<<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: <<บัลลังก์รักใต้เงาแค้น >>  (อ่าน 129519 ครั้ง)

ออฟไลน์ Belove

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1230
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +703/-2
    • ฺBelove


                                              บัลลังก์รักใต้เงาแค้น

                                                     บทที่ 5               


               อาชาสีน้ำตาลพ่วงพีกู่ร้องด้วยความตกใจก่อนจะห้อฝีเท้าวิ่งหนีเข้าไปในป่าลึก ทิ้งให้เจ้านายของมันกลิ้ง

หลุนไปกับคนที่จู่โจมลงมาจากต้นไม้ใหญ่ เพชรกล้าตั้งสติอย่างรวดเร็วจนกระทั่งทั้งคู่หมุนกลิ้งใกล้ต้นไม้เข้าไปทุกทีเขา

จึงคว้าคอเสื้อของคนแปลกหน้าให้เป็นฝ่ายพลิกตัวกระแทกแผ่นหลังเข้ากับต้นไม้ใหญ่ทันที


               “อึก”


               ฟ้าฟื้นถึงกับจุกเมื่อกลายเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ และเมื่อเจ้าคนบุกรุกขยับมานั่งคร่อมทับหน้าอกเพื่อให้เขาดิ้น

ไม่หลุดเขาก็ยิ่งแค้น ฟ้าฟื้นจ้องมองกำปั้นที่เงื้อสูงเตรียมที่จะซัดมาที่ใบหน้าของเขาทำให้เขาต้องรีบปล่อยหมัดสวน

อย่างรวดเร็ว แม้จะไม่เต็มน้ำหนักแต่มันก็พอทำให้คนบุกรุกหน้าหงายไปบ้าง ฟ้าฟื้นรีบฉวยโอกาสนั้นผลักร่างของมันให้

พ้นออกจากตัวและรีบลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว


               เปิดฝ่ายจู่โจมก่อนเพราะชำนาญพื้นที่ ฟ้าฟื้นชกคนบุกรุกที่เพิ่งลุกขึ้นมาได้อีกหนึ่งหมัด แต่มันกลับคว้ากำปั้น

ของเขาได้ในหมัดต่อมาและกลายเป็นว่ามันส่งหมัดตรงเข้าเบ้าตาจนฟ้าฟื้นถึงกับมึน


               “ไอ้โจรป่า”


               เพชรกล้าตวาดใส่ใบหน้าที่มองเห็นเพียงดวงตาคู่หนึ่ง ส่วนที่เหลือถูกปิดบังด้วยผ้าสีดำจนมองไม่เห็นใบหน้า

ที่แท้จริง


               “ช่างบังอาจนัก นี่คงเที่ยวปล้นคนสัญจรไปทั่ว ข้าจะกำจัดเจ้าให้ได้”


               ดวงตาคู่นั้นลุกวาบอย่างนึกขำระคนเย้ยหยันที่อีกฝ่ายคิดจะกำจัดเขา ฟ้าฟื้นยกนิ้วกระดิกเรียกมันเข้ามาเพชร

กล้าไม่รอช้าเขากระโจนเข้าโรมรันทันที

               เมื่อตั้งตัวได้แล้วทั้งคู่การต่อสู้จึงสูสีจนฟ้าฟื้นถึงกับแปลกใจที่มันผู้นั้นมีฝีไม้ลายมือแข็งแกร่งกว่าชาวบ้าน

ทั่วไป จนแม้แต่เขาถึงกับพลาดท่าจนต้องหงายหลังลงไปกับพื้น


               “ข้าจะฆ่าเจ้า”


               ฟ้าฟื้นตะโกนลั่นอย่างเจ็บใจ เขาควักมีดพกเล่มเล็กออกมาจากที่เหน็บเอวแล้วโผเข้าใส่ เพชรกล้าจ้องอย่าง

ระมัดระวังเมื่อคมมีดป่ายฉวัดเฉวียนเข้าหา เขาหลบฉากก่อนจะคว้าข้อมือของโจรป่าไว้ได้เขาจึงรีบหักข้อมือทันที


               “อ๊าก”


               ฟ้าฟื้นร้องลั่นเมื่อข้อมือถูกบิดมีดพกร่วงหล่นลงพื้น เขาเงยหน้าจ้องมองอย่างอาฆาตเพชรกล้ารีบดึงมือนั้น

แล้วกระชากเข้าหาตัว ฟ้าฟื้นพยายามสะบัดหนีแต่ไม่สำเร็จ ในที่สุดเพชรกล้าก็ก้าวเข้าด้านหลังและใช้ท่อนแขนเหนี่ยว

ลำคอของฟ้าฟื้น


               “ฆ่าข้าเสียเลยสิวะ”


               ฟ้าฟื้นกล่าวอย่างคับแค้นเมื่อเป็นฝ่ายเสียเชิง ได้ยินเสียงหัวเราะแผ่วเบาดังมาจากเบื้องหลัง


               “ได้สิ ข้าจะทำตามที่เจ้าต้องการ แต่ก่อนจะฆ่าเจ้าข้าขอเห็นใบหน้าของไอ้โจรป่าสารเลวเสียหน่อยเถิด”


               พูดจบเพชรกล้าก็ใช้มือที่ยึดลำคอกระชากผ้าปิดหน้าของฟ้าฟื้นออกทันที เขาดึงให้ฟ้าฟื้นหันมาเผชิญหน้า

กับเขา และเมื่อมองเห็นใบหน้าที่ซ่อนอยู่หลังผ้าสีเข้มเพชรกล้าก็ถึงกับขมวดคิ้วเมื่อมันไม่เป็นดังที่คาด

               โจรป่าควรจะใบหน้าหยาบกร้านกักขฬะแต่ใบหน้าที่เขาจ้องมองอยู่กลับอ่อนเยาว์เกินไป ดวงตาคู่นั้นจ้องเขา

อย่างเคียดแค้นก่อนที่มันจะหันหลังกลับแล้ววิ่งเร้นกายหายไปยังพงไพรอย่างรวดเร็ว


               “เดี๋ยวก่อนโจรป่า เจ้าชื่ออะไร”


               เพชรกล้าตะโกนถามตามหลังแต่โจรป่าคนนั้นก็ไม่ได้หันกลับมาทำให้เขาต้องสบถออกมาอย่างลึมตัว


               “เจ้าชายอินทัช”


              นึกถึงเจ้านายเหนือหัวอย่างตกใจ เพชรกล้าหันรีหันขวางนึกถึงทิศทางที่เห็นม้าขาวประจำกายของเจ้าชาย

อินทัชถูกโจรป่าอีกคนชิงไปพร้อมเจ้าของ เพชรกล้ารีบวิ่งตรงไปยังทิศนั้นอย่างรวดเร็ว







               “ปล่อยเราเดี๋ยวนี้!”


               เจ้าชายอินทัชธราธิปทรงตวาดออกไปอย่างตกพระทัยเมื่ออยู่ๆก็มีคนกระโดดลงมานั่งซ้อนอยู่เบื้องหลังอาชา

ขาวปลอดแล้วบังคับให้มันวิ่งเข้าไปยังป่ารกที่พระองค์ไม่เคยย่างกราย พยายามดิ้นรนแต่บั้นพระเอวกลับถูกโอบรัดแล้ว

เหนี่ยวเข้าใกล้แผ่นอกของมัน


               “อยากตกจากหลังม้าตอนที่มันกำลังห้อเต็มที่อย่างนี้ก็ดิ้นเข้าไป”


               เสียงเข้มดังจากเบื้องหลัง เจ้าชายอินทัชเบิกเนตรกว้าง


               “ไอ้อัคคี”


               “ดีใจที่ยังจำกันได้”


               เสียงหัวเราะลึกอยู่ในลำคอเรียกเลือดในกายให้ร้อนฉ่าเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่ทำให้พระองค์จดจำไม่รู้ลืม พระ

ปรางอุ่นซ่านขึ้นมาราวกับถูกอีกฝ่ายล่วงเกินไม่นานนี้


               “เราจะฆ่าเจ้า”


               ตรัสออกไปด้วยขัตติยศักดิ์ศรีแม้ว่าจะหวาดหวั่นเมื่อม้าของพระองค์เองถูกกระชากบังเหียนให้วิ่งผ่านต้นไม้ใน

ป่าจนตาลาย หันขวับหวังจะต่อว่าให้สาแก่ใจแต่กลับถูกมันเอียงหน้าเข้ามาโขมยจูบซ้ำเสียอีกครั้ง


               “เลวที่สุด”


               จะยกหัตถ์เช็ดปรางข้างที่ถูกหยามด้วยจุมพิตแต่ก็กลัวจะตกม้าจนได้แต่เกาะท่อนแขนที่โอบรั้งบั้นพระเอวเอา

ไว้


               “ปล่อยเราเดี๋ยวนี้”


               “เจ้ารนหาที่เข้ามาหาข้าเองนะ”


               อัคคีเย้นหยัน เขาดึงบังเหียนม้าให้ชลอฝีเท้าเมื่อถึงลานดินบนเนินเล็ก จนเมื่ออาชาพ่วงพีหยุดวิ่งอัคคีก็คว้า

กายให้เจ้าชายอินทัชกระโดดลงจากหลังม้า


               เพียะ!


               อัคคีหน้าหันไปตามแรงตบของเจ้าชายอินทัชทันทีที่เท้าแตะพื้นและหันกลับมาประจันหน้า ดวงตาดุลุกวาบ

ขึ้นมาก่อนที่อัคคีจะกระชากวงพักตร์ผุดผาดเข้ามาบดจูบที่กลีบปากอิ่มโดยที่เจ้าของไม่ทันตั้งตัว


               “อื้ม!”


               แม้ว่าจะมีเศษผ้าหยาบกางกั้นแต่เจ้าชายอินทัชกลับร้อนผ่าวไปทั่วใบหน้า ยกหัตถ์ผลักไหล่ให้โจรป่าถอย

หลังแล้วทรงสะบัดพระหัตถ์ฟาดใบบนซีกหน้าอีกข้างของมัน


               เพียะ!


               ซ้ำรอยเดิมอีกครั้ง คราวนี้มันกระขากพระอังสาเข้ามาจงใจขยี้ริมฝีปากร้อนลงมา จนเจ้าชายอินทัชแทบยืนไม่

อยู่


               “ตบอีกก็จะจูบอีก ตบร้อยทีก็จูบร้อยที”


               อัคคีพูดเสียงกร้าวให้เจ้าชายอินทัชรู้ว่าเขาทำจริงจนเงื้อหัตถ์ค้าง ความเจ็บพระทัยทำให้โผเข้าหาหวังจะชก

หน้าให้หายแค้นแต่ดูเหมือนอัคคีจะเดาใจถูก เขาเบี่ยงตัวหลบนิดเดียวและยกขาขึ้นมาขัดจนเจ้าชายอินทัชเสียหลักหน้า

คะมำลงไปกับพื้นดิน


               “ช่างดื้อเหลือเกิน”


               อัคคีย่อตัวลงไปคร่อมวรกายผุดผ่องพลางดันจนติดพื้น เขาดึงผ้าผูกเอวของเจ้าชายออกและใช้มันคาด

ดวงตาของเจ้าชายไว้จนมั่นใจว่ามองไม่เห็นสิ่งใดอีก เขาจึงพลิกร่างให้เจ้าชายกลับมานอนหงายอยู่ใต้ร่างเขา


               “ดื้อจริงๆ”


               “ปล่อยเดี๋ยวนี้”


               “ไม่ จนกว่าข้าจะได้สั่งสอนให้เจ้าเลิกอวดเก่งเสียที”


               “อย่านะ อะ อึก”


               เสียงขาดหายอย่างไม่ทันตั้งตัวเพราะดวงเนตรที่ถูกปิดบังไว้ทำให้มองอะไรไม่เห็น ข้อพระหัตถ์ทั้งสองโดน

ยึดตรึงไว้กับพื้นดินจนดิ้นไม่หลุด เรียวโอษฐ์นุ่มถูกปากของคนโฉดครอบปิดเอาไว้ และเจ้าชายมั่นพระทัยว่ามันไร้ซึ่งผืน

ผ้ามาขวางกั้นแม้จะพยายามผินหน้าหนีแต่ก็ไม่สำเร็จเมื่ออัคคียิ่งเพิ่มน้ำหนักกดดันลงมาให้ทรงผวา


               “มะ ไม่ อะ อื้มม”


               ลิ้นร้อนฉกลงมาราวกับอสรพิษหนุ่ม กวาดต้อนภายในโพรงปากจนงวยงง แรงดิ้นรนหมดลงโดยพลันจน

กระทั่งเรียวปากแนบชิดขบเม้มไปมาให้เจ้าชายอินทัชเผลอไผลตอบสนองให้มือไม้ไม่อยู่สุขวางป่ายเปะปะไปตามเนื้อตัว

ก่อนจะหยุดอยู่ตรงเป้าหมายที่กึ่งกลางวรกาย


               “ฮึก อย่านะ!”


               หมดแรงห้ามปรามแถมยังสะดุ้งเมื่อถูกจู่โจมด้วยอุ้งมือร้อนผ่าว เจ้าชายอินทัชพระศอแห้งผากไปหมดเมื่อจุด

อ่อนไหวถูกโจมตีไปพร้อมกับลิ้นหยุ่นที่ยังซอกซอนไม่เลิกรา เสียงห้ามและต่อว่าขาดหายกลายเป็นเสียงครางแผ่วอย่าง

น่าละอาย เรียกเสียงหัวเราะลึกในลำคอจากอัคคีจนเจ็บใจที่ต้านทานไม่สำเร็จ ความสยิวซ่านทรวงที่ไม่เคยพบเจอเอ่อ

ล้นจนต้องเด้งเอวเข้าใส่มือที่โยกรั้งรวดเร็วจนร่างกายบิดรัวก่อนจะพ่นน้ำคาวออกมาให้อับอาย


               “เกลียด!”


               ตะโกนลั่นเมื่อกลีบปากเป็นอิสระ เจ็บพระทัยที่ถูกรังแกโดยไร้ทางต่อสู้และยังไม่เห็นแม้แต่ใบหน้าของมัน ยิ่ง

ได้ยินเสียงหัวเราะเย้ยหยันก็ยิ่งเจ็บ


               อัคคีชะงักเมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อเจ้าชายอินทัชมาแต่ไกล นึกเจ็บใจที่ถูกขัดจังหวะแต่อย่างน้อยเขาก็ทำให้

คนอวดเก่งได้รู้ว่าไม่ควรประมาทผู้อื่น


               “เกลียดเถอะ เกลียดให้พอใจ และอย่าลืมว่าคนที่เจ้าเกลียดมีนามว่าอัคคี”


               อัคคีก้มหน้าลงไปจูบแรงๆที่กลีบปากแดงเห่อทิ้งท้ายก่อนจะกระโจนหนีขึ้นหลังม้าขาวปลอดคู่พระทัยเจ้าชาย

อินทัช


               “ม้าตัวนี้งดงามถูกใจ ข้าขอไปเป็นค่าผ่านทางก็แล้วกันนะ”


               เจ้าชายอินทัชรีบดึงผ้าปิดตาออกทันที แต่ก็ทันเห็นเพียงแผ่นหลังของอัคคีควบม้าของพระองค์ไปไกลลิบ

เจ้าชายอินทัชผุดลุกและมองตามอย่างเจ็บใจ ความเปียกชื้นที่แทรกซึมอยู่ในผ้านุ่งยังเป็นหลักฐานยืนยันว่าพระองค์พ่าย

แพ้แก่โจรป่าหยาบช้าผู้นั้น


               “เจ้าชายอินทัช”


               เสียงเรียกของนายทหารคนสนิทเรียกให้เจ้าชายหลุดจากภวังค์ เพชรกล้ารีบวิ่งเข้ามาสำรวจวรกายด้วย

สายตา


               “ทรงได้รับบาดเจ็บที่ไหนบ้างพะย่ะค่ะ”


               เจ็บที่ใจนี่ไงล่ะ


               กัดพระทนต์ด้วยความแค้นแต่ส่ายหน้าให้เพชรฟ้าสบายใจ


               “เราไม่เป็นไร แต่มันชิงเจ้าเมฆาไปแล้ว”


               หมายถึงอาชาสีขาวคู่พระทัย เพชรกล้าเองก็นึกแค้นไม่แพ้กัน”


               “เราคงต้องเดินเท้าออกไปให้ถึงประตูด่านแรกเสียก่อนพะย่ะค่ะแล้วค่อยใช้ม้าจากที่นั่นกลับเข้าวัง หม่อมฉัน

เจ็บใจเหลือเกินที่เสียทีให้แก่พวกมัน แต่อย่างน้อยเราก็มั่นใจว่าทางเข้าออกหุบผากาฬต้องอยู่แถวนี้”


               “กลับกันเถิดเพชรกล้าเราไม่อยากอยู่แถวนี้นานนัก แล้วเราจะนำกำลังทหารมากำจัดพวกมันเสียให้หายแค้น”


               ใช้หลังหัตถ์ยกมาเช็ดโอษฐ์อย่างเจ็บใจ

               อัคคี ไอ้คนเลว

               เราจะฆ่าเจ้าให้ได้






มีต่ออีกนิด





« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-09-2015 23:41:35 โดย Belove »

ออฟไลน์ Belove

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1230
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +703/-2
    • ฺBelove
ต่อตรงนี้จ้า






                อัคคีควบม้าสีขาวกลับไปยังหุบผากาฬ เมื่อถึงกระท่อมบนเนินสูงของบิดาจึงได้กระโดดลงจากหลังม้า มอง

เห็นสมิงกำลังขัดดาบจนเงาวับอยู่บนแค่หนากระท่อม


               “พ่อสมิง ข้ากลับมาแล้ว”


               อัคคีตรงไปหาสมิงพลางชี้ให้ดูม้าตัวสวย


               “มีคนคิดจะผ่านทาง ข้าเลยขอค่าผ่านทางมันมา”


               “ฮะ ฮ่ะๆๆ ฝีมือเยี่ยม อัคคี อีกหน่อยจะเก่งกว่าพ่อเสียล่ะมั้ง”


               “ใครจะเก่งกว่าพ่อได้ พ่อสมิงของข้านั้นเก่งที่สุดแล้ว”


               เสียงหยอกล้อของสองพ่อลูกเรียกให้บัวเดินมาสมทบ เขาก้าวไปมองม้าที่งดงามกว่าม้าทั่วไปอย่างพิจารณา

และเมื่อเห็นบังเหียนและอานม้าที่ตีตราสัญลักษณ์ไว้ ดวงตาที่เหลือเพียงข้างเดียวก็เบิกกว้าง


               “อัคคี!”


               เรียกบุตรชายเสียงดังลั่น เมื่ออัคคีก้าวมาหยุดยืนต่อหน้าบัวก็ยกมือขึ้นตบใส่ใบหน้าของอัคคีทันที


               “พ่อบัว!”


               “บัว ทำอะไรอย่างนั้น”


               “หยุดอยู่ตรงนั้นสมิง อย่ามายุ่ง”


               บัวหันไปตวาดห้ามให้สมิงหยุดก่อนที่เขาจะหันมาตะคอกอัคคี


               “ม้าตัวนี้ไม่ใช่ม้าธรรมดามันเป็นม้าจากในวัง และมีไม่กี่คนที่จะขี่มันได้ อัคคี บอกมาเดี๋ยวนี้ว่าเจ้าไปเจอใคร

มา”


               อัคคีนิ่งงันด้วยความน้อยใจ เมื่อถูกลงโทษโดยที่ยังไม่รู้สาเหตุ


               “ข้าเจออินทัช”


               “เจ้าฆ่ามันหรือไม่”


               “ข้าไม่ทันได้...”


               เพียะ


               ฝ่ามือลอยมากระทบซีกหน้าให้ยิ่งเจ็บช้ำ อัคคีได้แต่กล้ำกลืนมันลงไปในอก


               “ข้าเคยบอกแล้วว่าพวกมันเป็นศัตรูของข้า ทำไมเจ้าถึงกล้าขัดคำสั่งข้า ลืมไปแล้วหรือไงว่าพวกมันเป็น...”


               “เป็นคนทำลายทุกอย่างของพ่อบัว ข้าไม่เคยลืม”


               อัคคีเอ่ยเสียงเย็นชา เขาหันหลังจ้ำอ้าวกลับไปยังกระท่อมเล็กด้านหลังทิ้งให้บัวยืนกัดฟันมองตาม สมิงส่าย

หน้าเมื่อก้าวเข้ามาหาบัว


               “ข้าอยากจะรู้นักว่าทำไมเจ้าถึงใจร้ายกับลูกขนาดนั้น”


               “อย่ามายุ่งเรื่องนี้สมิง อัคคีเป็นลูกของข้า ข้าจะทำอย่างไรก็ได้”


               “ข้าก็เป็นพ่อของอัคคีเช่นกัน การที่ข้าเฝ้าเลี้ยงดูอัคคีตั้งแต่แบเบาะไม่ได้ทำให้เจ้ารู้สึกเลยหรือว่าข้าเองรักลูก

ของเจ้าแค่ไหน”


               สมิงพูดเสียงห้วนก่อนจะกลับไปเช็ดดาบต่อด้วยใบหน้าบึ้งตึง บัวได้แต่กัดฟันมองสมิงแล้วกระแทกเท้าเดิน

กลับเข้าไปยังกระท่อม





               พวกมันเป็นศัตรู จงจำให้ขึ้นใจ

               อัคคีตอกย้ำความรู้สึกตัวเองนับครั้งไม่ถ้วนขณะที่นอนกระสับกระส่ายตั้งแต่เย็นจนถึงยามดึก ความน้อยใจใน

ตัวบิดายังมีมากโขแต่เขาก็พยายามตัดมันทิ้งเพราะความรักที่มีต่อบัว แต่ใบหน้าของใครบางคนที่ขึ้นชื่อว่าศัตรูยังคงลอย

วนเวียนอยู่ในความแค้นที่ถูกฝังหัว


               เสียงประตูเปิดอย่างเช่นเคย อัคคีมองเห็นร่างตะคุ่มของฟ้าฟื้นเดินเข้ามาหา แต่ในวันนี้อัคคีไม่ได้ห้ามปราม

เขากลับกระชากแขนฟ้าฟื้นเข้ามาบดเบียดอยู่บนที่นอนฟูกผืนเล็ก ฟ้าฟื้นเองก็เต็มใจที่จะนอนทอดกายให้อัคคีละเลงลิ้น

ลงมาทั้งตัว


               “อึก ช้าๆอัคคี”


               อุทานเมื่อท่อนเนื้ออุ่นร้อนสอดเข้าไปในช่องทางอย่างรวดเร็วด้วยพายุอารมณ์ แรงเสียดสีสร้างความเสียว

ซ่านให้ฟ้าฟื้นต้องยกเอวลอยตอบรับ ฟ้าฟื้นเบียดกายแนบชิดใบหน้าบิดเบี้ยวไปตามแรงกระแทกกระทั้นจนหัวสั่นหัว

คลอน ต่างคนก็ต่างตกอยู่ในจินตนาการของตัวเอง ฟ้าฟื้นไม่เข้าใจว่าทำไมถึงมีเงาของคนแปลกหน้าที่เพิ่งพบเจอในวัน

นี้ซ้อนทับอยู่บนใบหน้าของอัคคี


               “ฮักๆ  อ๊า”


               ครวญครางกระหน่ำหนักเมื่อร่างกายบิดเกร็ง อัคคีหลับตาเร่งกายด้วยไฟแห่งความปรารถนาในหัวใจ


               “อินทัช ข้าจะทำลายเจ้าให้ได้”


                              --------------------โปรดติดตามตอนต่อไป---------------------


อย่าเพิ่งต่อว่าคนแต่งนะที่ยังไม่ให้อัคนี้แซบกันอินทัช เพราะดูตอนนี้แล้วยังรู้สึกว่า

อัคคียังไม่เจ็บพอที่จะทำร้ายอินทัชได้เลยต้องให้พ่อบัวกระหน่ำแค้นอีกยกหนึ่ง

เจอกันคราวหน้าคงได้แซบกันแล้วล่ะ

 o18 o18



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-09-2015 23:45:29 โดย Belove »

ออฟไลน์ kms

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1061
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-14
จริงๆชอบพ่อบัวเลย แซ่บสุดดดดดด 55555555555

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
มองเห็นความลงตัวอยู่หน่อยๆ รุ่นลูกมีสองคู่สินะ

ออฟไลน์ twinmonkey0311

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5480
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +110/-9
อัคคีไม่สงสัยรึงัยว่าทำไมตัวเองหน้าตาเหมือนกับอินทัช  :pig4:

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
แบบนี้สินะที่เขาเรียกว่าหลับหูหลับตาทำๆไป ต่างฝ่ายต่างก็คิดถึงแต่อีกคน

 :hao6:  รอความแซบค่ะ   :pig4: 

ออฟไลน์ pae666

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 506
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +60/-1
รอดูเพชรกล้ากับฟ้าฟื้น เฮ้ย!! ใช่เหรอ 5555

รออ่านตอนแซ่บของอัคคีอินทัช นะค๊าบบบบ กะลังมันส์เลย >3<

ออฟไลน์ nunda

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3004
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-2
เรื่องนี้มันลึกลับซับซ้อนยิ่งนัก
แต่ว่าก็โคตะระ "แซ่บ"

ออฟไลน์ sosi

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 246
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
พ่อบัวเป็นคนรักของอาทิตแน่เลย  :katai1:

ออฟไลน์ boboman

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-2
ใกล้ครบคู่ละ
เหลือแต่พ่อบัว ตกลงเฮียแกชอบใครเนี่ย -_-?

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ kun

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-10
เจอกันทุกคู่แล้ว รอแซ่บๆๆๆ อิอิ
แต่ว่าพ่อบัวก็ใจร้ายอัคคีจังอ่ะ

ออฟไลน์ ohuii

  • Why I cannot upload profile picture?
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 346
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-4
ลุ้นคู่พ่อกว่าคู่ลูกๆอีก 5555555 เดาตอนจบคู่แม่ไว้แล้ว 5555

ออฟไลน์ am_am

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 467
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
กรี๊ดดดดดดด ลุ้นสุดๆ เลยค่ะ

ออฟไลน์ kms

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1061
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-14
รออพ่อบัววววววว

ออฟไลน์ Belove

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1230
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +703/-2
    • ฺBelove


                                                     บัลลังก์รักใต้เงาแค้น

                                                              บทที่  6


               อัคคีตื่นแต่เช้าตรู่ตามที่ถูกสมิงฝึกมาตั้งแต่ยังเล็กเขามีหน้าที่ดูแลแปลงผักที่บัวปลูกมันขึ้นมา พ่อบัวของเขา

มีความรู้มากมายนับไม่ถ้วนจนทำให้ชาวหุบผากาฬอยู่ดีกินดีมากขึ้นเมื่อบัวให้คำแนะนำทั้งเรื่องการปลูกพืชและถนอม

อาหาร รวมทั้งความรู้ที่เพียรสอนอัคคีให้อ่านออกเขียนได้ และยิ่งไปกว่านั้นบัวยังสอนอัคคีในเรื่องการเมืองการปกครอง

อีกด้วย


               “ทำไมข้าต้องเรียนด้วยล่ะพ่อบัว น่าเบื่อจะตายสู้ไปฝึกดาบกับพ่อสมิงดีกว่า”


               อัคคีเคยโอดครวญในวัยเยาว์เมื่อถูกจับมานั่งท่องความรู้ประวัติศาสตร์


               “อย่าถามให้มากความนะอัคคี ตั้งใจอ่านที่พ่อสอนเดี๋ยวนี้”


               จนบัดนี้อัคคีก็ยังไม่รู้คำตอบว่าทำไมบัวจึงต้องทำเช่นนั้น


               แสงแรกของดวงอาทิตย์ยามอรุณรุ่งเรียกความสดชื่นให้อัคคี รวมทั้งได้ปลดปล่อยร่างกายไปกับฟ้าฟื้นในยาม

ดึกทำให้ร่างกายเบาหวิว รูปร่างของอัคคีแข็งแกร่งไปด้วยกล้ามเนื้อ ผิวคล้ำไอแดดกลับยิ่งส่งให้เขากลายเป็นชาย

หน้าตาหล่อเหลาจนน่าเสียดายที่ได้แต่ซ่อนตัวอยู่ในป่าลึกและปิดบังใบหน้าด้วยผ้าสีเข้ม


               ชายหนุ่มชะงักเมื่อเห็นบัวเดินตรงมาหา ความน้อยใจยังติดอยู่ในใจแต่อัคคีได้แต่กล้ำกลืนไว้เพราะความรักใน

ตัวบิดา


               “พ่อบัว”


               “มานี่สิอัคคี”


               บัวพาอัคคีนั่งลงบนแคร่ไม้ไผ่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ดวงตาข้างเดียวมองบุตรชายอย่างพิจารณา


               “เจ้าอายุเท่าไหร่แล้วอัคคี”


               “ข้าอายุสิบแปดแล้วพ่อ”


               บัวถอนหายใจหนักหน่วงพลางวางมือไว้บนบ่าของอัคคี


               “พ่อขอโทษที่ใช้อารมณ์กับเจ้ามากไปหน่อย มันเป็นเพราะความแค้นที่ฝังอยู่ในอกจนยากจะระบาย”


               อัคคีมองบัวด้วยความรักและบูชาเมื่อบัวคือทุกสิ่งในชีวิตของเขาแม้ว่าบางครั้งบัวจะดุและเคร่งครัดกับเขา

ก็ตาม


               “ข้าอยากรู้ว่าพวกมันทำอะไรให้พ่อบัวเกลียดชังได้ขนาดนี้”


               บัวกัดกรามกรอดเมื่อรื้อฟื้นความหลัง


               “เจ้าเองก็โตเป็นผู้ใหญ่พอจะรู้ความแล้ว ก็ได้ข้าจะเล่าให้ฟัง ตระกูลของเราเป็นเสนาบดีอยู่ในวังมาหลายรุ่น

รวมทั้งข้าด้วย อยู่มาวันหนึ่งรัตนปุระนครมีปัญหากับเมืองอุดรรังษีจนถึงขั้นสู้รบ รัตนปุระนครจำต้องหาเมืองอื่นมาสนับ

สนุนเจ้าครองแคว้นคนใหม่ที่เพิ่งรับตำแหน่งจึงต้องอภิเษกกับเจ้าหญิงแห่งเมืองเหมราชที่เป็นกันชนระหว่างแคว้นทั้ง

สอง”


               ยิ่งเล่าน้ำเสียงของบัวก็ยิ่งเจ็บช้ำ ดวงตาเพียงข้างเดียวรื้นไปด้วยหยาดน้ำ


               “ข้าเห็นว่ายิ่งสู้กันก็มีแต่เสียหาย จึงกราบทูลให้ทรงหย่าศึกแต่พระชายาจากเมืองเหมราชกลับไม่เห็นด้วย

เพราะหากชนะศึกคราวนี้รัตนปุระนครกับเหมราชก็จะยิ่งใหญ่กว่าแคว้นใด เจ้าผู้ครองแคว้นเห็นด้วยกับข้าและส่งข้าไป

เจรจาทางการฑูตกับอุดรรังษีจนพร้อมจะหย่าศึก แต่ไม่นึกว่าพระชายาจะกล้าตลบหลังสั่งกองทหารไปโจมตีและใส่ร้าย

ว่าข้าเป็นหนอนบ่อนไส้”


               อัคคีขบกรามกรอด ดวงตาคมลุกโชนเมื่อฟังความหลังจากบัว


               “เลวที่สุด”


                “ครอบครัวของข้าถูกจัดการ ข้าพาเจ้าหนีตายจนกระทั่งตกเขาและได้สมิงมาช่วยไว้ ทีนี้เจ้าเข้าใจหรือยังว่า

เหตุใดข้าจึงได้แค้นพวกมันเยี่ยงนี้”


               “ข้าจะกำจัดพวกมันแทนพ่อบัว”


               “ข้ารู้ว่าเจ้าทำได้อัคคี”


               บัวมองชายหนุ่มอย่างมั่นใจ อัคคีขมวดคิ้วครุ่นคิดข้อสงสัยบางอย่าง


                “พ่อบัว ทำไมข้าจึงมีใบหน้าเหมือนเจ้าชายอินทัชเช่นนี้ ทั้งที่ไม่ได้เป็นอะไรกัน”


               บัวนิ่งงัน เขาไตร่ตรองคำตอบอยู่ครู่หนึ่ง


               “มันเป็นเพราะชะตากรรมไงล่ะ ชะตากรรมที่สร้างเจ้าขึ้นมาเพื่อให้เป็นผู้จบเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น”
               





               “หม่อมฉันขอกราบบังคมทูลเสด็จพ่อ เรื่องโจรป่าหยาบช้าแห่งหุบผากาฬขอให้หม่อมฉันได้เป็นผู้จัดการมัน

เถิดพะย่ะค่ะ”
 

              เจ้าชายรัชทายาทแห่งรัตนปุระนครตรัสอย่างองอาจเมื่อได้เข้าเฝ้าพระบิดาและพระมารดาขณะเสวยพระ

กระยาหาร


               “ไม่ได้เด็ดขาด”


               เจ้านางปะวะหล่ำตรัสแย้งทันควัน


               “เป็นถึงเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ใยต้องไปทำงานเสี่ยงอันตรายเช่นนั้นอินทัช แม่ไม่ยอม”


               “เป็นเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินนั่นแหละยิ่งต้องทำงานเช่นนี้เพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่เหล่าทหาร”


               เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ตรัสด้วยสุรเสียงเนิบนาบแต่ทว่าเด็ดขาด


               “อินทัชอายุสิบแปดปีแล้วสมควรที่เริ่มงานดูแลบ้านเมือง เจ้าอย่าเลี้ยงลูกไว้ในอ้อมอกตลอดเวลาเลย

ปะวะหล่ำ”


               “หม่อมฉันเหลือลูกเพียงคนเดียว”


               เจ้านางปะวะหล่ำทรงแย้งเสียงขื่น


               “หากไม่รักลูกแล้วจะให้รักใคร หากไม่เป็นเพราะ...เฮอะ หม่อมฉันคงไม่ต้องสูญเสีย”


               “ปะวะหล่ำ!”


               เจ้าฟ้าอาทิตยวงศ์ทรงตบโต๊ะเสียงดังลั่น


               “อดีตมันผ่านไปเนิ่นนานและมันก็ไม่อาจเรียกกลับคืนมาได้อีกเมื่อไหร่เจ้าจะเลิกคร่ำครวญถึงมันเสียที ส่วน

เจ้าอินทัช พ่ออนุญาตให้เจ้านำกำลังไปที่หุบผากาฬเพื่อกวาดล้างพวกโจรป่าเสียให้สิ้นซาก ถือเป็นงานแรกของเจ้า”


               ตรัสจบก็ดำเนินจากโต๊ะเสวยทันที เจ้าชายอินทัชได้แต่ทอดพระเนตรพระมารดาที่ยังคงฉุนเฉียว


               “เสด็จแม่สูญเสียอะไรพะย่ะค่ะ หม่อมฉันไม่รู้เรื่องเลย”


               เจ้านางปะวะหล่ำเก็บความไม่พอพระทัยไว้เมื่อหันมาหาพระราชโอรส


               “ช่างมันเถอะอินทัช เรื่องมันนานมาแล้ว ว่าแต่เจ้าจะไปปราบโจรป่าแน่รึ แม่เป็นห่วงนะแม่มีลูกอยู่คนเดียว”


               เจ้าชายอินทัชทรงกอดพระมารดาไว้พลางแย้มสรวล


               “มั่นใจลูกเถอะเสด็จแม่ ฝีมือต่อสู้ของหม่อมฉันก็ไม่เป็นรองใครและคราวนี้หม่อมฉันจะนำกำลังทหารไปด้วย

รับรองว่าหุบผากาฬจะต้องถล่มราบคาบ โดยเฉพาะมัน...”


               ปลายประโยคแผ่วเบาราวกับจะตรัสกับองค์เอง


               “...จะต้องตายด้วยมือของหม่อมฉัน”








               กองกำลังทหารกล้าจำนวนหนึ่งควบม้าจนฝุ่นตลบมาจนถึงเชิงป่าลึก เจ้าชายอินทัชธราธิปยกหัตถ์เพื่อให้

ทหารทั้งหมดหยุดม้า ทรงทอดพระเนตรภูเขาสูงที่โอบล้อมพื้นที่ด้านในไว้เป็นแอ่งกระทะ เพชรกล้าบังคับม้าให้มาหยุด

ยืนเยื้องอยู่เบื้องหลังเจ้านายเหนือหัว


               “หนทางเข้าไปภายในมันไม่น่าจะอยู่ไกลกว่านี้หรอก มิเช่นนั้นเจ้าพวกนั้นจะออกมาได้อย่างรวดเร็วได้

อย่างไร”


               เพชรกล้านิ่งคิด เขานึกถึงจุดที่เห็นเจ้าโจรป่าหน้าตาดีเร้นกายหายลับไปอย่างรวดเร็ว บางทีอาจเป็นบริเวณ

นั้นที่จะพาไปสู่ด้านในของหุบผากาฬ


               “เราลองไปสำรวจบริเวณที่พบเจอเจ้าพวกนั้นเมื่อคราวก่อนเถิดพะย่ะค่ะ”


               เจ้าชายอินทัชกระชับคันธนูคู่กายไว้มั่นในพระหัตถ์พลางบังคับม้าตัวใหม่ที่ไม่ใช่ “เจ้าเมฆา” อาชาสีขาว

ปลอดคู่พระทัยให้มันวิ่งตามเพชรกล้านายทหารคนสนิทไปยังทางที่จำได้ว่าเคยถูกลอบโจมตีเมื่อครั้งก่อน ทรงเม้มโอษฐ์

แน่นกุมบังเหียนอย่างระมัดระวังเมื่อม้าทุกตัวเริ่มเดินย่างเข้าสู่ป่ารก


               จะต้องฆ่ามันให้ได้ เจ้าโจรอัคคีที่แสนกำแหงกล้าล่วงเกินเจ้าชายอันสูงศักดิ์หลายครั้งหลายครา ดวงเนตรคม

เบิกกว้างสอดส่ายไปมาพร้อมกับทหารหลายชีวิต ป่ารกชื้นกลับเงียบสงัดจนวังเวงเมื่อใกล้ถึงโขดหินสูงที่ตั้งอยู่ตรงเชิง

เขา


             “ระวัง!”                
 
               เสียงทหารคนหนึ่งตะโกนลั่นเมื่อม้าของเขาเหยียบเข้าตรงกับดักจนพากันร่วงลงไปในหลุมขนาดใหญ่ที่มีไม้

แหลมอยู่ก้นหลุม ความโกลาหลย่อยๆเกิดขึ้นเมื่อถูกจู่โจมด้วยเหล่าโจรป่าที่ปรากฏกายขึ้นมาอย่างเงียบเชียบ การต่อสู้

จึงเริ่มต้นขึ้นทันทีเจ้าชายอินทัชตั้งคันธนูจนเหมาะมือแล้วโก่งคันศรยิงลูกดอกไปที่โจรป่าได้หลายคน

               แต่เพราะความชำนาญพื้นที่โจรป่าเริ่มได้เปรียบตามลำดับ เจ้าชายอินทัชถูกชายคนหนึ่งกระโจนใส่จนร่วง

จากหลังม้ากลิ้งหลุนอยู่ตามพื้น  ทรงตั้งสติโดยพลันแล้วจึงดึงดาบเนื้อดีออกมาต่อสู้อย่างไม่นึกเกรงกลัว


               “ระวังด้วยเจ้าชาย”


               เพชรกล้านึกเป็นห่วงเจ้าชายอินทัช ความห่วงใยทำให้เขาขาดความระวังเมื่อหันหน้ากลับมาอีกครั้งจึงถูก

กำปั้นหนักซัดใส่โหนกแก้มเต็มแรง


               “โอ๊ย!”


               เจ้าชายอินทัชสะดุ้งเฮือกเมื่อจู่ๆความเจ็บมาเยือนด้านหลังพระอังสะ ทรงเหลียวกลับไปมองก็เห็นลูกดอกจิ๋ว

ตัวหนึ่งทะลุฉลองพระองค์เข้าไปปักอยู่ในเนื้อ ทรงกัดพระทนต์เอื้อมมือดึงมันออกพลางเหลียวหาผู้ลอบทำร้าย ดวงเนตร

คมโชนแสงเมื่อเห็นร่างคุ้นตาปรากฏตัวจากหลังต้นไม้ต้นหนึ่ง ทรงยกพระหัตถ์ชี้หน้ามันผู้นั้นอย่างแค้นเคืองเมื่อรู้ว่า

พระองค์กำลังถูกพิษของยาสลบจากลูกดอกที่เป่ามาจากระยะไกล


               “ไอ้อัคคี เจ้า...”


               เกิดอะไรขึ้นกับพระองค์!


               พระวรกายของเจ้าชายอินทัชอ่อนปวกเปียกแขนขาชาด้านไปหมด ร่างสูงเซไปมาอย่างฝืนไม่อยู่ มีเพียง

พระเนตรที่ยังมองไปยังอัคคีเมื่อรู้ว่าเหตุที่เกิดต้องเป็นเพราะชายคนนั้นอย่างแน่นอน


               เกือบจะทรุดลงไปกองกับพื้น แต่ทันใดนั้นวรกายของพระองค์กลับถูกรวบแล้วยกขึ้นอย่างรวดเร็ว นั่นเป็นสิ่ง

สุดท้ายที่เจ้าชายอินทัชรับรู้ก่อนสติจะดับวูบลงไป


               “เจ้าชาย!”


               เพชรกล้าแทบสิ้นสติเมื่อเห็นเจ้าชายอินทัชถูกรวบตัวอย่างง่ายดาย เหล่าทหารเสียทีให้แก่โจรป่าแม้ว่าพวก

โจรจะมีกำลังน้อยกว่าแต่เป็นเพราะกับดักทั้งหลายที่ถูกอำพรางไว้เป็นอย่างดีทำให้เสียทหารไปมากมายจนเกือบไม่

เหลือ แต่เพชรกล้าก็ยังต่อสู้อย่างไม่เกรงกลัวนอกจากเป็นห่วงเจ้าชายอินทัชเท่านั้น


               เพชรกล้าวาดคมดาบใส่เจ้าโจรจนร่วงไปกองกับพื้นได้อีกคนหนึ่ง หลังจากนั้นกลับมีโจรอีกคนกระโดดเข้ามา

เป็นคู่ต่อสู้ทดแทน เพชรกล้าเบิกตากว้างเมื่อประสานสายตากับมัน


               “เจ้า!”


               ดวงตาที่โผล่พ้นขอบผ้าปิดบังใบหน้าของฟ้าฟื้นบอกถึงความเอาจริง เพชรกล้ากระชับดาบในมือไว้แน่นก่อน

เงื้อสูงแล้วพุ่งเข้าใส่ การต่อสู้ด้วยฝีมือที่ไม่ยิ่งหย่อนกว่ากันจึงเริ่มต้น นายทหารจากในวังยอมรับว่าเจ้าโจรป่าหน้าตาดีคน

นี้ฝีมือจัดจ้านอย่างน่าตกใจ


               “อ๊ะ”


               ดีที่มันเสียหลักล้มลง เพชรกล้าเตรียมฉวยโอกาสลงดาบใส่มัน แต่ไม่นึกว่าเจ้าโจรคนนี้จะคว้าก้อนหินขึ้นมา

แล้วฟาดขว้างใส่ลำตัวของเขาจนจุก


             “อุ๊บ"


              เพชรกล้าตัวงอขณะเดียวกับฟ้าฟื้นเด้งตัวจากพื้นดินเพื่อตั้งหลัก แม้จะเจ็บจนร้องไม่ออกแต่เพชรกล้าก็ยังชู

ดาบเข้าใส่ เขามองเห็นฟ้าฟื้นยิ้มเยาะด้วยสายตาพร้อมกับเงื้อท่อนไม้ขนาดใหญ่ขึ้นมาฟาดเปรี้ยงเข้ากลางแสกหน้าของ

เพชรกล้า เขาเซถอยหลังด้วยความมึนงงก่อนจะตกใจเมื่อปลายเท้าเหยียบเข้ากันก้อนหินก้อนหนึ่งและทันใดนั้น ตาข่าย

เหนียวที่ถูกพรางอยู่กับพื้นก็รวบห่อร่างกายของเขาเข้าไปอยู่ด้านในและลอยละล่องห้อยโตงเตงอยู่กลางอากาศ


              “โธ่โว้ย ปล่อยกู”


               ตะโกนด้วยความโมโหเมื่อเห็นเจ้าโจรป่าก้าวเข้ามาใกล้ ท่อนไม้ในมือลอยละลิ่วฟาดใส่ท้ายทอยของเขาอีก

ครั้ง

                 เพียงเท่านั้นเพชรกล้าก็สิ้นฤทธิ์อยู่ในถุงตาข่าย








               แพขนตากระพริบถี่ก่อนจะปรือตาเมื่อมองเห็นแสง เจ้าชายอินทัชส่ายพักตร์ไล่ความมึนงงไปมาก่อนจะ

ทบทวนความทรงจำว่าเกิดอะไรขึ้น


               พระองค์ถูกอัคคีทำร้ายด้วยลูกดอกอาบยาสลบ!


               เมื่อสมองทำงานเต็มที่ความตกพระทัยก็มาเยือน เจ้าชายอินทัชขยับแขนขาแต่ความตกใจก็กลับมาทันทีเมื่อ

เห็นสภาพของพระองค์


               พระวรกายถูกตรึงอยู่กับต้นไม้ใหญ่ พระปฤษฎางค์เสียดสีอยู่กับเปลือกไม้แขนสองข้างถูกดึงโอบลำต้นไปมัด

อยู่อีกด้านหลัง เจ้าชายอินทัชพยายามดิ้นรนแต่มันก็ไม่สำเร็จ

               เสียงก้าวเท้าสวบสาบดังขึ้นจากเบื้องหลัง เจ้าชายอินทัชรีบตะโกนก้อง


               “ใคร นั่นใคร ปล่อยเราเดี๋ยวนี้”


               พระหทัยหล่นวูบเมื่อเจ้าของเสียงเดินมาปรากฏกายต่อหน้า ซ้ำยังจ้องหน้าของพระองค์ด้วยนัยน์ตาโชนแสง

ด้วยความแค้นเคือง ทรงจำดวงตาคู่นี้ได้แม่นเพราะมันคือดวงตาที่เฝ้าหลอกหลอนพระองค์มาหลายทิวาราตรี


               “ไอ้อัคคี”


               เจ้าชายอินทัชเชิดพักตร์สูงอย่างไว้องค์ทั้งที่อังสาทั้งสองไหวสะท้าน หทัยเต้นรัวเร็วเมื่อร่างสูงที่ซ่อนกายอยู่

ในอาภรณ์สีดำย่างกรายเข้าใกล้ทุกขณะ จนกระทั่งอยู่ใกล้เพียงเอื้อมหัตถ์ถึงหากพระองค์จะไม่ถูกพันธนาการไว้ด้วย

เชือกเส้นโตจนดิ้นไม่หลุดจากต้นไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งปกคลุมปิดบังแผ่นฟ้าเบื้องบน


               “เจ้า จงรู้ว่าเรานั้นเป็นใคร”


               เอื้อนเอ่ยดำรัสออกไปโดยหวังว่าจะประกาศองค์ให้มันเกรงแต่สิ่งที่ได้รับกลับคืนนั่นคือดวงตาคมเย้ยหยัน

เพียงสิ่งเดียวที่โผล่พ้นผ้าคลุมใบหน้าสีดำสนิทไม่ต่างจากอาภรณ์ของมัน


               “พระอาญามิพ้นเกล้า เจ้าชายอินทัชธราธิป เจ้าชายรัชทายาทแห่งรัตนปุระนคร”


               น้ำเสียงแข็งกระด้าง ห้วนจัดดังลอดผืนผ้าให้รับรู้ว่ามันผู้นั้นรู้จักพระองค์ดีแค่ไหน เจ้าชายอินทัชเบิกเนตร

อย่างขัดเคืองระคนแปลกใจที่มันกลับรู้จักพระองค์แต่ไร้ซึ่งความเกรงกลัว


               “หากไม่อยากหัวขาดก็ปล่อยเราเสีย”


               “เห็นทีจะทำตามประสงค์มิได้”


               อัคคีก้าวเข้ามาใกล้พลางยกแขนของมันคร่อมร่างพระองค์ไว้กับต้นไม้ใหญ่ ดวงตากร้าวราวกับไฟสุมเมื่อไม่

ถึงอึดใจพัสตราภรณ์งดงามก็ถูกมันกระชากออกจนขาดวิ่น


               “เพราะพระองค์จะต้องตกเป็นสมบัติของข้า อัคคีแห่งหุบผากาฬ”

               
               
                            ------------------------------ TBC------------------------------------


                                        ตอนหน้ามีเฮ คริคริ  :hao3: :hao3:



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-09-2015 10:42:42 โดย Belove »

ออฟไลน์ boboman

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-2
อยากอ่านตอนหน้าแล้วง่า
อยากเฮ 55555

ออฟไลน์ SOO2

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 70
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
กรี้ดด รอตอนหน้าแทบไม่ไหว
  :z1: :z1:
มาต่อเร็วๆน้าาา

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
 :hao6:   เชลยรัก    :mew1: 

แฝดกันซะด้วย ใช่ไหมๆ

ออฟไลน์ sosi

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 246
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
ตอนนี้สั้นจัง. เป็นพี่น้องฝาแฝดกันปะเนี่ยหน้าตาคล้ายกันด้วย

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
อัคคีไม่สงสัยเหรอว่าหน้าเหมือนกันขนาดนี้ ถ้าไม่ใช่ฝาแฝดจะเป็นอะไรได้
เรื่องที่พ่อบัวเล่าให้อัคคีฟังไม่ใช่เรื่องจริง(ทั้งหมด)ใช่มั้ย แล้วตกลงเรื่องจริงเป็นยังไงกันนะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Freja

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-4
มีอีกคู่หรือเปล่าเอ่ย?  เพชรกล้ากับโจรป่า?

กลัวว่าพ่อบัวจะกลับไปหาพ่ออินทัชแล้วสามีคนปัจจุบันเล่า?

ออฟไลน์ twinmonkey0311

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5480
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +110/-9
มาปูเสื่อรอตอนต่อไป :z1:

ออฟไลน์ nunda

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3004
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-2
แง๊ๆๆ อัคคีไอ้บ้า อย่ารุนแรงนักซิ สงสารเจ้าชาย (T_T)

ออฟไลน์ ไอ้ดื้อ

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 80
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
ค้างงง รอนะคะ :hao5:

ออฟไลน์ papanoy

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 231
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-1
เจ้าชายอินทัชกับอัคคีหายไปไหน...นานแล้วนาาาา
คิดถึงๆๆๆๆ
  :กอด1:

ออฟไลน์ kms

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1061
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-14
สงสัยอัคคีพ่อแม่เดียวกันกับอินทัช
ไม่ใช่ลูกพ่อบัวแน่เลย

ออฟไลน์ Belove

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1230
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +703/-2
    • ฺBelove

                                                     บัลลังก์รักใต้เงาแค้น

                                                              บทที่  7               


               เจ้าชายอินทัชทรงเบิกเนตรกว้างเมื่ออาภรณ์ถูกทำลายด้วยน้ำมือของโจรป่านามอัคคีโดยไร้หนทางต่อสู้

ดวงตาดุกร้าวกวาดสายตามองวรกายเปล่าเปลือยตั้งแต่บนจรดล่าง พระโลมาสะท้านเยือกเมื่อมันก้าวเข้ามาชิดใกล้จน

กระทั่งได้กลิ่นกายสาบเหงื่อของชายชาตรีก่อนที่มันจะกำแหงหาญบดบี้ริมฝีปากลงมากับโอษฐ์อิ่มที่พยายามเม้มหนี


               “ปล่อย ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้”


               คำกล่าวอึกอักอยู่ในพระศอเมื่อกระทำอันใดมิได้ ร่างกายอุดมไปด้วยความแข็งขืนรุกเบียดแนบแน่นจนหายใจ

ไม่ออกซ้ำร้ายมันยังปลดชายผ้านุ่งออกแล้วเสียดสีองคาพยพเข้ากับพระโสณีหยามหยันให้เจ็บพระหทัย


               “เป็นเพราะพวกเจ้าพ่อของข้าจึงได้ประสบชะตากรรมเลวร้ายเยี่ยงนี้”


               ใบหน้าที่เหลือดวงตาเพียงข้างเดียวของบิดาลอยอยู่ในมโนสำนึก คำกล่าวที่เคยได้ยินตั้งแต่จำความได้

บันดาลให้เกิดโทสะจนยากจะระงับยิ่งมองเห็นใบหน้าที่รบกวนจิตใจหลายเพลาทำให้อัคคีหมดสิ้นเหตุผลที่จะยับยั้ง

ตนเอง

               ใช้เท้าของตนเตะข้อพระบาทให้กว้างออก ท่อนเนื้อชูคอขู่ฟ่อฟาดเผียะเข้ากับแก่นกายของพระราชโอรส

ดวงตาแกร่งกล้าโชนแสงประสานกับพระเนตรเบิกกว้างด้วยความตระหนก อัคคีไม่รีรอสิ่งใดอีกเมื่อเขาดันกายเข้าไปใน

ช่องทางเร้นลึกทันที


               “อย่า อ๊ากกกก”


               น้ำพระเนตรหลั่งรินลงมาพร้อมกับความเจ็บปวดเมื่อร่างกายถูกชำแรก กล้ามเนื้อปริแยกจนรู้สึกได้ ความคิด

ต่างๆว่างเปล่าขาวโพลนไปหมดจนกระทั่งเอวแกร่งกระแทกกายเข้ามาเป็นครั้งที่สองจึงได้สติและร่ำไห้ออกมา


               “เจ็บ!”


               ร่างกายสั่นระริกหมดแรงต่อสู้ดิ้นรนใดๆอันไม่เกิดประโยชน์เพราะถูกมัดติดกับต้นไม้ และไม่ถึงอึดใจอัคคีก็

กระทุ้งท่อนเนื้อเข้ามาอีกครั้งจนใกล้สุดลำ


               “จงเจ็บให้สมกับสิ่งที่พวกเจ้าทำเลวกับผู้อื่น เคราะห์กรรมเหล่านี้เจ้าต้องเป็นผู้รับมัน อินทัช”


               คำรามต่ำอยู่ใกล้หูก่อนจะขบแรงๆลงมาที่ซอกพระศอจนสะดุ้งสุดกาย ไอ้โจรป่าหยาบช้าถอนกายออกแค่

เพียงหมิ่นเหม่แล้วจึงเด้งเอวกระแทกเข้าใส่ช่องทางอ่อนนุ่มครั้งแล้วครั้งเล่า


               เจ้าชายอินทัชกัดพระโอษฐ์แน่นจนแทบห้อเลือดเมื่อถูกกระทำย่ำยีเหยียบย่ำขัตติยกษัตริย์จนไม่เหลือศักดิ์ศรี ทรงหอบหายใจลึกเมื่อพระวรกายสั่นสะท้านไป


กับเอวแกร่งที่กระทุ้งกายมาไม่ยั้งแม้พระองค์จะยังถูกมัดพระหัตถ์ไพล่หลังอยู่กับต้นไม้ พระปฤษฎางค์เสียดสีกับเปลือกไม้จนพระฉวีแสบร้อน


               “อ๊า เจ็บ ปล่อย”

               พระอูรุถูกดันให้อ้ากว้างเมื่อท่อนเนื้อหยาบกระด้างแทรกกายสอดลึกจนสุดลำโคน พระโสณีสั่นระริกเมื่อ

สัมผัสเสียดสีด้วยไฟร้อนแรงเผาไหม้จนหมดทางสู้ พระองค์เงยหน้าปล่อยน้ำพระเนตรให้ไหลรินอาบพักตร์ มันคว้าแก่น

กายของพระองค์ไปกอบกุมบีบเค้นอย่างจาบจ้าง ทรงกลั้นเสียงครางไว้ไม่อยู่เมื่อร่างกายกำลังถูกเร่งเร้าให้ตอบรับอย่าง

น่ารังเกียจ


               “ฮึก อ๊า ข้าจะฆ่าเจ้าด้วยมือของข้าอ้ายโจรป่าหยาบช้า”


               เกร็งวรกายเมื่อมันบีบรัดจนเกินกลั้นและปลดปล่อยน้ำคาวขาวขุ่นออกมาอย่างน่าละอาย ได้ยินเสียงมันคำราม

ก้องแล้วขยับเอวอย่างอหังการ์ ดวงตาคมมีวี่แววสุขสมสาแก่ใจ


               “หากพระองค์ทำได้ก็เชิญลงมือ”


               เอวแกร่งกระแทกลึกจนเจ้าชายอินทัชสะดุ้งเฮือกพลันรู้สึกถึงของเหลวอุ่นร้อนทะลักทลายไหลลงมาตามพระ

อูรุ พลันมันดึงผ้าคลุมหน้าสีดำออกเผยให้เห็นใบหน้าชัดเจน


               เจ้าชายอินทัชอ้าโอษฐ์ค้างเมื่อใบหน้าของมันไม่ได้แตกต่างอะไรจากพระพักตร์ของพระองค์แม้แต่นิดเดียว






               ฟ้าฟื้นไม่เข้าใจตัวเองอยู่เหมือนกันว่าทำไมไม่ปลิดชีพคนบุกรุกเสียให้หมดลมหายใจ แถมยังลากถุงตาข่ายที่

บรรจุร่างหมดสติของมันมาที่เวิ้งหินไม่ไกลนักซึ่งเขาเป็นคนค้นพบและรู้จักแต่เพียงผู้เดียว

               เวิ้งหินที่ด้านบนเป็นก้อนหินใหญ่ ด้านใตเป็นลานเล็กที่มีชะง่อนหินยื่นออกมาเป็นเพดานปกคลุมด้วยกิ่งไม้

จากต้นไม้ใหญ่จนไม่มีใครเคยมองเห็น เขาพบมันเมื่อออกมาลาดตระเวนแถวนี้และใช้มันเป็นที่พักผ่อนแต่เพียงผู้เดียว

แต่บัดนี้เขากลับลากมันมาด้วยแทนที่จะกดคมมีดลงบนลำคอของมันเสียให้สิ้น

               ปากถุงยังมัดแน่นสนิทเมื่อร่างคนในนั้นเริ่มขยับตัวทีละนิดโดยมีฟ้าฟื้นนั่งมองนิ่งๆ เห็นมันยกมือกุมท้ายทอย

ใบหน้าเจ็บปวด ดวงตาของมันยังกระพริบถี่อยู่อีกหลายครั้งกว่าจะเปิดขึ้นมามองสภาพภายนอก เมื่อสบตากับเขามันจึง

ผวาลุกนั่งและรับรู้ว่าตนเองยังติดอยู่ในถุงตาข่ายที่ทออย่างแน่นหนาสำหรับดักผู้บุกรุก


                “ไว้ชีวิตข้าเพราะอะไร”


               แม้แต่คำกล่าวแรกหลังจากฟื้นขึ้นมายังผยองจนฟ้าฟื้นแสนจะหมั่นไส้ เขาเบะปากอยู่ภายในผ้าคลุมใบหน้า

ของเขาพลางลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วเลิกคิ้วเยาะหยัน


               “ตายเร็วก็ไม่สนุกสิ”


               เพชรกล้าขบกรามกรอดเมื่อถูกเจ้าโจรป่าหน้าอ่อนเยาว์หยามหยันศักดิ์ศรี เขานึกถึงใบหน้าที่เคยเห็นแวบหนึ่ง

เมื่อคราก่อนกำลังยิ้มเยาะใส่เขาอยู่


               “เจ้าใช้เครื่องทุ่นแรงจนชนะข้า หาใช่ฝีมืออันแท้จริง”


               เจ้าโจรยักไหล่อย่างไม่แยแส


               “หึหึ ข้ามันแค่โจรป่า อะไรที่ทำให้กำจัดศัตรูได้ข้าก็จะทำ”


               “ไร้ศักดิ์ศรี”


               “ศักดิ์ศรีไม่ทำให้ข้ามีชีวิตรอด ข้าไม่ต้องการเป็นเช่นเจ้าที่เต็มไปด้วยศักดิ์ศรีแต่พ่ายให้แก่ข้า”


               เพชรกล้ามองกลับด้วยความโมโห แต่ถึงกระนั้นเขาเองก็ต้องยอมรับความจริง ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดตอนนี้

เขาคือฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ


               “ต้องการสิ่งใด”


               นายทหารหนุ่มถอนหายใจออกมาจนฟ้าฟื้นลอบยิ้ม


               “คนแพ้ต้องเป็นทาสคนชนะ”


               เพชรกล้าขมวดคิ้วมองนัยน์ตาพราวคู่นั้นด้วยความไม่เข้าใจ


               “เจ้าจะให้ข้าเป็นทาสของเจ้า เฮอะ บ้าไปแล้ว”


               “ก็เจ้าแพ้”


               “เช่นนั้นเมื่อใดข้าจะได้ไถ่ตัวจากการเป็นทาสของเจ้า”


               ตอบโต้อย่างฉุนกึ้กกับความคิดประหลาดนั่นที่จะให้เขาลดตัวไปเป็นข้าทาส


               “จนกว่าข้าจะเปิดโอกาสให้เจ้าได้ประลองฝีมือชิงความเป็นไท”


               แม้จะยังเคืองอยู่มากแต่ความคิดหนึ่งวิ่งวูบเข้ามาในความคิดของเพชรกล้า ถ้าหากเขาจะใช้ประโยชน์ในการนี้

เพื่อหาทางแทรกซึมเข้าไปในหมู่บ้านโจรด้วยการยอมเป็นทาสของเจ้าโจรหน้าอ่อนนี่ล่ะ เขากรอกตาไปมาอย่างใช้ความ

คิด


               “ก็ได้ ข้ายอมรับ”


               คราวนี้ฟ้าฟื้นเป็นฝ่ายเลิกคิ้วด้วยความสงสัยบ้างที่อยู่ๆเจ้าคนบุกรุกหน้าดุก็ยอมเสียง่ายๆ แต่ก็ดีแล้วเขาจะได้

แกล้งเสียให้หนำใจที่บังอาจทำให้ฟ้าฟื้นแทบจะหมดความมั่นใจเพราะปะทะฝีมือกันกี่ครั้งก็ดูเหมือนเขาจะเป็นฝ่ายเสีย

เชิงตลอด ยกเว้นคราวนี้ที่ฟ้าฟื้นมีกับดักมาช่วยไว้


               “ข้ายอมแล้วก็ปล่อยข้าเสียทีเจ้าโจรป่า”


               “เรียกข้าว่านายท่าน!”


               เพชรกล้าชะงัก เขามองอีกฝ่ายด้วยความแค้น


               “นายท่าน พอใจหรือยัง”


               ฟ้าฟื้นยักไหล่กวนโมโห เขาก้าวเข้าไปใช้มีกพกตัดถุงตาข่ายออกจนกระทั่งมันพ้นจากร่างของคนบุกรุก

จัดการเสร็จสรรพกำลังจะเก็บมีดท่อนแขนกลับถูกคว้าไว้แล้วกระชากจนเสียหลักล้มลงมากระแทกเข้ากับแผ่นอกหนา

ของคนบุกรุก เพชรกล้าถือโอกาสกระชากผ้าคลุมออกจากใบหน้านั้นอย่างรวดเร็ว


               พากันชะงักงันเมื่อสบสายตาในระยะประชิดจนได้ยินเสียงหัวใจของอีกฝ่าย


               “ข้าชื่อเพชร นายท่านมีนามว่าอะไร”


               น้ำเสียงอ่อนนุ่มอย่างไม่รู้ตัวทำให้ฟ้าฟื้นเกือบจะลืมหายใจ


               “ข้าชื่อฟ้าฟื้น จงจำใส่หัวของเจ้าไว้เถิดเจ้าทาสผู้ต่ำต้อย”
               







               ทันทีที่เถาวัลย์พันธนาการหลุดออกจากการผูกยึด เจ้าชายอินทัชก็ทิ้งวรกายอ่อนแรงลงจนร่วงไปนั่งอยู่กับพื้น

โดยมีโคนต้นไม้ใหญ่ช่วยพยุงแผ่นหลังไว้ ดวงเนตรงดงามที่ยังมีร่องรอยน้ำตาเบิกกว้างกับสิ่งที่เห็น


               “มะ ไม่ ไม่จริง เป็นไปไม่ได้”


               ทรงรำพึงรำพันตั้งแต่อัคคีกระชากผืนผ้าออกจากใบหน้าแล้วยิ้มเยาะอย่างสาแก่ใจ ก่อนจะถอนกายออกมาจน

ช่องทางโหวงว่าง น้ำคาวปะปนกับโลหิตสีจางไหลเปรอะเปื้อนอย่างน่าอาย แต่เจ้าชายอินทัชกลับลืมใส่พระทัยเพราะยัง

คงงงงันกับสิ่งที่เห็น


               เหตุใดโจรป่าแสนเลวอย่างอัคคีจึงมีใบหน้าเหมือนพระองค์เช่นนี้เล่า


               จะต่างกันก็ตรงโจรป่านั้นร่างกายสูงกว่าเกือบคืบรวมถึงร่างกายกำยำไปด้วยกล้ามเนื้อพร้อมกับผิวคล้ามแดด

และมีดวงตาดุดัน ส่วนพระองค์นั้นแม้จะสูงแต่วรกายโปร่งกว่าและพระฉวีผุดผ่องเพราะไม่ค่อยได้ต้องไอแดดแถมยังมี

พระเนตรคล้ายพระมารดาจึงได้หวานซึ้งเช่นนี้


               “ทะ ทำไม”


               อัคคีย่อตัวลงมาเผชิญหน้ามุมปากยิ้มเยาะเมื่อเขาช่วงชิงในสิ่งที่ต้องการมาได้แล้ว


               พรมจรรย์ของเจ้าชายอินทัชธราธิปถูกทำลายด้วยโจรป่าหยาบช้าอย่างเขา!


               “ชะตากรรมอย่างไรล่ะ ชะตากรรมที่เจ้าต้องชดใช้ให้พ่อของข้า”


               ฉาด!


               ฝ่าพระหัตถ์ลอยละลิ่วเข้าซีกหน้าของอัคคีเต็มๆ เจ้าชายอินทัชกันแสงออกมาอย่างสุดกลั้น


               “ชะตากรรมบ้าบออะไรข้าไม่รู้เรื่องสักอย่างข้าไปทำอะไรให้เจ้า อัคคีไอ้คนชั่วช้า”


               วรกายโปร่งถูกผลักให้หงายหลังกระแทกกับพื้นดิน เสียงอุทานดังลอดออกมาจากเจ้าชายอินทัชที่ยังเจ็บปวด

ไปกับการถูกข่มเหงเมื่อครู่ อัคคีกระโจนเข้าคร่อมทับและใช้มือบีบปลายคางเจ้าชายอินทัชจนพระพักตร์บิดเบี้ยว


               “ด่าอีกสิ ด่าเสียให้พอ และจงรู้ว่าบัดนี้คนสูงศักดิ์เทียมฟ้าอย่างเจ้าชายรัชทายาทแห่งรัตนปุระนครได้ตกเป็น

ของข้าแล้ว”


               เจ้าชายอินทัชถ่มพระเขฬะใส่หน้าอัคคี ดวงเนตรงามแดงก่ำฉ่ำชื้น


               “ไม่มีทางที่ข้าจะตกเป็นของเจ้า ไอ้โจรชั่ว”


               ไฟของอัคคีลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง ความต้องการในร่างกายของเจ้าชายอินทัชไม่ได้หมดลงแค่เพียงการกระทำ

ครั้งเดียว อัคคีคว้าท่อนแขนเรียวที่ทุบตีเขาไว้และตรึงมันกับพื้นดินแข็งกระด้างแล้วกระชากเสียงตะคอกใส่เจ้าชายอินทัช

จนสะดุ้งสุดตัว


               “เจ็บครั้งเดียวไม่พอ อยากให้ข้าตอกย้ำใช่ไหมว่าเจ้าเป็นของข้าแล้ว อินทัช ได้ ข้าจะทำให้เจ้าต้องยอมรับ

ความจริงด้วยใจของเจ้าเอง”


               “ไม่นะ อื้อ...”


               โอษฐ์นุ่มราวกลีบกุหลาบถูกขยี้จนแทบแหลกด้วยปากแห้งแตกระแหงของอัคคี เจ็บจนหายใจไม่ออกทำให้

เจ้าชายต้องผวากลืนอากาศกลายเป็นเปิดโอกาสให้อัคคีเล็ดรอดลิ้นหยุ่นเข้าไปจู่โจม อัคคีกดร่างบดเบียดกับผิวกายนุ่มที่

เริ่มจะหมดแรงต้านทาน เขาปล่อยท่อนแขนของเจ้าชายอินทัชเมื่อไม่จำเป็นต้องยึดไว้อีกแล้ว


               พระถันบนยอดอกเป็นเป้าหมายต่อไปของเขา อัคคีขยี้มันให้อยู่ในกำมือจนเจ้าชายอินทัชผวาเฮือก ร่างสูง

กำยำเลื่อนตัวลงมาครอบปากลงไปกับถันงามสีอ่อนแล้วเม้มปากตามดูดดึงให้มันแข็งเป็นไต


               “เจ็บ ปล่อยนะอัคคี”


               ร้องไห้จนหมดแรงแต่อัคคีก็ยังไม่รามือ เจ้าชายอินทัชเจ็บพระทัยที่ตนเองไร้ทางต่อสู้แถมร่างกายกลับ

ยินยอมให้อัคคีได้ล่วงเกิน ทรงห้ามจิตใจตนเองไม่ได้เลยเมื่อความต้องการวิ่งวนไปมาอย่างน่าอับอาย ทรงเผลอไผล

แอ่นกายให้อัคคีได้ละเลงลิ้นจนสาแก่ใจ


               “ฮึก ฮึก อ๊ะ ตรงนั้นมัน...”


               สะดุ้งทันทีเมื่อท่อนเนื้อสีสวยถูกอัคคีงับหัวด้วยปากของเขา เจ้าชายอินทัชกัดพระทนต์แน่นกับความซ่าน

ทรวงที่เอ่อล้นขึ้นมา


               “ต้องการข้าแล้วใช่ไหม จงยอมอ้าขาให้ข้าเดี๋ยวนี้ เจ้าชายอินทัช”


               “ไม่มีทาง อื้มมม”


               บิดวรกายไปมาอยู่บนพื้นดินเมื่ออัคคีรูดปากกินมันเข้าไปจนหมด ความต้องการบางอย่างที่ไม่เคยรู้จักวิ่ง

พล่านไปทั่วร่างด้วยความทรมาน เจ้าชายอินทัชหลงกลไปกับสิ่งที่อัคคีกำลังทำจนไม่รู้องค์เลยว่ากำลังยกท่อนขาตั้งฉาก

กับพื้นเพื่อให้อัคคีที่พร้อมอยู่นานแล้วสอดกายเข้ามาทันที


               “อ๊า อัคคี”


               เสียงร้องอย่างเจ็บปวดปะปนเสียงครางกระเส่าดังสะท้อนผืนป่าไปมาอย่างน่าละอาย แต่เจ้าชายอินทัชห้าม

องค์ไม่ได้จริงๆ ทรงยกแขนโอบกอดร่างที่กำลังขยับเขยื้อนแทรกกายเข้าไปจนล้ำลึกกว่าครั้งแรก ท่อนเนื้อครูดเสียดสี

ผนังช่องทางสร้างความเสียวสยิวอย่างที่พระองค์ไม่เคยรู้สึกมาก่อน


               “ตอดชมัด โอย สะใจโว้ย”


               อัคคีคำรามราวกับเจ้าป่ากำลังสนุกกับเหยื่อ เขาใช้มือยันพื้นคุกเข่าโหมกายกระแทกกระทั้นจนน้ำกามไหล

เหนอะหนะ ใบหน้าของคนใต้ล่างที่บิดเบี้ยวเพราะแรงอารมณ์ปะปนกับน้ำตาจากความโทมนัสกำลังทำให้เขา

กระเจิดกระเจิงจนแทบจะลืมความแค้น อัคคีโน้มตัวลงไปประทับริมฝีปากกับเรียวปากนุ่มอย่างติดใจ


               “เจ็บมากไหมอินทัช”


               เสียงกระซิบเบาๆข้างหูทำให้เจ้าชายอินทัชปล่อยเสียงสะอื้นออกมา แต่น้ำตากลับถูกเช็ดด้วยริมฝีปากของ

อัคคีที่ไล่จูบไปทั่วพักตร์ก่อนจะมาหยุดที่โอษฐ์ของพระองค์ ความหวานแทรกซึมผ่านปลายลิ้นที่ซุกไซ้ซอกซอนอยู่ใน

โพรงปากเรียกร้องให้เจ้าชายอินทัชเคลิบเคลิ้มและเผลอตวัดชิวหาตอบโดยไม่รู้องค์


                “อะ อึก อืม”


               ความเจ็บปวดทั่วสรรพางค์จางหายกลายเป็นความร้อนระอุกับร่างกายที่กอดรัดจนไม่เหลือช่องว่าง พระ

ปฤษฎางค์ถูไถไปกับพื้นแข็งยิ่งสร้างความรัญจวนจนต้องยกพระอูรุกอดเกี่ยวไปกับร่างแกร่งที่เพิ่มแรงเข้าใส่ เสียงเนื้อ

กระทบเนื้อดังแว่วไปมาพร้อมพากันหอบหายใจหนักหน่วงเมื่อร่างกายเริ่มใกล้แตะขอบหฤหรรษ์


               “ฮึก ฮึก อา อัคคี”


               “โอ ซี้ด อินทัช”


               แม้ว่าโลกนี้จะถล่มทลายลงในบัดดลแต่ทว่าทั้งคู่คงไม่อาจสนใจได้ เพราะตอนนี้ต่างพากันสุขสมอยู่ซึ่งกันจน

ลืมเรื่องราวทุกอย่างไปแล้ว


                               ---------------โปรดติดตามตอนต่อไป-------------------



              กระซิกๆ หายไปนาน ลืมเจ้าชายกับโจรป่ากันหรือยังคะ

คนแต่งมัวแต่ทำต้นฉบับ น้ำใสของผมฯ กับเกมพิศวาสฯ อยู่ ก็เลยไม่ได้แต่งเลย

แต่ตอนนี้กลับมาแล้ว มิตรรักนักอ่านอย่าลืมอุดหนุนนิยายที่อิช้ันขายอยู่นะคะ

หมดเขต 7 ตุลาคมเด้อจ้า
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-10-2015 21:56:06 โดย Belove »

ออฟไลน์ boboman

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-2
จิ้มจึกๆ ก่อน
ตอนนี้มัน... -.,-//
สองคู่ชู้ชื่นนี่ร้อนแรงกันจริงเชียว
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-10-2015 00:08:49 โดย boboman »

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
นี่ตบจูบของแท้เลย
อีกฝ่ายก็ออกแนวทาสรักเบาๆ
รอวันที่จะสะสางความแค้น.  :mew1:

ออฟไลน์ SOO2

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 70
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
เพลานี้มีเพียงเรา อุก! :m25:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด