“เรา... รักกันเหรอ...”
“คุณ... รักผมเหรอ” บท 19เสียงดนตรีคลาสสิกดังคลออยู่ในสวนของบ้านตระกูลบริสตันเพื่อช่วยผ่อนคลายให้กับว่าที่คุณแม่มือใหม่ที่ตอนนี้ตั้งครรภ์ได้ห้าเดือนกว่าแล้ว ส่วนเพลงและเครื่องเล่นเพลงพวกนี้... หลังจากที่ได้ยินน้าหมอพูดว่าที่คุณพ่อก็ไปจัดหามาให้เรียบร้อยแบบที่ไม่มีใครต้องบอกเลยสักนิด แล้วเจ้าเครื่องเล่นเพลงนี้ก็กลายเป็นของติดมือคุณแม่ไปแล้วเรียบร้อย
“นี่...” เสียงของน้ำเหนือดังแทรกดนตรีขึ้น เจ้าตัวเงยหน้าขึ้นจากหนังสือที่กำลังอ่านแล้วร้องเรียกคนที่นั่งอยู่ด้วยกัน
“หือ” ชายหนุ่มรับคำในลำคอ
“หยิบน้ำผลไม้ให้ผมหน่อยสิ” น้ำเหนือพูดให้อีกคนส่ายหน้านิดๆ นึกอยากแกล้งคนที่เหมือนจะทำตัวขี้เกียจก็เลยไม่ยอมเอื้อมมือไปหยิบแก้วน้ำผลไม้มาให้สักที
“นี่...” เมื่อยังไม่ได้ของที่ต้องการน้ำเหนือก็เรียกอีกรอบพร้อมกับใช้หลังของตัวเองกระแทกคนที่นั่งเป็นเสาให้พิง “หยิบให้ผมหน่อย”
“เอาแต่ใจ” ควอตซ์ว่าแต่ก็เอื้อมมือไปหยิบแก้วน้ำผลไม้เย็นๆ ที่วางอยู่บนโต๊ะมาให้น้ำเหนือ
คนที่ร้องให้หยิบรับมาพร้อมกับส่งยิ้มให้ “ขอบคุณครับ” ตอนนี้น้ำเหนือนั่งอยู่ที่ซุ้มไม้ม้านั่งทรงสี่เหลี่ยมที่ตั้งอยู่ในสวน เจ้าตัวนั่งเอาหลังพิงแขนของควอตซ์เอาไว้เหยียดขายาวไปตามเก้าอี้ที่นั่งอยู่ มือข้างหนึ่งถือแก้วน้ำผลไม้แล้วดูดอย่างชอบใจ ส่วนอีกข้างก็ถือหนังสือเอาไว้
ควอตซ์ยื่นมือไปหยิบแก้วในมือของน้ำเหนือหลังจากที่อีกคนดูดน้ำเสียจนหมดแก้วแล้วเอาไปวางไว้บนโต๊ะเหมือนเดิม เป็นความดูแลเอาใจใส่เล็กๆ น้อยๆ แต่เขาก็ไม่เคยมองข้าม ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์สมาร์ทโฟนเครื่องสวยของตัวเองขึ้นมากดดูเวลา
“เกือบจะเที่ยงแล้ว จะกินข้าวตรงนี้หรือเปล่า” หันไปถามคนที่แทบจะทิ้งน้ำหนักตัวทั้งหมดใส่เขา ควอตซ์ขยับแขนข้างที่น้ำเหนือนั่งพิงอยู่ออกแล้วเปลี่ยนเป็นโอบพาดช่วงอกอีกคนเอาไว้แทน “นั่งดีๆ น้ำเหนือ”
น้ำเหนือยันตัวนั่งใหม่พร้อมกับพยักหน้ารับกับคำถามก่อนหน้านี้ไปด้วย “กินตรงนี้ได้ไหมครับ”
“ได้ เดี๋ยวจะไปบอกคุณแม่ก่อน น้ำเหนือขยับนั่งดีๆ ก่อน นั่งแบบนี้นานๆ เดี๋ยวก็ปวดหลังหรอก” ควอตซ์ว่าอีกรอบเพราะที่เจ้าตัวขยับตัวนั่งใหม่นั้นก็แทบไม่ได้ต่างจากก่อนหน้านี้เลย
“นั่งแบบนี้กำลังสบายนี่ครับ” เด็กดื้อเถียงออกมาพร้อมกับย่นหน้า นั่งพิงแบบนี้กำลังสบายเลยถึงแม้เสาที่พิง... อ่า ไม่ใช่เสาสิ แต่มานั่งให้พิงแบบนี้ก็เหมือนพิงเสานั่นแหละจะไม่นิ่มเหมือนเวลาพิงหมอนแต่ก็ให้ความรู้สึกสบายไม่ต่างกัน
“เดี๋ยวมาให้นั่งพิงใหม่ แต่ตอนนี้ขยับมานั่งดีๆ ก่อนน้ำเหนือ” ควอตซ์ส่งเสียงเข้มขึ้นนิดเมื่อเจอเด็กดื้อ จนสุดท้ายน้ำเหนือก็ยอมขยับนั่งพิงเก้าอี้ห้อยขาลงปกติ “ดีมาก เดี๋ยวฉันมา”
คนตัวสูงยกยิ้มพอใจที่คนดื้อยอมทำตามยกมือขึ้นยีผมนุ่มนั้นเบาๆ แล้วจึงลุกเดินเข้าไปในบ้านเพื่อไปบอกคนเป็นแม่ว่าวันนี้ลูกสะใภ้อยากนั่งทานข้าวนอกบ้าน วันนี้เป็นวันทำงานคุณโทมัสจึงไปทำงานตามปกติ ส่วนลาพิสก็มีเรียน แต่ถ้าถามว่าแล้วทำไมคนที่ดำรงตำแหน่งรองประธานบริษัทอย่างควอตซ์ไม่ได้เข้าไปทำงาน ก็คงเป็นเพราะว่าเมื่อเช้าตื่นมาก็พบกับภรรยาของตัวเองแพ้ท้องรุนแรงทั้งๆ ที่ช่วงหลังมานี้ก็อาการดีขึ้นแล้ว แถมยังมีไข้ขึ้นนิดๆ แม้จะโทรถามกับน้าหมอแล้วได้รับคำยืนยันว่าน้ำเหนือไม่เป็นอะไรมาก อาการแพ้ท้องสำหรับบางคนก็จะแพ้จนกระทั่งถึงวันคลอดเสียด้วยซ้ำไป
ถึงแม้จะได้รับคำยืนยันแบบนั้นแล้ว แต่คนขี้ห่วงก็ยังห่วงจึงตัดสินใจว่าวันนี้ไม่เข้าบริษัทเพื่ออยู่ดูอาการของน้ำเหนือแทน และอาการของน้ำเหนือก็ไม่ได้น่าเป็นห่วงอย่างที่น้าหมอว่าเพราะช่วงสายๆ ไข้ที่มีก็ลดลง อาการแพ้ท้องก็ลดลงด้วยเช่นกัน
“คุณแม่ครับ” ควอตซ์ส่งเสียงเรียกคุณหญิงมรกตที่วันนี้ลงครัวเองโดยมีป้ายุพินคอยเป็นผู้ช่วยอยู่ข้างๆ
“ว่าไงคะพี่ควอตซ์ แล้วน้องอยู่ไหนละลูกแม่เตรียมมื้อเที่ยงใกล้เสร็จแล้วนะ”
“นั่งอยู่ที่สวนครับ น้ำเหนือบอกอยากกินข้าวที่สวน”
พอได้ยินแบบนั้นคุณหญิงมรกตก็พยักหน้ารับ “โอเคค่ะ เดี๋ยวแม่ให้เด็กๆ ยกไปให้ จะเสร็จแล้วละน้องหิวแล้วเหรอ”
“ยังหรอกครับ ผมเข้ามาบอกคุณแม่เอาไว้ก่อน มีอะไรให้ผมช่วยยกไปไหมครับ”
“ไม่เป็นอะไรค่ะคุณควอตซ์เดี๋ยวป้าให้พวกสาลี่ยกออกไปให้เอง คุณควอตซ์ไปอยู่กับคุณหนูใหญ่เถอะค่ะ” ป้ายุพินที่กำลังเตรียมยกจานกับขาวใส่ถาดหันมาบอก
“โอเคครับ อ๋อ... น้ำผลไม้ยังมีอยู่ไหมครับ”
“มีค่ะ เดี๋ยวป้าหยิบให้นะคะ” ป้ายุพินว่าก่อนจะเดินไปเปิดตู้เย็นเพื่อหยิบเหยือกใส่น้ำผลไม้ออกมาให้ควอตซ์ ซึ่งชายหนุ่มก็รับไปพร้อมเอ่ยขอบคุณก่อนจะเดินกลับออกไปที่สวนอีกรอบ
ขาที่กำลังก้าวไปที่สวนนั้นแทบจะเปลี่ยนเป็นวิ่งเมื่อเห็นคนที่นั่งรออยู่ยกมือปาดไปปาดมาบนหน้าอีกข้างก็จับท้องตัวเองเอาไว้ ควอตซ์วางเหยือกน้ำลงบนโต๊ะก่อนจะเดินไปหาคนที่นั่งร้องไห้อยู่แล้วร้องถามด้วยความร้อนรน “น้ำเหนือเป็นอะไร ร้องไห้ทำไม ปวดท้องเหรอ”
คนถูกถามไม่ได้เอ่ยตอบนอกจากเงยหน้าขึ้นมองพร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมาไม่หยุด “บอกฉันสิว่าเป็นอะไร เดี๋ยวโทรหาน้าหมอให้รอแปบนึงนะ เจ็บท้องเหรอเจ็บมากไหม”
แต่ก่อนที่ควอตซ์จะได้หยิบโทรศัพท์มาโทรหาน้าของตัวเองน้ำเหนือก็คว้าแขวนของอีกคนเอาไว้ก่อน ใบหน้าน่ารักที่เปื้อนน้ำตาส่ายไปมา “ผ ผมไม่เป็นอะไร ไม่ได้เจ็บท้อง...”
“แล้วเป็นอะไร ร้องไห้ทำไม” ควอตซ์ถามคิ้วเข้มขมวดเข้าหากันมองสำรวจหาความผิดปกติที่เกิดกับคนตรงหน้า ถ้าไม่ได้เป็นอะไรแล้วร้องไห้ทำไม
“ด... ดิ้น ลูกดิ้นครับ” พูดไปก็เหมือนน้ำตาจะไหลเพิ่ม “ม เมื่อกี้ผมถามว่าหิวไหม อึก... ต ตอนแรกก็แค่รู้สึกแปลกๆ ในท้อง แต่สักพักก็รู้สึกชัดขึ้น”
ควอตซ์ถอนหายใจอย่างโล่งอกอย่างน้อยน้ำเหนือก็ไม่ได้เป็นอะไร มือหนาเอื้อมไปเช็ดปาดน้ำตาที่เปื้อนหน้าออกให้ “ขี้แย...” แต่ถึงจะว่าแบบนั้นแต่ใบหน้าคมคายก็ปรากฏรอยยิ้มจางๆ
“ผมเปล่า... ก ก็แค่...” น้ำเหนือได้แต่ปฏิเสธ เขาไม่ได้ขี้แยจริงๆ แต่วินาทีที่รับรู้ถึงอาการดิ้นของลูกแฝดในท้องน้ำตามันก็ไหลออกมาเอง ยิ่งพอเขาวางมือลงบนหน้าท้องก็รับรู้ถึงแรงที่กระทบมาจากภายในก็ยิ่งทำให้น้ำตาไหล
มันเป็นความรู้สึกที่บรรยายออกมาไม่ถูก... นอกจากบอกว่า
ความรู้สึกของคนเป็นแม่...ตอนที่เห็นหน้าท้องของตัวเองยื่นออกมาแบบผิดรูปร่างทั้งซ้ายและขวา ตอนที่รู้สึกเหมือนมีอะไรมาชนข้างในท้อง มันเป็นความรู้สึกที่พูดไม่ถูกจริงๆ
“ไม่ร้องไห้แล้ว ลูกตกใจหมดแล้วมั้งเนี่ย” ควอตซ์ว่ามือก็ยังเช็ดน้ำตาให้เรื่อยๆ จนหยาดน้ำตาหมดไปจากใบหน้าขาวที่เปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อจากการร้องไห้
“น้ำเหนือร้องไห้ทำไมลูก!” คุณหญิงมรกตที่เพิ่งเดินเข้ามาร้องถามด้วยความตกใจเมื่อเห็นใบหน้าแดงก่ำ ขอบตาแดง จมูกแดงของลูกสะใภ้ที่ดูก็รู้ว่าผ่านการร้องไห้มา “พี่ควอตซ์แกล้งอะไรน้องหรือเปล่า”
“เปล่าครับ อึก... คุณแม่” น้ำเหนือส่ายหน้าไปมา
“แล้วเป็นอะไรลูก ร้องไห้ทำไมไหนบอกแม่มาสิ” คุณหญิงมรกตเดินไปนั่งข้างๆ น้ำเหนือ ดึงลูกสะใภ้มากอดเอาไว้เงยหน้าขึ้นมองลูกชายของตัวเองอย่างจะถามว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้ลูกสะใภ้ของเธอต้องร้องไห้
ควอตซ์เอื้อมมือไปลูบผมน้ำเหนือเบาๆ ก่อนจะตอบคำถามของคนเป็นแม่ “น้ำเหนือบอกว่าลูกดิ้นครับ อยู่ๆ น้ำตาก็ไหลออกมาเอง”
พอได้ยินคำตอบแบบนั้นคุณหญิงมรกตก็ยิ้มกว้าง ยกมือลูบผมคนในอ้อมกอดอย่างเอ็นดู ความรู้สึกนี้คุณหญิงคงเข้าใจได้ดีกว่าก็หัวอกคนเป็นแม่เหมือนกัน... “แม่เข้าใจแล้วลูก ดีใจ ตื่นเต้น แปลกใจสินะ ตอนแม่ท้องแม่ก็เป็น ตื่นเต้นเห็นท้องตัวเองนูนออกมา แต่แค่แรกๆ เท่านั้นแหละลูก”
น้ำเหนือดันตัวเองออกเล็กน้อยพร้อมกับมองหน้าคุณหญิงอย่างงงๆ ให้เธอได้หัวเราะแล้วเล่าความหลังสมัยเพิ่งท้องให้ฟัง “ตอนท้องพี่ควอตซ์น่ะ ท้องแรกใช่ไหมแม่ก็ดีใจ ตื่นเต้นใหญ่เลยที่พี่เขาดิ้น แต่พอผ่านไปสักพักพี่เขาดิ้นไม่หยุดจนแม่นี่แทบไม่ได้นอนเลย ดิ้นเก่งจริงๆ จนแม่นึกในใจเล่นๆ ว่าหยุดดิ้นบ้างก็ได้”
พอได้ยินแบบนั้นน้ำเหนือก็หลุดหัวเราะออกมา “อย่างนั้นเหรอครับ”
“แต่เขาดิ้นก็ดีแล้วลูก แสดงว่าเขาปกติน้าหมอได้สอนวิธีนับลูกดิ้นหรือยัง เอาไว้คุยกับน้าเขาอีกรอบนะแม่ก็ลืมไปหมดแล้ว ตอนนี้มาทานข้าวกันก่อนดีกว่าเดี๋ยวเจ้าตัวเล็กจะดิ้นประท้วงเพราะหิว” คุณหญิงมรกตพูด
“อ๊ะ!” น้ำเหนือร้องพร้อมกับยกมือจับท้องตัวเองก่อนจะยิ้ม “สงสัยจะจริงอย่างที่คุณแม่ว่า ท่าจะหิวแล้วละครับ”
“อย่างนั้นก็กินเยอะๆ ละ” ควอตซ์พูดเลื่อนจานข้าวที่สาวใช้เพิ่งยกมาวางมาหน้าน้ำเหนือก่อนจะหยิบอีกจานสำหรับคุณหญิงมรกต
อาหารหน้าตาน่าทานหลายอย่างวางเสียจนแทบจะเต็มโต๊ะไม้ “ทานเยอะๆ นะลูกแม่ทำเองหมดเลย”
น้ำเหนือพยักหน้ารับก่อนจะเริ่มลงมือจัดการกับอาหารตรงหน้า เดี๋ยวนี้น้ำเหนือทานอาหารได้เยอะขึ้น... เยอะขึ้นกว่าช่วงแรกๆ ที่ท้องเยอะมาก น้ำหนักเองก็ขึ้นกว่าเดิมหลายกิโลแต่ก็ไม่ได้ดูน่าเกลียดกลับดูมีน้ำมีนวลขึ้นเยอะ ซึ่งทั้งคุณหมอแล้วก็คุณหญิงก็บอกว่าเป็นเรื่องปกติของคนท้องอยู่แล้ว
คุณหญิงมรกตมองลูกชายคนโตที่คอยดูแลเอาใจใส่น้ำเหนือก่อนจะยิ้มออกมา หลังจากผ่านไปหลายเดือนทั้งลูกชายและลูกสะใภ้ของเธอก็เปลี่ยนไปเยอะมากทีเดียว ตอนแรกทั้งเป็นห่วงทั้งกังวลกลัวว่าทิฐิของทั้งสองคนจะเยอะจนไม่นึกถึงลูกในท้อง คิดว่าคงอยู่ด้วยกันไม่ได้ แต่แล้วมันก็ไม่เป็นอย่างที่เธอนึกกังวล ควอตซ์... แม้บางครั้งจะชอบดุบ่อยๆ บางครั้งพอโดนกวนใจมากๆ ก็เหมือนจะหงุดหงิดแต่ก็ไม่มีสักครั้งที่ลูกชายของเธอจะเอาความหงุดหงิดนั้นไปลงกับน้ำเหนือ เรียกว่าลูกชายของเธอใจเย็นกว่าแต่ก่อนเยอะเลยทีเดียว
ส่วนน้ำเหนือแม้จะมีอาการดื้อดึง บางครั้งก็เอาแต่ใจแต่ก็ไม่เคยดื้อจนเป็นการทำร้ายตัวเองและลูกในท้อง ตอนแรกที่คิดว่าคงไม่มีทางพูดจาดีๆ กับควอตซ์ได้ก็ไม่เป็นเช่นนั้น ถึงแม้ตอนนี้บางครั้งจะพูดกันไปเถียงกันไปก็เถอะ แต่ก็ไม่ได้รุนแรงหรือร้ายแรงอะไร เหมือนคนรักเถียงกันเสียมากกว่า
นี่คงจะเป็นเพราะ... ความเป็นพ่อเป็นแม่คน ที่ทำให้เราเปลี่ยนได้
“หลังคลอดแล้วแต่งงานกันไหมลูก”คำถามที่ทำให้สองคนที่กำลังเถียงกันเล็กๆ นั้นหยุดชะงักหันมามองคนพูดทันที น้ำเหนือได้แต่ทำตาโตเหมือนกับไม่แน่ใจว่าได้ยินอะไรผิดไปหรือเปล่า “ค คุณแม่... ว่าอะไรนะครับ”
“แม่ถามว่าหลังคลอดแล้วจัดงานแต่งงานดีไหม”
“แต่งงาน” ทั้งสองคนทวนออกมาพร้อมกัน
คุณหญิงมรกตพยักหน้ารับ “จ้ะ แต่งงาน ลองเอาไปคุยไปคิดดูก่อนก็ได้เอาไว้หลังคลอดลูกก็ได้ จะแต่งแบบไทย แบบคริสหรือจะบินไปจดทะเบียนสมรสที่ต่างประเทศ หรือจะยังไงก็ลองคิดดู”
ทั้งน้ำเหนือและควอตซ์ต่างก็หันมองหน้ากันทันที ทุกวันนี้ชีวิตของพวกเขาก็เหมือนกับคู่แต่งงานอยู่แล้ว เพียงแค่ไม่ได้มีการทำพิธีให้ถูกต้องหรืออะไร ไม่สิ... เรื่องพวกนี้ถูกข้ามไปเพราะเรื่องราวของพวกเขาไม่เหมือนกับคู่รักต่างหาก
เริ่มต้นได้ติดลบ ไม่ได้รักกันเลยสักนิด แต่เพราะอะไรหลายๆ อย่างทำให้พวกเขาต้องมาอยู่ด้วยกัน ใช้ชีวิตด้วยกัน
“ยังไม่ต้องตอบแม่หรอก ลูกทั้งสองคนลองเอาเก็บไปคิดดูแล้วกัน หาคำตอบของคำถามแล้วเมื่อไหร่ที่พร้อมให้คำตอบแม่ ก็ค่อยมาบอก”
ร่างของว่าที่คุณแม่นอนตะแคงอ่านหนังสืออยู่บนเตียงทั้งๆ ที่เวลาก็บ่งบอกว่าดึกมากแล้วแต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะง่วงเลยสักนิด อาจจะเพราะตลอดบ่ายน้ำเหนือหลับยาวมาแล้วก็ได้
“ยังไม่ง่วงอีกเหรอ” เสียงทุ้มเป็นเอกลักษณ์เอ่ยถามเมื่อเห็นว่าคุณแม่ยังนอนอ่านหนังสืออยู่
น้ำเหนือหันไปมองก่อนจะพยักหน้ารับ “ครับ คุณทำงานเสร็จแล้วเหรอ”
“อือ” ควอตซ์ตอบก่อนจะขึ้นมานั่งพิงหัวเตียงฝั่งที่นอนของตัวเอง เมื่อตอนบ่ายเลขาคนสนิทก็เดินถือแฟ้มเข้ามาให้ถึงบ้านบอกว่าเป็นรายงานเรื่องโครงการใหม่เขาเลยนั่งอ่านแล้วก็เขียนข้อความแก้เนื้อหารวมไปถึงเขียนสรุปใหม่ ก็เพิ่งจะเสร็จเอาตอนนี้นี่แหละ “นอนได้แล้วมั้งเกือบจะห้าทุ่มแล้ว”
“ยังไม่ค่อยง่วงเท่าไหร่เลยครับ” น้ำเหนือตอบแต่ก็ยอมปล่อยให้อีกคนหยิบหนังสือไปเก็บไว้ข้างเตียง
“นอนไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็หลับเอง” ควอตซ์บอกเจ้าตัวเอื้อมไปกดเปิดเพลงที่เครื่องเล่นเพลงให้เหมือนปกติที่ทำอยู่ทุกคืนก่อนนอนเพื่อให้คุณแม่นอนหลับสบายก่อนจะกลับมาทิ้งตัวลงนอนบ้าง แม้ไฟในห้องจะปิดแต่ก็ยังมีแสงสว่างตรงบริเวณหน้าห้องน้ำและแสงไฟจากนอกบ้านที่ส่องเข้ามาให้เห็นว่าน้ำเหนือยังนอนลืมตามองมาทางเขาอยู่
“ดื้อ!” คำเดียวสั้นๆ ง่ายๆ ที่บ่งบอกความเป็นตัวน้ำเหนือได้ดีที่สุดจนคนโดนว่าว่าดื้อยังยิ้มขำ เพราะช่วงนี้เหมือนจะได้ยินคำนี้บ่อยเหลือเกิน
“นี่คุณควอตซ์...” น้ำเหนือส่งเสียงเรียกคนที่นอนอยู่ข้างๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าหมอนข้างที่เคยกั้นแบ่งอาณาเขตเอาไว้มันหายไปไหน ไม่รู้เหมือนกันว่าระยะห่างในการนอนมันแคบลงตั้งแต่เมื่อไหร่
พอคนถูกเสียงส่งเสียงในลำคอตอบกลับมาน้ำเหนือก็เอ่ยถามต่อ “คุณ... คิดยังไงเรื่องที่คุณแม่พูด”
“หมายถึงเรื่องไหน... แต่งงานนะเหรอ” ควอตซ์ถามขยับตัวนอนตะแคงหันหน้าเข้าหาน้ำเหนือ “อยากแต่งไหม”
คำถามที่ทำให้คนฟังชะงักและนิ่งคิดไป งานแต่งงานของผู้ชายสองคนอย่างนั้นนะเหรอ ความคิดที่สะท้อนออกมาทางดวงตาให้คนที่มองอยู่สามารถเข้าใจได้โดยง่าย “งานแต่งงานของเราสองคนต่างหาก”
“คุณอยากแต่งไหม” น้ำเหนือถามกลับเสียงแผ่ว ลึกๆ ก็นึกกังวลกับคำตอบของอีกฝ่ายเช่นกัน
“จริงๆ แล้ว... ฉันยังไงก็ได้ ตอนนี้ก็เหมือนเราสองคนแต่งงานกันแล้วอยู่ดีแต่งานแต่งงาน... ในชีวิตเราจะแต่งงานได้สักกี่ครั้งกัน ลึกๆ ก็คงอยากแต่งละมั้ง ได้แต่งงานกับคนที่รักก็คงมีความสุข”
“แต่เราสองคนไม่ได้รัก...” ยังพูดไม่จบประโยคเสียงของน้ำเหนือก็เงียบหายไปเมื่อคนข้างๆ ขยับตัวมาใกล้ มือของควอตซ์ยันเอาไว้ข้างใบหน้าน่ารัก ใบหน้าอยู่ห่างกันแค่คืบ ดวงตาสีแปลกที่มองสบมาฉายแววหงุดหงิดอย่างที่น้ำเหนือก็ไม่เข้าใจว่าตัวเองทำอะไรผิดหรือเปล่า
“ผมพูดอะไร...” เป็นอีกครั้งที่น้ำเหนือไม่สามารถพูดจบประโยคได้ แต่คราวนี้มีบางอย่างที่ปิดกั้นเสียงของเขาเอาไว้ อะไรบางอย่างที่แผ่วเบาแต่ก็นุ่มนวล
ความนุ่มนวลผละออกไปแล้วพร้อมกับดวงตาเรียวของควอตซ์ที่ลืมขึ้นสบมองกับดวงตากลมโตเหมือนลูกกวางนั้นที่ค่อยๆ เบิกกว้างขึ้นเรื่อยๆ อย่างตกใจ
“เราสองคน... ไม่ได้รักกันอย่างนั้นเหรอ” คำถามที่ฟังดูเรียบง่ายที่หลุดออกจากปากของคนด้านบนแต่กลับเป็นคำถามที่ไม่สามารถหาคำตอบมาตอบได้ทันที
ระหว่างเขาทั้งสองคนไม่มีความเกลียดชังเหมือนคราแรก แต่มีความรู้สึกอื่นที่เข้ามาแทนที่ แล้วไอ้ความรู้สึกนั้นน้ำเหนือก็ไม่แน่ใจว่ามันเรียกว่าอะไร
“เรา... รักกันเหรอ...” น้ำเหนือถาม ถามแบบคนซื่อที่ไม่สามารถหาคำตอบและเข้าใจได้
“แล้วที่ฉันหึงเธอ... ไม่ใช่เพราะฉันรู้สึกดีๆ ด้วยหรือไง” ควอตซ์พูด ยังคงไม่ละสายตาไปจากคนตรงหน้า “คนที่ไม่ได้มีความรู้สึกพิเศษต่อกัน เขาจะหึงกันไหมน้ำเหนือ”
“คุณ... รักผมเหรอ”
“แล้วรักฉันไหม”คำถามที่คนถูกถามนิ่งไปนิดเหมือนกำลังคิดหาคำตอบให้ตัวเอง คนถามเองก็ไม่ได้เร่งรัดเอาคำตอบ เขารออยู่แบบนั้น รอจนน้ำเหนือได้คำตอบเป็นอาการส่ายหน้าไปมาและเสียงที่แผ่วเบาว่า...
“ผม... ไม่รู้...”
ไม่ใช่
‘ไม่รัก’ แต่เป็น
‘ไม่รู้’ เพราะน้ำเหนือไม่รู้จริงๆ ว่าความรู้สึกในอกตอนนี้คืออะไรกันแน่ และก็ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมตอนนี้... ถึงไม่ผลักคนตรงหน้าออก ทำไมถึงนอนนิ่งๆ ให้ระยะห่างของใบหน้าลดลงเรื่อยๆ ทำไมถึงหลับตาลงเมื่อเห็นอีกคนหลับตา
ทำไม... ถึงปล่อยให้ริมฝีปากนั้นแนบสนิทลงกับริมฝีปากของตัวเอง
“อย่างนั้น... ฉันจะช่วยหาคำตอบให้เอง”
************************************************
มาวางระเบิดแล้วก็จากไปอีกรอบ 555555555 เจ้าแฝดในท้องดิ้นแล้วววววว คือ... ไม่เคยท้องอะความรู้สึกตอนลูกดิ้นก็ไม่เข้าใจ อาศัยไปหาอ่านจากเว็บเอา เห็นคุณแม่บางคนบอกว่าครั้งแรกที่ลูกดิ้นแล้วน้ำตาไหลเลย เพราะมันเป็นเรื่องที่อัศจรรย์มาก คุณแม่บางคนก็บอกไม่รู้สึกอะไร รู้สึกแปลกๆ เหมือนมีปลามาตอด มีลมในท้อง ก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน... อาจจะสื่อสารออกมาในเรื่องได้ไม่ดีเท่าไหร่ก็ต้องขอโทษด้วยนะคะ
ฟางแค่คิดว่า... น้ำเหนือ ที่เป็นผู้ชายที่สามารถท้องได้ ความรู้สึกตอนที่รู้ว่าลูกดิ้นก็คงเป็นอะไรที่พูดไม่ถูกแต่น้ำตามันไหลออกมาเอง ก็เลยแต่งออกมาแบบนี้ ส่วนนนน อั๊ยยะ... เขาถามว่ารักกันไหมด้วยอะ พี่เขาก็พูดถูกนะ ถ้าไม่รู้สึกรักจะหึงเหรอ ไม่หึงหรอก พี่เขาหึงก็เพราะพี่เขารักไง ส่วนคนน้องนี่ได้แต่ส่ายหน้าอย่างเดียว ไม่รู้จ้ะ ไม่เคยมีความรักมาก่อน ไม่รู้ว่ารักหรือเปล่า แต่ไม่ได้เกลียดแล้วนะ แล้วก็ปล่อยให้พี่เขาจูบเฉยเลยลูก! เขินนนนนนนน แต่งเองเขินเองบ้างเองค่ะ ส่วนครึ่งหลังอะ เป็นอะไรที่ฟางยังคิดไม่ตกค่ะว่าจะให้ไปทิศทางไหนดีนะ จะยาว.... ต่อเลยดี หรือไม่ยาว.... ดี ขอไปคิดแล้วปั่นก่อนนะคะ เจอกันครึ่งหลังค่ะ ^^
ถ้าชอบถูกใจก็คอมเมนต์กันเนอะ ขอเลยค่าขอคอมเมนต์เลย ขอกันแบบนี้นี่แหละ แฮ่...
สำหรับเฟสบุ๊คค่ะ https://www.facebook.com/fgc32yaoi
สำหรับทวิตเตอร์ค่ะ https://twitter.com/Fangiily_GC
เข้าไปพูดคุย สอบถาม ทวงหานิยายกันได้เลยนะคะ ยินดีตอบทุกคน ทุกข้อสงสัย(ที่ตอบได้จ้า)
ฝากอุ้มรักด้วยนะคะ อย่าลืม กดเฟบ กดเมนต์ กดโหวด กดแชร์ แล้วแต่สะดวกเลยน๊า คนละนิดคนละหน่อยเป็นกำลังใจให้ด้วยนะคะ จุ๊บๆ ขอบคุณค่ะ
ขอบคุณทุกคะแนนบวกเป็ด คะแนนชื่นชมในตัวฟางนะคะ ขอบคุณมากๆ เลยค่ะ