ตอนที่ 29
(Part 1)
“เออ. . .กำลังจะขึ้นเครื่อง” ผมตอบไอ้คิมที่โทรมาตอนใกล้เวลาขึ้นเครื่องพอดี หลังจากเช็คอินอะไรเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ผม ไอ้คีน พี่แม็ค ฟาง พี่แบงค์และพี่โมก็นั่งรอเวลาเขาเรียกขึ้นเครื่องอยู่
((โอยยยยย เสียดายอ่ะ อยากไปบ้าง)) มันโอดครวญ ไอ้คิมมันอยากไปด้วยมาก บอกว่าไม่เคยไปสงขลาเลยสักครั้งในชีวิต กูอยากจะบอกมึงจริงๆ ว่า กูก็ไม่เคยไป สาดดดดดด แต่ก็ไปไม่ได้เพราะติดต้องไปเป็นเพื่อนพ่อแม่มันไปหาปู่ย่าที่ฝรั่งเศส (นางไฮโซ๊ ไฮโซ)
“เสียใจด้วยเพื่อนรัก คราวนี้เขาไปเป็นคู่ๆ” ผมแกล้งพูด แต่จะว่าไปมันก็คือเรื่องจริงอ่ะนะ เพราะที่ไปคราวนี้ก็เป็นคู่ๆ กันจริงๆ ก็มีผมกับไอ้คีน
พี่แม็คก็พาฟางไปเปิดตัวเหมือนกัน (แต่ได้ข่าวว่าบอกครอบครัวให้รับรู้ตั้งแต่คบฟางแรกๆ แล้ว ที่พาไปคราวนี้คือพาไปให้ที่บ้านได้เห็นแบบตัวเป็นๆ ครั้งแรก) พี่แบงค์ก็พาพี่โมไป (รายนี้เขาไปมาหาสู่กับทางบ้านกันตั้งแต่คบกันแรกๆ แล้ว เพราะงั้นการไปสงขลาของพี่โมคราวนี้ไม่ใช่ครั้งแรกแน่ๆ)
((เออ ใช่สิ๊ กูมันคนไร้คู่นี่)) มันตอบกลับมาแบบเสียงสูง ประมาณว่าประชดประชัน ผมขำก๊าก
“ก็ถ้ามึงยอมใจอ่อนให้พี่ต้น ป่านนี้ก็ไม่ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย ขาดชายเคียงคู่หรอก ฮ่าๆๆๆ”
((อีกระรอก พี่ต้นจ้างมึงกี่บาท บอกกูมา))
“ก็คงเท่ากับที่ไอ้คีนจ้างมึงล่ะมั้ง” ผมตอบกลับไปทันทีเพราะแต่ก่อนมันชงไอ้คีนแรงมาก (พอๆ กับที่ผมชงพี่ต้นนั่นแหละ) ไอ้คีนที่นั่งอยู่ข้างๆ หันมาเลิกคิ้วเป็นคำถามทันทีที่ได้ยินชื่อตัวเอง ผมส่ายหน้าว่าไม่มีอะไร ยิ้มประจบนิดๆ แล้วซบไหล่มันคุยกับไอ้คิมต่อ
((อูยยยยยย คงแพงน่าดูชม))
“แน่นอน ถึงขั้นสร้างเนื้อสร้างตัวได้อ่ะ” ผมตอบกลับบ้าง ผมกับไอ้คิมเราคุยเล่นกันอีกสักพัก (ซึ่งส่วนใหญ่ก็เรื่องไร้สาระนั่นแหละ) ไอ้คีนก็สะกิดบอกว่าได้เวลาขึ้นเครื่องแล้ว ไอ้คิมอวยพรให้โชคดี พ่อแม่ผัวรัก พ่อแม่ผัวหลง และเดินทางปลอดภัยแล้วก็วางสายไป หลังจากนั้นผมก็ตั้งโทรศัพท์ให้เป็นโหมดเครื่องบินเตรียมตัวขึ้นเครื่อง
.
.
.
.
.
ตอนนี้อยู่สนามบินนานาชาติหาดใหญ่แล้ว ลงจากเครื่องเดินออกมาไม่เท่าไหร่ ก็เห็นพี่เคนนั่งรออยู่แล้ว ไอ้คีนเดินไปกอดพี่ชายมัน ตามด้วยพี่แม็คกับพี่แบงค์ ส่วนพี่โม ผมและฟาง ก็ยกมือไหว้พี่แก พี่เคนก็รับไหว้ยิ้มๆ
“ใช้ได้นะเนี่ย น้องพี่ก็ตาถึงเหมือนกันเว้ย” พี่เคนแซวแล้วมองผมสลับกับไอ้คีนแบบกรุ้มกริ่มๆ ไอ้คีนก็ยักคิ้วใส่พี่ชายตัวเองแบบอวดๆ “ไอ้แม็คก็ไม่แพ้กันเลยเว้ย ไม่ไหวๆ สงสัยพี่ต้องรีบหาแฟนบ้างแล้ว” ประโยคนี้ของพี่เคนเรียกเสียงหัวเราะจากพวกเราทุกคน
พี่เคนตัวจริงไม่ค่อยต่างจากในจอเวลาที่ผมคุยกับพ่อแม่ไอ้คีนเท่าไหร่ แต่สิ่งที่เห็นชัดเวลาเจอตัวจริงก็คือสีตาที่เหมือนกับไอ้คีนมากแต่ของพี่เคนจะดูสุขุมกว่า อาจจะเพราะวัยที่เป็นผู้ใหญ่กว่าและต้องทำงานดูแลลูกน้องหลายคนจึงมีมาดของผู้นำอยู่มาก อีกอย่างคือส่วนสูง พี่เคนกับไอ้คีนถ้าไม่สังเกตดีๆ จะไม่เห็นความต่างของส่วนสูงของสองคนนี้เลย แต่เท่าที่ผมดู เหมือนว่าพี่เคนจะสูงกว่าไอ้คีนสองสามเซนต์ได้
“ถึงแล้ว” ไอ้คีนพูด บอกไม่ถูกว่าตอนนี้รู้สึกยังไง หลังจากที่ไปส่งพี่แม็คกับพี่แบงค์(และแฟนๆ)แล้ว ตอนนี้รถของพี่เคนมาจอดอยู่หน้าบ้านหลังหนึ่ง พี่เคนบีบแตร สักพักก็มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งวิ่งมาเปิดประตูรั้วให้ พี่เคนก็เอารถเข้าไปจอด พอรถจอดสนิทแล้ว พวกเราก็ลงจากรถกัน โดยไอ้คีนเป็นคนไปเอาสัมภาระที่หลังรถลงมา
“พี่คีนนนนน คิดถึง” เด็กผู้หญิงคนเดิมที่เปิดประตูให้เมื่อกี้เดินเข้ามาโถมตัวกอดไอ้คีนอย่างแรง จนมันผงะไปด้านหลัง
“ระวังหน่อยสิตัวยุ่ง” พี่เคนพูด
“คิคิ ขอโทษค่า ครีมคิดถึงพี่คีนนี่” น้องพูดพร้อมหัวเราะคิกคัก ดูแล้วน่ารักดี ฟังจากคำที่แทนตัวเองเมื่อกี้ น้องคนนี้ก็คือน้องครีมลูกพี่ลูกน้องตัวยุ่งของไอ้คีนนั่นแหละ “เอ๊ะ. . .” ดูเหมือนน้องครีมจะสังเกตเห็นผมแล้วล่ะ “พี่ฟีฟ่า!! พี่ฟีฟ่าใช่มั้ยคะ น่ารักกกกก ตัวจริงน่ารัก!!” น้องรีบผละออกจากกอดไอ้คีนแล้วพุ่งเข้าหาผมทันที เอ่อ. . .เด็กๆ นี่แรงดีจริงเชียว “พี่เคนขา พี่ฟีฟ่าน่ารัก!!”
“รู้แล้วๆ เข้าบ้านกัน พี่ฟีฟ่ากับพี่คีนจะได้พักผ่อน” พี่เคนว่าแล้วดึงตัวน้องครีมเข้าบ้านอีกหลังที่อยู่ข้างๆ ไป เหลือผมกับไอ้คีนที่ยืนอยู่หน้าบ้านกันสองคน
“ไป. . .” ไอ้คีนหันมาดึงมือผมเพื่อจะพาเข้าบ้าน แต่ผมขืนตัวไว้ มันหันมาเลิกคิ้วเป็นคำถาม
“คือ. . .” ผมอึกอัก
“ตื่นเต้น?” ผมพยักหน้า มันยิ้ม “ไม่ต้องตื่นเต้น มึงเองก็คุยกับพ่อแม่กูบ่อยๆ นี่”
“ก็ใช่. . .แต่” แต่นั่นมันผ่านกล้องนี่นา แต่นี่เจอตัวจริง. . .
“ฟีฟ่า. . .”
“หื้ม?”
“ไม่ต้องกังวล. . .พ่อแม่กู พี่ชายกู ทุกคนรักมึง. . .เหมือนที่กูรัก. . .”“อื้ม”
เพราคำพูดให้กำลังใจ. . .
เพราะมืออุ่นๆ ที่กุมอยู่ตลอด. . .
ผมสู้ตาย!!
“มากันแล้วค่ะ” พอผมกับไอ้คีนเข้ามาในตัวบ้านและเดินมาถึงห้องรับแขก ก็พบกับสามีภรรยาท่าทางใจดีคู่หนึ่งที่ผมเคยเจอแค่ผ่านกล้องสไกป์ไม่กี่ครั้ง แต่ท่านทั้งสองก็เอ็นดูผมเหมือนลูกเหมือนหลาน
พ่อแม่ของไอ้คีน. . .“สวัสดีครับ” ผมพูดพร้อมยกมือไหว้ท่านทั้งสอง ไอ้คีนเองก็เข้าไปกอดพ่อแล้วหอมแก้มแม่เป็นการทักทาย
“สวัสดีลูก ตัวจริงตัวเล็กน่ารักน่าเอ็นดูอะไรอย่างนี้ลูก” แม่ไอ้คีนพูดยิ้มๆ พร้อมกับเข้ามากอดผม
อุ่นเหมือนแม่เลย. . .
อ้ออมกอดของแม่ไอ้คีนอุ่นเหมือนอ้อมกอดของแม่ผมเลย. . .“มานั่งก่อนลูก มาๆ” แม่ดึงผมให้ไปนั่งที่โซฟาตัวยาวข้างๆ กัน ส่วนไอ้คีนกับคุณพ่อก็ไปนั่งที่โซฟาเดียวข้างๆ กัน “บ้านแม่ไกล เดินทางกันเหนื่อยเลยใช่มั้ยลูก” แม่ลูบหัวผมถาม
“นิดหน่อยครับ บ้านแม่สวยมากเลย มีทะเลด้วย” ผมบอกอย่างตื่นเต้น เพราะเมื่อกี้ตอนนั่งรถผมเห็นแล้วว่าแค่ข้ามถนนไปไม่ไกลก็จะเป็นทะเลแล้ว เหมือนกับที่ไอ้คีนเคยเล่าให้ฟังเลย
“ใช่จ๊ะ ตอนเด็กๆ คีนเล่นน้ำจนดำปี๋เลย พอแม่ส่งไปอยู่กับป้าที่กรุงเทพนั่นแหละถึงได้ขาวขึ้น ไว้แม่หารูปมาให้ดู” แม่เล่าขำๆ ผมเองก็หันไปมองไอ้คีนอย่างแซวๆ เพราะตอนนี้มันขาวมาก จนไม่อยากจะเชื่อว่าจะเคยเป็นเด็กดำด้วย
“ก็ปกติของชาวเลแหละแม่ โธ่ ไม่ต้องให้ดูหรอก” มันรีบแก้ตัวละล่ำละลัก เรียกเสียงหัวเราะจากผมกับแม่ได้อย่างดี
“เอาล่ะ มาเหนื่อยๆ เด็กๆ คงอยากพักผ่อน น้องฟ่าไปพักผ่อนก่อนนะลูก เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยให้พี่เขาพาเที่ยว” แม่พูดขึ้นมาพร้อมลูบหัวผมยิ้มๆ
“ครับ”
“เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมเอามอ’ไซค์ออกนะแม่ จะได้พาน้องกินลมด้วย” ไอ้คีนบอกแม่ นี่ผมไม่อยากจะบอก เวลาไอ้คีนเรียกผมต่อหน้าแม่มันนะ น้องอย่างนู้น น้องอย่างนี้ ทีอยู่กับกูสองคนนี่นะ ฮึ่ยยยย
“น้องฟ่านอนห้องพี่เขาใช่มั้ยลูก หรือม่ต้องแยกห้องให้” แม่ถามผม แต่ผมรู้ว่าท่านต้องการแกล้งลูกชายตัวเองเท่านั้นแหละ ไม่ได้จะแยกจริงๆ หรอก
“อะไรแม่ คนเป็นแฟนกันเขาต้องนอนด้วยกันสิ” ไอ้นี่ก็หลงกลแม่ตัวเองเต็มเปา เรียกเสียงหัวเราะจากทั้งพ่อและแม่ได้อย่างดี ผมเองก็ขำไปกับเขาด้วย ไอ้คีนนี่เหวอไปเลย อะไรเนี่ย ทำอย่างกับไม่รู้จักนิสัยแม่ตัวเอง
“ไปลูกไป พักผ่อนกันได้แล้ว” พ่อพูดขึ้นมา ผมบอกราตรีสวัสดิ์ท่านทั้งสอง ก่อนไอ้คีนจะจูงมือขึ้นมาที่ชั้นสองของบ้าน แล้วหยุดที่หน้าห้องห้องหนึ่ง ซึ่งแน่นอนว่าต้องเป็นห้องของมันอยู่แล้ว
พอมันเปิดประตูเข้าไป ผมก็ต้องอึ้งเพราะกาตกแต่งของห้องนี้ค่อนข้างต่างกับห้องที่คอนโดมาก เหมือนเจ้าของห้องไม่ใช่คนๆ เดียวกัน ที่คอนโดจะเป็นสไตล์เรียบๆ สีพื้นโทนมืดๆ แต่ห้องนี้การตกแต่งกลับเป็นสีพาสเทลอ่อนๆ ทั้งห้องไม่เว้นแม่แต่ชุดเครื่องนอน
“แม่กูเป็นคนแต่งห้องนี้น่ะ ท่านบอกว่ากูชอบสีมืดๆ มันดูแล้วหดหู่” ไอ้คีนอธิบาย ผมพยักหน้าเข้าใจ แต่ก็ยังกวาดสายตามองไปรอบๆ ห้องอยู่ดี ห้องที่ไม่ค่อยมีอะไร ไม่มีแม้แต่ทีวี ผนังสองด้านเป็นชั้นวางหนังสือแบบบิวต์อินที่มีหนังสือแน่นขนัดทุกพื้นที่ ข้างๆ เตียงก็เป็นโต๊ะทำงานที่ยังไม่วายมีหนังสือเกี่ยวกับสถาปัตยกรรมวางอยู่สองสามเล่ม (ไอ้คีนเป็นนักศึกษาแพทย์ที่ค่อนข้างชอบอ่านหนังสือสถาปัตยกรรม ที่คอนโดก็มีอยู่เยอะเหมือนกัน) “มึงไปอาบน้ำเถอะ เดี๋ยวกูจะไปอาบอีกห้อง ง่วงว่ะ” ผมพยักหน้ารับ ไอ้คีนเปิดตู้เอาผ้าขนหนูส่งให้ผมผืนนึง แล้วมันเองก็หยิบไปผืนนึงแล้วเดินออกจากห้องไป ผมเองก็เข้าไปอาบน้ำบ้าง
หลังจากอาบน้ำเสร็จแล้ว พอออกมาก็เห็นว่าไอ้คีนกำลังนั่งพิงหัวเตียงอ่านหนังสืออยู่แล้ว ผมเลยเดินไปนั่งเช็ดผมที่ปลายเตียง สักพักก็รู้สึกว่าคนที่ควรนั่งอ่านหนังสืออยู่เมื่อกี้มาแย่งผ้าในมือแล้วเช็ดผมให้แทน ความสบายที่ได้รับบวกความเหนื่อยล้าจากการเดินทาง ทำให้ผมเผลอพิงมันไปเต็มๆ แล้วเผลอหลับไป
.
.
.
.
.
60%