของเราก็ชัดเจนขึ้น ไอ้ยิมเองคงจะกล้าที่จะปฏิบัติในเชิงนั้นกับผมมากขึ้นล่ะมั้ง ผมเองไม่อยากเห็นไอ้ยิมเสียใจอีก ตาเศร้าๆ ของมันทำให้ผมหวั่นในใจ กลัวว่ามันจะท้อและจากผมไปจริงๆ แบบนั้นคงแย่กว่าอีก
“คบแบบไหนล่ะ” มันกระชับกอด
“แบบไหนก็ได้ กูแค่... อยากให้มึงรู้ว่ากูก็รู้สึกกับมึงในฐานะผู้ชายคนนึง” ผมหลับตาพูดกัดปากแน่น รู้สึกประหม่าขึ้นมา ความรู้สึกหวั่นไหวกับผู้ชาย
“อืม” มันตอบสั้นๆ ผมขมวดคิ้ว
“กูชอบมึง... มากกว่าเมื่อก่อนอีก รู้รึเปล่า” ผมบอก รู้สึกว่ามือเย็นเฉียบใจเต้นรัว ถ้าวัดความดันได้ความดันผมคงขึ้นเร็วน่าดู
“...” มันเงียบแต่รู้สึกว่ามันหายใจแรงขึ้น
“ได้ยินไหม” ผมถาม
“...แล้วก็จะหนีกูไปเรียนต่อ แบบนี้ใช้ได้ที่ไหน” มันพึมพำมือข้างนึงตบลงมาที่ศีรษะผมเบาๆ ถ้าทำได้มันคงอยากตบกะโหลกผมแรงๆ
“ยังหรอก ไม่แน่อาจเปลี่ยนใจทีหลัง” ผมบอกเบาๆ เสียงดังอู้อี้เพราะไอ้ยิมไม่ยอมคลายกอดผมเสียที ดูเหมือนว่ามันจะไม่ยอมปล่อยง่ายๆ ด้วย
“...กูสามารถทำให้มึงเปลี่ยนใจได้ไหม” มันเอ่ยขึ้น
“มึงจะทำยังไงล่ะ”
“ทางเดียวคือลักพาตัวไง” ผมอดหัวเราะไม่ได้
“หึหึ ตลกนะมึง”
“แล้วจะให้ทำยังไงล่ะ....” มันทำเสียงตัดพ้อเปิดเผยความรู้สึกมากขึ้น ผมเองเพิ่งรู้สึกและสังเกตได้
“...” ผมเงียบ
“กูคิดว่ากูรักมึง” ไอ้ยิมบอกผมเป็นครั้งแรก
ผมเงียบนานกว่าเดิม ในหัวมันตื้อตัน ผมควรจะพูดอะไรดี ผมรู้ว่ามันชอบผมมากกว่าที่ผมชอบมัน แต่ไม่คิดว่าจะได้ยินมันบอกรักผมในเวลานี้ ตอนที่ผมกำลังตัดสินใจอะไรอยู่ ที่แน่ๆ มันพยายามดึงรั้งผมอยู่ ไอ้ความรู้สึกที่กำลังบีบคั้น แต่คราวนี้ผมไม่รู้แบบนั้นเลย ผมแค่ลังเล...
“กูรักมึงจริงๆ นะ... กูถึงไม่พยายามที่จะทำอะไรมากไปกว่าที่มึงขอ” ผมรู้ แน่ล่ะ มันกลัวเกินกว่าที่จะทำอะไรล้ำเส้น มันอาจจะเสียผมไปตลอดกาล
“......”
“กูยังคิดว่าทำไมกูต้องทำขนาดนี้ด้วยวะ หึ แต่กูก็ยังทำต่อไป”
“ไอ้ยิม” ผมตบหลังมัน ชักจะดราม่าเข้าไปใหญ่ มันพูดแบบนี้ผมยิ่งลำบากใจ ผมดันไหล่มันออกอย่างนุ่มนวลก่อนจะขยับตัวมานอนหงาย รู้สึกเหน็บกินขาไปหนึ่งข้าง
“กูพอจะห้ามมึงได้ไหม” มันพึมพำ
“ขอเวลาสองปี” ผมบอก ผมอยากเรียนต่อ เหมือนมีไฟอยู่ในตัวตามประสาคนรุ่นใหม่ ผมยังคงมีไอเดียอยู่ตลอดจนไม่สามารถปล่อยไว้เฉยๆ ที่อินเดียมีรุ่นพี่ผมหลายคนไปเรียนและประสบความสำเร็จในแบบของตัวเอง ‘การชนะตัวเอง’ ดูเป็นเรื่องที่ท้าทายผมอยู่
“หลังจากนั้นล่ะ?” ไอ้ยิมถาม
“กูยอมมึงทุกอย่างเลย เอ้า” ผมพูด ไม่ใช่แค่พูดไม่คิด ผมยอมมันจริงๆ ถ้ามันอยากให้ผมทำอะไรก็ตาม คนข้างกายผมขยับตัวเมื่อเห็นว่ามันเงยหน้ามองผมก่อนจะล้มตัวลงไปนอนต่อ
“จริงเหรอ แล้วระหว่างสองปีนั้นล่ะ” มันกล่าวเรื่อยๆ เหมือนรอคอยให้ผมต่อให้จบ
“มาหากูสิ” ผมบอกสั้นๆ
“ตกลงมึงเป็นแฟนกูนะ” มันตอบไม่ตรงคำถาม อันที่จริงมันไม่เพิกเฉยต่อคำพูดของผมก่อนหน้านั้นที่ขอคบกับมัน
“กูพูดเหรอ” ผมหันหน้าไปมองมัน จงใจแกล้งมันเล่นเพื่อความสนุกส่วนตัว
“มึงบอกว่าคบกันนี่” เสียงของมันดูเป็นกังวล
“...อืม โอเค เราเป็นแฟนกัน” ผมยิ้มขยับตัวไปหาไอ้ยิม
“สั้นๆ แบบนี้เลยเหรอ” มันถามเหมือนแปลกใจ
“แล้วจะให้พูดยังไงเหรอ” ผมรู้สึกจนมุมกับเรื่องแบบนี้ การพูดหวานๆ อย่างไม่รู้สึกเก้อเขิน 
“พูดดีๆ สิ” มันทำเสียงเข้ม
“เราเป็นแฟนกันนะ...” ผมทำเสียงอ่อนลง ตั้งใจพูดกับไอ้ยิมแม้ว่าจะมืดก็เถอะแต่ผมเห็นเงาร่างของมันชัดเจน
“มึงพูดประโยคเดิม” ไม่รู้ว่ามันคิดแบบนี้จริงๆ หรือแค่ตั้งใจทำมึนเพื่อกวนประสาทผมเท่านั้น แต่มันได้ผลนะเพราะผมเล่นตามมัน
“เอ้า ไอ้นี่ กวนตีนเรอะ” ผมลุกขึ้นนั่งหมดอารมณ์โรแมนติก ไอ้ยิมฉวยแขนผมให้ลงมานอนเหมือนเดิม ผมไม่ขืนตัวเอนตัวลงตามแรงดึงของมัน
“เปล่า มึงนี่มันกระดาษทรายเบอร์ 60 ชัดๆ” ไอ้ยิมถอนหายใจเฮือกใหญ่ นี่มันด่าผมเหรอ กระดาษทรายเบอร์ 60 นี่คือหยาบสุดเลยนะเว้ย
“งั้นมึงล่ะ เบอร์ละเอียดว่างั้น” ผมว่าไอ้ยิมมันละเอียดอ่อน พอๆ กับกระดาษทรายเบอร์ 600
“เกี่ยวอะไรวะ” มันทำเสียงยียวนอย่างไม่เดือดเนื้อร้อนใจอะไร
“ราตรีสวัสดิ์” ผมเลยนอนหันหลังให้มัน ในใจเดือดปุดกับความต่อปากต่อคำของไอ้ยิม พอเปิดโอกาสก็ทำเป็นได้ใจ 
“หึหึ ไอ้ผิง หันมานี่” ไอ้ยิมเรียก ฝ่ามือหนาอุ่นของมันเอื้อมมาจับแขนผมไว้ก่อนจะออกแรงดึงเบาๆ
“อะไร” ผมพึมพำแต่ก็ยอมหันไปหามันจะได้จบๆ เรื่องไป ให้ผมเดาว่าตอนนี้มันกำลังยิ้มแก้มปริ
ขณะนั้นผมชะล่าใจไปมาก ไม่ทันรู้ตัวว่าอีกฝ่ายขยับมาใกล้แค่ไหน ไอ้ยิมทำตัวโฉดๆ แบบที่ผมบอก มันยื่นหน้ามาใกล้จนลมหายใจรดแก้ม ผมชะงักเหมือนโดนอะไรตรึงร่างไว้ 
“First kiss” มันพูดกระซิบไม่ให้ผมได้ทำใจนานนัก เจ้าตัวโน้มหน้าลงมาประกบจูบเบาๆ ไม่ได้ละลาบละล้วง เหมือนเป็นจูบอันอบอุ่น ผมนิ่งอึ้งในสมองว่างเปล่า ยิมผละออกจากผมไปเงียบๆ มันไม่พูดอะไรแค่นอนนิ่งอย่างนั้น
“ไม่น่าชวนมึงมาบ้านเลย” ผมบ่นก่อนจะขยับไปนอนชิดติดขอบเตียงให้ห่างจากไอ้ยิม ได้ยินเสียงมันหัวเราะในความมืด เสียงหัวเราะมีชีวิตชีวา 
นั่นล่ะ ผมตัดสินใจถูกแล้ว 
“ฝันดีนะผิง” ไอ้ยิมกระซิบบอกผ่านความมืด ผมส่งเสียงตอบหลับตานอนอย่างสงบใจกว่าทุกคืนที่ผ่านมา ใช่ ผมหลับฝันดีแน่ รู้ตัวอีกทีผมกำลังยิ้มเหมือนคนบ้า
คำกล่าวที่ว่าหนีอะไรก็หนีได้แต่หนีความจริงไม่ได้ ไม่สิ เราหลีกหนีความจริงได้แต่เราหนีผลลัพธ์จากการหนีความจริงไม่ได้ ทุกอย่างมันมีเวลาของมัน บางทีชาติที่แล้วผมอาจเป็นลูกหนี้ไอ้ยิมมาก่อนก็เป็นได้ ถึงหนีมันไม่เคยพ้นเลย

(จบ)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-02-2018 15:52:42 โดย รินดาwดาริน »

ออฟไลน์ รินดาwดาริน

  • OnTop&N'Song
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +243/-2
-ดีน- 
   
‘จะทำยังไงดีวะ’

   ผมกำลังนอนคิดมากเรื่องของไอ้แกน ถ้าหากว่ามันสภาพรักกับผมขึ้นมาจะทำยังไง ขนาดเรื่องอพาร์ทเม้นท์มันยังจัดการเองเสร็จสรรพ ผมพลิกตัวไปมาบนเตียงอย่างนอนไม่หลับ ระหว่างนั้นผมเอื้อมไปหยิบกุญแจห้องของไอ้แกนที่วางอยู่บนโต๊ะลิ้นชักข้างเตียง เฮ้อ... ไม่เคยรู้สึกหนักใจแบบนี้มาก่อน

   รุ่งเช้าผมตื่นมาแบบไม่สดชื่นนัก ผมแต่งตัวเตรียมไปทำงานเหมือนอย่างที่เคย ระหว่างทางที่ไปทำงานผมไม่เจอไอ้แกน ก็ดี ผมคิดในใจ ก่อนจะเดินไปซื้อน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋ไว้เป็นอาหารเช้า ผมยังคงใช้รถมอเตอร์ไซด์ไปทำงาน ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงบริษัท

   พอมาถึงออฟฟิศ ผมเข้ามาที่สตูฯ ทักทายคนในห้องอย่างคุ้นเคย ตอนนี้ทางทีมของผมกำลังทำโปรเจ็คของคอนโดในใจกลางเมือง นับวันคอนโดก็ผุดขึ้นราวกับดอกเห็ด ผมนั่งลงที่โต๊ะเพื่อเริ่มงาน ปกติตอนเรียนส่วนใหญ่ก็เน้นงานที่ไม่ได้ใช้คอมฯเท่าไหร่ แต่ก็ยังดีที่เคยลงเรียนคอมฯออกแบบ ส่วนมากงานที่ได้รับมอบหมายจะเป็นพวกงานศิลป์ภาพวอลเปเปอร์ ศิลปะสื่อผสม ไอ้พวกออกแบบจัดวางเป็นหน้าที่ของอินทีเรีย กว่าจะได้งานออกมาก็ต้องประชุมแล้วประชุมอีก

“เออ ดีน แบบที่มึงส่งมากูชอบทั้งอันที่สองที่สุดล่ะ มึงลุยงานนั้นเลย”พี่สรหัวหน้าทีมเดินมาที่โต๊ะบอกผม เจ้าตัวจบสายสถาปัตย์มา เก่งมาก งานขายต้องยกให้พี่เขาเลย พี่สรลักษณะเหมือนเด็กสายอาร์ตตามปกติ ดูมีชาติตระกูล ใช้ของมียี่ห้อ หน้าตาตี๋ๆ

“ได้เลยครับ แล้วพี่เสนองานของเฮียพัฒน์ผ่านไหมครับ”ผมค่อนข้างสนิทกับพี่สรพอตัว เพราะความคิด ไลฟ์สไตล์ใกล้เคียงกันเลยคุยกันไม่ยาก แถมยังไม่มาวางอีโก้ใส่ผม อย่างที่เขาว่าต่อให้งานจะแย่แค่ไหนแค่มีหัวหน้าดีๆก็วินแล้ว โชคดีที่เพื่อนร่วมงานของผม ค่อนข้างดี ไม่ค่อยมาชิงดีชิงเด่นอะไร

“อ้อ สบายมาก เสนอไปล้านแปดไอเดียแม่งมาถูกใจกับไอ้แค่แบบง่ายๆ เปลืองน้ำลายสุดๆ”พี่สรส่ายหน้าก่อนจะหัวเราะ พร้อมกับเหล่ตามามองงานในจอคอมฯของผมอย่างสนใจ

“มึงนี่ก็พัฒนาขึ้นเยอะนึกว่าจะเอ๋อไปสักสองสามเดือน ฮ่ะๆ”พี่แกพูดติดตลก

“ได้พี่ๆช่วยนั่นแหละครับ ดีที่ไม่โหดใส่ผมไม่งั้นตายแน่”ผมพูด ซึ่งก็จริงนั่นแหละครับถ้าโหดจริงๆผมคงไม่ผ่านช่วงทดลองงานแน่ๆ พี่สรมาแก้งานผมอยู่หลายนาทีก่อนจะเดินไปทำงานที่โต๊ะประจำของตัวเอง

ตลอดทั้งวัน ทีมของผมก็ทำงานกันจนเสร็จ มาประชุมกันรอบสุดท้ายเพื่อที่พี่สรจะไปเสนองานกับบอสอีกทีหนึ่งก่อนที่จะไปขายงานให้ลูกค้า วันนี้ก็เป็นอีกวันที่เลิกดึก 2 ทุ่มแล้วผมเก็บของใส่กระเป๋า พวกพี่สรพาไปเลี้ยงข้าวมื้อดึกฉลองที่เคลียร์โปรเจ็คเสร็จแล้ว แน่นอนว่าไม่พ้นร้านอาหารกึ่งร้านเหล้า

ไอ้แกนมันไลน์มาหาผม

-เลิกงานดึกอีกแล้ว กูซื้อโจ๊กไว้ให้ถุงนึงแขวนไว้หน้าห้องนั่นแหละ
-สัปดาห์นี้กูไปสัมมนากับบริษัท ไม่อยู่สักพักนะ ฝากให้อาหารปลา แล้วก็อย่าลืมเปลี่ยนน้ำให้ปลากัดนะเว้ย ถ้างงก็โทรหานะ

ผมมองข้อความอย่างจนใจ มันเผด็จการอีกแล้ว

“เฮ้ย ดีน กินเยอะๆนะ เห็นมึงเงียบๆ มีใครดูแลยังวะ”อยู่พี่สรแกก็เอ่ยขึ้นมาแบบนี้ พี่ๆบนโต๊ะก็ขำกันเหมือนเห็นเป็นโจ้กสนุกๆ ผมแค่ยิ้ม

“ขอบคุณครับพี่”ผมรับแก้วเหล้ามาจากพี่สรที่นั่งอยู่ข้างๆ ก่อนจะรับถ้วยยำทะเลมาจากพี่ๆที่คอยเติมอาหารให้ ผมยังไม่อยากเมาเท่าไหร่

“เฮ้ยนี่ถามจริงๆนะ”พี่สรเอนมากระซิบ ผมหัวเราะ

“มีแต่ภาระแหละพี่”ผมนึกถึงไอ้แกน พี่สรทำหน้าย่น

“แหนะ ข้ออ้างล่ะสิ มึงก็ดูเหงาๆนะ”พี่สรแกพูดให้ผมได้ยินคนเดียว ผมเหลือบมองอีกฝ่ายที่เริ่มกรึ่มๆเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์

“ไม่หรอกพี่”ผมไม่อยากหาเรื่องให้ตัวเอง พี่สรแกชอบทำตัวเป็นป๋าเอ่ยปากเลี้ยงเด็กคนนั้นคนนี้ บางทีก็พูดจริง บางครั้งก็แค่แซวสนุกปาก ผมไม่ชอบเป็นหัวข้อเมาท์ของพี่ๆในที่ทำงานหรอก

“ฮึ จะแซะมึงนี่ยากนะ”พี่สรหัวเราะอย่างไม่ใส่ใจ ผมเลยค่อยหายใจคล่องหน่อย เข้าใจว่าพี่เขาคงแกล้งไปแบบนั้น ผมไม่ได้ตอบกลับไอ้แกน ส่วนมากมันก็เป็นฝ่ายพล่ามอยู่แล้ว

หลังจากที่ดื่มกันพอประมาณ พี่ๆเป็นฝ่ายเลี้ยงผมก็ปฏิเสธไม่ได้ เลยแยกย้ายกันกลับ พี่สรก็ไม่ได้มาวุ่นวายอะไรกับผมแล้ว ผมกลับมาที่อพาร์ทเม้นท์ เห็นถุงโจ๊กแขวนไว้ตรงลูกบิด ผมจับดูยังอุ่นๆอยู่ แต่ก็คงนานแล้วล่ะ นี่ก็เพิ่ง5ทุ่มนิดๆเท่านั้นเอง ผมลองไปเคาะประตูห้องไอ้แกน แต่ไม่มีเสียงตอบกลับอะไรมา

สงสัยว่ามันไปสัมมนาแล้วหรือเปล่า
-ไม่อยู่ห้องเหรอ
-อือ ออกเดินทางกับรถของบ. ทำไมเหรอมึงไปหากู?
-เปล่า เห็นห้องเงียบๆ
-อือ อย่าลืมนะ ไม่เข้าใจโทรหาได้

ผมอ่านข้อความของไอ้แกนแล้วเดินกลับเข้าไปในห้องของตัวเอง เอาโจ๊กไปอุ่นให้ร้อน ก่อนจะเดินไปดูปลาของไอ้แกนซะหน่อยไม่รู้ว่ามันให้อาหารทิ้งไว้หรือเปล่า ผมไขกุญแจเข้าไปในห้องของมัน ก่อนจะเปิดไฟ ภายในห้องเงียบกริบ ผมเดินไปดูที่ตู้ปลา เห็นว่าพวกมันสบายดี มีร่องรอยการให้อาหารไว้ ทั้งสามตู้ ผมก้มไปดูปลากัด มันเหมือนนอนมากกว่า ผมเห็นกระดาษที่แปะไว้ข้างๆตู้

-ถ้าเปลี่ยนน้ำให้ปลากัดแล้ว อย่าลืมเอาไรแดงในห้องน้ำให้มันกินด้วยนะ

ผมไม่เข้าใจเท่าไหร่ เลยเดินไปดูในห้องน้ำ เห็นว่ามีถังน้ำขุ่นๆที่เหมือนมีตัวอะไรเล็กๆเหมือนฝุ่นลอยเต็ม ไรแดงสินะ ผมถอนหายใจ เลี้ยงปลาพวกนี้ก็ลำบาก ไม่รู้มันจะหางานให้ตัวเองทำไม

ผมเดินกลับมาที่ห้องของตัวเอง รู้เหนื่อยล้าขึ้นมา ผมอาบน้ำก่อนจะจัดการกับโจ๊กนั่นจนหมด มาคิดดูอีกที เหมือนไอ้แกนมาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผมไปแล้วจริงๆ

เฮ้อ เวลาแบบนี้มีพี่กัสอยู่ด้วยก็น่าจะดี ‘ก็ดีแล้วนี่ จะได้ไม่เหงา’ พี่กัสต้องตอบผมมาแบบนี้แน่ๆ พอนึกแบบนี้ได้ผมก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ นานแล้วที่ไม่ได้ยินเสียงพี่กัส เจ้าตัวใจแข็งจริงๆไม่ยอมบอกอะไร แค่บอกว่าอยู่เมืองเบงเกวตแค่นั้น

ผมไม่สามารถติดต่อพี่กัสได้ มีแค่อีเมล์เท่านั้นแหละ เวลาที่ฟิลิปปินส์น่าจะเร็วกว่าไทยหนึ่งชั่วโมง ผมส่งอีเมล์ไปหาพี่กัส ‘ตอนนี้พี่ทำอะไรอยู่ พี่ตองก็ไม่ยอมบอกอะไรแค่บอกว่าพี่สบายดี น่าจะติดต่อหาผมบ้างนะ...’ผมเขียนข้อความไปไม่ยาวมาก ส่วนใหญ่ก็เล่าเรื่องของตัวเองให้อีกฝ่ายได้อ่าน ไม่รู้จะเปิดอ่านหรือเปล่า ผมกดส่งเมล์ไปจนได้ ตอนนี้ก็เกือบเที่ยงคืนแล้ว พี่กัสคงหลับ นั่นสิ ต้องเลี้ยงลูกคงเหนื่อย

ผมนอนไม่หลับ

-กลับถึงห้องหรือยัง?
ไอ้แกนส่งไลน์มาหา ผมมองข้อความนั้นก่อนจะถอนหายใจ

-อืม กำลังนอน
ผมพิมพ์ตอบกลับไป ก่อนจะหลับตาลง เสียงเตือนข้อความดังขึ้นอีก

-ฝันดีนะ
ผมจ้องข้อความนั้นอย่างใจลอย ไม่เข้าใจว่าทำไมคนอย่างมันถึงต้องมาอดทนกับผมมากขนาดนี้ จะตอบว่าชอบก็เกินไปหน่อย ‘แย่ล่ะ คิดเรื่องของมันอีกแล้ว’

พอกันที ผมจะเลิกคิดเรื่องของไอ้แกนดีกว่า

...


หนึ่งสัปดาห์ที่ไอ้แกนไปสัมมนากับบริษัท ผมรู้สึกทรมานอย่างบอกไม่ถูก เพราะต้องมาดูแลปลากัดของมันน่ะสิ ไอ้ปลาหางนกยูกน่ะเลี้ยงง่าย แค่ให้อาหาร แต่ปลากัดต้องดูแลมันหน่อย เปลี่ยนน้ำ เปลี่ยนต้นไม้เพราะไม่งั้นมันจะเน่า

จนกระทั่งครบหนึ่งอาทิตย์ที่ไอ้แกนหายหัวไป ผมกลับมาอยู่ที่ห้อง เพราะมันบอกจะกลับมาวันอาทิตย์

ผมเลยใช้เวลาช่วงเช้าลองทำเครปเค้กชาเขียวดู เปิดขั้นตอนในเน็ตเอาเพราะผมเองก็อยากกิน ระหว่างที่เตรียมส่วนผสม โทรศัพท์ก็สั่นเพราะมีสายเข้า ผมหยิบออกมาดู แล้วก็ต้องแปลกใจปนตื่นเต้นเพราะเป็นเบอร์โทรจากต่างประเทศ มีคนอยู่คนเดียวนี่แหละ

“สวัสดีครับ ดีนพูด”ผมรับสาย ในใจขอให้เป็นพี่กัส

[หวัดดีเว้ย นี่พี่กัสเองนะ ดีใจล่ะสิ] ปลายสายเป็นเสียงของพี่กัสจริงๆด้วยล่ะ ผมวางของในมือลงก่อนจะเดินไปนั่งคุยแทน รู้สึกหลากหลายทั้งดีใจ โกรธ ปนกันไปหมด

“พี่นี่ใจร้ายจริงๆ เงียบหายไปนานมากๆ ถ้าผมไม่บ่น พี่ก็จะไม่ติดต่อมาเลยสินะ”

[โทษทีๆ อย่าโกรธกันน่า ฮ่ะๆ มึงโกรธพี่จริงเหรอดีน ]

“ก็นิดหน่อย ก็พี่หายไปเลยนี่”แล้วมาบอกผมว่าติดต่อมาได้ตลอด แต่เจ้าตัวก็หายไปเข้ากลีบเมฆ
   
[พอดียุ่งๆน่ะ พี่ยุ่งจริงๆนะ]

“ครับ เข้าใจนั่นแหละ แต่ก็น่าจะบอกกันหน่อย ผมไม่ไปรบกวนพี่แน่ๆ”
   
[น้อยใจเหรอ ขอโทษเว้ย พอดีช่วงนี้กูกำลังเรียน BFA (Fine Art) ที่เกซอนซิตี้อยู่น่ะ] ผมฟังแล้วก็ดีใจกับอีกฝ่ายที่กลับไปเรียน แถมยังเรียนอินเตอร์อีกต่างหาก

“จริงเหรอ ก็ดีเลยสิพี่”

[อืม จะว่าดีก็ดี แต่เหนื่อยมาก เพราะมันอยู่คนละเมืองกัน ก็เลยลำบากกันนิดนึง แล้วมึงโอเคนะเว้ย] เหมือนพี่กัสไม่อยากพูดเรื่องตัวเองเท่าไหร่ เลยเบนมาที่ผมแทน

“ก็สบายดีแหละพี่ ทำงานก็เหนื่อยเป็นธรรมดา”
   
[เออ มีเรื่องอะไรก็เขียนมาเล่าให้รู้บ้างนะ กูก็เปิดอ่านตลอดนั่นแหละ ถ้างั้นก็วางสายก่อนนะ...ไว้ว่างๆจะโทรหาใหม่ แต่ไม่ต้องรอนะเว้ย คงอีกนาน]

“โอเคครับ”คุยกันไม่นาน พี่กัสก็วางสายไป ในเมื่อเจ้าตัวได้เริ่มต้นใหม่ก็ถือเป็นเรื่องดี ผมเดินกลับมาทำเครปเค้กต่อ มันจะยากก็เวลาที่ทอดแผ่นเครปนั่นแหละ หน้าตาออกมาไม่น่ากินเท่าไหร่ ผมใช้เวลาอยู่นานกว่าจะออกมาเป็นรูปเป็นร่าง พอหันครึ่งซีกแล้วก็หน้าตาใช้ได้อยู่ ยังไม่ได้ลองชิมเลยด้วย


ก๊อก ก๊อก ก๊อก

ผมเดินไปเปิดประตู ก็เจอไอ้แกนยืนอยู่ ในมือมันถือของฝากจากเมืองเหนือ ผมมองหน้ามันนิ่งๆ

“ของฝากไง”มันยื่นให้ผมถือ แต่ตัวมันกลับเบียดเข้ามาด้านใน ผมชะงักเมื่อเห็นมันเดินเข้าไปอย่างถือวิสาสะ แต่ที่ตกใจกว่านั้นคือ รอยสักบริเวณท้ายทอยของมัน ผมเห็นไม่ชัดเท่าไหร่แต่ผมรู้สึกได้ถึงลางไม่ดี ผมปิดประตู ก่อนรีบเอาถุงของฝากทั้งอาหารแห้งและของที่ระลึกไปวางไว้ที่โต๊ะ

“มึงทำอะไร”ผมถามมันเสียงดัง ไอ้แกนแค่ไหวไหล่ ก่อนจะยืมกอดอกมองผมด้วยสายตานิ่งๆ

“ทำอะไรล่ะ”

“มึงสักเหรอ”

“เออ สักชื่อมึงไง”มันตอบอย่างชัดเจนทำให้ผมรู้สึกแปลกๆขึ้นมา ไอ้แกนเดินเข้ามาใกล้ผม

“เพื่ออะไรวะ”ผมอยากถามว่ามันต้องการอะไรต่างหาก ไอ้แกนแค่แค่นเสียงอยู่ในลำคอ มันเหลือบมองมาที่ผม จ้องมองอยู่นาน จนผมเริ่มอึดอัดเลยเสไปมองทางอื่นแทน

“มึงดูแลปลาของกูดีหรือเปล่า”มันเปลี่ยนเรื่อง

“ก็ทำตามที่มึงบอกนั่นแหละ”ผมตอบมันห้วนๆ

“...มึงสักชื่อกูได้ ไม่ถามกูสักคำ แล้วทำไมกูถึงจะสักชื่อมึงบ้างไม่ได้ล่ะ”ไอ้แกนวกกลับเข้าเรื่องตามเดิม คำตอบของมันทำให้ผมอึ้งไป มันคิดบ้าอะไรของมัน

“มันไม่เหมือนกัน มึงก็น่าจะเข้าใจ”

“อืม ก็เข้าใจ แต่กูต้องขออนุญาตมึงก่อนเหรอไง”มันถามอย่างท้าทาย ก่อนจะก้าวมาหาผม ผมผงะออกตามสัญชาติญาณ ไอ้แกนแค่หยักยิ้มออกมา

“มึงออกไปได้แล้ว”ผมไล่มันไปเพราะไม่อยากเห็นหน้ามันอีก

“อืม กูไปอยู่แล้ว แต่มึงเอานี่ไปใช้ด้วย”ไอ้แกนมันหยิบซองสีน้ำตาลที่ดูนูนๆเหมือนมีของอยู่ด้านใน ผมมองอย่างไม่วางใจ ผมไม่รับของจากมัน

“เอาไปเถอะน่า”มันหัวเราะเยาะ ผมรับมาถือสัมผัสน้ำหนักเหมือนมีหลอดครีมหรืออะไรสักอย่างอยู่ด้านใน ผมเหลือบไปมองมัน

“ลองเปิดดูก็ได้ จะได้ด่ากูตอนนี้เลยเป็นไง”ไอ้แกนทำท่ากวนประสาท มันกอดอกมองผมด้วยท่าทีสบายใจ ผมเม้มปากข่มอารมณ์หงุดหงิดไว้ก่อนจะแกะซองสีน้ำตาลออก พอเปิดออกมา เป็นหลอดครีม Extreme Tattoo Care ผมนิ่งงัน

“เพื่ออะไร”

“กูเพิ่งสังเกตุว่ารอยสักมึงมันเริ่มจาง กูไม่อยากให้มึงต้องไปย้ำสีอีก ตรงๆก็ไม่อยากให้ชื่อกูจางลงไปเรื่อยๆหรอกว่ะ”คำพูดของมันทำให้ผมรู้สึกแปลกประหลาด ไม่ได้ตกใจ แต่วิธีการที่มันแสดงออกทำให้ผมทึ่งอยู่เสมอ

“มึงต้องการอะไรจากกูกันแน่ มึงสนุกรึไงวะ”ผมมองหน้ามัน

“ไม่นี่ กูแค่เป็นห่วงมึงเท่านั้นเอง มาตอนนี้แล้วมึงยังตะขิดตะขวงใจอะไรอีก ทำไมมึงไม่ทำตัวเหมือนปกติ มันไม่ได้แย่ขนาดนั้นนี่หว่า”ไอ้แกนพูด แววตาดุดันคู่นั้นสะท้อนประกายความรู้สึกบางอย่าง โกรธผมที่ไม่เข้าใจตัวมันงั้นเหรอ

“มึงก็รู้ว่าเป็นไปไม่ได้หรอก”ผมพูด คงไม่มีทางที่ผมจะเป็นแบบนั้นกับมันได้แน่ๆ การเป็นเพื่อนมันง่ายกว่าเยอะ

“กูไม่ได้ขอซะหน่อย มึงอย่าคิดไปเองสิ กูพูดเหรอ”ไอ้แกนพูด ผมมองหน้ามัน ใช่ มันไม่เคยพูดออกมาอยู่แล้ว แต่มันหน้าด้านที่จะแสดงออกมาในทำนองนั้น

“เออ ช่างเถอะ มึงกลับไปได้แล้ว”ผมบอก ไม่อยากจะต่อล้อต่อเถียงด้วย

“กูสักชื่อมึงไว้ไม่ใช่เพราะกูอยากจดจำมึงหรอก... กูแค่อยากให้มึงเห็นก็เท่านั้นแหละ มึงรู้สึกยังไงบ้างล่ะ ที่เห็นชื่อตัวเองบนตัวคนอื่น”ไอ้แกนพูดอย่างไม่ลดละ ผมไม่รู้หรอกว่ามันกำลังพูดด้วยอารมณ์ไหน ที่มันพูดผมก็ไม่เคยเก็บเอามาคิดจริงๆจังๆในมุมของมันหรอก ว่ามันรู้สึกยังไงเวลาเห็นชื่อตัวเองบนตัวผมน่ะ...

“มึงเลิกกดดันกูได้ไหม”

“ช่างเถอะ กูก็คิดอยู่แล้วไม่มีทางได้คำตอบจากมึงแน่ๆ”มันพูด ก่อนจะเดินออกจากห้องของผมไป ผมถอนหายใจอย่างโล่งออก ก่อนจะมองครีมในมือ ความหมายก็ตรงตามชื่อนั่นแหละ ไว้สำหรับดูแลบำรุงเพื่อให้รอยสักสีสดและใหม่ ตั้งแต่ผมสักชื่อมัน ผมก็ไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่ เพราะผมไม่ได้ต้องการความสวยงามนี่ มาตอนนี้ก็จางลงกว่าเดิมแล้ว

ผมเก็บของในครัว รู้สึกไม่อยากอาหารอีกต่อไป

แล้วมันรู้สึกยังไงกันล่ะ? มันเองก็ไม่เคยบอกผมสักครั้ง

...
   

ตั้งแต่วันนั้น ไอ้แกนก็ไม่ได้มาวุ่นวายอะไรกับผมอีก ตอนเช้าแค่เจอกันหน้าอพาร์ทเม้นท์มันไม่ได้คุยกับผม มันโกรธงั้นสิ ผมนึกย้อนดูแล้วมีตรงไหนที่ผมไปทำให้มันโกรธ อีกอย่างก็ไม่ใช่กงการอะไรของผมด้วย ช่วงที่ผมอยู่ที่บริษัท พี่สรก็เหมือนคนละคนกับเวลาเหล้าเข้าปาก พี่แกก็สุภาพตามปกติ ผมไม่เก็บมาใส่ใจ บางวันทีมของผมก็ออกไปเก็บงานข้างนอก ก็เหมือนได้ออกไปเปิดหูเปิดตา
   
ดูเหมือนว่าไอ้แกนจะหายหน้าไปจากผม รู้สึกเหตุการณ์แบบนี้เคยเกิดขึ้นไปแล้วนั่นก็คือช่วงที่ฝึกสหกิจตอนปี4 มันก็หายไปสักพัก พอกลับมาก็มาวุ่นวายกับผมต่อ ผมเดาอารมณ์มันไม่ถูกหรอก
   
“ดีนๆ ลองไปดูไอ้แกนหน่อยสิ มันดีขึ้นหรือยัง”ลุงเปาเจ้าของร้านน้ำเต้าหู้หน้าปากซอยอพาร์ทเม้นท์พูดขึ้นมา เมื่อผมออกมาซื้อน้ำเต้าหู้ทรงเครื่องกับขนมปังสังขยา

“ทำไมหรอครับ”ผมแปลกใจ

“ก็เมื่อสองสามวันก่อน ไอ้แกมมันดูหงอยเป็นหมาป่วยเลย มันมาซื้อน้ำเต้าหู้ ท่าทางคงป่วยมั้ง”

“มันป่วยเหรอครับลุง”ผมถามงงๆ ไม่คิดว่ามันจะป่วยจริงๆ

“คงอย่างนั้นแหละ สีหน้าไม่ดีเท่าไหร่ แกก็อยู่ชั้นเดียวกับมัน ลองไปดูมันหน่อยสิ ไม่ใช่ว่านอนขึ้นอืดอยู่ในห้องนะ ฮ่ะๆ”ลุงเปาพูดติดตลก ผมจ่ายเงินเสร็จแล้วก็กลับเข้าอพาร์ทเม้นท์ ผมรู้สึกไม่ดีเท่าไหร่ เลยลองไลน์ไปหามันดู

-ไม่สบายหรือไง

มันไม่อ่าน จนผ่านไป10 นาทีก็ยังไม่อ่าน ผมเองก็ยังไม่ได้ไปเคาะห้องมันดูเผื่อว่ามันจะป่วยขึ้นมาจริงๆ ผมหยิบกุญแจห้องของมันพร้อมกับน้ำเต้าหู้ไปด้วย ผมเคาะประตูสองสามครั้งก่อนจะไขกุญแจเข้าไปด้านในห้อง พอเปิดประตูเข้ามา ภายในห้องมืดเพราะยังไม่ได้เปิดไฟบวกกับเป็นเวลาพลบค่ำตะวันตกดินแล้ว

“ไอ้แกน”ผมลองเรียกดู มันอยู่ห้องแน่เหรอ ทำไมเงียบ ผมเดินเข้าไปที่ห้องนอนของมัน บนเตียงปรากฏรอยยับย่นมีร่องรอยการนอนของเจ้าของเตียง ผมเดินไปเปิดไฟ ในห้องสว่างวาบ เดินไปดูที่ห้องครัว ห้องน้ำก็ไม่มี ผมกะว่าจะโทรหาก็เหลือบไปเห็นโทรศัพท์ของมันวางอยู่บนโต๊ะ

‘คงไม่อยู่ห้อง’ผมคิดแบบนั้น ตั้งใจจะกลับ แต่สายตาดันไปสะดุดกับกลุ่มควันบางเบาที่ด้านนอกระเบียง เพราะเป็นกระจกสีดำ ตอนแรกจึงไม่เห็นว่ามีคนนั่งอยู่ตรงนั้น ผมถอนหายใจแรง ไอ้แกนนั่นเอง มันนั่นสูบบุหรี่อยู่ด้านนอก

ผมเลื่อนประตูกระจกออก ก่อนจะก้าวออกมานอกระเบียง ไอ้แกนนั่งอยู่บนพื้น ข้างๆกายมันมีกระป๋องเบียร์4-5กระป๋อง สภาพก็เหมือนคนเพิ่งตื่นนอน กางเกงขาสั้นกับเสื้อกล้ามสีดำ

“กูนึกว่ามึงตายหรือป่วยซะอีก”ผมพูด

“แล้วมึงแคร์ด้วยหรือไง”มันย้อนผมกลับมา เพิ่งเห็นว่ามันเหมือนคนไม่ได้อาบน้ำมากกว่าเพราะมันไม่ได้โกนหนวดเลยด้วยซ้ำ

“อย่ามาเล่นลิ้น กูนึกว่ามึงป่วยเลยซื้อน้ำเต้าหู้มาให้ มึงแดกอะไรหรือยัง”ผมถาม แต่ไม่ได้รับคำตอบกลับมา ทำให้อารมณ์พุ่งปรี๊ด

“มึงได้ยินหรือเปล่า...เรื่องของมึงเถอะ กูกลับล่ะ”ผมบอกทิ้งท้ายก่อนจะจับประตูเลื่อนออก

“ดีน...”มันเรียกชื่อผม ไม่เคยชินที่ไอ้แกนเรียกแบบนี้สักครั้ง

“มีอะไร”ผมหันกลับมามองมัน ไอ้แกนดับบุหรี่ขยี้มันลงกับพื้นห้องจนมอดดับไป มันเงยหน้ามองผมนิ่งๆ

“ที่จริงกูก็เหมือนคนป่วยนั่นแหละ”มันพูด

“งั้นก็ลุกไปอาบน้ำกินยาสิวะ”

“ทำไมวะ มึงเป็นห่วงกูจริงๆเหรอวะ หรือแค่ได้ยินลุงเปาพูดถึง”มันพูดเหมือนรู้ดี

“แล้วไง”

“ตอบมาสิ”

“กูก็นึกว่ามึงจะตายซะก่อน เห็นหายหน้าหายตาไปหลายวัน ตกลงมึงแค่อยากประชดชีวิตใช่ไหมวะ”อยู่ผมก็เหมือนเห็นภาพตัวเองซ้อนทับ ช่วงที่ผมเมานั่นแหละ อนาถพอกัน

“งั้นเหรอวะ”

“มึงไปอาบน้ำดีกว่า งั้น—เดี๋ยวกูไปซื้ออะไรให้มึงกินเอง”ผมลองทำใจดีดูบ้าง เผื่อมันจะลุกจากสภาพเน่าๆนี่เสียที

“เหลือเชื่อแฮะ ไอ้ดีนจะเป็นห่วงกู”

“เออ กูเป็นห่วง ถ้าเกิดมึงตายกูคงรู้สึกผิด”ผมบอกมัน ไอ้แกนแค่เงียบไป ผมเดินกลับเข้าไปด้านในห้อง ก่อนจะเดินออกจากห้องของมันด้วยอารมณ์ขุ่นมัว มันเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ

เมื่อบอกว่าจะซื้อข้าวให้มันกิน ผมจำต้องไปซื้อข้าวต้มทรงเครื่องจากร้านข้างๆอพาร์ทเม้นท์มาสองถุง เผื่อว่าตัวผมอาจจะหิวขึ้นมากลางดึก และแวะซื้อยาพารามาหนึ่งแผง ไม่รู้ว่ามันป่วยจริงหรือป่วยปลอม ผมกลับมาที่ห้องของไอ้แกน ได้ยินเสียงอาบน้ำมาจากห้องน้ำ ผมถอนหายใจ ก่อนจะจัดการเทข้าวต้มใส่ถ้วยให้มัน เพิ่งนึกขึ้นได้ ผมเดินไปดูที่ตู้ปลากัด เห็นว่ายังอยู่ดี เลยหย่อนอาหารปลาไปให้พวกมัน ขนาดท่าทางเหมือนคนไร้วิณญาณมันก็ยังอุตส่าห์ดูแลปลาพวกนี้อยู่

ไอ้แกนอาบน้ำเสร็จ มันมองผมแวบเดียวก่อนจะเดินไปแต่งตัว ผมกำลังคิดอยู่ว่าจะกลับห้องตัวเองดีไหม ในเมื่อมันก็กลับเข้าสู่โหมดปกติแล้ว

“อยู่ด้วยกันสิ มึงซื้อมาสองถุงไม่ใช่เหรอ ก็กินมันด้วยกันนั่นแหละ”มันบอก ผมนิ่ง กำลังประมวลผล แต่ไอ้แกนถอนหายใจเฮือกใหญ่ ผมเลยเซ็งๆตาม คงไม่เสียหายอะไร ผมเดินไปหยิบถ้วยมาแกะถุงข้าวต้ม สายตาดันไปเห็นไอ้แกนกำลังสวมเสื้อยืด ผมเห็นรอยสักตัวอักษร DEEN ที่ท้ายทอยเริ่มชัดเจนขึ้นเยอะ มันหยิบครีมมาทาบริเวณรอยสัก ปกติเวลาสักใหม่ก็ต้องบำรุงอยู่แล้ว เพราะมันจะตึงและแห้ง ลดอาการคันได้มาก
   
ไอ้แกนเดินมาหาผมที่โต๊ะกินข้าว ผมเงียบ ทำเป็นไม่สนใจมัน

“ขนาดรอยสักมึงกูยังดูแลดี”มันพึมพำ ผมมองหน้ามันนิ่งๆ

“หายบ้าแล้วเหรอวะ”

“หึ เลิกพูดเถอะ”มันไม่เถียง แค่ก้มหน้าก้มตากินข้าวต้ม ผมไม่ค่อยอยากอาหารเท่าไหร่

“ตกลงมึงป่วยหรือเปล่า”

“ป่วย...แต่หายแล้ว”

“จริงเหรอ”

“เออ หึ ถ้ากูรอมึงจริงๆก็คงได้เน่าคาห้องไปแล้วนั่นแหละ”มันพูดอย่างไม่ใส่ใจ

ผมรีบจัดการข้าวต้มจนหมด เห็นไอ้แกนหยิบยาในลิ้นชักออกมากิน มันป่วยจริงๆนั่นแหละ ยังจะมาทำปากแข็ง ผมมองเวลาตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว 4 ทุ่มนิดๆ

“งั้นกูกลับล่ะนะ หัดดูแลตัวเองบ้าง”มัวแต่ดูแลปลาอยู่ได้ ผมมองไอ้แกนค่อยล้มตัวนอนบนเตียง มันมองหน้าผม ก่อนจะเรียกให้เข้าไปหา ผมลังเล

“มาเถอะน่า ไม่ทำอะไรหรอก”มันบอก ผมเลยเดินไปหาไอ้แกนที่นอนอยู่บนเตียง

“อืม ว่ามาสิ”ผมรอให้มันพูด

“มึงจะใจดีกับกูบ้างไม่ได้หรอดีน”

“นี่กูก็ใจดีแล้วไง”

“มึงยังชอบพี่กัสอะไรนั่นอยู่เหรอ”อยู่ๆไอ้แกนก็พูดถึงพี่กัสขึ้นมา ผมมองมันแล้วส่ายหน้า กับพี่กัส ผมแค่หวังให้เจ้าตัวมีความสุขก็เท่านั้น ผมยังเคารพพี่แกเสมอไม่เปลี่ยน

“เปล่า ไม่ได้ชอบ ก็แค่เป็นพี่”ผมบอกมัน ไอ้แกนเงียบไป

“งั้นเหรอ...แต่คนๆนี้มีอิทธิพลต่อมึงมากนะ รู้ตัวหรือเปล่า”

“อืม แต่ตอนนี้ไม่แล้วนี่ พี่แกก็ไปอยู่กับครอบครัวแล้ว”ผมบอกมัน เพื่ออะไรก็ไม่เข้าใจ ไอ้แกนกัดปากเหมือนคิดอะไรอยู่

“กูจะพูดเป็นครั้งสุดท้ายนะดีน...”ผมไม่คิดว่ามันจะทำแบบนี้ มันคว้าแขนผมให้นั่งลงบนเตียง แถมยังไม่ปล่อยมืออีกด้วย ผมจ้องมันเขม็ง รับรู้ถึงแรงที่กำรอบข้อมือของผม มือของมันหยาบตามปกติของผู้ชายที่ทำงานหนัก

“ว่ามาสิ”

“ให้กูอยู่ข้างๆมึงไม่ได้เหรอวะ...”

ผมนิ่งงัน ไม่ได้ตกใจ เพราะผมคิดว่าสักวันมันต้องทำตัวบ้าๆแบบนี้ แต่ผมไม่เข้าใจว่ามันกำลังเรียกร้องอะไร ในเมื่อครั้งสุดท้ายมันเคยพูด “กูไม่ได้ขอซะหน่อย มึงอย่าคิดไปเองสิ กูพูดเหรอ” ตอนนี้มันพูดสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจออกมาแล้ว

“เพื่ออะไร”ผมถาม เหมือนทุกครั้ง ว่าเพื่ออะไร?

“เพื่อตัวกูเองแหละ มึงก็รู้ว่ากูมันคนเห็นแก่ตัวไม่ใช่เหรอวะ กูหน้าด้านใช่ไหมล่ะ”

“เออ”

“มึงไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น กูแค่—ให้กูได้อยู่ข้างๆมึงแบบนี้ไง มึงไม่ต้องเปลี่ยนอะไรหรอก”ไอ้แกนพูด สีหน้าดูสับสน ผมยังเคยคิดว่ามันกำลังสับสนมากกว่า เพราะหลายปีที่ผ่านมามันคอยตามผม ที่จริงผมกับมันก็เป็นแค่เพื่อนธรรมดาๆเท่านั้น

“มึงแน่ใจแล้วเหรอว่าคิดแบบนี้จริงๆน่ะ”

“กูไม่ได้โง่นะเว้ย แล้วก็ไม่ใช่เด็กๆที่แยกไม่ออกว่ากูรู้สึกยังไงกันแน่”มันยังคงดึงดัน

“...มึงรู้สึกยังไงเหรอ ที่เห็นกูสักชื่อมึงน่ะ”ผมถาม เพราะยังไม่เคยได้คำตอบเผื่อว่าอะไรๆจะดีขึ้น ผมเองก็ไม่รู้หรอกว่ามันจะไปในทิศทางไหน ผมไม่เคยคิดว่าไอ้แกนกับผมจะเป็นแบบไหน จะเดินหน้าไปยังไง ผมแค่เห็นว่ามันเป็นตัวอันตราย ก็แค่นั้น

ไอ้แกนดูแปลกใจที่ผมถามแบบนี้ แน่ล่ะสิ

“...ก็...บอกไม่ถูกหรอก ลึกๆแล้วก็ควรจะรู้สึกไม่ใช่เหรอ ก็คงแปลกๆมั้ง มึงเกลียดกู แต่สักชื่อกูไว้ หึ กูควรรู้สึกยังไงเหรอ...”

“...”ผมเงียบ ปล่อยให้มันพูดไป

“กูเสียใจมากกว่า ที่มึงเกลียดกูขนาดนั้น ถึงกับสักชื่อกูไว้”มันพึมพำ เบนหน้าไปทางอื่นแทน มือที่จับแขนผมไว้คลายออก ผมนั่งนิ่ง มันก็ถูก

“อือ ก็เคยเกลียด”

ไอ้แกนหันกลับมามองผมอีกครั้ง ถ้าตาไม่ฝาดเหมือนว่ามันจะ...นั่นน้ำตาหรือเหงื่อกันล่ะ

“ทำไมมึงใจร้ายจังวะ”อยู่ๆมันก็พูดขึ้นมา อาจจะหมายถึงผมพูดไม่ดีกับมันสินะ ผมไม่ได้เกลียดมันเท่าเมื่อก่อน ก็แค่เฉยๆ มันคงต้องใช้เวลาอีกสักพัก

“กูว่ากูใจดีกับมึงแล้วนะ”ผมบอก ถ้าเกลียด ผมไม่มีทางมานั่งกับมันแบบนี้แน่นอน

“ขอบคุณ”

“อือ”

“กูพูดจริงๆนะ”มันบอก ผมพยักหน้า “เออ กูเข้าใจ”

“เรื่องที่ขออยู่ข้างๆมึง”ไอ้แกนจ้องผม

“อืม”

“มึงรู้สึกยังไงล่ะ”มันถามเสียงห้วนในแบบของมัน

“ไม่รู้...กูควรรู้สึกยังไงดีล่ะ”ผมพูด

“กูถึงได้บอกว่ามึงใจร้าย ไอ้ดีน”

“กูกลับห้องดีกว่า มึงเริ่มเพ้อแล้ว”ผมลุกขึ้นยืน มองไอ้แกนที่นอนนิ่ง สายตาจับจ้องมาที่ผม ‘เมื่อไหร่จะเลิกจ้องซะที’ผมคิดในใจ ถ้าเป็นปลากัดคงออกลูกเป็นพรวนแล้วล่ะมั้ง ชักเพี้ยนล่ะ ปลากัดตัวผู้ก็ต้องกัดกันสิวะ

“ตอนเช้าให้กูไปส่งนะ”มันบอก

“เอาตัวเองให้รอดก่อนเหอะว่ะ”

“เออ กูหายแน่ รับปากมาสิ”มันสั่งสินะ ให้ตาย มันกำลังขอให้ผมไปกับมันแต่ดูรูปประโยคสิ

“อือ กูไปได้หรือยัง”ผมหันหลังเดินออกจากห้องของมันน่าจะดีที่สุด

“ขอบใจนะเว้ย ดีน”ไอ้แกนตะโกนไล่หลัง

ผมปิดประตูห้องไอ้แกนลง ก่อนจะผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก ‘เฮ้อ อึดอัดเป็นบ้า’ ผมทุบที่หน้าอกสองสามที พอคิดไปคิดมา ลุงเปาร้านน้ำเต้าหู้ต้องโดนไอ้แกนติดสินบนแน่ๆ ไอ้แกนมันก็ไม่ได้ป่วยมากมายอะไร แค่ทำสำออยเพื่อให้ผมเข้าไปหานั่นแหละ

อืม...แต่มันอยู่ที่ผลลัพธ์มากกว่า ในเมื่อรู้อยู่แล้วก็ยังไปหา

“น่ากลัวจริงๆนะ”

ไอ้แกนน่ะ 







------------ The End ------------

มาแล้วจ้า สำหรับบทสรุปของทุกคู่
คู่หลักอย่างท็อปสองก็ปล่อยให้หวานกันไป
ส่วนอีกสองคู่ถือว่าเป็นไปตามนั้นล่ะกันเนอะ
สำหรับนิยายเรื่องนี้ถือว่าจบอย่างเป็นทางการแล้วนะคะ เราจะไม่มาอัพต่อล่ะค่ะ
ยังไงก็ขอบคุณเพื่อนนักอ่านทุกๆคนทั้งหน้าเก่า เราจำได้หมดเลยนะ
รวมถึงหน้าใหม่ที่เข้ามาอ่าน หรือทิ้งคอมเม้นไว้ สำหรับนักเขียนแน่นอนแหละว่ามันถือเป็น
กำลังใจเล็กๆน้อยๆให้เรามีแรงผลักดันในการปั่นนิยาย


สุดท้ายนี้สามารถติดตาม ข่าวสารการรวมเล่มได้ที่แฟนเพจของ สนพ. ได้เลยค่ะ
>>> Rainynightpublishing<<<  

>>> คลิ๊กแฟนเพจของเราเองค่ะ RindadaRin <<<
ไม่แน่ว่าอาจได้เจอกันในเรื่องถัดไป แต่ยังไม่ใช่เร็วๆนี้เน้อ
ขอบคุณทุกคนมากๆค่ะ รักนะ

 


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-08-2017 11:35:57 โดย RindadaRin »

ออฟไลน์ วายซ่า

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +205/-6
ขอบคุณมากค่ะ สำหรับบทสรุปของแต่ละคู่    :กอด1:

ดูเหมือนคู่สุดท้าย แกน-ดีนเป็นคู่ที่น่าจะมีเรื่องราวต่อจากนี้อีกเยอะกว่าจะลงตัว

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ Dark_Noah

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 838
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-3
ฮือ ดีนจ๋า หวานได้แค่นี้เองเนอะ 55555

เราชอบเรื่องนี้มากเลย ทั้งที่เราก็ว่านิยายเรื่องนี้ไม่ได้หวือหวาอะไร
แต่ไม่รู้ทำไมเรารักนิยายเรื่องนี้มาก จะรอเก็บเล่มนะคะ พรีแน่นอน  o13

ออฟไลน์ twinmonkey0311

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5480
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +110/-9

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
โอ้ยยย ลุ้นคู่แกนดีนมากอะพี่แกนนี่ไม่คิดว่าจะชัดเจนขนาดนี้ คืองงกับพี่แกแหละว่าทำไมมาชอบพี่ดีนได้ ส่วนพี่ดีนนี่ก็ยังไม่เปิดใจเท่าไหร่คงต้องใช้เวลากันไปสักพักนึง

สุดท้ายขอบคุณสำหรับนิยายสนุกๆนะคะ

ออฟไลน์ @Sister

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
หลังจากที่ตามอ่านมาตั้งตอนที่หนึ่ง สิ่งที่ชอบในเรื่องนี้คือพี่ท็อปอ่ะ 555
ดูเป็นคนที่เท่ๆดี มีความคิดชอบทำให้สองมันคิดมากจริงๆเลย
ถึงตอนแรกๆพี่ท็อปจะเข้าหาสองแบบมีเป้าหมาย มาหลอกสองก็เถอะ แต่พี่ท็อปก็ได้บทเรียนนะเราว่า
ตัวนายสองเองก็ดูจะขี้อ้อนพี่ท็อปจริงๆ อย่างที่พี่ท็อปบอกสองชอบใจอ่อน ใจดีกับคนอื่นๆดีนะที่เรื่องนี้ไม่ค่อยมีประเด็นเรื่อง
ความขี้หึง เรื่องมีที่สามซึ่งเราไม่ชอบอ่านคนโลเลอ่ะ จริงๆ เรื่องนี้ค่อนข้างเรียลนะ
ทั้งนิสัยแบบพี่ท็อป คนแบบในเรื่องก็มี  :katai2-1:

เรื่องผัวเมียๆก็ไม่ซีนะ เหมือนที่สองว่าแหละ มันก็แค่ส่วนหนึ่งของการเป็นคนรักป่ะ แต่ที่บอกว่าเมคเลิฟไม่ไม่ใช่แฮฟเซ็กส์ก็่าคิดนะว่า
คนเราสมัยนี้ส่วนมากก็แฮฟเซ็กส์กัน น้อยครังนะที่จะคิดว่าเมคเลิฟไรงี้

ชอบพี่ดีนอ่ะ ดูเท่ชอบกล แต่เป็นคนมืดมนเกินไป แต่ก็เพราะเฮียแกนเลย พี่ดีนเลยกลายเป็นคนมีปม
เราว่าจบแบบนี้กน่ารักดี เหมือนว่าแกนจะรู้ใจตัวเอง คิดว่าแกนน่าจะชอบดีนมานานแล้วรึเปล่า
แต่ชอบอ้างว่าที่มาวุ่นวายเพราะต้องการขอโทษไรงี้ อยากอ่นพาร์ทต่อนะ ท่าจะหนุก  :hao6:

คู่ผิงหรอ เรื่อยๆแบบแมนๆเตะบอลไง 555 ก็เข้าใจผิงนะ เป็นคนชิลๆไม่คิดไรมาก
แต่ยิมจะคนละทางกับผิงเลยอ่ะ ดูไม่เข้ากัน แต่พออยู่ด้วยกันมันก็ดูลงตัวนะ ไม่งุ้งงิ้งหวานอะไร
อารมณ์แบบเรื่อยๆ ค่อยเป็นค่อยไป
ยังไงก็ขอบคุณที่แต่งเรื่องสนุกๆให้อ่านนะคะ ชอบมากเลย
รอติดตามผลงานต่อไปนะ อิอิ  :mew1:


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ กาลครั้งหนึ่ง.

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 23
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
อ่านจบจนได้ เราชอบความสัมพันธ์ของพี่ท็อปกับสองมาก
ดูหนักแน่นและมั่นคงดี คู่อื่นก็น่าสนใจนะมาคอนเซปข้างห้องเหมือนเดิม555


ขอบคุณสำหรับนิยายสนุกๆระคะ

ออฟไลน์ รินดาwดาริน

  • OnTop&N'Song
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +243/-2
Special >>> วันว่างๆของท็อปสอง



“นี่ สอง แหกตาดูหน่อยว่ามึงนวดแม่งอยู่ที่เดิมเนี่ย เจ็บ”ผมออกปากด่าไอ้สองอย่างอดทนไม่ได้ อากาศเช้าวันเสาร์เย็นสบายเพราะเมื่อคืนมีฝนตกจึงเป็นเวลาดีๆที่จะพักผ่อนอยู่บนศาลายกพื้นในสวน

ตอนนี้อีกฝ่ายย้ายมาอยู่บ้านกับผมตั้งแต่เรียนจบ แม่ก็ย้ายงานไปประจำอยู่ที่เชียงใหม่ บ้านหลังนี้เลยกลายเป็นรังรักของผมกับมันไปแล้ว อ้อ ลืม ไอ้ทูด้วยอีกหนึ่งตัว โดยไอ้สองแฟนสุดรักของผมอาสาขอนวดให้ผมอย่างกระตือรือร้น ไอ้สองหยุดมือที่บีบลงบนต้นขาแล้วหันมามองเหมือนคนเพิ่งได้สติ มันเหม่ออะไรของมัน


“โทษทีพี่ พอดีคิดอะไรเพลินๆ”มันหัวเราะเบาๆเหลือบมองผมด้วยสายตาที่มีความมาดหมายบางอย่าง ผมจ้องหน้ามันเขม็ง


“คิดอะไรลามกแน่ๆเลยมึง พอล่ะ ไม่ต้องนวดล่ะ”ผมบอกก่อนจะปัดมือของอีกฝ่ายออก ไอ้สองยิ้มกริ่ม


“แค่คิดเรื่องที่พี่เคยพูดถึงไง”


“หืม เรื่องอะไรล่ะ”ผมมองไอ้สองที่ขยับลงมานอนข้างๆ เอาแขนรองศีรษะไว้หันหน้ามาทางผม


“ก็เรื่อง Texture พิเศษไง”ไอ้สองพูดก่อนจะเลียปากอมยิ้ม ผมพ่นหัวเราะออกมา


“ทำไมวะ ยังติดใจอะไรอีกเหรอ กูแค่หว่านแหไปเรื่อยๆเท่านั้นแหละ เหยื่อจะติดไม่ติดไม่รู้เหมือนกัน”ผมพูด นึกถึงเรื่องเมื่อสี่ห้าเดือนก่อนที่เคยบอกกับมัน มันก็ผ่านมานานแล้วเหมือนกัน ตั้งแต่ช่วงที่ผมต้องไปฝึกสหกิจ


“อ้อ คิดแบบนี้นี่เอง”


“ทำไมล่ะ นี่มึงเหม่อๆนี่คือกำลังจินตนาการอะไรหรือเปล่า”ผมเอ่ยแซวเล่น อีกฝ่ายหัวเราะ


“ที่คิดน่ะไม่ใช่เรื่องพิเรณท์ๆนะ แต่แค่เรื่องงี่เง่าๆนิดหน่อย”


“อะไรเหรอ คิดมากอะไรหรือเปล่า”


“ก็ถึงได้บอกว่ามันงี่เง่า”มันไม่ยอมพูด ผมทำหน้าเซ็ง ในเมื่อมันแง้มออกมาก่อนจะมาปกปิดแบบนี้ได้ยังไง ผมมองหน้ามัน


“คิดจะทำให้อยาก...แล้วจากไปง่ายๆแบบนี้เลย?”


“อ่ะๆ ก็ได้ ผมแค่คิดว่า...พี่จะเบื่อผมหรือเปล่า ก็เท่านั้นเอง”ฟังมันพูดแล้วผมก็อดขำไม่ได้ รู้แบบนี้ไม่น่าไปแหย่มันเลย กลายเป็นมันเก็บเอามาคิดเป็นตุเป็นตะไปหมด


“หึหึ นี่มึงก็คิดได้นะ จะเบื่อไปทำไม ไม่มีมึงนี่สิถึงน่าเบื่อ”พอเห็นว่าไอ้สองมันกำลังมองเหมือนลูกหมาที่มองเจ้าของ ก็อดไม่ไหวอยากแกล้งมันบ้าง


“ไม่ใช่แบบนั้น...หมายถึงเรื่องบนเตียงไง”มันพูด ผมมองมันอยู่นาน


“กูไม่ใช่คนเสพติดเซ็กส์ซะหน่อย จะได้ต้องการความแปลกใหม่อยู่ตลอด แต่นานๆทีก็ไม่ว่าอะไรหรอกนะ”ผมบอกมันให้เข้าใจ


“นึกว่าเบื่อ แบบอยากเปลี่ยนรสชาติอะไรแบบนี้”มันเหลือบมองผมอีกรอบ


“ก็ถูกไง เซ็กส์สำหรับกูมันก็เหมือนอาหาร แค่เปลี่ยนรสชาติบ้าง ไม่ใช่เปลี่ยนเมนู ของเดิมก็ออกจะอร่อย ถ้าแค่เพิ่มเติมอะไรไปบ้างก็ไม่น่ามีปัญหานะ”ผมบอกเหลือบมองไปทั่วใบหน้าของมันบ้าง เห็นว่ามันดูพอใจกับคำตอบของผม


“โอเค ไม่มีอะไรล่ะครับ”ไอ้สองยิ้ม


“อยากนวดต่อป่ะ”ผมถาม


“หึหึ คิดไม่ดีอยู่ล่ะสิท่า”ไอ้สองยื่นมือมาตีหน้าท้องของผมเบาๆ แต่ไม่ได้ละมือออกไปไหน เห็นมันลูบไล้อยู่นอกเสื้ออย่างเดียว


“กูแค่คิด แต่มึงนี่ลงมือทำเลยนะ”ผมมอง ไอ้สองละมือออกจากตัวผมแล้วหัวเราะก่อนจะเปลี่ยนมานอนหงาย “แกล้งเล่นน่า...”มันบอก ผมแค่ยิ้ม ในวันที่ท้องฟ้ายามเช้ามืดหม่นครึ้มฝนแบบนี้ มีคนนอนอยู่ข้างๆแค่นี้ก็เกินพอจนไม่อยากออกไปเที่ยวที่ไหน


“พี่ท็อป”


“หืม...”ผมหันไปหาคนข้างๆตัว ไอ้สองเหลียวมามองผมแววตาใสแจ๋วเหมือนลูกหมาที่น่ารัก อดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปเขี่ยแก้มมันเล่น


“รักผมมากป่ะ”ผมทำตาวาว ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะถามแบบนี้เพราะมันก็ไม่เห็นต้องเอ่ยถามเลยด้วยซ้ำ ผมยิ้ม


“ไม่รู้สิ วัดได้ป่ะล่ะ ถ้ามีอะไรมาวัดได้ก็ลองมาวัดดูสิเผื่อจะได้คำตอบ”ผมกลั้วหัวเราะในลำคอแค่อยากกวนอารมณ์มันเล่นก็เท่านั้นเอง ไอ้สองหัวเราะฮึกฮักทางจมูก


“ชอบอ้อมโลกจังนะพี่”ตอนนี้มันยิ้มขำกับความอ้อมค้อมของผมไปแล้ว


“ก็รักไง”ผมเลยหันไปตอบตรงๆ ไอ้สองกระตุกมุมปากเหมือนจะกลั้นรอยยิ้ม


“อืม”มันส่งเสียงตอบรับมาสั้นๆ คงตั้งใจจะกวนอารมณ์ผมเล่น


“พอใจป่ะ”


“อืม”


“’งั้นขอTexture พิเศษนะ”ผมเลยแกล้งพูออกไปแบบนี้ ได้ผลด้วยสิ


“อื...เฮ้ยไร”มันรีบพูดทันทีหลังจากเบรกตัวเองพ้นจากการอือออแบบลืมตัว


“ก็นะ...ผลัดมานานจนลืม”ผมบอก


“อืม ไม่น่าพูดถึง”อีกฝ่ายส่ายหน้า


“แต่มึงมีดีอยู่แล้วล่ะ”


“ก็แหงล่ะสิ”ไอ้สองพูดด้วยใบหน้าระรื่น


“เป็นเมียที่ดีจริงๆ”ผมบอกด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ อีกฝ่ายจะได้จำให้ขึ้นใจ


“อืม เป็นผัวก็ดีด้วย”ไอ้สองหันมามองแล้วพูดต่อ ผมหลุดยิ้ม


“เหรอ เคยเป็นซะนาน จนลืม”ผมพูด อีกฝ่ายหันมาจดจ้องเหมือนเด็กอดได้ของเล่น


“หุ้ว คนอุตส่าห์จะผ่อนคลายเลย”ไอ้สองย่นคิ้วเข้ากัน ก่อนจะขยับตัวออกห่างผม


“ถึงได้ถามไง ว่าจะนวดกันดีไหม”ผมพูดยิ้มๆ ไอ้สองที่นอนเกลือกกลิ้งไปอีกทางเหลียวมามอง “ให้ผมนวดดีกว่า คราวนี้ไม่ใจลอยล่ะกัน”มันรีบบอกก่อนจะพยุงตัวลุกมานั่งแทน


“หึหึ มาใกล้ๆนี่”ผมกระดิกนิ้วเรียก


“มีอะไร พูดมาเลย”มันไม่ยอมมาใกล้ๆ ผมเอาแขนหนุนศีรษะมองอีกฝ่ายเงียบๆ


“มานวดสิ นวดจริงๆนะเว้ย ไม่ใช่ให้มานวดตูดกู”ผมบอกมัน อีกฝ่ายขยับมาหาด้วยท่าทีกระตือรือร้น ผมวางขาลงบนตักมัน อันที่จริงก็ไม่ได้เมื่อยหรือปวดอะไรหรอก แค่อยากหาเรื่องแกล้งมัน วันหยุดของเราจะได้มีสีสัน


ไอ้สองถอนหายใจ “เดี๋ยวรู้เลยว่าจะนวดขาหรือนวดตูด”มันเหลือบมองผมด้วยแววตาขบขัน ก่อนจะบีบๆกดๆลงที่ท่อนขา
ถึงจะบอกไม่ซีเรียสกับบทบาทบนเตียงก็เถอะ แต่ถ้ามีโอกาสล่ะก็ไอ้สองมันไม่พลาดหรอกนะ...ไม่เคยพลาด




-จบจ้า-


ตอนพิเศษนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่องหรือว่ารวมเล่ม เเต่งแยกออกมาอีกทีจ้า คิดถึงท็อปสองเลยแวะมาแต่งตอนสั้นๆแทน
ตอนหน้าจะลงตอนสั้นๆของยิมผิงบ้าง ไม่ก็ดีนไดอารี่ด้วย


ขอบคุณค่ะ


ป.ล ใครอยากไปพูดคุยกับเราหรือนิยายก็ไปฟอลโล่ทวิตเรากันได้เลย  @RindadaRinY

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ Sriwanan

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 21
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
กว่าจะอ่านจบไม่ได้หลับได้นอน ชอบมากเลย ขอบคุณนะ :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ tae1234

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 380
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
ขอบคุณครับ เนื้อเรื่องสนุกดีครับ

ออฟไลน์ รินดาwดาริน

  • OnTop&N'Song
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +243/-2
Special >>>> สั้นๆกับยิม


หลายปีที่ผ่านมาผมเฝ้าตามผู้ชายคนนึงที่เป็นเหมือนทั้งเพื่อนและคนรู้ใจ จนกระทั่งอีกฝ่ายยอมเปิดใจรับผมเข้าจนได้ ผมไม่รู้หรอกว่าที่มันยอมใจอ่อนเป็นแฟนกับผมเพราะความเสมอต้นเสมอปลายของผมหรือว่าเพราะมันชอบผมจริงๆ
อันที่จริงผมก็สงสัยกับคำว่าชอบของไอ้ผิงอยู่เหมือนกันนะ มันเคยบอกว่าชอบผมไปแล้วครั้งหนึ่งแต่หลังจากนั้นมันดันเบรกความสัมพันธ์ของเราไว้ที่คนสนิท คนพิเศษที่ยังไม่ใช่แฟน คิดไปแล้วก็เจ็บใจเหมือนกัน ผมไม่ได้อยากทำตัวเป็นพระเอกเลยสักนิด ผมมันไม่ใช่พระเอกหรอก(ก็แหงล่ะ)


มาพูดถึงคนที่ผมเคยชอบมากๆ ไอ้สอง มันโทรมาหาผม ผมแปลกใจเพราะตั้งแต่กลับจากค่ายตอนปีสาม ผมกับมันก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย ผมเป็นฝ่ายเลี่ยงเอง ไม่อยากเห็นหรือได้ยินเรื่องของมันกับท็อปเลย แต่มันก็ผ่านมาได้นั่นล่ะ ต้องขอบคุณไอ้ผิงที่อยู่เป็นเพื่อน(ซึ่งก็เป็นเพื่อนจริงๆนั่นแหละ)ในช่วงนั้น


“ว่าไง คิดยังไงถึงโทรมาวะ”ผมถามกับคนปลายสาย


“ก็อยากรู้ความเป็นไปไง มึงกับไอ้ผิงโอเคนะ”ผมคิดอยู่แล้วเชียวว่ามันต้องถามประเด็นนี้ มันอาจจะรู้อยู่แล้วก็ได้ ตอนนี้มันคงมั่นใจแล้วว่าคุยกับผมในเวลานี้ได้


“ก็ดี ไม่มีอะไรมากหรอก เรื่อยๆ”ผมบอก ใช่...เรื่อยๆแบบโคตรเอื่อย ผมยังคิดหาวิธีให้ไอ้ผิงมันยอมแสดงออกมากกว่าที่เป็นอยู่ พอเป็นแฟนกันปุ๊บ ความที่มันเป็นผู้ชายแบบหยาบกร้าน แมนๆเตะบอล(ตามที่มันบอก)


วันๆวุ่นอยู่กับงานที่ร้านอาหารของครอบครัว บางวันก็หมกอยู่ในบ้านวาดรูปส่งขาย เลยไม่มีเวลามาทำตัวเหมือนแฟน ยกเว้นผมจะไปรอมันที่ร้านหลังเลิกงานแล้วไปค้างที่บ้านของผิง ก็แค่นอนด้วยกันเท่านั้น ทำได้แค่จับมือ อย่างอื่นเหมือนเป็นของต้องห้าม แน่นอนว่าผมต้องรู้สึกมากกว่าที่ไอ้ผิงรู้สึก มันคงรู้สึกเหมือนนอนกับหมอนข้างที่ไร้ตัวตน คิดแบบนี้ก็ออกจะตลก แต่มันก็จริง ช่วงที่ไปค้างบ้านไอ้ผิง ก็ได้แค่นั้น


“เหรอ น่าสงสารนะ อยากให้กูช่วยไหม”


“พูดเล่นหรือขำๆ”

“เอาจริงสิ กูหมั่นไส้มัน ทำเป็นเล่นตัว มีของดีอยู่แท้ๆนะ”ไอ้สองทำเสียงหงุดหงิดจนผมขำออกมา


“ถ้าจะช่วย ขอมันจริงเถอะ”


“เออสิ เรามาเจอกันหน่อยก็ดีนะ ไอ้ผิงไปร้านกาแฟที่ไหนบ่อยๆ เดี๋ยวกูไปรอที่นั่น”


“จะคุยที่นั่นเหรอ”


“อืม อยากเจอมึงด้วยนั่นแหละ เดี๋ยวไอ้ผิงมันก็เดินมาเห็นเองแหละ”


“มันจะได้ผลเหรอ แค่ให้มันมาเห็น”


“เอาน่า มาเจอกันก่อนแล้วจะบอกให้ฟัง...”ผมเลยตอบตกลง และบอกร้านกาแฟร้านโปรดของไอ้ผิงไป ร้านนี้กอยู่ละแวกเดียวกับร้านอาหารของที่บ้านผิงนั่นแหละ


@ร้านกาแฟ


หลังเลิกงานผมมาที่ร้านตามนัดของไอ้สอง เห็นว่าอีกฝ่ายมานั่งรออยู่ก่อนแล้ว ตอนแรกนึกว่าท็อปจะมาด้วยซะอีก มันโบกมือเรียกทันทีเมื่อเห็นผมเดินเข้ามาร้าน


“ไง ไม่เจอตั้งนานดูดีขึ้นเยอะ”ไอ้สองทักก่อน แล้วมองหน้าผมด้วยรอยยิ้ม ระหว่างนั้นพนักงานก็มารับออเดอร์ ไอ้สองมันสั่งขนมเค้กมาเพิ่ม ส่วนผมดื่มแค่ชาเย็นก็พอ


“หึ ทำเป็นพูดดี เข้าเรื่องเลยแล้วกัน ตกลงนัดมาแค่นี้สินะ”ผมมองอีกฝ่ายที่กำลังก้มหน้ามองโทรศัพท์อยู่ มันเงยหน้าขึ้นมอง


“อืม ก็มาคุยกันธรรมดาๆนี่แหละน่า...มึงไม่รู้อะไร ไอ้ผิงมันก็มีแม่งๆในใจเรื่องของกูเหมือนกัน”มันพูดต่อทันทีไม่มีอ้อมค้อม


“อืม มันไม่เห็นเคยบอก”ผมพูด ตั้งแต่ตกลงเป็นแฟนกัน ไอ้ผิงก็ไม่เคยพูดหรือแสดงท่าทีว่าหึงหวงผมเท่าไหร่ โดยเฉพาะเรื่องไอ้สองมันผ่านมานานก็จริงแต่ไอ้ผิงไม่เคยพูดถึง


“มึงคิดว่ามันจะยอมบอกเหรอ ดูงี่เง่าไปอีกสิ”ผมผงกหัวเห็นด้วยแล้วเอ่ยถามมันต่อ “แล้วมึงเป็นยังไงบ้าง...”


“ก็ดีเหมือนเดิม แค่เพิ่มเติมมีงานทำแล้ว”ไอ้สองบอกสีหน้าผ่อนคลายขึ้น


“อืม”ผมตอบสั้นๆ อีกฝ่ายมองผมอยู่นานก่อนจะถอนหายใจ


“แล้วมึงไม่คิดจะทำแต้มอะไรให้มันบ้างเหรอ ถึงไอ้ผิงมันจะเป็นคนหยาบๆไม่อ่อนโยนแต่มันไม่เคยโดนจีบนะเว้ย มึงลองแหย็บๆมันสิวะ แบบพูดหวานๆเดี๋ยวมันก็เขินเอง”


“เหรอ...”ผมเลิกคิ้วอย่างไม่ปักใจเชื่อ ไอ้ผิงนอกจากจะไม่หวานแล้วมันยังปากแข็งอีกด้วย


“เคยลองหรือยัง มึงจะมาชักช้าไม่ได้นะ เดี๋ยวมันก็เผ่นไปอินเดียแล้ว ต้องตักตวงเยอะๆ เข้าใจไหม”ผมมองไอ้สองที่พูดอย่างจริงจัง จนสงสัยว่าไอ้สองมันคงอยากแกล้งเพื่อนมันมากกว่า


“พูดเหมือนทำง่าย”


“ก็กล้าๆหน่อยสิ ไม่ต้องทำเป็นเจนเทิลแมน อย่างไอ้ผิงมึงถ่อยใส่มัน มันอาจจะชอบก็ได้นะ แบบว่าเร้าใจดี”


“หึหึ มึงนี่ตลกเหมือนเดิม”ผมหัวเราะ จากนั้นไอ้สองก็เลื่อนสายตาไปทางด้านหลังผม


“นั่นไง มันมาแล้ว...ทำท่าปกติ”ไอ้สองกระซิบเสียงตื่นเต้น มันยิ้มก่อนจะหันไปโบกมือให้ไอ้ผิงที่เดินมาสั่งกาแฟที่เคาร์เตอร์ และต้องผ่านโต๊ะผมไปด้วย มันมองไอ้สองงงๆก่อนจะหันมาหาผม


“มาทำอะไรแถวนี้”ไอ้ผิงถามเสียงแคลงใจ


“กูแวะมาซื้อกาแฟ เจอไอ้สองพอดี”ผมบอกอีกฝ่าย ไอ้ผิงเหลือบมองไอ้สองแล้วพยักหน้าหงึกหงัก


“เออ เลยลากมันมาคุยด้วยก่อนนี่ไง ไม่ได้เจอนาน”ไอ้สองพูดกับผิงด้วยน้ำเสียงมีเลศนัยเพื่อยียวนมัน เจ้าตัวมองหน้าผมด้วยความสับสน ไอ้ผิงเกาจมูก


“มึงมาแถวนี้ด้วยเหรอ ที่ทำงานมึงอยู่อีกทางเลยนี่หว่า”ไอ้ผิงถามไอ้สองมันยังคงยืนจังก้าอยู่ข้างๆโต๊ะ


“อืม แวะมาตรวจงานแถวนี้น่ะ ...งั้นกูไปก่อนนะ มื้อนี้กูเลี้ยงนะ ยิม”ไอ้สองหันมาพดกับผม มันเก็บบิลไปจ่ายเงินเองจริงๆด้วย พอไอ้สองกลับไปแล้ว ไอ้ผิงเดินมานั่งข้างๆผม มันทำหน้าไม่เข้าใจ คิ้วขมวดเข้าหากันจนจะผูกโบว์ได้


“จะมาแถวนี้ก็ไม่เห็นบอก”ไอ้ผิงหันมาพูดกับผมนิ่งๆ ปกติผมจะไลน์บอกมันตลอดถ้าหากว่ามาแถวร้านอาหารของครอบครัวมัน ผมไหวไหล่


“ก็แค่แวะมาซื้อกาแฟแก้วเดียว แล้วไปหามึงต่อไง”ผมบอกก่อนจะยิ้มให้มัน ไอ้ผิงมองหน้าผมนิ่งๆก่อนจะย่นคิ้ว


“เหรอ...”มันพึมพำไม่เต็มเสียงเท่าไหร่


“คนเยอะหรือเปล่า”ผมถามถึงที่ร้านอาหาร ไอ้ผิงไหวไหล่ มันนั่งรอกาแฟที่สั่งแต่สายตามองเค้กที่ยังไม่แตะของไอ้สอง มันเอื้อมไปหยิบมาวางตรงหน้า


“ไม่เยอะ แน่นๆช่วงเย็นนู่น”มันบอก


“อืม”ผมส่งเสียงตอบรับสั้นๆเหมมือนเคย จากนั้นก็สอดส่องคนข้างๆที่ดูจะเงียบกว่าปกติ “ปิดร้านแล้วไปที่ไหนต่อไหมวะ”ผมชวนคุย ไอ้ผิงทำท่าคิดหนักก่อนจะหันมาจ้องหน้าผมแทน


“ไว้คิดดูอีกที”มันบอกก่อนจะตักเค้กใส่ปากอย่างไม่คิดอะไร


ผมกับไอ้ผิงนั่งเล่นที่ร้านกาแฟอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง ก่อนที่จะกลับไปที่ร้านอาหารที่อยู่ในซอยถัดไป เพราะช่วงนี้ไอ้ผิงไม่ได้หางานทำเลยต้องมาช่วยงานพ่อแม่อยู่เป็นประจำ และก็เตรียมตัวไปเรียนต่อ ส่วนมากมันจะหาข้อมูลเรียนต่อ มันเปลี่ยนใจจากกรุงนิวเดลีเป็นเมืองพาราณาสีแทน มันเปรยๆว่ากรุงนิวเดลีค่าครองชีพสูง เลยเปลี่ยนใจ และกำลังหาเพื่อนเช่าหอด้วย


หลังจากช่วยพ่อแม่ไอ้ผิงเก็บร้านอาหารคนละนิดคนละหน่อย พ่อกับแม่ก็ให้ผมกับไอ้ผิงกลับบ้านได้เพราะไม่อยากรบกวน เย็นนี้
ผมยังคงไปทานข้าวบ้านไอ้ผิงตามเดิม ผมเลยชวนไอ้ผิงกลับด้วยกันเพราะพ่อกับแม่ยังต้องไปที่อื่นต่อ


“ตกลงว่าจะไปไหนกันดี”ผมเอ่ยถาม คนที่นั่งอยู่เบาะข้างๆ ไอ้ผิงที่กำลังสนใจโทรศัพท์ในมือ มันเงยหน้ามองผม


“อืม...ไปนั่งเล่นที่ริมสะพานดีไหม ตรงนั้นวิวดีนะ”ไอ้ผิงบอก ผมพยักหน้าก่อนจะขับรถไปยังสถานที่นั้น ริมแม่น้ำใต้สะพานเป็นสถานที่พักผ่อน สำหรับเดินเล่นหรือนักวิ่งก็ได้ อาจจะมีของกินเล็กน้อยๆมาเปิดขาย พอมาถึงที่ริมแม่น้ำในเวลานี้ผู้คนเริ่มบางตาเพราะว่าฟ้าเริ่มมืดแล้ว


“อยากกินไอติมแถวนี้พอดี”มันบอก ผมเดินตามหลังมันไป ไอติมที่ไอ้ผิงชอบเป็น ไอศกรีมกะทิธรรมดา ใส่ข้าวเหนียวกะทิกับถั่วเยอะๆมันยิ่งชอบ


จากนั้นก็ไปเดินเลนริมแม่น้ำ ฟ้าครึ้มฝนบรรยากาศอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้า
“เหมือนฝนจะตกเลย”ไอ้ผิงหันมาพูด ก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้เหล็กที่ตั้งไว้ข้างทางมีสนิมเกาะและสีลอกไปจนหมดแล้ว ผมนั่งลงข้างๆมัน


“นั่นสิ...ไม่ชอบหน้าฝนเลยว่ะ”ผมบอก เพราะมันเปียกเฉอะแฉะ เป็นบรรยากาศที่ไม่สงบสำหรับผม


“ปลายฝนต้นหนาว... อากาศแบบนี้ไปเที่ยวคงจะดี”


“อยากไปเหรอ”ผมถาม


“ถ้ามึงชวนกูก็ไปอยู่แล้ว”มันหันมายิ้ม


“อืม ไว้คิดดูอีกทีนะ”ผมบอก เพราะช่วงนี้ก็ไม่ว่างแถมพอกลับจากงานมาก็เหนื่อยไปหมด เลยพลอยไม่อยากออกไปไหนไกลๆด้วยเลย ไอ้ผิงพยักหน้ามันกินไอศกรีมกะทิหมดแล้ว


“นี่ยิม...”


“หืม...”

“มึงน้อยใจกูป่ะ”


“น้อยใจอะไร?”


“ที่กูไม่ค่อยหวานกับมึง เหมือนคนเป็นแฟนกันน่ะ”ไอ้ผิงพูด สายตามันจับจ้องอยู่ที่ผิวน้ำเบื้องหน้าอย่างจดจ่อ


“จะน้อยใจไปทำไม...กูรู้น่าว่ามึงเป็นคนยังไง”ผมบอก


“เหรอ กูรู้สึกผิดเหมือนกันนะ ไม่ค่อยดูแลมึงเท่าที่ควร”


“ดูแล?”ผมหันไปถามมันอย่างงงๆ มันหันมาจ้องหน้าผมด้วยความขัดใจ


“ก็ใช่ไง กูควรจะดูแลมึงบ้าง แบบไม่รู้สิ...ไอ้โยมันมาบ่นเรื่องมึงให้กูฟังด้วย”


“มึงก็ไปฟังมัน”ผมหัวเราะ ไอ้โยมันชอบมาวุ่นวายกับไอ้ผิงบ่อยๆ มันชอบมาสาธยายถึงการทำตัวเป็นแฟนที่ดีกับไอ้ผิง ผมคิดว่ามันแกล้งไอ้ผิงมากกว่า


“ก็มีส่วนถูกนะ...แต่กูก็ไม่รู้จะเริ่มยังไงเหมือนกัน...มึงอยากได้อะไรหรือเปล่า”มันหันมาถามผม แววตาที่เคยแข็งกระด้างไม่อ่อนโยนตอนนี้มีความสั่นไหวขึ้นมา


“อืม ไม่ได้อยากได้อะไรหรอก...”


“อยากจับมือ กอด หรือจูบ เลือกเอา”ไอ้ผิงพูด ผมมองมันอย่างตั้งใจ สงสัยว่าใครไปดลใจให้มันฉุกคิดเรื่องนี้ขึ้นมาได้


“ไม่เลือกได้ไหมวะ กูก็อยากหมดแหละ”สิ้นคำพูดของผม ไอ้ผิงมันเงียบกริบก่อนจะมองผมด้วยสายตาคมกริบ


“มีช้อยส์แค่นั้นนะ ห้ามเกินเลยไปกว่านั้น”มันย้ำด้วยท่าทีประหม่า


“หึหึ มึงนี่ก็ตลกดีนะ”ผมยิ้มกับมัน เอื้อมไปดึงแขนให้มันขยับมานั่งใกล้ชิดมากขึ้น มันไม่ขัดขืน


“ก็น่าจะรู้ว่ากูทำแบบนี้แค่คนเดียวนะ โธ่เอ้ย”มันบ่นงึมงำให้ได้ยิน ก่อนจะเอื้อมมาจับมือข้างขวาที่อยู่ใกล้มือของมันที่สุด ผมมองอย่างแปลกใจ


“จำไว้นะ ที่กูยอมเป็นแฟนมึง ก็เพราะว่ากู...ชอบมึงจริงๆ ไม่ใช่เพราะสงสารหรืออะไร...กูเป็นคนแข็งๆ เหมือนกระดาษทรายหยาบๆแบบที่มึงว่านั่นแหละ”ไอ้ผิงพูดยังคงจับมือผมไม่ปล่อย สงสัยการเจอไอ้สองวันนี้ก็เข้าท่าดี


“อืม กูก็ไม่ได้หวังอะไรหรอก...แต่แสดงออกบ้างก็ดีนะ จะได้รู้ว่ารัก”ผมบอก ไอ้ผิงพยักหน้า


“ไอ้สองมันมากวนประสาทกู...แต่ก็ดี กูถึงคิดได้ตอนมันด่ากูนี่แหละ”มันพึมพำบอก ผมมองใบหน้าของอีกฝ่ายที่สะอาดเกลี้ยงเกลา พักหลังๆมันหันมาดูแลตัวเองขึ้นเยอะ ก็เลยมีน้ำมีนวลขึ้นมาบ้าง


“ช่างเถอะ”ผมบอก อย่างน้อยผมก็ได้รู้ว่ามันคิดยังไงบ้าง ไอ้ผิงปล่อยมือผมก่อนจะเหลียวมองรอบๆตัวท่าทางเลิ่กลั่ก ผมขำท่าทางของมัน เจ้าตัวยื่นหน้ามาใกล้ก่อนจะดึงผมเข้าไปจูบเบาๆเหมือนแมวดม


“อะไร...”ผมมองอีกฝ่ายที่รีบผละออกไปนั่งเหมือนเดิม


“เอ้า จูบไง...กูไม่ได้อ่อนนะ แต่กลัวมีคนมอง เลยเอาแบบใสๆไปก่อน”มันพูดเสียงดังกลบเกลื่อนความเขินอาย ผมยิ้มก่อนจะเหลียวมองรอบตัว แถวนี้ยังมีคนมาเดินเล่นอยู่


“งั้นถ้ากลับไปบ้าน มึงจะเอาแบบแอดวานซ์เลยใช่ไหม”ผมแกล้งแหย่มันไป ไอ้ผิงหันมามองตาเขม็ง “กูรู้มึงดีใจ หนอย คงได้ใจล่ะสิท่า”มันพูดงึมงำไม่กล้าสบตาผมเท่าไหร่ ผมเลยเข้าไปมองใกล้ๆให้ถนัดตา


“เออ ดีใจสิ”ผมบอก ไอ้ผิงเหลียวหน้ามาหา ก่อนจะยิ้มให้ผมบางๆแล้วก็ทำเป็นสนใจโทรศัพท์ในมือแทน จะว่าไปตอนไอ้ผิงเขินมันก็ดูตลกดี คนอย่างมันต้องเดินหน้าเข้าใส่จริงๆ

.
.


คืนนี้ผมก็มาค้างที่บ้านไอ้ผิงเหมือนเดิม การนอนเตียงเดียวกันไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไร มันกลับทำให้ผมเคยชินมากกว่า การมีคนนอนข้างๆ ตื่นเช้ามาเจอหน้ากันไอ้ผิง หลังจากอาบน้ำเสร็จเจ้าของเตียงก็เข้ามานอนด้วย คราวนี้มันต่างไปจากปกติเพราะไอ้ผิงมันดูเกร็งขึ้นมาเพราะผมดึงมันให้มานอนใกล้ๆ


“เป็นอะไร”ผมถามคนที่นอนอยู่ข้างๆ ไอ้ผิงหันมามองผมนิ่งๆ


“ปกติไม่ได้นอนใกล้ขนาดนี้”มันว่า ทุกทีจะนอนใครนอนมันมากกว่า ไม่ได้มานอนกอดหรือทำตัวสวีทอะไรแบบนั้น มันบอกไม่ชิน


“อืม ก็จะได้ชินไงวะ ทำบ่อยๆเดี๋ยวก็ชินไปเอง”ผมบอกด้วยรอยยิ้มก่อนจะถอนแว่นตาออก ในระยะแบบนี้ผมยังคงมองเห็นใบหน้าของคนข้างๆได้ชัด ไอ้ผิงเม้มปากก่อนจะรับแว่นตาไปวางไว้ที่โต๊ะตั้งโคมไฟ


“อย่าลามปามนะ”มันบอกก่อนจะขยับมานอนแนบชิดกับผมมากขึ้น ผมหัวเราะชอบใจ


“รู้น่า ผิง”ผมบอก แล้วมองอีกฝ่ายที่กำลังหลับตาลง ผมเอาแขนเข้าไปพาดเอวมันไว้ คอยสังเกตท่าทีของมัน ไอ้ผิงทำคิ้วย่น มันลืมตามองผม “กอดแฟนไม่ได้เหรอ”


“ก็...ไม่ได้ว่าอะไรนี่”มันพึมพำ มองผมไม่ละสายตาไปไหน จนเป็นผมซะอีกที่ทำตัวไม่ถูก อยู่ๆก็รู้สึกใจเต้นขึ้นมา


“อยากกู๊ดไนท์คิสเหรอ”พอพูดจบไอ้ผิงก็ชกใส่ไหล่ผมเบาๆซะอย่างนั้น “มึงมาแปลกนะวันนี้”


“ทำไมล่ะ กูก็ต้องขอเก็บเกี่ยวไว้บ้าง เดี๋ยวก็จะหนีกูไปแล้วนี่”ผมพูด ไอ้ผิงมองผมตาค้าง มันย่นจมูก


“เหอะ อ่ะๆ วันนี้กูใจดี จัดให้คืนหนึ่ง”มันทำเป็นปากดีก่อนจะเลื่อนหน้ามาใกล้ๆจนสัมผัสไดถึงลมหายใจอุ่นๆ แต่มันดูเหมือนลังเลไม่กล้าจูบจริงๆจังๆ ผมเลยยื่นหน้าไปจูบมันเอง ต่างจากที่มันจูบผมเมื่อเย็นหรือแม้แต่ตอนจูบแรกของมันในตอนนั้น ผมเลื่อนมือไปตามลำคอและกลุ่มเส้นผมนุ่มๆนั่น พยายามเกาะเกี่ยวลิ้นของอีกฝ่าย ไอ้ผิงมันก็ไม่ได้ไก่อ่อนอะไร มันจูบตอบผมแบบไม่ได้เร่งเร้าอะไร


“เฮือก พอล่ะ”ไอ้ผิงมันถอนปากออกไปก่อน แล้วหายใจแรงๆกอบโกยอากาศหายใจ มันนอนนิ่งก่อนจะขยับเข้ามานอนหนุนแขนผมต่อ


“กูชอบมึงนะ...”


“อือ กูรู้ กูก็รู้สึกเหมือนกันแหละ”


“อาจจะกลายเป็นรักไปแล้วก็ได้”ผมบอกความในใจไปอีกรอบ ไอ้ผิงผงกศีรษะ คราวนี้มันกัดเข้าที่เสื้อของผม มันพอดีกับบริเวณหน้าอกผมเต็มๆ “โอ้ย เจ็บนะผิง”


“เออ เกลียดมึงจริงๆ ไม่ต้องพูดแล้ว จะหลับ”ไอ้ผิงย่นคิ้ว โวยวายกลบเกลื่อน เห็นว่ามันหูแดงไปด้วยเลือดสูบฉีด ผมยิ้มแล้วหัวเราะเบาๆ


“งั้น...เกลียดกูไปเยอะๆเลย”ผมบอก ไอ้ผิงเหลือบมอง “อย่าคิดมากล่ะ มึงเป็นนัมเบอร์วันของกูอยู่แล้ว”ไอ้ผิงพูดอีกรอบ มันย้ำจนผมยิ้มกริ่ม “อืม เข้าใจน่า”ผมบอก


“กู๊ดไนท์นะ”ไอ้ผิงพูดแล้วรีบหลับตาลง “อืม กู๊ดไนท์”ผมบอกกลับไป นี่ก็กลายเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ทำเป็นประจำไปแล้ว


-จบ-

 :กอด1:

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ TonyPat

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 175
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

ออฟไลน์ รินดาwดาริน

  • OnTop&N'Song
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +243/-2
+++ Happy New Year 2018

Special: Deen diary

.

.


Gan-ปีใหม่นี้ทำอะไร


ผมมองข้อความนี้ด้วยใจว่างเปล่า นึกถึงคนเป็นแม่ที่ตอนนี้กำลังไปเที่ยวอยู่ที่นอร์เวย์ แต่ผมเลือกที่จะไม่ไปกับแม่เพราะไม่อยากไปเจอกับคนนอกที่ไปกับแม่ มันนานมากแล้วที่ครอบครัวของผมไม่ได้ใส่ใจกัน ผมนั่งดื่มเบียร์กระป๋องอยู่ที่นอกระเบียงห้อง เตรียมไฟเย็นไว้ให้ตัวเองแล้ว อยู่คนเดียวทำให้ผมสงบ

Deen-ไม่ได้ทำอะไร อยู่ห้อง


ผมตอบกลับไปตามปกติ แม้ว่าวันนี้จะเป็นวันสุดท้ายของเดือนธันวาคมก็ตาม แต่ผมก็ไม่ได้ออกไปรื่นเริงกับเพื่อนๆ หรือแม้แต่พี่ๆที่ทำงาน ผมแค่ไม่อยากออกไปไหน อยากอยู่ในห้องเงียบๆคนเดียวก็เท่านั้น


Gan- ดีน ไปเคาท์ดาวน์ด้วยกันไหม?


ผมชะงักไปเมื่อเห็นข้อความนี้ของอีกฝ่าย ผมเงียบ จ้องมองข้อความด้วยใจลังเล ในหัวคิดหาข้ออ้างมากมายอย่างที่เคยเป็น พี่สรเองก็ชวนผมไปเคาท์ดาวน์ด้วยเช่นกัน รายนั้นผมปฏิเสธไปแล้ว


Deen-ที่ไหนล่ะ


Gan-งานในเมืองไง มีคอนเสิร์ต

Deen-มึงไม่กลับบ้านเหรอ?


ผมพิมพ์ตอบกลับไป เพราะช่วงนี้มันกลับไปอยู่กับครอบครัวในย่านตัวเมือง ที่อยู่ห่างออกไปไม่ถึงกิโลฯ ทำให้ผมเหมือนได้กลับมาสู่โลกส่วนตัวอีกครั้ง

Gan-กลับดิ แต่ไม่ใช่ตอนนี้

Deen-เหรอ

Gan-ไปด้วยกันดิ


ผมจ้องข้อความเชิญชวนนั้น ยกเบียร์ขึ้นดื่มไปหลายอึกก่อนจะพิมพ์ตอบกลับไปไม่นานนัก


Deen-...อืม มึงอยู่ไหน

Gan-บ้าน

Deen-อ้อ


ผมหมดเรื่องคุย เลยเข้าไปส่องหน้าฟีดเฟซบุคของตัวเองไปเรื่อยๆ ส่วนมากเจอแต่สเตตัสสนุกสนานนับถอยหลังปี 2018

Gan-ทำไร

Deen-เมา

Gan-ตลกล่ะ

Deen-กินเบียร์

Gan-คนเดียว?

Deen-เออจะให้ดื่มกับใคร

Gan-ไม่ชวนกู ตลอดเลยนะ ไงก็ดูปลาให้กูด้วยนะ


ผมนิ่ง วางกระป๋องเบียร์ลงกับพื้น นั่นน่ะสิ หนึ่งภารกิจของผมไง คอยดูแลปลาให้ไอ้แกนเวลาที่มันไม่อยู่ห้องหลายวันติดต่อกัน จะว่าภาระก็ไม่เชิง เพราะผมรับกุญแจมันมาแล้ว แต่นอกจากอาหารปลาผมไม่ได้อยู่ในห้องของมันนานนักหรอก

Deen-....เออ

Gan- ห้าทุ่มไปรับนะ รออยู่หน้าอพาร์ทเม้นท์เลย เดี๋ยวกูรีบไป


ผมอ่านข้อความ ก่อนจะจรดนิ้วเตรียมพิมพ์ตอบกลับไปสั้นๆว่า ไม่ต้องรีบหรอก แต่ก็ต้องหยุดไป...เรื่องของไอ้แกนเถอะ
ผมลุกขึ้นยืน เปิดประตูระเบียงแล้วเดินเข้ามาในห้อง อาบน้ำชำระร่างกายให้สดชื่น ในใจก็กำลังชั่งระหว่างจะออกไปกับมันดีหรือไม่ ‘ไหนๆก็ไหนๆ’ผมคิด


จากนั้นก็แต่งตัวในชุดลำลองง่ายๆ กางเกงยีนส์กับเสื้อแขนยาว อากาศหนาวไม่เบาสำหรับปีใหม่นี้ ผมชอบฤดูหนาว แม้ว่าระยะเวลาจะสั้นลงไปเรื่อยๆ


ผ่านไปไม่นาน ไอ้แกนก็มารับผม ครั้งนี้มันขับรถมอเตอร์ไซด์เช่นเดิม ผมรับหมวกกันน็อกมาจากอีกฝ่าย ไอ้แกนก็ยังคงรวบผมไว้ มันรักษาให้ผมไม่ยาวเกินไหล่


“รอนานไหม”มันถาม ขณะที่ผมขึ้นไปซ้อนหลังอีกฝ่าย ผมส่งเสียงอือไปเบาๆ ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธอะไร มันเหลียวมองผมก่อนจะยกยิ้มอยู่คนเดียว


ไอ้แกนพาผมไปงานคอนเสิร์ตในเมือง ในงานมีทั้งโซนของกินและร้านค้า มีคอนเสิร์ตเวทีใหญ่ไว้สำหรับนับถอยหลังเคาท์ดาวน์ มีโชว์แสงสีเสียงด้วย คล้ายกับปีที่ผ่านมา


มาคิดดูอีกทีผมกำลังจะเคาท์ดาวน์กับไอ้แกนเนี่ยนะ ตลกเป็นบ้า ผมไม่ได้ถามเพื่อนคนอื่นๆว่าไปฉลองกันที่ไหนบ้าง ขึ้นเหนือไปซะส่วนใหญ่


“อยากกินไรบอกได้นะ เดี๋ยวเลี้ยง”ไอ้แกนบอกหลังจากที่หาที่จอดรถได้แล้ว ผมมองมันก่อนไหวไหล่ อากาศหนาวเย็นพอสมควร ท้องฟ้าก็ดูอึมครึมมีเมฆก้อนโตเหมือนฝนจะตกลงมา


“กูเอาเงินมาน่า”ผมบอกปัด ไอ้แกนหัวเราะเดินตีคู่มาหาผม มันยิ้ม เดี๋ยวชักเห็นมันยิ้มบ่อยกว่าตัวผมอีก ทั้งๆที่เมื่อก่อนไอ้แกนก็ไม่ใช่พวกยิ้มเรี่ยราดแบบนี้ ออกจะขรึมๆ


“อยากเลี้ยงไง...ปีใหม่ทั้งที”มันบอก


“อือ เรื่องของมึงเถอะ แวะซื้อของกิน แล้วไปดูคอนเสิร์ตไหม”ผมชวนคุย อีกฝ่ายพยักหน้าหยุดอยู่ที่ร้านขนมเบื้อง ผมคิดว่ามันชอบกินอะไรแบบนี้เสมอ เวลาไปงานเทศกาล ถ้าไม่ใช่สายไหม ขนมถังแตก ก็เป็นขนมเบื้อง หวานๆเลี่ยนๆ


“ชอบเหรอ”ผมถามไปแบบนั้นฆ่าเวลาที่ยืนรอมันจ่ายเงิน ไอ้แกนมองผมก่อนจะพยักหน้า จ่ายเงินเสร็จมันก็เดินมาใกล้ “เออ ชอบ”มันว่า ผมมองมันอีกครั้ง เพราะมันทำสายตาแปลกๆมองผม


“ปีที่แล้วเคาท์ดาวน์ที่ไหน”ผมเปลี่ยนเรื่องบ้าง


“ก็เหมือนเดิม อยู่กับที่บ้าน ไปเที่ยวที่เลย”ไอ้แกนเล่า ผมผงกหัวรับรู้ไปด้วย มันยื่นขนมมาแบ่งผม


“เหรอ ทำไมปีนี้ไม่ไปที่อื่นล่ะ”


“ไม่อยากไปรถติด กูก็ไม่อยากไปไหนด้วย อยู่บ้านก็สะดวกดี ใช่ว่าจะไม่มีที่ให้เที่ยว”มันพูด


“อืม”


“แล้วมึงล่ะ อย่าบอกนะปีก่อนๆก็อยู่คนเดียวแบบนี้”มันทำเสียงเหลือเชื่อ ผมหัวเราะในใจ


“เปล่า เพื่อนบ้าง คนอื่นบ้าง”


“คนอื่น? เมื่อก่อนมึงมีคนคุยเยอะนี่หว่า หายไปไหนหมดแล้ว”


“...ถ้ามันไม่ใช่ ก็แยกย้าย ทางใครทางมัน”ผมบอกอย่างไม่ใส่ใจอะไร ไอ้แกนส่งเสียงหึหะมาให้


“มีคนบอกว่ามึงเจ้าชู้ แต่ก็ว่าไม่เห็นเป็นแบบนั้นเลย เหมือนคนเหงาๆมากกว่านะ”มันทำเป็นรู้ดีเรื่องของผมอีกแล้ว อีกฝ่ายเหลียวมองผมอยู่ตลอด


“ก็ทำนองนั้น แต่กูไม่คิดว่าตัวเองเจ้าชู้หรอก ไม่เคยคบซ้อน”ผมบอกไปตามตรง ตราบใดที่ยังไม่ใช่สถานะแฟน ผมก็ไม่คุยกับคนอื่นหรอก


หลังจากนั้นผมกับไอ้แกนก็เดินซื้อของจนทั่วงาน ผมกับมันจึงมาหยุดอยู่ที่คอนเสิร์ตใหญ่ของงานแทน ตอนนี้คนเริ่มเข้ามาเยอะขึ้นเรื่อยๆเพราะเวลาเริ่มขยับใกล้เที่ยงคืนเข้าไปทุกทีแล้ว

ผมฟังพิธีกรบนเวทีไปอย่างไม่เข้าหู แต่มองเห็นนาฬิกาดิจิตอลจากทางด้านหลังเวทีกำลังเริ่มขยับไปเรื่อยๆ  ตอนนี้ 23:40 นาทีแล้ว ไอ้แกนอยู่ข้างๆผม

สิ้นปีแล้ว ผมมีเวลาคิดย้อนเรื่องของตัวเองอยู่ตลอด ทำให้ผมคิดอยู่เสมอว่า ไอ้แกนมันกำลังจะก้าวข้ามอะไรบางอย่าง แต่ผมก็ไม่อยากยอมรับซะทีเดียวหรอก


“ไม่มีคนให้มาด้วยเหรอ”ผมถามมันออกไป อยากรู้ว่ามันมีแฟนแล้วเหรอยัง เห็นว่าทำตัวว่างเปล่า คอยตามติดผมซะส่วนมาก ผมไม่รู้ว่ามันคบผู้หญิงหรือผู้ชายมาก่อน แทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมันเลยด้วยซ้ำ ถ้าจะพูดให้ถูกน่ะ...


“...ไม่มีหรอก ชวนมึงมาไม่ได้หรือไง”ไอ้แกนหันมาพูดกับผม นัยน์ตาสีดำวาวขึ้นเหมือนจะโกรธ ผมไม่สนใจ
ตอนนี้ฝูงชนที่อยู่ในลานคอนเสิร์ตส่วนมากมาเป็นคู่ ไม่ก็เป็นกลุ่มแต่ก็ยังมีคู่ของตัวเองซะส่วนใหญ่ ไม่ก็มากันเป็นครอบครัว ไอ้แกนตีมึน มันมองไปรอบๆตัว ก่อนจะหันมายิ้มกับผม ทำไขสือ


เหมือนรอคอยเวลามานาน ช่วงเวลาที่เริ่มนับถอยหลังเคาท์ดาวน์ ไอ้แกนมันสะกิดแขนผม เสียงพิธีกรบนเวทีกำลังประกาศก้อง รับกับปีใหม่

5

4

ผมมองมัน เสียงคนรอบข้างพูดคุยกันเสียงดังปนเปไปหมดแต่ไม่มีใครว่ากล่าว ในเวลานี้ทุกคนกำลังมีความสุข สนุกสนานกับวินาทีต่อไปนี้

3

2

1

!!


มันเหมือนทุกอย่างตกอยู่ในภาพสโลโมชั่น เหมือนหูผมไม่ได้ยินเสียงรอบข้างอีกต่อไปเมื่อผมเห็นว่าไอ้แกนมันกำลังขยับปากพูดอะไร ทันทีที่สิ้นเสียงของการนับถอยหลัง เสียงพลุปะทุดังขึ้นติดต่อกัน พร้อมกับบนท้องฟ้าสีดำสลับฟ้าสว่างวาบไปด้วยไฟสีแดง สีเงิน สีเหลือง เป็นแสงสีบนท้องฟ้า พลุรูปร่างต่างๆกำลังแตกตัวอย่างอลังการ หลายคนยกโทรศัพท์เก็บโมเม้นต์บนท้องฟ้ากัน

“มึงพูดอะไรนะ”ผมถามออกไปแบบนั้น แม้จะรู้ดีว่าอีกฝ่ายพูดว่าอะไรบ้าง ผมอ่านปากของมันได้ทัน ไอ้แกนยิ้ม มันไม่ตอบคำถามผม แต่แค่กางแขนออกมากอดคอผมกระโดดโลกเต้นไปกับจังหวะเพลงที่กำลังกระหน่ำรับปีใหม่ หมดการจุดพลุไปแล้ว ทำให้บนเวทีกลับมาครื้นเครงอีกครั้ง วงดนตรีกำลังเล่นเพลงจังหวะสนุก


‘อย่าหายไปไหนนะ’ไอ้แกนมันพูดประโยคนี้ ...พูดกับผม...


ค่ำคืนที่ควรจะอยู่อย่างเหงาหงอยเหมือนอย่างเคย แต่กลับมีสีสันขึ้นมาบ้าง อย่างน้อยผมก็ดีใจที่ไอ้แกนเอ่ยปากชวนผมออกมาข้างนอกแบบนี้ ผมควรจะตอบกลับไปว่าอะไร ควรตอบไปดีไหม?


“ขอบคุณนะเว้ย”ผมหันไปพูดกับมัน ไอ้แกนที่โยกหัวตามจังหวะเพลงหันมาหาผม แววตาสีดำของมันดูประหลาดใจ จากนั้นก็พลันเปลี่ยนเป็นยินดี ประกายของความดีใจ อาจเป็นความหวัง?ของคนอย่างมัน


“มึงว่าอะไรนะ ไม่ได้ยิน”ไอ้แกนยื่นหน้ามาถาม ผมถอนหายใจพรืดใหญ่ มันกำลังกวนประสาทผมอยู่สินะ ผมไม่ตอบอะไร ไอ้แกนก็ย้ำวนถามซ้ำๆอยู่ได้


“บอกว่าขอบคุณไง ได้ยินชัดยัง”ผมตะโกนใส่หูมันห้วนๆ ไอ้แกนพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม มันชวนผมเต้นไปกับเพลง แต่ผมก็แค่โยกศีรษะตามก็เท่านั้น

.

.
.

วันต่อมา


ผมยังคงนอนอยู่บนเตียง เมื่อคืนวานผมไปสนุกสนานกับไอ้แกน ทุกครั้งที่ผมไม่สบายใจ ผมจะเมลล์ไปหาพี่กัส บอกเล่าความรู้สึกของตัวเองให้อีกฝ่ายได้รู้ นานๆครั้งที่เจ้าตัวจะโทรมาหาผมเอง ส่วนมากจะติดต่อผ่านเมลล์เท่านั้น ส่วนเฟซบุคหรือไลน์ พี่กัสไม่มี ไม่ก็เพราะไม่สะดวกจะให้คนนอกแบบผม แต่ผมก็ไม่เคยก้าวก่ายอะไรพี่กัส


‘พี่กัสครับ ตอนนี้ผมไม่รู้แล้วว่าตัวเองกำลังรู้สึกยังไง แต่ที่รู้ๆคือผมกับไอ้แกนเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน แต่ผมแค่อยากแกล้งโง่ต่อไป พี่ก็รู้ใช่ไหมว่ามันรู้สึกยังไง เฮ้อ นี่ถ้าพี่อยู่ด้วยล่ะก็ ผมคงชวนพี่ออกไปเมาด้วยกันแล้ว’ พิมพ์จบก็กดส่งเมลล์ออกไป
จากนั้นก็นอนแผ่บนเตียง จ้องมองเพดานที่ว่างเปล่า ส่วนไอ้แกนกลับไปอยู่กับที่บ้านของมัน ผมก็แค่ดูแลปลาอยู่ที่ห้องเช่นเคย และแล้วผมก็นึกถึงคำพูดของมัน ‘อย่าหายไปไหน’ เพราะว่าเมื่อเดือนที่แล้วพี่สรผู้ชื่นชอบงานสังสรรค์ออกปากแนะนำงานใหม่ให้ผม แต่ว่าผมต้องย้ายหอพักใหม่


ติดอยู่อย่างเดียวผมไม่ชอบการเปลี่ยนแปลงซักเท่าไหร่ ผมขอเวลาคิดและเอาไปปรึกษากับไอ้แกน ซึ่งมันก็แนะนำผมแบบเป็นกลาง มันขึ้นอยู่กับผมที่เป็นคนตัดสินใจ

Gan-ทำไรอยู่

Deen -นอน

Gan-ออกไปข้างนอกบ้างสิ

Deen-ก็ออกไง แต่นี่มืดแล้ว

Gan-ปีใหม่แล้วนะเว้ย ไปทำอะไรใหม่ๆบ้างสิ

Deen-อือ

Gan-นี่พูดจริงนะ

Deen-ทำอะไรล่ะ

Gan-ถ้าเสนอ จะไปไหม


ผมมองข้อความนี้อยู่นาน พลางคิดทบทวนไปด้วย ไอ้แกนมันจะชวนผมออกไปไหนอีก

Deen-ลองบอกมาดิ

มันไม่พิมพ์ตอบกลับมา แต่กลับโทรผ่านไลน์มาแทน ผมกดรับสาย

“ไปลานศิลปินกัน”คนปลายสายเปิดการสนทนาทันที ผมขมวดคิ้วแปลกใจเพราะไม่เคยได้ยินชื่องานเลย

“มีงานเหรอ”


“อือ เดี๋ยวกูเข้าไปรับนะ”ไอ้แกนบอก ได้ยินเสียงกุกกักอยู่ในสายตลอด

“เฮ้ย เดี๋ยวดิ”ผมตกใจ ไม่คิดว่ามันจะตกลงโดยไม่คิดแบบนี้


“ทำไมวะ แค่ไปกับกู”


“เออๆ สองทุ่มค่อยมานะ”ผมตอบตกลงไปจนได้ เอาเถอะ มีไอ้แกนอยู่ในชีวิตไม่ถือว่าเลวร้ายนักหรอก


........................................................@ลานศิลป์


ที่นี่มีงานจัดแสดงประยุกต์ศิลป์ พวกงานฝีมือ คล้ายกับเป็นลานสำหรับออกร้านขายของเป็นบู้ท บริเวณใจกลางสวนจะมีลานสำหรับเพ้นท์รูปสด ลานนี้ก่อนหน้านั้นยังเป็นลานเล่นสเก็ตบอร์ด


ไอ้แกนมันพาผมมาที่ลานเพ้นท์ เราต้องซื้อเฟรมผ้าใบ ขนาด 50x70 cm เป็นขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กเกินไป เหมาะสำหรับนำไปแขวนบนผนังบ้านได้ จากนั้นก็ลงชื่อเข้าร่วมโครงการ เมื่อเพ้นท์รูปเสร็จก็จะนำไปประมูลต่อเงินที่ได้จะนำไปบริจาคให้แก่มูลนิธิเพื่อเด็กพิการในจังหวัดต่อไป


“วาดด้วยกัน”ไอ้แกนชวน หลังจากที่ซื้อเฟรมผ้าใบมาแล้ว ผมพยักหน้าไม่ปฏิเสธ เพราะวาดคนเดียวคงใช้เวลานานเกินไป ดูเหมือนว่ามันจะเตรียมตัวมาดีเพราะมันเอาพู่กันและสีโปสเตอร์มาเองเลย ลานเพ้นท์มีไฟสีสว่างไม่เป็นอุปสรรคต่อการมองเห็น


“วาดอะไรดี”ผมถาม


“ง่ายๆ ภาพทิวทัศน์ไง”ไอ้แกนหันมาพูด ระหว่างที่ยืนอยู่ตรงหน้าเฟรมบนขาตั้งไม้ มันกำลังลงพื้นหลังอยู่ ระหว่างนั้นมันก็เอ่ยขึ้นมาเหมือนชวนคุยเรื่อยๆ


“เราไม่เคยทำงานด้วยกันเลยนะ”


“หึ ตอนนี้ก็มีโอกาสแล้วนี่ไง”ผมบอก ตามองข้อมือของมันที่กำลังสะบัดพลิ้วไล่แปรงพู่กันไปตามแผ่นผ้าใบ


“เออ ดีใจนะที่มา”มันหันมายิ้ม


“ก็ถือว่ามาเปิดหูเปิดตานั่นแหละ”ผมไหวไหล่ เหลียวมองคนอื่นๆที่เดินวนเวียนมาใกล้ๆเพื่อถ่ายรูปและยืนมองพวกผู้เข้าร่วมกิจกรรมลงสีบนเฟรมอย่างสนใจ เมื่อพื้นหลังแห้ง ผมก็มาลงรายละเอียดต่อ มันยืนมองผมจากด้านหลัง


“มาช่วยกูลงสีก็ได้นะ จะได้เสร็จไวๆ”ผมบอก ไอ้แกนขยับมาใกล้ๆ พยายามมองภาพที่ผมเพิ่งลงสีไป ภาพวิวที่ผมเลือกใช้คือทุ่งหญ้าสีส้มปนเขียวกับเทือกเขาสีฟ้า งานนี้เน้นที่รายละเอียดของดอกหญ้าและทิวเขามากกว่าจะเป็นทิวทัศน์แบบมุมกว้าง ไอ้แกนหยิบพู่กัน และผสมสีในถาดเอง มันเหมือนจะยิ้มอยู่ตลอดเวลาจนผมหงุดหงิดในใจ การลงสีใช้เวลาเกือบ20นาทีกว่าภาพจะออกมาเสร็จสมบูรณ์ ในภาพผมกับไอ้แกนเซ็นชื่อกำกับลงไปด้วยเพื่อเป็นเครดิต ผมกับมันเก็บของจนเสร็จและไปเซ็นชื่อส่งผลงานจนเสร็จสิ้นกระบวนการ


ไอ้แกนเดินไปดูของแฮนด์เมดในลานข้างๆ ส่วนมากเป็นของที่สามารถใช้ได้จริง โคมไฟดวงเล็ก ถุงผ้า ของที่ระลึกต่างๆ ระหว่างนั้นมีเสียงเรียกดังขึ้น


“ดีน”เป็นเสียงเรียกที่ผมจำได้ดีและไม่มีวันลืม


“พี่กัส”ผมหันไปมองยังต้นเสียงด้วยความตกใจ ไม่คิดว่ามาเจอกับเจ้าตัวในเวลานี้ ตอนนี้เลย ผมงง เดินไปหาพี่กัสที่ยืนอยู่ในบู้ทขายของคาดว่าคงเป็นของจากแกลลอลี่ที่หุ้นกับเพื่อน เอามาออกขายในงานนี้ ที่ด้านในร้านมีพี่ตองยืนอยู่อีกคนด้วย


“ไง...”พี่กัสยิ้ม โบกมือเรียก ผมกับไอ้แกนเดินเข้าไปหาที่ด้านในร้าน


“มาไทยแล้วทำไมไม่บอกกันบ้าง”ผมถาม รู้สึกเหมือนไม่มีความสำคัญขึ้นมาทันที พี่กัสมองผม “ก็กะมาเซอร์ไพร์ไง”


“ใจร้ายจริงๆ”ผมว่า พี่กัสยิ้มขำก่อนจะเหลือบมองไปที่ไอ้แกนบ้าง ผมเลยได้โอกาสแนะนำมันกับพี่กัส รู้อยู่แก่ใจว่าเจ้าตัวก็รู้จักมันอยู่แล้ว


“หวัดดีครับ ได้เจอตัวเป็นๆซะที”ไอ้แกนเอ่ยกับพี่กัสด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ผมเหลือบมองมันนิ่งๆ ไม่คิดว่ามันจะกล้าพูดกับคนที่เพิ่งเจอหน้ากันครั้งแรกแบบนี้


“อืม พี่ได้ยินเรื่องมาบ้างนะ แล้วสบายนะ”พี่กัสเหมือนไม่ใส่ใจไอ้แกน


“ก็สบายดีครับ”มันตอบ ผมหันไปมองพี่ตองบ้าง อีกฝ่ายแค่ไหวไหล่


“พี่มานานแล้วหรือยัง”ผมถาม พี่กัสมอง “เมื่อสองวันที่แล้วเอง มีธุระที่ไทยพอดีเลยได้ที เอาของมาลงที่งานนี้เลย”พี่กัสบอก แล้วชวนให้ผมกับไอ้แกนไปนั่งเก้าอี้ที่หลังร้านแทน ส่วนเจ้าตัวกับพี่ตองก็คอยอธิบายสินค้าให้ลูกค้าที่เข้ามาถามพอดี ผมหยิบโทรศัพท์ออกมาเล่นไปแบบนั้นเหมือนคนไม่มีอะไรทำ


“เป็นอะไร”ไอ้แกนถาม มันนั่งอยู่ทางซ้ายมือของผม


“เปล่า แค่เบื่อๆ”ผมบอก ไม่ได้มองมัน มองพี่กัสที่กำลังหยิบโคมไฟแบบตั้งโต๊ะ คล้ายกับไข่ขนาดใหญ่ ถูกแกะสลักลายไว้เป็นสีขาว


“นึกว่าจะดีใจซะอีกที่เจอพี่กัสของมึง”ไอ้แกนพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนแดกดัน


“อืม ก็ดีใจ แต่มันก็เท่านั้นแหละ มึงดูสิ กูก็นั่งอยู่ตรงนี้”ผมพึมพำ เข้าใจเรื่องทุกอย่าง ผมเคยคาดหวังแต่พอมาทบทวนตัวเองอย่างจริงจัง ผมก็เป็นแค่คนๆหนึ่งของพี่กัสเท่านั้น


“เลิกทำหน้าซักกะตายเหอะ ขัดลูกตา”ไอ้แกนบ่น ก่อนจะกระแทกหมัดลงมาที่ไหล่ของผมแบบไม่เต็มแรง ผมไม่เจ็บอะไรมาก แต่มันทำให้ผมได้สติ


“หึ”ผมยิ้ม แค่นั่งมองคนที่เดินผ่านไปมา “ปีใหม่แล้ว เริ่มอะไรใหม่ๆดีกว่า”ไอ้แกนพูด ผมฟังและคิดตาม

ก็ใช่...ตอนนี้ปีใหม่แล้ว เข้าสู่ปี 2018 แล้ว ตอนนี้ผมก็เริ่มต้นใหม่แล้ว


“อือ ก็ไม่ใช่ว่ากูไม่เริ่มต้นใหม่ไม่ใช่เหรอ”ผมพูด มองไอ้แกนที่ไร้รอยยิ้มแต่แววตาของมันเป็นประกาย


“แล้ว...”


“กู....คงไม่ย้ายไปไหนหรอก ถึงงานจะไม่ใช่ของถนัด แต่ก็เรียนรู้อะไรใหม่ๆเยอะเลย แล้วกูเคยชินบรรยากาศเดิมๆไปแล้ว”ผมบอกมัน


“อือ เข้าใจแล้ว”ไอ้แกนตอบกลับมา ผมนิ่ง ไม่สามารถรับรู้ได้ว่ามัน ‘เข้าใจ’สำหรับเรื่องใด แต่ก็ยิ้มออก ตลอดหลายปีที่ผ่านมา รวมถึงช่วงเรียนด้วยกัน มาจนตอนนี้ ผมรู้สึกขอบคุณไอ้แกน ถ้าหากว่ามันไม่คิดจะตามมาขอโทษผมล่ะก็ ผมจะเป็นยังไง เป็นไอ้ดีนที่จมปลักไม่ยอมก้าวเดินต่อไปได้ ถ้าเป็นแบบนั้น ผมก็คงไม่ใช่ไอ้ดีนคนปัจจุบันนี้แน่ๆ


“ไปที่อื่นกันไหม”ผมชวน


“เออ ไปไหนล่ะ”ไอ้แกนถาม ผมมองมันอย่างเต็มตา ไม่รู้เหมือนกัน


“เดี๋ยวก็คิดออก”ผมบอก แล้วลุกขึ้นยืน เดินไปหาพี่กัสที่กำลังจัดของในบู้ทเพิ่ม


ผมบอกลาเจ้าตัวอีกครั้ง อีกฝ่ายยิ้มก่อนจะเข้ามากอดผมแน่นๆ “เมลล์มาได้เสมอนะ... พี่อ่านตลอด อ้อ แล้วเมลล์ล่าสุดนั่น...ดีนมีคำตอบหรือยัง”พี่กัสพูดขึ้นมา ผมนิ่งไป เหลือบมองไอ้แกนที่ยืนอยู่ไม่ไกล ท่าทางเหมือนสนใจเรื่องที่กำลังคุย


“...พี่ก็ถามแปลกๆ ผมไม่รู้อนาคตหรอก”ผมบอกยิ้มๆ พี่กัสผงกหัวตาม “อย่าคิดมากเรื่องพี่นะ มึงยังเป็นน้องของกูเสมอ”พี่กัสบอก ผมพยักหน้าก่อนจะโบกมือลาพี่กัสและพี่ตอง ไอ้แกนเดินตามหลังผมมาช้าๆ มันเหลียวมองพี่กัสด้วยสายตางงๆ


“ดูเป็นพี่ที่ดีนะ”ไอ้แกนพูดกับผม

“แหงล่ะ”


“แล้ว...ไปไหนต่อดี”ไอ้แกนเดินตีคู่มาก่อนจะยกแขนกอดคอผม มันกล้ามาตั้งแต่งานเคาท์ดาวน์แล้ว คงเห็นผมไม่ว่าก็ยิ่งได้ใจล่ะมั้ง ผมตีหน้านิ่ง


“มึงนี่ ชักจะลามปามนะ”ผมว่า เอี้ยวตัวหลบออกจากท่อนแขนของมัน แต่ไอ้แกนกลับรัดคอผมแน่นเข้าไปอีก


“น่า ดีกันทั้งที แค่นี้ไม่ได้หรือไง”ไอ้แกนหัวเราะเบาๆ ผมจ้องหน้ามันที่อยู่ไม่ห่าง ไม่รู้คิดถูกคิดผิดที่ลดระยะห่างลงมา


“...มึงอยากไปไหน”ผมถาม ไอ้แกนยกยิ้ม


“ไปดูมวยกันไหม”มันเสนอทันที ได้ยินว่ามีมวยคาดเชือกใกล้ๆกับงานคอนเสิร์ตเมื่อคืนวานด้วย


“อีกแล้วเหรอ ชอบอะไรนักหนาวะ”ผมไม่เข้าใจมัน ไอ้แกนหัวเราะ


“ก็ไม่ทำไมนะ อยากไปดูสนุกๆ”มันบอก ผมส่ายหน้า ผมไม่ชอบดูมวยเลย ไม่ว่าจะมวยสากลก็ตาม “เหรอ ตามใจ”ผมพูดห้วนๆ อยากทำอะไรก็ทำ ถึงไม่ไปดูมวย ผมก็ไม่รู้จะไปไหนเหมือนกัน


“ไว้เราไปกินเหล้าด้วยกันไหม”มันชวน


“...ตามใจ”ผมบอก


“ดี”ไอ้แกนพยักหน้าอย่างพอใจ มันยิ้ม


จากนั้นไอ้แกนก็ขี่มอเตอร์ไซด์คันเดิมพาผมไปดูมวยคาดเชือกจริงๆด้วย ผมไม่รู้ว่ามันมีเป้าหมายอะไรกับการพาผมมาดูมวยในทุกครั้งที่เราออกมาข้างนอก หรือผมจะคิดมากไปเอง บางทีมันไม่ได้มีจุดประสงค์แอบแฝง


“บางครั้ง เวลาเราเผชิญกับสถานการร์กดดันอะไร ก็เหมือนเรายืนอยู่บนสังเวียนต่อสู้นะ เราต้องคิดกลยุทธ์ หาทางปล่อยหมัดฮุกฝ่ายตรงข้ามให้ได้ จะดาหน้าเข้าไปตรงๆก้คงไม่ได้หรอก อาจโดนสวนจนน็อก... ก็ต้องมีหนทางที่จะเข้าไปใกล้อีกฝ่าย หลอกให้หมดแรง ต้อนไปจนมุม ทำให้ลดการ์ด แล้วก็ปล่อยหมัดฮุกไป จอดไม่จอดก็รู้เอง...”ไอ้แกนพูดขึ้นระหว่างที่จ้องนักมวยบนสังเวียนที่ปล่อยหมัดใส่กัน


ผมฟังแล้วย่นหน้า มันกำลังหมายถึงสถานการณ์แบบไหนกันล่ะ


"ยกตัวอย่างหน่อย"ผมบอก ไอ้แกนยิ้มมุมปาก มันยกแขนกอดอก


"อย่างเช่น...เวลาเราจะเข้าหาใครสักคน ต้องใช้วิธีไหนดี ดาหน้าเข้าไปเลย หรือจะค่อยๆเข้าไปประชิด แต่มันก็จะเหนื่อยหน่อย เพราะลองเชิงกันนาน"


ผมหัวเราะ ถ้ามันหมายถึงเรื่องความรัก ความชอบอะไรพรรคนั้น ผมคงไม่ใช่ฝ่ายเหนื่อยหรอก อาจไม่ใช่คู่ชกของใครด้วยซ้ำ ก็ไม่เห็นต้องเอาตัวเองไปยืนบนสังเวียนเลยนี่


"มึงคงเป็นประเภท...ลองเชิงนานไปหน่อยล่ะมั้ง"


"ถ้าเป็นสังเวียนจริงๆ กูก็เปิดแลกเลย แต่พอมาเทียบกับสถานการณ์แบบนี้แล้ว คงต้องเป็นแบบนั้น..."

ผมควรทำยังไงดีล่ะ 'ชอบกูงั้นเหรอ?' 'เพราะอะไร' ไม่อาจปฏิเสธความจริงที่ผมและมันก็รู้อยู่แล้ว มันชัดเจนพอสมควร


"การสานความสัมพันธ์เป็นเรื่องยาก"


"กูกำลังคิดว่า ขอ..."มันเงียบไป ผมกลั้นใจฟัง


"ว่า...."


"กูมีโอกาสหรือเปล่าล่ะ"ไอ้แกนหันมาถาม ผมขมวดคิ้ว ถ้าให้แจกแจงความรู้สึก ผมไม่ได้ชอบมันในเชิงรักใคร่แบบนั้นแน่ๆ อาจจะเป็นเพื่อนที่ต่างไปจากไอ้ติเพื่อนผม


"...กูไม่รู้อนาคตหรอก แต่อย่างไหนดีกว่ากันเหรอวะ ไม่คิดว่าเรามันต่อกันไม่ติดเหรอ กูกับมึงเนี่ยนะ แค่คิดก็บรรยายไม่ถูก อย่างที่บอก กูไม่ชินกับการเปลี่ยนแปลงกะทันหัน"ผมบอก ไ่ได้ปิดโอกาส แต่ก็ไมม่ใช่เร็วๆนี้ แล้วไอ้ที่เป็นอยู่ัมันไม่ดีหรือไงกัน

ไอ้แกนถอนหายใจ "นี่คือคำตอบงั้นสิ"


"เป็นแบบนี้ไม่ได้เหรอวะ กูสนุกในความสัมพันธ์แบบนี้ ไม่ใช่ว่าจะไม่เปลี่ยน แต่กูไม่พร้อม"ผมบอก ยังไม่พร้อมรับฟังจากปากมันแน่ๆ ไม่ใช่ว่าผมมีอคติต่อมัน แต่เอาจริงๆ ผมยังชอบมันในระดับนี้


"แล้วไง..."


"อย่าอารมณ์บูดดิ กูก็ไม่ได้ไปไหนหรอก"ผมบอก ไม่รู้ว่าไอ้แกนมันรู้สึกยังไง มันไม่เคยเผยให้รู้


"สงสัยจะต้องเหนื่อยแหงๆ แต่ช่างเถอะ กูก็ไม่ได้แคร์กฏเกณฑ์อะไรอยู่เเล้ว ระวังตัวไว้เหอะมึง"มันหันมาพูดเสียงแข็งๆ แต่ไม่ได้ให้ความรู้สึกน่ากลัวอะไร ผมยิ้มขำ บนเวที นักมวยฝ่ายน้ำเงินแพ้ไปแล้ว นอนจุกอยู่กับพื้น


"หึ ทำอะไรคิดถึงผลที่ตามมาด้วยล่ะ"ผมบอกอย่างไม่สะทกสะท้าน คิดว่าไอ้แกนไม่โง่
แต่ผมไม่รู้อนาคต ไม่มีอะไรแน่นอนสำหรับสรรพสิ่งบนโลก ล้วนไม่จีรังนักหรอก โดยเฉพาะไอ้คำว่ารักว่าชอบน่ะ แต่ผมก็ไม่ได้ปิดตายความรู้สึกของตัวเอง


"ยังไงก็ขอบคุณนะที่ชวนออกมา"ผมบอก มันไหวไหล่


"อือ ชวนมา มึงก็มาอยู่เเล้วนี่"ไอ้แกนบอก


นั่นสิ ถึงผมจะอิดออด แต่ก็ไปกับมันอยู่ดี


"มึงชอบคนแบบพี่กัสหรือไง จะว่าไปกูไม่เหมือนใครที่มึงเคยชอบเลยนะ"ไอ้แกนพูดแล้วถอนหายใจ ผมไม่คิดว่ามันจะพูดกับผมตรงๆแบบนี้นะ ผมย่นหน้า


"ใช่"ผมตอบ แบบไอ้แกนไม่มีทางเป็นแบบที่ผมชอบหรอก แต่ของแบบนี้ไม่ตายตัวหรอก ถ้าได้ชอบแล้ว มันก็ห้ามไม่ได้หรอก เหมือนที่มันชอบผมเนี่ยแหละ



.................................จบ...................................

(เนื้อเรื่องไม่เกี่ยวข้องกับตอนอื่นๆ)
แต่ก็สมหวังทุกคู่ แกนดีนอาจจะติดๆขัดๆไปบ้างเนอะ
ขอบคุณค่ะ
สวัสดีปีใหม่ นักอ่านทุกคนนะคะ ขอให้มีความสุขค่ะ


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 31-12-2017 22:16:40 โดย RindadaRin »

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด