ตอนที่ 14พ่อแม่ของหลวงอินทรทินกรมาอยู่ที่พระนครร่วมอาทิตย์ก็เดินทางกลับต่างจังหวัดโดยรถไฟ แต่แม้จะกลับไปแล้ว ข้าวของที่นำมาฝากลูกชายก็เหลือกินเหลือใช้ได้อีกเป็นเดือนสองเดือน และแน่นอนว่าก่อนกลับ ก็ไม่ลืมเรื่องฝากฝังให้คิดเรื่องการหมั้นหมายและแนะบอกฤกษ์ดีให้เสร็จสรรพ นอกจากนี้ก็ยังส่งจดหมายมาทั้งถามไถ่และเร่งเร้าลูกชายเป็นระยะๆ
“เข็มเพิ่มขึ้นอีกแล้วนะครับ”
รัตติกาลเอ่ยขณะที่ช่วยติดเข็มให้กับคุณหลวงผู้เป็นนาย แม้ชีวิตของรัตติกาลและหลวงอินทรทินกรจะดำเนินไปตามปกติ แต่ตำแหน่งหน้าที่รุดหน้าไปอย่างรวดเร็วไม่ปกติในเวลาเพียงไม่กี่ปี เพราะไม่นานหลังจากที่ได้รับยศร้อยตรี หลวงอินทรทินกรก็ได้รับการเลื่อนยศเป็นร้อยโท ทั้งนี้ก็เป็นผลมาจากการที่ผู้บังคับบัญชาของหลวงอินทรทินกรโดยตรงอย่างหลวงภิภพไชยณรงค์ได้สร้างผลงานใหญ่เอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นการปราบกบฏ แล้วยังได้ขึ้นดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในเวลาต่อมาอีกด้วย
ซึ่งตำแหน่งลาภยศยิ่งรุดหน้ามากเท่าไหร่ รัตติกาลก็รู้ว่าต้องระวังให้มากขึ้นเท่านั้น แม้เวลานี้จะไม่มีใครกล้ามาหาเรื่องเจ้านายเขาตรงๆ แต่ด้วยอำนาจล้นมือของทั้งหลวงภิภพไชยณรงค์ที่สร้างศัตรูไว้มากมาย สักวันจะกลับมาสร้างปัญหาให้ทั้งตัวเองและลูกน้องอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ดังนั้นเวลานี้ชายหนุ่มจึงตัดสินใจที่จะช่วยไม่ให้คุณหลวงผู้เป็นนายเดินเกมผิดพลาดเท่านั้น
“พ่อแม่คุณหลวงคงภูมิใจน่าดู”
ชายหนุ่มพูดจากใจจริงไม่ได้มีวี่แววถึงการประชดประชัน เพราะเขารู้ดีที่สุดว่าเจ้านายตัวเองทุ่มเทกับงานมากแค่ไหน แม้มีช่องให้ใช้อำนาจในทางที่ผิดมากมาย แต่หลวงอินทรทินกรก็ไม่เคยทำสักครั้ง เงินเดือนก็รับเท่าที่ให้ ครึ่งหนึ่งกลับเอาไปร่วมทุนสร้างโรงเรียนและมหาวิทยาลัยเสียด้วยซ้ำ
เมื่อชายหนุ่มพูดถึงพ่อแม่อีกฝ่าย หลวงอินทรทินกรจึงเอ่ยถามออกมา
“เธอ...คิดถึงครอบครัวหรือเปล่า”
“...”
หลายปีที่อยู่ที่นี่ หากจะบอกว่าไม่คิดถึงก็คงโกหก แต่การคร่ำครวญถึงอดีตนั้นก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น ดังนั้นเขาจึงนิ่งเงียบไม่ตอบ ซึ่งคนร่างเล็กตรงหน้าก็พอจะเดาความรู้สึกชายหนุ่มจากความเงียบได้
“พ่อเธอ...เป็นคนอเมริกาใช่ไหม”
รัตติกาลพยักหน้า เขาเคยเล่าให้หลวงอินทรทินกรฟังถึงครอบครัวของตัวเอง รวมทั้งชีวิตและวีรกรรมที่เคยสร้าง แต่พอนานไปก็เลิกพูดถึงอดีต ตอนนี้เขามุ่งมั่นอยู่กับปัจจุบันตรงหน้า แทนที่จะไปพะวงถึงอดีตและอนาคต
หลวงอินทรทินกรเม้มปากเหมือนครุ่นคิด ขณะที่คนร่างสูงกำลังจัดเสื้อให้ ก่อนที่จะช่วยสวมสายคาดและคันชีพ
“อยู่ที่นี่...คิดเสียว่าฉันเป็นครอบครัว เป็นพ่อแม่เธอแล้วกัน ถึงฉันจะไม่ได้หน้าเหมือนพ่อเธอก็เถอะ”
สายตาอ่อนโยนหลุบมองไปทางอื่น ให้เดาก็คงจะเขินอายอยู่เหมือนกัน
“ให้ผมมองคุณเป็นพ่อแม่คงยาก”
ในใจของคนร่างเล็กคิดไปว่าตัวเองคงไม่น่าเคารพหรือวุฒิภาวะไม่พอสำหรับรัตติกาล ถึงได้ยินคำตอบแบบนั้น
“คุณหลวงจูบปากพ่อแม่แบบนั้นด้วยไหมล่ะ”
“...”
แล้วคนร่างสูงใหญ่ก็ยกยิ้มเจ้าเล่ห์ พลางช้อนสายตามองไปที่หลวงอินทรทินกร มือที่ขยับช่วยสวมสายคาดให้เสร็จสิ้น เปลี่ยนมาจับมือเรียวขึ้นเพื่อจูบที่หลังมือเบาๆ
“บอกแล้วไม่ใช่หรือว่าอย่าทำอย่างนี้”
หลวงอินทรทินกรรีบดึงมือกลับ
ขณะที่ผู้เป็นนายพยายามลืมเรื่องที่เคยเกิดขึ้น ชายหนุ่มกลับชอบที่จะเตือนความจำอีกฝ่ายเป็นประจำ เหมือนตะกอนน้ำหากลงสู่ก้นเมื่อไหร่ เป็นต้องโยนหินลงไปกวนให้น้ำขุ่นทุกทีไป
“อย่าทำอย่างนี้นี่อย่างไหนครับ”
คนร่างเล็กกว่าไม่ตอบ กลับทำคิ้วขมวดและยู่ปากนิดหน่อย เห็นแล้วชายหนุ่มก็ยิ่งชอบใจจนเอ่ยแกล้งไปอีกที
“จูบน่ะเหรอ ทำไมล่ะครับ คิดซะว่าวัฒนธรรมฝรั่งเจอกันก็จูบปากจูบมือกันให้เห็นปกติ”
“บอกแล้วไงว่ามันผิด”
หลวงอินทรทินกรย้ำ แต่ชายหนุ่มกลับทำเป็นเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา ท่าทีแบบนี้ทำให้คนร่างเล็กกว่าเอ่ยต่อ
“รัต เธออย่าทำสิ่งที่มันผิดศีลธรรมประเพณี คนปกติที่ไหนเขารู้ก็จะไม่สรรเสริญ”
“แล้วไง ต่อให้ห้ามตัวได้ ห้ามใจได้หรือไง”
“ได้สิ”
คุณหลวงผู้เป็นนายตอบห้วน ก่อนที่จะเดินนำออกจากบ้านไป ปล่อยให้รัตติกาลมองตามอย่างไม่สบอารมณ์
.
.
ปีพุทธศักราช 2478 หลังจากฮิตเลอร์ก้าวสู่การเป็นผู้นำประเทศได้สองปี ก็ได้เริ่มการเตรียมการเพื่อสงคราม ไม่ว่าจะด้วยการหาทุนเพื่อสร้างอาวุธและกองทัพผ่านระบบต่างๆ รวมถึงการยึดทรัพย์สินจากผู้ที่เป็นศัตรูทางการเมืองและชาวยิว และในปีเดียวกันนี้เองความไม่ลงรอยอันเกิดจากสนธิสัญญาแวร์ซายเริ่มปรากฏให้เห็นในยุโรป ขณะที่ในเอเชีย จักรวรรดิญี่ปุ่นเริ่มมีอำนาจมากขึ้น ส่งผลให้มีการเซ็นกติกาสัญญาต่อต้านโคมินเทิร์น*ระหว่างนาซีเยอรมันและจักรวรรดิญี่ปุ่นเพื่อต่อต้านสหภาพโซเวียตโดยเฉพาะในปีถัดมา
ขณะที่สถานการณ์ทั่วโลกเกิดความระส่ำระส่ายดั่งคลื่นใต้น้ำ สยามก็ยังไม่สามารถสร้างความมั่นคงภายในประเทศได้ แต่ก็ยังคงต้องบริหารและรับมือกับสถานการณ์ทั้งภายในและภายนอกประเทศ ช่วงเวลานี้ร้อยโทหลวงอินทรทินกรภายใต้การบังคับบัญชาของพันเอกหลวงภิภพไชยณรงค์ รับหน้าที่เป็นที่ปรึกษาทางด้านการทูตและความสัมพันธ์กับต่างประเทศให้กับผู้บังคัญบัญชา โดยรัตติกาลเองก็เป็นคนให้คำแนะนำคุณหลวงผู้เป็นนายเช่นกัน
แต่จะเรียกชี้ชัดว่าให้คำแนะนำก็ไม่ถูกนัก เพราะชายหนุ่มแค่บอกถึงความเป็นจริงตามเหตุการณ์สากลโลกไปเท่านั้น ไม่เคยมีสักครั้งที่จะชี้นำให้ใครต้องมาตัดสินใจวิธีการเพียงเพราะคำพูดของตนเอง ถึงอย่างนั้นแม้เขาจะคิดว่าไม่ได้มีส่วนในการตัดสินใจใดๆ ทว่าหลวงอินทรทินกรกลับคิดว่าความรู้ความอ่านของรัตติกาลอันเกี่ยวกับเหตุการณ์ในบ้านเมืองและภายนอกก็ช่วยให้จัดการรับมือทางด้านการทูตได้มากทีเดียว
ด้วยการงานที่เข้มข้นขึ้นทุกขณะ ทำให้หลวงอินทรทินกรยังสามารถผ่อนผันเรื่องการมั่นหมายที่ครอบครัวกดดันมาเป็นระยะได้ ซึ่งท่าทีที่บ่ายเบี่ยงนั่นของเจ้านายไม่ได้สร้างความประหลาดใจให้รัตติกาลนัก สิ่งที่ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกตะหงิดใจมากกว่า ก็คือเวลาที่มีการพบปะสังสรรค์กันระหว่างข้าราชการของสยามและกลุ่มทูตและเจ้าหน้าที่ชาวต่างชาติต่างหาก
จะเรียกว่าเป็นความบังเอิญก็เป็นได้ ที่หลวงอินทรทินกรได้พบกับเพื่อนเก่าชาวต่างชาติจากมหาวิทยาลัยเดียวกันสมัยเรียนที่ยุโรป
นายแพทย์ฟรานซิส เวสเตนการ์ด เดินทางมายังสยามในฐานะอุปทูต
ในสายตาของรัตติกาล เห็นนายแพทย์ฟรานซิสเป็นแค่ฝรั่งหัวทอง ท่าทางสุขุมที่มีดวงตาสีฟ้า ไม่น่ามีอะไรเด่น แต่น่าแปลกที่แค่เห็นก็ไม่ชอบหน้า หรืออีกแง่คือหมั่นไส้แปลกๆ
และยิ่งเห็นสายตาของหลวงอินทรทินกรเวลาพูดคุยกับไอ้หัวทองนั่น ก็ชักจะคันไม้คันมือคันปากขึ้นมาตะหงิดๆ
ปกติเวลาอยู่กับเขาไม่เคยเห็นหลวงอินทรทินกรมีท่าทีประหม่าขนาดนี้ สายตาและใบหน้าที่หลุบต่ำนั่นมันคืออะไร มองตรงๆ ยังไม่กล้ามอง ถามจริงท่าทีแบบนั้นมันคืออะไรหา!?
...กริ้วโว้ย!
และความหงุดหงิดยิ่งมีเพิ่มมากขึ้น เมื่อรัตติกาลได้รู้ว่าเจ้านายของเขา แค่จะพาไอ้หัวทองชมเมืองไม่พอ ยังเชิญให้มาทานอาหารที่บ้านอีกแน่ะ!
“สนิทกันหรือครับ ชวนมาถึงบ้าน”
ที่พูดนี่ตั้งใจจะประชด
“สมัยเรียนอยู่ที่ยุโรป มิสเตอร์ฟรานซิสช่วยเป็นติวเตอร์ให้ฉัน ถือว่ามีพระคุณอยู่มาก เมื่อเธอออกปากอยากให้พาชมพระนคร ฉันก็ควรตอบแทนน้ำใจเธอไม่ใช่หรือ”
รัตติกาลยิ้มตาหยีแบบไม่เห็นฟัน แต่ในใจนี่ยากจะคาดเดาว่ายิ้มด้วยหรือไม่
คุณหลวงตอบแทนน้ำใจไอ้ฝรั่งนั่นก็ไม่แปลก แต่คิดถึงเขาผู้ซึ่งทำหน้าที่เป็นบ๋อยคอยเสิร์ฟน้ำอาหาร เป็นคนเดินตามช่วยถือของต้อยๆ เป็นคนมองตามคนสองคนยืนคุยกระหนุงกระหนิงจากด้านหลังกันบ้างไหม บอกเลยว่าคราวนี้ต้องขอค่าจ้างราคาแพงหูฉี่จากเจ้านายเสียแล้ว ส่วนไอ้ฝรั่งนั้นไม่คิดตังก็ได้ เพราะอย่างน้อยก็ทำให้เขารู้บางอย่างเกี่ยวกับหลวงอินทรทินกรได้ดีขึ้น และทำให้เขามั่นใจในสิ่งที่สงสัยมานาน
แต่ความวัวยังไม่ทันหาย ความควายก็เข้ามาแทรกอีก ตรงที่หลังจากพาฝรั่งเที่ยวรอบพระนครไม่นาน ครอบครัวของหลวงอินทรทินกรก็ขนกันมาที่พระนครอีกครั้ง พร้อมกับบ้านของคุณหญิงพัชรา!
.
.
[TBC]
Talk: มาต่อแล้วค่า อยากถามคนอ่านหน่อยค่ะว่าอยากอ่านเรื่องนี้แบบกระชับ หรือว่าอ่านแบบไปเรื่อยๆ ดีคะ แหะๆๆๆ