[ หลังสวนดอกท้อ ] บทส่งท้าย [The End] :: UPDATE 21.07.16 ::
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [ หลังสวนดอกท้อ ] บทส่งท้าย [The End] :: UPDATE 21.07.16 ::  (อ่าน 66976 ครั้ง)

ออฟไลน์ boboman

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-2
จิ้มมม
หย่งคังกะซื่อหลางสู้ๆ อย่าไปยอมอิเลี่ยงหวง -_-^
หยงเทียนขยันเต๊าะฟานตงจริงๆ เลย น่ารักอ่ะ 555
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-07-2015 20:15:31 โดย boboman »

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
หยงเทียนฉวยทุกโอกาสจริงๆ ร้ายนัก!

เฟยหลง ต่อให้กล้าแกร่งอย่างไรก็ยังสู้ชายแก่มากเล่ห์ไม่ได้อยู่ดี

ออฟไลน์ poogan_zadd

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
น้องหย่งคังโดนทรมานอะไรไหม คนเป็นพ่อเค้าทำกันแบบนี้เหรอ
เฮ่อออ อยากให้เจอกับซื่อหลางไวๆ กลัวน้องหย่งคังกลับไปสู่ด้านมืด

ออฟไลน์ Natsukairi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 46
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
    • Fanpage

ดอกท้อที่ ๑๐
(ครึ่งแรก)

ห้าวันหลังจากที่หย่งคังเข้ามาอยู่ในบ้านตระกูลจาง

เขาถูกทรมานอยู่ในห้องสี่เหลี่ยม หากว่าการทรมานนั้น ไม่เหมือนเมื่อเจ็ดปีก่อน

ไม่มีการเฆี่ยนตี ไม่มีการด่าทอ

การทรมานที่ว่า ทุกๆ วันเด็กหนุ่มถูกสั่งให้เรียนหนังสือ อ่านเขียนตัวอักษรยากๆ เป็นร้อยเป็นพัน หากทำไม่ได้จะถูกอดข้าว ฟังดูเป็นการลงโทษที่ไม่ร้ายแรงอันใด เว้นเสียแต่ต้องคอยฝึกวรยุทธและพลังลมปราณ เมื่อร่างกายหิวโหย เข้าขั้นไม่มีเรี่ยวแรง หย่งคังจะถูกอาจารย์ฝึกใช้กำลังภายในเล่นงานเสียจนยับเยิน

กระทั่งเลือกกระอักออกปาก ทุกอย่างจึงยุติลง

“คุณชายเล็ก ท่านตัวสูงใหญ่กว่าข้า แต่ทำอะไรข้าไม่ได้แม้ปลายเส้นผม”

อาจารย์เสี่ยวเห๋อพูดหน้านิ่ง คนฟังกัดฟันกรอด ขยับตัวไม่ได้เพราะถูกสะกัดจุด

“ท่านเล่นไม่ซื่อ”

“หาใช่ฝีมือการต่อสู้ของท่านเหยาะแหยะ?”

“แน่จริงอย่าใช้กำลังภายในกับข้า”

“คงไม่ได้”

อาจารย์เสี่ยวเห๋อเดินเข้าไปหาเด็กหนุ่มตัวสูง แก้วิชาสะกัดจุดให้คลายออก อีกฝ่ายทรุดตัวล้มกับพื้นอย่างแพ้ราบคาบ

“วันนี้พอแค่นี้ ขอให้คุณชายเล็กจงกลับไปฝึกอย่างที่ข้าน้อยแนะนำไปเมื่อตอนต้นคาบเรียน”

เหตุจากไม่ตั้งใจเรียน สองวันมานี้จึงโดนอดข้าว เมื่อต้องต่อสู้ก็ย่อมแพ้คนวิชาสูงกว่า หย่งคังในวัยสิบห้าปียังเป็นลูกไก่ในกำมือของนายเลี่ยงหวง หากหลบหนี ชีวิตของหลี่ซื่อหลางอาจเป็นอันตราย เขาจึงต้องทำตามที่อีกฝ่ายสั่งอย่างเลี่ยงไม่ได้

หย่งคังถอนหายใจเฮือก

เขาอยากรู้ความเป็นอยู่ของหลี่ซื่อหลาง ตอนนี้อีกฝ่ายจะเป็นเช่นไรบ้างหนอ?

โกรธเขาหรือเปล่าที่คืนนั้นออกมาไม่บอก?

หากได้ยินเสียง แม้จะดุด่า เด็กหนุ่มคงดีใจมีแรงฮึดสู้มากขึ้น แต่เขาก็ไม่อาจทำใจฉุดหลี่ซื่อหลางให้ลงมาแปดแปื้อนเรื่องสกปรกโสมมเหล่านี้ได้

ใช่ว่าไม่รู้ หลี่ซื่อหลางมาขอพบเขาหลายครั้ง

ทุกครั้ง…หย่งคังเจ็บปวดทรมานเกินกว่าใครจะจินตนาการ…

…ใกล้เพียงไม่กี่ก้าว หากไกลเกินเอื้อม…

หย่งคังเพิ่งรู้ซึ้งเอาวันนี้ เขาไม่มีโอกาสกอดร่างโปร่งได้ดั่งใจปรารถนาอีกแล้ว หากเพียงต้องรอเวลาที่เขาจะแข็งแกร่งกว่านี้ มากกว่าที่จะตกอยู่ในการควบคุมของใคร! หย่งคังสาบานต่อฟ้า เขาจะไม่ยอมตกอยู่ในสภาพนี้ตลอดชีวิต

ไม่ใช่คุณชายเล็กตระกูลจางที่คอยเป็นหุ่นเชิดให้นายเลี่ยงหวง!

วันหนึ่งทุกอย่างของตระกูลจะตกเป็นของเขา อำนาจ ทรัพย์สิน เมื่อเขามีทุกอย่าง อยู่เหนือทุกคนในตระกูล เขาจะออกตามหาดวงใจของตัวเอง นำมันกลับสู่อ้อมอกแล้วจะไม่มีวันปล่อยมืออีกเด็ดขาด!

คำสาบานนี้…

สวรรค์เป็นพยาน




-------------------------------------------------------------





กลับมาที่ปัจจุบัน


“คุณชายเล็กขอรับ”

เสียงเรียกดังจากด้านหลัง ใบหน้าคมคายของเด็กหนุ่มในวัยเพียงสิบห้าปีเหลียวมองอย่างเย็นชา

“มีอะไร?”

“นายท่านเรียกพบที่ห้องขอรับ”

หย่งคังไม่ตอบ ผ่อนลมหายใจออกมาแผ่วเบา

“ตอนนี้เลยขอรับ”

“ข้ารู้แล้ว”

ท่าทางไม่สบอารมณ์ของคุณชายเล็กตระกูลจางทำเอาเหล่าคนรับใช้พากันอกสั่นขวัญแขวน น่ากลัวนายท่านเลี่ยงหัวจะลงโทษบ่าวไพร่ที่ทำหน้าที่ดูแล ทายาทตระกูลจาง ได้ไม่ดีพอ

“มาแล้วหรือ?”

ใบหน้าปรากฏริ้วรอยตามอายุหันมาถาม ร่างผอมโทรมได้แต่นอนหงายอยู่บนเตียง มองดูแล้วช่างน่าเวทนา

“นั่งก่อนสิ พ่อมีเรื่องอยากคุยกับเจ้า”

อีกฝ่ายแค่นยิ้ม “ข้าไม่มีพ่อ”

“ทุกคนมีพ่อ หรือเจ้าเกิดจากกระบอกไม้ไผ่?”

หย่งคังไม่ตอบ นั่งลงกับเก้าอี้ไม้สักหรูหราด้วยท่าทางเรียบนิ่ง ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ออกมา

“สัปดาห์นี้ ผลการเรียนเจ้าอยู่ในเกณฑ์ดี ด้านวรยุทธ อาจารย์เสี่ยวเห๋อยังตำหนิเรื่องที่เจ้าลักจำ ไม่ละเอียดถี่ถ้วน”
ฝ่ายโดนตำหนิเลิกคิ้ว เหมือนพูดทางสายตาว่า แล้วอย่างไร?

“หากการรายงานผลสัปดาห์หน้าไม่ดีขึ้น ข้าจะอนุญาตให้อาจารย์เสี่ยวเห๋อสั่งสอนเจ้าได้ตามสบาย ขาแขนหักสักข้างเจ้าคงไม่กลัว?”

“ท่านพูดจบหรือยัง”

หย่งคังทำท่าจะลุกขึ้น แต่นายเลี่ยงหวงกลับพูดขัดขึ้นเสียก่อน “นั่งลง เห็นข้าเป็นหัวหลักหัวตอ? เกรงว่าเจ้าคงต้องการคนสอนมารยาทด้วยกระมัง”

นายเลี่ยงหวงไม่เคยพูดเล่น พรุ่งนี้เขาจะจัดคนสอนมารยาทให้เด็กหนุ่มตรงหน้าจริงๆ

“ตอนนี้เจ้าเริ่มเขียนอ่านภาษาจีนได้แล้ว ข้าจะจัดหาคนสอนงานให้เจ้าไปพลางๆ”  นายเลี่ยงหัวกระดิกนิ้วเรียกคนรับใช้ กระซิบบางอย่าง คนรับใช้พยักหน้าก่อนจะเดินออกจากห้องด้วยท่าทางนอบน้อม แล้วกลับมาพร้อมกับชายแปลกหน้าคนหนึ่ง

เขาตัวเตี้ยกว่าหย่งคังหนึ่งข้อศอก ตัวผอมบาง ใบหน้าขาว ดวงตาเรียวเล็ก

 “ต่อไปนี้จื่อเยี่ยนจะเป็นคนดูแลเจ้า”

หมายถึงจับตาดูทุกฝีก้าวแล้วเอามารายงาน? 

หย่งคังแค่นหัวเราะ “ตัวแค่นี้์จะดูแลข้าได้หรือ อย่าดีกว่า ข้าไม่ต้องการ”

ถ้าเป็นหลี่ซื่อหลางก็ว่าไปอย่าง หย่งคังไม่ต้องการคลุกคลีตีโมงกับใคร หากต้องมีคนมาคอยติดตามเช่นนี้ เวลาส่วนตัวของเขาจะหายไปกับตา

ทว่านั้นเป็นสิ่งที่นายเลี่ยงหัวต้องการ

…เขาให้อิสระกับหย่งคังมากเกินไปแล้ว…

“จื่อเยี่ยนอายุมากกว่าเจ้าสี่ปี เขามีความรู้ความสามารถล้ำเลิศ เจ้าต้องการเขา”

หย่งคังเพียงส่งเสียงหึในลำคอ

เด็กหนุ่มถูกเชิญออกจากห้องพร้อมพี่เลี้ยงคนใหม่ ใบหน้านิ่งๆ ของอีกฝ่ายยิ่งทำให้หย่งคังอารมณ์ไม่ดี เจ้าตัวพ่นลมหายใจเบื่อหน่าย เดินตรงไปที่ประตูทางออกหมายจะไปสงบสติอารมณ์ที่สวนดอกท้อ

หลังบ้านหลี่ซื่อหลางก็มีอยู่ต้นหนึ่ง เขาเป็นคนปลูกเองกับมือ

หวังว่าตอนนี้มันคงสบายดี

“คุณชายเล็กจะไปไหนขอรับ”

คนเดินตามเอ่ยถาม เสียงไม่เล็กแหลมอย่างที่คิด กระนั้นก็ไม่เข้าหูคนฟังเท่าไหร่

“เรื่องของข้า”

“เรื่องของท่านเป็นเรื่องของข้าขอรับ”

หย่งคังหยุดเท้าที่ใต้ต้นท้อต้นหนึ่ง แต่ก่อนมันยังต้นไม่ใหญ่มาก บัดนี้แผ่กิ่งก้านสาขาเป็นอาณาเขตกว้างเสียแล้ว น่าแปลกที่มองต้นท้อที่ไร เขากลับรู้สึกอุ่นซ่านในใจอย่างบอกไม่ถูก

“ต่อให้เจ้าไม่ดูแลข้า ข้าก็ไม่เอาเรื่องไปบอกตาแก่หรอก เลิกตามข้าซะ”

“เกรงว่าจะไม่ได้ขอรับ” จื่อเยี่ยนยืนดักหน้า ขวางทางคนจะเดิน “หน้าที่ของข้าคือดูแลท่าน คุณชายเล็กโปรดเข้าใจด้วย ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ท่านต้องเรียนรู้ความเคลื่อนไหวทุกย่างก้าวของกิจการส่งออกผลผลิตทางการเกษตรระหว่างวังหลวงและตระกูลจาง เพื่อในภายภาคหน้านี้ ท่านจะได้ขึ้นเป็นผู้นำตระกูล”

“แล้วเจ้าก็เป็นคนสนิทข้างั้นรึ?”

ตลกสิ้นดี มีแต่คนคิดจะหวังผลจากตัวเขา ไม่มีใครรักและหวังดีต่อเขาเท่าหลี่ซื่อหลางอีกแล้ว

“ท่านกังวลสิ่งใดขอรับ ทุกคนล้วนได้ผลประโยชน์ทั้งนั้น”

“ไม่ต้องให้เจ้าบอก ข้าก็จะเป็นผู้นำตระกูลอยู่แล้ว!”

“ปราศจากข้า ทุกอย่างคงไม่ง่ายอย่างที่คุณชายเล็กคิด”

จื่อเยี่ยนยิ้มเจ้าเล่ห์ “ข้าทำงานมาก่อนท่าน รู้ข่าวภายในดีเสียยิ่งกว่าใคร หากคุณชายคิดจะเป็นผู้นำตระกูลจาง ครอบครองกิจการทั้งหมด คิดว่าเครือญาติที่จ้องจะเล่นงานทายาทผู้ไม่รู้เรื่องอันใดแล้วฮุบสมบัติไว้จะไม่เพ่งเล็ง?”

หย่งคังไม่พูดอะไร เขากำลังคิดวิเคราะห์ตามคำพูดของอีกฝ่าย

“ไม่สงสัยหรือขอรับ เหตุใดนายท่านเลี่ยงหวงจึงออกประกาศตามหาตัวคุณชายเล็กเสียทั่วแผ่นดิน”

เพื่อให้เขาขึ้นตำแหน่งผู้นำตระกูลแทน?

ไม่มีทาง

…ก็แค่หุ่นเชิด…

“ท่านรู้คำตอบดีขอรับ คุณชายเล็ก” จื่อเยี่ยนพูดด้วยสีหน้าเรียบนิ่งอีกครั้ง “นายท่านไม่มีวันให้คุณชายเล็กขึ้นไปยืนอยู่จุดนั้น อย่างมากก็เป็นแค่หุ่นเชิด หรือไม้กันหมาพวกญาติๆ ที่ต้องการจะฮุบกิจการเท่านั้น”

“เจ้ามาบอกเรื่องนี้กับข้าทำไม?”

ถึงแม้หย่งคังจะรู้สึกเห็นด้วยกับคำพูดเหล่านั้น หากผู้ชายตรงหน้าจะมาช่วยเหลือเขาโดยปราศจากการหวังผลตอบแทนที่คุ้มค่าอยู่เบื้องหลังได้อย่างไร เขาจำเป็นต้องรู้เจตนาของชายผู้นี้เสียก่อน

“ยามนี้ข้าไม่ใช่ศัตรูของคุณชายเล็ก”

“อนาคตก็ไม่แน่?”

จื่อเยี่ยนยิ้มมุมปาก “ขอรับ ก็ไม่แน่”

หืม?

หย่งคังนึกแปลกใจกับความตรงไปตรงมาของผู้ชายตัวเล็กตรงหน้า ปฏิเสธไม่ได้ว่าจื่อเยี่ยนไม่เหมือนคนรับใช้คนอื่น  ท่าทางฉลาด มีเล่ห์กลทันคน รู้จักใช้คำพูดอย่างที่บางทีเขาก็เถียงไม่ได้

“เจ้าช่างแปลกคน แน่ใจว่าสามารถสอนงานข้าได้”

“ข้าได้สอนบทเรียนแรกแล้วขอรับ” จื่อเยี่ยนอธิบาย “ใดใดในโลกล้วนอนิจจัง วันนี้เป็นเพื่อน วันหน้าอาจเป็นศัตรู”

“หมายถึงเจ้าอาจตั้งตัวเป็นศัตรูกับตระกูลจางก็ได้งั้นหรือ?”

“ขอรับ”

หย่งคังเลิกคิ้ว ไม่มีความลังเลในน้ำเสียงนั้น “ไม่ถึงชั่วยาม เจ้าก็แสดงออกว่าสามารถหักหลังตระกูลจางได้ ไม่กลัวข้าเอาไปบอกนายท่านของเจ้าหรืออย่างไร”

“ไม่ขอรับ”

จื่อเยี่ยนไม่แสดงท่าทีกังวลใดๆ ออกมาจริงๆ

“คุณชายเล็กเป็นคนฉลาด ย่อมรู้ว่าสามารถใช้ประโยชน์จากใครต่อใครได้ไม่เหนื่อยแรง จนกว่าจะถึงตอนนั้น ข้าจะช่วยสอนงานให้คุณชายเล็กอย่างเต็มที่ขอรับ”

“…ก็ได้”

หย่งคังกอดอก ไล่สายตาพิจารณาคนตรงหน้าอีกครั้ง

“แล้วข้าจะคอยดู”




-------------------------------------------------------------






To be continued...








« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-07-2015 18:58:23 โดย Natsukairi »

ออฟไลน์ ขนมโก๋

  • เป็ดหัวเน่า
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 698
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-0

ออฟไลน์ Natsukairi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 46
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
    • Fanpage



**ก่อนอื่น ต้องขอแจ้งว่าช่วงนี้คงอัพช้าลง เราติดงานที่มหาลัยนิดนึงน้า ขอโทษด้วยนะคะ**


@boboman ถูกค่ะะ อย่าไปยอมมมมม วันนั้นมันจะมาถึงค่ะ... ส่วนหยงเทียน เอาทีสบายใจเลยค่ะพ่อหนุ่มคนนี้ ฮาาา

@alternative สักวันตัวร้ายจะต้องแพ้แน่นอนค่ะ! ฮ่าฮ่าฮ่า! *ชูก้ำปั้น*

@poogan_zadd ตัวละครนี้ จิตสำนึกความเป็นพ่อไม่ค่อยมีค่ะ555555555 นึกถึงพวกชนชั้นสูงที่หน้าที อำนาจ บารมีมาก่อนลูก ประมาณนั้นเลยค่ะ



ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
ไม่!
เราจะไม่โอดครวญว่ามันสั้นยิ่งกว่ากลีบดอกท้อ  :ling1:
ฉันอยากอ่านอีก ฮรือๆๆๆๆ

หย่งคังสู้ๆ นะ คนร้อยเล่ห์ ย่อมไม่อาจสู้คนฉลาดที่มีสติ
เลี่ยงหวงล้ำลึกนัก เอาคนที่เป็นดั่งหินลับมีดมาให้หย่งคังคลุกคลีด้วย
เจ้าจะเฉียบคมเพราะการอบรมสั่งสอน
เจ้าจะแข็งแกร่งเพราะอดีตหล่อหลอม
เจ้าจะไม่แพ้ใครเพราะใจที่มุ่งมั่น

#ทีมหย่งคัง

ออฟไลน์ boboman

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-2
กลัวจื่อเยี่ยนจะทำให้ซื่อหลางเข้าใจผิดจัง เห็นบรรยายว่าหน้าขาวตัวเล็กงี้ เราระแวงเลยนะเนี่ย
หย่งคังสู้ๆ จะได้รีบไปเคลียร์กะซื่อหลางซะทีนะ
รอตอนต่อปาย~

ออฟไลน์ ycrazy

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 461
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1
เห็นคาแรคเตอร์จื่อเยี่ยนแล้วกลัวเป็นตัวปัญหาในอนาคตจัง
ไม่เรื่องรักก็เรื่องสมบัติแหง :เฮ้อ:

ออฟไลน์ Natsukairi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 46
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
    • Fanpage
**เป็นเนื้อหาต่อจากตอนที่แล้วค่า**







Illust by
Notienatsu





ดอกท้อที่ ๑๐
(ครึ่งหลัง)



จื่อเยี่ยนคอยติดตามดูแลคุณชายเล็กไม่คลาดสายตา

จากการสังเกตพฤติกรรมเท่าที่ผ่านมา ชายหนุ่มพบว่าคุณชายเล็กเป็นคนฉลาดและหัวไวอย่างที่คาดคิดไว้ ต้องยอมรับว่าเด็กหนุ่มวัยสิบห้าปีคนนี้มีอนาคตไกล หากสามารถดึงความมุ่งมั่นออกมาจากแววตาคู่นั้นได้ทั้งหมดล่ะก็…

อะไรคือแรงผลักดันในใจของคุณชายเล็ก?

มีหรือที่จื่อเยี่ยนจะไม่รู้

วันก่อน นายเลี่ยงหวงเรียกตัวคุณชายเล็กเข้าพบ พูดคุยเรื่องรายงานผลการเรียนที่ดีขึ้นเป็นลำดับ หากจู่ๆ ก็มีปากเสียงเรื่องหลี่ซื่อหลาง คนที่ได้ยินมาว่าลักพาตัวคุณชายเล็กไปเมื่อเจ็ดปีก่อน

เพราะนายเลี่ยงหวงเมตตา การเอาผิดโจรลักพาตัวจึงไม่เกิดขึ้น?

จื่อเยี่ยนไม่ใช่คนโง่

เบื้องหลังความสัมพันธ์ระหว่างคุณชายเล็กและผู้ชายคนนั้นคงไม่ใช่แค่โจรลักพาตัวกับเหยื่อแน่ๆ น้ำเสียงเวลาพูดถึงอีกคน เจือความอ่อนโยนที่คุณชายเล็กไม่เคยแสดงออกตั้งแต่เหยียบบ้านหลังนี้ หรือยามได้ยินใครให้ร้ายคนผู้นั้น เขาจะโกรธเคือง โวยวายราวกับเป็นเรื่องใหญ่โต

ดูเหมือนคนขวานผ่าซาก แท้จริงหัวใจของคุณชายเล็กกลับมีความอ่อนโยนบางอย่างหล่อเลี้ยงเสมอมา

หลี่ซื่อหลางคนนั้น?

ในฐานะอะไร…พ่อ? หรือพี่ชาย?

จื่อเยี่ยนส่ายหน้ากับตนเอง “…ไม่ใช่สักอย่าง…”

…คนรัก?

ความคิดนั้นแวบเข้ามาเพียงไม่กี่วินาที หัวของจื่อเยี่ยนก็เหมือนโดนของแข็งทุบ

“คุณชายเล็กขอรับ”

ผู้ดูแลตัดสินใจเดินเข้าไปหาหย่งคังที่ก้มหน้าก้มตาอ่านเอกสารการค้าขายของกิจการตระกูลจางย้อนหลังสิบปี

“หือ?” อีกฝ่ายตอบรับในลำคอ ไม่เงยหน้าขึ้นจากสิ่งที่ตั้งใจดูอยู่ตรงหน้า

“ข้าขอถามอะไรบางอย่างได้หรือไม่ขอรับ”

“ถ้าข้าตอบได้ ก็จะตอบ”

“หลี่ซื่อหลางเป็นใครกันแน่ขอรับ?”

หย่งคังชะงักเล็กน้อย เด็กหนุ่มค่อยๆ เงยหน้าขึ้นจากกองเอกสาร “ทำไม? ตาแก่ให้มาหลอกถามข้า?”

“ข้ามีความสงสัยเองขอรับ” จื่อเยี่ยนตอบตรงไปตรงมาตามนิสัย

“แล้วสงสัยทำไม?”

หย่งคังเลี่ยงไม่อธิบาย ต้องการดูเจตนาของคนถามให้มั่นใจเสียก่อน

“ข้าคิดว่ากำลังเห็นจุดอ่อนของคุณชายเล็กขอรับ”

“จุดอ่อน?”

เป็นคำพูดที่จี้ใจดำคนฟังอย่างเสียไม่ได้ สำหรับคนที่ต้องการเป็นที่หนึ่ง เอาชนะเหล่าคนที่ไม่ต้องการให้หย่งคังได้ขึ้นเป็นผู้นำตระกูลจาง หย่งคังจึงจำเป็นต้องเติบโตเป็นบุรุษที่แข็งแกร่งพอสมควร

นั่นหมายถึงเขาไม่ควรมี จุดอ่อน ใดๆ ทั้งสิ้น

“ขอรับ หลี่ซื่อหลางคนนั้นคือจุดอ่อนของคุณชายเล็ก”

ปึง! หย่งคังตบโต๊ะทำงานอย่างแรง “พูดอีกที มือข้าจะไม่ตบที่โต๊ะ หากจะเป็นปากของเจ้าแทน!”

ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ให้ใครแตะต้องหลี่ซื่อหลางไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นการกระทำหรือคำพูด หย่งคังไม่พอใจทุกคนที่มีข้อสงสัยในตัวของคนที่เขามอบหัวใจให้ทั้งดวง

“อภัยให้ข้าด้วยขอรับ หากไม่แจ้งแถลงไข ดวงตาของคุณชายเล็กจะมืดบอด มองไม่เห็นภัยที่จะตามมาในภายภาคหน้า”

จื่อเยี่ยนโค้งตัวขอโทษ หากยังพยายามอธิบายต่อ

“ข้าพอทราบมาว่านายท่านเลี่ยงหวงใช้หลี่ซื่อหลางเป็นข้ออ้างในการบีบคุณชายเล็กไว้ในกำมือ ใช่หรือไม่ขอรับ”

“เจ้า…!”

หย่งคังได้ยินเสียงระเบิดในหัว ข้อเท็จจริงนี้เขาปฏิเสธไม่ลงจริงๆ

“แสดงว่านายท่านรู้จักใช้คนให้เกิดประโยชน์ เขาไม่ลงมือ เพราะสามารถใช้คนผู้นั้นต่อรองกับคุณชายเล็กได้ ข้อนี้ควรเอาเป็นตัวอย่างขอรับ”

“ตกลงจะสั่งสอนข้า?”

จื่อเยี่ยนยืดตัวตรง “ส่วนหนึ่งขอรับ”

“หลี่ซื่อหลางไม่ใช่คนที่เจ้าหรือใครแตะต้องได้ จำเอาไว้”

หย่งคังเอ่ยเสียงขุ่น เจ้าตัวกลับไปนั่งดูเอกสารต่อ พยายามทำใจให้ร่ม มีงานอีกมากที่เขาต้องเรียนรู้

“คุณชายเล็ก โปรดฟังข้าสักหน่อยเถิดขอรับ”

คนเป็นคุณชายไม่ตอบ ทำหน้าตาไม่สนใจราวกับได้ยินเสียงนกเสียงกาไม่มีค่าควรให้สนใจ กระนั้นจื่อเยี่ยนก็พยายามทำให้คุณชายเล็กยอมรับฟังคำแนะนำจากตน

“หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ต่อให้เก่งแค่ไหน คุณชายเล็กก็จะเป็นแค่ลูกไก่ในกำมือของนายท่าน หรือคนอื่นๆ ที่ไม่อยากให้คุณชายเล็กประสบความสำเร็จ”

หย่งคังพ่นลมหายใจแรง ท่าทางไม่สบอารมณ์ “จะบอกว่าเป็นเพราะหลี่ซื่อหลาง?”

“ขอรับ”

“…อธิบาย…”

แม้จะไม่ชอบใจ แต่จื่อเยี่ยนเป็นคนมีเหตุผล หย่งคังจำเป็นต้องฟังความคิดเห็นของคนตรงหน้า แม้ว่าจะไม่ใช่เรื่องที่ปรารถนาจะได้ยินก็ตาม

“ยกตัวอย่างนะขอรับ หากพรุ่งนี้ข้าส่งคนไปฆ่าหลี่ซื่อหลาง ท่านจะทำอย่างไร?”

แค่ได้ยิน เส้นเลือดในสมองก็เหมือนจะขาดผึง!

“ข้าก็ฆ่าเจ้าน่ะสิ!!”

“แล้วถ้าข้าไม่ฆ่าเขา แลกกับคุณชายเล็กต้องยอมสละชีวิตตัวเอง?”

“ข้ายินดีทำทุกอย่างเพื่อพี่ใหญ่”

อ่า…ตอบโดยไม่ลังเลสักนิด….

“ขอรับ” จื่อเยี่ยนพยักหน้า “เช่นนั้น ในภายภาคหน้า หากข้าต้องการทำลายคุณชายเล็กจริงๆ แค่ต่อยตีหรือข่มขู่คงไม่หนักสาหัสเท่าทำร้ายหลี่ซื่อหลาง ใช่หรือไม่ขอรับ”

หย่งคังขมวดคิ้ว สีหน้าเหมือนเห็นความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธปรากฏอยู่ตรงหน้า ทว่าไม่สามารถแก้ไขอะไรได้

มีใครบังคับความรักได้บ้างกัน?

“จื่อเยี่ยน เขาเป็นเหตุผลที่ข้ายืนอยู่ตรงนี้ หากเขาปลอดภัยดีจริงๆ เช่นนั้นข้าจะต้องอยู่ให้ตาแก่โขกสับ?”

“เหตุนั้นคุณชายเล็กยิ่งควรกำจัดจุดอ่อนนั้นออกไปขอรับ”

“กำจัดอะไรของเจ้า!!”

หย่งคังเกือบได้ลองใช้วรยุทธที่เพิ่งร่ำเรียนจากอาจารย์เสี่ยวเห๋อกับผู้ดูแลเสียแล้ว หากอีกฝ่ายไม่รีบกระโดดโหยงหลบหลังโต๊ะอย่างรู้งานเสียก่อน

“ข้าไม่ได้หมายความว่าให้ไปฆ่าแกงใครขอรับ คุณชายเล็กใจเย็นก่อน”

หย่งคังพ่นลมหายใจอีกครั้ง “เช่นนั้นเจ้าต้องการบอกอะไร?”

“ข้าหมายถึงให้กำจัดจุดอ่อนในนี้”

จื่อเยี่ยนชี้ที่หน้าอกด้านซ้าย “หากคุณชายเล็กยิ่งแสดงออกว่าเป็นห่วงหลี่ซื่อหลาง รังแต่จะลำบากทั้งตัวคุณชายเองและเขาคนนั้น ยิ่งเมื่อท่านอยู่ตำแหน่งที่สูงขึ้นเท่าใด ย่อมยิ่งหนาว คนจ้องทำร้ายมีมากกว่ามิตร วันใดวันหนึ่งหากศัตรูรู้จุดอ่อนของท่าน เขาจะไม่รีบลงมือ? กรณีศึกษาของจริงก็คือบิดาของคุณชายเล็กขอรับ”

จื่อเยี่ยนพยายามอธิบายให้เห็นภาพชัดเจน

“ความปลอดภัยของหลี่ซื่อหลางเป็นเหตุผลที่บีบให้คุณชายเล็กยอมอยู่ที่นี่”

เป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้เลย หย่งคังประสานมือเข้าหากัน นั่งครุ่นคิดตามอย่างรอบคอบ

“เช่นนั้นข้าควรทำอย่างไร?”

“ง่ายนิดเดียวขอรับ” จื่อเยี่ยนเดินออกจากที่หลบภัย “จงเก็บเขาไว้ในส่วนที่ลึกที่สุดในตัวหัวใจของท่าน เป็นไปได้อย่าแสดงความรู้สึกออกมาอีก หากมนุษย์ปุถุชนทั่วไปมีหน้ากากคลุมหน้าไว้เข้าหากันหนึ่งชั้น คุณชายเล็กย่อมมีหน้ากากที่ซ้อนหน้ากากอีกทีขอรับ”

 “ข้าต้องเสแสร้ง?”

“เป็นการวางตัวขอรับ สำคัญมากเมื่อคุณชายเล็กมีความตั้งใจจะขึ้นเป็นผู้นำตระกูลจางในอนาคต”

ผู้ดูแลแก้ไขคำใหม่ เด็กหนุ่มคนนี้จำเป็นต้องเรียนรู้การเข้าสังคมที่มีแต่คนใส่หน้ากากเข้าหากัน

“ขอให้คุณชายศึกษาจากนายท่านเลี่ยงหวงมากๆ ขอรับ ภายใต้ใบหน้าเรียบนิ่ง หรือแม้กระทั่งรอยยิ้มพิมพ์ใจ สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่”

“อืม”

หย่งคังคิดตาม ตาแก่นั่นเดาใจยากจริงๆ

“…ก็ได้ ข้าจะทำตามที่เจ้าบอก”

จื่อเยี่ยนยิ้มบาง “ข้าดีใจที่ได้ยินเช่นนั้นขอรับ คุณชายเล็ก”

“แต่ข้ามีข้อแม้”

“ขอรับ?”

“ให้ข้าได้เจอเขาเป็นครั้งสุดท้าย”…ก่อนที่จะต้องเก็บคนๆ นั้นไว้ในส่วนลึกที่สุดของหัวใจ 
บัดนี้ หย่งคังสัญญากับตนเองแล้วว่า หากได้เห็นหน้าหลี่ซื่อหลางอีกสักครั้ง เขาจะเก็บงำตัวตนและความรู้สึกที่มากมายมหาศาลเหล่านั้นไว้ในกล่อง เมื่อวันพรุ่งนี้มาถึง จะมีเพียงจางเฟยหลง ทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลจาง

…ต้องเป็นผู้นำตระกูลจางที่แข็งแกร่ง เพื่อสักวันหนึ่งจะกลับไปเปิดกล่องใบนั้นอีกครั้ง…

ราวกับจื่อเยี่ยนอ่านใจคุณชายเล็กออก

อีกฝ่ายเงียบเพียงชั่วอึดใจก่อนจะพยักหน้าเบาๆ

“ขอรับ คุณชายเล็ก…”




-------------------------------------------------------------




ในคืนนั้น หย่งคังและจื่อเยี่ยนแอบออกจากบ้านตระกูลจางโดยไม่มีใครรู้

ทั้งสองเดินทางมาหยุดอยู่หน้าบ้านพื้นที่สี่สิบตารางวาหลังหนึ่ง บริเวณด้านหน้าเป็นร้านขายน้ำเต้าหู้ หย่งคังที่ดูคุ้นเคยสถานที่ดี อาศัยร่างกายที่ฝึกวรยุทธมาพอสมควร จึงสามารถปีนขึ้นชั้นสองได้อย่างคล่องแคล่ว ค่อยๆ ผลักหน้าต่างห้องด้วยความระมัดระวัง ก่อนจะแทรกตัวเข้าไปในห้องนอนอย่างเงียบเชียบ

จื่อเยี่ยนปีนตามขึ้นมาติดๆ

“เจ้าคิดจะทำอะไร?”

“ข้าไม่สามารถให้คุณชายเล็กคลาดสายตาได้ขอรับ”

หย่งคังนิ่งไปสักพัก ก่อนจะยักไหล่ เขามีเวลาไม่มากแล้ว “ตามใจ”

ร่างสูงก้มตัวลง โอบแขนแกร่งรอบตัวใครบางคนที่มีร่องรอยผ่านการร้องไห้อย่างหนักจนผล็อยหลับไป

“ร้องไห้หรือ ซื่อหลาง”

คนหลับขยับตัวเข้าหาความอบอุ่นที่โหยหา น้ำตาเจ้ากรรมไหลออกมาไม่ขาดสาย

“อย่าร้อง…”

มืออุ่นช่วยเช็ดออกให้อย่างแผ่วเบา จูบซับรอยน้ำตาที่ไม่เคยเหือดแห้ง คุณชายเล็กกดริมฝีปากประทับลงที่กลีบปากบางของคนหลับลึก แผ่วเบาราวกับปีกผีเสื้อกระพือบิน

“ซื่อหลาง ข้ารักท่าน…”

จูบลาสุดท้ายแตะลงที่หน้าผาก

 “รอข้านะ…”





จื่อเยียนรู้แล้ว





คุณชายเล็กตกหลุมรักชายขายน้ำเต้าหู้หมดหัวใจ





-------------------------------------------------------------






To be continued...







« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-07-2015 18:58:07 โดย Natsukairi »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ JustWait

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-4
กรี๊ดด อึดอัดมากค่า โอ๊ยิตาคนพ่อนี่

ออฟไลน์ me12inzy

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 458
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
อยากตีอิตาพ่อมากค่า :katai1:

ออฟไลน์ ขนมโก๋

  • เป็ดหัวเน่า
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 698
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-0

ออฟไลน์ Natsukairi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 46
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
    • Fanpage



ดอกท้อที่ ๑๑





“พี่ซื่อหลาง!”

ฟานตงวิ่งหน้าตั้งมาแต่ไกล ตะโกนเรียกเสียงดังเสียจนคนที่นั่งจิบชาสะดุ้งเฮือก

“ฟานตง โตขนาดนี้แล้วยังวิ่งเป็นเด็ก?”

หลี่ซื่อหลางวางถ้วยชาลง ชายหนุ่มอุตส่าห์หาเวลาเงียบสงบนั่งมองต้นไม้ใหญ่ที่บัดนี้เจริญเติบโตงอกงาม ออกดอกบานสะพรั่งในสวนหลังบ้านของเขา

ใช่แล้ว…

ฤดูใบไม้ผลิมาเยือน ต้นท้อที่เขาเฝ้าดูแลมาตลอดสามปี กำลังออกดอกงามเทียว

“ท่านเอาแต่นั่งมองมัน ไม่เบื่อบ้างหรือ”

ฟานตงถามไม่จริงจัง อย่างน้อยหลี่ซื่อหลางก็ไม่เศร้ายามมองมันอีกแล้ว คนเป็นน้องชายเบาใจลงเล็กน้อย

“ข้าไม่เบื่อหรอก”

“หากท่านชอบนัก คืนนี้มีเทศกาลดอกท้อด้วยนะ”

ฟานตงเริ่มเข้าเรื่อง “พี่จิ้งอี้ให้มาชวนท่านออกไปเที่ยวงานเทศกาลกัน นานแล้วที่พวกเราไม่ได้สังสรรค์เลย ท่านว่าอย่างไร?” ปากเอ่ยชวน แต่แววตาจ้องราวกับอยากสะกดจิตให้คนเป็นพี่ใหญ่ตอบตกลง

“พวกเจ้าไปเถอะ”

“ท่านไม่ไป?” ฟานตงมีสีหน้าผิดหวัง “ทำไมเล่า ข้าเห็นท่านชื่นชอบดอกท้อนัก นี่ก็ถึงช่วงมันออกดอกงามสะพรั่ง ยิ่งชมใต้แสงจันทร์คงงามตายิ่งนัก”

“หลังบ้านเราก็มีแล้วต้นหนึ่ง ทำไมข้าต้องเดินไกลไปดูที่อื่นอีก”

“ต้นนี้เห็นมาสามปีแล้วไม่ใช่? พี่ซื่อหลาง ออกไปเปิดหูเปิดตาบ้างเถิด”

ฟานตงถลาเข้าไปเกาะแขนคนเป็นพี่ เขย่าเล็กน้อย “พี่จิ้งอี้บอกว่าท่านต้องปฏิเสธแน่ แต่เขาไม่ว่างมาชวนท่านเพราะติดธุระทางบ้าน หากเย็นนี้เขาฝากข้ามาบอกว่าฟ้าถล่มดินทลายก็จะมาลากท่านไปงานเทศกาลด้วยกันให้ได้”

หลี่ซื่อหลางถอนหายใจ ยามที่เพื่อนสนิทและน้องชายร่วมมือกันทีไร เขาหรือจะสู้ได้?

“พวกเจ้าเอาแต่ใจนัก”

“พี่ซื่อหลางเองก็รั้นไม่ใช่หรือ” ฟานตงบ่นอุบอิบ “ท่านเก็บตัวอยู่ในบ้านนานๆ ระวังจะเป็นโรคซึมเศร้า ข้าเห็นตาแก่บ้านถัดจากเราสองหลังอาการหนักเข้าขั้น อย่าให้ข้าต้องเห็นพี่ชายในสภาพนั้นเลย”

“หาว่าข้าเป็นตาแก่?”

“เปล่าเสียหน่อย”

ฟานตงปฏิเสธทันควัน ยิ้มเผล่ให้อีกฝ่าย “ข้าเป็นห่วงท่านหรอก พี่ซื่อหลาง คืนนี้ไปงานเทศกาลกับพวกข้านะ”

“…ตามใจเจ้า”

“ตกลงตามนี้!”

ฟานตงลุกขึ้นพรวด วิ่งออกไปอย่างรวดเร็วเหมือนตอนขามา

คนเป็นพี่ได้แต่ส่ายหน้าอ่อนใจ เขาเลี้ยงดูฟานตงแบบตามใจไปหรือเปล่า น้องชายคนนี้ถึงอายุเข้าเลขสองแล้ว แต่นิสัยไม่โตตามเอาเสียเลย

หลี่ซื่อหลางยกถ้วยชาขึ้นจิบ หากรสชาดเย็นชืดทำให้ต้องวางลง

ฤดูใบไม้ผลิปีนี้มาเยือนเร็วกว่าปกติจนเขาไม่ทันตั้งตัว ตื่นมาอีกที ต้นท้อที่เคยแคระแกร็น สามปีถัดมาชั่วพริบตาเดียว กลับเจริญเติบโตเป็นต้นไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขาเต็มสวนหลังบ้าน ไม่มีที่เหลือพอสำหรับต้นไม้ต้นอื่น

เหมือนจิตใจของหลี่ซื่อหลางไม่มีผิด

…หัวใจของเขา กว้าง แต่ไม่มีที่เหลือแล้ว…

ชายหนุ่มพ่นลมหายใจแรง เผลอไม่ได้ต้องหวนกลับไปคิดถึงเรื่องเก่าๆ ทำเอาหน่วงลึกในใจ ต่อให้ไม่เจ็บเหมือนแผลสด หาก รอยร้าวก็ไม่อาจสมานได้สนิท

หลี่ซื่อหลางยังคงคิดถึงน้องชายคนเล็กที่จากไป

แต่เขาก็พยายามนึกถึงแต่เรื่องดีๆ คิดและทำความเข้าใจเหตุผลต่างๆ นาๆ ที่ไม่ได้รับฟังจากเจ้าตัวว่าเหตุใดจึงจากไปโดยไม่ล่ำลากันสักคำ

อาจเพราะชายหนุ่มเกิดในครอบครัวไร้การศึกษา เช่นนั้นคนอย่างเขาจะไปเข้าใจตรรกะคนเกิดในตระกูลสูงส่งได้?

นี่คงเป็นเหตุผลที่น้องเล็กของเขาจากไป

หลี่ซื่อหลางไม่มีอะไรคู่ควรการเป็นพี่ใหญ่คุณชายเล็กตระกูลจางแม้ข้อเดียว

เขาทำใจมาได้ เอ่อ สักพักใหญ่ทีเดียว แม้จะมีบางครั้งรู้สึกเศร้าจับใจ แต่ตื่นขึ้นมาก็ยังมีแรงทำงาน ใช้ชีวิตต่อไปในวันข้างหน้า ถึงไม่มีน้องเล็กอีกแล้ว แต่ยังมีฟานตงที่คนเป็นพี่สาบานต่อฟ้าจะดูแลให้ดีที่สุด

วนกลับมาเรื่องเจ้าน้องคนนี้อีกครั้ง




‘พี่ซื่อหลาง อายุท่านก็จะเลขสามแล้ว ยิ่งไม่ดูแลตัวเองก็ยิ่งดูชราภาพ’

ดูเป็นเหตุผลที่ฟังขึ้น ฟานตงตอกย้ำเรื่องอายุจนใกล้เป็นปมด้อมของหลี่ซื่อหลาง

‘ข้าแก่แล้วเจ้าจะไม่รักหรือ?’

ฟานตงทำหน้าตกใจ ‘เปล่าเสียหน่อย!’

‘ก็เจ้าบ่นข้าแก่อยู่เรื่อย’

‘เถอะ…ขี้น้อยใจแบบนี้ไม่เรียกนิสัยคนแก่?’ ฟานตงพึมพำในระดับเสียงที่หลี่ซื่อหลางได้ยินชัดเจน ‘เรื่องของเรื่อง ท่านปล่อยให้ผมตัวเองยาวขนาดนี้ได้อย่างไร ตอนนอนข้ากลัวมันจะพันคอท่านจนสิ้นลมเอา’

หลี่ซื่อหลางขมวดคิ้ว ‘นี่เจ้าแช่งข้าทำไม’

‘ข้าพูดจริงต่างหาก’

อีกฝ่ายแก้คำ ‘ผมท่านยาวแข่งลูกสาวบ้านตระกูลลี่แย่แล้ว อย่าให้นางต้องนั่งเสียใจเพราะเกิดมาผมยาวสวยได้ไม่เท่าบุรุษเช่นท่านเลย พี่ซื่อหลาง’

ฟังกี่ทีก็รู้สึกแปลกๆ กับคำพูดเหล่านี้ หากหลี่ซื่อหลางก็พยักหน้าอือออไปตามระเบียบ จับปลายผมที่ยาวถึงสะโพก

‘เช่นนั้นข้าควรไปตัดผม’

‘เห็นด้วย’

ฟานตงยิ้มกว้าง จูงมือหลี่ซื่อหลางคลับคล้ายฉุดลากออกจากบ้าน ‘ตัดผมเสร็จ ท่านก็ซื้อเสื้อสักตัวด้วยเป็นอย่างไร?’

‘สิ้นเปลืองทำไม ข้ามีเสื้อผ้าเต็มตู้’

‘เชื่อข้าเถอะ’ ฟานตงไม่ฟังคำทัดท้าน ‘ข้าจะแปลงโฉมท่านจนจำไม่ได้เลย!’



เฮ้อ…

หลี่ซื่อหลางพบว่าตนตามใจน้องชายมากไปจริงๆ นั่นแหละ





-------------------------------------------------------------




คืนนี้จิ้งอี้มาตรงเวลา เพื่อรับหลี่ซื่อหลางไปเที่ยวงานเทศกาลพร้อมกัน

“เมียเจ้าล่ะ”

ชายหนุ่มเอ่ยถาม กระชับคอเสื้อเล็กน้อย

“พาถิงถิงเข้านอนแล้ว”

“ส่วนพ่อมันก็ออกมาเที่ยว?” หลี่ซื่อหลางยิ้มอ่อนใจ “หากข้าเป็นเมียเจ้า จะเอาไม้ตะบองแพ่นกบาลให้”

จิ้งอี้ทำหน้าตาเหมือนกลืนของขม “เมียข้าเป็นคนอ่อนโยนไม่โหดร้ายเช่นเจ้าหรอก”

“แต่ก่อนยังชมว่าข้าเป็นคนขี้เกรงใจ อ่อนน้อมถ่อมตนอยู่เลย”

“ก็ตอนนี้เจ้าเป็นเช่นนั้น?”

หลี่ซื่อหลางไหวไหล่ท่าทีสบายอารมณ์ “ไม่เท่าไหร่”

“ก็ตามนั้น”

จิ้งอี้แสร้งทำหน้าเหม็นเบื่อ เดี๋ยวนี้เพื่อนสนิทของเขากลายเป็นพวกเถียงคำไม่ตกฟาก ยากจะเดาว่าเพิ่งเป็นหรือนิสัยเก่าเพิ่งถูกปลุกจากจิตใต้สำนึกกันแน่

อ่า จะเป็นอะไรก็ช่าง

อย่างน้อยก็ไม่ซึมเศร้าแบบเมื่อก่อนอีกแล้ว

“แล้วฟานตง?”

หลี่ซื่อหลางหันไปถาม ตั้งแต่ตอนเช้าที่มาชวนไปงานเทศกาล ก็ไม่เห็นหน้าอีกเลยจนกระทั่งตอนนี้

“อย่างน้อยชายเจ้าจะไปไหนได้” จิ้งอี้หัวเราะหึในลำคอ “ข้าว่าป่านนี้ึคงอยู่ที่งานเทศกาลแล้วกระมัง”

“ไปคนเดียว?”

“ฟานตงโตแล้ว เจ้ายังห่วงอะไรอยู่อีก”

จิ้งอี้โยกหัวเพื่อนสนิทไปมา “หยงเทียนไปกับเขาด้วย ไม่ต้องห่วงหรอก”

หลี่ซื่อหลางเบาใจลง อย่างน้อยฟานตงก็มีหยงเทียนอยู่ข้างๆ คอยดูแลกันมาแต่เล็ก นึกแล้วก็อดเอ็นดูเด็กหนุ่มคนนี้ไม่ได้

“หยงเทียนเป็นเด็กดีนะ”

“อืม” จิ้งอี้พยักหน้ารับ

“เสียดายหากเขาเป็นผู้หญิง ข้าคงให้ฟานตงแต่งเมียแน่ๆ”

คราวนี้จิ้งอี้หัวเราะกร๊าก “เจ้านี่ไม่รู้อะไรเสียเลยน้า”

“รู้อะไร?”

หลี่ซื่อหลางทั้งประหลาดใจทั้งตกใจ จู่ๆ เพื่อนตัวโตก็หัวเราะเสียงดังเสียขนาดนั้น มีเรื่องตลก?

“ซื่อหลาง บางทีข้าก็คิดว่าเจ้าซื่อหรือบื้อกันแน่”

…ก็อาจทั้งสองอย่าง…

“ไม่ต้องแอบด่าข้า พูดมาตรงๆ ว่าเจ้ารู้อะไรแล้วไม่ยอมบอก” หลี่ซื่อหลางหน้ามุ่ย เดินไปถามไปอย่างไม่ลดละ “เกี่ยวกับฟานตงหรือเปล่า หรือหยงเทียน? หรือเกี่ยวกับข้า?”

จิ้งอี้เลิกคิ้ว “เจ้าอยากรู้จริงๆ หรือ”

“ไม่อยากรู้ข้าจะถาม?”

“ได้ยินแล้วกลัวเจ้าจะลมจับน่ะสิ เอาไว้ให้เจ้าตัวบอกเองดีกว่า”

จิ้งอี้ผู้โหดร้าย เดินผิวปากนำหน้าไปอย่างไม่ไยดี ทิ้งให้หลี่ซื่อหลางจมกับความสงสัยที่ปะทุอยู่กลางอก หากไม่ได้รับคำตอบคงนอนไม่หลับ

“บอกข้าไม่ได้หรือ”

“นี่เจ้าอ้อน?” จิ้งอี้กลั้นขำ

“ข้าขอร้อง เห็นแก่ความเป็นเพื่อน ถังจิ้งอี้ อย่างน้อยบอกข้าว่าไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายเกี่ยวเขาทั้งสอง” หลี่ซื่อหลางก็คือหลี่ซื่อหลาง ห่วงใยผู้อื่นไม่ต่างจากเดิม

“ไม่มีใครตายทั้งนั้นแหละ เจ้านี่เป็นตาแก่คิดมาก”

จิ้งอี้เอ่ยเสียงอ่อน จู่ๆ ก็นึกเห็นใจร่างโปร่งที่ไม่รู้เรื่องราวอะไรขึ้นมา “ฟานตงกับหยงเทียนสนิทกันขนาดนั้น เขาสองคนดูแลกันได้โดยที่เจ้าไม่ต้องห่วงอะไรอีก เข้าใจหรือไม่”

“เช่นนั้นเจ้าปิดบังข้าเรื่องอะไร”

“ก็บอกแล้ว ไม่ใช่เรื่องที่คนนอกอย่างข้าควรพูด”

หลี่ซื่อหลางกรอกตา “ถึงขนาดนี้แล้วก็พูดเถอะ จิตใจจะให้ข้าสงสัยจนอกแตกตาย?”

“เมื่อก่อนเจ้าไม่เห็นขี้สงสัยปานนี้”

“ตอนนี้กับตอนนั้นไม่เหมือนกันเสียหน่อย”

จิ้งอี้ไหวไหล่ “เจ้าเปลี่ยนไปมากจริงๆ นั่นแหละ”

“ไม่ต้องเปลี่ยนเรื่อง บอกข้ามาเสียดีๆ” หลี่ซื่อหลางคาดคั้นต่อ “เรื่องอะไรที่ข้าไม่รู้? ไม่รู้อยู่คนเดียวด้วยหรือเปล่า?”

“เจ้าอย่ามาคั้นข้าให้เสียเวลา”

“เจ้าก็เป็นเสียอย่างนี้” หลี่ซื่อหลางพ่นลมหายใจ เดินตามเพื่อนสนิทที่เดินเร็วกว่าตน “ตอนนั้น เจ้าก็ปิดข้าเรื่องหนึ่งใช่หรือไม่?”

“ตอนไหน?” คนฟังนึกไม่ออก

“…ตอนที่คนพวกนั้นจะเอาน้องเล็กข้าไป”

 …กริบ…

 เงียบเสียจนได้ยินเสียงมดเดิน

“ข้าถามเฉยๆ เจ้าเงียบเสียจนข้ากลัวนะ” หลี่ซื่อหลางตบบ่าเพื่อน น้ำเสียงไม่จริงจัง “สบายใจเถิด ข้าทำใจได้นานแล้ว”

“อืม…”

“จิ้งอี้ ข้าพูดจริงๆ นะ”

อีกฝ่ายหันหน้ามามอง แววตาหม่นแสงลงเล็กน้อย “อืม ข้าเข้าใจแล้ว”

“แต่หน้าเจ้าไม่เป็นอย่างที่พูดเลย รู้หรือไม่”

หลี่ซื่อหลางหัวเราะกลบเกลื่อน “เอ้า ไม่อยากบอกข้าสินะ เอาเถอะ ข้าจะลืมมันไปก็ได้”

ในเมื่อเซ้าซี้ถามรังแต่จะทำให้เพื่อนอึดอัด หลี่ซื่อหลางยอมข่มตาหลับพร้อมคำถามที่ไม่ได้คำตอบอีกข้อก็ได้ ไหนๆ ในหัวของเขาก็มีแต่คำถามเต็มไปหมดอยู่แล้ว มีอีกสักหน่อยคงไม่เป็นไร?

“ซื่อหลาง”

“หืม?”

จิ้งอี้มีสีหน้าคล้ายคนหนักใจ “ข้าจะบอกเจ้า แต่ต้องสัญญามาก่อน”

“สัญญา?”

“เจ้าเป็นคนรักน้องมาก บางครั้งก็มากเกิน ฉะนั้นเจ้าต้องสัญญาว่าจะไม่เก็บไปคิดจนตัวเองลำบาก คนเราไม่สามารถแบกรับทุก อย่างบนโลกได้ เจ้าเองก็ด้วย”

“พูดอย่างกับน้องข้าไปทำอะไรผิดมา”

“ไม่ใช่เรื่องใครทำอะไรผิดหรอก อันที่จริงเป็นเรื่องที่ไม่มีใครผิดนั่นแหละ”

“ถ้างั้นข้าก็เบาใจแล้ว”

หลี่ซื่อหลางยิ้มบาง “บอกมาเถอะ ข้าไม่เป็นไรหรอก”

“ได้” จิ้งอี้สูดลมหายใจ ผ่อนออกเชื่องช้าราวกับถ่วงเวลาให้ตัวเองทำใจ “ซื่อหลาง ความรักเดี๋ยวนี้ไม่จำกัดที่หน้าตา ฐานะ รูปร่าง แม้กระทั่งเพศ”

ร่างโปร่งเดินไปฟังไป ยังไม่เข้าใจว่าเพื่อนตัวสูงอยากบอกอะไรกับตน

“เจ้าเองใช่เดียงสา การที่คนสองคนผูกพันกันมาก ย่อมก่อเกิดความรักในที่สุด ฟานตงกับหยงเทียนเองก็เช่นกัน”

หลี่ซื่อหลางยังสงสัยอยู่ “แล้วอย่างไร?”

“เจ้าไม่เข้าใจหรือ พวกเขารักกันไง!”

“นึกว่าเรื่องอะไร” ชายหนุ่มทำหน้าเหมือนเพิ่งคิดได้ “เป็นเพื่อนกัน รักกันก็ถูกแล้ว”

จิ้งอี้ทำสีหน้าอึกอัด สองมือกำลังจะทึ้งหัวตัวเอง “ทีเรื่องแบบนี้ทำไมถึงหัวช้านัก? ที่ข้าจะบอกก็คือฟานตงกับหยงเทียนเป็นคู่รักกันไปแล้ว”

“หา?”

หลี่ซื่อหลางหยุดเดิน “เรื่องแบบนี้อย่าเอามาล้อเล่น ข้าไม่ชอบนะ”

“กะแล้วว่าเจ้าต้องไม่เชื่อ”

ท่าทางจิ้งอี้คงเดาไว้แต่แรก กระนั้นไม่อยากให้เพื่อนสนิทคิดว่าตัวเองถูกปิดบังอะไร สุดท้ายก็ใจอ่อนบอกไป หากผลลัพธ์ที่ได้ไม่ต่างจากที่คาดไว้นัก

“ถามตัวเอง ซื่อหลาง ข้าเป็นเพื่อนเจ้ามานานเท่าไหร่ ข้าเคยโกหก?”

…ไม่เคยสักครั้ง…

หลี่ซื่อหลางรู้สึกเหมือนโลกกำลังเอียง หมุนเร็วจนเวียนหัว ชายหนุ่มคิดกับตัวเอง บางทีก็อยากให้เพื่อนสนิทกำลังโกหกตนอยู่

“ข้า…”

ร่างโปร่งทำท่าเหมือนจะพูดแต่แล้วก็อุบไว้ เดินหน้าถอยหลังเหมือนตัดสินใจไม่ถูก

“ใจเย็น ซื่อหลาง” เป็นจิ้งอี้ที่ต้องปลอบใจเพื่อน

“จิ้งอี้ ข้าเลี้ยงดูเขาไม่ดีหรือ…”

“อย่าพูดแบบนี้ ฟานตงได้ยินจะเสียใจมาก” จิ้งอี้เอ่ยเสียงอ่อน “บอกแล้วว่าความรักไม่เลือกสถานการณ์หรอก หากมันใช่ มันก็ใช่”

“เจ้าเป็นบุรุษนักรักหรือไร” หลี่ซื่อหลางทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ “แต่ชายกับชาย…”

“หรือเจ้ารังเกียจ?”

อีกฝ่ายรีบส่ายหน้า “ไม่ใช่อย่างนั้น”

หลี่ซื่อหลางรู้สึกหนักใจไม่น้อย เขาพยายามตั้งรับความเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่

“ข้ารักฟานตง รู้ว่าเขาเป็นคนอย่างไร กระนั้นก็อดห่วงไม่ได้ จิ้งอี้ ข้าไม่อยากเห็นเขาเสียใจภายหลัง”

“หยงเทียนเป็นคนดี เจ้าก็รู้นี่”

หลี่ซื่อหลางไม่ตอบ คิดทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมาอย่างใจเย็น ฟานตงกับหยงเทียนสนิทกันมากขนาดที่บางครั้งก็หายไปอยู่ด้วยกันเป็นวัน เรื่องบางเรื่องฟานตงก็เอาไปปรึกษากับหยงเทียนแทนที่จะเป็นพี่ชายอย่างเขา คงเพราะช่วงหลังๆ มานี้ หลี่ซื่อหลางเอาแต่นั่งเสียใจให้คนที่จากไป ความรักที่ให้ฟานตงจึงส่งไปไม่ถึง?

น้องชายจึงโหยหาความรักจากคนอื่น และคนนั้นก็คือหยงเทียน

น…นี่เขาเป็นพี่ชายประสาอะไรกัน?

“ห้ามโทษตัวเองนะ บอกแล้วว่าไม่มีใครผิดทั้งนั้น”

ราวกับจิ้งอี้อ่านใจเพื่อนออก หลี่ซื่อหลางถอนหายใจเฮือกใหญ่เสียไม่ได้

“ข้าผิดเอง”

“ก็บอกอยู่ว่าไม่ให้โทษตัวเอง เจ้ามันน่านัก!”

จิ้งอี้แจกมะเหงก ปั้ก! หลี่ซื่อหลางซี้ดปาก ลูบหัวตัวเองเบาๆ “เรื่องอะไรมาโขกหัวข้า?!”

“เอาปัญญาเจ้ากลับมาไง เป็นตาแก่ขี้น้อยใจแถมยังไร้เหตุผลตั้งแต่เมื่อไหร่”

เพื่อนตัวโตระบายลมหายใจที่อัดอั้นไว้บ้าง “ข้าพูดในฐานะผู้ชายคนหนึ่ง ไม่เคยเห็นใครรักน้องชายได้เท่าเจ้าแล้ว ซื่อหลาง ฟานตงได้รับความรักจากเจ้าจนล้น แต่เขาก็ต้องการคนที่เป็นคู่รักคู่คิด รู้อยู่ว่าน้องเจ้าเป็นอย่างไร หากได้หยงเทียนคอยดูแล ถ้าข้าเป็นเจ้าคงหมดห่วง”

“ข้าแค่กลัวอนาคตน้องชายข้าเสียใจ…”

“หากฟานตงเสียใจ เจ้าก็ปลอบเสียสิ”

“เจ้าพูดง่าย”

หลี่ซื่อหลางนวดขมับ ก้าวเท้าช้าลงราวกับไม่อยากเดินไปถึงงานเทศกาล เขาควรปรับอารมณ์ตัวเองก่อนเจอหน้าฟานตงและหยงเทียนเสียก่อน

“หากเป็นถิงถิง เจ้าจะพูดแบบนี้อยู่มั้ยเล่า ลองคิดดู”

“ก็…”

จิ้งอี้ลองคิดในมุมของเขา ถ้าลูกสาวมีคู่ครองเป็นหญิงล่ะก็…ชายหนุ่มนิ่งไปชั่วครู่ “ข้าคงต้องพิจารณาไปก่อน หากรักกันจริงแล้ว ข้าก็จะยอม”

หลี่ซื่อหลางทำสีหน้าไม่เชื่อ “คนหวงลูกอย่างเจ้ายอมแน่หรือ?”

“ซื่อหลาง ถึงข้าจะหวงลูก แต่ข้าไม่เลือกคู่ครองให้ลูกเพื่อนความสุขตัวเอง กลับกันหากข้าแต่งกับคนอื่นที่ไม่ใช่เมียข้า ชีวิตนี้คงไม่มีความหมาย ทีอย่างเจ้ายังไม่ยอมแต่งกับน้องข้าเลย เพราะเจ้ารักนางแบบน้องสาวไม่ใช่หรือ?”

“ก็ใช่…”

“คนในครอบครัวอย่างเราควรดูแลเขาเท่าที่ทำได้ ไม่ใช่ทุกอย่าง ปลอบเวลาเสียใจ ให้คำปรึกษายามเกิดปัญหา ตักเตือนเวลาทำผิด ส่วนเรื่องอื่นต้องปล่อยให้มันเป็นไปบ้าง”

“เช่นนั้นข้าควรให้ฟานตงกับหยงเทียนรักกันต่อไป”

“ข้าไม่เห็นว่ามีอะไรเสียหาย ซื่อหลาง เจ้าอย่าเพิ่งตีตนก่อนไข้”

ถึงจะคิดแบบนั้นก็เถอะ แต่หลี่ซื่อหลางก็ยังไม่วางใจ เหมือนจิ้งอี้อ่านสีหน้าอีกฝ่ายออก จึงเปรยออกมาเหมือนไม่ทุกข์ร้อน

“หากวันหน้าหยงเทียนทำตงตงของเจ้าเสียใจมากนัก คงไม่เกินความสามารถเจ้าจับเจ้าหนุ่มนั่นตอนเสีย?”

หลี่ซื่อหลางไม่ตอบ

แต่กลับบ้านคราวนี้มีดในครัวคงต้องลับให้คมสม่ำเสมอ



.

.

.



อีกด้านหนึ่ง หยงเทียนรู้สึกเสียวสันหลังวาบไม่ทราบสาเหตุ





-------------------------------------------------------------





บรรยากาศภายในงานเทศกาลดอกท้อครั้งนี้ครึกครื้นกว่าปีก่อน

ร้านรวงเปิดแผงขายกันครึกโครม ผู้คนต่างเดินสวนกันไปมาเหมือนขบวนรถไฟ ถัดออกไปเป็นสวนดอกท้อที่พร้อมใจกันออกดอกงามสะพรั่ง เด็กและผู้ใหญ่นั่งชมดอกท้อใต้แสงจากดวงจันทร์และดวงดาว ประกอบแสงโคมไฟประดับริมทางช่วยทำให้ดอกท้อสวยงามขึ้นทุกครั้งที่เฝ้ามอง

“จิ้งอี้ ตรงนี้คนเยอะ”

“เจ้าว่าอย่างไรนะ?!” จิ้งอี้ก้มตัวฟัง เพราะรอบข้างเสียงค่อนข้างดัง เสียงเบาๆ ของหลี่ซื่อหลางจึงถูกกลบสนิท

“ข้าบอกว่าตรงนี้คนเยอะ!”

“เสื้อเจ้าเลอะ?!” จิ้งอี้กวาดสายตามองเสื้อสะอาดเอี่ยมอ่องของอีกฝ่าย “ไม่เห็นสกปรกตรงไหนนี่”

“ไม่ใช่เสียหน่อย” หลี่ซื่อหลางเกาหัวตัวเอง พยายามตะโกนแข่งเสียงผู้คนอีกครั้ง “ตรงนี้คนเยอะ ไปดูดอกท้อตรงนู่นกัน!”

“เจ้าปวดฟัน?!”

จิ้งอี้ทำตาโต เพื่อนเขาก็ไม่แก่ขนาดฟันใกล้ร่วง หรือนี่เป็นสัญญาณสุขภาพไม่ดี?

“ไม่ช่ายยย! ” หลี่ซื่อหลางถอนหายใจเฮือก “เจ้าหูตึงแล้วหรือไร!”

จิ้งอี้ชะงัก หันมาต่อว่า “เรื่องอะไรมาหาว่าข้าหูตึง?! อุตส่าห์พามาเที่ยวต้องชมข้าว่าสุดหล่อถึงจะถูก”

หลี่ซื่อหลางดึงหน้า ทีอย่างนี้ล่ะหูดีขึ้นมาเชียว!

“ช่างเถอะ ไปหาที่นั่งกันก่อนดีกว่า”

เพื่อนตัวโตสรุปได้ก็ลากหลี่ซื่อหลางออกจากฝูงชน ถึงจะเข้าใจได้ไม่ใกล้เคียงกับที่อีกฝ่ายอยากบอก แต่อย่างน้อยก็จะได้ออกจากตรงนี้สักที

พลั่ก!

ไม่ทันระวัง หลี่ซื่อหลางชนเข้ากับใครบางคนจนมือที่จับกับจิ้งอี้หลุด

“อ่ะ ขอโทษขอรับ” ฝ่ายนู่นหันมากล่าวขอโทษก่อน

วินาทีนี้หลี่ซื่อหลางกลับเลือกไม่ได้ว่าจะหันไปขอโทษอีกฝ่ายหรือรีบตามจิ้งอี้ที่ถูกทะเลผู้คนซัดออกไปไกลลิบก่อนดี เฮ้อ เขาไม่อยากหลงกับเพื่อนแบบนี้เสียหน่อย ช่วยไม่ได้

“ไม่เป็นไร ข้าเองก็ต้องขอโทษด้วย”

หลี่ซื่อหลางตัดสินใจหันไปขอโทษ อีกฝ่ายมองหน้าเขานิ่งๆ ก่อนจะโค้งให้อย่างสุภาพจนชายหนุ่มเป็นฝ่ายตั้งรับไม่ทัน

“ขอโทษจริงๆ ขอรับ”

“ม…ไม่เป็นไร”

จะบอกว่าเขาไม่ได้แขนหักเสียหน่อย ไม่ต้องโค้งให้ขนาดนั้นก็ได้…

หลี่ซื่อหลางเลิกสนใจผู้ชายท่าทางสุภาพตรงหน้า เขาต้องมองหาจิ้งอี้ที่จมหายอยู่ในฝูงชนเป็นร้อยให้เจอเสียก่อน ชะเง้อแล้วชะเง้ออีก นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

“จื่อเยี่ยน มายืนทำอะไรตรงนี้”

“ขออภัยขอรับ คุณชายเล็ก”

คุณชายเล็กทำสีหน้าเหมือนจะบอกว่า ช่างเถอะ รีบไปกันดีกว่า จื่อเยี่ยนรู้ดีว่าภายใต้หน้ากากเฉยชา ข้างในกลับหงุดหงิดเหลือคณา คุณชายคนนี้เกลียดสถานที่ที่มีฝูงชนแออัด หากไม่ใช่เทศกาลดอกท้อก็คงไม่มา

แต่คนเยอะแบบนี้ จะมีอารมณ์ชมความงามดอกท้อได้อย่างไร?

คุณชายเล็กกำลังจะหันหลังกลับ พลันสายตาบรรจบเข้ากับร่างโปร่งของใครบางคนเข้าโดยบังเอิญ 



ซื่อหลาง…?

คุณชายเล็กนิ่งงันไปชั่วขณะ สายตาคมเข้มจ้องมองอย่างมีความหมาย แม้เห็นแค่แผ่นหลังเขาก็จำได้

“ซื่อหลาง!” เป็นจิ้งอี้ที่ตะโกนโบกมือเรียกอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล

หลี่ซื่อหลางหันไปมองตามเสียงเรียก จิ้งอี้คงเห็นว่าเขาหายไปจึงกลับมาตาม ทว่าเมื่อหันหลับไป สายตาชายหนุ่มไม่ได้หยุดอยู่ที่ร่างของเพื่อนสนิทซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่กี่ก้าว หากเป็นร่างสูงใหญ่แปลกตาแต่กลับรู้สึกคุ้นเคยเหมือนเพิ่งจากกันไปเมื่อวาน

“หย่งคัง…?”

เสียงนั้นเรียกสติคุณชายเล็ก


…ยังไม่ถึงเวลา…


“จื่อเยี่ยน ไปเถอะ” เจ้าของใบหน้าเรียบนิ่งไม่แสดงอารมณ์หันหลังกลับ เดินออกไป ทิ้งระยะห่างจากหนึ่งก้าวเป็นสองก้าว สามก้าวเป็นสี่ก้าว เกินที่หลี่ซื่อหลางจะเอื้อมถึง

ผู้ชายท่าทางสุภาพคนนั้น ที่ชื่อ จื่อเยี่ยน หันมาโค้งเล็กๆ ให้หลี่ซื่อหลางก่อนจะเดินตามหลังประชิดตัวคนเป็นนาย
ท่ามกลางผู้คนมากมาย หลี่ซื่อหลางมองไม่เห็นใครนอกจากแผ่นหลังกว้างของคนๆ นั้น

เหมือนจะตัวสูงขึ้น?

ไม่สิ…

ตัวใหญ่ขึ้นมากเลยต่างหาก ท่าทางองอาจไม่ยอมใคร สง่าสมกับเป็นคุณชายเล็กตระกูลจาง เขาผิดแล้วที่พลาดไปเรียกอีกฝ่ายว่า หย่งคัง อย่างลืมตัว

ลืมได้อย่างไร?

น้องเล็กของเขาไม่มีอีกแล้ว ลืมได้อย่างไร…ลืมได้อย่างไร?

“หวังว่าคงไม่กุดหัวข้านะ”

หลี่ซื่อหลางพึมพำกับตัวเอง ขณะเดียวกันก็รู้สึกถึงแรงจับที่ต้นแขน

“ซื่อหลาง!” จิ้งอี้ระบายลมหายใจโล่งอก ในที่สุดก็หาตัวเพื่อนพบ “ข้าตกใจแทบแย่! จู่ๆ ก็หาย…”

“ข้าอยากกลับบ้าน”

“หือ?” จิ้งอี้ทำสีหน้าเหมือนหูฝาด “เจ้าเพิ่งมาจะกลับแล้วหรือ”

“ข้าเหนื่อย อยากพักผ่อน”

“ซื่อหลาง เทศกาลนี้หนึ่งปีมีหน ข้าไม่ยอมให้เจ้าพลาดแน่”

จิ้งอี้ตัดสินใจกึ่งจูงกึ่งลากซื่อหลางเดินทั่วทั้งงาน หลายครั้งเจ้าตัวอาสาเดินเข้าไปแย่งชิงซื้อของกินติดมือกลับออกมา

“ร้านนี้ซาลาเปาอร่อมมาก เจ้าลองชิมดู”

เห็นหลี่ซื่อหลางดูหงอยๆ คนเป็นเพื่อนยิ่งคะยั้นคะยอ “กำลังร้อนๆ เลย ไม่กินล่ะ หรืออยากให้ข้าป้อน?”

“ตลกแล้ว”

ร่างโปร่งหยิบซาลาเปาลูกอิ่มขึ้นมากัด รสชาดดีอย่างที่อีกฝ่ายบอก “อร่อย”

“บอกแล้ว!”

จิ้งอี้รู้สึกได้ความมั่นใจกลับมา เขารู้สึกว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นระหว่างช่วงที่พลัดหลงกับหลี่ซื่อหลาง เพื่อนสนิทดูเศร้าๆ แต่กำลังฝืนยิ้ม

คิดว่ามันจะหลุดลอยจากสายตาถังจิ้งอี้?

ไม่มีวัน

“หลี่ซื่อหลาง”

คนถูกเรียกเลิกคิ้วประหลาดใจ “อะไร?”

“วันนี้มามีความสุขที่สุดกันเถอะ”

“หา?” คำพูดความหมายสองแง่ทำเอาหลี่ซื่อหลางลืมเศร้าชั่วขณะ “หมายความอะไรของเจ้า?

“ข้าจะทำให้เจ้ามีความสุขไง”

หลี่ซื่อหลางหรี่ตา “เจ้าคงไม่ได้แอบชอบข้าหรอกนะ?”

“เฮ้ย! ข้ามีเมียมีลูกแล้วววว!”

หลี่ซื่อหลางทำหน้าไม่เชื่อ ถึงจะรู้แก่ใจว่าจิ้งอี้คบเขาเป็นเพื่อนด้วยความบริสุทธิ์ใจ แต่ก็แอบหมั่นไส้อีกฝ่ายไม่ได้ “เถอะ ข้าไม่อยากคุย ไปซื้อปลาหมึกดีกว่า”

“ซื่อหลาง! ข้าชายทั้งแท่งนะโว้ยยยย!”

เสียงตะโกนดังไล่หลังหลี่ซื่อหลางที่เดินตรงไปยังร้านขายปลาหมึกท่าทางไม่แยแส

ร่างโปร่งยิ้มกับตัวเอง “ยังไงก็ขอบใจนะ จิ้งอี้…”

เขาควรมีความสุขเพื่อตัวเองเสียที





-------------------------------------------------------------









To be continued...





« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-07-2015 19:06:56 โดย Natsukairi »

ออฟไลน์ Natsukairi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 46
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
    • Fanpage


@alternative หย่งคังกลับมายิ่งใหญ่แน่นอนค่ะะะะะ

@boboman อิอิ คาแรกเตอร์จื่อเยี่ยนไม่เบาเลยค่ะ แต่จริงๆ เขาน่ารักร้าาาาา

@ycrazy ถือซะว่าเพิ่มรสชาดให้คู่นี้เขารู้ใจตัวเองเร็วๆ ค่ะ ฮาาาาาา

@JustWait จะได้สร้างสถานการณ์ให้พระเอกเราเข้มแข็งขึ้นเสียทีค่ะ ไปปกป้องซื่อหลางเร้ววววว คิดในแง่ดี ฮ่าาา

@me12inzy น่าโมโหใช่มั้ยล่ะคะ! ฮาาา เอาใจช่วยให้หย่งคังเก่งเร็วๆ

@ขนมโก๋ มาเอาใจช่วยหย่งคังกับซื่อหลางกันน้าาาาาาา





ออฟไลน์ boboman

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-2
จิ้มมม
แล้วเมื่อไรมันจะถึงเวลาล่ะหย่งคังงง T^T สามปีเลี้ยววว สงสารซื่อหลางงง
รอตอนหน้า มาต่อไวๆ น้า
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-07-2015 10:24:10 โดย boboman »

ออฟไลน์ ycrazy

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 461
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1
ต้องให้เวลาผ่านไปอีกนานแค่ไหนฮะหย่งคัง
วันไหนซื่อหลางทำใจลืมๆไปได้จะสมน้ำหน้าซะเลย :m31:

ออฟไลน์ aaoo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 97
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
หนุกอ่ะ  ตอนนัยน่ะที่นายเอกจะมีความสุขสักที่ :mew2:  :mew2:
ขอบคุณจร้า :mew1:

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
จื่อเยี่ยนเป็นคนที่น่ากลัวที่สุด เพราะมองทุกคนทะลุหมดเลย

หย่งคังก็แซ่บ ไม่สนใจว่าจื่อเยี่ยนจะคิดอะไร คลุกวงในซื่อหลางแบบชัดระดับ HD เลยทีเดียว 5555

อยากเห็นโมเม้นท์ชมเทศกาลดอกท้อของตงตงกับหยงหยงอ้ะ
แค่รู้ว่าไปเที่ยวด้วยกันต่อมจิ้นก็ทำงานหนักแล้วววว

ออฟไลน์ Natsukairi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 46
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
    • Fanpage

ดอกท้อที่ ๑๒



มีข่าวลือแปลกๆ เกี่ยวกับตระกูลจาง บ้างว่าคุณชายเล็กกำลังยักยอกสมบัติตระกูล บ้างว่าคุณชายเล็กสมรู้ร่วมคิดกับญาติวางแผนจะฮุบกิจการแล้วจะขึ้นเป็นผู้นำแทน

ไม่มีใครสามารถแก้ข้อสงสัยเหล่านี้ได้

หากสองอาทิตย์ที่ผ่านมา คุณชายเล็กไม่ติดภารกิจอยู่นอกเมือง กำลังดูแลการเรื่องผลผลิตอยู่ที่สวนผักไร่ผลไม้อยู่แล้วล่ะก็ เกรงว่าคนปล่อยข่าวลือนี้คงไม่พ้นโดนจับสอบสวนเรื่องสร้างกระแสแน่ๆ

“พี่ซื่อหลาง”

เสียงเรียกดึงชายหนุ่มหลุดจากภวังค์ “ท่านนั่งทำอะไรอยู่?”

“…ข้านั่งเฉยๆ”

“ท่านกลายเป็นตาแก่ไปแล้วจริงๆ ด้วย!” ฟานตงแกล้งทำสีหน้าทะเล้น “พี่ซื่อหลาง เย็นนี้ไปตลาดกับข้าไหม เห็นว่าพ่อค้าแม่ขายจากต่างเมืองมาวางแผงสินค้าเต็มพื้นที่เลย”

“เจ้าอยากได้อะไรพิเศษหรือ?”

“เปล่าหรอก ข้าแค่จะไปเที่ยวเล่นกับหยงเทียน แต่เห็นท่านนั่งอยู่บ้านเบื่อๆ ก็อยากชวน”
บางอย่างในตัวซื่อหลางตื่นขึ้นทันที “ไปกับใครนะ?”

“หยงเทียนไง”

หลี่ซื่อหลางนึกถึงใบหน้าคมคายที่นับได้ว่าหล่อเอาการ ระยะหลังมานี้เขาพยายามสังเกตพฤติกรรมของเด็กหนุ่ม ภายนอกดูเหมือนหยงเทียนเป็นแค่เพื่อนวัยเด็กของฟานตง มีความสนิทชิดเชื้อกัน

แต่หากถ้าจิ้งอี้ไม่เตือนสติเขา หลี่ซื่อหลางคงไม่มีวันได้เห็นแววตานุ่มลึกแบบที่ผู้ชายคนหนึ่งใช้มองคนที่ตนรัก

ขนาดเขาไม่ใช่ฟานตง ยังรู้สึกวูบๆ วาบๆ กับสายตาคู่นั้นเลย

แล้วฟานตงล่ะ…?

“ข้าไปด้วย” หลี่ซื่อหลางตอบตกลง ยังอยากดูความเป็นไปของน้องทั้งสอง

“จริงหรือ?!” ฟานตงมีสีหน้าดีใจ “ข้าจะไปบอกหยงเทียน!”

อีกฝ่ายทำท่าจะวิ่ง คนเป็นพี่รู้ทันจึงรีบคว้าแขนน้องให้นั่งลงข้างๆ อย่างใจเย็น “อย่าเพิ่งไป ข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้า”

“คุยหรือ?”

“ใช่” หลี่ซื่อหลางพยักหน้า “ในฐานะที่เราเป็นพี่น้องกัน ต่อไปนี้ขอให้พูดความจริงนะ”

ฟานตงยังจับต้นชนปลายไม่ถูก รู้สึกว่าคนตรงหน้าเข้าโหมดจริงจัง หากก็พยักหน้าออกไป

“ท่านอยากถามอะไรข้า?”

“เจ้ากับหยงเทียน สนิทกันมากหรือไม่”

“สนิทสิ” ฟานตงตอบโดยไม่ต้องคิด “ข้าไปไหนมาไหนกับเขา ก็เรียกว่าไว้ใจล่ะนะ พี่ซื่อหลางถามทำไม?” คนเป็นน้องไม่เข้าใจ ร่างโปร่งไม่อธิบายรีบถามต่อ

“แล้วหยงเทียนดีกับเจ้ามากแค่ไหน”

“พี่ซื่อหลาง…ทำไมวันนี้ท่านถามอะไรแปลกๆ” ฟานตงขมวดคิ้วเล็กน้อย “หยงเทียนทำอะไรไม่ดีหรือ?”

หลี่ซื่อหลางเงียบไปชั่วครู่ จะบอกยังไงว่าหยงเทียนไม่ได้ทำผิดอะไรหรอก เรื่องความรักตบมือข้างเดียวไม่ดัง หากหยงเทียนชอบฟานตง แต่ฟานตงไม่ชอบตอบ ความรักคงไม่เกิดขึ้น

“ตอบคำถามข้ามาเถิด”

“…หยงเทียนดีกับข้าเสมอ”

ฟานตงเอ่ยหนักแน่น ไม่มีความลังเลในน้ำเสียง “ท่านเองก็รู้จักเขา หยงเทียนกับข้าเล่นด้วยกันมาแต่เด็ก สนิทกันเป็นเรื่องปกติ แล้วเจ้านั่นก็นิสัยดีท่านเองก็รู้ไม่ใช่หรือ?”

“อืม…”

“พี่ซื่อหลาง มีอะไรอยู่ในใจท่าน?” ฟานตงแตะแขนคนเป็นพี่ สีหน้าฉายแววกังวลเล็กน้อย

“ฟานตง” หลี่ซื่อหลางสูดหายใจ “เจ้ากับหยงเทียนรักกันใช่หรือไม่”

“ห…หา?”

ใบหน้าฟานตงแดงเถือกลามถึงใบหูทันที เจ้าตัวดูตกใจกับคำถามขนาดที่อยากวิ่งออกไปไกลสิบลี้ “ท…ท่านถามอะไร?”

“เจ้าสองคนรักกันแบบคนรัก?”

ฟานตงก้มหน้าไม่สบตา “…พี่ซื่อหลาง…” เสียงที่เอ่ยสั่นเล็กน้อย “ข้าไม่รู้…”

“ข้าไม่ตำหนิเจ้า หากอยากถามให้แน่ใจ”

“…ข้ายังไม่แน่ใจว่ามันเรียกว่าอะไร” ฟานตงรู้สึกได้ถึงไอร้อนแผดเผาสองข้างแก้มตัวเอง “ข้ามีความสุขเวลาอยู่กับเขา ยังใจเต้นแรงทุกครั้งที่เจอ แบบนี้ข้าบ้าหรือเปล่า พี่ซื่อหลาง หากข้า…เอ่อ…คิดกับหยงเทียนเช่นนั้นท่านรังเกียจหรือไม่”





เงียบ



“พี่ซื่อหลาง อย่าเกลียดข้านะ”

ต่อให้ใครจะเกลียดเขา เขาทนได้

แต่หากเป็นพี่ซื่อหลาง ฟานตงคงเสียใจจนวันตาย

 “ฟานตง…ข้าไม่มีทางเกลียดเจ้า” หลี่ซื่อหลางระบายยิ้มบาง ลูบหัวคนเป็นน้องที่เอาแต่นั่งก้มหน้าก้มตา “ถึงข้าจะไม่เชี่ยวชาญเรื่องรัก แต่ความรู้สึกของเจ้าที่มีต่อหยงเทียนไม่ใช่สิ่งไม่ดี ฟานตง หากเจ้ารักเขา ข้าพร้อมอวยพรยินดี แล้วข้าก็คิดว่าหยงเทียนเองคงคิดไม่ต่างกับเจ้า”

“พี่ซื่อหลาง” ฟานตงเงยหน้า ท่าทางเหมือนหมาป่วย “ท่านไม่เกลียดข้าจริงนะ”

ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอ “เด็กโง่เอ๋ย ทำแบบนี้ไม่สมกับเป็นเจ้าเลย” 

“ข้าไม่ทันตั้งตัวนี่! จู่ๆ ท่านก็มาถามอะไรแบบนี้” ฟานตงอยากกรีดร้อง ก้อนเนื้อในอกเต้นแรงจนเกือบหลุดออกมา “พี่ซื่อหลาง ความจริงข้ารู้อยู่แล้วว่าความรักระหว่างชายมันแปลก ข้าไม่คิดอยากเป็นคนรักเจ้านั่นหรอก ยังไงเขาก็ต้องแต่งงานมีลูกเพื่อตระกูลอู๋ อยู่ตรงนี้ข้ามีความสุขดีแล้ว”

แม้จะยิ้มอยู่ แต่แววตาฟานตงกลับหม่นแสงลง

“ข้าไปดีกว่า เย็นนี้อย่าลืมนัดเรานะ!”

ฟานตงเด้งตัวลุกขึ้นก่อนจะวิ่งออกจากบ้านด้วยความไวแสง ท่าทางร่าเริงทำให้ซื่อหลางคิดอยากเอาน้องชายเป็นแบบอย่าง ฟานตงเข้มแข็งกว่าที่เขาคิดนัก หัวใจดวงน้อยดวงนั้นแบกรับความรู้สึกรักข้างเดียวไว้นานแค่ไหน?

ไหนจิ้งอี้บอกว่าสองคนนั้นรักกันแล้ว?

หรือรักกัน…แต่ยังไม่สารภาพ?


ไม่ได้การ

หลี่ซื่อหลางขอเป็นพ่อสื่อสักวัน




-------------------------------------------------------------






ตลาดยามเย็นมีผู้คนมากมายเดินขวักไขว่กันไปมา

หยงเทียนเดินประชิดฟานตง ดูเหมือนคอยกันไม่ให้มีคนมาชนมากระแทก ส่วนหลี่ซื่อหลางเดินตามหลัง คอยสังเกตสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น

หยงเทียนดูห่วงใยออกหน้าออกตาขนาดนี้ น้องชายเขายังไม่รู้?

ฟานตงช่างเดียงสานัก

“คนเยอะน่าดู เจ้าอยากเดินต่อหรือไม่” หยงเทียนก้มลงกระซิบเพื่อนตัวเล็ก อีกฝ่ายพยักหน้าแรง

“นานๆ จะมีสินค้าแปลกๆ ให้ข้าดู หากเจ้าเหนื่อยก็ไปหาที่พักสิ”

“ข้าบอกตอนไหนว่าเหนื่อย”

“แล้วเจ้าไม่?” ฟานตงขมวดคิ้ว เดินฝ่าฝูงชนต่อไปโดยมีบอดี้การ์ดตัวสูงคุมหลัง หากใครที่เดินผ่านพบเห็นก็ต่างพาอิจฉาเด็กหนุ่มที่มีคนหล่อคอยเดินตามต้อยๆ

“ต่อให้เหนื่อยก็ไม่ปล่อยเจ้าเดินคนเดียวหรอก”

หยงเทียนยิ้มบาง ดึงมือเพื่อนตัวเล็กมากุมไว้ อีกฝ่ายทำท่าจะสะบัดทิ้ง

“จับทำไม่เล่า!”

“เดี๋ยวหลง” ปากบอกเช่นนั้น แต่รอยยิ้มช่างไม่น่าไว้ใจ!

“ข้ายังอยู่ตรงนี้นะ” หลี่ซื่อหลางกลัวตัวเองจะกลายเป็นหัวหลักหัวตอ จึงพูดขึ้นมาลอยๆ จนน้องทั้งสองมองหน้ากันแล้วหัวเราะแห้งๆ

“พี่ซื่อหลาง เหนื่อยหรือยัง” หยงเทียนเอ่ยถาม “ให้ข้าพาท่านไปพักดีหรือไม่?”

ความจริงหลี่ซื่อหลางขี้เกียจเดินมาสักพักหนึ่งแล้ว ปกติเขาไม่ชอบที่ๆ คนเยอะ ตลาดมีสินค้ามากมายก็จริง แต่ชาวบ้านที่มาดูก็แออัดเสียจนหายใจไม่ออก ถ้าไม่ติดว่าวันนี้อยากมาคุยกับหยงเทียนให้รู้เรื่อง เขาคงไม่ยอมมาแน่ๆ

“อืม ดีเหมือนกัน”

หยงเทียนยิ้ม “งั้นไปกันเลย”

หลี่ซื่อหลางมองหาที่นั่ง เขาเห็นร้านน้ำชามีที่ว่างอยู่จึงเดินเข้าไป “ตรงนี้แล้วกัน”

“ข้าขอไปดูตรงนู่นแปบหนึ่งนะ”

ฟานตงชี้ไปที่แผงขายของเล่นหน้าตาประหลาด กำลังจะหันหลังกลับทว่าหยงเทียนไวกว่า

“เดี๋ยว” คว้าหมับที่ข้อมือเพื่อนตัวเล็ก “นั่งพักก่อนแล้วค่อยไป”

“ข้าจะไป” ฟานตงพยายามแกะมืออีกฝ่ายออก “โอ้ย! ปล่อยนะ ข้าเจ็บ”

“ก็เจ้าดื้อเอง”

หยงเทียนฉุดให้ฟานตงนั่งลง สีหน้าคนโดนบังคับบูดบึ้งทันที

“ทำไมชอบบังคับข้าอยู่เรื่อย? ข้าอายุยี่สิบสองนะ ไม่ใช่สิบสอง ขนาดพี่ซื่อหลางยังไม่ขนาดนี้เลย”

ฟานตงบ่นอุบอิบ ขณะเดียวกัน หลี่ซื่อหลางหันไปสั่งน้ำชาสามถ้วย เจ้าของร้านเดินมาเสิร์ฟในเวลาต่อมาไม่นาน

“ดื่มชาก่อนที่จะเย็นเสียรสชาด”

คนอาวุโสสุดเปลี่ยนเรื่องเพื่อยุติปัญหา คนตัวเล็กคว้าถ้วยชาขึ้นดื่ม แต่เป็นต้องสำลักเพราะน้ำชาร้อนลวกลิ้น

“อ้ะ! ลิ้นข้า…”

“เจ้าไม่ระวังเลย” ปากดุ แต่แววตากลับห่วงใยนัก หยงเทียนใช้ปลายแขนเสื้อซับน้ำชาที่เลอะปากอีกฝ่าย
ฟานตงสะบัดหน้าหนี

“เรื่องของข้า”

 รู้สึกถึงไอร้อนแผดเผาที่ไม่ใช่บริเวณโดนน้ำชาลวก หากเป็นแก้มทั้งสองข้าง “ไม่รู้แล้ว ข้าจะไปดูสินค้าตรงนั้น พี่ซื่อหลาง เดี๋ยวข้ากลับมา”

คนเป็นน้องรีบฉวยโอกาสตอนเพื่อนตัวโตเก็บกวาดโต๊ะที่เปียกเพราะน้ำชาหก รีบทะลึ่งตัวออกจากร้านทันที หยงเทียนคว้าไว้ไม่ทันได้แต่ถอนหายใจเฮือก

ก็คนเป็นห่วง ทำไมไม่เชื่อฟังกันบ้าง?

“ดูเจ้าเป็นห่วงฟานตงมาก”

หลี่ซื่อหลางจิบชาอย่างใจเย็น

“พี่ซื่อหลาง ถึงฟานตงจะโตแล้ว แต่บางครั้งเขายังทำอะไรไม่คิด” หยงเทียนบอกตามตรง

“คงเพราะข้าเลี้ยงดูเขาตามใจไปหน่อย”

“ไม่ใช่อย่างนั้นเสียหน่อย” หยงเทียนเอ่ยเสียงอ่อน “พี่ซื่อหลางเป็นพี่ชายที่ดีมาก ข้าเองก็นับถือท่านเหมือนพี่ชายแท้ๆ ของข้าด้วย”

“ขอบใจ เจ้าเองก็เหมือนน้องชายข้าเช่นกัน”

หลี่ซื่อหลางวางถ้วยชาลง ประสานมือเข้าหากัน “เช่นนั้นพี่น้องไม่จำเป็นต้องมีอะไรปิดบัง หากข้าถามอะไรเจ้า ช่วยตอบตามความจริงได้หรือไม่”

“หืม?”

หยงเทียนรู้สึกประหลาดใจ เขาไม่เคยเห็นหลี่ซื่อหลางพูดเช่นนี้มาก่อน “…ข้ารับปาก” แต่ก็ตอบตกลงไป

“ดี” หลี่ซื่อหลางยิ้มบาง “อู๋หยงเทียน เรารู้จักกันมานาน ข้ารู้เจ้าเป็นเด็กดี เช่นนั้นข้าขอถามเจ้าตรงๆ ไม่อ้อมค้อม…เจ้ารักน้องชายข้ามากกว่าเพื่อนใช่หรือไม่”

“พี่ซื่อหลาง?!”

แม้ขนาดคนตัวโตอย่างหยงเทียนยังตกใจราวกับโดนของแข็งทุบหัว “ท่านรู้…?”

“แสดงว่าเป็นความจริง?”

หยงเทียนเงียบอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะพยักหน้า “หากท่านรู้ความจริงแล้ว ข้าก็ไม่อาจปฏิเสธ ใช่…ข้ารักฟานตง” อีกฝ่ายไม่หลบสายตา บอกด้วยวาจาฉะฉาน “หากพี่ซื่อหลางอยากต่อยข้า ก็ไม่เป็นไร”

“ทำไมต้องต่อยเจ้า?” คนเป็นพี่ขมวดคิ้ว

“ท่านไม่เกลียดข้าที่ไปแอบชอบน้องชายท่านหรือ?”

“หา?”

หลี่ซื่อหลางทำสีหน้าฉงน “ข้าไม่ได้เกลียดเจ้า ไม่อยากต่อยตีใครด้วย หากเจ้ารักฟานตง หวังดีกับน้องชายข้าจริงๆ คนเป็นพี่อย่างข้าคงไม่อยากขออะไรมาก”

“ข้าจะทำทุกอย่าง”

ชายหนุ่มรู้สึกพอใจกับสีหน้าท่าทางหนักแน่นของอีกฝ่าย

“อู๋หยงเทียน วันนี้เจ้าสารภาพต่อข้าว่ารักฟานตง แล้วเจ้าได้บอกเจ้าตัวหรือยัง?”

หยงเทียนชะงัก “ข้ากำลังหาโอกาสเหมาะๆ อยู่”

“ชีวิตคนเราสั้นนัก หากเจ้าตัดสินใจแล้วอย่ารอ หรือเจ้ากลัวฟานตงปฏิเสธ?” หลี่ซื่อหลางเลิกคิ้วลองเชิง ทว่าหยงเทียนกลับดูไม่หวั่นเกรงต่ออุปสรรคนั้น

“หาใช่เช่นนั้น พี่ซื่อหลาง ข้ารักแล้วไม่หวังให้เขาตอบแทนอะไรข้า นอกจากอยากให้รักและดูแลตัวเองให้มากๆ”

“ถ้าฟานตงไม่รักเจ้า เจ้าก็จะปล่อยเขาไป?”

หยงเทียนยิ้มบาง “หากข้าทำให้เขารักข้าไม่ได้ ก็จะเป็นเพื่อนกันตลอดไป”

“อย่างงั้นหรือ”

“แต่ถ้าเขาใจตรงกับข้า…” หยงเทียนยกถ้วยชาขึ้นจิบ “อีกสามวัน ข้าจะขอเขาแต่งงาน ท่านว่าอย่างไร?”

“แค่ก!” เป็นหลี่ซื่อหลางที่จู่ๆ ก็สำลักน้ำลายขึ้นมากะทันหัน ลำบากหยงเทียนรีบลูบหลังให้

“พี่ซื่อหลาง เป็นอะไรมากหรือไม่?”

“แค่ก…ข้าสบายดี” หลี่ซื่อหลางโบกมือ สบายมาก กระแอมไอเล็กน้อย “เมื่อกี้ข้าได้ยินไม่ถนัด เจ้าช่วยพูดอีกทีสิ”

“ข้าจะขอฟานตงแต่งงาน”

“…เจ้าว่าไม่เร็วไป?”

หลี่ซื่อหลางนึกภาพส่งตัวฟานตงไปอยู่กับหยงเทียนไม่ออก หากน้องชายออกเรือน เท่ากับว่าคนเป็นพี่ต้องเหงาอยู่บ้านคนเดียว
ทว่าราวกับหยงเทียนอ่านใจเขาออก คนตัวสูงรีบพูดขึ้น

“ยังไม่รู้เลยว่าเขาจะตกลงหรือไม่ พี่ซื่อหลางอย่ากังวล”

“ช่างเถิด”

หลี่ซื่อหลางถอนหายใจ เรื่องนี้เขาไม่ควรไปยุ่งมาก ไหนๆ ฟานตงและหยงเทียนก็ใจตรงกันแล้ว คนเป็นพี่ชายอย่างเขาควรแสดงความยินดีถึงจะถูก

“ข้าอยากให้เจ้าทั้งสองคนมีความสุข” หลี่ซื่อหลางตบบ่าหยงเทียน “เจ้าต้องจริงใจกับน้องชายข้านะ อย่าทำให้เขาเสียใจ”

“ด้วยชีวิตของข้า พี่ซื่อหลาง”

“ดีใจที่ได้ยินเช่นนั้น”

“พี่ซื่อหลาง!” จู่ๆ ฟานตงก็ทะลึ่งตัวพรวดพราดเข้ามา สีหน้าแตกตื่นเหมือนเจอผี “เมื่อกี้ข้าเห็น…เห็น…”

“เกิดอะไรขึ้น?” เป็นหยงเทียนที่รีบลุกไปหา จับเนื้อจับตัวดูว่าฟานตงไม่ได้บาดเจ็บอะไร “เจ้าวิ่งหน้าตั้งเข้ามาแบบนี้ข้ากับพี่ซื่อหลางตกใจนะ ค่อยๆ พูดก็ได้”

“หยงเทียน!” ฟานตงเขย่าแขนเพื่อนตัวโต “ออกไปดูข้างนอกเร็ว!”

“ข้างนอกมีอะไร?”

หลี่ซื่อหลางถามขึ้น ฟานตงไม่รีรอรีบฉุดมือพี่ชายออกจากร้าน “ดูนั่น…บอกข้าทีว่าข้าไม่ได้ตาฝาด พี่ซื่อหลางเห็นอย่างเดียวกับข้าใช่หรือไม่?!”

ทั้งหลี่ซื่อหลางและหยงเทียนซึ่งเดินตามมาทีหลัง ต่างก็หันไปตามนิ้วที่ชี้ไปยังขบวนคาราวานขนาดใหญ่ยาวไปค่อนถนนสายหลัก ร้านรวงต่างพากันหอบสินค้าหลบจ้าละหวั่น เกรงรถม้าจะเหยียบย่ำข้าวของเสียหาย

“อย่างกับขบวนเสด็จ!”

“ใช่ที่ไหน” หยงเทียนดีดหน้าผากคนตัวเล็กหนึ่งที “นี่เป็นขบวนขนส่งสินค้า ไม่ใช่ขบวนเสด็จอย่างที่เจ้าเข้าใจ”

“เรื่องอะไรมาดีดหน้าผากข้าเล่า!”
ฟานตงเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน หากสู้แรงหยงเทียนที่จู่ๆ ก็คว้าเอวตนเองไว้แน่นไม่ได้ “อย่าไปไหนโดยไม่มีข้าอีกนะ ตอนนี้กำลังชุลมุน รอให้ขบวนคาราวานนี้ไปก่อน”

“ปล่อยข้าาา!”

ดิ้นไปก็เปล่าประโยชน์ หยงเทียนไม่ยอมปล่อยคนตัวเล็กง่ายๆ แน่

“ข้าไม่เคยเห็นขบวนคาราวานใหญ่ขนาดนี้มาก่อน” …ปกติแล้ว ขบวนขนส่งสินค้าจะไม่ใช่เส้นทางนี้ไม่ใช่หรือ

เกิดอะไรขึ้นกันแน่?

ไม่แปลกที่ทุกคนจะพากันแตกตื่น รวมทั้งตัวเขาเองก็ด้วย ชาวบ้านพากันซุบซิบไปต่างๆ นาๆ หากไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าจุดหมายปลายทางของขบวนคาราวานี้อยู่ที่ไหน

พลั่ก!

เพราะหลี่ซื่อหลางใจลอยจนไม่ทันเห็นว่ามีใครบางคนเบียดมาชนจากด้านหลัง ร่างโปร่งเซแซดๆ ล้มเทกระจาดกลางถนน เฉียดโดนม้าเหยียบเละหากไม่มีคนกระชากบังคับเหียนให้ม้าหยุดเสียก่อน

“พี่ซื่อหลาง!”

ฟานตงและหยงเทียนรีบถลาเข้าไปช่วยให้พี่ชายยืนขึ้น แต่ดูท่าขาของเขาจะได้รับบาดเจ็บ รู้สึดเสียวแปลบจนต้องซี้ดปาก

“เจ็บขาหรือ?”

หยงเทียนถามด้วยความเป็นห่วง ก้มมองดูขาที่เลือดออก ข้อเท้าค่อยๆ บวมเแดง “ท่านบาดเจ็บ รีบออกจากตรงนี้เถิด ฟานตง ข้าคงต้องอุ้มพี่ซื่อหลาง เจ้าเดินนำที”

“เดี๋ยว” หลี่ซื่อหลางชักตัวหนี ไม่ยอมให้อุ้ม “ข้าเดินไหว”

“พี่ซื่อหลาง ขาท่านเจ็บ ให้หยงเทียนแบก…”

“ตรงนั้นมีอะไรกัน!”

เสียงทรงพลังเอ่ยขึ้นก่อนที่ฟานตงจะพูดจบ คนรับใช้ร่างสูงใหญ่กระโดดลงจากขบวนคาราวาน “หากไม่อยากโดนม้าเหยียบตายก็รีบออกไปซะ”

“มีคนบาดเจ็บนะ! ตาบอดหรือ?!”

ฟานตงต่อปากต่อคำ เป็นหยงเทียนต้องรีบก้มหัวขอโทษแทน “ขออภัย พวกข้าจะไปเดี๋ยวนี้”

“หยงเทียน เจ้าไปก้มหัวให้ทำไม!”

“ยังไม่ไปอีก!” ร่างสูงทำท่าจะผลักอีกฝ่ากให้พ้นทาง ทว่าหยงเทียนรีบเข้ามาขวางเสียก่อน “พวกข้าจะไปกันแล้ว ขออย่ามีเรื่องกันเลย”

“งั้นก็รีบไสหัวไป!”

ตะคอกจนเส้นเอ็นปูด ดูท่าอีกฝ่ายกำลังหัวเสียอยู่ ฟานตงทำท่าจะโต้เถียง หากหลี่ซื่อหลางรีบยกมือห้ามอีกฝ่ายไว้ทัน “ฟานตง ข้าขอล่ะ ทำอย่างที่หยงเทียนบอก”

ขณะที่พวกหลี่ซื่อหลางกำลังหันหลังกลับ กลับมีเสียงหนึ่งดังขึ้น “อย่าเพิ่งไป”

ปรากฏร่างสูงใหญ่องอาจเดินลงจากขบวนคาราวานแรก ติดตามมาด้วยผู้ชายท่าทางสุภาพคนหนึ่ง ในมือของคนผู้นั้นถืออะไรบางอย่างไว้ ก่อนจะยื่นให้คนบาดเจ็บ

“รับไป มันจะทำให้แผลสมานเร็วขึ้น”

วินาทีนั้นไม่มีใครพูดอะไร หลี่ซื่อหลางนิ่งเป็นรูปปั้น หยงเทียนวางท่าทีเฉยชา ฟานตงมีสีหน้าเหมือนเห็นผี ก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีแดงแล้วก็ม่วงคล้ำเหมือนโกรธจัด

“พวกข้าไม่ต้องการของจากคนอย่างเจ้า!”

ฟานตงหันไปเร่งหยงเทียน “ไปเถอะ! เจ้าแบกพี่ซื่อหลางไปเลย เขาขาเจ็บอยู่”

“ด…เดี๋ยว” หลี่ซื่อหลางได้สติรีบปฏิเสธ หากหยงเทียนกลับคว้าเอวกับใต้เข่าของเขา ยกร่างขึ้นอุ้มในท่าเจ้าสาว เล่นเอาศักดิ์ศรีลูกผู้ชายมลายหายไปกับสายลม

“หยงเทียน ข้าเดินเองได้”

หลี่ซื่อหลางรีบบอก หลบสายตาคมกริบของใครบางคนที่จ้องไม่วางตา ฝ่านนั้นไม่เอ่ยอะไร หากบรรยากาศกลับอึดอัดยิ่งกว่าให้คนมาตะคอกใส่อย่างเมื่อครู่เสียอีก

“อย่างไรก็รับยานี่ไปด้วยเถิดขอรับ” เป็นผู้ติดตามตัวเล็กที่นำซองยาหน้าาตาแปลกๆ มาให้ “ขาของท่านท่าทางจะบวมหลายวัน นี่เป็นยาดี จะช่วยลดความเจ็บปวดลง”

“บอกไม่เอาก็ไม่เอา! ทำไมต้องเซ้าซี้?!”

ฟานตงออกหน้ารับแทน ดันหลังเพื่อนตัวโตที่อุ้มร่างโปร่งให้เดินต่อ “ไปกันเถอะ!”

“ช้าก่อน”

เสียงทุ้มดังพร้อมกับที่มือใหญ่คว้าข้อมือคนบาดเจ็บไว้ทัน หลี่ซื่อหลางรู้สึกอยากเป็นลมขึ้นมาทันที ตัวของเขาถูกหยงเทียนอุ้มอยู่ หากคนๆ นั้นกลับพยายามดึงรั้งแขนเขาไว้

ถ้าหลี่ซื่อหลางเป็นของเล่น ป่านนี้คงขาดสองท่อน?

“จื่อเยี่ยน ทายาให้เขา” คนเป็นนายสั่ง

“ขอรับ…”

“เดี๋ยวๆ!” ฟานตงรีบเข้ามาขวาง “คิดว่าตัวเองเป็นคุณชายแล้วจะเที่ยวรังแกใครได้งั้นเรอะ!”

“ข้าจะให้คนช่วยทายาให้ รังแกตรงไหน?”

คุณชายเล็กตอบสีหน้าเรียบเฉย หากแววตากลับดุดันจนฟานตงยังนึกเกรง “พี่ชายเจ้าบาดเจ็บ แล้วจะปล่อยให้เขาเจ็บต่อไป?”

“คนนอกไม่ต้องยุ่ง พี่ชายของข้า ข้าดูแลเองได้!”

ร่างสูงเงียบชั่วครู่ ก่อนเอ่ยปากออกคำสั่ง “จื่อเยี่ยน ไม่ต้องทาแล้ว”

ใบหน้าคมคายลอบมองคนเจ็บที่เอาแต่ก้มหน้านิ่ง

“…ดูแลตัวเองเสียบ้าง”

เปรียบเหมือนคำพูดเปรยๆ ที่ไม่มีใครสนใจฟัง หากประโยคเหล่านั้น หลี่ซื่อหลางได้ยินเต็มสองรูหู


หย่งคัง…


เจ้าทำแบบนี้ทำไม?



“เจ้าห่วงเรื่องตัวเองเถอะ!” ฟานตงตอกกลับ หยงเทียนรีบเข้ามาห้ามทัพ

 “ฟานตง พอเถอะ...พี่ซื่อหลางเจ็บอยู่นะ”

“หึ…งั้นกลับ!” คนตัวเล็กยอมเป็นฝ่ายถอยก่อน อันที่จริงเมื่อกี้ก็ยืนโมโหตะคอกใส่ปาวๆ อยู่คนเดียวแท้ๆ

คุณชายเล็กตระกูลจางได้มองตามหลังคนพวกนั้นเดินฝ่าฝูงชนที่ยืนมุงดูเหตุการณ์อย่างสนอกสนใจราวกับเป็นเรื่องของตนเอง
คนเป็นนายเอ่ยสั่งเสียงเรียบ “เสียวฉิน อย่าให้เกิดเรื่องแบบนี้อีก”

“ขอรับ! คุณชายเล็ก!” คนรับใช้ร่างสูงที่ทำตัวกร่างเมื่อตอนแรกกลับหงอยเหมือนแมวป่วย เงียบปากสนิท โค้งตัวขออภัยคุณชายก่อนจะรีบกระโดดขึ้นขบวนคาราวานอย่างรวดเร็ว





ซื่อหลาง ท่านเจ็บมากหรือเปล่า?





“คุณชายเล็กขอรับ”

จื่อเยี่ยนเรียกสติคนเป็นนายที่ยังมองตรงไปข้างหน้า จุดที่ร่างของใครบางคนหายลับไปตรงนั้น ใบหน้าเย็นชามีแววตาสั่นไหวด้วยแรงอารมณ์

“ไปกันเถิด ขอรับ”

“อืม…”




-------------------------------------------------------------









To be continued...





« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-07-2015 19:12:02 โดย Natsukairi »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ boboman

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-2
ฟินหยงเทียนกะตงตงจัง >///<
หยงเทียนลูกกก ยังไม่ทันคบกันหนูกะจะแต่งงานเลยเหรอเนี่ย 5555555 ชอบๆ ไอเดียดีนะเนี่ย หึๆๆ
สงสารทั้งหย่งคังกะซื่อหลางเลย เฮ้อออ หย่งคังเป็นห่วงแต่ต้องปิดบังความรู้สึกไว้ เง้อออ
รอตอนหน้าาา
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-07-2015 20:07:29 โดย boboman »

ออฟไลน์ me12inzy

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 458
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-2
โถ่คุณชายเล็กของบ่าว ฟานตงนี่อวตารแมวป่าชัดๆ5555

ออฟไลน์ leefever

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 190
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
โอ้ยยย หมั่นไส้พ่อพระเอก หมั่นไส้พระเอกด้วยยย  :katai1: :angry2: :z3:

ออฟไลน์ poogan_zadd

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
เมื่อไหร่จะเข้าใจจจจ อยากให้ได้คุยกันสักที
เอาจริงๆถ้าคนเขียนให้เราอ่านแต่เรื่องฝ่ายซื่อหลางเราคงแช่งอิตาหย่งคังไปหลายตลบ
แต่พอมารู้ว่าหย่งคังก็รู้สึกแบบนี้...เลยสงสารทั้งสองฝ่ายเลย หน่วงกว่าเดิมอีกกกก ฮือออ
ดีที่ตอนนี้มีคู่หยงเทียนกับฟานตงคอยปลอบใจ
แต่ถ้าจิ้งอี้ออกมาปลอบใจซื่อหลางด้วยก็ดีใจมาก แอบจิ้นเบาๆ อิอิ

เป็นกำลังใจให้น้าาาาา

ออฟไลน์ ycrazy

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 461
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-1

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
ฟินกับตงตงและหยงหยง

หมดกัน ซื่อหลางกลายเป็นหนุ่มน้อยท่ามกลางสมรภูมิไปเลย

ออฟไลน์ Natsukairi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 46
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
    • Fanpage




ดอกท้อที่๑๓




ใครๆ ต่างก็พากันฮือฮาเรื่องที่ขบวนคาราวานหยุดลงตรงหน้าบ้านตระกูลจาง

“จื่อเยี่ยน” หยงคังเอ่ยขึ้นก่อนจะก้าวข้ามธรณีประตูบ้าน

“ เก็บกวาดที่เหลือด้วย”

“ขอรับ...”

คนติดตามโค้งสุภาพ เข้าใจคำสั่งเจ้านายเป็นอย่างดี

หยงคังมีสีหน้าพอใจ ก่อนที่คนเป็นนายจะหายลับเข้าเรือนใหญ่ จื่อเยี่ยนรับหน้าที่แก้ปัญหาที่ตามหลังยาวเป็นหางว่าว เขาจัดการลำเลียงผลผลิตบางส่วนเก็บไว้ที่กองคลังสินค้า แล้วนำขบวนคาราวานออกไปอีกเส้นทางที่นำสู่นอกเมืองหลวง ก่อนจะรีบกลับไปสมทบคุณชายเล็กทันที

หากเมื่อมาถึง จื่อเยี่ยนกลับพบว่าสถานการณ์ย่ำแย่กว่าที่คิด

“คุณชายขอรับ”

ร่างสูงเงยหน้าขึ้นจากโต๊ะทำงาน อันที่จริงแล้ว เขานั่งจ้องแผ่นกระดาษใบหนึ่งมานานเป็นชั่วโมง

“จื่อเยี่ยน” ภายใต้ใบหน้าเรียบนิ่ง กลับมีความกังวลเด่นชัดในแววตา “เก็บกวาดเรียบร้อยมั้ย”

“ขอรับ”

หยงคังถอนหายใจแรง “เกิดเรื่องแบบนี้ได้อย่างไรกัน…”

คุณชายนวดขมับ เขาที่ติดภารกิจอยู่แถบชายแดนต้องรีบเดินทางกลับเมืองหลวงทั้งๆ ที่เดิมทีขบวนคาราวานส่งสินค้ามีจุดมุ่งหมายปลายทางคือเมืองข้างๆ

ตารางแผนการขนส่งสินค้าผิดแผนไปหมด แต่ช่วยไม่ได้ เขาต้องตัดสินใจให้ลัดทางเข้าเมืองหลวงก่อน

หยงคังจำเป็นต้องกลับถึงบ้านให้เร็วที่สุด

“คุณชาย นายท่านเรียกพบขอรับ” คนใช้ส่วนตัวของบิดาออกมาจากห้อง เอ่ยด้วยท่าทางสุภาพ

“อืม”

หยงคังสืบเท้าเข้าห้องส่วนตัวของบิดาอย่างใจเย็น แม้ตอนนี้ในใจจะร้อนรุ่มมากเพียงใดก็ตาม

สามวันก่อน ขณะฤดูเก็บเกี่ยวผลผลิต หยงคังได้รับจดหมายจากตระกูลจาง เนื้อความด้านในเขียนว่านายเลี่ยงหวงถูกลอบวางยาพิษ เป็นเหตุให้เขาต้องรีบกลับเมืองหลวงด่วน 

 “มาแล้วหรือ…”

เสียงแหบแห้งดังลอดออกจากริมฝีปากซีด ใบหน้าซูบผอมจนน่าใจหาย เป็นภาพที่แตกต่างจากสองสัปดาห์ก่อนที่หย่งคังจะออกเดินทางนัก

“เฟยหลง…แค่ก!” นายเลี่ยงหวงไอโครกๆ จนตัวโยน “…มาใกล้ๆ ข้านี่”

หย่งคังทำหูทวนลม เหลือบมองของเหลวสีแดงที่เปรอะผ้าปูเตียง อาการของบิดาน่าห่วงกว่าที่คิด

“หมออยู่ไหน เรียกเข้ามา” ร่างสูงเลือกที่จะหันไปบอกคนรับใช้ หากชายชราบนเตียงรีบพูดขัด

“ข้าจะคุยกับเจ้า”

“แต่ท่าน…”

“จะขัดคำสั่งข้าหรือไร”

หย่งคังขมวดคิ้ว “ท่านใกล้ตายยังไม่รู้ตัว?”

“ใครที่ไม่ใช่จางเฟยหลง ออกไปให้หมด!!” ชายชราเค้นแรงตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด ก่อนจะหอบไอออกมาเป็นเลือด หย่งคังที่
แม้จะชิงชังบิดานัก แต่ก็อดไม่ได้ที่จะเข้าไปประคองตัวคนป่วย

“อาการท่านน่าเป็นห่วง”

นายเลี่ยงหวงหัวเราะ แต่น้ำตากลับไหลจากดวงตา “มันสายไปแล้ว”

“ต้องการให้ข้าตามหมอหลวงหรือไม่”

“หมอที่ไหนก็ช่วยข้าไม่ได้” นายเลี่ยงหวงหลับตา “แต่เจ้าช่วยได้แน่”

หย่งคังนั่งลงข้างเตียง มองดูสภาพน่าเวทนาของบิดา,,,บิดา ที่เขาไม่เคยแม้แต่จะเรียกว่าพ่อ เขาชิงชังคนผู้นี้นัก ในทางกลับกัน
ชายคนนี้ก็มอบหลายสิ่งให้กับเขาตลอดหลายปีที่ผ่านมา แค้นต้องชำระ บุญคุญต้องตอบแทน หย่งคังยึดถือประโยคนี้เสมอ
สำหรับความแค้น นางเลี่ยงหวงชดใช้มันให้เขาแล้ว

บิดาต้องทนทรมานอยู่บนเตียง หวาดระแวงไปเสียทุกอย่าง แม้ภายนอกจะแสร้งเย็นชาหยิ่งผยอง หากหย่งคังรู้ดีว่าบิดาหวั่นใจอยู่ตลอด แม้จะมีที่ดินและทรัพย์สินมากมายแค่ไหน กระนั้นกลับไม่อาจซื้อความสุขให้ตนได้

ใครกันอยากใช้ชีวิตเช่นนี้?

…ยิ่งสูง ก็ยิ่งหนาว…

หย่งคังเข้าใจเป็นอย่างดี ชีวิตเขาตอนนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับคำพูดเหล่านั้น

 “เฟยหลง…เอ๋ย…เฟยหลง” นายเลี่ยงหวงเหลือบมองด้วยแววตาสื่อความหมาย “ฟังคำข้าให้ดี จงกำจัดพวกมันก่อนที่มันจะแว้ง
กัดเจ้า”

“ท่านหมายถึงคนที่ลอบทำร้าย?”

นายเลี่ยงหวงพยักหน้า ค่อยๆ เอื้อมมือที่เหี่ยวแห้งแตะใบหน้าคมสันของลูกชาย หย่งคังไม่ขยับหนี

“ข้ารู้ว่าใครเป็นคนทำ”

หย่งคังก้มตัวลง เงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ

“จางอวี๋เฉิน กับครอบครัวของมัน เจ้าเคยเจอแล้วเมื่อปลายฤดูหนาวที่แล้ว จำได้หรือไม่?”

คนฟังนึกตาม ความจำของหย่งคังดีเลิศ ใบหน้าท่าทางสุภาพที่ไม่แตกต่างจากจื่อเยี่ยนลอยขึ้นเด่นชัดในความทรงจำ หากจำไม่ผิด คนผู้นั้นเป็นหมอ?

“ข้าจำได้”

“ดี” นายเลี่ยงหวงหายใจช้าๆ “อวี๋เฉินมียาถอนพิษ หากต้องแลกกับธุรกิจตระกูลจาง”

หย่งคังถอนหายใจ “…ให้ข้าเจรจา”

“คนพวกนี้ไม่ชอบเจรจานักหรอก” นายเลี่ยงหัวหัวเราะในลำคอ หากฟังดูสิ้นหวังพิลึก “ข้าไม่ต้องการยาถอนพิษ เฟยหลง ที่ข้าต้องการ…แค่ก!”

ชายชราไอออกมาเป็นเลือด หย่งคังรีบหยิบผ้าสะอาดเช็ดรอยคราบเลือดอย่างรู้งาน

“ท่านต้องการยาถอนพิษ”

“ข้าไม่ต้องการ!”

นายเลี่ยงหวงปัดของจากหัวเตียงล้มระเนระนาด หายใจฮึดฮัดจากแรงอารมณ์ “ข้าต้องการให้ตระกูลอยู่รอด! เจ้าเข้าใจหรือไม่!”

“หากไม่ได้ยาถอนพิษท่านจะตาย…คนตายไปแล้วทำประโยชน์อันใดไม่ได้ ท่านพูดเอง”

“อย่ามาสอนข้า” นายเลี่ยงหวงส่งเสียงหึในลำคอ “อย่านึกว่าข้าไม่รู้ เจ้าเองก็หวังให้ข้าตาย เพื่อตนจะขึ้นเป็นผู้นำตระกูล”

“ใช่ ข้าจะขึ้นเป็นผู้นำตระกูลแน่”

ไม่มีความลังเลในน้ำเสียง หย่งคังในตอนนี้หนักแน่นดั่งหินผา แข็งแกร่ง หาใช่คนอ่อนแออย่างเก่า หากเขาจำเป็นต้องตอบแทนบุญคุญนายเลี่ยงหวงที่ต้องยอมรับว่ามีส่วนช่วยให้เขามีทุกวันนี้มาได้ หย่งคังต้องการจัดการทุกอย่างให้เข้าที่เข้าทาง และขึ้นเป็นผู้นำตระกูลอย่างสมภาคภูมิ

“ไม่ช้าก็เร็ว ท่านก็ต้องตายอยู่ดี จริงหรือไม่?” หย่งคังยังคงรักษาท่าทีเรียบเฉยไว้

“หากท่านตายจากการลอบวางยาพิษ ข้าก็ต้องขึ้นเป็นผู้นำตะกูลแทนด้วยสาเหตุนี้ แต่ไม่ช้านาน ข่าวลือด้านลบจะแพร่สะพัด คิดว่าข้าจะเย็นใจนั่งบนเก้าอี้ได้นานเท่าใด? เลี่ยงหวง ท่านเคยมีปัญญาเฉียบแหลมเสมอ มาวันนี้กลับตามืดบอด มองแค่ระยะหน้า คุณสมบัติง่ายๆ ของผู้นำท่านก็ไม่หลงเหลือแล้ว”

คนเป็นบิดาถลึงตาใส่ “เจ้ากำลังวิจารณ์ข้า?!”

“ข้าพูดแต่ความจริง”

“แล้วอย่างไร! ข้ามันตาแก่อัมภาตน่าสมเพช! ถึงกระนั้นก็ยังมีศักดิ์เป็นพ่อของเจ้า จางเฟยหลง!”

“เช่นนั้น ข้าถึงต้องให้ท่านต้องได้รับยาถอนพิษ”

แววตาหย่งคงอ่อนลง นายเลี่ยงหวงพยายามระงับอารมณ์ ไอโครกๆ อย่างทรมาน

“ข้าจะนำยาถอนพิษกลับมา และอวี๋เฉินจะไม่ได้อะไรจากตระกูลจางแม้แต่แดงเดียว” หย่งคังให้คำมั่นสัญญา ถือเป็นการตอบแทนบุญคุญครั้งสุดท้าย หากอีกฝ่ายกลับมีแววตาหม่นแสง

“เฟยหลง…ดูข้าสิ ร่างกายข้ามันรับไม่ไหวแล้ว”

“เมื่อได้รับยาท่านจะหายเป็นปกติ”

“ข้าไม่ปกติมาตั้งนานแล้ว!”

นายเลี่ยงหวงตะคอกเสียงแหบ “ดูข้า! มองข้าให้ดีสิ! เจ้าเห็นอะไรนอกจากชายชราขี้โรคคนหนึ่ง?! ที่ข้าต้องการคือตระกูลจางต้องไม่ล้มสลายในยุคปกครองของข้า!”

“ข้าให้สัญญาแล้วว่าคนพวกนั้นจะไม่ได้อะไรจากตระกูลจาง”

“…ไม่…เจ้าไม่อาจจับปลาสองมือ จางเฟยหลง” นายเลี่ยงหวงส่ายหน้า ตาแดงก่ำ น้ำตาไหลโดยไม่รู้ตัว “จะให้ข้ารอด หรือช่วยตระกูลจาง เจ้าต้องเลือกเพียงหนึ่ง”

“ข้าจะทำทั้งหมด”

ชีวิตบนเส้นดายของนายเลี่ยงหวงและความเป็นอยู่ของตระกูลจาง เขาจะเอาคืนมาในทุกวิถีทาง

เพื่อว่าวันหนึ่ง…สิ่งที่เก็บใส่กล่องไว้เนิ่นนานจะถูกเปิดออก…ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างเขาและซื่อหลางจะกลับคืนมาในเร็ววัน เขาไม่ต้องการรออีกแล้ว

ต่อไปนี้…

ทุกอย่าง เขาจะเป็นคนตัดสินเอง





-------------------------------------------------------------





หลังจากที่หลี่ซื่อหลางถูกแบกมาจนถึงบ้าน เขาพบว่าขาของตนบวมแดงจนน่ากลัว

“พี่ซื่อหลาง เจ็บมากหรือไม่?”

สีหน้าฟานตงดูไม่ดี ราวกับเป็นคนเจ็บเสียเองอย่างนั้น เป็นหยงเทียนต้องรีบเข้ามาลากฟานตงให้อยู่ห่างจากพี่ชายก่อนที่คนเจ็บจะรู้สึกอึดอัดไปมากกว่านี้

“ฟานตง ใกล้ขนาดนี้พี่ซื่อหลางหายใจไม่ออกนะ”

“ก็ข้าเป็นห่วงนี้!”

“ข้าไม่เป็นไร”

หลี่ซื่อหลางโกหกเพราะไม่ต้องการให้น้องชายกังวล แค่มองก็รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังนึกโทษตัวเอง “อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ ข้าเห็นแล้วชักจะปวดขาขึ้นมาแล้ว”

“ท่านไปหาหมอดีกว่า ข้าว่า”

หยงเทียนเสนอความคิด ฟานตงพยักหน้าเห็นด้วย

“ขาของท่านท่าจะเจ็บหนัก ต้องการหมอด่วน หยงเทียน เรียกท่านหมอมาที่บ้านได้หรือไม่ ข้าไม่อยากให้พี่ซื่อหลางเคลื่อนย้ายไปไหนเลย”

ฟานตงหันไปออกคำสั่งอีกฝ่ายใหญ่ ท่าทางเป็นห่วงหลี่ซื่อหลางจนหยงเทียนก็อยากเจ็บขาขึ้นมาบ้างแล้วเช่นกัน

“อย่าทำให้เป็นเรื่องใหญ่สิ ฟานตง แค่นี้ข้าไม่เป็นไร”

หลี่ซื่อหลางพยายามลุกขึ้นยืน หากเพียงแค่ขาสัมผัสพื้นเพื่อทรงตัว ความเจ็บร้าวถึงกระดูกส่งผลให้ทรุดลงไปกับนั่งตามเดิมอย่างช่วยไม่ได้

“ท่านอย่าขยับตัวเยอะสิ!” ฟานตงรีบเข้ามาจัดแจงให้หลี่ซื่อหลางเอนตัวนั่งในท่าสบาย “ท่านดื้อกับข้าไม่สำเร็จหรอก พี่ซื่อหลาง ข้ากับหยงเทียนจะไปตามหมอ ท่านห้ามไปไหนเด็ดขาด!”

อย่างกับสภาพเขาตอนนี้จะไปไหนได้?

ซื่อหลางคิดกับตนเอง เปล่าประโยชน์ที่จะคัดค้าน จำใจยอมให้น้องทั้งสองออกไปตามหมออย่างว่านอนสอนง่าย

“ข้าจะไปตามพี่จิ้งอี้มาดูแลท่านนะ” ฟานตงชะโงกหน้ามาบอกก่อนจะจูงมือหยงเทียนเตรียมตัวออกจากบ้าน

“ฟานตง อย่าไม่รบกวนจิ้งอี้เขาเลย”

“รบกวนอะไร ทุกคนเขาอยากทำเพื่อท่านทั้งนั้นแหละ” ฟานตงทำหน้ายู่ ก่อนจะฉุดมือหยงเทียนเดินออกจากบ้าน “ข้าไม่ไว้ใจให้ท่านอยู่คนเดียวหรอก”

…หากเจ้านั่นแอบมาหาท่าน อย่างน้อยพี่จิ้งอี้ก็ดูสูสี ไล่ตะเพิดกับมันได้…

ฟานตงได้แต่คิดไม่อาจเอ่ยออกไป

“ฟานตง…” หยงเทียนเรียก

“หือ?”

“หากข้าบาดเจ็บ เจ้าจะร้อนใจแบบนี้หรือเปล่า”

คนตัวเล็กขมวดคิ้ว “เจ้าถามอะไร?”

“ข้าแค่อยากรู้” หยงเทียนหยักไหล่ “หากข้าเกิดเป็นอะไรขึ้นมา เจ้าจะตามหมอมารักษาข้าหรือไม่?”

“ไม่ตามหมอ แล้วจะไปตามหมาที่ไหน?”

“โธ่ พูดหวานๆ ให้ข้าดีใจหน่อยไม่ได้หรืออย่างไร” หยงเทียนแสร้งทำหน้าเศร้า มือที่จูงร่างบางกระชับแน่น หากคนฟังกลับหน้าแดงวาบ

“อ…อยากได้คำพูดหวานๆ ก็ไปหาสาวๆ สิ!”

“อยากให้ไปจริงหรือ?”

“…”


เงียบ


ฟานตงไม่ตอบ หยงเทียนยิ้มเหมือนมีอะไรแอบแฝง

“หืม ตกลงเจ้าว่าไง”

“ม…ไม่ใช่ธุระของข้า!” ฟานตงพยายามสะบัดมืออีกฝ่ายออก แต่มือหยงเทียนติดหนึบดีเสียยิ่งกว่าปลิง

“ชื่นใจ” หยงเทียนเอ่ยทั้งรอยยิ้ม พึงพอใจในปฏิกิริยาตอบสนองของอีกฝ่าย คิดเข้าข้างตัวเองว่าฟานตงต้องมีใจให้เขาบ้างไม่มากก็น้อย

“ชื่นใจอะไรของเจ้า?!!”

 ฟานตงมีสีหน้าหงุดหงิด ตามอารมณ์เพื่อนตัวสูงไม่ทัน

“ข้าชื่นใจที่มีเจ้าอยู่ข้างๆ ไง” หยงเทียนพูดด้วยความจริงใจ “สาวสวยๆ ตระกูลไหนข้าก็ไม่ต้องการหรอก ฟานตง”

ที่ข้าต้องการ มีแค่เจ้าคนเดียว

หยงเทียนยรำพึงในใจ วันหนึ่งเขาจะพูดประโยคนี้กับคนตรงหน้า

“พ…เพ้อเจ้อ!!”

ปากด่าว่า แต่ใบหน้าแดงเสียยิ่งกว่าลูกตำลึง ฟานตงสรรหาคำด่าแรงๆ ไม่ออก นึกไม่ชอบใจที่ตนเหมือนคนบ้าให้อีกฝ่ายปั่นหัวอยู่ฝ่ายเดียว หัวใจดวงน้อยของเขาเต้นแรงกับคำพูดเหล่านั้น ทั้งๆ ที่หยงเทียนอาจแค่พูดเล่นไม่จริงจัง…แค่ลมปาก…ที่เขากลับเก็บมาคิดจริงจัง

“มาเถอะ ใกล้ถึงแล้ว”

เพื่อนตัวใหญ่เป็นฝ่ายจูงมือเดินนำไปตามทางสู่ศูนย์อนามัยที่เพิ่งสร้างขึ้นเมื่อปลายปีก่อน เห็นว่ามีหมอฝีมือดีประจำอยู่ คอยช่วยเหลือชาวบ้านที่บาดเจ็บ บางครั้งก็ไม่คิดเงินแม้แต่แดงเดียว ท่าทางว่าจะเป็นคนใจดีอย่างที่ใครๆ เขาบอกต่อกันมา

“ที่นี่น่ะหรือ?”

ฟานตงยอมพักรบชั่วคราว มองสำรวจตัวอาคารไม้ดูสะอาดตา

“ที่นี่มีหมอฝีมือดีอยู่ เขาช่วยพี่ซื่อหลางได้”

“จริงหรือ? ข้าไม่เห็นรู้มาก่อน” ฟานตงขมวดคิ้วเล็กน้อย “เขาเป็นใครมาจากไหน?”

“เขาชื่อ…”

“อวี๋เฉิน” เสียงพูดดังขึ้นพร้อมกับร่างที่ปรากฏตรงหน้าประตู “…นั่นเป็นชื่อของข้าเอง”






-------------------------------------------------------------









To be continued...




Talk : โอ้ยยยยยย ขอโทษจริงๆ ค่าาาาที่หายหน้าไปนานนนนนนน
จะพยายามไม่ทิ้งช่วงนานนะคะ สัญญาว่าแต่งจบแน่นอนค่ะ
ช่วงนี้ก็คอยลุ้นว่าหย่งคังผู้ตั้งเป้าหมายไว้สูงจะทำอย่างไรต่อไป...










ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
ซับซ้อนซ่อนเงื่อนขึ้นเรื่อยๆ แฮะ

น่าสนุก

ออฟไลน์ boboman

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-2
เวรกรรม!
ยังงี้อิอวี๋เฉินก็ต้องรู้แน่เลยอ่ะว่าซื่อหลางสำคัญกะหย่งคัง
จะเป็นไงต่อไปน้อ
รอนะจ๊า

ออฟไลน์ poogan_zadd

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 31
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
เอ๋ ทำไมต้องเป็นตาหมอคนนี้
จะมีเรื่องร้ายอะไรกับพี่ซื่อหลางรึเปล่าาา

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด