Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[จบ](แจ้งข่าว) P.4
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Basilisk Eye' : เสน่หา ทาส นาคิน (Yaoi)[จบ](แจ้งข่าว) P.4  (อ่าน 94151 ครั้ง)

ออฟไลน์ EtuDe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-0
ค่ำคืนที่ 16 : น้ำตาที่ระเหยบนผืนทราย...part จบ

            ในห้องสรงน้ำของราชีนีคิเมดาห์ นางกำลังชำระร่างกายในอ่างทองคำอย่างสบายใจ น้ำอุ่นๆ ผสานกับกลิ่นหอมของกำยานกลิ่นกุหลาบทำให้เธอรู้สึกเคลิบเคลิ้ม รอยยิ้มบางเบายกขึ้นที่มุมปากสวยของหญิงงาม มือเรียวไล้ไปตามท่อนแขน ถูผิวกายผุดผ่อวราวกับต้องการโอ้อวดชายหนุ่มที่อยู่ในห้อง  ทว่าคนข้างกายที่เรียกมาปรนนิบัติกลับแสดงสีหน้านิ่งเฉยราวกับกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ในใจตลอดเวลา ในที่สุดเธอก็ทนความเงียบไม่ไหว จึงเป็นฝ่ายเปิดปากถามขึ้น

            “ เป็นอะไรไปราซิส ไยเจ้าถึงทำสีหน้าเช่นนั้น ไม่อยากลงน้ำเป็นเพื่อนข้างั้นหรือ ”  คิเมดาห์เอนตัวมาเกาะที่ริมขอบอ่าง ริมฝีปากเขยื้อนถามอย่างยั่วยวน ราซิสหลุบตาลง ก่อนจะตอบเสียงเรียบ

            “ หาได้เป็นเช่นนั้น กระหม่อมแค่กังวลกับเรื่องน้องชายนิดหน่อยพ่ะย่ะค่ะ ”

            “ พักนี้เจ้าหายใจเข้า หายใจออกเป็นน้องชายตลอดเลยนะ ลืมราชีนีอย่างข้าไปแล้วหรือไร ” เธอคลี่ยิ้มที่มุมปากอีกครั้ง มือเรียวขาวยกขึ้นมาจากอ่างกุหลาบแล้วลูบไล้ด้วยมืออีกข้างต่อหน้าชายหนุ่ม

            ราซิสยกมุมปากขึ้นอย่างเจ้าเล่ห์ ก่อนโน้มตัวลงใกล้หญิงสาวกระซิบเสียงนุ่มข้างใบหู

            “ พระองค์น้อยพระทัยหรือพ่ะย่ะค่ะ”

            “ หึ..ราซิสเจ้าสำคัญตัวผิดไปหรือเปล่า ” คิเมดาห์หัวเราะเบาๆก่อนจะผินใบหน้าสวยงามปานเทวีมาหาองครักษ์ข้างกาย ราซิสกระแอ่มไอก่อนยืดตัวตรง

            “ อาจเป็นเช่นนั้น หากพระองค์ทรงไม่ต้องการ กระหม่อมก็จะออกไป ” พอได้ยินเช่นนั้น หญิงก็หัวเราะออกมาเบาๆ

            “ เพราะขี้น้อยใจเช่นนี้สินะ เจ้าถึงได้แค้นราชาบาซิกค์มากนัก ” เธอเอ่ยอย่างนึกขัน แต่สำหรับราซิสแล้วกลับเป็นจี้จุดเข้าหัวใจตัวเองอย่างจัง

            ในอดีตเขาเคยเป็นองครักษ์คนสนิทขององค์ราชา ไม่ว่าจะบุกน้ำลุยไฟที่ไหนเขาก็ยินดีเสี่ยงชีวิตทำให้สำเร็จให้จงได้ แต่หลังจากเหตุการณ์ในครั้งนั้นทำเอาความจงรักภักดีหายไปในพริบตา เหลือเพียงแค่ความเกลียดชังแทนที่ในหัวใจ

            “ พระองค์ตรัสได้ไม่ผิด.. ” ราซิสกล่าวนิ่ง ก่อนคำนับราชานีแห่งซาคาเดียร์ แล้วคิดจะเดินออกไปจากห้อง

            คิเมดาห์มองตามแผ่นหลังขององค์รักษ์  ริมฝีปากอวบอิ่มเม้มลงเป็นเส้นตรง ถึงจะคิดว่าตัวเองอาจจะพูดแรงไป แต่หากรักจะอยู่ที่นี่ คนที่เจ้าตัวควรบูชานั้นคือเธอ ไม่ใช่เจานายที่ไม่เห็นค่า แต่ขณะที่ราซิสกำลังเอื้อมไปบิดลูกบิดประตู สิ่งหนึ่งก็ทำให้เขาชะงักไป

            “ องค์ราชานี.. ”  เสียงเรียกนั้นทำเอากลีบปากสวยแสยะยิ้ม คิดว่าราซิสต้องพูดอะไรเพื่อเอาใจเธอเป็นแน่ แต่หากผิดคาด

            “ เรามีแขกมาเยือนพ่ะย่ะค่ะ ” ทันทีที่ได้ยิน ดวงตานางพญาก็เบิกกว้างทันที!

            ปึง!

            ประตูห้องถูกถีบออกผ่าง ราซิสกระโดดตัวถอยหลังออกมาใหเพ้นแนวจู่โจม ก่อนใช้ตัวป้องกันผู้เป็นเจ้าชีวิตไว้เบื้องหน้า ดวงตาสีครามหรี่ลงมอง ตรงหน้าปรากฏเป็นชายชุดดำรูปร่างสูงกำยำ ในเงื้อมือของเขามีร่างของอดีตหัวหน้าราชบริวารอยู่ในอ้อมแขน  ขณะที่ดาบเรียวคมก็จ่อไว้ที่ลำคอขาว

            ราชีนีคิเมดาห์ขมวดคิ้วลงต่ำ สีหน้าในตอนแรกนั้นเต็มไปด้วยความเกรี้ยวโกรธที่มีคนมาขัดจังหวะระหว่างที่เธอกำลังเสวยสุข แต่พอมองผู้บุกรุกให้ชัด สีหน้ากับแปลเปลี่ยนเป็นเย้ยหยัน

            “ นึกว่าใครที่แท้..องค์ชายบาฮาลนี่เอง เป็นอย่างไรบ้างองค์ราชาสบายดีหรือไม่ ” ร่างงามรุกขึ้นจากอ่างทองคำ ไม่อับร่างกายของหญิงสาวที่ไร้การปกปิด แต่หากทักทายด้วยท่าทีเสมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

            “ อย่ามาเสแสร้ง! ”

            “ บังอาจขึ้นเสียงกับข้าหรือ รู้หรือเปล่าว่าข้าคือใคร ” ดวงตานางพญาจ้องมองนิ่งราวกับคนตรงหน้าเป็นเหยื่อตัวน้อย  เธอเผยมือทั้งสองข้าง มนตราทำให้หยาดน้ำในอ่างย้อนปกคลุมกายอรชรของหญิงสาวราวกับอสรพิษเกี้ยวพัน กระทั่งกลายเป็นอาภรณ์ทองคำของราชีนีสูงศักดิ์ บาฮาลยังคงจับตัวประกันของตัวเอาไว้แน่น ขณะที่ซาอิดกลับไม่รู้ว่าควรทำเช่นไรถึงจพถูกต้อง จึงได้แต่ปล่อยตัวไปไม่ขัดขืน

            “ ข้าจะให้เวลาเจ้า รีบออกไปจากที่นี่ซะ แล้วข้าจะทำเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น ” ข้อเสนอแสนง่ายดายจากราชีนีหยิบยื่นมาให้ ได้ยินเช่นนั้นองค์ชายบาฮาลถึงกับเดือดพล่าน..เขาเป็นนักรบอย่างก็ไม่เคยกลัวตายกับการกระทำของตนเองอยู่แล้ว แต่ในเมื่อความอดทนสิ้นสุด วันนี้เขาต้องต้องได้เลือดอสรพิษชั่วร้ายมาล้างเท้าให้จงได้

            “ ไม่สิ่งใดเกิดขึ้น เหมือนที่พวกเจ้าทำร้ายเทพนาคินใช่หรือไม่ ไม่ว่าสารเลวนั้นจะสูงส่งมาจากไหน ข้าก็จะดึงมันจากบัลลังงก์จอมปลอมให้จงได้ เจ้าจะยอมรับโทษทัณฑ์แต่โดยดีหรืออยากให้แผ่นนี้ชโลมด้วยเลือดของเจ้า! ”

            “ หึ..อสรพิษที่ไร้พิษสง กำลังล้อเล่นกับนางพญาอยู่ใช่หรือไม่ ยอมรับโทษทัณฑ์อะไรกัน ข้าไม่เห็นรู้เลยสักนิด หากไม่มีหลักฐานก็อย่ามาปรักปรำกัน เทพนาคินก็คือองค์เทพที่ซาคาเดียร์เคารพบูชาด้วยเช่นกัน หากต้องการความช่วยเหลือ พวกเราก็พร้อมที่ยื่นมือช่วย ไม่ใช่มากล่าวหาคนที่จับมือดมไม่ได้! ”

            “ อนาคานไม่ต้องการมือเปื้อนเลือดสกปรกอย่างเจ้า ต่อหน้ากราบไหว้บูชา ลับหลังคงใช้เท้าละเลงเหยียบย้ำ พอกันทีกับเมืองที่ไม่มีความละอายแก่ใจ หากกฏเทพนาคินไม่ได้ค้ำคอพวกเจ้าเอาไว้ เมืองนี้ก็เป็นแค่เมืองชั้นต่ำไร้ซึ่งสำนึก! ”

            “ หุบปากซะ! ” คิเมดาห์ตวาดลั่นอย่างเหลือด มือเรียวกำแน่ด้วยความโกรธ “เจ้ากำลังลบหลู่ชาคาเดียร์ หากองค์ราชาของเจ้าต้องการสงคราม ข้าจะสังเวยองค์ชายอย่างเจ้าเป็นคนแรก เพื่อบูชาแด่กฏของเทพนาคิน! ” สิ้นเสียงพื้นห้องก็เต็มไปด้วยอสรพิษนั้นร้อยราวกับพรม พวกมันชูคอขึ้นสูงแผ่แม่เบี้ยส่งเสียงขู่ฟ่vผู้เป็นศัตรู แต่องค์ชายหาได้เกรงกลัวไม่ วันนี้ถ้าไม่ได้เลือดราชีนีจอมปลอมมาล้างเท้าทวยเทพ เขาจะไม่ยอมกลับไปที่อนาคานอีก!

            “ หึ บูชากฏเทพนาคิน ทั้งหมดก็เป็นแค่เรื่องหลอกลวง หากมีคนต้องสังเวยเพราะกฏนี้ คิเมดาห์เจ้านั่นล่ะที่สมควรมากที่สุด! ”

            สิ้นเสียงร่างแกร่งก็พุ่งทยานออกไป กลายเป็นอสรพิษดำขนาดยักษ์ คมเขี้ยวแยกกว้างพร้อมกลืนกินราชีนีโอหังที่อยู่ตรงหน้า แต่ไม่ทันจะได้ปลิดลมหายใจ อสรพิษทะเลทรายสีเหลืองทองอีกตัวก็กระโจนตัวเข้ามาขว้างกั้น แรงปะทะทำให้ทั่วทั้งห้องสั่นเสทือนคล้ายกับจะถล่มลงมา

            คิเมดาห์แสยะยิ้มมองดูภาพการต่อสู้อย่างไร้ซึ่งความปราณี เธอยกมือขึ้นสูง อสรพิษที่พื้นทั้งหมดชูคอขึ้นขู่คำราม ก่อนนิ้วเรียวงามชี้บัญชาไปที่ร่างของอสรพิษดำ!

            “ ฆ่ามัน.. ” สิ้นเสียงเลือดเย็น งูเห่านับร้อยก็รุมเข้าไปร่วมต่อสู้ทันที ซาอิดเบิกตากว้างกับภาพที่เห็นเนื้อตัวสั่นเทาจนทำอะไรไม่ถูก แต่ไม่ทันได้ที่อสรพิษพวกนั้นถึงตัวเจ้าชีวิต แรงสั่นเสทือนทำให้พื้นที่ยืนอยู่ก็เกิดรอยร้าวแยก ไม่ช้าพื้นดินก็ยุบหวบลงไปต่อหน้าต่อตา ซูบทุกสิ่งลงไปเบื้องล่างทันที!

            โครม!

            เสียงถล่มดังกึกก้อง ฝุ่นควันลอยคลุ้งตลบราวกับม่าน เศษซากของสิ่งปลุกสร้างชิ้นเล็กชิ้นน้อยยังคงตกลงมาราวกับสายฝน อสรพิษนับร้อยนอนไร้ลมหายใจ ทว่าการต่อสู้ของนาคินยักษ์ทั้งสองหาได้จบลงไม่

            ซาอิดตกลงมาด้านล่าง รู้สึกเจ็บระบมไปตามเนื้อตัว ศรีษะแตกออกเล็กน้อยจากแรงกระแทก โชคดีที่ความสูงนั้นไม่มากนักจึงไม่ถึงกับสิ้นหายใจ แต่พอลองขยับร่างกาย ก็เจ็บแปลบที่ท่อนขาจนต้องร้องครวญ เมื่อมองตามก็พบว่าซากเพดานทับขาเขาไว้อยู่ เขาออกแรงใช้ฝ่ามือดันสิ่งที่ทับอยู่ออกไป ครั้นจะพยายามยืนเต็มตัว ก็ต้องล้มพับกองกับพื้นไปใหม่เพราะความเจ็บปวดที่แล่นเข้ามาราวกับกระแสไฟฟ้าตามแนวกระดูกท่อนขา

            ขาเขาคงจะหัก..

            คิดแบบนั้นกัดฟันแน่นด้วยความเจ็บใจ แต่ไม่ทันไรเสียงโครมครามที่ดังอยู่เบื้องหน้าก็ดึงความสนใจเขาไปอีกครั้ง ดวงตาสีครามเบิกกว้างขึ้น เมื่อเห็นอสรพิษขนาดใหญ่มามากมายกำลังต่อสู้กันอยู่ไปทั่วบริเวณ

            ภายความโหดร้ายปราฏขึ้นสู่สายตา กลิ่นดาวเลือดโชยคลุ้งอบอวล หัวใจของเขาไหววูบสับสน ไม่รู้ว่าควรจะทำสิ่งใด ภาพหยาดของเหลวสีแดงสดมากมายก็ยังคงสาดกระเซ็น ราวกับต้องการย้อมพระราชวังสวยงามนี้เป็นสีแดง

            ริมฝีปากเม้มเข้าหากันแน่น นัยน์ตาสั่นเครือมิอาจกลั้นความรู้สึกก่อบนริมขอบตา

            ทำไมทุกอย่างถึงเป็นแบบนี้..

            ทั้งๆกฏของเทพนาคินมีเพื่อความสงบสุข..แต่แล้วทำไมเล่า

            คนที่ไม่ใช่ทั้งนาคิน และราเมียร์อย่างเขาจะมีอำนาจได้รั้งเหตุการณ์นี้ได้..

            ทุกอย่างเกิดขึ้นจากความขัดแย้งเพราะ ‘กฏ’ ที่ต่างฝ่ายต่างคิดว่าสิ่งที่ตนเองทำนั้นถูกต้อง แต่หากภาพที่ปรากฏสู่ดวงตาเขาเวลานี้มันมิใช่การต่อสู้เพื่อความถูกต้อง แต่คือความเห็นแก่ตัว ที่สะท้อนออกมา

            มันทำให้เขาฉุกคิดได้ว่า..แท้จริงแล้ว คำสาปร้ายจากการฝืนกฎของเทพนาคิน นั้นไม่ใช่โรคระบาดร้าย แต่เป็น..

            การที่เรา เข่นฆ่ากันเอง..

           
            พอแล้ว..ไม่เอาอีกแล้ว

            หยุด..หยุดสักที..

            คิดเช่นนั้นจิตใจก็ราวกับโดนสะกดลอยออกจะสิได้สติ กายสูงโปร่งพาร่างกายที่เต็มไปด้วยบาดแผล ค่อยๆก้าวหาสงครามที่ยังไม่ได้ผู้ชนะ แม้แต่ล่ะย่างก้าวจะเจ็บที่ท่อนขานเจียนอยากจะตัดมันออกจะร่าง แต่หากหัวใจมันเจ็บจนด้านชาไร้ความรู้สึกใดอีก น้ำตาไหลอาบลงมาจากแก้ม หยดลงตามพื้นที่เจ่อนองด้วยซากอสรพิษ จังหวะหนึ่งที่ใกล้เพียงเอื้อมมือของชายหนุ่มที่จะเอ่ยห้ามศึก นาคินยักษ์ทั้งสองก็ขู่คำรามชูคอสูงพร้อมเผด็จศึก!

            “ อย่านะ!! ”  พุ่งตัวออกไปจนลืมความเจ็บ เสี้ยวินาทีทุกอย่างขาวโพลน..

            ฉึก!

            ‘ ซาอิดอนาคานคือบ้านของเจ้า เจ้าต้องเคารพกฏและภักดีกับเทพนาคินด้วยชีวิต’

            ‘ เจ้าเห็นไหม อนาคานอบอุ่นเพียงใด ’

            ‘ การไปสู่ซาคาเดียร์ ก็เหมือนกับเรากำลังก้าวข้ามบันไดสวรรค์อย่างได้คิดสงสัยเชียว’

            ‘ ท่านพี่! ทำไมถึงได้ทำเช่นนี้ ’

            ‘ เหรียญนี่ ข้ามอบให้เจ้า ’

            ‘สายเลือดของคนทรยศ..’

            ‘ อนาคานคือบ้านของเจ้า ’


            แหมะ..

            แหมะ..

            ความคิดต่างๆไหลท่วมเข้ามาพร้อมกับเสียงสะท้อนในอดีตที่ก้องอยู่ในหู ภาพความทรงจำอันอบอุ่น ทำให้ใจดวงนี้พองโตขึ้นช่วงขณะ แม้สุดท้ายภาพทุกอย่างอาจจะเป็นผลไม้หวานที่อาบยาพิษ แต่หากผลไม้ลูกนี้เป็นลูกสุดท้ายที่จะหยุดความตายของทุกคนได้ เขาก็ยินยอมรับรสชาติอันแสนหอมหวานนี้อย่างเต็มใจ

            คมเขี้ยวนาคินเหลืองและดำฝั้งลงบนบ่าของชายหนุ่มทั้งสองด้านก่อนถอดถอน หยาดเลือดไหลโซมลงมาทั่วทั้งร่างออกมาจากบาดแผลที่ฝั้งเขี้ยว การต่อสู้ของทั้งสองนาคินชะงักงัน ดวงตาสัตว์ร้ายเบิกกว้าง ไม่ช้าเสียงดัง ‘ตุบ’ ก็ดังขึ้นพร้อมกับภาพราชบริวารหนุ่มที่ล้มลงจมกองเลือดของตัวเอง

            “ ซาอิด!! ” เสียงร้องดังลั่น อสรพิษทะเลทรายกลายเป็นชายผอมสูง ผมสีทองปลิวสยายไปตามแรงก้าวเร่งรีบ มือแกร่งพยุงร่างที่พลั้งมือทำร้ายขึ้นมาไว้ในอ้อมแขม สายตาคมกริบที่เต็มไปด้วยความแข็งกร้าวบัดนี้คลอไปด้วยน้ำใสๆริมขอบตาอย่างไม่รู้ตัว

            “ ซาอิด ซาอิด !! ”  พร่ำเรียกชื่อซ้ำๆปานจะขาดใจ ประคองร่างที่ใกล้สิ้นลมไว้ในอ้อมแขน สองมือของผู้เป็นพี่ชายตบลงที่ใบหน้าหน้าของน้องชายตัวเองเพื่อไม่ให้ดวงตาสีครามนั้นปิดลง

            ซาอิดรู้สึกเหมือนลมหายใจกำลังขาดใจ ริมฝีปากพยายามเผยอขึ้นหาอากาศ แต่กลับรู้สึกว่าเนื้อตัวชาไปหมดเหมือนถูกแช่แข็ง แม้จะรับอากาศเข้าไปก็ลำบากยิ่ง หัวใจเต้นช้าลงเรื่อยๆราวกับมันจะหยุดเหมือนไรก็ได้ ตรงหน้าคือภาพพร่ามัวของใครบางคน แต่เสียงที่กำลังพร่ำเรียกชื่อเขาทำให้เดาได้ไม่ยากว่าคือพี่ชายตัวเอง มีของเหลวบางอย่างหยดลงมาในปาก แต่ลิ้นก็ชาเกินกว่าจะรับรสชาติ ทุกอย่างดำมืดลงเรื่อยๆ

            อสรพิษดำคืนร่าง องค์ชายบาฮาลเบิกตากว้างกับภาพที่เห็น ใบหน้าคมเข้มถอดสีจนซีดเซียว หัวใจคล้ายกับหลุดหายไปจากร่าง  แม้จะตราหน้าว่าซาอิดคือคนทรยศ แต่เขากลับไม่เข้าใจตัวเองเลยสักนิดว่าทำไมถึงได้ปานจะขาดใจ เขาเป็นนักรบ เห็นคนตายมาก็มากล้น แต่ทำไมกับคนๆนี้ ถึงทำให้สองเท้ารีบวิ่งเข้าไปหาได้

            ทว่า..แม้สถานการ์ณจะเปลี่ยนไปชั่วครู แต่สถานะของเขาในตอนนี้ก็คือผู้บุกรุก ยังไม่ทันจะได้แย่งราชบริวารหนุ่มมากจากมือของศัตรู เขาก็ต้องชะงักฝีเท้าไว้ฉับพลัน ตรงหน้าปรากฏฝูงอสรพิษขนาดใหญ่นับสิบที่เลื้อยเข้ามารายล้อมคู่พี่น้องทั้งสองราวกับจะปกป้อง ก่อนหญิงสูงศักดิ์แห่งซาคาเดียร์จะก้าวมายืนขวาง

            “ อย่าขยับ..เดี๋ยวจะหาว่าข้าไม่เตือนว่าพิษงูเห่าร้ายแรงขนาดไหน ”ดวงตานางพญาจิกมององค์ชายหนุ่มอย่างสมเพช รอยยิ้มหยันปรากฏขึ้นบนดวงหน้างดงาม

            “ ปล่อยซาอิดนะ! ” ขึ้นเสียงตวาดดังด้วยความเจ็บใจ คิเมดาห์สาวเท้าเดินมาประชันหน้าองค์ชายหนุ่มอย่างไม่เกรง

            “ โถ่ๆ..องค์ชายบาฮาลไยเจ้าถึงได้ลังเลเช่นนี้ ข้าอยู่ตรงหน้าเจ้าแล้ว ทำไมไม่ลงมือฆ่าข้าเสียล่ะ จะเป็นห่วงคนทรยศทำไม ” สรุเสียงราบเรียบแต่เจือไปด้วยความรู้สึกที่เหนือกว่า คิเมดาห์ไม่ลังเลเลยสักนิดที่จะล้วงเอาความรู้สึกของร่างตรงออกมาเป็นเครื่องมือ จนหัวใจองค์ชายหนุ่มถึงกับกระตุก ทั้งที่จุดประสงค์ที่วางเอาไว้ตั้งแต่แรกว่าต้องการเด็ดศีรษะราชีนีชั่วช้า แต่ก็พลันหายไปในพริบตา เพียงเพราะราชบริวารที่ทรยศต่อนาคานเพียงคนเดียว

             ทำไมกัน..ทำไมถึงได้กลายเป็นแบบนี้

            มือแกร่งกำแน่นจนสั่น ใจหนึ่งก็ห่วงร่างที่รับคมเขี้ยวพิษไปสุดใจ แต่อีกใจก็สั่งระงับเอาไว้ จึงได้แต่ยืนนิ่งพยายามคิดแต่หัวสมองก็ว่างเปล่าไร้ทางออก คิเมดาห์ปรายสายตามองเขาก็จะคลี่รอยยิ้มหวานดุจน้ำผึ้งอาบยาพิษ

            “ เป็นนักรบเสียเปล่า แต่จุดประสงค์ไม่ชัดเจนแบบนี้ ก็เท่ากับเอาชีวิตคนมาทิ้งโดยเสียเปล่า ” เธอกล่าวอย่างนึกขัน และเพียงไม่นาน ทหารของซาดาเดียร์ในราชวังที่เงียบหายไป ก็ลายล้อมองค์ชายหนุ่มไว้รอบด้าน ขณะที่ศพของกลุ่มคนชุดดำ ก็ถูกโยงลงแทบเท้าขององค์ชายบาฮาล จนดวงเนตรสีเข้มเบิกกว้าง..

            “ คิดว่าซาคาเดียร์ไร้กำลังถึงขนาดนั้นหรือไงองค์ชาย กะอีแค่ดอกไม้ยาสลบไม่กี่ดอก คิดว่าจะสามารถทำให้ทหารทั้งวังหลับได้หมดหรือไง” องค์ชายบาฮาลกลืนน้ำลายลงคอ คิ้วหนาขมวดเข้าหันจนแน่นแสดงถึงความตึงเครียด เม็ดเหงื่อเริ่มผุดขึ้นที่ใบหน้าคมเข้ม

             เพราะความขาดสติทำให้แผนการของเขานั้นไม่รัดกุมรอบคอบ และไม่ได้คิดถึงผลเสียหรือเรื่องอื่นที่จะตามมา จึงได้พาชีวิตของคนอื่นมาสังเวยอย่างไร้ความหมาย

            บาฮาลขบฟันจนแน่นด้วยความเจ็บใจ แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไงกับการแก้ไขสถานการณ์นี้ ยอมรับเพราะความประมาทจึงคิดว่าทุกอย่างจะง่ายดาย แต่ความจริงแล้วถึงคิเมดาห์จะเป็นสตรีแต่ก็ไม่ได้อ่อนแออย่างที่คิด สุดท้ายที่คิดจะแก้แค้นให้พี่ชาย กลับกลายทำให้เรื่องราวใหญ่โตจนกลายเป็นชนวนไฟ


            เขานี่มัน..โง่สิ้นดี!

            “ ว่าไงล่ะองค์ชาย ในเมื่อเลือกที่จะเข้าถ้ำมาแบบนี้ ข้าคงไม่ปล่อยออกไปง่ายๆแน่ ” คิเมดาห์เอ่ยอย่างนึกสนุก  มือเรียวยกขึ้นกวักเบาๆ ก่อนทหารหญิงด้านนอกจะรุมกรูกันเข้ามาหาองค์ชายพร้อมกับ ใช้คมหอกจ่อไว้ที่ร่างของชายหนุ่ม

            “ ดิ้นรน ขัดขืน ชีวิตของงูที่ไร้พิษก็เป็นเช่นนี้ ราชาบาซิกค์คงเสียพระทัยน่าดู ที่น้องชายของตัวเองคิดมากำจัดข้าเพราะคิดว่าข้าเป็นคนที่ลอบทำร้ายพระองค์ หึ..แต่น่าเสียดายยิ่งนักที่มันไม่ใช่ ..ซาคาเดียร์ควรโต้ตอบอย่างไรดี ” คำตอบที่ได้ยินทำเอาดวงตานักรบขยายกว้าง เพราะหากเรื่องที่พูดเป็นเรื่องจริง สิ่งที่เขากระทำอยู่ก็เท่ากับว่าเป็นการจุดไฟสงครามให้ซาคาเดียร์กับอนาคานโดยไม่ต้องรอถึงวันอภิเษก กองทัพของซาคาเดียร์คงอาจบุกรุกเข้าชิงเมือง ขณะที่อนาคานคงไม่มีอาสได้ตั้งตัว ประชาชนจะล้มตายเป็นจำนวนมาก เพราะความเขลาของเขลาแท้ๆถึงได้ลายเป็นเช่นนี้ เขาจะยอมไม่ได้เป็นอันขาด หากรับผิดก็ขอไว้แต่เพียงผู้เดียว

            “ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับองค์ราชา! เป็นความคิดของข้าคนเดียวที่ต้องการกำจัดราชีนีชั่วช้าอย่างเจ้า!”

            เพียะ!

            “ บังอาจนัก! เป็นแต่งูชั้นต่ำไร้พิษ อย่าคิดมาดูถูกข้า!” ฝ่ามือเรียวตบลงใบหน้าคมจนสะบัด เลือดไหลซิปจากมุมปากที่แตกออก หากอยากทำให้เธอไม่สบอารมณือารมณ์ก็ต้องลงไม้ลงมือกันบ้าง แต่อย่างไรในเมื่อเรื่องเป็นเช่นนี้แล้วทุกอย่างก็เข้าทางเธอตามต้องการโดยไม่ต้องออกแรงเลยสักนิด เธออยากจะรู้นักว่าองค์ราชาแห่งอนาคานจะมีแรงเหลือมาตัดสินใจเรื่องนี้อยู่อีกไหม


            “ จะเอาอย่างไรดีล่ะ..ถึงฆ่าเจ้าทิ้ง หรือไม่ฆ่าเจ้าทิ้ง ก็มีเหตุผลเพียงพอต่อการก่อสงครามได้ หึ...แต่ว่าข้าไม่อยากจะให้คนของข้าเสียเลือดเนื้อ แต่มันคงจะดีกว่าถ้าเป็นพวกเครื่องสังเวยอย่างเจ้า ” ถ้อยคำดูถูกเอ่ยขึ้น บาฮาลสติขาดผึง

            “ ราชีนีชั่วคิดจะทำอะไร! อึก!” ไม่ทันได้พูดจนจบ บริเวณลำคอก็ปรากฏอสรพิษขนาดใหญ่พันอยู่รอบ คล้ายกับมีเวทย์มนต์บางอย่างทำให้น้ำหนักของมันนั้นมหาศาลจนต้องทรุดตัวคุกเข่าลงกับพื้น ครั้นคิดจะแปลงร่างเป็นนาคินก็มิอาจทำได้ เหมือนกับร่างกายนี้ถูกสิ่งที่อยู่บนคอสะกดไว้ทุกสิ่ง

             คิเมดาห์แสยะยิ้ม ดวงตางดงามดุจเมจพลอยสีชมพู เป็นประกายด้วยความพอใจ

            “ ไม่ต้องห่วง..ชีวิตเจ้าได้สังเวยแด่ซาคาเดียร์แน่ แต่ก่อนหน้านั้น ข้าอยากจะเล่นเกมส์บางอย่างกับองค์ราชาสักหน่อย ว่าเขาจะชดใช้ให้ข้าด้วยวิธีใด..เมื่อรู้ความจริงว่า ” ร่างงามเดินเข้ามาใกล้ขึ้น นิ้วเรียวช้อนที่ปลายคางขององค์ชายหนุ่มให้มองขึ้นสบดวงตา ริมฝีปากหยักสวยเขยื้อนเอ่ยประโยคสุดท้าย จะทำเอาหัวใจแทบหยุดเต้น

            “ ระเบิดนั่นคือของขวัญ จากว่าที่..พระชายา ”

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ทักทายกันสักนิด



          โอ้ยยยยยยยยยยยยย  แอมโซซอรี่มากๆ ที่หายไปนานนน ฮืออออออออออ (กราบอ่อนแฟนๆทุกคน หวังว่าจะให้อภัยนักเขียนตาดำคนนี้ ฮ์อออ T_T) พอดีไรท์เกิดปัญหา แก้ไม่ได้เคลียร์ไม่ออกจริงๆกับตอนนี้ น้ำตาจะไหลเป็นสายเลือด ด้วยความพยายามจะปิดตอนให้ได้ไปๆมาๆ ก็ทำไม่ได้ด้วยเรื่องเนื้อเรื่องหลายๆอย่าง ความจริงดี้เขียนจบ นานแล้ว แต่..มันหาความสมเหตุสมผลไม่ได้ สรุป ก็เลยแก้ยาว แต่แก้ยังไงก็คิดว่ามันไม่โอเคร  ฮืออออ สุดท้ายก็ไปลงเอยกับการเปลี่ยนเนื้อเรื่อง ในช่วงหลัง ยืดออกไปอีกหน่อยย แต่คือมันก็ไม่ต่างไปจากเดิมมากนัก เพิ่งเคยเขียนแฟนตาซีการเมือง ไรท์แทบลมจับเอามือทาบแล้วร้องว่าขุ่นพระ ยาก! แท้จริงหนอ บุษบา? =[]=!

              เอาเป็นว่าติดตาม ใครที่รอฉากมุ้งมิ้งระหว่างเฮียกับนุ้งมิกิ เจอกันตอนหน้า ตอนนี้เอาน้ำตาไปก่อน อ่า..บาฮาลหนออออ ช่างน่าสงสาร อยู่กับเมียงูไปก่อน ค่อยกลับ ถ่อวววว ถถถ

ปล.ขอโต๊ดก๊าบบที่มาช้า อย่า โกรธเค้านะตะเองเดี๋ยวให้ปีโป้ *0*/

ออฟไลน์ EtuDe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-0
 ค่ำคืนที่ 17 : เกล็ดทรายใต้ผืนน้ำ Part 1     

         ห้วงความคิดทุกอย่างแสนมืดมิด..
         รอบด้านราวกับถูกทาทับด้วยสีดำ..
         ในลำคอแห้งผากแทบกลายเป็นผุยผง..

         แม้คิดว่าชีวิตนี้คงสูญสลายไปแล้ว แต่ความต้องการที่ปรากฏขึ้นกลับเป็นคำตอบได้เป็นอย่างดิบดี ได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นสม่ำเสมอ แต่เปลือกตายังคงหนักอึ้งเกินกว่าจะลืมขึ้นมาได้ ร่างกายที่ร้อนผ่าวราวกับอวัยวะภายในถูกแผดเผานี้คืออะไร

         ความสับสนทำให้ใบหน้าที่ชุ่มไปด้วยหยาดเหงื่อระส่ำระส่ายอยู่บนเตียงดังคนกำลังฝันร้าย แต่กระนั้นสัมผัสนุ่มชื้นจากผ้าชุบน้ำก็ยังคงไล่เช็ดตามร่างกายที่บอบช้ำของชายหนุ่ม เพื่อระบายความร้อนรุ่ม

         ในแววตาสีครามสวยงามของผู้อยู่ข้างกาย สะท้อนความสงสารออกมาชัดเจน ไม่คิดไม่ฝันว่าน้องชายตัวเองจะกระทำเช่นนี้ โชคดีที่เขายังพอมีสติหลงเหลือ จึงได้ทำการถอนพิษด้วยโลหิตของตัวเองได้ทันท่วงที ก่อนที่อะไรจะแย่ลงกว่านี้

         ถึงเรื่องต่างๆที่เกิดขึ้นจะดูเข้าทางกับฝ่ายซาคาเดียร์ แต่หากต้องแลกด้วยเลือดเนื้อของน้องชายตนเองแล้ว เขาก็ไม่อยากให้เป็นเช่นนี้

         เขาไม่เคยรู้ความคิดของซาอิด และไม่เคยถามความรู้สึกว่าเป็นเช่นไร แต่เพราะเชื่อว่าสิ่งที่เขาเลือกให้ย่อมเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ทว่า คำตอบของความเป็นจริงคือความอึดอัด

         แต่จะทำอย่างไรได้เล่า.. หาคนในบ้านเดียวกันแท้ๆยังแปรพรรคได้ นับภาษาอะไรกับจิตใจที่ไม่มั่นคงมาตั้งแต่แรก เขาควรจะเรียนรู้เอาไว้ เป็นบทเรียนชีวิต

         !

          ขณะที่ราซิสกำลังใช้ผ้าเช็ดไปตามลำตัวของน้องชาย จู่ๆก็ถูกคว้ามือเอาไว้ เปลือกตาของคนที่นอนอยู่ค่อยๆลืมขึ้นเชื่องช้า คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันแสดงความเจ็บปวดที่ยังคงหลงเหลือ

         “ ฟื้นแล้วหรือ..เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” รีบถามด้วยความร้อนรนพลางค่อยๆประคองร่างที่อ่อนแรงพิงที่หัวเตียง

         “ นะ..น้ำ..” เสียงแหบแห้งเอ่ยขออย่างน่าสงสาร ราซิสรีบรินน้ำจากเยือกแก้วมาให้ แต่เพียงร่างบนเตียงดื่มเข้าไปได้ไม่กี่อึก ก็อาเจียนออกมาจนหมด

         พิษยังไม่หมดสินะ..

        “ เจ้านอนพักต่ออีกหน่อยเถอะ ร่างกายของเจ้ายังขับพิษออกมาไม่หมด”

 
         “ ข้าไม่เป็นไร ข้าอยากออกไปจากที่นี่” แม้จะเสียงจะอ่อนแรง แต่เจ้าตัวก็ยังทำท่าจะลุกออกจากเตียงให้ได้ ราซิสถอนหายใจให้กับน้องชายที่ดื้อดึง


         “ ถึงจะมีเลือดนาคินในตัว..แต่ก็เพียงครึ่งเดียว ดื่มน้ำนี่อีกหน่อย แล้วพักผ่อนเถอะ ”

         เพล๊ง!

         แก้วน้ำถูกปัดออกจากมือคนถือจนตกแตก ไม่รู้ว่าถ้อยคำที่พลั้งปากพูดออกไปได้ซ้ำเติมบาดแผลให้คนตรงหน้าจนคุมตัวเองไม่อยู่ แต่พอจะหันมาตำหนิ ก็พบใบหน้าของน้องชายที่เปลี่ยนไป ริมขอบตาทั้งสองข้างมีน้ำใสคลอจนเอ่อหยดลงมา


         “ มีสายเลือดเพียงครึ่งเดียวแล้วมันยังไง ตัวข้ามันอ่อนแอนักหรือไง ” ซาอิดตวาดเสียงแข็งด้วยความไม่พอใจ ทว่าน้ำตาที่หยดลงมาบนผ้ากลับทำให้พี่ชายอย่างเขาพูดไม่ออก ดวงตาสีเดียวกันกับเขามองมาด้วยความเจ็บปวดเกินบรรยาย


         “ บอกข้าที..ข้าควรทำอย่างไร ฮึก..ได้โปรด บอกข้าที ว่าข้าควรมอบชีวิตให้ใคร ข้าไม่อยากมีความรู้สึกแบบนี้อีกแล้ว ข้าไม่อยากมีความรู้สึกแบบนี้!! ” เสียงตะโกนด้วยความเจ็บปวดดังพร้อมกับหยาดน้ำตาที่ไหลงมาหยดแล้วหยดเล่า

         ราซิสหลุบตาลง บังคับตัวเองให้ใจนิ่งสงบ อย่างไรเขาก็ไม่แน่ใจในคำตอบของตัวเองนัก เพราะความจริงที่รับรู้ได้มิได้งดงามเหมือนกับคำพูดอย่างที่เคยกล่าวไว้


         “ จงเลือก คนที่สมควร.. ”


         “ แต่ท่านพี่บอกอนาคานคือบ้าน! และซาคาเดียร์ก็เป็นเสมือนพี่น้อง ทำเช่นนี้ก็เท่ากับฆ่าครอบครัวเดียวกันเอง!! ”  แม้เสียงตะโกนจะแหบแห้ง แต่เขาทนต่อความอึดอัดนี้ต่อไปไม่ไหวแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น จะเป็นเพราะกฏหรือพวกเราเอง เขาไม่สนใจอีกแล้ว เขาอยากให้ทุกอย่างหยุด และจบลงเท่านี้ กลิ่นคาวเลือดที่โชยคลุ้ง และภาพศพพี่น้องตายเกลือนกลาด เขาไม่อยากเห็น.. ไม่อยากเห็น!!

 
         “ ชาวนาคินไม่เคยมีครอบครัวมาตั้งแต่แรก แม้แต่เทพนาคิน ก็ไม่มี ที่ข้าพูดกับเจ้าเช่นนั้นก็เพราะต้องการให้เจ้ามีความหวัง ” ถึงเสียงนั่นจะอ่อนโยนเหมือนปลอบใจแต่แท้จริงถ้อยคำเหล่านั้นทำให้กลับสร้างแบดแผลที่แสนปวดร้าวข้างใน ยิ่งได้ยิ่งก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองนั้นอ่อนแอเพียงใด แต่ก็ไม่อยากยอมรับความจริง

 
         “ แต่ท่านพี่ทำให้ข้าเชื่อว่าที่นั้นคือบ้าน…มันคือบ้าน ฮึก.. .” น้ำตาอาบลงมาเป็นสาย มือทั้งสองยกกุมใบหน้า เข่าทั้งสองยกขึ้นชัน ริมฝีปากเม้มลงพยายามกลั้นเสียงสะอื้น แต่กลับทำไม่ไหวเลยสักนิด ประโยคสุดท้ายที่อยากเอ่ยเต็มปากเต็มคำเหมือนครั้งก่อนก็คือ.. ” บ..บ้านของเราฮือ..” แต่กลับ..สั่นคลอเหลือเกิน


         ราซิสถอนหายใจ มือลูบบนศรีษะของคนที่กำลังร้องไห้ปลอบใจ หากพูดอะไรไปตอนนี้ก็คงไม่มีอะไรดีขึ้น บางทีการปล่อยให้ซาอิดได้ทบทวนสิ่งต่างๆคนเดียวอาจจะทำให้เขาเข้าใจอะไรมากขึ้น แต่ทันทีที่ลุกออกจากริมขอบเตียง เขาก็ถูกกระชากข้อมือให้หันมา

         “ เหตุใดท่านพี่ถึงต้องทรยศจากอนาคานด้วย! ท่านพี่ร้องขอชีวิตงั้นหรือ หากเป็นข้ายอมตายเสียยังจะดีกว่าเป็นข้ารับใช้ราชีนี! ”


         “ เงียบซะซาอิด ถ้าไม่รู้อะไรก็อย่าพูด ”

         “ ข้าไม่หยุด! และข้าจะไม่ทนอีกต่อไป!! ” ราซิสถูกเหวี่ยงมือออก ร่างที่ประกาศก้าวลุกออกจากเตียงโดยพลัน สายตาจ้องมองไปที่หน้าประตู  แต่ไม่ทันได้ก้าวเท้าไปถึง ก็ถูกดึงตัวเอาไว้ในอ้อมแขนของผู้เป็นพี่

 
         “ ปลอยข้า! ข้าจะไปหาองค์ชาย ปล่อยข้านะ ข้าจะรับใช้องค์ชาย ข้าเกลียดที่นี่ ได้ยินไหมข้าเกลียดที่นี่ ฮือๆ ” เสียงโวยปะปนกับเสียงสะอื้นอย่างเจ็บปวด ทว่าพิษที่ยังคงเหลือ ผสานกับร่างกายที่อ่อนแอทำให้ทรุดตัวลงกับพื้น แล้วอาเจียนเอาของเสียซึ่งเป็นน้ำใสๆออกมาจนแสบลำคอเหมือนจะเผาไหม้

 

         เจ็บใจ..จนน้ำตาคลออยู่ที่ปลายหางตา

         น้ำตาหยดมาพร้อมกับเสียงกลั้นสะอื้น


         ราซิสมองดูภาพน้องชายแล้วก็บีบหัวใจเช่นนัก แต่จะให้ทำอย่างไรได้เล่า เพราะเขาก็มีเหตุผลที่มิอาจให้อภัยอนาคานเช่นกัน และเขาก็คิดว่าการอธิบายอาจไม่ได้ช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้น แต่อาจะให้ฉุดให้มันยิ่งแย่ลง 

 
            “ ข้าก็เคยเป็นเช่นเดียวกับเจ้าซาอิด..ความสับสนนี้ข้าเข้าใจดี ” ร่างสูงย่อตัวลงข้างกายผู้ป็นน้องที่นั่งทรุดตัวกับพื้นอย่างคนหมดเรี่ยวแรง

 
            “ ท่านพี่ยังรักอนาคานอยู่หรือเปล่า.. ” เสียงนั้นฟังดูเลื่อนลอย หมดหวัง ราวกับไม่ใส่ใจว่าจะได้รับคำตอบที่ต้องการหรือไม่ ดวงตาที่คลอฉ่ำเอาแต่เหม่อมมองออกด้านหน้าบนกำแพงว่างเปล่า


         ราซิสถอนหายใจคำถามนั้น สุดท้ายเขาคงต้องเลือกที่จะพูดความจริงบางส่วน

            “ ทั้งรักและเกลียดชัง.. ”คำพูดหนึ่งหลุดออกมาจากคนข้างกาย ดวงตาสีครามที่เหม่อค่อยๆหันมามอง ใบหน้าของผู้เป็นชายช่างดูเงียบสงบ แต่ขณะเดียวกับภายใต้ดวงตาก็เต็มไปด้วยความเจ็บปวดที่ซ่อนเอาไว้เช่นกัน

 
            หมายว่ายังไง..

          ราซิสหลุบตาลง ผ่อมลมหายใจ ทุกอย่างเงียบสงบลงชั่วครู่ สายลมหนาวนอกหน้าต่างพัดผ่านเข้ามาจนรู้สึกเย็นวาบที่หัวใจ คำตอบที่กำลังเขยื้อนเอ่ยจากริมฝีปากบางนั้นจะทำให้เขาเข้าใจทุกสิ่ง..


            “ แต่ทั้งหมดจะโทษใครไม่ได้ นอกจากความโหยหา และความต้องการของตัวข้าเอง ” พูดจบก็หันมามองร่างที่นิ่งอึ้งกับคำตอบ เนตรคู่สวยจ้องมองเขา แต่กลับไม่เข้าใจความหมายที่พี่ชายกำลังสื่อในแววตาเลยสักนิด เหมือนกับว่า ทั้งหมดเกิดเพราะความรู้สึกหนึ่งที่ซ่อนเอาไว้จะนัยน์ตาคู่นั้น ทว่า..คำถามที่เอ่ยออกมาก็พาให้ใจเขากระตุก


            “ ซาอิด เจ้ารักองค์เทพหรือเปล่า ” ได้ยินคำถาม ซาอิดหยุดคิดอยู่ชั่วครู่ กลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ ก่อนจะพยักหน้าออกไปเรียบๆ เพราะอย่างไรเขาก็มิอาจโกหกตัวเองได้ว่าองค์เทพนาคินคือทุกสิ่งของชีวิต แต่หากคำตอบของพี่ชายกลับทำให้เขาขมวดคิ้ว


            “ แต่ความรักของเจ้า ไม่เหมือนเช่นข้า.. ” น้ำเสียงนั้นช่างแสนเศร้า ราซิสหลับตาลงหันใบหน้าหนีไปทางหน้าต่าง ดวงตาสีครามมองออกไปยังท้องฟ้าราตรีราวกับต้องการหลบซ่อนความเจ็บปวดไม่ให้ใครได้เห็น ในค่ำคืนนั้นไม่มีใครรู้คำตอบแน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วเหตุใดองครักษ์ที่ภักดีที่สุดของอนาคานถึงได้ลอบทำร้ายองค์เทพ ทั้งหมดยังเป็นปริศนาที่รู้ล่วงกันแค่นายบ่าวสองคน แต่ถึงความจริงจะไม่ปรากฏออกมาทั้งหมด แต่มันกลับบีบหัวใจของเขาจนมิอาจจะยอมรับ..

 
            เพราะรักจึงยอมเสี่ยงชีวิต

         เพราะรักจึงไม่คิดถึงเรื่องของตัวเอง

         แต่วิมานที่จะมีเพียงเราสอง คงเป็นได้เพียงภาพความฝัน

         ฝันที่เจ็บปวด..


            “ หากความตายคือการปฏิเสธ และการมีชีวิตคือการยอมรับแต่เจ้ารู้ไหม..” ราซิสเว้นช่วงไป ซาอิดหัวใจเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆก่อนประโยคสุดท้ายจะหลุดออกมา “ รักย่อมเจ็บปวด การประทานความตายด้วยน้ำมือคนรักเอง ยังโหดร้ายกว่าปล่อยให้ตายด้วยน้ำมือคนอื่น.. ” สิ้นเสียง ทุกอย่างดูเงียบไปหมด ไม่มีแม้แต่เสียงลมพัด แม้แต่เสียงหายใจก็แผ่วเบาราวกับหยุดลง ดวงตาสีครามที่ฉ่ำคลอด้วยคราบน้ำตาขยายเปิด เมื่อได้รู้ความจริงบางอย่าง.. ถึงจะไม่ได้พูดออกมาตรงๆ แต่ก็พอจะให้เขาเข้าใจทุกอย่าง..


            ราซิสมองหน้าน้องชายนิ่ง แต่ก็คล้ายกับเห็นตัวเอง ครั้งหนึ่งที่เคยขาดสติ เขากลายเป็นคนสับสนกับความรู้สึกและสะสมเช่นนั้นมาเรื่อยๆ จนเหมือนกับเขื่อนที่กักกั้นไว้ไม่อยู่ ท้ายสุดเมื่อทะลักออก ก็พลาดพลั้งลงมือทุกอย่างลงไปแล้ว..

 
         เคยคิดว่ากฏ คือสิ่งขว้างกั้น แต่การก้าวข้ามนั้นก็ทำได้แสนง่าย..

         แต่มันจะไปได้อย่างไรหากใจคนไม่คิดตรงกัน..

         อยากจะพาหนีพบชีวิตใหม่..แต่สิ่งที่ตอบกลับมาคือการผลักเขาเข้าสู่นรก เขาไม่มีวันลืมวันนั้น

         วันที่เขา..ถูกส่งไปตายที่ซาคาเดียร์..


            “ ทั้งซาคาเดียร์ และอนาคานควรพบกับการเปลี่ยนแปลง และข้าคิดว่าคิเมดาห์จะทำมันได้.. ” ราซิสลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แผ่นหลังกว้างหันให้ผู้เป็นน้องชาย หลบซ่อนใบหน้าที่ไม่ต้องการให้ใครเห็น ก่อนจะทิ้งท้ายไว้


            “ พักผ่อนซะ..และหวังว่าเจ้าจะไม่อยากรู้เรื่องข้าอีก ” เสียงประตูปิดลง ความโดดเดี่ยวกลับเข้ามาอยู่เป็นเพื่อนข้างกายอีกครั้ง ซาอิดนอนห่อตัวอยู่กับพื้น ทิ้งศรีษะลงกับพื้นเย็นๆ แม้ดวงตามองกำแพงห้องอยู่แบบนั้น แม้จะไม่นำตาไหลหยดลงมา ทว่าความเจ็บปวดบางอย่างที่รับรู้จากพี่ชายตัวเอง กลับทำให้หัวใจของเขารู้สึกไร้เรี่ยวแรงเสียเหลือเกิน..


ออฟไลน์ EtuDe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-0
 ค่ำคืนที่ 17 : เกล็ดทรายใต้ผืนน้ำ Part จบ

            “ แผลนายก็หายเร็วกว่าที่คิดไว้นะ ทำไมยังกลับร่างเดิมไม่ได้อีกเหรอ แล้วถ้าไม่รัดฉันไว้นายจะลอกคราบด้วยตัวเองไม่ได้หรือไง ”

     เสียงบ่นหน่ายๆดังขึ้นเป็นรอบที่ 3 ของวัน หลังจากที่พบบาซิกค์ในสภาพของงูหางกระดิ่งขนาดยักษ์ในโพรงลับใต้ดินของอนาคาน ก็เป็นเวลากว่าสองวันแล้ว ที่เจ้าตัวเอาแต่โอบรัดเขาไว้หลวมๆไม่ปล่อยให้กระดุกกระดิกไปไหน ทุกครั้งลงมาที่นี่

            เขาไม่เข้าใจธรรมชาติของงูเท่าไร ว่าเวลาลอกคราบต้องทำที่ไหนอย่างไร แต่การมาพันตัวเขาไว้แบบนี้แล้วลอกคราบไปด้วยมันทำให้รู้สึกแหยงๆ และพะอืดพะอมชอบกล ถึงเขาจะไม่ได้รู้สึกกลัวงูแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะรับได้ทุกกิริยาบถ

            บางทีเขาก็ไม่ใช่กิ่งไม้ที่ให้งูมาลอกคราบทิ้งเอาไว้นะ!

            เครือ..

            พอได้ยินเสียง สิ่งที่โอบรัดไว้รอบตัวเริ่มเคลื่อนไหว กล้ามเนื้อของอสรพิษก็บีบรัดแน่นขึ้น จนคนที่ทำหน้าที่เป็นกิ่งไม้จำแลงหน้าถอดสี

            อีกแล้วเหรอ!

            “ บาซิกค์ เดี๋ยวๆใจเย็น อย่ารัดฉะ! อึก! ”

            ไม่ทันขาดคำ อสรพิษก็โอบรัดแน่นขึ้น ลำตัวบดเบียดเข้ามาจนคนถูกบีบแทบหายใจไม่ออก โชคดีที่บาซิกค์เหมือนจะเบาแรงให้เขาบ้าง ร่างกายของเขาจึงไม่ถูกห่อจนกลายเป็นถุงขนม ถึงจะไม่ได้รู้สึกเจ็บอย่างทีคิด แต่กลับเหมือนกำลังถูกกอดด้วยอ้อมแขนแน่นๆเสียมากกว่า แต่พอหลังจากภารกิจนี้เสร็จสิ้น เขาก็กล้าตอบได้เต็มปากเต็มคำเลยว่ามันน่า..

 
            ฟืบ!

            หยะแหยงมาก!

            มิกิกลอกตาขึ้น อย่างจนใจ เพราะไม่ทันขาดคำ ซากคราบงูขนาดใหญ่ก็ทิ้งไว้ตามตัว ในสภาพที่คล้ายกับผ้าเปียกๆเหนียวห่อพันเอาไว้ พร้อมกับน้ำใสเหนอะๆ

            ทีแรกเขาเขาคิดว่าเวลางูลอกคราบ ผิวที่ทิ้งไว้จะแห้งๆ เหมือนที่เคยดูในสารคดีสัตว์โลก แค่ความจริงคือ ถึงเปลือกหนังด้านนอกจะแห้ง แต่ข้างในกลับมีน้ำลื่นๆเพื่อใช้ในการลอกคราบอยู่ เลยให้เขาความรู้สึกพะอืดพะอมแปลกๆ และนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาโดนทำแบบนี้!

            ตั้งแต่พบบาซิกค์ เขาก็ลงมาอยู่ที่นี่แทบทั้งวัน โดยหอบเอาข้าวของเครื่องใช้ที่คิดว่าน่าจะเป็นกระโยชน์เข้ามาด้วย และไม่ลืมที่จะนำคบเพลิงเข้ามาเพื่อให้ความสว่างและมองเห็นทุกอย่างได้ชัดเจนขึ้น

            บาซิกค์เป็นเป็นงูหางกระดิ่งขนาดใหญ่โตโอฬาร แต่สีสันกลับแปลกตาไม่เหมือนกับงูหางกระดิ่งทั่วไปที่เป็นสีทราย เกล็ดของบาซิกค์พาดลายสีดำน่าเกรงขาม ปลายหางเรียวยาวเป็นปล้องใหญ่โปร่งแสงเป็นสีเหลืองอ่อน ส่วนศรีษะเดิมที่เป็นแผลพากบาก บัดนี้กลับจางลงจนเห็นเหมือนเป็นร่างโครงสีทองคล้ายกับมงกฏกลางหน้าผาก ดวงตาของอสรพิษเดิมที่เคยฝ่าฟางก็กลับเป็นสีอำพันเช่นเดิม และแผลต่างๆตามลำตัวก็ดีขึ้นเยอะจนแทบมองไม่เห็นแล้ว แต่ก็อดห่วงไม่ได้อยู่ดีว่าทำไมบาซิกค์ถึงยังกลับร่างมนุษย์ไม่ได้

            “ เฮ้อ เมื่อไรจะกลับร่างมนุษย์แล้วเลิกลอกคราบบนตัวฉันสักที ” มิกิถอนหายใจพลางโยนคราบงูแผ่นใหญ่ที่ลอกบนตัวทิ้งไป แต่ไม่ทันได้ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงเหยียดแข้งขา น้ำหนักตัวสิ่งมีชีวิตก็เลื้อยเข้ามาพันรอบตัวอีกครั้งจนเขาทรุดตัวลงนั่งขัดสมาธิอยู่ที่พื้น มิกิทำท่าจะต่อว่า แต่พออสรพิษเอาหัวมานอนลงบนตักแล้วหลับตาลง ก็ต้องกลืนคำพูดหายไปในพริบตา

            นี่มันงูหรือแมวกันนะ

            “  ใจคอนายจะไม่ให้ฉันลุกไปไหนเลยหรือไง ฉันก็เมื่อยเป็นนะ ” ถึงจะพูดไปแบบนั้น แต่มือกลับลูกบนศีรษะของอสรพิษไปอย่างเอ็นดู บาซิกค์นอนนิ่งปล่อยให้มิกิลูบไปอยู่แบบนั้น

            “ เพิ่งรู้ว่า งูก็อ้อนเป็นด้วย ” ใบหน้าอมยิ้มที่มุมปาก รู้สึกสุขใจจนแทบไม่เข้าใจตัวเอง ไม่อยากจะเชื่อเลยสักนิดว่าสิ่งมีชีวิตที่เขากลัวมากที่สุด กลับทำให้เขารู้สึกอบอุ่นหัวใจมากที่สุดเช่นกัน แม้อดีตจะโหดร้ายทารุณ และไม่รู้ว่าน้ำตาที่เสียออกไปจะคุ้มค่ากับการเริ่มต้นชีวิตใหม่นี้หรือไม่ คำตอบนั้นเขาไม่สนใจอีกแล้ว เพราะทุกนาทีต่อจากนี้ คือสิ่งที่มีค่ามากที่สุด เขาไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้คืออะไร แต่ไม่อยากจะให้คนคนนี้ต้องเจ็บอีกแล้ว หากต้นเหตุทั้งหมดมาจากตัวเขา เขาก็ยินดีจะรับผิดชอบทุกอย่าง แม้ว่าจะต้องจากไปก็ตาม

            “ ขอโทษนะ บาซิกค์ทำให้วุ่นวาย ” กล่าวแผ่วเบาราวกระซิบ อสรพิษลืมตาขึ้นแล้วยกคอขึ้นมามองตาของเด็กหนุ่ม ดวงตาสีเขียวอ่อนกระพริบสองสามที ก่อนราชานาคินจะเลื้อยหนีออกไปจากตัวเขาคล้ายกับไม่พอใจบางอย่าง

 
            โกรธเหรอ?


            มิกิยืนขึ้นเต็มความสูง มองดูอสรพิษเลื้อยไปแอบขดตัวอยู่หลังโขดหินขนาดใหญ่ ทีแรกเขาคิดจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็กลับเปลี่ยนใจ แล้วเดินไปบริเวณแอ่งน้ำภายในโพรงถ้ำ

            แอ่งน้ำนี้ คาดว่าน่าจะเป็นตาน้ำขนาดใหญ่ที่อยู่ใต้พื้นดิน ทว่าว่ากลับมีความใสจนน่าแปลกใจ แต่ถึงจะส่องคบเพลิงเข้าไปใกล้ ก็ไม่สามารถมองเห็นหรือวัดระดับความลึกได้ บริเวณด้านบนเหนือตาน้ำมีหินย้อยงอกลงมาจากผนังเป็นรูปกรวยน้ำ ทว่ากลับมีหยาดทรายเม็ดละเอียดไหลลงมาเรื่อยๆราวกับน้ำตกทราย ซึ่งนับได้ว่าเป็นภาพสวยงามของธรรมชาติที่น้องคนนักที่มีโอกาสจะได้เห็น

            มิกินั่งจุ่มขาลงไปในน้ำ ก่อนความเย็นของน้ำทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายลง เขาเงยศรีษะขึ้นมองดูหยาดทรายที่ร่วงตกลงมาจากหินราวกับสายพิรุณ

            นานเท่าไรแล้วนะ ที่เขามาอยู่ที่อนาคาน..

            เขาเผลอคิดทบทวนเรื่องเก่าขึ้นในหัว ภาพความทรงจำต่างกลับมาทั้งดีและไม่ดี เขาไม่เคยเชื่อเรื่องโชคชะตาเลยแม้แต่น้อย แต่เชื่อในเรื่องของวิทยาศาสตร์มาตลอด แต่ตอนนี้เขากลับไม่แน่ใจตัวเองแล้วว่า หากเขาได้เป็นคู่ครองของราชาบาซิกค์จริง ชีวิตของเขาจะเป็นอย่างไรต่อไป

            มันจะกลับมาเหมือนเดิมไหมนะ

            หรือความจริงแล้วเขาควรจะปฏิเสธ แล้วปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปตามวิถีของมัน ถ้าทำเช่นนั้น ก็จะลดปัญหาความขัดแย้งระหว่างอนาคานกับซาคาเดียร์ได้

            แต่บาซิกค์อาจต้องตาย

            ทำไมกันทำไมถึงได้รู้สึกว่าเขาปล่อยให้เป็นเช่นนี้ไม่ได้

            ทั้งๆที่คนคนนั้น ทรมานเขาแทบขาดใจ

            เขาทำถูกหรือเปล่านะ?

            “ บางที..ฉันอาจไม่ควรกลับมาที่นี่ ” มิกิเอ่ยขึ้นกับตัวเองเบาๆ แต่ด้วยความเงียบของโพรงถ้ำทำให้ดังก้องพอจะไปกระทบหูใครบางคน

            “ อย่างที่บาฮาลเคยบอกไว้ฉันจะทำอนาคานร้อนเป็นไฟ ถ้าฉันไม่มีคงดีเสียกว่า  ”  ดวงตาคู่สวยมองเกล็ดสายที่ไหลลงมา ริมฝีปากบางเม้มลงราวกับกำลังสะกดกั้นความเสียใจ

            “  แต่ก็น่าแปลกนะทั้งๆที่ ฉันควรจะกลับประเทศตั้งแต่ครั้งนั้น แต่สุดท้ายก็กลับมาที่นี่” น้ำเสียงอ่อนลงแต่กลับเจือไปด้วยความเศร้าสร้อย นัยน์ตาสีเขียวงดงามหันมามองภาพของตัวเองที่สะท้อนบนผืนน้ำที่กระเพื่อมไหวน้อยเพราะเกล็ดทรายที่ร่วงหล่น แต่กระนั้นก็พาให้นึกถึงสิ่งที่ตัวเองกำลังทำ ถึงภายนอกเขาเหมือนไม้แข็งๆที่กล้าเผชิญทุกสิ่ง ทว่าภายในนั้นกลับอ่อนปวกเปียกไม่มีความแข็งแรงเลยสักนิด

 
            “ ฉันเคยบอกนายในนายมีความกล้าหาญที่จะเปลี่ยนแปลง แต่พอเอาเข้าจริงๆตัวฉันนั้นล่ะที่ขี้ขลาดที่สุด ”ตัวเขาตั้งแต่เล็กจนโต ไม่เคยเขาใจถึงความรัก หรือความห่วงใยที่แท้จริง ครอบครัวคือคำที่อบอุ่น แต่หากจะมีประโยชน์หากสิ่งเหล่านั้นเติมเต็มเขาไม่ได้ แต่พอได้พบกับที่สามารถมาประสานรอยร้าวในหัวใจได้ เขากลับรักษาไว้ไม่ได้เลยสักคน และตอนนี้เขาก็ไม่แน่ใจตัวเองด้วยเช่นกัน หากถลำลึกกับความรู้สึกนี้กับบาซิกค์แล้ว หากต้องจากไปเขาจะต้องยอมรับมันให้ได้ เพื่อให้คนคนนี้มีชีวิตอยู่ต่อไป แม้ในใจจะเจ็บปวดก็ตาม

 
            “ ฉันขอโทษนะ บาซิกค์ จบเรื่องนี้เมื่อไร ฉันจะรีบไปจากที่นี่ แต่ฉันสัญญานะ ว่าฉันจะ..  ” ร่างเล็กเงียบไปมอง ผืนน้ำไหวกระเพื่อมเป็นระลอกคลื่น ริมฝีปากเอ่ยถ้อยคำในใจ “ จดจำทุกอย่าง ของนาย ”

           ดวงตาคู่สวยเงยขึ้นมองเบื้องบน รอยยิ้มที่ไม่รู้ว่าเสียใจหรืออุ่นใจประดับอยู่บนใบหน้าของเด็กหนุ่ม ทุกสิ่งทุกอย่างเงียบไปหมด จนได้ยินแค่เสียงเม็ดทรายที่ไหลลงสู่ผืนน้ำ

            ข้างในนี้คล้ายเจ็บปวด..แต่ขณะเดียวกันกับพอใจกับคำตอบที่ควรจะเป็น
 
            “ บาซิกค์ ฉันว่ามันควร.. ”

            ตูม!

            ไม่ทันได้พูดจนจบ พอหันไป เงาดำยักษ์ใหญ่ก็ดันเขาตกลงไปในผืนน้ำเย็นเฉียบโดนไม่ทันตั้งตัว กายบางตกใจพยายามตะเกียดตะกายขึ้นผิวน้ำ แต่ไม่ทันไรสิ่งที่ลอยทำร้ายก็กระโจนตามลงมา นัยน์ตาสีสวยขยายขึ้นเล็กน้อย เงาดำของสิ่งมีชีวิตอยู่ใกล้แค่เอื้อม ใบหน้าของอสรพิษชัดขึ้น ขณะที่ฟองอากาศที่ขาวลอยขึ้นผ่านรอบตัว ปลายหางอสรพิษโอบรัดเอวของเขาเอาไว้ รู้สึกเหมือนจะคล้ายอากาศหายใจ แต่ทว่ากลับโดนความงดงามของบางสิ่งสะกดจนลืมเลือน ชั่วครู่แสงสีทองสว่างวูบพลางให้เห็นผนังถ้ำใต้ที่เต็มไปด้วยพลอยที่ฝังอยู่ด้านใน ส่องสว่างเป็นประกาย รวมกับเกล็ดทรายที่โปรยปรายลงมาจากผิวน้ำเป็นละอองสีอำพัน มองดูแล้วราวกับภาพวิมานใต้ผืนน้ำจนมิอาจกระพริบตา ทว่า..ทั้งหมดอาจไม่งดงามเท่ารูปกายที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า

            เส้นผมสีดำสยายใต้ผืนน้ำ

            ดวงหน้างดงามดั่งทวยเทพจุติ ใกล้ขึ้น..

            ริมฝีปากอ่อนนุ่มคุ้นเคย แต่หาก โหยหา..

            จุมพิตใต้ผืนน้ำท่ามกลางสายพิรุธสีทองทาบทับลงมา มือทั้งสองโอบกอดแผ่นหลังซึ่งกันและกันอย่างคนึงหา ดวงตาของเด็กหนุ่มหลับลง ตอบรับด้วยรสจูบอย่างอ่อนหวาน ขอบตาทั้งสองร้อนผ่าวเหลือเกิน ใต้ผืนน้ำนี้คงปลดปล่อยตวเองได้อย่างไม่ต้องอับอายใคร อยากจะอยู่แบบนี้ตราบนาน

            รู้สึกตัวอีกทีก็ขึ้นสู่ผิวน้ำ แต่จูบโหยหาก็ยังมิได้แยกจาก เรียวลิ้นที่เกี้ยวพันกัน ไม่รู้ต้องดูดกลืนเท่าไรกว่าจะเอิ่บอิ่ม มือที่กอดแผ่นหลังเปลี่ยมยึดเกาะที่หนาทั้งสองข้าง เสียงอารมณ์ที่ได้เติมเต็มหลุดออกมาอย่างอ่อนหวาน หัวใจเต้นแรงขึ้นเหมือนจะทะลุออกมา ก่อนที่ขีดจำกัดจะทำให้กลีบปากทั้งสองถ้อยห่างกัน

            “ คืนร่างได้แล้ว ทำไมไม่.. ”

            “ ฉันไม่ให้นายไปไหนทั้งนั้น ” พอได้ยินน้ำเสียงของคนที่พูดสวน หัวใจก็เต้นระส่ำอย่างไม่เคยเป็น ความรู้สึกสับสนบางอย่างเกิดขึ้นทำให้ไม่กล้ามองใบหน้าหล่อเหลานั้นตรงๆ

            “ มองฉัน..มิกิ ” มือทรงอำนาจเชยคางของคนที่หลบหนีให้หันมาสบ เขาเห็นดวงตาสีอ่อนเป็นประกายสั่นไหว ก่อนถ้อยคำที่ไม่คาดคิดจะทำให้หัวใจพองโตมากขึ้นจนร้อนวาบไปทั่วตัว

            “ เจ้าต้องอยู่เคียงข้างข้า หากเจ้าหนีข้าจะออกตามหา หากเจ้าตายข้าจะตายตามเจ้า ข้าเลือกแล้ว และเจ้าคือ พระชายาของข้าเพียงผู้เดียว และเจ้าไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ ” น้ำเสียงดุดันแข็งกร้าวจริงจัง ดวงตาคมกริบจับจ้องใบหน้าของคนในอ้อมกอด มิกิลอบยิ้มที่มุมปาก หากนี้เป็นประโยคขอความรัก คงเป็นประโยคเผด็จการที่สุดเท่าที่เขาเคยได้ยิน

 
            อ่า..เขาควรดีใจหรือเปล่านะ ที่คนที่มาขอความรักเป็นถึงราชา(งู)

            “ ขู่กันแบบนี้ใครมันจะไปกล้าปฏิเสธ  ” มิกิยิ้มออกมา ก่อนจะแกล้งล้อเลียนประโยคย้อนยุคของคนตรงหน้าบ้าง

            “ ข้าขอน้อมรับบัญชาของพระองค์ ด้วยความเต็มใจ พ่ะย่ะค่ะ” เขาแกล้งทำเสียงเข้มขึ้นเพื่อให้ดูน่าเกรงขาม ขณะที่บางซิกค์ก็กลับหลุดยิ้มออกมาน้อยๆเช่นกัน

            “ เจ้ากล้าล้อเลียนข้าเหรอ ”

            “ เปล่าพ่ะย่ะค่ะ หม่อมฉันต้อยต่ำนัก ไหนเลยจะริอาจกล้าล้อเลียนพระองค์..แค่หม่อมอยากจะบอกพระองค์ว่าถ้าปล่อยหม่อมฉันไว้นานกว่านี้ ” มิกิเว้นจังหวะไปพลางจ้องเข้าไปในดวงตาสีอำพัน

            “ ฉันได้แข็งตายแน่!  ” รูปประโญคเดิมกลับคืน มือทั้งสองปัดอ้อมกอดของราชานาคินออกอย่างว่องไว ก่อนจะจ้ำเท้าพรวดๆ เดินไปยกคบเพลิงที่ตั้งเอาไว้ ก่อนจะยิ้มหวาน

            “ แล้วไปเจอกันข้างบน ตกลงตามนี้ ”

            “  เดี๋ยว! ” กำลังจะหันหลังเดินไป แต่จู่เขาก็ถูกคว้าตัวไว้จากทางด้านหลัง วงแขนอันแกร่งโอบกอดเขาเอาไว้อีกครั้ง บาซิกค์ซบใบหน้าลงตัวเองลงกับแผ่น เอ่ยเสียงแผ่วเบา


            “  ขออยู่แบบนี้อีกสักพัก ” พอได้ยินคำออดอ้อน เขาก็ถอนหายใจออกมา

              สรุปเป็นแมวสินะ.. ถึงจะคิดแบบนั้นแต่รู้ตัวอีกก็กอดตอบอ้อมแขนนั้นไปแล้ว

     

            สองชั่วโมงผ่านไป
            หลังจากที่เขาถึงมาจากทางลับใต้ดิน และจัดการกิจส่วนตัวจนเสร็จ เขาคิดจะเดินไปที่สวนในเรือนเพาะชำ เพื่อสูดอากาศสบายๆ ทว่า..บรรยากาศภายในราชวังกลับดูเปลี่ยนไปหนักกว่าเก่า เหล่าบรรดาผู้อาวุโสต่างเดินขวักไขว่กันให้วุ่น ขณะที่สีหน้าของพวกเขาก็ตึงเครียดขึ้นกว่าเดิมราวกับมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น

 
            มิกิไม่รู้ว่าเกิดขึ้นบ้าง ในช่วงสองวันมานี้เขาเอาแต่ลงไปด้านล่างเพื่อดูแลบาซิกค์อยู่ด้านล่าง แม้จะมีคำถามอยู่ในใจมากมายว่าทำไมเหล่าข้าราชบริวารถึงไม่ยอมลงมาปรณนิบัติองค์เทพของตน แต่ถ้าให้เขาเดา บาซิกค์คงไม่อยากให้ใครมาในสภาพย่ำแย่ สุดท้ายคำถามนั้นก็ลืมหายไป

            เด็กหนุ่มเดินมาที่เรือนเพาะชำฝั่งทางเดินตะวันตกของวัง ด้วยชุดโธปสีเหลืองอ่อนยาวคร่อมเท้า แต่ระหว่างที่เขากำลังผลักประตูเทพธิดาเข้าไปด้านใน ผู้อาวุโสคนที่ทำพิธีสรงน้ำนิมิตให้เขา ก็เดินเข้ามาหาด้วยสีหน้าลำบากใจ

            “ ท่านมิกิ ” เสียงเรียกเต็มไปด้วยความกังวล ใบหน้าของเด็กหันมาสบ ในมือของชายสูงวัยถือจดหมายฉบับหนึ่งที่มีรูปตราอสรพิษแผ่แม่เบี้ยไว้แน่น คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเป็นปม เหตุใดผู้อาวุโสแห่งอนาคานถึงนำจดหมายนี่มาให้เขา เพราะตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาหลังจากเหตุการณ์ระเบิด ก็ไม่มีใครผู้คุยกับเขาสักคนเดียว จนกระทั่งตอนนี้ ทว่า..ความกดดันบางอย่างบอกให้เขาควรอ่านมัน

            “  จดหมายนี่.. ”

            “ มีแต่พระชายาเท่านั้น ที่อาจแก้ไขได้ พิสูจน์ฐานะของท่านให้พวกข้าเห็น” คำตอบเพียงสั้นๆ แต่หากมาพร้อมความคาดหวังที่ลอยมาอย่างกดดัน มิกิขมวดคิ้วแน่นอีกครั้ง ริมผีปากมเม้มปิดลง

            เขาเข้าใจดีว่าผู้อาวุโสตรงหน้าหมายความว่าอย่างไร ความจริงแล้วแม้ตำแหน่งพระชายาจะเป็ยตำแหน่งที่สูงถัดลงมาจากกษัตริย์ แต่มันจะมีประโยชน์อะไรหาก ข้าราชบริวารไม่ยอมรับตัวเขา เขาตัดสินใจแล้ว..ไม่ว่ายังไงหากเขาต้องการให้อนาคานเกิดการเปลี่ยน เขาก็ต้องแสดงให้ทุกคนเห็น เพื่อที่จะสามารถยืนเคียงคู่ราชาได้อย่างสง่างาม ทว่า..ขณะที่กำลังเปิดซอง เสียงฝีเท้ากับเงาสูงใหญ่ของใครบางคน ก็ดึงความสนใจไปทันที

            “  ฝะ..ฝ่าบาท! ” ลมทะเลทรายพัดเส้นผมสีดำปลิวสยาย ร่างสูงศักดิ์ยืนองอาจอยู่ในอาภรณ์แห่งกษัตริย์ ใบหน้างดงามดูรูปปั้นสลักเรียบนิ่งแต่หากช่างเสริมให้ดูเปล่งปลั่งดั่งองค์สมมุติเทพ ดวงตาคมกริบสีอำพันหรี่ลง มองจดหมายในมือของว่าที่พระชายาราวกับรู้เนื้อความที่อยู่ด้านใน ก่อนริมฝีปากหยักโค้งเอ่ยคำสั่ง

            “ เตรียมขบวนให้พร้อม.. ” ลมหายใจผ่อนลง เสียงจากปลายหางของอสรพิษทะเลทรายสั่นระรัวเป็นคลื่นถี่กึกก้อง ดวงตาคมกริบเงยขึ้นมองใบหน้าของพระชายาแห่งอนาคาน

            “เราจะไป ซาคาเดียร์กัน”

 

ออฟไลน์ EtuDe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-0
         
ค่ำคืนที่ 18 : พระชายาอนาคาน Part 1

            ไอร้อนพัดโชยมาตามสายลม แสงแดดทะเลทรายร้อนผ่าวปานจะแผดเผา แต่มิอาจสร้างความหวั่นเกรงให้กับขบวนอันยิ่งใหญ่ราวกองทัพ

            ถึงวิทยาการจะก้าวล้ำมากแค่ไหน แต่การเดินทางในทะเลทรายก็คงหนีไม่พ้นสัตว์พาหนะจำพวกม้าหรืออูฐอยู่ดี มิกิแอบบ่นอุบอิบในใจ อย่างน้อยราชาแห่งอนาคานก็น่าจะร่ำรวย การซื้อเฮลิคอปเตอร์สักลำเพื่อการเดินทางคงไม่ทำให้ขนหน้าแข้งร่วง ซึ่งดีกว่ามานั่งขี่อูฐเป็นชั่วโมงๆ และเดินทางเป็นวันๆ กว่าจะถึงที่หมาย และแม้จะเป็นเพราะคำว่าคนของราชาคุ้มศีรษะอยู่ เลยทำให้เขาได้สิทธิพิเศษได้นั่งอยู่ในรถม้าด้านใน โดยไม่ต้องทนให้แดดทะเลทรายเผาเล่น แต่พอเจอบรรยากาศเงียบเชียบที่คนนั่งข้างกายสร้างขึ้น ก็พลันทำให้ในรถม้าราวกับถูกแช่เย็นจนเป็นน้ำแข็ง

            ตั้งแต่ออกจากอนาคาน บาซิกค์ก็ไม่ยอมปริปากพูดอะไรเลยสักคำ แถมสีหน้ายังตึงเครียดมากกว่าปกติ แม้เขาจะพยายามถามให้ตายว่าเกิดอะไรขึ้น ทว่าก็ไร้ซึ่งคำตอบ ข้อความที่ซ่อนเอาไว้อยู่ในจดหมายที่เขาไม่ทันได้เปิดอ่านมันทำให้เขาสงสัย ขณะเดียวกัน สิ่งที่ผู้อาวุโสบอกเขาว่าต้องการให้พิสูจน์นั้นหมายถึงเรื่องอันใด เขาก็ยังไม่เข้าใจ ตอนนี้..เขารู้แต่เพียงว่า บาซิกค์กำลังพาเขาไปที่..ซาคาเดียร์

            ไม่นานนักมิกิก็สัมผัสถึงการเคลื่อนที่ที่หยุดลง บาซิกค์ยังคงนั่งนิ่งอยู่กับที่ราวกับไม่สนใจอะไร แต่สุดท้ายเด็กหนุ่มก็ทนกับความอยากรู้ไม่ไหว หน้าต่างภายในรถม้าเลื่อนออก ใบหน้าหวานชะโงกออกไปดู สถานที่ที่อยู่ด้านนอก ทันใดนั้นม่านตาสีสวยก็ขยายกว้าง

            “ถึงแล้วสินะ..ซาคาเดียร์” ดวงตาสีอำพันคมกริบหรี่ลง ใบหน้างดงามของราชาสงบนิ่งแต่หากแฝงไว้ด้วยความเยือกเย็น

 

            ตึง..

            ตึง..

            เสียงกลองลั่นประดุจปลุกระดมกองทัพ ดังเข้ามาถึงพระราชวังแห่งซาคาเดียร์ ราชีนีคิเมดาห์ที่กำลังประทับอยู่บนบัลลังก์อสรพิษทองคำแสยะยิ้มที่มุมปากสวย คิดไม่ถึงว่าบุคคลที่เธอรอคอยจะมาเร็วกว่าที่คิดไว้ แต่เธอก็ไม่แปลกใจเท่าไรนัก เพราะของเล่นกิ๊กก๊อกอย่างระเบิดคงทำอะไรเทพนาคินมิได้มากมาย แต่อย่างไรวันนี้จะเป็นวันตัดสินชะตากรรมทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเทพนาคิน พระชายา หรือแม้แต่อนาคาน  เพราะตอนนี้พวกเขาก็เหมือน..

            ลูกไก่ในกำมือ

             “เจ้าไปจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย ข้าจะคุยกับองค์เทพที่ลานพิธี...กลางแจ้ง”  องครักษ์ข้างกายในชุดคลุมดำน้อมรับ ก่อนวิ่งออกไปตามรับสั่ง รอยยิ้มชั่วร้ายผุดขึ้นบนดวงหน้าปานเทวี ร่างระหงลุกขึ้นยืนอย่างงามสง่า สะบัดชายอาภรณ์สีทอง เดินลงจากบัลลังก์

 

 
            พอเข้ามาในเมือง ก็สังเกตถึงความแต่งต่างระหว่างอนาคานกับซาคาเดียร์ได้อย่างแจ่มชัด ทั้งสิ่งปลูกสร้าง อาคาร ไปจนถึงผู้คนที่เต็มไปด้วยหญิงสาว มีสายตาหลายร้อยคู่จับจ้องมาที่รถนั่งของเขา ราวกับพวกเธอล่วงรู้ว่ามีบุคคลสำคัญนั่งอยู่ด้านใน

            มิกิรู้สึกแปลกๆ แต่ไม่รู้จะบรรยายออกมายังไง เพราะสายตาของผู้คนไม่ใช่การสรรเสริญบูชาอย่างที่ควรจะเป็น แต่เป็นมองเหมือนกำลังดูถูก เหยียดหยาม ถึงการแสดงออกจะมีเพียงแต่สายตา แค่ก็อดไม่ได้ที่จะอึดอัดแทนบาซิกค์อยู่ดี เพราะอะไรกันซาคาเดียร์ถึงต้องเกลียดชังอนาคานเช่นนั้นด้วยเล่า ถ้าเทียบแล้วอนาคานก็เป็นเหมือนพี่น้องไม่ใช่หรือไง

            “อย่าได้ห่วงไปมิกิ...” เสียงนั้นทำเอาคนที่กำลังคิดสะดุ้ง ไม่รู้เป็นเพราะแสดงสีหน้าแบบไหนออกไป บาซิกค์จึงหันมาสนใจเขา

            “ทำไมพวกเขาถึงมองแบบนั้น...” 

            “อีกไม่นานคงได้รู้ทุกอย่าง...” ไม่มีคำอธิบายเอ่ยออกมา คำตอบที่ไม่แน่ชัดยิ่งทำให้เขาไม่เข้าใจ ก่อนบาซิกค์จะหันมาสั่งเมื่อรถม้าหยุดลง

            “นายรออยู่ที่นี่...จนกว่าฉันจะเรียก” สิ้นเสียงประตูก็ถูกเปิดออกพร้อมกับร่างสูงศักดิ์ที่จากไป มิกิพูดอะไรไม่ออก อยากจะรั้งท่อนแขนนั้นเอาไว้แต่ก็ไม่ได้ทำดั่งใจ รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีจนหัวใจไม่สงบ ทว่าก็ไม่กล้าขัดคำสั่ง เขาได้แต่แอบมองแผ่นหลังกว้างผ่านบานหน้าต่างในรถ ขณะที่ท้องฟ้าที่เคยแจ่มใสกลับค่อยๆ มืดครึ้มลงเรื่อยๆ

 

            ลานพิธีกลางแจ้งเริ่มคลาคล่ำไปด้วยผู้คนรายล้อม เมื่อราชีนีคิเมดาห์กระจ่ายข่าวออกไปว่า วันนี้จะเป็นวันตัดสินโทษทัณฑ์ขององค์เทพต่อหน้าประชาชน ก็มีเสียงซุบซิบนินทาไปทั่ว พอร่างสูงศักดิ์พร้อมเหล่าราชบริวารปรากฏสู่สายตาผู้คน ตามคำเชิญของราชีนี รัศมีเย็นเยือกก็พาให้เหลือแต่เพียงความเงียบกริบ แต่หากความเงียบที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความตื่นกลัวอย่างที่คิด ชาวซาคาเดียร์ต่างเมินหน้าและหันหลังให้องค์เทพอย่างไม่คิดเคารพหวั่นเกรง การกระทำที่ดูหมิ่นเกียรติไม่ไว้ซึ่งศักดิ์แห่งราชาเพิ่งเคยจะเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในประวัติของชาวนาคิน สร้างความโกรธเกลียดให้ข้าราชบริวารยิ่งนัก  แต่อย่างไรราชาบาซิกค์ก็มิได้สนใจท่าทีเหล่านั้น พระหัตถ์ทรงอำนาจยกขึ้นปรามปฏิกิริยาต่อต้านของอนาคาน เมื่อเห็นกระนั้นพวกเขาจึงยอมสงบนิ่ง

            อย่างไรในเวลานี้อนาคานเป็นรองทุกสิ่ง.. หากให้คนของเขาก่อเรื่องขึ้นก็เท่ากับติดกับดักเพิ่มขึ้นอีกหนึ่ง แม้รู้อยู่แก่ใจว่าการมาที่ซาคาเดียร์นั้นอยู่ในหนึ่งแผนการของคิเมดาห์ ซึ่งเป็นเสมือนการบีบบังคับให้อนาคานยอมรับความผิดที่ก่อไว้อย่างไม่มีทางเลี่ยง 

            ตอนที่รักษาตัวอยู่ที่ถ้ำใต้ดิน ใช่ว่าเขาจะไม่รู้ข่าวเบื้องบน ว่าใครกระทำสิ่งใด การที่บาฮาลตัดสินใจเช่นนั้น เขาไม่คิดว่าเป็นเรื่องผิด เพราะหากเป็นเขาก็คงลงมือโต้ตอบเช่นเดียวกัน แต่ถึงอย่างไร ถ้าเลือกเส้นทางนี้แล้ว อนาคานกับซาคาเดียร์ ก็เหมือนเช่นน้ำกับน้ำมันที่ไม่มีวันรวมกันได้ หากจุดไฟแล้ว เขาก็อยากจะรู้นักว่าฝ่ายใดจะมอดไหม้

            “ยินดีต้อนรับราชาบาซิกค์ นึกไม่ถึงว่าพระองค์จะเสด็จมาตามคำเชิญของหม่อมฉัน” สุรเสียงใสกังวาลดังขึ้น จากบันไดของราชวังที่ลาดยาวลงมาสู่ลานพิธีกลางเมือง

            ร่างผอมเพรียวของหญิงสาวในสุดอาภรณ์เต็มยศของผู้ปกครองสูงสุดค่อยๆ ก้าวลงมาเบื้องล่าง พร้อมกับองครักษ์ข้างกาย รัศมีของความงดงามที่พ่วงมาพร้อมกับอำนาจทำให้ชาวเมืองต้องรีบก้มหัวอยู่แทบเท้า พลางส่งเสียงสรรเสริญกันอย่างยิ่งใหญ่ พอเจอการกระทำเช่นนี้ เหล่าบรรดาทหารและขุนนางก็เกิดอาการลังเลว่าควรเคารพตามหรือไม่ แต่พอเห็นร่างผู้เป็นเจ้าชีวิตยืนนิ่งเฉยก็เลือกที่จะไม่ปฏิตามกฏเกณฑ์

            ร่างงามพร้อมองครักษ์เดินมาถึงลานพิธี เธอประทับลงบนเก้าอี้นางพญาอสรพิษ ก่อนจะยกมือ เพื่อให้เสียงสรรเสริญเธอนั้นเงียบลง

             “เหตุใดคนของพระองค์ถึงไม่เคารพหม่อมฉันเพคะ” สุรเสียงเรียบเย็นถาม รอยยิ้มร้ายกาจยกขึ้นบนดวงหน้างดงามไร้ที่ติ นัยน์ตานางพญาจับจ้องไปที่ราชาแห่งอนาคานราวกับไม่ได้คาดหวังเอาตำตอบแต่ต้องการตอกย้ำว่าเธอเหนือกว่า

            “บาฮาลอยู่ที่ใด” ราชาบาซิกค์กล่าวนิ่ง เส้นผมสีดำพัดพริ้ว นัยน์ตาที่แสดงช่างเย็นเยือกจนน่าตื่นกลัว คิเมดาห์เปรยยิ้มบาง ก่อนกวักมือเรียกราชบริพารให้นำบางสิ่งมาถวาย

            “ยังทรงพระทัยร้อนไม่เปลี่ยน เสด็จมาเหนื่อยๆ ทั้งที ทรงดื่มน้ำสักหน่อยแล้วค่อยมาเจรจากันก็ยังมิสาย”

            “ข้าไม่ดื่มน้ำจากซาคาเดียร์” ถ้วยน้ำที่นำมาถวายถูกปัดทิ้ง กล่าวด้วยเสียงเย็นชาไร้เยื่อใย คิเมดาห์แอบหัวเราะเบาๆ ในลำคอ  ก่อนจะเท้าคางมองคนตรงหน้าอย่างท้าทาย

            “สรุปพระองค์จะเป็นปริปักษ์กับหม่อมฉันจริงๆ ใช่ไหมเพคะ หากพิธีการเก็บเกี่ยวครั้งสุดท้ายไม่ถูกจัดขึ้น พระองค์ทรงทราบใช่ไหมว่าซาคาเดียร์จะทำอย่างไร ตอนนี้หม่อมฉันคิดว่าพระองค์ไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะกล้าปฏิเสธน้ำของหม่อมฉันด้วยซ้ำ เพราะอะไรรู้ไหม” เธอเว้นจังหวะ มองราชาแห่งนาคิน “เพราะอนาคานกำลังทรยศหม่อมฉันไงเพคะ” รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏขึ้นบนใบหน้า สิ่งที่ได้ยินทำเอาเหล่าข้าราชบริวารตกอยู่ในอาการกลืนไม่เข้าคลายไม่ออก เพราะไม่ว่าจะเลือกทางไหนก็ล้วนแต่ผิดทั้งนั้น หากซาคาเดียร์คือบันไดสวรรค์ องค์เทพของพวกเขาก็คือพระเจ้าเช่นกัน หากพระเจ้าเลือกที่จะทรยศสวรรค์ พวกเขาก็ต้องทรยศด้วย ถึงในใจจะไม่อยากผิดต่อสวรรค์ก็ตามที

            “ข้าไม่ได้มาเพื่อตอบคำถามเจ้า แต่ถ้าเจ้ายังไม่หยุดการกระทำอันสกปรกของเจ้าล่ะก็นี่คือคำตอบของข้า” สิ้นเสียงที่แข็งกร้าวขึ้นพระหัตถ์ทรงอำนาจเผยออกไปด้านข้าง ดวงเนตรคมกริบผันแปรเป็นดวงตารียาวของสัตว์ร้าย งูหางกระดิ่งจำนวนนับสิบปรากฏลายล้อมร่างสูงศักดิ์ เสียงคลื่นถี่ระรัวจากการสั่นปลายหางของอสรพิษทะเลทรายดังก้องจนแสบหู 

            ราชีนีคิเมดาห์ขมวดคิ้วลงต่ำ ที่ปลายเท้าสัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่กอดรัด พอปรายสายตาลงมองก็พบเป็นอสรพิษเกล็ดสีเหลืองทรายกำลังหดหัวเตรียมจู่โจม ดวงตานางพญาค่อยๆ เงยขึ้นมองผู้บงการ สีหน้าที่ผันเปลี่ยนไปอย่างไม่คาดคิดขององค์ราชาทำให้เธอสนุกยิ่งนัก นึกไม่ถึงว่าบาซิกค์จะหวงของเล่นได้ขนาดนี้

 
            เจ้าเป็นใครกัน คิโนมุระ มิกิ

 

ออฟไลน์ EtuDe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-0
ค่ำคืนที่ 18 : พระชายาแห่งอนาคาน Part 2

 
            ภายในรถม้าของราชาแห่งอนาคาน มิกิได้แต่นั่งกระสับกระส่ายด้วยหัวใจที่ร้อนรนยิ่งนัก อยากจะแอบดูเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้น แต่แผ่นหลังของนายทหารที่เฝ้าอยู่ด้านหน้าก็บังหน้าต่างรถไว้จนมิด ครั้นจะเปิดประตูออกไปก็ถูกล็อกเอาไว้จากด้านนอก จึงได้แต่ถอนหายใจฟึดฟัดอยู่ในรถ รู้สึกไม่เข้าใจเลยสักนิด ในเมื่ออีกไม่นานเขาก็จะเป็นพระชายาแห่งอนาคานแล้ว เหตุใดถึงต้องปกปิดปัญหาบ้านเมืองไม่ให้เขารู้ด้วย ถึงบาซิกค์จะเคยแก้ไขเรื่องต่างๆ ด้วยตัวคนเดียว แต่สองหัวก็ย่อมดีกว่าหัวเดียวไม่ใช่หรือไง

           บ้าเอ๊ย!

           เขาสบถในใจอย่างหงุดหงิด มือเรียวพยายามเปิดประตูรถอีกครั้งแต่ก็ไม่เป็นผล แต่ขณะที่กำลังนั่งจมลงที่เบาะอย่างหมดความหวัง จู่ๆ ประตูรถก็ถูกกระชากออกอย่างแรง ไม่ทันได้รู้ว่าเป็นใคร เขาก็ถูกลากตัวออกมาด้านนอกในทันที


           “โอ๊ย!” เขาถูกจับตัวกดลงกับพื้น ข้อมือทั้งสองข้างถูกมัดไว้ไพล่หลัง เห็นทหารที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูนอนตายโดยมีมีดคมกริบปักอยู่ที่กลางอก เลือดไหลซึมออกมาจากบาดแผลราวกับจะทะลักออกมา  ภาพความตายอันน่าสยดสยองทำให้รู้สึกอย่างจะอาเจียน แต่ไม่ทันไรก็ถูกจับตัวให้ลุกขึ้น

 
           มิกิพยายามออกแรงดิ้น แต่จังหวะที่พลิกตัวกลับมาหาผู้ลอบทำร้าย ก็พบใบหน้าที่ไม่คาดคิด

 
           “แก!”

           “ยังมีชีวิตอยู่จริงๆ ด้วยสินะ ได้เวลากลับบ้านแล้ว”

           ใบหน้าคุ้นตา นั้นทำเอาเขาอ้าปากค้าง ภาพความทรงจำที่เคยลืมหวนกลับมา เขาจำได้ชายคนนี้เป็นหนึ่งในทีมวิจัยของค็อตเลอร์ แต่ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้!

           ฟ่อ!

           เสียงขู่อสรพิษดังขึ้น จนคนที่จับตัวต้องรีบหันกลับไปมอง ที่เท้าของเขาปรากฏร่างของงูหางกระดิ่งขดตัวอยู่ที่พื้น ปลายหางของมันยกขึ้นสั่นระรัวราวกับต้องการข่มขู่ศัตรู ใบหน้าของผู้ลอบทำร้ายซีดลง เหงื่อไคลซึมละกรอบหน้า มิกิอาศัยจังหวะที่อสรพิษเบนความสนใจ รีบใช้ไหล่กระแทก จนชายที่มุ่งร้ายเสียหลักล้มลงกับพื้น   ก่อนสัตว์ร้ายจะพุ่งเข้าจู่โจม ฝั่งคมเขี้ยวซ้ำที่ลำคอของคนที่ล้มลงต่อทันที

           ภาพความตายทำเอามิกิผงะเท้าถอยหลังจนล้ม หลังจากที่อสรพิษฝังคมเขี้ยวลงไปที่ชายผู้นั้น ใบหน้าของเขาก็ม่วงคล้ำ มีเลือดไหลออกมาจากดวงตาเหลือกขึ้นจนขาวโพลน ร่างกายชักงอเหมือนปลาที่แดดิ้นอยู่บนพื้น ฟองน้ำลายไหลออกมาจากปาก ก่อนวินาทีสุดท้ายจะสิ้นใจลงต่อหน้า

           มิกิกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ รู้สึกขาทั้งสองข้างสั่นจนไม่มีแรงลุกขึ้น ใช่ว่าภาพความตายเหล่านี้เขาจะไม่เคยเห็นที่อนาคาน แต่เขาก็ไม่ใช่คนเลือดเย็นที่ไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับความตายแบบนี้ มือเรียวยกขึ้นกุมแผ่นอกที่เต้นแรงราวกับจะทะลุออกมา พร้อมกับพยายามปรับลมหายใจให้สงบนิ่งมากที่สุด งูหางกระดิ่งเลื้อยมาหา เขา ดวงตาสัตว์ร้ายจ้องมองราวกับต้องการสื่อสารบางอย่าง และหากเขาจำไม่ผิดอสรพิษตัวนี้ เป็นตัวเดียวกับที่พาเขาไปพบบาซิกค์ ก่อนความรู้สึกบางอย่างจะบอกให้เขาพูดสิ่งนี้ออกไป

           “ขอบใจนะ” อสรพิษไม่โต้กลับ แต่ดูเหมือนจะรับรู้คำขอบคุณของร่างตรงหน้าได้ มันสั่นปลายหางครั้งหนึ่ง ก่อนจะเลื้อยออกไปด้านหน้าราวกับจะนำทางเขาอีกครั้ง

           มิกิขมวดคิ้วแน่น ตอนนี้เขามีแรงพอจะลุกขึ้นยืนได้แล้ว ดวงตาคู่สวยมองตามอสรพิษอย่างครุ่นคิดสัญชาตญาณบอกให้เขาเดินตามมันไปอีกครั้ง แต่ทันทีที่เดินผ่านศพชายที่คุ้นหน้า คำถามหนึ่งก็เกิดขึ้นมาในหัวฉับพลัน

           ชายผู้นี้เป็นหนึ่งทีมวิจัยของค็อตเลอร์ไม่ผิดแน่ แต่เหตุใดถึงมาอยู่ที่ซาคาเดียร์ได้ เขาไม่เข้าใจเลยสักนิด คำถามมากมายเกิดขึ้นในหัว แต่จะปลุกร่างที่ไร้วิญญาณขึ้นมาตอบก็เป็นไปไม่ได้ ตอนนี้เขาต้องพยายามคิดคำตอบนั้นออกมาเอง หากเกิดเหตุการเช่นนี้ขึ้นแสดงว่าค็อตเลอร์รู้แล้วว่าเขายังมีชีวิต แต่แล้วทำไมถึงได้รู้ว่าอยู่ที่นี่ ถ้าไม่มีคน..

           ‘มีแต่พระชายาเท่านั้น ที่อาจแก้ไขได้ พิสูจน์ฐานะของท่านให้พวกข้าเห็น’

 
           หรือว่า..ในจดหมายนั่น!

           นัยน์ตาคู่สวยเบิกโพลง หากเรื่องราวเป็นอย่างที่เขาคิดทั้งหมดจริง ก็หมายความว่า ค็อตเลอร์ร่วมมือกับซาคาเดียร์! และระเบิดนั่นก็เป็นเครื่องยืนยันได้เป็นอย่างดี เช่นนั้นการที่บาซิกค์มาที่นี่ก็หมายความว่าบาซิกค์กำลังตกอยู่ในอันตราย!

           “รีบพาฉันไปที!” เอ่ยด้วยความร้อนรน อสรพิษรับคำด้วยการรีบเลื้อยนำออกไปเวลานี้เขาไม่สนใจสิ่งใดอีกต่อไปแล้ว พอกันทีกับชีวิตที่สูญเสียไม่รู้จักจบสิ้น หากครั้งนี้จะมีคนที่ต้องจากไป ก็ขอใช้วิตของตัวเองเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อปกป้องคนที่เขารัก

 

           ลมทะเลทรายพัดโชยมาพร้อมกับกลิ่นชื้นของสายฝน ท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้มขึ้นทุกวินาที ราวกับต้องการตอกย้ำบรรยากาศกดดันตรงหน้าให้หนักยิ่งขึ้น ดวงตาราชาอสรพิษจ้องเขม็ง ปานจะกินเลือดกินเนื้อหญิงสูงศักดิ์ตรงหน้าให้ตายด้วยสายตา โชคดีที่ลางสังหรณ์ของเขาถูกต้องจึงได้ทิ้งงูทะเลทรายคอยเฝ้าเด็กหนุ่มเอาไว้ ภาพมโนที่เห็นในห้วงความคิดผ่านสายตาของอสรพิษทำให้ถึงกับใจหายไปชั่วขณะเมื่อมิกิถูกลอบทำร้าย ทว่า..เขามิอาจดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นจนจบได้ ทันทีที่เขาเผลอราชีนีคิเมดาห์ ก็โต้กลับในทันที

            “พระองค์ทรงเห็นอะไรงั้นหรือ” รอยยิ้มสวยยกขึ้นที่มุมปาก กล่าวข้อความราวกับล่วงรู้สิ่งที่เกิดขึ้น           “เจ้าต้องการสิ่งใด” ขค้นเสียงเยือกเย้นจนทำให้อากาศของทะเลทรายเย็นวาบ คิเมดาห์ลุกขึ้นยืนจากที่ประทับ งูหางกระดิ่งที่เคยอยู่ใต้ขาเธอบัดนี้ศูนย์สลายกลายเป็นผุยผงดวงอำนาจของนาง ดวงตานางพญามองอย่างเย้ยหยัน

            “ข้ามิได้ต้องการสิ่งใด นอกเสียจากการรักษากฏให้คงอยู่ไว้ แต่พระองค์ต่างหากต้องการสิ่งใดกันแน่ ถึงได้กล้าขู่ซาคาเดียร์เช่นนี้”

            สิ้นคำพูด เสียงขู่ ‘ฟ่อ’ ก็ดังจากทุกทิศทุกทาง งูเห่าจำนวนหลายสิบตัว ชูคอรายล้อมเหล่าบรรดาราชบริวารแห่งอนาคานเอาไว้ ราชาบาซิกค์เบิกพระเนตรกว้างทันที

            “เจ้าคิดจะทำอะไร!” แผดเสียงลั่นด้วยความกริ้ว แต่หากความโกรธกลับยิ่งทำให้ราชีนีอสรพิษยิ่งชอบใจ รอยยิ้มร้ายกาจยกขึ้น ในเมื่อเนื้อเข้าปากเสืออย่างเธอแล้วก็คงรอดได้ยาก

            “หม่อมฉันไม่เคยคิดทรยศอนาคาน แต่สิ่งที่พระองค์ทรงทำกำลังทำให้บ้านเมืองแตกแยก หากหม่อมฉันเสด็จสวรรคต คิดหรือว่าเรื่องนี้จะจบลงง่ายๆ” 

            “หากเจ้ากล้าแตะต้องคนของข้าแม้แต่ปลายเล็บ อนาคานกับซาคาเดียร์เป็นอันขาดกัน!” ดวงตาคมกริบเต็มไปด้วยความโกรธที่เริ่มกักเก็บไว้ไม่อยู่ คิเมดาห์สาวเท้าเดินเข้ามาหาราชาใกล้ขึ้นแต่ก็ห่างพอในระยะปลอดภัย ใบหน้างามเอียงมองราชาแห่งอนาคานตั้งแต่ปลายเท้าจรดศรีษะประหนึ่งกำลังพินิจสิ่งของไร้ค่า ก่อนเหยียดรอยยิ้มอย่างไม่ปิดบัง

            “แต่ะต้อง? แตะต้องใครล่ะเพคะ?  ราชบริวาร หรือทาสหนุ่มนั่น”

            “หากเจ้าสังหารพระชายา ข้าจะฆ่าเจ้า” บาซิกค์กล่าวอย่างเย็นชา คิเมดาห์กลับหัวเราะชอบใจ

            “ทำไมล่ะเพคะ ก็แค่ชีวิตชาวต่างชาติคนเดียว ไยพระองค์ถึงได้คิดสังหารหม่อมฉันได้ เขายังไม่ใช่พระชายาของพระองค์สักหน่อย และจะไม่มีวันได้เป็นด้วย” คิเมดาห์เอ่ยอย่างร้ายกาจ ความจริงที่พูดตอกย้ำจนเผลอกำมือจนสั่น ถึงเขาจะเลือกมิกิเป็นพระชายา แต่สถานะตอนนี้พวกเขาก็ยังมิได้สมรสกัน จึงไม่มีข้อผูกพันธ์ใดๆ เกี่ยวข้องกับอนาคานอย่างที่หญิงตรงหน้าบอก คิเมเดาห์เป็นราชีนีที่ฉลาด หากเขาคิดทำอะไรวู่วามที่ซาคาเดียร์ลงไป เขาก็อาจปกป้องใครไม่ได้อีกเลย

            ทุกอย่างเงียบไปสักพัก ดูเหมือนราชาบาซิกค์กำลังรู้แล้วว่าสถานะของตัวเองในเวลานี้เป็นเช่นไร แต่ทั้งหมดยังไม่สาสมกับที่เธอต้องการ

           เธอจะบีบอนาคานให้มากกว่านี้ บีบจนกว่าจะยอมร้องขอสยบอยู่แทบเท้า!

            “นำตัวองค์ชายบาฮาลออกมา” สิ้นเสียง ร่างกายที่เต็มไปด้วยบาดแผลขององค์ชายบาฮาลถูกองครักษ์แห่งซาคาเดียร์ลากออกมาจากด้านหลัง ก่อนจะเหวี่ยงร่างสูงศักดิ์ที่ถูกมัดไว้ให้ล้มลงกองกับพื้นกลางลานพิธี ท่ามกลางสายตานับร้อย

            บาซิกค์เบิกตากว้าง คิดไม่ถึงว่าน้องชายตนจะถูกทำร้ายจนไร้เรี่ยวแรง แต่ถึงความกริ้วโกรธจะทุขึ้นในใจแต่ก็ต่องระงับเอาไว้ อย่างไรบาฮาลได้กระทำผิดต่อซาคาเดียร์จริง แต่หลักฐานที่มัดแน่นนี้ ทำยังไงเล่าถึงจะแก้ปมเชือกได้

            “องค์ชายบาฮาลคิดสังหารหม่อมฉัน อนาคานจะรับผิดชอบอย่างไร” ดวงตานางพญาหันมามองอย่างคาดคั้นเอาคำตอบ ราชาบาซิกค์ยืนนิ่งพยายามครุ่นคิดอย่างหนัก ถึงจะพอเดาจุดประสงค์ของอีกฝ่ายออก แต่เขาก็ต้องการย้ำให้แน่ชัดว่า คิเมดาห์คิดไม่ซื่อกับอนาคานจริง

            “เจ้าต้องการสิ่งใด”  พอได้ยินคำถามร่างงามก็ยิ้มหวานตอบรับ

            “หม่อมฉันไม่ขอสิ่งใดมาก แค่พิธีเก็บเกี่ยวครั้งสุดท้าย จะต้องถูกจัดขึ้น และหม่อมฉัน จะทำเป็นลืมว่า...เคยเกิดอะไรขึ้นระหว่างซาคาเดียร์และอนาคาน” ข้อเสนอหยิบยื่นออกมาพร้อมรอยยิ้ม บาซิกค์คาดเดาไว้อยู่แล้วคิเมดาห์คงต้องการเช่นนี้ แต่ถึงอยากจะปฏิเสธอย่างไร เขาก็ไม่มีเหตุผลเพียงพอ อีกทั้งคนที่ต้องรับเคราะห์กรรมนี้คงเป็นน้องชายของเขาเอง แต่หากยอมรับ ก็เท่ากับอนาคานยอมคุกเข่าให้ซาคาเดียร์อีกครั้ง ซึ่งรวมไปถึงเรื่องในอนาคตที่คิเมดาห์ต้องการครอบครองอนาคานไว้นำกำมือ ผสานกับความจริงที่บีบคั้นกับฉากสายตานับร้อยคู่ของประชาชน ทั้งหมดเป็นแผนการของคิเมดาห์ที่ต้องการกดดันตัวเขาให้ยอมรับ แต่...

            “ยะ...อย่านะท่านพี่..” เสียงอ่อนแรงจากคนที่คิดว่าสิ้นการรับรู้ไปแล้วเอ่ยขึ้นดังจากเบื้องล่าง องค์ชายบาฮาลพยายามเหลือบมองพี่ชายของตนเองอย่างอ้อนวอน ว่าอย่าได้สนใจชีวิตของเขา ถึงอยากจะกลั้นใจพูดมากกว่านี้ ว่าเขายอมตายยังดีเสียกว่าตกเป็นเครื่องมือทำลายประเทศของตัวเอง แต่ร่างกายของเขาก็ไร้แรงเกินกว่าจะขยับได้

            บาซิกค์มองใบหน้าน้องชายของตัวเองนิ่ง เขาเข้าใจว่าบาฮาลต้องการให้เขาทำเช่นไร ทว่าความลังเลบางอย่างที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นตรงกลางใจก็ไม่สามารถทำให้เขาตัดสินใจได้ทันที หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงไม่สนใจ แต่เวลานี้ สิ่งที่เรียกว่าความรู้สึกมันกลับบอกว่า..เขาต่างหากที่ควรจะจบเรื่องทุกอย่าง

            “ได้โปรดใช้ชีวิตของพระองค์ ช่วยเหลือพวกเขา...” คิเมดาห์ย้ำเตือนครั้งสุดท้าย ราวกับเป็นการกระตุ้นบทสรุปทุกอย่าง ได้ยินเสียงข้าราชบริวารของตัวเองกำลังร่ำไห้ คำวิงวอนให้เขาโปรดเมตตาดังก้องทั้งสองใบหู เขาจะต้องเสียสละ

           ...ชีวิตนี้เกิดมาเพื่ออนาคาน
           ...และมันจะต้องเป็นเช่นนั้น
                 ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้

                       ริมฝีปากหยักสวยสมดั่งองค์เทพกำลังเขยื้อนเอ่ย.. ถ้อยคำสุดท้าย..กล่าวอำลา


ออฟไลน์ EtuDe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-0
ค่ำคืนที่ 18 : พระชายาแห่งอนาคาน Part จบ
 
           “อย่านะบาซิกค์!”

           เสียงเรียกของใครบางคนตะโกนลั่น สติที่หลุดลอยกลับคืนมาอีกครั้ง บาซิกค์รีบหันไปหาเจ้าของเสียงนั่น  เหล่าฝูงชนต่างแหวกออกเป็นสองข้างราวกับต้องการให้ดวงตาของราชาอสรพิษมองเห็นผู้ขัดจังหวะได้ชัดเจน เด็กหนุ่มต่างชาติในชุดโธปสีขาวแบกร่างไร้วิญญาณของใครบางคนไว้กับแผ่นหลัง ด้วยสีหน้าที่เหน็ดเหนื่อยเอาการ เจ้าตัวสาวเท้าตึงตังเดินมายังใจกลางลานพิธี โยนร่างไร้วิญญาณที่แบกมาลงกับพื้นต่อหน้าทุกคน

            “ไอ้พวกขี้ขลาด!” เสียงตวาดลั่นใส่หน้าราชีนีแห่งซาคาเดียร์ คิเมดาห์เบิกตาโพลงไม่คาดคิด

            “ซาคาเดียร์เก่งแต่เรื่องแทงข้างหลังคนอื่นหรือยังไง”

           “บังอาจ!”

           องครักษ์ข้างกายราชีนีทำท่าจะเอาเรื่องเด็กหนุ่ม แต่มือเรียวกลับยกขึ้นห้ามเอาไว้ฉับพลัน ราวกับมีบางอย่างน่าสนใจ ก่อนดวงตานางพญาจะปรายลงมองที่ซากศพที่ถูกพิษงูจนสิ้นลม แล้วหันมาให้ความสนใจกับเด็กหนุ่มคนที่กล้าว่าเธอต่อหน้าทุกคน

            “นั่นไม่ใช่คนของซาคาเดียร์” สุรเสียงเอ่ยนิ่งเรียบ เธออยากจะรู้นักว่าเด็กที่ไม่สิ้นปากกลิ่นน้ำนม จะเอาอะไรมาสู้กับเธอได้

            “แล้วคิดจะบอกคนที่บงการอยู่เบื้องหลังไหมล่ะ” พอได้ยินคำถามที่สวนกลับมา สีหน้าของนางพญาก็เปลี่ยนไปฉับพลัน มิกิยกยิ้มขึ้น

            “ถ้าซาคาเดียร์บริสุทธิ์ใจ ก็ยอมรับออกมาซะว่าเป็นใคร ถึงฉันจะไม่รู้กฏที่นี่ แต่ก็แน่ใจว่าการทำร้าย’คนของพระราชา’ ย่อมมีความผิดเท่ากับการทำร้ายราชาเช่นกัน” มิกิจงใจเน้นย้ำคำว่า ‘คนของพระราชา’ เป็นพิเศษ หลังจากผ่านเหตุการณ์ทั้งหมดจนแทบเอาชีวิตไม่รอด เขาก็แน่ใจบาซิกค์จะต้องปกป้องเขาจากคำพูดนี้ได้แน่นอน ถึงแม้คนอื่นจะยังไม่ยอมรับในตัวเขาก็ตาม

            “เจ้ายังไม่ใช่คนของอนาคาน” คิเมดาห์ยิ้มอย่างเหนือกว่า แต่หากรอยยิ้มนั้นต้องจางหายไปทันที เมื่อ เสียงเรียบสวนขึ้นมา

            “เขาเป็น...” คิเมดาห์หันมามองบาซิกค์ มือเรียวกำจนแน่น

            “และเป็นมาตลอด” รอยยิ้มหยั่นยกขึ้นจากดวงหน้างดงามขององค์ราชา คิเมดาห์รู้สึกเหมือนถูกตบหน้าด้วยก้อนน้ำแข็งจนชาวาบ อย่างไรเธอจะไม่ยอมแพ้อยู่แค่นี้ หากเล่นสงครามเช่นนี้กับเธอ เธอก็จะสนองให้

            “นี่ไม่ใช่ความผิดของซาคาเดียร์ ไม่มีความจำเป็นต้องรับผิดชอบ อย่าลืมสิว่าพระองค์เสด็จมาที่นี่เพราะเหตุใด หากคนของท่านมีหลักฐานไม่ชัด อนาคานก็ไม่มีสิทธิ์มาเหิมเกริมเปลี่ยนผิดเป็นถูกที่นี่” ร่างงามกล่าวเสียงแข็งกร้าว มิกิคาดไม่ถึงว่าคิเมดาห์จะงัดเรื่องนี้ออกมาปิดปากพวกเขา

            “เอาอย่างไรดีเล่า...พระองค์ตัดสินพระทัยได้หรือยัง แต่หากปฏิเสธพิธีเก็บเกี่ยวครั้งสุดท้ายล่ะก็...”จังหวะเว้นหายไป ดวงตานางพญาเปลี่ยนมองราชบริวารแห่งอนาคานที่ลายล้อมอยู่รอบนอก

           “พวกเขาก็ต้องชดใช้แทน” เสียงดีดนิ้วดังขึ้น พร้อมกับเสียงกรีดร้องของราชบริวาร

           ราชาบาซิกค์เบิกพระเนตรกว้างเมื่อเห็น อสรพิษพันอยู่ที่ลำคอข้าราชบริวารทุกคน แม้จะเคยสั่งลงโทษราชบริวารของตนจนถึงแก่ความตายมามาก แต่กลับทนไม่ได้หากคนของเขาจะต้องตายด้วยน้ำมือของผู้อื่น มันเป็นเหมือนการหยามเกียรติหยามศักดิ์ แต่เวลานี้เขาอยู่ในรังศัตรู หากใช้อำนาจที่มีลงมือช่วยก็เท่ากับว่า เขาเปิดสงครามขึ้นทันที และทุกคนจะต้องตายอยู่ที่นี่..สิ่งที่จะช่วยทุกคนคือ..ตัวเขาเอง


            “จะไม่มีพิธีการเก็บเกี่ยวครั้งสุดท้ายเกิดขึ้น!” เสียงประกาศกร้าวดังขึ้นท่ามกลางความตึงเครียด เด็กหนุ่มสองสายเลือดยืนอยู่ใจกลางลานพิธี สีหน้าที่จริงจังปรากฏขึ้นพร้อมกับของเหลวบางอย่างที่กำลังไหลจากมาจากฝ่ามือ...

 
          แหมะ..

            แหมะ..

           คมมีดกรีดลึกบนฝ่ามือ เลือดสีแดงเข้มไหลหยดลงสู่พื้น กลิ่นบุปผชาติโบราณโชยคลุ้งขจรขจรายไปตามสายลม ทันทีรับรู้ อสรพิษที่เกี่ยวรัดคอร่วงหล่นบนกับพื้น ก่อนเลื้อยไปในจุดเดียวกัน กอดเกี่ยวพันกันจนกลุ่มก้อนร่วมรับไม่รู้จักอับอาย

           “หากบังคับพวกมันได้ ก็ลองดู” มิกิแสยะยิ้ม คิเมดาห์พยายามใช้อำนาจของตัวอีกครั้งแต่อสรพิษเหล่านั้นหาได้ทำตามคำสั่งไม่ ดวงตานางพญาหันมามองเด็กหนุ่มด้วยความกริ้ว แต่ทว่า แทนที่เขาจะได้ยินเสียงชื่นชมยินดีจากราชบริวารแห่งอนาคาน กลับกลายเป็นเสียงตัดพ้อในชีวิตต่อว่าว่าที่พระชายาแห่งอนาคาน คิเมดาห์ได้ยินเช่นนั้นแล้วก็ยกริมฝีปากขึ้นเมื่อรู้สึกเป็นต่อ อย่างไรเรื่องนี้ดิ้นรนไปก็คงสูญเปล่า หากอนาคานยังคงเป็นเมืองที่โง่งมเช่นนี้อยู่ ขณะที่มิกิทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว!

            “หยุดพล่ามได้แล้วไอ้พวกขี้ขลาด! ราชาบาซิกค์ให้ชีวิตกับพวกนายไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงตอบแทนเขาแบบนี้!” เสียงตะโกนที่ตะเบ็งออกมาจากคนที่เสียสละเลือดของตัวเอง มิกิยืนขึ้นเต็มความสูงหันใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธ เข้าหาเหล่าบรรดาบริวารแห่งอนาคานที่เอาแต่ห่วงชีวิตของตัวเอง

            “เพราะกฏงั้นหรือ งั้นพวกนาย นาย นาย! ก็สมควรตายด้วยกันหมดทุกคน!” เขากล่าวเสียงแข็งอย่างไม่เคยเป็น นัยน์ตานั้นเริ่มสั่นคลอ แต่หาใช่ความเสียใจ แต่เป็นความเจ็บใจที่รอบตัวของบาซิกค์ไม่มีคนที่จริงใจเลยสักคน

            “พวกนายมันเห็นแก่ตัว รักแต่ชีวิตของตัวเองที่รอคอยการปกป้อง แต่เคยถาม องค์ราชาสักคำไหมว่า เขาเจ็บปวดมากแค่ไหน” เสียงของเขาดังก้อง ประโยคสุดท้ายที่พูดราวกับเขารับความเจ็บปวดของบาซิกค์ไว้กับตัวเอง

            “ถ้าพวกนายภักดีแค่ปาก ก็อย่าพูดมันอีกเลย กลับไปให้หมดซะ! แต่หากรักองค์เทพจริงก็จงหยิบอาวุธขึ้นมาสู้เพื่อความถูกต้อง และหยุดไล่เขาให้ไปตายสักที..” ประโยคช่างแสนเจ็บปวดจนขอบตาร้อนผ่าว แต่เขาจะเปลี่ยนมันเป็นความเข้มแข็ง

           “แต่หากพวกนายไม่กล้า...” มิกิเดินไปขวางอยู่หน้าบาซิกค์ กางแขนออกทั้งสองข้าง “ฉันจะปกป้อง องค์ราชาเอง...” สายลมวูบหนึ่งพัดโชยมาพร้อมกับกลิ่นบุปผาที่โปรดปราน แม้ร่างกายนี้จะไม่มีอิทธิฤทธิ์ ปาฏิหาริย์ใดๆ มาป้องกัน แต่ก็จะขอใช้ร่างกายที่อ่อนแอนี้ปกป้องคนที่เขารักจนวินาทีสุดท้าย

           จะไม่ยอมเสียใครไปอีกแล้ว..

           จะไม่ยอมไปไหนอีกแล้ว..

           หากชีวิตนี้ต้องดับสิ้น ก็ขอให้สิ้นใจใต้อ้อมแขนของคนรักก็เกินพอ

           บาซิกค์อยากจะสวมกอดคนตรงหน้าไว้จริงๆ แต่ไม่ใช่เพราะรู้สึกละอายในความลังเลของตัวเองจนทำให้เรื่องทุกอย่างกลายเป็นเช่นนี้จึงไม่กล้าทำเช่นนั้น มิกิเป็นเด็กหนุ่มที่เหมือนจะอ่อนแอ แต่ทว่าความเป็นจริงแล้วกลับเป็นคนที่เข้มแข็งและกล้าหาญจนเขาคาดไม่ถึง เขาได้สร้างบาดแผลมากมายให้ร่างนี้มากมาย ทั้งภายนอกและภายใน น่าแปลกที่คนคนนี้กลับยอมรับมันได้ทุกอย่างโดยไม่ลังเล ขณะที่เขากลับสับสนแม้จะเลือกในสิ่งที่ถูกต้อง เขาจะปกป้องคนอื่นได้อย่างไร หากตัวนั้นยังอ่อนแอเช่นนี้อยู่..

           บทเรียนทุกอย่างสามารถเรียนรู้ได้

           แต่บทเรียนที่สอนใจคนเล่า มันจะสามารถเรียนรู้ได้เช่นกันหรือเปล่า? เขาก็อยากรู้คำตอบ

            “เป็นความกล้าหาญที่งดงามมาก คิโนมุระ มิกิ” เสียงปรบมือดังขึ้นจากร่างระหง เธอไม่คาดคิดมาก่อนว่าบาซิกค์จะมีของเล่นชิ้นดีเช่นนี้อยู่ในกำมือ แต่อย่างไรเรื่องนี้คงไม่จบเพียงเท่านี้ หากบีบบังคับตามที่วางแผนไว้ไม่ได้ เธอก็จะใช้วิธีใหม่ที่กดดันยิ่งกว่าเดิม

           “ข้าก็อยากจะรู้เช่นกัน ว่าเจ้าละทิ้งความเห็นแก่ตัวอย่างที่เจ้าพูดได้หรือเปล่า หากข้ายกโทษของอนาคานครั้งนี้ให้แก่เจ้าเป็นคนตัดสิน เพื่อแลกกับอิสระภาพที่เจ้าต้องการ เจ้าจะได้กลับประเทศของเจ้า เริ่มทุกสิ่งใหม่อีกครั้งพร้อมเงินทองมากมาย และจะไม่มีใครตามมาทำร้ายเจ้า เจ้าจะได้ทุกอย่าง หากเจ้ากลับไป”


           เอาเลยสิมิกิ..แสดงความเห็นแก่ตัวของเจ้าออกมา

            “อนาคานอยู่ในกำมือของเจ้าแล้ว” สิ้นประโยค คิเมดาห์ก็ทิ้งรอยยิ้มชั่วร้ายไว้ทันที เธออยากจะรู้นักว่าคนที่คิดจะปกป้องราชา จะทำจริงอย่างที่ปากว่า หรือก็แค่เสียงไก่กาไม่ต่างจากคนอื่น เมื่อเจอข้อเสนอที่ตัวโหยหามาตลอด

            มิกิยืนนิ่งครุ่นคิด รู้สึกบนบ่าเหมือนแบกโลกไว้ทั้งใบ ทั้งที่รู้ว่ามันไม่ถูกต้องที่เขาลังเล เพราะปากเขาก็พูดออกไปแล้วว่าจะปกป้องบาซิกค์ ทว่า ความคิดชั่ววูบก็พลันแล่นเข้ามาในหัว

            ใช่..เขาอยากกลับบ้าน กลับไปใช่ชีวิตในแบบที่เขาต้องการไม่ต้องมีเรื่องอะไรมาพัวพันอีกแล้ว

          เขาไม่ควรอยู่ที่นี่

          และอนาคานก็ไม่เคยมอบความสุขใดให้..

          หากกลับญี่ปุ่นพร้อมกับเงินทองมากมายเหล่านี้ ทั้งชีวิตเขาไม่ต้องทำงานเลยก็ยังได้

          โอกาส กองอยู่ตรงหน้าแล้วมิกิ..

          เลือกสิ..มิกิ

            “ฉันจะกลับ...”  คำตอบที่ได้ยินทำเอาทุกคนถึงกับเบิกตากว้าง แต่ไม่ทันที่คิเมดาห์จะยกยิ้มให้กับความสำเร็จของเธอ คำตอบก็เผยมาอีก

            “แต่ไม่ใช่ประเทศของฉัน แต่เป็น...” มิกิเว้นจังหวะไป ทุกอย่างเงียบสงบ ใบหน้าอ่อนหวานของเด็กหนุ่มหันมองราชาแห่งนาคิน  “อนาคาน”

            สิ้นข้อต่อรองสุดท้ายที่ถูกพังทลาย บรรดาชาวอนาคานทุกคนยิ้มนับยินดีกับคำตอบเช่นนั้นของว่าที่พระบา ก่อนทุกคนหยิบอาวุธของตัวเตรียมขึ้นสู้รบ ภาพที่เปลี่ยนไปทำเอาราชีนีแห่งซาคาเดียร์สติขาดผึงทันที!

            “งั้น ก็ไม่มีอะไรต้องพูดกันอีก!”

            “บาฮาล!” เสี้ยววินาทีที่เผลอไป องครักษ์ข้างกายของราชีนีก็จ่อคมดาบไว้ที่ต้นคอขององค์ขายแห่งอนาคานในทันที คิเมดาห์แสยะยิ้มชั่วร้าย เพราะบางทีอนาคานอาจจะลืมไปแล้วว่าหากปฏิเสธสิ่งที่เธอปรารถนาก็ต้องมีคนชดใช้ให้เธอเช่นกัน!

            “ประหารองค์ชาย เพื่อชดใช้ความผิดแด่ซาคาเดียร์ซะ!” สิ้นบัญชาอย่างโหดเหี้ยม คมมีดกำลังพุ่งปาดลงที่ลำคอคอขององค์ชายหนุ่มทันที แต่ไม่ทันได้ดั่งใจ พริบตาเดียวในจังหวะที่กำลังจะถึง งูหางกระดิ่งที่แอบซ่อนตัวไว้ใกล้สาบเสื้อขององค์ชายก็พุ่งตัวฉกเข้าข้อมือองครักษ์ของราชีนี พอได้โอกาสบาซิกค์ก็รีบตรงเข้าประชิดองครักษ์นั่น ฝ่ามือทรงอำนาจบีบเข้าที่ลำคออย่างไม่ลังเล ก่อนจะกดร่างนั้นจนล้มลงกองกับพื้น แล้วเหยียบเท้าทับไว้ที่ลำคอของอีกฝ่ายไม่ให้คิดหนี

            “ราซิส!” คิเมดาห์ร้องดังด้วยความตกใจ องครักษ์ที่ปิดบังใบหน้าใต้ผ้าคลุมศีรษะเผยออก ใบหน้าคุ้นตาของชายหนุ่มผมทอง กับดวงตาสีครามอยู่ใต้ฝ่าเท้า เพียงแค่นั้นเขาก็จำได้ทันที

           “เจ้ายังไม่ตายจริงๆด้วยสินะ” ราซิสพยายามดิ้นให้หลุด แต่ด้วยแรงกดมหาศาลทำให้เหมือนร่างกายของเขาถูกล็อกเอาไว้ แม้จะกลายร่างเป็นนาคินก็มิอาจทำได้ แต่พอได้ยินสุรเสียงเย็นชาคุ้นหูแล้วหัวใจก็ชาวาบขึ้นมา แม้เรื่องในอดีตจะผ่านไปนานจนคิดว่าเริ่มทำใจได้ แต่พอพบคนคนนี้อีกครั้ง ความรู้สึกหลากหลายก็เข้ามาปะปนจนสับสน ทั้งเกลียดชัง ทั้งเจ็บใจ แต่ทำไมกัน ทำไมถึงได้เหลือเยื่อใยไว้ด้วย ทั้งๆ ที่คนๆ นี้ตัดเขาทิ้งออกไปแล้วทุกอย่าง หากอยากจะฆ่าเขาก็ทำเลย ไม่ต้องมามองด้วยสายตาแบบนั้น

            สายตาที่เต็มไปด้วยความสมเพช

            “บังอาจนักบาซิกค์ ปล่อยเขาไม่งั้นข้าจะฆ่าบาฮาลเดี๋ยวนี้!” คิเมดาห์แผดเสียงลั่น หยิบคมมีดมาจ่อไว้ที่องค์ชายบาฮาลอย่างรวดเร็ว บาซิกค์ปรายตาหันกลับมองราชีนีแห่งซาคาเดียร์แล้วยกยิ้มเย็นเยียบ ในที่สุดเขาก็พอจะเข้าใจทุกอย่างแล้ว ว่าทำไมคิเมดาห์ถึงอยากจะให้เขาพิธีเกี่ยวเก็บครั้งสุดท้าย

            “หากเจ้าฆ่าบาฮาล ข้าจะฆ่าราซิสด้วย และเป็นอันว่าอนาคานจะยอมรับข้อเสนอพิธีเก็บเกี่ยวครั้งสุดท้าย และข้าจะทำตามความปรารถนาของเจ้า โดยเลือกเจ้าเป็นราเมียร์คู่บัลลังก์” พอได้ยินคำตอบ คิเมดาห์ก็กลืนน้ำลายแทบไม่ลง ที่บาซิกค์พูดเหมือนรู้แผนเธอทุกอย่างว่าต้องการสิ่งใด แต่มีหรือว่าเธอจะยอมรับเรื่องนี้

            “หึ คิดหรือว่าข้าจะ...”

            “อ๊ากก!” ราซิสร้องโหยหวนด้วยความเจ็บเมื่อบาซิกค์กดเท้าที่คอแรงขึ้น

            “อย่านะ!” คิเมดาห์ร้องห้ามอย่างลืมตัวเมื่อได้เห็นคนรักถูกทำร้าย ขณะที่บาซิกค์แน่ใจแล้วว่า ที่ราซิสรอดชีวิตที่ซาคาเดียร์เป็นเพราะเหตุใด ก่อนดวงตาคมกริบจะจ้องมองราชีนีแห่งซาคาเดียร์อย่างเหนือกว่า

            “คิดหรือว่าข้าจะไม่รู้แผนการของเจ้า ที่ไว้ชีวิตราซิสไว้ก็เพื่อที่จะนำมาเป็นคู่ครอง ตามกฏข้าไม่สามารถเลือกราเมียร์ที่มีคู่ครองได้ แต่หากราซิสตาย เจ้าก็ไร้คู่และข้าก็สามารถเลือกเจ้าเป็นราชีนีคู่บัลลังก์ได้ และที่เจ้าหวังจะให้พิธีเก็บเกี่ยวครั้งสุดท้ายเกิดขึ้น ก็เพื่อจะครอบครองโอรสเทพนาคินองค์ใหม่ไว้ในมือ แล้วนี่หรือที่บอกว่าซาคาเดียร์ไม่เคยทรยศอนาคาน!”

            “พอแล้วบาซิกค์!!” มิกิทนไม่ไหวร่างเล็กรีบเข้ามาห้ามก่อนที่บาซิกค์จะเหยียบราซิสให้ตายคาแทบเท้าของตัวเอง แต่กลับถูกผลักจนล้มกับพื้น

          “นี่ไม่ใช่เรื่องของเจ้ามิกิ!” บาซิกค์ตวาดเสียงดังด้วยความกริ้ว ก่อนใบหน้าคมจะหันตวัดกลับมาที่ราชีนีซาคาเดียร์

            “หากเรื่องนี้ซาคาเดียร์ไม่ยอมรับ ก็เท่ากับว่าต้องการเปิดสงคราม ต้องการเช่นนั้นหรือไม่”

            ดวงตาราชาจับจ้องด้วยความพิโรธ คิมเดาห์กันฟันแน่นคิดไม่ถึงว่าเธอจะเป็นฝ่ายถูกไล่ต้อนให้จนมุม แต่อย่างไรเธอก้ไม่สามารถปล่อยให้เรื่องราวลงเอ่ยเช่นนี้ได้ แม้ในอดีจะเคยคิดใช้ราซิสเป็นเพียงแค่เครื่องมือให้เธอมีชีวิตรอด แต่ตอนนี้เธอไม่ต้องการให้ชายผู้นี้เจ็บปวดอีกแล้ว บาดทางกายนั้นหายได้ แต่บาดแผลในใจยากจะรักษา หากเป็นเช่นนั้นเธอยอมตายไปด้วยเสียยังจะดีกว่าต้องอยู่เพียงลำพัง

            “ใช่หม่อมฉันยอมรับ” สิ้นคำตอบทุกอย่างเงียบกริบไปอีกครั้ง ราชีนีคิเมดาห์เงยใบหน้าขึ้นมาอ้อนวอนทั้งน้ำตานองหน้าอย่างไม่ปิด

           “แต่ได้โปรด ปล่อยเขา...” น้ำตาของหญิงสาวไหลออกมา ทั้งๆ ที่ทีแรกคิดเสมอว่าราซิสคือเครื่องมือของเธอแต่พอมาตอนนี้ เธอมิอาจโกหกความรู้สึกของตัวเองได้อีกต่อไป บาซิกค์เมื่อเห็นคิเมดาห์หลั่งน้ำตา ก็ยกเท้าขึ้น ราซิสโก่งตัวไอออกมาทันทีที่ได้รับอากาศอีกครั้ง ร่างงามรีบวิ่งเข้ามาหาองครักษ์ก่อนทรุดตัวลงนั่งข้างๆ

            “ราซิส เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า”

            “ข...ข้าขอโทษ ข้าฆ่าเขาไม่ได้”

            “อย่าพูดอีกเลยราซิส” มือเรียวลูบลงบนเส้นผมสีทองอย่างอ่อนโยน ก่อนดวงตานางพญาจะเงยขึ้นมองคนที่ยืนคร่อมด้วยสายตาเกรี้ยวโกรธ

            “นี่คือสิ่งที่ต้องการใช่หรือไม่ ในที่สุดซาคาเดียร์ก็ไม่เหลือเกียรติใดๆ อีกแล้ว หากอยากตัดขาดกัน ก็ขาดกันตั้งแต่วันนี้!”

            “นั่นไม่ใช่เพราะพวกเจ้าเริ่มก่อนหรอกหรือ ที่มาลอบวางระเบิดที่อนาคาน!”

            “นั่นไม่ใช่ฝีมือของหม่อมฉัน!” คิเมดาห์ขึ้นเสียงแข็งกับความจริงบางอย่างที่ทำเอาชาวอนาคานทุกคนไม่คาดคิดไปตามๆ กัน แต่ไม่ทันจะได้ถามอะไรต่อ ดวงตาคู่สวยของนางพญาก็หันมามองที่เด็กหนุ่มต่างชาติ

            “แต่ทรงถามคนของพระองค์ที่ทรงหวงนักหนาเองเถอะ ว่าเพราะเหตุใดแน่” พอคำตอบถูกโยนมาที่เขา มิกิถึงกับสะดุ้ง เพราะมีเรื่องราวบางอย่างที่เขายังไม่ได้บอกคนตรงหน้า ใช่ว่าเขาจะปิดบัง แต่เขาแค่ไม่ในใจว่า ‘คนจากฝั่งนั้น’ กลับมาตามหาเขาจริงหรือเปล่า แต่พอได้ฟังเช่นนี้ คำตอบทุกอย่างก็ยิ่งชัดเจน

            คิเมดาห์ยกมือขึ้นปาดน้ำตาแห่งความเจ็บใจ คิดไม่ถึงเลย ว่าเด็กต่างชาติเพียงคนเดียวจะทำให้ทุกอย่างที่วางแผนมาพังทลายไม่มีชิ้นดี

            “ไม่คิดเลยว่าคนนอกจะทำให้กฏของเทพนาคินย่อยยับ หากพระองค์ต้องการสงครามจริง หม่อมฉันก็จะสนอง...”

            “อนาคานจะชดใช้ให้เจ้าอย่างสมเกียรติ...และไม่จะตัดสัมพันธ์กับซาคาเดียร์ทิ้ง”

            “หึ ด้วยอะไรล่ะเพคะ พิธีเก็บเกี่ยวครั้งสุดท้าย พระองค์ก็ปฏิเสธมันไปแล้ว ยังจะเหลืออะไรที่หม่อมฉันต้องการอีก!” เธอกล่าวอย่างนึกขัน ตอนนี้เธอไม่ได้อะไรสักอย่างในสิ่งที่ต้องการ แล้วจะใช้อะไรมาเอาใจเธอเพื่อผูกสัมพันธ์กับซาคาเดียร์อย่างที่เธอพอใจได้ แต่คำตอบกลับเป็นสิ่งที่เธอคาดไม่ถึง

            “ชีวิตขององค์ชายบาฮาล ข้ายกให้เจ้า ฆ่าเขาซะ เพื่อชดใช้แทนเรื่องทั้งหมด” คำตอบแสนเลือดเย็นทำเอาคิเมดาห์เบิกตากว้าง มิกิรีบลุกขึ้น ทันทีเขายอมไม่ได้ที่จะให้เกิดเรื่องแบบนี้!

            “บาซิกค์! อึก!” ไม่ทันจะได้เข้าไปห้าม ทันทีที่สบดวงตาเรียวยาวของอสรพิษ ก็เหมือนมีบางอย่างทำให้ภาพทุกอย่างขาดหายไป ก่อนร่างกายจะทรุดฮวบลงในอ้อมแขนขององค์ราชา

            “นำตัวมิกิออกไป...” ราชบริวารรีบเดินเข้ามา รับตัวเด็กหนุ่มออกไปจากอ้อมแขนแกร่งตามรับสั่ง ก่อนดวงตาคมกริบจะหันมามองกับผู้ที่สำคัญที่สุดกับการรักษาความสัมพันธ์ครั้งนี้

            “เรื่องนี้เจ้าเสียสละตัวเองได้หรือไม่บาฮาล” เสียงที่แสนเย็นชา จนไร้ซึ่งความรู้สึกเอ่ยกับน้องชายตน บาฮาลมองดวงตาสีอำพันของราชานาคิน แม้ภายนอกมันจะรุ้สึกว่างเปล่าไม่มีเยื่อใยให้เขา แต่เขากลับสัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่ซ่อนเอาไว้กับการแสดงออกเพียงเปลือกนอกจากพี่ชายคนนี้ ตั้งแต่เกิดมาชีวิตของเขาไร้ซึ่งความเห็นอกเห็นใจ และเติบโตมาเพียงลำพังตลอด แต่หากเขาคงไม่มีวันได้รับโอกาสเหล่านั้นหากเทพนาคินไม่เมตตาไว้ชีวิต ทั้งๆ ที่รู้ว่าอนาคตเขาอาจกลายเป็นเทพนาคินแย่งอำนาจของพี่ชายตัวเองก็ได้ แม้การแสดงออกภายนอกจะมีแต่ความเย็นชา แต่ถึงจะเป็นความเย็น ก็เป็นความเย็นที่สามารถปกป้องและห่อหุ่มเขาได้เสมอ หากจะตอบแทนเพื่อสร้างประโยชน์ให้คนคนนี้ ชีวิตของเขาก็เกิดมาคุ้มค่ากับทุกสิ่งแล้ว

            “ชีวิตของกระหม่อมเป็นของพระองค์” บาฮาลหลับตาลง พยายามโน้มศีรษะแสดงความภักดีว่าน้อมรับบัญชาขององค์เทพ บาซิกค์พยายามยกรอยยิ้ม ก่อนหันใบหน้าที่เรียบเฉยถามคิเมดาห์

           “เจ้าพอใจกับคำตอบนี้หรือเปล่า...” คิเมดาห์พูดไม่ออก แต่ก็มิอาจปฏิเสธข้อเสนอนี้ ก่อนเสียงฟ้าคำรามท่ามกลางทะเลทรายร้อนระอุจะดังขึ้น พร้อมบัญชาจากองค์เทพ

            “ฆ่าเขา...”

            สายฝนค่อยๆ โปรยปรายลงมา อสรพิษแผ่แม่เบี้ยชูคอขึ้นสูง คมเขี้ยวพร้อมพิษล้างหัวใจฝังลงไปบนบ่ากว้างขององค์ชายแห่งอนาคาน...

                        หยดน้ำจากฟากฟ้า ตกลงมา..

                                       หรือคือ หยาดน้ำตาขององค์เทพ..

                                                          ลาก่อน บาฮาล

ออฟไลน์ EtuDe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-0
ค่ำคืนที่ 19 : ของขวัญ Part 1
       
        หยาดน้ำโปรยปรายจากฟากฟ้าสีดำ เสียงตกพร่ำของสายฝนบนผืนทรายฟังแล้วช่างแสนเศร้าสลด ราวกับทวยเทพเบื้องบนล่วงรู้ว่าควรไว้อาลัยให้กับการเสียสละครั้งยิ่งใหญ่แด่องค์ชายแห่งอนาคาน..


        มิกิเฝ้ามองสายพิรุณที่ตกพร่ำลงมาอยู่แบบนั้นผ่านหน้าต่างในห้อง แม้จะรู้สึกเสียใจจนอยากกลั่นน้ำตาระบายเพื่อคนที่จากไป แต่กลับไม่มีน้ำตาไหลออกมาเลยสักหยด ทว่าความอึดอัดที่เกิดขึ้นกลางแผ่นอก กลับทวีเพิ่มขึ้นทุกวินาทีที่นึกถึงความผิดพลาดของตัวเอง

 
         เขาคิดว่าทุกอย่างจบลงด้วยดีแล้ว...หากความจริงคือเขาคิดไปเองหมดทุกอย่าง แม้แต่คนใกล้ตัวที่คิดว่าหลอมละลายหัวใจอันเยือกเย็นได้ ก็กลับเป็นแค่ภาพฝันซึ่งไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ถึงความโหดร้ายจะเป็นเรื่องธรรมชาติของโลกใบนี้ที่เขารู้จักดี แต่การใช้สายเลือดตัวเองเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงกลับเป็นสิ่งที่เขาไม่สามารถยอมรับได้


        “ฉันคิดว่านายเปลี่ยนไปแล้ว...” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเสียใจ ใบหน้าที่แสดงความผิดหวังหันกลับมามองบุคคลที่ยืนอยู่ตรงหน้าประห้อง “แต่ความจริงคือไม่เลย..นายไม่เคยเปลี่ยนไปแม้แต่นิดเดียว”

 

“มิกิ...” กายสูงขยับเข้าไปใกล้คนอยู่ริมหน้าต่าง สีหน้าที่ยังคงบ่งบอกถึงความเสียใจในตัวเขายังคงแสดงออกอย่างชัดเจน บาซิกค์ใช้มือทั้งสองจับไหล่บางเอาไว้ หวังจะพูดบางสิ่ง แต่ทว่ากลับถูกปัดทิ้งอย่างไร้เยื่อไย


        “อย่ามาแตะต้องตัวฉัน!” ดวงตาคู่สวยมองอย่างแข็งกร้าว น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเย็นชา


        “นายมันโหดร้าย ฆ่าได้แม้แต่น้องของตัวเอง!”


        “ความเสียสละจำเป็นสำหรับเรื่องนี้ เพื่อที่จะรักษาความสัมพันธ์กับซาคาเดียร์ คนที่ทำผิดก็ควรยอมรับการตัดสิน”

 
        “แต่บาฮาลคือน้องชายของนาย! มันน่าจะมีทางออกที่ดีกว่านี้ !”


        “เช่นทางไหนล่ะ!” ขึ้นเสียงดังกลับจนคนที่เริ่มเรื่องสะดุ้ง “จะบอกว่าความผิดฐานรอบปลงพระชนม์สามารถแลกด้วยคำว่าขอโทษหรือยังไง” มิกิก้มหน้าลงเพราะพูดอะไรไม่ออก รู้สึกขอบตาทั้งสองข้างเริ่มร้อนผ่าวเสียจนมีน้ำใสๆ คลออยู่บนดวงตาก่อนจะหยดลงมา “ในเมื่ออนาคานปฏิเสธสิ่งที่ซาคาเดียร์ต้องไปทุกอย่างแล้ว สิ่งใดกันเล่ามิกิ ถึงจะคู่ควรและชดใช้กับความบาดหมางครั้งนี้ได้” เสียงที่สั่นไหวกว่าทุกครั้ง ทำเอาเด็กหนุ่มต้องเงยหน้าขึ้นมา

         สิ่งที่เห็น..ในดวงเนตรขององค์เทพปรากกฏความเจ็บปวดไม่แพ้กัน

        “บางครั้ง...ความตายอาจไม่ใช่ทางออกของทุกสิ่ง แต่สำหรับเรื่องนี้ไม่ใช่” คำตอบสุดท้ายช่างแสนเศร้า นัยน์ตาตู่สวยหลับลง มือเรียวยกขึ้นป้องปากกลั้นเสียงสะอื้น ศีรษะทิ้งลงพิงกับแผ่นอกกว้างราวกับคนกำลังหมดเรี่ยวแรง มีเพียงอ้อมแขนอันอบอุ่นที่โอบกอดแผ่นหลังปลอมประโลมร่างที่สั่นไหว

        “อย่าห่วงไปมิกิ...จากนี้บาฮาลจะได้ชีวิตใหม่ที่ดีกว่าอนาคานเคยมอบให้” มือใหญ่ลูบลงบนเส้นผมสีอ่อน ได้ยินเสียงร้องไห้และสัมผัสได้ถึงกายที่สั่นไหว ถึงแม้เขาจะทำเสมือนไร้ความรู้สึกใด ทว่าในดวงตากลับซ่อนความรู้สึกที่แท้จริงไว้ไม่มิด

 
        จะรู้ไหมว่าเขาเจ็บปวดเพียงใด..

        จะรู้ไหมว่าต้องรับภาระไว้แค่ไหน..

        หากทั้งหมดไม่เชื่อเพื่ออนาคาน เขาคงไม่ตัดสินใจเช่นนี้ บางทีการเป็นคนธรรมดาคงดีกว่า เกิดเป็นองค์เทพเพื่อลิขิตชีวิตคน..

        ขอโทษนะบาฮาล..



        หลังจากที่พ้นความวุ่นวาย ซาคาเดียร์กลับสู่ภาวะปกติอีกครั้ง ทว่าสายฝนที่พร่ำตกลงมาอย่างหนักกลับทำให้บรรยากาศในราชวังช่างแสนเศร้าสลด

        ราชีนีคิเมดาห์เอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้องบรรทมไม่ยอมตรัสสิ่งใดเป็นเวลากว่าหลายชั่วโมง เพราะไม่คิดมาก่อนว่าบทสรุปสุดท้ายของซาคาเดียร์จะไม่มีสิ่งใดสมปรารถนา แม้ชีวิตขององค์ชายบาฮาลจะเป็นสิ่งที่เธอไม่ได้คาดหวัง แต่ก็อดทึ่งกับการตัดสินใจอันเด็ดขาดของราชาแห่งอนาคาน และความกล้าหาญขององค์ชายบาฮาลเป็นไม่ได้ ความละอายแก่ใจทำให้เธอไม่สามารถลุกขึ้นค้านอนาคานได้อย่างครั้งก่อน แม้แต่พระศพขององค์ชายก็ยังไม่กล้าเปิดมองและยกให้องครักษ์ข้างกายเป็นคนจัดการ

        ราชิสหลังจากเข้าเฝ้าองค์ราชีนีเสร็จ ก็ถอนหายใจอยู่หน้าประตู เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสร้างผลกระทบร้ายแรงทางจิตใจกว่าที่คิดไว้นัก แม้สายฝนจะจากไปแล้วแต่ก็ยังคงเหลือร่องรอยให้มองเห็นว่าเกิดสิ่งใดขึ้นที่นี่ หยาดน้ำตาของน้องชายเขาคงเป็นคำตอบได้อย่างดิบดี ซาอิดร้องไห้เสียใจจนหมดสติไปต่อหน้า จนเวลานี้ก็ยังไม่ฟื้น ความเสียใจที่เกิดขึ้นกับการสูญเสียคนสำคัญ ทำให้เขาเข้าใจดีว่าเหมือนกับการถูกเฉือนเนื้อหัวใจให้เหวอะวิ่น

        เคยรู้สึกเช่นนั้น

        เจ็บปวดมากกว่านั้น

        แต่ยามที่เจอคนคนนั้น ความเจ็บปวดกลับไม่สามารถแปลงเปลี่ยนเป็นความเกลียดชังได้อย่างที่ควรจะเป็น

        เขายังคงรัก..

        และรักเสมอ..แม้วินาทีสุดท้ายที่ร่างกายนี้จะต้องแตกสลายใต้แทบเท้า คำตอบก็ยังเป็นเช่นเดิม

        สองเท้าพาร่างสูงโปร่งเดินเอื่อยเฉื่อยไปรอบวัง ทีแรกเขาคิดจะไปหาน้องชายตนเพื่อไปดูอาการ แต่ก็เปลี่ยนใจถอยหลังกลับ เวลานี้พวกราชบริวารคนอื่นต่างยุ่งกับคำสั่ง ว่าให้จัดเตรียมสถานที่สำหรับพิธีศพองค์ชายแห่งอนาคานอย่างสมเกียรติ ก่อนที่จะส่งพระศพคืนแก่อนาคาน  ทั้งนี้เป็นเพราะพิธีโบราณในการรักษาความสัมพันธ์ แม้ราชาบาซิกค์จะทรงต้องการรับพระศพของน้องชายกลับไปก็ไม่สามารถทำได้ ทั้งนี้เชื่อว่ากายเนื้อที่สลายสิ้นที่แผ่นดินวิญญาณของซาคาเดียร์จักต้องได้การชำระเสียก่อน เพื่อให้กายที่ไร้หัวใจนี้บริสุทธิ์ เสมือนเป็นการลบความบาดหมางต่อทั้งสองเมืองจักได้ไม่มีสิ่งใดค้างคา ถึงจะรู้ดีว่ามันไม่มีวันลบได้ แต่คงไม่อะไรที่ดีกว่านี้ หากต้องการรักษาความสัมพันธ์

        พระศพขององค์ชายบาฮาล ถูกเก็บไว้ที่ห้องโถงกลางทางทิศใต้ของราชวัง โดยจัดร่างพระองค์ให้นอนบรรทมไว้บนแท่นนาคินทองคำ แต่น่าแปลกทั้งที่พระศพถูกพิษควรจะดำคล้ำ แต่กลับมีพระวรกายสดใสดุจยังมีลมใจ มีดวงฤทัยที่นิ่งสงบเท่านั้นเป็นเครื่องยัน ทว่าในใจลึกๆกลับสังหรใจในบางสิ่ง

        ระหว่างที่เขาออกจากห้องพระศพ และเดินไปตามทางเดินที่แสนเงียบกริบ รู้สึกตัวอีกที สุดสายตาตรงหน้า ก็คือประตูทางเข้าเชื่อมต่อไปยังสระน้ำศักดิ์สิทธิ์

         ฝีเท้าชะงักลง..เมื่อพบว่าบนพื้นมีร่างของอสรพิษทะเลทรายนอนขดตัวขวางไว้อยู่ ส่วนหัวของมันชูขึ้นมองเขา พร้อมกับปลายหางที่สั่นไหวเป็นเสียงคลื่นถี่

         ราชิสจ้องมองสิ่งมีชีวิตแปลกปลอมนิ่ง แต่เพียงแค่สบดวงตาของสัตว์ร้าย ก็เหมือนว่ามันกำลังทำให้เขาได้สื่อสารถึงใครบางคน

        ใครบางคนที่ไม่คาดคิด

        “ฝะ...ฝ่าบาท” เอ่ยขึ้นอย่างไม่เชื่อ หากจำไม่ผิดดวงตาของอสรพิษคู่นั้นคือดวงตาเฉกเช่นกับเทพนาคินเป็นแน่ ถึงจะไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรนัก เพราะพระองค์มีอำนาจมนตราที่เหนือนาคินทั่วไป

         แต่เหตุใดกันเล่า ถึงได้ส่งอสรพิษตัวนี้มาสื่อสารกับเขา?

        คำถามมากมายผุดขึ้นในหัว แต่จู่ๆ ก็พลันทำให้เขานึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา ไม่ทันจะได้ถามออกไป เสียงเรียบเย็นก็ดังกังวาลในหัว

        “ราซิส เจ้ารู้ใช่ไหมที่ข้ามาพบเจ้าเพราะเหตุใด” คำถามนั้นทำให้อดีตองครักษ์สะกิดในใจ ข้อสงสัยบางอย่างที่ข้องใจเกี่ยวกับพระศพขององค์ชายบาฮาล ถูกยกขึ้นมาในหัวเป็นอันดับแรก และหากเขาเรียงลำดับเหตุการณ์และวัดความเป็นไปได้ทั้งหมด บางทีเขาอาจจะพบแผนการที่เกินความคาดหมาย

        ตั้งแต่ที่ต่อสู้กันคราก่อน เขาจำได้ว่าองค์ชายบาฮาลถูกกริซที่อาบพิษที่ร้ายแรงที่สุดของอนาคานปักเข้าที่ท้อง และน้อยคนนักที่สามารถมีชีวิตรอดจากพิษนี้ไปได้เพียงข้ามวัน ทว่า..ตัวขององค์ชายบาฮาลกลับไม่เป็นเช่นนั้นจนน่าแปลกใจ แม้ร่างนาคินขององค์ชายจะเป็นนาคินซึ่งไร้พิษร้าย แต่กลับกันอาจเป็นนาคินที่สามารถรักษาพิษได้ด้วยตัวเอง หากพิษที่ร้ายแรงที่สุดไม่สามารถทำอันตรายได้ นับประสาอะไรกับพิษงูเห่าเล็กน้อยนี่ ถึงอย่างมากก็แค่ทำให้หัวใจหยุดเต้น แต่ก็อาจจะเป็นไปได้สูงที่จะเป็นแค่ระยะเวลาชั่วคราว และเหตุผลนี้อาจเป็นไปได้ว่า ทั้งหมดคือละครที่สร้างขึ้นบังหน้าซาคาเดียร์ ถึงจะไม่มีหลักฐานมายืนยันว่าองค์ชายแห่งอนาคานจะทรงฟื้นหรือไม่ แต่การที่ปล่อยเนื้อเข้ามาในปากเสือแล้วคงเป็นเรื่องยากที่จะเอาคืน

        “กระหม่อมไม่แน่ใจนัก ว่าทรงวางแผนใดเอาไว้ แต่คงไม่ดีหากเรื่องทั้งหมดเป็นอย่างที่กระหม่อมคิด”ราซิสกล่าวเรียบนิ่ง รอฟังคำตอบของอีกฝ่ายที่เงียบไปเป็นเวลานานเหมือนกำลังตัดสินใจ กระทั่งสุรเสียงจากเจ้าผู้ปกครองนาคินก้องในหูอีกครั้ง

        “ทั้งหมดอาจเป็นอย่างที่เจ้าคิด อนาคานจะไม่เหลือเกียรติใดๆ อีก หากคิเมดาห์ทราบเรื่องเข้า และข้าหวังว่าครานี้ข้าจำเป็นต้องพึ่งเจ้า” น้ำเสียงที่ดังในหัวอ่อนลง ราซิสหัวเราะออกมาเบาๆ ในลำคอ

        “เหตุใดกระหม่อมต้องทำตามที่พระองค์ตรัสด้วยเล่า อีกอย่างทรงลืมไปแล้วหรือว่าทำสิ่งใดกับกระหม่อมไว้ กระหม่อมจะไม่มีวันทำสิ่งที่อนาคานขอร้อง” น้ำเสียงนั้นช่างแข็งกร้าวไร้ซึ่งความนอบน้อมเช่นครั้งอดีต ทำไมเขาจะต้องให้ดอกไม้กับคนที่คิดจะขยี้มันทิ้งด้วย ว่าแล้วก็ชักดาบประจำตัวออกมาหมายจะฟันอสรพิษตัวแทนให้หายไปจากสายตา

        “ไม่ใช่อนาคาน...” คำพูดขององค์ราชาทำให้มือที่กำลังตวัดดาบลงชะงัก ประโยคต่อมาทำให้หัวใจเขาอ่อนยวบ “แต่เป็นข้าที่กำลังขอร้อง แล้วไหว้วอนเจ้า”
       สิ้นคำร้องขอที่ไม่เคยได้ยิน ดาบในมือก็เก็บลงฝัก ราซิสหัวเราะออกมาคล้ายกับคนเสียสติ ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าหากไม่มีเรื่องเช่นนี้ บาซิกค์จะเห็นหัวเขาอยู่หรือไม่

       “ทำไมกระหม่อมต้องสนใจในสิ่งที่พระองค์ต้องการ กระหม่อมไม่ใช่องครักษ์ของพระองค์อีกแล้ว ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหน กระหม่อมจะไม่มีวันลืมในสิ่งที่พระองค์ทรงทำ หากองค์ราชีนีทรงรู้ว่าเรื่องนี้เป็นเพียงละครบังหน้า อนาคานจะไม่มีวันสงบสุข”

       “หากสิ่งนั้นเรียกว่าความแค้น โปรดนำความแค้นของเจ้ามาลงที่ข้า แต่อย่าลงกับอนาคานได้ไหมราซิส” ราซิสชะงักในคำพูด อสรพิษเลื้อยเข้ามาใกล้หวังจะย้ำความจริง

        “ในอดีตถึงข้าจะสัมผัสได้ถึงความรู้สึกของเจ้าที่มีต่อข้า แต่ข้ากลับไม่สามารถตอบแทนความรู้สึกที่เจ้าต้องการได้ กระทั่งวันนั้น..สิ่งที่เจ้าทำ มันทำให้ข้าไม่เหลือทางเลือกใด” สิ้นคำพูดก็พลันทำให้ดวงตาสีครามขยายขึ้น บาซิกค์เข้าใจดีว่าในอดีตเขาได้สร้างบาดแผลให้ราซิสขึ้นมาในหัวใจยากที่จะลบล้าง แต่ก็ไม่ได้หวังว่าจะให้ร่างตรงหน้าอภัย เพราะทางออกที่ปราณีที่สุดที่เขาคิด กลับกลายเป็นสร้างความเจ็บช้ำยากจะลืมเลือน

       “พระองค์เลยทรงให้กระหม่อมมาตายที่นี่ ทรงรู้อะไรไหม หากพระองค์ประทานความมตายให้ด้วยมือของพระองค์เอง กระหม่อมยังคงมีความสุขเสียกว่าส่งมาตายด้วยมือคนอื่น!” ราซิสตวาดเสียงลั่น ไม่รู้เพราะความโกรธหรือความเสียใจ แต่บริเวณอกข้างซ้ายมันเจ็บ เจ็บตรงใต้หัวใจดวงนี้ จนน้ำเย็นชื้นตาไหลออกมา ยิ่งได้ยินคำตอบมาเท่าไร ก็เหมือนต้องการขุดอดีตขึ้นมาฆ่าเขาให้ตายทั้งเป็น

       “ราซิสที่ข้าทำเช่นนั้น เพราะข้ามิอาจฆ่าเจ้าได้ด้วยมือของตัวเอง”

       “เลือดของคนที่ถูกตราหน้าว่าทรยศ คงสกปรกเกินกว่าจะแปดเปื้อนมือพระองค์สินะ!” แผดเสียงกร้าวน้ำตาไหลพรากเป็นสาย แทบจะหมดแรงยืนรั้งร่างกาย “กระหม่อมน่าจะสังหารพระองค์เสียตั้งแต่วันนั้น ให้สมกับที่ถูกตราหน้าว่าเป็นคนทรยศ!”

       “เจ้าไม่เคยทรยศข้า! ข้าต่างหากที่ทรยศความรู้สึกของเจ้า!” เสียงตะโกนที่ดังกลับมาทำเอาหัวใจแทบหยุดเต้น รู้สึกเหมือนถูกแทงมีดที่ท้องจนมิดด้าม แต่กลับปลอบใจด้วยคำขอโทษ บางทีสิ่งที่เกิดขึ้นก็ยากเกินกว่าจะลบด้วยคำพูดได้ แต่ทำไมในใจดวงในกลับสั่นไหวเหลือเกิน

       จะทำอย่างไรกับหัวใจตัวเอง

       ความแค้นความเกลียดชังเพิ่มพูนจนเต็มร้อย ทว่า..คำว่ารักเพียงคำเดียวที่อาจหลงเหลือเพียงเสี้ยวใจ จะสามารถลบสิ่งเหล่านั้นได้จริงหรือ เขาก็ยังไม่รู้ตัวเอง


       “ทรงกลับไปเสีย กระหม่อมไม่มีสิ่งใดที่จะทำเพื่อพระองค์อีกแล้ว”

       “ราซิส...” น้ำเสียงที่เรียกชื่อเขาอย่างคุ้นเคยนั้น ทำเอาร่างกายเจ็บปวดยิ่งนัก เขาพยายามบอกตัวเองว่าห้ามแสดงความอ่อนแอ และจะไม่หันหลังกลับไปมอบหัวใจ แต่ทำไมตรงอกนี้ กลับมิอาจทานคำพูดต่อจากนี้ได้

       ประโยคที่หลอมละลายทุกอย่างออกจากใจ

       “เจ้าคือคนของอนาคาน และเจ้าจะเป็นตลอดไป”

       อสรพิษเลื้อยหายไปจนลับตา ทว่าเสียงเย็นทุ้มกลับก้องในหัวจนยากจะฝืนหัวใจ ใต้แผ่นอกนี้เจ็บปวดเหลือเกิน แต่ในขณะเดียวกันกลับเหมือนได้รับหยาดน้ำที่หวานฉ่ำจากท้องฟ้า มาราดรดบนดวงใจที่แห้งแล้งแตกละเอียด

       ขาทั้งสองไร้เรี่ยวแรง พิงกายลงที่ข้างกำแพง

       น้ำใสๆ จากริมขอบตาหยดลงมาบนพื้น..

       รอยยิ้มที่ไม่อาจวัดได้ ว่าสุขใจหรือสมเพชตัวเอง ประดับไว้บนดวงหน้า

       บางที..นี่อาจจะเป็นอย่างสุดท้ายที่เขาทำได้ เพื่อเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งให้หวนคืน..

       ไม่ว่าเขาจะไม่อยากให้อภัยอนาคานก็ตาม..

 

ออฟไลน์ EtuDe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-0
ค่ำคืนที่ 19 : ของขวัญ Part 2


        “ได้ข่าวคนของเราบ้างหรือเปล่า”

       ภายในห้องพักหรูของโรงแรมชั้นหนึ่งในอาราบัส ค็อตเลอร์นั่งอยู่ที่โต๊ะรับแขกชิดกับขอบหน้าต่างหน้า บุหรี่ที่อยู่ในมือถูกยกขึ้นมาสูบแล้วพ่นควันสีเทาออกมาจากปากครั้งแล้วครั้งเล่า ราวกับพยายามผ่อนคลายความตึงเครียด เมื่อไม่ได้รับข่าวการเคลื่อนไหวอะไรเลยตั้งแต่ 2 วันก่อน

       “ไม่มีการตอบกลับเลยครับศาสตราจารย์” ลูกน้องของเขาที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามตอบเสียงแผ่ว ค็อตเลอร์ปรายตามองคนที่ให้คำตอบ คิ้วหนาขมวดเข้าหากันเริ่มไม่สบอารมณ์ เขาคิดไว้อยู่แล้ว ว่าจดหมายเชิญที่ได้รับมามีอะไรแปลกๆ ถึงเนื้อความข้างในเหมือนจะรู้สิ่งที่เขาต้องการ แต่ข้อแลกเปลี่ยนที่ได้กลับมาเป็นเพียงแค่อากาศเปล่าๆ

        เขาไม่รู้ว่าคนที่ส่งจดหมายมานั้นคือใคร รู้แต่เพียงว่า ชื่อเมืองที่ระบุอยู่ข้างใน คือเมืองโบราณที่นามว่า ซาคาเดียร์

       ด้วยความที่เขาไม่มีอะไรจะเสีย เขาจึงจำยอมรับข้อเสนอกับคนที่เขาไม่รู้จัก ซึ่งบอกว่าจะนำตัวเด็กคนนั้นมาให้ หากแลกกับระเบิดเล็กๆ น้อยๆ แต่ด้วยความสังหรณ์ใจ เขาจึงส่งลูกน้องตัวเองไปแทนที่จะเป็นตัวเขา จนป่านนี้ก็ยังไม่ได้ข่าวอะไรกลับมา

       “แต่...มีข้อมูลใหม่เรื่องนึงนะครับที่น่าสนใจ” ชายหนุ่มเสนอขึ้นอย่างยินดี ค็อตเลอร์ตีสีหน้าสงสัยขึ้นทันที

       “ศาสตาจารย์จำเมืองที่ชื่อนาคานได้ไหมครับ สายของเราในนั้นรายงานมาว่า ราชาแห่งอนาคานจะทรงเข้าพิธีอภิเษกสมรสกับพระชายาต่างชาติ ว่ากันว่าเขาเป็นผู้ชายน่ะครับ” ได้ยินกระนั้น คิ้วหนาก็ขมวดลงครุ่นคิด

       ราชากับผู้ชายในตำแหน่งพระชายาดูแล้วไม่น่าจะเป็นไปได้เลยในยุคปัจจุบันนี้ และเหมือนจะเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะยอมรับกับชาวโลก แต่หากประเทศนั้นเป็นประเทศเล็กๆ ที่ไม่มีใครรู้จักแล้วล่ะก็ ข่าวนี้ก็เป็นเสมือนข่าวในที่คนนอกยากจะรับรู้ โชคดีจากการที่เขาส่งคนไปวางระเบิดที่ อนาคาน โดยผ่านตัวกลางอย่างซาคาเดียร์ซึ่งเป็นอดีตคนของที่นั่น ลูกน้องของเขาเลยฝ่าเข้าไปได้ไม่ยากเย็น ทว่าก็ไม่ได้คำตอบอยู่ดีว่า ไอเด็กเจ้าปัญหาที่เขาต้องการตัวอยู่ที่อนาคานจริงหรือไม่ เพราะไม่ทันที่คนของเขาจะกลับมารายงาน ก็เหมือนถูกฆ่าตายไปเสียก่อน แต่ถ้าเขาจำไม่ผิด ข่าวสุดท้ายที่ซาคาเดียร์ก่อนหน้าที่ลูกน้องเขาจะหายตัวไป ลูกน้องของเขาได้แจ้งข่าวมาว่ากำลังรอคอยราชาแห่งอนาคานเสด็จมาที่ซาคาเดียร์เพื่อมารับคนที่คิดปลงพระชนม์ราชินี

       หากเป็นเช่นนั้น..ก็มีความเป็นไปได้สูง ว่าอนาคานอาจขัดแย้งกับซาคาเดียร์ในเรื่องบางอย่าง และการอภิเษกกับเด็กหนุ่มต่างชาติ แถมยังเพศเดียวกัน ก็นับได้ว่าผิดมนุษย์มนาพอสมควร แต่สำหรับคนที่เป็นราชาเป็นเรื่องที่ไม่ควรเปิดเผยให้ใครรับรู้ ถึงแม้จะเป็นราชพิธีภายในก็ไม่ควรอยู่ดี เพราะประชาชนอาจจะไม่ยอมรับ ยกเว้นแต่ว่าผู้ชายคนนั้นเป็นคนที่มีอะไรดีจนคาดไม่ถึง เขาไม่รู้ว่าฝ่ายนั้นคิดอะไรอยู่แต่ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าผู้ชายคนนั้นที่อภิเษกกับราชา อาจจะเป็นคนที่เขาตามหา เพราะหากไล่ความสัมพันธ์ที่รุมกันยุ่งเหยิง อาจมีเหตุบางอย่างที่สอดคล้องกัน ค็อตเลอร์ลองคิดภาพความสัมพันธ์ที่น่าจะพอเป็นไปได้

       หากไล่มาจาก คุณสมบัติของคนที่เขาตามหา มิกิ ถือเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาดี ในตัวมีเซรุ่มสมบูรณ์แบบของดอกเพเซียผสมอยู่ในเลือด แต่ทำไมกันหนอพอนึกถึงเหตุผลถึงเรื่องที่ราชาแห่งอนาคานจะแต่งงานกับมิกิแล้ว กลับไม่พบผลประโยชน์ข้อไหนที่เอื้ออำนวยเลยสักนิด กลับมีแต่ข้อเสียอยู่เต็มไปหมด ทั้งในเรื่องของชื่อเสียงที่ทรงอภิเษกกับเพศเดียวกัน และเรื่องที่ขัดแย้งกับซาคาเดียร์ เพราะอาจผิดรักกับราชินี หากนำข้อมูลทุกอย่างมาสนับสนุนให้คิดว่าพระชายาคนนี้คือคนที่เค้าตามหาละก็  คือหนึ่งเป็นผู้ชาย สองคือเป็นชาวต่างชาติ และสามคือ ก่อนที่มิกิจะหายตัวไป เขาได้นำรูปของเจ้าตัวและสอบถามชาวเมืองอาราบัส ก่อนจะได้คำตอบหนึ่งที่น่าสนใจจาก พ่อค้าขายผ้าคลุมเกล็ดงูคนหนึ่งว่ารับซื้อผ้าคลุมมาจากเด็กคนนี้  ซึ่งผ้าคลุมนี้เป็นผ้าคลุมหายาก ว่ากันว่าได้มาจากเมืองโบราณนามว่าอนาคานเท่านั้น

       หึ..ทั้งหมดเป็นแบบนี้สินะ

       รอยยิ้มชั่วร้ายกระตุกที่มุมปาก ก่อนยกบุหรี่ขึ้นมาสูบจนเต็มปอดและพ่นออกจนสุด ใบหน้าของชายวัยกลางคนเงยขึ้น ดวงตาใต้กรอบแว่นหรี่ลงยากจะคาดเดา

       “เตรียมตัวให้พร้อม เราจะไปร่วมเป็นสักขีพยานรักครั้งนี้แด่องค์ราชา” กระตุกยิ้มเย็นเยียบ ดวงตามองออกนอกหน้าต่างยังพื้นฟ้าดับสนิท ทว่า...เขากลับรู้สึกเหมือนดวงดาวให้ชัยชนะปรากฏอยู่ข้างกาย

       พระชายาแห่งอนาคานงั้นหรือ..คิดไม่ถึงเหมือนกันนะมิกิ

 


            สองสัปดาห์ให้หลัง..

            กลิ่นบุปฝาอบอวลโชยตลบในห้องเตรียมฉลองพระองค์ในราชพิธีสำคัญ สองไหล่ประดับผ้าคลุมสีขาวขลิบทองปราณีตยาวลากพื้น ลายบนผ้าคือเทพธิดาเปลือยกายโอบกอดอสรพิษสีเงิน บนบ่าบางปักติดด้วยบั้งอสรพิษทองคำ มีชายพู่สีเหลืองห้อยระย้าลงมาอย่างงดงาม อาภรณ์แห่งพิธีสูงศักดิ์ถูกสวมใส่โดยคนที่ใครต่างก็ไม่คาดคิด ใบหน้าหวานถูกบังคับให้เชิดขึ้นเล็กน้อย ตามคำสั่งของคนที่กำลังแปลงโฉมให้สายเลือดต่างแดน เป็นบุปผาเคียงราชัน ผงแป้งสีเนื้ออ่อนค่อยๆ ปะพรมด้วยแปรงปัดบนใบหน้า ริมฝีปากกดเม้มลงบนกระดาษแดงแผ่นเล็กที่ยื่นให้อย่างว่าง่าย ก่อนกลีบปากเคลือบเป็นสีทับทิม น้ำหอมฉีดพรมไปตามร่างกาย จนโชยฟรุ้ง

       ดวงตากลมโตงดงามดุจแสงมรกตลืมขึ้น กลีบปากบางเผยอขึ้นเล็กน้อยเหมือนอยากพูดบางสิ่ง ทว่าหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะนี้กลับทำให้เขานิ่งเงียบไป เหมือนในหัวมันว่างเปล่าไปหมด

         หลังจากกลับมาถึงอนาคาน..ผ่านไปแค่สองอาทิตย์ ในที่สุดก็มาถึงวันอภิเษกสมรส

       มิกิไม่เข้าใจว่าบาซิกค์ต้องการสิ่งใด ทั้งที่อนาคานเพิ่งสูญเสียบุคคลสำคัญอย่างองค์ชายบาฮาลไปได้ไม่พ้นเดือน แต่กลับจัดพิธีมงคลอย่างรวดเร็วขึ้นทับราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น

       เขาอยากจะคัดค้าน อยากให้ทนรอ และไว้อาลัยกับคนที่เสียสละเพื่อบ้านเมือง แต่สุดท้ายคำขอของเขาก็เป็นเพียงลมพัดผ่านมาและผ่านไป..

       เขาไม่สิทธิ์..

          เขาไม่มีอำนาจ..

          เป็นเพียงทาสผู้อาศัย..

            จากวันนั้น เขาก็ไม่คุยกับบาซิกค์อีกเลยหรือแม้แต่จะเจอหน้า รู้แต่เพียงว่าอีกไม่นาน..เขาจะต้องอภิเษกสมรสกับราชาแห่งอนาคานเพื่อจบเรื่องทุกอย่าง บาซิกค์จึงส่งคนมาคอยดูแล และสอนถึงธรรมเนียมปฏิบัติต่างๆ ของอนาคาน ที่เขาต้องกระทำตามอย่างไม่มีข้อแม้ก่อนเข้าพิธี ตั้งแต่คำราชาศัพท์ การวางตัว และท่าทีที่ต้องสง่าผ่าเผยทุกกิริยาราวกับเขากำลังเป็นราชีนีที่ยิ่งใหญ่เคียงกษัตริย์

       แต่เขาไม่ใช่.. เพราะเขาเป็นเพียงแค่คนธรรมดาที่ใช้ชีวิตโลดโผนอิสระ แต่เมื่อรู้ว่าอีกไม่นานชีวิตของตัวเองกำลังเข้ามาอยู่ในกรอบของราชวงศ์ เขากลับรู้สึกไม่เป็นตัวเองเลยสักนิด แม้จะเคยได้ยินอยู่บ่อยๆ ว่าการเป็นราชีนี หรือการได้เป็นเจ้าหญิงเป็นสิ่งที่ผู้หญิงทุกคนควรใฝ่ฝัน ทว่าเพศที่ตรงกันข้ามนี้มันกลับทำให้เขาประหม่าจนไม่มั่นใจ อีกทั้งยังมีเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่งที่ค้างอยู่ในใจ และมันบอกเขาว่าเรื่องนี้ไม่ควรเกิดขึ้น!

            บาซิกค์รู้ว่ามีกลุ่มคนกำลังต้องการตัวเขา ถึงจะเป็นการจัดพิธีเพียงแค่ภายใน ที่รับรองความปลอดภัยได้มาก แต่ก็อดที่จะเป็นกังวลจนทำตัวไม่ถูก

       อนาคานยังคงเป็นประเทศที่ปิด และไม่คิดจะเปิดเผยตัวตนเพราะมีความลับมากมายที่มิอาจให้ใครล่วงรู้ได้ และด้วยเพราะความที่เป็นเมืองโบราณนี้เอง เขาจึงไม่คาดคิดว่าประชาชนจะรับทั่วทั้งหัวใจ

       จะทำอย่างไรหากเกิดการต่อต้าน

       จะทำอย่างไรเขาถึงสามารถยืนในฐานะนี้ได้อย่างสมเกียรติ

       หากโลกภายนอกรู้เข้า อนาคานคงตกเป็นข่าวยักษ์ใหญ่น่าดู ที่รู้ว่าเมืองโบราณนี้มีพระชายาคู่บัลลังก์เคียงราชาเป็นเพศชาย แถมยังเป็นชาวต่างชาติ

       แม้ตัวเขาจะไม่มีอะไรให้เสีย ไม่มีอะไรให้อับอาย เพราะชีวิตสูญเสียไปหมดทุกสิ่งแล้ว แต่มาวันนี้ วันที่กำลังจะประกาศให้ทุกคนได้รับรู้ว่า เขามีตัวตนในฐานะคนรักของราชา มันทำให้เขาเริ่มกลัวจนอยากจะเปลี่ยนใจ

         แต่ถึงเป็นแบบนั้น ก็สายเกินไปที่จะปฏิเสธทุกอย่าง ราวกับโชคชะตากำลังนำพาเขาไปในเส้นทางที่ถูกลิขิตมาไว้แต่แรก..และทำให้เส้นทางที่จะทำให้ชีวิตที่ไม่มีอะไรเลยของเขา กลายเป็น..พระชายาของแผ่นดิน

            “พระชายาได้เวลาเสด็จแล้ว พะย่ะค่ะ” ประโยคสูงศักดิ์ที่ควรพูดกับเชื้อพระวงศ์ถูกมอบให้เขา

        มิกิหลุดออกจากภวังค์ พยายามปรับลมหายใจและหัวใจที่ดูเหมือนไม่สงบนี้ให้มั่นคงมากที่สุด

       นัยน์ตาคู่สวยหลับลง ปล่อยให้ผ้าผืนบางสีแดงคลุมบดบังใบหน้า ก่อนสิ่งสุดท้ายจะค่อยๆ สวมลงศีรษะ

       รัดเกล้าของราชินี..

            ชีวิตใหม่พร้อมแล้ว..

 

            เสียงระฆังลั่นกังวาน แสงอาทิตย์ร้อนแรงลอดผ่านหมู่มวลก้อนเมฆสดใส หลังพายุร้ายได้จบสิ้นลง ชีวิตหนึ่งก็พบกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่

       ท้องพระโรงเต็มไปด้วยเหล่าบรรดาเหล่าผู้อาวุโสในต่ำแหน่งสำคัญต่างๆ ทั้งราชเลขา สมุหนายก ทูตให้มาเข้าร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีศักดิ์สิทธิ์กันอย่างครบครัน

       ทันทีที่เสียงระฆังกังวานดังอีกครั้ง บันไดขั้นบนสุดปรากฏร่างที่ทุกคนรอคอย ความงดงามดุจเทพธิดาจำแลงกายก็พานให้เสียงเซ็งแซ่นั่นเงียบสนิท สายตานับร้อยดูตกตะลึงมองไปทางเดียวกันเมื่อได้ยลโฉมชายาของแผ่นดิน

       ร่างบางยืนสงบใจอยู่ชั่วครู่ เรียวขาค่อยๆ ก้าวลงจากบันไดท้องพระโรงของราชวังไปตามพรหมแดง โดยมีราชบริวารที่แต่งกายด้วยชุดสีขาวสะอาดประกอบอยู่สองฝั่ง คอยโปรยกลีบกุหลาบในพานทองลงบนพื้น

       แต่ละย่างก้าวนั้นต้องเชื่องช้า สง่างาม ราวกับว่าต้องการตรึงสายตาจากผู้คนให้มิอาจถอดถอน แม้ใบหน้าชายาแห่งแผ่นดินนั้นจะถูกผนึกด้วยผ้าคลุมสีแดงมิให้ใครได้ยลโฉม ทว่าเพียงแค่ได้เห็นอาภรณ์สูงศักดิ์กับรูปร่างที่งดงาม กลับยิ่งทำให้ดูมีสง่าราศีสมดั่งเทวีเคียงกับฝั่งฟ้าเทวัน

       ใต้ใบหน้าที่ซ่อนเอาไว้ มิกิรู้สึกประหม่า..จนเผลอลอบกลืนน้ำลายลงคอไปหลายอึก สัมผัสได้ถึงขาทั้งสองขาแข็งเกร็งไปหมดในแต่ละย่างก้าว ส่วนหัวใจก็เต้นแรงจนไม่รู้ว่าจะควบคุมตัวเองได้นานแค่ไหน ตั้งแต่เกิดมา ไม่เคยคิดเคยฝันมาก่อนว่าจะได้แต่งงานกับใคร และยิ่งไปกว่านั้น คือไม่คิดว่าต้องมาเป็นเจ้าสาวให้กับใคร!

       แต่พอมาถึงวันนี้ วันที่เขาได้สวมชุดพระชายาของแผ่นดิน มันกลับทำให้เขาพูดอะไรไม่ออก ไม่ใช่เพราะความดีใจ แต่เป็นความกังวลที่พกมาอยู่เต็มหัวใจต่างหากที่ทำให้สับสน..

       สิ่งที่กำลังทำอยู่ตอนนี้ช่างไกลเกินฝัน..

       และไม่มีชายคนใดจะได้เป็นอีกแล้ว..

       จากวันนั้น..ถึงวันนี้ ภาพความทรงจำต่างๆ ปรากฏเข้ามาในหัวเต็มไปหมด ทั้งดีและไม่ดีปะปนจนตื้นในอก ทว่า..บทสรุปสุดท้ายกลับพลิกแพลงออกไปจากอย่างที่ควรจะเป็นไว้มาก บาซิกค์กำลังรอเขาอยู่ลานพิธีด้านนอกนั้น และอีกไม่นานฐานะคนธรรมดานี้ก็จะต้องสละทิ้ง..

       เขาจะกลับไปใช้ชีวิตปกติได้ไหมนะ..

       และชื่อเสียงของอนาคานจะต้องป่นปี้เพราะตัวเขาไหมนะ

       คำถามเหล่านี้ดังก้องทับทบอยู่ในหัวซ้ำแล้วซ้ำเล่า กระทั่งเสียงป่าวประกาศจากราชบริวารที่ทำหน้าที่นำเสด็จดังขึ้นเมื่อเขาเดินมาถึง ประตูหน้าพระราชวัง


       “พระชายาเสด็จแล้ว”

       ทุกอย่างเงียบกริบลงในบัดดล เสียงกลองแทรกขึ้นดังเป็นจังหวะรับตึงตัง พลันเอาหัวใจเต้นแรงตามไปด้วย แต่ทันทีที่ดวงตาคู่สวยทอดมองผ่านม่านคลุมศรีษะของตัวเอง เนื้อตัวก็เย็นเฉียบ เมื่อโดยรอบกลับรายล้อมไปด้วยประชาชนของอนาคานที่มาเข้าเฝ้าล้นหลามเต็มทั้งสองฝั่งฟาก โชคดีที่ใบหน้าของเขามีผ้าปิดอยู่ผู้คนจึงไม่เห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวล กระทั่งราชบริวารที่ทำหน้าที่นำเสด็จ เห็นพระชายาไม่ยอมก้าวลงจากบันไดเสียที จึงโค้งคำนับเป็นสัญญาณ

       “เชิญเสด็จพะย่ะค่ะพระชายา”

       ราชบริวารเผยมือไปด้านหน้า มิกิได้สติกลับคืนมา นัยน์ตาสีอ่อนมองไปตามทางเดินที่ถูกพรมโปรยด้วยกลีบดอกไม้และเสาสลักรายอสรพิษ ทอดออกไปสุดสายตาคือลานพิธีกว้างใหญ่ที่ยกขึ้นสูงจากพื้นดิน บนนั้นมีโต๊ะยาว เครื่องเสวยมากมาย และแท่นพิธีศักดิ์สิทธิ์ตั้งอยู่ ทว่าสิ่งที่ดึงสายตาของเขาไปจนมิอาจถอดถอนได้ กลับเป็นร่างสูงสง่าจากชายผู้ปกครองสูงสุดแห่งอนาคาน ในชุดสีขาวบริสุทธิ์ ที่กำลังมองมาทางเขานิ่ง

       สายลมพัดโชยเกล็ดทรายไปในอากาศ..

       ใบหน้าใต้มงกุฎของราชา งดงามดั่งองค์เทพจุติพื้นภพ..

       ดวงตาเรียวคมของเทพนาคิน ปรากฏเพียงภาพของตัวเขา..

       ได้ยินเสียงหัวใจเต้น ‘ตุบ’ดังอยู่ข้างใน..

       รอยยิ้มที่คลี่ออก แม้จะเห็นเพียงบางเบา แต่กลับสัมผัสได้ว่าเขาคือเจ้าของ..เพียงผู้เดียว

       แค่นั้น ก็พลันทำให้รอบขอบตากลับเริ่มร้อนผ่าวขึ้นมา ความกังวลทั้งหมดมลายหายไปดุจมีเวทมนต์มาหลอมละลาย คำพูดเดียวที่เขาอยากบอกที่สุดก็คือ..

 

       ขอบคุณนะ บาซิกค์

 
 

ออฟไลน์ EtuDe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-0
ค่ำคืนที่ 19 : ของขวัญ Part จบ


            อีกทางด้านหนึ่งในกลุ่มคน หัวหน้านักวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ ได้แอบมองดูเหตูการณ์ทุกอย่างอยู่หลังฝูงชน ไม่ใกล้ไม่ไกลจากลานพิธีที่จัดอย่างโจ่งแจ้ง ทันทีที่ได้ยินเสียงป่าวประกาศว่าพระชายาเสด็จ รอยยิ้มชั่วร้ายก็ยกขึ้นที่มุมปาก คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าพิธีอภิเษกสมรสของเมืองนี้จะจัดขึ้นกลางแจ้ง

            แบบนี้ทุกอย่างก็ง่ายสำหรับเขาแล้วสินะ

            ค็อตเลอร์เผลอคิดในใจ อย่างไรเขาก็ไม่ต้องสนใจอะไรกับประเทศเล็กๆ นี่หรอกจริงไหม ถึงมีความเป็นไปได้ ว่าอาจจะเป็นข่าวดังครึกโครมหากเขาลงมือทำอะไรลงไป แต่ใช่ว่าจะสามารถจับตัวเขาได้ เพราะไม่นานเรื่องนี้ก็อาจจะต้องถูกเก็บเงียบไม่มีคนสนใจ ปกปิดพลางตัวสักหน่อย ก็คงจับมือใครดมไม่ได้ และถึงแม้จะรู้ว่าเป็นใคร แต่คงไม่มีหลักฐานจะเอาผิดเขา

 
            หลังจากที่ทราบเรื่องทุกอย่าง เขาก็ได้ส่งคนมาดูลาดเลาในเมืองแห่งนี้แล้ว และเมื่อพบว่าเป็นพิธีกลางแจ้งแผนของเขายิ่งง่ายขึ้น!

            “ทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้วหรือยัง”


            “คนของเราอยู่ประจำจุดแล้วครับศาสตราจารย์” ได้ยินคำตอบ รอยยิ้มเหี้ยมก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า

 
            “ได้เวลาถวายพระพรแด่พระราชาแล้ว” ค็อตเลอร์เดินออกจากฝูงคน มุ่งตรงไปออกไปนอกเมืองในทันที

 
 

            “ขอให้พระองค์ทั้งสอง ทรงหยดพระโลหิตลงในถ้วยปฏิญาณด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

            เสียงจากผู้อาวุโสผู้ทำหน้าที่ดำเนินพิธีประกาศต่อองค์สมมุติเทพทั้งสอง เวลานี้เขายื่นอยู่ลานพิธีเบื้องบน บนโต๊ะมีเครื่องเสวยมากมาย ทั้งผลไม้ และเนื้อสัตว์ เป็นเครื่องเซ่นไหว้ขอพรจากบรรพบุรุษเทพนาคิน เหนือขึ้นไปตรงกลางคือถ้วยกระเบื้องลายเกล็ดนาคิน ด้านในบรรจุเลือดของงูศักดิ์สิทธิ์ขนาดใหญ่เอาไว้ มีมีดเล่มเล็กวางไว้บนพานทองด้านหน้า จากที่เขาฟังมาในช่วงเวลาที่ต้องเตรียมตัว พิธีนี้ทั้งเขาและบาซิกค์จะต้องใช้มันกรีดฝ่ามือของตัวเอง แล้วให้เลือดหยดผสมลงไปในถ้วยปฏิญาณ เพื่อแสดงความเป็นหนึ่งเดียวกับองค์เทพนาคิน และดื่มมันให้หมด

            มิกิหันมองบาซิกค์ผ่านผ้าคลุมใบหน้า ราชาแห่งอนาคานเผยยิ้มเรียบมาให้เพื่อให้เขาอุ่นใจ ก่อนพระหัตถ์เปี่ยมอำนาจจะใช้มีดกรีดเข้าที่มือของตัวเอง จนพระโลหิตไหลออกมาจากรอยแผล ก่อนจะยื่นออกไปที่ถ้วยปฏิญาณ แล้วหยดพระโลหิตลงไปให้กลืนเป็นหนึ่งเดียวกัน

         มิกิทำตามอย่างองค์เทพ จนหยาดเลือดจากอุ้งมือหยดลงบนน้ำปฏิญาณ ผู้อาวุโสที่ดำเนินพิธีเห็นขั้นตอนทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ก็พยักเบาๆ หนึ่งครั้ง ก่อนจะใช้ถ้วยทองคำเล็กๆ ตักน้ำที่ผสมพระโลหิตจากสมมุติเทพแห่งอนาคานทั้งสองพระองค์ขึ้นมาจากถ้วยปฏิญาณแล้วยื่นให้

            พระชายาแห่งนาคินมองน้ำสีแดงเข้มในถ้วยทองอย่างลังเลใจ แต่สุดท้ายก็รับมาอย่างเสียไม่ได้ บาซิกค์มองเขานิ่งแต่ก็มิได้เอ่ยสิ่งใด แต่เขากลับรู้สึกกดดันตัวเองอย่างห้ามไม่ได้ เพียงแค่ดื่มน้ำในถ้วยนี้จนหมด ชีวิตของเขาก็จะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น และมีทุกอย่างตามต้องการ แต่ทำไมถึงได้รู้สึกว่ามีบางอย่างที่มันไม่ถูกต้อง บางอย่างมันค้างคาจนทำให้ไม่กล้าที่จะดื่มมันลง

            “เป็นอะไรไป มิกิ” เสียงทุ้มนุ่มทำเอาคนที่กำลังคิดสะดุ้ง

            “ขะ...ขออภัยฝ่าบาท” ท้ายที่สุดพอดึงสติกลับคืนมาได้ เมื่อรู้ว่าคิดอะไรที่ไม่สมควร ก็รีบกลั้นใจค่อยๆยกถ้วยน้ำปฏิญาณของตัวเองขึ้นจรดริมฝีปาก น้ำหยดแรกกลืนลงสู่ลำคอ รสเค็มหวานเฝื่อนๆ ของเลือดงูทำให้เขารู้สึกแปลกๆ แต่ก็ไม่ได้แย่เหมือนอย่างที่คิดไว้ซะทีเดียว ไม่นานร่างกายกลับค่อยๆ ร้อนรุ่มขึ้นมาทีละนิด


            สิ้นหยดสุดท้ายของน้ำในถ้วย มิกิเม้มริมฝีปากลง ยื่นถ้วยให้แก่ผู้อาวุโสที่ยิ้มรับ เมื่อทั้งคู่ทำพิธีเสร็จสิ้นแล้วก็มาถึงขั้นต่อไป

            “จากนี้ไปทรงเปิดพระพักตร์พระชายา ได้แล้วพะย่ะค่ะ”

            พูดจบผู้อาวุโสก็ถอยหลังออกห่างอย่างรู้หน้าที่ ทุกอย่างเงียบลงฉับพลัน มีเพียงแค่เสียงสายลมที่โชยพัดรายล้อม มิกิมองใบหน้างดงามประหนึ่งองค์เทพจุติของชายตรงหน้า แม้เมื่อก่อนจะเคยรู้สึกหวาดกลัวดวงตาคมกริบนี้ เพราะมีแต่ความโหดร้ายเย็นชาที่เขาได้รับ แต่มาบัดนี้ ในดวงเนตรกลับแสดงความอ่อนโยนและจริงใจจนไม่คาดคิด

            ทำไมกัน..ทั้งๆ ที่ไม่คิดจะรักชายผู้นี้ แต่กลับอดคิดอย่างเห็นแก่ตัวไม่ได้  เขามันเป็นเด็กน้อย..เด็กที่ไม่เคยได้รับความรักความอบอุ่นจากใครจนสุดทาง ถึงวินาทีที่จะถึงข้างหน้านี้ ด้วยความรักจากอ้อมกอดของชายผู้นี้ห่อหุ้มเขาไปทั้งหัวใจ ก็อดกลัวไม่ได้อยู่ดี

 
            บาซิกค์จะจากเขาไปเหมือนคนอื่นไหม

            เด็กปากมากอย่างเขาดูไม่คู่ควรเลยสักนิดแต่ทำไม ถึงไม่อยากเอ่ยปากปฏิเสธความรักของคนคนนี้

            ราวกับหัวใจมันต้องการหาที่ผูกมัด เพราะมันเหนื่อยที่จะเดินหาเต็มทน

            อยากจะรัก..

            อยากอยู่ด้วยกัน

            ตลอดไป..

            มือนั้นกำลังเลื่อนชายผ้าคลุมที่ปิดบังความรู้สึกกังวลของเขาออก เผยให้เห็นสัดส่วนทีละนิด ทั้งริมฝีปากบางสีแดงอ่อน จมูกโด่งสัน ก่อนจะมาหยุดอยู่ที่ดวงตาสีสวยเปล่งประกาย ใบหน้าของเจ้าแผ่นดินใกล้เพียงลมหายใจ เวลาเหมือนจะถูกสะกดหยดไว้แล้ว แต่..

 

            ปัง!!

            เสียงปืนลั่นขึ้นฟ้าซึ่งไม่รู้ดังมาจากทิศใดทำเอาทุกอย่างพังทลาย เสียงกรีดร้องดังขึ้นจากกลุ่มฝูงชนที่วิ่งหนีกันหัวซุกหัวซุนอยู่ด้านล่าง พระเนตรสีอำพันเบิกกว้าง พยายามมองหาต้นเหตุอย่างเร่งรีบ แต่ประชนกลับวิ่งหนีกันให้วุ่นวายจนไม่รู้ใครเป็นใคร มิกิรู้สึกใจคอไม่ดี สังหรณ์ใจในเรื่องบางอย่าง แต่ไม่ทันได้คิดอะไรไกล วัตถุบางอย่างถูกโยนมาจากฝูงชนขึ้นบนลานพิธีต่อหน้าใครบางคนที่ยืนข้างข้างกาย!

            “บาซิกค์...” เสียงเรียกนั้นแผ่วเบาจนใจหล่นวูบ ใบหน้าหวานซีดลง ดวงตาคู่สวยมองมาที่เขาราวกับเป็นครั้งสุดท้าย..

 

            “มิกิ!”

 

            ตูม!

 
            วินาทีถัดมาระเบิดควันสีเทาก็ฟุ้งกระจายไปทั่วจนมองไม่เห็นสิ่งใด กลุ่มก๊าซขยายออกเป็นวงกว้าง จมูกโด่งสันเผลอสูดดมเพียงนิดเดียวก็รู้สึกแสบทั้งที่ขอบตาและลำคอ มิกิไอสำลักควันออกมาเป็นจำนวนมาก ร่างกายที่เคยยืนขึ้นทรุดลงฮวบอยู่กับพื้น มีเสียงปืนดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง เขาพยายามมองหาบาซิกค์ทั้งที่น้ำตาคลอฉ่ำ แต่สิ่งที่เห็นกลับทำให้หัวใจหล่นวูบ เมื่อเห็นเงาคะครุ่มดำตรงหน้ากำลังจะกลายร่างเป็นนาคิน

            ไม่ได้ ไม่ได้เด็ดขาด พิธีนี้ไม่ได้มีแค่ชาวอนาคาน! และมั่นใจว่าไม่ใช่ซาคาเดียร์ แต่เป็น..

            “อย่านะบาซิกค์! อุบบ..อื๊อ!” ไม่ทันได้เอ่ยห้ามจนจบ ผ้าผืนใหญ่ก็โปะเข้าที่จมูกกับริมฝีปากจนมิด มิกิพยายามออกแรงดิ้น กายบางพยายามสะบัดให้หลุดจากการลอบจู่โจม แต่ยิ่งนานเข้าก็รู้สึกอ่อนแรงลงทุกที ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นอีกครั้ง เงาสีดำที่กำลังขยายใหญ่ทรุดตัวฮวบลงตรงหน้า ดวงตาสีเขียวอ่อนเบิกโพลนทั้งน้ำตาที่คลอฉ่ำ หัวใจหล่นหายไปอยู่แทบเท้า เนื้อตัวสั่นสะท้านราวจะใกล้จะขาดใจ แต่ไม่ทันได้เอื้อมมือไปคว้า คนตรงหน้าเอาไว้ ภาพทุกอย่างที่เห็นพร่าเบลอจนเหลือแต่ภาพสีดำ...

 


           อีกด้านหนึ่งบริเวณทะเลทรายไม่ใกล้ไม่ไกลจากประตูทางด้านหลังของนครเมืองโบราณแห่งอนาคาน เฮลิคอปเตอร์ลำใหญ่ถูกติดเครื่องจอดรอ พอเห็นรถจิ๊บคันหนึ่งวิ่งออกมาจากเมือง คนที่นั่งรออยู่ในนั้นก็แสยะยิ้มรับ เมื่อเห็นร่างผอมบางที่อยู่ในอาภรณ์สูงศักดิ์นั้นถูกแบกลงมา

            ค็อตเลอร์หรี่ตาลงมองคนที่หลับไม่ได้สติพลางเดาะลิ้นอย่างสบายอารมณ์ มือเลิกผ้าคลุมศีรษะสีแดงขึ้นพร้อมรัดเกล้าทองคำ ทันทีที่เห็นใบหน้าของพระชายาแห่งอนาคานอย่างใกล้ชิด ก็ส่ายหน้าหน่ายราวกับไม่คาดคิด

 
            “คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าวิธีการเอาตัวรอดของเจ้าเด็กนี่จะมาเหนือชั้น” มือหยาบเกลี่ยลงบนแก้มขาวนุ่มของเด็กหนุ่มที่หลับไม่ได้สติ

            “แต่ยังก็ไงเถอะ นายก็ไม่รอดมือฉันอยู่ดี” รอยยิ้มร้ายยกขึ้น ก่อนจะหันไปสั่งลูกน้องของตัวให้นำเครื่องขึ้น ในที่สุดเวลาที่เขารอคอยก็มาถึง

 
             “ได้เวลากลับบ้านแล้ว มิกิ

ออฟไลน์ lahlunla

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 158
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
ไม่นะมิกิ

ชะตาชีวิตของมิกินี่ชีพจรลงเท้าสินะ ไปไหนมาไหนแบบไม่เต็มใจตลอด

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ JY_JRB

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 60
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
- - เยอะไปม่ะ เรื่องวุ่นวายเหนี่ย ... เปลืองตัวเยอะมาก  เจ็บตัวพะรุงพะรัง  กว่าจะแฮปปี้ (ถอนหายใจแรงๆ)     :angry2:

ออฟไลน์ EtuDe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-0
ค่ำคืนที่ 20 : ดวงตาเทพนาคิน Part 1

         พอฟื้นขึ้นมาก็มาอยู่ที่ห้องสี่เหลี่ยมแปลกตาที่ล้อมรอบด้วยกำแพงทึบหนาสีเทา มีเพียงแค่เตียงนอนแข็งๆ กับแสงสว่างที่รอดผ่านช่องประตูมาจากด้านล่าง

         กระทั่งความปวดหนึบแล่นเข้ามาที่ขมับ รู้สึกเหมือนหัวสมองจะระเบิดออกเสียให้ได้ แต่พอคิดจะยกมือขึ้นมา ก็พบว่าแขนทั้งสองข้างถูกรั้งไว้ด้วยเชือกที่ผูกเอาไว้กับขาเตียง

         มิกิตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเอง ก่อนจะหันสำรวจทุกอย่างบนร่างกาย อาภรณ์อันทรงเกียรติถูกถอดออกจนหมด แทนที่ด้วยชุดสีฟ้าที่คล้ายกับคนไข้ในโรงพยาบาล ซึ่งเขาแน่ใจว่าที่นี่ไม่ใช่โรงพยาบาลแน่! แต่มันเป็นที่ไหนกันล่ะ?

         เด็กหนุ่มกวาดตามองรอบๆ ในใจก็หวังจะพบอะไรที่เป็นประโยชน์และทำให้เขารู้ว่าอยู่ที่ไหน ก่อนไปสะดุดอยู่ที่ช่องหน้าต่างเล็กๆ เพียงช่องเดียวเหนือหัวเตียง

         เท้าเล็กเหยียบขึ้นไปยืนเต็มความสูง ปลายเท้าเขย่งมองภาพภายนอกผ่านหน้าต่าง ทว่าสิ่งที่ทอดสู่สายตาทำเอาแทบล้มทั้งยืน เมื่อพบว่าภายนอกเป็นป่ารกรัง ด้านล่างกลับเป็นเหวลึก และมีแม่น้ำสายใหญ่

         เด็กหนุ่มพยายามคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้น..

         จำได้ว่า..เขากำลังจะเข้าพิธีอภิเษก แต่ในตอนนั้นกลับมีเสียงปืนดังขึ้นพร้อมกับความวุ่นวาย ระเบิดควันลูกหนึ่งตกลงมาตรงหน้า เขาเห็นบาซิกค์กำลังจะกลายร่างเป็นนาคินท่ามกลางหมอกควัน เขาจึงได้เอ่ยร้องห้าม มีใครบางคนมาโปะยาจากด้านหลัง แต่จากนั้นก็จำอะไรไม่ได้อีกเลย

         น้ำลายอึกใหญ่กลืนลงคอ หากเขาคิดไม่ผิด ที่นี่เหมือนกับห้องพักในศูนย์วิจัย แต่ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง ทำให้ทั้งห้องนี้มีเพียงแค่เตียงนอน ซึ่งเรื่องนี้ก็ทำให้เขานึกถึงใครบางคนที่ไม่อยากจะขึ้นคิดมา

         คนที่ต้องการตัวเขาจนทำเรื่องแบบนี้ได้คงหนีไม่พ้น..“ฟื้นได้สักทีสินะ”

         ประตูห้องถูกเปิดออก ชายวัยกลางคนในชุดกาวน์สีขาวค่อยๆ เดินเข้ามาด้านในพร้อมกับลูกน้องอีกสองคน รอยยิ้มแสยะตรงมุมปาก กับใบหน้าใต้แว่นกรอบใสมองมาทางเขาอย่างเจ้าเล่ห์ มือเรียวกำแน่นทันที!

         “ค็อตเลอร์ ไอสารเลว!”

         “มาถึงก็ทักทายกันน่ารักเลยนะ” พูดจบเดินเข้ามาใกล้มากขึ้น มิกิก้าวถอยหลังด้วยความไม่ไว้ใจ

         “แกคิดจะทำอะไร” ถามเสียงแข็งอย่างไม่กลัว ค็อตเลอร์หัวเราะเสียงต่ำในลำคอ

         “เราอยู่ในที่ห่างไกลมิกิ แต่ไม่ต้องห่วง...นายจะไม่เป็นอะไร ถ้านายยอมให้ความร่วมมือ แล้วบอกฉันว่าเซรุ่มดอกเพเซียของจริงอยู่ที่ไหน”

         “เศษสวะอย่างแก ไม่ควรค่าจะแตะต้องผลงานของศาสตราจารย์หรอก!”

         “งั้นเหรอ” ค็อตเลอร์เว้นจังหวะไป “ความจริงแล้วฉันไม่ต้องเสียเวลามานั่งถามเด็กอย่างนายก็ได้ ถ้ามันไม่จำเป็น แต่พอหมดค่าแล้วจะตายฉันก็ไม่ว่านะ เหมือนอย่างโลเกียไง ฮ่าๆ” พูดจบก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างสะใจ สิ่งที่ได้ยินเหมือนสะกิดแผลที่ร้ายแรงที่สุด มิกิสติขาดทันที!

         “หนอยแก! อึก!” หมัดหนึ่งกำลังปล่อยออกไป แต่ไม่ทันได้ซัดไปที่ใบหน้าใต้กรอบแว่นนั้นดั่งใจ กำปั้นก็ถูกเชือกรั้งจนไปไม่สุด

         “หืม...จะทำอะไรน่ะไอหนู เป็นเด็กเป็นเล็กต้องทำตัวว่านอนสอนง่ายรู้ไหม” ค็อตเลอร์เยาะเย้ยอย่างสะใจ มิกิกำมือแน่นจนสั่น ดวงตาคู่สวยจ้องเขม็งอยากจะฆ่าคนชั่วช้าตรงหน้าให้ตายคามือ!

         ค็อตเลอร์รู้สึกสนุกยิ่งนัก แต่ก็นับเป็นโชคดีของเขาที่มิกิยังมีชีวิตอยู่ ถึงจะไม่รู้ว่าเจ้าตัวเอาชีวิตออกมาได้อย่างไรกับระเบิดในตอนแรก แถมยังทำเรื่องประหลาดใจโดยการเป็นพระชายาคู่บัลลังก์ให้กับราชาเมืองโบราณอีก สงสัยเขาคงต้องยอมรับจริงๆ ว่าเด็กคนนี้ดวงแข็งกว่าที่เขาคิดไว้มาก ทว่าน่าเสียดายที่ต้องดวงกุดเอาเสียวันนี้

         “ไหนดูซิ มีข้อมูลอะไรที่น่าสนใจจากตัวนาย” สิ้นเสียงลูกน้องของเขาก็เหมือนกับรู้หน้าที่ รีบพุ่งตรงเข้าไปจับร่างบางไว้ทันที

         “แกจะทำอะไร!” มิกิพยายามดิ้น แต่ด้วยแรงคนที่มากกว่าทำเอาเขาถูกจับตัวกดเอาไว้ลงกับเตียง

         “ฉันได้ยินว่านายกำลังจะเข้าพิธีวิวาห์กับราชาแห่งอนาคานงั้นเหรอ แต่น่าเสียดายนะวาสนานายคู่กับฉันมากกว่า อ่า...แต่ก็ไม่รู้ป่านนี้องค์ราชา พระองค์ท่านจะเป็นอะไรมากไหมนะ” ค็อตเลอร์เอ่ยพร้อมกับรอยยิ้ม มิกิเบิกตากว้างขึ้น

         “แกทำอะไรเขา”

         “ก็ไม่มีอะไรมาก แค่อาจจะเจ็บพระวรกายด้วยกระสุนไปหลายนัด แต่ก็นะดูเหมือนจะเป็นเรื่องใหญ่ใช่ไหมล่ะ แต่ไม่ต้องห่วงนะ กับประเทศเล็กๆ ที่ยังไม่เปิด ไม่มีคนสนใจเท่าไรหรอก ถึงจะสิ้นพระชนม์ไป แต่น่าเสียดายที่ฉันคงส่งตัวนายกลับไปเข้าเฝ้าราชาจนถึงวันสุดท้ายไม่ได้ เพราะอะไรรู้ไหม...เพราะมันไม่มีประโยชน์อะไรที่ฉันต้องทิ้งเงินจำนวนมหาศาลเพียงเพราะความรักผิดเพศของนาย ” พอได้ยินความคิดทุกอย่างของค็อตเลอร์ มิกิก็กำมือของตัวเองแน่น พยายามออกแรงอย่างหนัก พลางตะโกนด่าด้วยถ้อยคำหยาบคายสารพัด ที่กล้าดูถูกตน แต่ทว่าชายผู้นี้มีความโลภจนไม่สนใจความผิดถูก ไม่ละอายใจ ความต้องการที่น่ารังเกียจทำให้เขารู้สึกขยะแขยงเสียยิ่งกว่าหนอนในศพ คนที่ทำทุกอย่างได้เพื่อเงิน แม้กระทั่งหักหลัง หรือฆ่าเพื่อนร่วมงานของตัวเองช่างน่าสะอิดสะเอียนนัก ถึงกฎของธรรมชาติจะมีไว้ซึ่งผู้แข็งแกร่ง แต่หาได้สอนสัตว์ที่มีมันสมองให้ฆ่าสายพันธุ์เดียวกันทิ้ง มนุษย์คือสิ่งมีชีวิตที่ซับซ้อนก็จริง แต่คนที่เป็นเช่นนี้เขามิอาจพูดคำว่ามนุษย์ออกมาได้


          “ฉันจะฆ่านายเองค็อตเลอร์” มิกิกล่างเสียงเย็น ส่งสายตาแข็งกร้าวจนน่ากลัว ทว่าค็อตเลอร์กลับไม่สะทกสะท้าน มือหยาบกร้านจบลงบนแก้มนุ่ม ใบหน้าหวานเบี่ยงออกด้วยความขยะแขยง แต่ก็ไม่พ้นถูกบีบให้หันกลับมา


         “นายนี่มันเป็นเด็กที่น่าทึ่งมากมิกิ สมแล้วที่เป็นลูกรักของโลเกีย”

         ถุย!

         “ขี้โคลนสกปรกอย่างแก ไม่ควรค่าที่จะเอ่ยชื่อเขา!” น้ำลายถ่มรดบนหน้าของอีกฝ่าย ค็อตเลอร์สูดลมหายใจลึกระงับโทสะ ก่อนยกมือขึ้นปาดน้ำใสๆ ที่รดใบหน้าของตัวเองออก ดวงตาหลังกรอบแว่นเริ่มผันเปลี่ยนเป็นความโกรธ ก่อนจะตรงเข้าบีบแก้มทั้งสองข้างของเด็กหนุ่มแรงๆ จนเจ็บกราม


         “ยังปากดีเหมือนเดิมนะมิกิ แต่ก็ดี...ฉันชอบอะไรที่ตื่นเต้น” ดวงตาเต็มไปด้วยความนึกสนุก มือหยาบเหวี่ยงใบหน้าของอีกฝ่ายออกแรงๆ ก่อนจะหยิบวัตถุบางอย่างขึ้นมาจากกระเป๋าเสื้อชุดกาวน์ตัวเอง มิกิมองสิ่งที่อยู่ในมือนั้น ก่อนจะพบว่าเป็นเข็มฉีดยาที่บรรจุของเหลวใสไว้ด้านใน


         “เห็นเข็มฉีดยานี่ไหม...” ค็อตเลอร์ยกเข็มฉีดยาขึ้นมา มิกิถึงกับหน้าถอดสี

         “ฉันได้ยินเรื่องนายจาก เมือง อ่า...อะไรนะ ซาคา อะไรสักอย่าง” แกล้งทำท่าเป็นครุ่นคิด ก่อนจะดีดนิ้วดัง

         “อ๋อจำได้แล้ว ซาคาเดียร์นี่เอง ที่นั่นบอกกับฉันว่าเลือดของนายมันพิเศษ” รอยยิ้มร้ายปรากฏขึ้นที่มุมปาก มิกิตะลึงค้าง คิดแล้วไม่มีผิดที่ซาคาเดียร์กับค็อตเลอร์คงต้องรู้เห็นกัน เรื่องทั้งหมดเขาสามารถผสานกันได้เป็นหนึ่งเดียวแล้ว แม้ตอนนี้อนาคานและซาคาเดียร์จะไม่มีเรื่องอันใดต่อกันอีก แต่ใช่ว่าข้อมูลที่รั่วไหลมาก่อนหน้าจะไม่เป็นประโยชน์สำหรับอีกฝ่าย และอาจเป็นไปได้ว่าค็อตเลอร์อาจรู้จักทุกซอกทุกมุมของอนาคานดีกว่าตัวเขาเสียอีก การจับตัวเขาจึงทำได้ง่ายดายนัก


         “ใช่แล้วการแลกเปลี่ยนยังไงล่ะ ฉันให้ระเบิดพวกเขา แลกกับการที่พวกเขาจับตัวนายเป็นๆ มาให้ แต่นึกไม่ถึงว่าพวกนั้นจะทำเลยเถิดไปหน่อย แต่ช่างเถอะฉันก็ไม่ได้สนใจอยู่แล้วว่าสภาพนายจะเป็นยังไง ถึงจะเป็นศพกลับมา ฉันก็ยังสามารถใช้ดีเอ็นเอของนายสกัดสิ่งที่ชั้นต้องการออกมาได้อยู่ดี เพียงแค่เสียเวลาเพิ่มขึ้นนิดหน่อย” ค็อตเลอร์ยักไหล่เหมือนช่วยไม่ได้ พลางกล่าวเหมือนเรื่องทั้งหมดนั้นถูกต้อง มิกิพอได้ฟังความจริง ก็ทราบถึงจุดประสงค์ที่ซาคาเดียร์ต้องการฆ่าเขาให้ตายโดยไม่คิดจะไว้ชีวิตเหมือนอย่างที่ค็อตเลอร์พูด เพราะซาคาเดียร์คิดแค่เพียงว่าหากกำจัดเขาได้ ราชาบาซิกค์ก็จะไร้คู่ครอง แล้วพิธีเก็บเกี่ยวครั้งสุดท้ายจะเกิดขึ้น แต่ทุกอย่างกลับเกิดผลตรงกันข้ามและจบลงโดยดี ซึ่งก็แลกมาด้วยชีวิตที่ไม่มีวันหวนกลับขององค์ชายบาฮาล

         คนจิตใจโหดเหี้ยมไม่สนใจแม้ชีวิตเพื่อนร่วมงานคงไม่มีวันเข้าใจถึงการสูญเสีย

         “อึก!”  สะดุ้งเฮือกด้วยความเจ็บ รู้สึกตัวอีกทีก็ถูกลูกน้องของค็อตเลอร์สองคนจับเขานอนคว่ำลง แล้วล็อกแขนทั้งสองข้างเอาไว้แน่นแล้วยึดเอาไว้กับเตียงจนขยับไม่ได้ ก่อนเข็มในมือของคนที่ยืนอยู่อยู่จะแทงลงมาที่ท่อนแขนขาว ดวงตาคู่สวยขยายกว้างพยายามออกแรงดิ้น ทว่าไม่ถึง 5 นาที รู้สึกตัวอีกทีก็เหมือนคนสติเลื่อนลอย จนไม่สามารถขยับตัวเองได้

         “ไหนดูซิ...เด็กดี” มือหยาบกร้านลูบบนเส้นผมอ่อนนุ่ม รอยยิ้มร้ายคลี่ออกมาเมื่อเห็นสัตว์ทดลองจอมพยศนิ่งสงบ ก่อนจะหันไปสั่งให้ลูกน้อง


         “เจาะเลือดมัน”

         หลอดแก้วใสถูกเติมเต็มด้วยของเหลวสีแดงเข้มหลอดแล้วหลอดเล่า มิกิเริ่มรู้สึกเปลือกตาหนักอึ้ง ภาพทุกอย่างพล่าเบลอจนใกล้ครองสติไว้ไม่อยู่


         “เราเป็นนักวิทยาศาสตร์ ก็ต้องพิสูจน์เสียหน่อยจริงไหม”

         “ฆ่าฉันสิ ไอพวก...อึก!” กัดฟันเอ่ยแม้สติจะใกล้มอดดับ ค็อตเลอร์ย่อตัวลงใกล้คนที่อ่อนแรง กระซิบเสียงเย็นข้างใบหู


         “ชู่ว...ใจเย็นๆ สิมิกิ นายยังมีชีวิตอยู่ที่นี่ต่อไปอีกนาน อย่าเพิ่งใจร้อนรีบไปหาโลเกียเลยนะ แต่ถ้าการทดลองนี้สำเร็จแล้ว ฉันรับรองว่า นายจะได้ไปพบโลเกียในทันที” เข็มที่เจาะแขนถูกดึงออก แทนที่ด้วยการทำแผลอย่างลวกๆ แค่สำลีชุบแอลกอฮอล มิกิไร้เรี่ยวแรงจะต่อต้าน แขนทั้งสองข้างเป็นรอยแผลจากการถูกเข็มแทง ภาพทุกอย่างค่อยๆ พร่าเลือนไปเรื่อยๆทุกที ก่อนค็อตเลอร์จะยืนขึ้นเต็มความสูงมองดูเหยื่อที่นอนนิ่งอย่างสงสาร


         “ทนอีกสักหน่อย...อย่าเพิ่งทำอะไรให้เลือดหมดตัวไปเสียล่ะ เดี๋ยวจะไม่ได้เจอหน้าราชาที่รักนะ” รอยยิ้มเยาะเย้ยทิ้งไว้ เลือดที่บรรจุในหลอดแก้วนับสิบถูกบรรจุลงในกล่องเก็บ ประตูห้องปิดลงพร้อมกับผู้คนที่จากไป ดวงตาสีอ่อนปรือจนใกล้ปิด รู้สึกทุกสิ่งอย่างกำลังเลวร้ายไปหมด อยากเข้มแข็งให้มากกว่านี้ ไม่อยากทำให้ตัวเป็นภาระของใคร แต่สุดท้ายเขาก็เป็นแค่คนที่สร้างแต่เรื่องเดือดร้อน หรือสมควรแล้วที่ชีวิตควรจะพบเจอเรื่องแบบนี้ แต่ทำไมกันทำไมถึงได้อยากร้องไห้ขนาดนี้ คิดถึง...

         ไม่เอานะไม่อยากให้เป็นแบบนี้..

         น้ำตาอาบลงมา..ดวงตาค่อยๆ ปิดลง

         ช่วยฉันด้วย บาซิกค์.. 



 
         “ฝ่าบาท ประสงค์จะทำเช่นนี้จริงๆ หรือพะย่ะค่ะ กระหม่อมเกรงว่าเรามิอาจไว้ใจ...”

         “ไม่เหลือเวลาให้คิดแล้วผู้อาวุโส” สุรเสียงเคร่งเครียดในท้องพระโรงที่ถูกเปลี่ยนเป็นที่ประชุมการใหญ่ระหว่างผู้อาวุโสฝ่ายต่างๆ กับราชาแห่งนาคิน ทว่ากลับไม่มีใครเห็นด้วยกับองค์เทพของพวกเขาเลยสักคนที่กระทำเช่นนี้


         แม้รู้ดีว่าสิ่งที่ทำให้เทพนาคินที่มีจิตใจเย็นยะเยือกประดุจน้ำแข็งกลับร้อนจนปานจะแผดเผาทุกอย่างให้เป็นจุณ เป็นเพราะเหตุใด แต่ราชโองการฉบับนี้จะออกไปไม่ได้เป็นอันขาด เพราะอาจจะทำให้อนาคานตกอยู่ในเงื้อมือของอดีตคนที่คิดร้าย หากทำเช่นนี้ก็ไม่เท่ากับโยนเนื้อให้เสือที่หิวโซ

         พระเนตรคมกริบมองทะลุปรุโปร่งราวกับล่วงรู้ว่าราชบริพารของเขาคิดสิ่งใด แต่ตอนนี้เขาไม่มีเวลาคิดหาเหตุผลให้ทุกคนยอมรับอีกแล้ว มีเพียงแค่ความเชื่อใจ และความสัมพันธ์กับใครคนนั้น แม้มันจะหลงเหลืออยู่บางเบาเพราะเขาเป็นคนทำลายมันเอง แต่เขาจะไม่อะไรเสียอีก สิ่งเดียวที่บอกก้องในหัวใจซึ่งไม่รู้ว่าถูกหรือผิดก็คือ

         ความเชื่อใจ


         “ข้าไว้ใจเขา และท่านก็ควรไว้ใจเขาเช่นเดียวกับข้า” คำตรัสของราชาทำเอาทุกอย่างเงียบสนิท เหล่าบริวารได้แต่มองพระพักตร์ที่เรียบนิ่ง แต่หากแฝงไว้ด้วยความจริงใจอย่างไม่เคยเป็น ถึงอยากจะคัดค้านเพียงใด แค่เมื่อฟังน้ำเสียงของพระองค์แล้ว ก็ไม่มีใครพูดโต้เถียงอีก


         ไม่ใช่เพราะความหวาดกลัว

         แต่เป็นความเคารพ และเชื่อในสมมุติเทพของพวกเขา


         “เขาคือคนของเรา ซาคาเดียร์คือพี่น้อง พวกเจ้าทั้งหมดจงคิดไว้แค่นั้น ได้โปรดช่วยข้านำพระชายากลับมา” บัญชาด้วยเสียงที่เรียบเย็น ทว่าความรู้สึกที่ซ่อนเอาไว้ในประโยคนั้นราวกับไหว้วอนขอร้องทุกคน สัมผัสภายในใจที่ไม่เคยเปิดเผยให้ผู้ใด ทำเอาเหล่าบรรดาราชบริวารซาบซึ้งใจ แรงต่อต้าน แรงคัดค้านทุกอย่างถูกทำลายไปสิ้นโดยไม่ต้องใช้เวทมนต์ใด


         มนตรา คำสาป เวทมนต์ ทั้งหมดอำนาจร้ายแรงผลาญทุกสิ่ง

         แต่หาก อนุภาพที่เหนือกว่าทั้งปวง คือการเปลี่ยนใจคน

         ทั้งหมดก็คือ..ความรัก

          ราชบริวารทั้งหมดยืนขึ้น น้อมรับคำสั่งของทวยเทพจากดวงใจ ขานรับคำหนักแน่น หากพระเจ้าองค์นี้จะพาพวกเขาไปที่ใด เขาก็จะขอติดตามไปทุกหนแห่ง ไม่เว้นว่าที่แห่งนั้นจะเป็นนรกหรือสวรรค์

         ด้วยใจที่เคารพ จะปฏิบัติตามดำรัสแห่งเทพนาคินตลอดไป


ออฟไลน์ EtuDe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-0
ค่ำคืนที่ 20 : ดวงเนตรเทพนาคิน Part 2

            เสียงมอเตอร์ไซค์ดูคาติสีดำแล่นไปตามถนนคดเคี้ยวนอกตัวเมือง สปีดที่เพิ่มขึ้นสูงทุกวินาทีจนเห็นภาพทุกอย่างเคลื่อนผ่านเพียงชั่วพริบตา บ่งบอกได้ถึงความชำนาญของคนขี่ ยิ่งสายลมที่วิ่งผ่านตีสวนกับชุดหนังและหมวกกันน็อคสีดำที่ปกปิดใบหน้ามากเท่าไร ยิ่งทำให้พวกเขาไม่รู้สึกกลัวว่าพระเจ้าจะมาพรากชีวิตเลยสักนิด ความเร็วยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องราวกับไม่อยากสูญเสียเวลาอันมีค่าไปมากกว่านี้ ทว่าความเร็วที่มากเกินไปทำให้คนที่ซ้อนท้ายอยู่ด้านหลังต้องเผลอกอดเอวของคนขับไว้เสียแน่นด้วยความกลัว



            สัมผัสจากรอบเอวทำเอาความคิดที่จะเร่งความเร็วเพิ่มชะงัก ใบหน้าใต้หมวกกันน็อคหันมามองคนข้างหลังเล็กน้อยเหมือนต้องการจะพูดอะไรสักอย่าง แต่แล้วกลับเหมือนถูกแกล้ง เมื่อเจ้าตัวกลับเร่งเกียร์เพิ่ม ทำเอาคนซ้อนต้องรีบกอดเอวไว้แน่นยิ่งกว่าเดิมจนไม่ทันได้ทักท้วง แต่ถึงจะสะกิดไปก็คงไม่มีประโยชน์อะไร เพราะสุดท้ายเส้นทางที่เขากำลังวิ่งตามหาอยู่นั้น เป็นเส้นทางที่ใช้สันชาตญาณชี้นำไป

           รู้สึกตัวอีกทีความเร็วรถก็ชะลอช้าลง ก่อนจะมาหยุดอยู่ที่หน้าศาลเจ้าแห่งหนึ่ง

           คนที่ซ้อนอยู่ด้านหลังรีบปล่อยมือและลงจากรถอย่างรู้หน้าที่ หมวกกันน็อคถูกถอดออก มือยกขึ้นมาเสยเส้นผมสีดำขลับให้เข้าทรง ก่อนใบหน้าหมดจดของชายหนุ่มจะมองขึ้นไปด้านบน คิ้วเรียวสวยขมวดเข้าหากัน ดวงตาสีครามงดงามดั่งท้องฟ้ามองไปที่ป่ารกรังหลังศาลเจ้าราวกับว่ามีบางอย่าง

            “ได้กลิ่นจางๆ มาจากที่นี่” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเรียบ แต่สายตายังคงไม่ละออกจากป่า

            “บนเขาลูกนั้นสินะ” เสียงเข้มรอดผ่านใต้หมวกกันน็อค ร่างสูงใหญ่ผู้ขับดูคาติก้าวลงตามมา ก่อนจะใช้มือยกกระบังกันลมที่ติดอยู่กับหมวกขึ้น เพื่อให้มองเห็นสถานที่ได้ชัดๆ

            “ฝ่าป่าเข้าไปคงไม่ง่ายแน่” น้ำเสียงของร่างสูงฟังดูตึงเครียดขึ้น ขณะที่ชายหนุ่มที่ลงมาคนแรกกลับสังเกตเห็นอะไรบางอย่างที่น่าสนใจข้างพุ่มไม้ ก่อนเขาจะเดินเข้าไปใกล้


            “งั้นใช้ผู้ช่วยสิ น่าจะได้คำตอบเร็วกว่า” งูเขียวหางไหม้ถูกอุ้มเอาไว้ในอุ้งมือ ริมฝีปากบางเขยื้อนเอ่ยเป็นภาษาบางอย่างที่คนธรรมดาฟังไม่ออก แต่น่าแปลกที่อสรพิษไม่คิดขัดขืนเลยสักนิด ไม่นานก็ปล่อยมันลงกับพื้น อสรพิษเลื้อยหายเข้าไปในป่า

            “เสร็จแล้วก็ขึ้นมาสักที เราต้องรีบอ้อมไปอีกทาง” ร่างสูงเร่งบอกเมื่อเห็นว่าอีกคนอืดอาดอยู่ข้างพุ่มไม้นานเกินไป ก่อนเจ้าตัวจะรีบเดินขึ้นไปขี่คูบาติสีดำ พลางบิดคันเร่งเสียงดังราวกับต้องการเร่งคนที่กำลังยืนหน้าศาลเจ้าให้รีบขึ้นมาซ้อนท้ายอย่างใจร้อน

            “อย่างท่าน 5 นาทีก็คงถึง” ร่างโปร่งบ่นประชดพลางเดินมาขึ้นซ้อนท้ายตามคำสั่ง ก่อนจะยึดเอวอีกฝ่ายไว้

           ใบหน้าคนขับใต้หมวกกันน็อคหันมา “แค่นาทีเดียวก็พอ จับให้แน่นๆ นะซาอิด ” ดวงตาสีดำคมกริบตวัดกลับมองถนน แววตาแสดงเหมือนสัตว์ร้ายที่กำลังออกล่าเหยื่อ ก่อนจะปิดที่กันลมแล้วยานพาหนะสองล้อก็พุ่งตัวในทันที





            สองวันผ่านไปแล้ว..

           เครื่องบินส่วนตัวลำใหญ่เข้าเทียบท่าอากาศยานในประเทศหมู่เกาะแดนอาทิตย์อุทัย ทันทีที่เครื่องลงจอดสนิท ร่างของใครบางคนที่ใช้ให้นำรถลีมูซีนมารอรับถึงที่รันเวย์ก็เงยขึ้นไปบนประตูเครื่อง มีชายหนุ่มรูปร่างดีราวกับเป็นบอดี้การ์ดเดินออกมามากมาย เพื่อเคลียร์พื้นที่ป้องกันผู้เป็นนายที่อยู่ด้านใน

           เมื่อร่างสูงศักดิ์ก้าวออกมาทุกคนก็ยืนตรงเคารพให้กับความยิ่งใหญ่ สายลมพัดพลิ้วเส้นผมสีดำให้ปลิวสยาย ดวงตาคมกริบสีอำพันปรายต่ำมองคนที่มารอรับที่อยู่ด้านล่างราวกับต้องการสื่อสารบางอย่างซึ่ง ชายคนนั้นก็เข้าใจดีว่าอีกฝ่ายอยากฟังสิ่งใด ทันทีที่ออกรถ ก็เอ่ยถามตามต้องการ

           “ทุกอย่างเรียบร้อยไหมบาฮาล” ถึงใบหน้าจะแสดงทีท่าว่านิ่งสงบ แต่ลึกๆ ในดวงตาก็ปรารถนาคำว่าใช่ ร่างสูงที่นั่งอยู่ด้านหน้าหันมาตอบเจ้าชีวิต

           “พะย่ะค่ะ เราเจอพระชายาแล้ว” พอได้ยินคำตอบก็รู้สึกเบาใจไปเปราะหนึ่ง คิดไม่ผิดจริงๆ ที่เขาแอบส่งตัวบาฮาลและซาอิดมาที่ประเทศญี่ปุ่นหลังจากวันที่ส่งพระศพคืนแด่อนาคาน แต่ทั้งหมดก็เป็นเพียงแผนเพื่อสร้างละครตบตาซาคาเดียร์เพียงเท่านั้น แต่หากจะสำเร็จไม่ได้และน้องชายของเขาคงถูกเผาทั้งที่มีลมหายใจ ถ้าไม่ได้ราซิสคอยช่วยเหลือ

           “ท่านพี่ ข้าอยากจะ...”

           “เก็บคำพูดของเจ้าไว้ก่อน ตอนนี้ข้าอยากรู้เรื่องในตอนนี้มากกว่า” ไม่ทันได้พูดจนจบอีกฝ่ายก็ขัดเสียก่อน ดวงตาที่ดูจริงจังนั้นทำเอาบาฮาลเข้าใจดี แล้วรีบกล่าวไปตามจริง

           “ท่านพี่อย่าได้ห่วงไป เรื่องนั้นข้าส่งซาอิดไปจัดการเรียบร้อยแล้วพะย่ะค่ะ” ทันทีที่ได้ยินชื่ออดีตหัวหน้าราชบริวารแห่งอนาคานก็เบาใจมากขึ้น ถึงแม้ซาอิดจะเป็นนาคินเลือดผสมแต่เรื่องความจงรักภักดีกลับไม่แพ้ใครในอนาคาน เขาช่างโชคดีจริงๆ ที่มีราชบริวารเช่นนี้ แต่ก็น่าเสียดายนัก เพราะทางออกของเรื่องที่ก่อ เขาจำเป็นจะต้องปล่อยคนทั้งสองไป

           “ดี” บาซิกค์พยักหน้ารับ ก่อนจะเอ่ยเสียงเย็นเยียบ “จัดการให้เร็วที่สุด ฆ่าทุกคนที่เข้ามาขวางทาง”

 

 

            อาทิตย์ใกล้ลาลับขอบฟ้า หลังจากที่ทำงานจนเหนื่อยมากว่าค่อนวัน ก็ได้เวลาบอกลาสถานีวิจัยกลางป่านี่แล้วกลับบ้านไปพักผ่อนเสียที

            บริเวณพุ่มไม้ขนาดใหญ่ ดวงตาสีครามแอบเฝ้ามองเหล่าบรรดานักวิจัยในกาวน์สีขาวต่างทยอยเดินกันออกมาจากสถานี

           ซาอิดพยายามครุ่นคิดอย่างหนัก หลังจากที่ตามกลิ่นดอกเพเซียของพระชายามาถึงที่นี่ ก็สืบพบว่าสถานีวิจัยแห่งนี้ของรัฐบาลซึ่งมีป้ายติดประกาศไว้ว่า ‘เขตหวงห้าม’  ซึ่งการเข้าไปด้านในคงไม่ใช่เรื่องง่ายนัก ถ้าไม่ใช่คนใน แต่คนที่ไม่มีเส้นสายอะไรเลยจะทำอย่างไรได้เล่า นอกจากลอบเข้าไป

            ซาอิดซ่อนตัวอยู่ด้านหลังรอจังหวะที่นักวิจัยคนหนึ่งเดินหลงเข้ามาในทางที่แอบอยู่ ก่อนจะรีบใช้มือปิดปากบุคคลผู้โชคร้าย แล้วคว้าตัวมาใช้สันมือทุบเข้าที่หลังต้นคออย่างรวดเร็ว ทักษะที่ถูกฝึกปรือมาอย่างดีทำให้นักวิจัยผู้โชคร้ายสลบลงทันที เขารีบถอดชุดกาวน์ของอีกฝ่ายออกนำมาสวมทับกับตัวเอง ก่อนจะก้มลงไปหยิบบัตรประจำตัวของนักวิจัยมาคล้องคอ และจัดการมัดคนของอีกฝ่าย ซ่อนเอาไว้ใต้พุ่มไม้ด้านใน 




           “วันนี้ก็ไม่ได้เรื่องอีกเหรอ”

           เสียงจากหัวหน้านักวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ถามขึ้นในห้องทดลองราวกับจะกดดันลูกมือของตัวเองให้ตอบคำว่า’ได้’ออกมาเต็มปาก ทว่าคำตอบกลับทำให้เขาผิดหวังจนน่าหงุดหงิด

            นี่ก็ปาเข้าไปวันที่สองแล้วที่เขาไม่สามารถสกัดแยกผลเซรุ่มของโลเกียออกมาจากเลือดของมิกิ

           “ขะ ขอโทษครับศาสตราจารย์” ลูกน้องของเขาตอบเสียงสั่น คนที่ถูกเรียกว่าศาสตราจารย์ส่ายหน้าผิดหวัง พลางเดินไปหยิบเอกสารที่เป็นผลการทดลองจากเลือดของมิกิขึ้นมาอ่านอย่างไม่สบอารมณ์ก่อนจะขย้ำมันทิ้งแล้วปาลงพื้น

           “ไม่ได้เรื่องเลย! เดี๋ยวเจ้าเด็กนั่นก็ตายเสียก่อนเซรุ่มจะสำเร็จหรอก!” ค็อตเลอร์กล่าวอย่างหัวเสีย ความจริงแล้วเลือดในร่างกายมนุษย์นั้นมีอยู่ประมาณ 5-6 ลิตรจากน้ำหนักตัว แต่การทำการทดลองที่เร่งรีบแบบนี้ แต่ละครั้งก็ต้องใช้เลือดของผู้ถูกทดลองเป็นจำนวนมาก ซึ่งไม่ต่ำกว่า น้ำหนึ่งแก้วต่อครั้งหรือประมาณ 200 มล. ซึ่งเขาเกรงว่า ต่อให้ร่างกายของเจ้าเด็กนั่นแข็งแรงเพียงใด แต่หากถูกสูบเลือดออกไปเรื่อยๆ ทุกวัน เจ้าตัวอาจจะตายก่อนที่เซรุ่มจะสำเร็จ ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิด นี่ยังไม่รวมเรื่องงบประมาณในการทำทดลองแต่ละครั้งอย่างมหาศาลอีก ซึ่งตอนนี้เงินก้อนเก่าก็กำลังจะหมดลงแล้ว คิดกระนั้นจึงได้ถามทันที

           “แล้วเรื่องใบเบิกงบประมาณครั้งนี้ทำไมถึงได้ล่าช้านัก” ค็อตเลอร์ถามลูกน้องพร้อมจ้องตาเขม็ง แต่คำตอบที่ได้ก็ยังไม่ได้ดั่งใจ

           “เอ่อ...เห็นทางนั้นบอกว่า ทางองค์กรได้ปรับเปลี่ยนระบบบริหารรวมทั้งผู้ถือหุ้นส่วนรายใหม่ครับก็เลยวุ่นวายพอสมควร ทำให้เงินที่ทางเราขอล่าช้าครับ”

           “ผู้ถือหุ้นรายใหม่เหรอ เหอะ...ก็เห็นมีทุกปี แต่ก็ไม่มีอะไรดีขึ้นเลยสักนิด คอยดูเถอะถ้างานนี้เสร็จเมื่อไหร่ฉันจะซื้อองค์กรเฮงซวยนี่เอง!” สถบอย่างหงุดหงิดทิ้งท้ายเอาไว้ ก่อนจะหุนหันเดินตึงตังออกไปจากห้อง คิดจะไปดูอาการของคนเจ้าปัญหาสักหน่อยว่ายังมีลมหายใจเหลือให้ทดลองได้อีกสักกี่วัน


            ค็อตเลอร์เดินมาตามทางเดินเรื่อยๆ จนถึงหน้าประตูเหล็กบานหนึ่งที่อยู่ด้านในสุดบริเวณทางเดินชั้นสามของสถานีวิจัย มือหยาบกร้านล้วงเอาบัตรประจำตัวของตนเองขึ้นมาจากกระเป๋าเสื้อ ก่อนจะรูดมันลงที่เครื่องรองรับ แล้วกดรหัสบางอย่าง ไม่นานนักก็ได้ยินเสียงดัง ‘กึก’ จากตัวประตู ก่อนเขาจะเปิดเข้าไปด้านใน

            ทันทีที่ก้าวเข้ามา ภายในเป็นเพียงห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ ที่ล้อมรอบด้วยกำแพงสีเทาหม่นจนทำให้บรรยากาศดูมืดครึ้ม ยังดีที่มีแสงไฟจากหลอดไฟนีออนด้านบน ที่พอจะให้ความสว่าง ทำให้ที่นี่ไม่ดูเหมือนคุก แต่จะพูดแบบนั้นก็คงไม่ถูกเท่าไรนัก เพราะในความคิดของร่างที่นองนิ่งอยู่บนเตียงด้วยลมหายใจรวยริน ที่นี่ก็คงเป็นเหมือนคุกดีๆ นี่เอง

           ความจริงเขาก็คิดสงสารอยู่หรอกนะ แต่ใครให้เจ้าตัวมีสิ่งที่เขาต้องการอยู่ในเลือดกันล่ะ?

            ใจเย็นอีกสักหน่อย เขาจะค่อยๆ เอาของของเขากลับคืนมา แล้วชีวิตของเด็กหนุ่มตรงหน้าก็จะเป็นอิสระจากโลกที่แสนโหดร้ายใบนี้

           “เป็นยังไงบ้าง หึหึ ท่าทางไม่เลวเลยนี่มิกิ” เสียงที่ไม่อยากได้ยินทำเอาคนที่นอนเพลียแรงอยู่บนเตียงกัดฟันแน่น ทว่าฤทธิ์ยาที่ฉีดเข้าไปก่อนหน้าทำให้เขามีอาการอ่อนแรง เกินกว่าจะลุกขึ้นไปโต้ตอบคนที่มาเยือน

           ค็อตเลอร์เดินเข้ามาใกล้ขึ้น ในมือถือเข็มฉีดยาที่บรรจุของเหลวสีเหลืองใสไว้ด้านใน มิกิมองยาหลอดนั้นอย่างระแวดระวัง น้ำตาร้อนชื้นเหมือนจะไหลออกมาอีกครั้งด้วยความเจ็บใจเมื่อรู้ว่าร่างกายกำลังจะถูกคุกคาม

           “ไม่ต้องกลัวนะเด็กดี นี่คือวิตามินบำรุงที่จะทำให้ร่างกายนายดีขึ้น” เหมือนจะเป็นคำปลอบใจ แต่รอยยิ้มบนใบหน้าใต้กรอบแว่นนั้นดูน่ากลัวเป็นที่สุด มิกิพยายามเคลื่อนตัวหนีเท่าที่จะทำได้ แม้จะรู้ดีแก่ใจว่าไม่มีวันพ้น แต่สุดท้ายมืออันหยาบกร้าน ก็คว้าท่อนแขนของเขาออกมา แล้วจัดการใช้เข็มฉีดเข้าไปในต้นแขนขาวที่เต็มไปด้วยร่องรอยเข็ม

           “ชู่ว...อย่างเกร็งแขนสิ ไม่ฉันงั้นต้องฉีดใหม่นะ” มิกิพยายามยื้อแขนกลับ แต่เรี่ยวแรงก็อ่อนปวกเปียกไปหมด สุดท้ายก็ไม่สามารถทำอะไรได้ ยาสีเหลืองใสถูกฉีดเข้าไปในร่างกายจนหมด กายบางทรุดฮวบลงกับเตียง หอบหายใจรวยริน น้ำตาชื้นอยู่บริเวณที่ริมตาทั้งสองข้าง นี่ไม่ใช่วิตามินแต่เป็ฯยาที่ทำให้กล้ามเนื้อของเขาอ่อนแรงจนไม่ทางขัดขื้น สภาพอันน่าสมเพชนี้เขาไม่สามารถยอมรับตัวเองได้ ไม่สามารถยอมรับได้เลยจริงๆ แม้แต่จะกำมือตัวเองก็ทำได้แค่หลวมๆ สุดท้ายจึงได้แต่พยายามเปล่งเสียงด่าคนชั่วช้าตรงหน้าด้วยความเจ็บใจ

            “ไอสวะ ค็อตเลอร์” เมื่อได้ยินกระนั้นค็อตเลอร์ถึงกลับเลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจ ก่อนจะเปล่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างขบขันสร้างความเจ็บใจให้เพิ่มขึ้นกว่าเก่า แต่ก่อนที่ร่างหัวหน้านักวิจัยจะก้าวพ้นผ่านประตูไป ก็ทิ้งประโยคสุดท้ายเอาไว้

            “อย่ารีบตายนะไอหนู จนกว่างานฉันจะเสร็จ” พูดจบก็โบกมือลาให้อีกฝ่าย ก่อนจะเดินออกไปจากห้องสีเทา ทิ้งความเงียบ และความคับแค้นเป็นเพื่อนข้างกาย..


            ทันทีที่เห็นเป้าหมายก้าวเดินออกมาจากห้องที่อยู่ด้านในสุด และเข้าไปในลิฟต์ ร่างสูงโปร่งในชุดกาวน์สีขาวที่แอบมองเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่บริเวณหลังเสาขึ้นบันได ก็เผยตัวออกมาด้านนอก ดวงตาสีครามจ้องมองไปที่ห้องด้านในสุด จมูกโด่งสันได้กลิ่นหอมของดอกไม้โบราณชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ราวกับอยู่ใกล้แค่เอื้อม

            หลังจากที่ปลอมตัวเป็นนักวิจัย แล้วลอบเข้ามาที่สถานีวิจัยได้สำเร็จทางประตูหนีไฟด้านหลัง เขาก็ยิ่งแน่ใจว่าพระชายาของอนาคานถูกจับตัวมาไว้ที่นี่ เพราะกลิ่นของดอกเพเซียนั้นชัดเจนยิ่งนัก เขาตามกลิ่นนั้นมาเรื่อยๆ ก่อนจะพบว่าบริเวณชั้นสามของสถานีวิจัยเป็นชั้นที่มีกลิ่นของดอกไม้รุนแรงกว่าชั้นอื่น ก่อนจะเห็นชายคนหนึ่งเดินออกมาจากห้องด้านใน ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นศาสตราจารย์ค็อตเลอร์ หัวหน้าสถานีวิจัยแห่งนี้จากที่เขาสืบข้อมูลมา

           ซาอิดใช้บัตรประจำตัวฝ่าเซ็นเซอร์ประตูกั้น เดินตรงเข้าไปที่ห้องในสุด ประตูเหล็กสีเทาถูกล็อคด้วยอุปกรณ์ที่คล้ายกับกล่องสี่เหลี่ยม มีแป้นตัวเลขแบบดิจิตอล และมีช่องที่คาดว่าไว้สำหรับรูดบัตรประจำตัวของนักวิจัยที่นี่เพื่อความปลอดภัย ถึงเขาจะอยู่ที่เมืองโบราณแทบทั้งชีวิต แต่ใช่ว่าเขาจะไม่รู้เรื่องการเคลื่อนไหวของโลกหรือเทคโนโลยีด้านนอก ว่าเปลี่ยนไปถึงไหน ซาอิดหยิบบัตรประจำตัวที่แอบขโมยขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะรูดมันลงไป ข้อความอิเล็กทรอนิกส์หนึ่งปรากฏขึ้นเหนือแป้นพิมพ์ตัวเลข

           ‘กรุณาระบุรหัสประจำตัว’

           ขมวดคิ้วเรียวเป็นปม ก่อนจะก้มมองดูเลขบัตรของตัวเองที่เขาขโมยมา แล้วกดหมายเลขที่อยู่ในบัตรลงไป ทว่า..

           ‘ท่านไม่ได้รับอนุญาต’

           ข้อความตัวแดงปรากฏขึ้นบนหน้าจอ พร้อมกับเสียงค้านของตัวเครื่อง ซาอิดถอนหายใจ และคิดว่าคนที่สามารถเปิดประตูนี้คงมีแต่ค็อตเลอร์เพียงคนเดียว แม้จะเป็นห่วงพระชายาใจจะขาดว่ามีสภาพเป็นอย่างไรบ้าง ถึงจะแน่ใจว่ามิกิยังมีชีวิติอยู่ แต่ครั้นจะเคาะประตูและเปล่งเสียงทักทายเข้าไปจากหน้าประตู ก็กลัวว่าจะเป็นที่สงสัย สุดท้ายก็ได้แต่เม้มริมฝีปากลงแล้วเดินถอยออกมาจากประตู ก่อนจะเดินลงบันไดหนีไฟออกจากสถานีวิจัยเพื่อไปรายงานเรื่องนี้แก่ผู้ปกครองชีวิต

           องค์ราชาบาซิกค์...



           ค่ำคืนนี้หนาวเหน็บจนตัวสั่น มิกินอนห่อกายอยู่บนเตียงแข็งๆ ท่อนแขนที่เต็มไปด้วยรอยเข็มเขียวจ้ำโอบกอดตัวเองไว้แน่น ราวกับหวังว่ามันจะช่วยบรรเทาความโหดร้ายนี้ลงได้ แต่ไม่เลย..มันไม่ได้ช่วยให้เขารู้สึกดีขึ้นซ้ำร้ายยังทำให้เขากลับรู้สึกเหงา และโดดเดี่ยวมากขึ้นกว่าเดิม จนเผลอคิดว่า ทำไมโลกนี้ถึงได้ทอดทิ้งเขาไว้เพียงลำพัง

           ทั้งที่แต่ก่อน เขาคอยแต่โหยหาอิสรภาพ และหวังจะใช้ชีวิตโดยไม่มีมีใครมาตลอด แต่พอมาสัมผัสจริงๆ ถึงได้รู้ว่าโหดร้ายแค่ไหน

           นายอยู่ไหนบาซิกค์

           ทำไมถึงปล่อยฉันอยู่แบบนี้

           ฉันยังมีค่ากับนายอยู่ไหม

           อยากเจอ.. อยากเจอที่สุด

           คำปรารถนาในหัวใจไหลล้นมาพร้อมกับหยาดน้ำตาที่ไม่รู้ว่าไหลลงมานานเท่าใด ทำไมถึงได้คิดถึงและโหยหาอ้อมกอดของคนคนนั้นขนาดนี้ ถึงจะรู้ว่าบาซิกค์คงพยายามตามหาตัวเขาอยู่ แต่อดไม่ได้ที่จะเผลอคิดอย่างเด็กน้อยที่เห็นแก่ตัว เขาไม่อยากถูกทอดทิ้งอีกแล้ว ไม่อยากเลยจริงๆ แต่หากพระเจ้าจะขีดเส้นทางชีวิตเขาให้เป็นเช่นนั้น เขายินดีที่จะจบชีวิตตัวเองลง ยังดีเสียกว่าการรอคอยที่ไม่สมหวังเลยสักครั้ง แต่เขาก็อยากจะเชื่อ อยากจะเชื่อในตัวของบาซิกค์ และเชื่อในดวงตาสีอำพันคู่นั้นว่าจะไม่มีวันลบเขาไปจากหัวใจ

           นายอยู่ไหนบาซิกค์

           ตุบ!..

           เสียงที่คล้ายกับอะไรบางอย่างล่วงลงมาจากที่สูง ทำให้ร่างที่นอนห่อตัวอยู่บนเตียงหันมาให้ความสนใจ ใช้แขนค่อยๆ ยันกายที่เริ่มพอจะมีเรี่ยวแรงแรงลุกขึ้นมานั่งบนเตียง ก่อนหูจะพลันได้ยินเสียงสั่นรัวของบางสิ่งที่ทำเอาเขาขมวดคิ้ว

           “นาย...”

           ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างอย่างไม่เชื่อสายตา เมื่อเห็นงูหางกระดิ่งตัวหนึ่งกำลังขดตัวมองเขานิ่งปลายหางของมันเลิกสั่น เมื่อเห็นเด็กหนุ่มรับรู้ถึงการมีตัวตนของตนเอง และด้วยสัญชาตญาณบางอย่างทำให้เขาแน่ใจว่าเจ้างูตัวนี้ เป็นตัวเดียวกับที่พาเขาไปพบบาซิกค์ที่ห้องลับ เพียงแค่นั้นหัวใจก็พลันอบอุ่นขึ้นมาอย่างประแปลกประหลาด ทว่าไม่ทันไรเจ้างูนั่นก็มีท่าทีที่แปลกไป จนกระทั่งมันกระทำสิ่งหนึ่ง

           “นี่มัน” หลอดแก้วเล็กๆ ที่บรรจุของเหลวสีแดงถูกขย้อนออกมาจากปากของอสรพิษ มิกิมองสิ่งนั้นอย่างไม่เข้าใจและไม่กล้าหยิบมันขึ้นมา งูพิษจึงใช้ศีรษะของมันดันขวดนั้นไปหาเขา

           “มันคืออะไร” แม้ถามไปก็ไม่มีวันรู้ถึงคำตอบเพราะเขาไม่อาจเข้าใจภาษางูได้ แต่อสรพิษกลับมองเขานิ่งเมื่อต้องการสื่อสารบางอย่าง ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจ แต่สัญชาตญาณกลับสั่งให้รู้ว่ามันกำลังบอกให้เขาทำอะไร

           “อยากให้ฉันดื่มมันเหรอ” มิกิเอ่ยถาม อสรพิษสั่นหางเบาๆ เหมือนแทนคำตอบว่า ‘ใช่’
           เขาลังแลอยู่สักพัก ดวงตาสีอ่อนจ้องมองหลอดแก้วสีแดงอย่างครุ่นคิด แต่สุดท้ายมือเรียวก็เอื้อมไปคว้าขวดแก้วขึ้นมาจากพื้น ฝาที่ปิดหลอดถูกเปิดออก ก่อนยกสิ่งนั้นขึ้นมาดมเพื่อพิสูจน์ว่ามันคืออะไร

            กลิ่นคาวคล้ายกับเลือดตีคลุ้งเข้าจมูก แต่กลับรู้สึกหอมอ่อนๆ เหมือนมีรสหวาน คิ้วเรียวขมวดเข้าหากัน ไม่เข้าใจว่าสิ่งนี้เท่าไร แต่เขาก็คิดว่า บาซิกค์คงส่งเจ้างูนี้มาแทนคำตอบทุกอย่างว่าเขากำลังทำทุกวิถีทางเพื่อหาทางช่วยเหลือเขา และคงไม่ได้คิดร้ายกับเขาแน่ เมื่อคิดได้ดังนั้นก็ไม่มีอะไรจะต้องห่วง สุดทเนก็กลั้นใจดื่มของเหลวสีแดงนั้นลงคอจนหมดในอึกเดียว

           รสคาวเฝื่อนลิ้นติดอยู่ที่ริมฝีปากหลังจากที่ดื่มไป เขาแน่ใจว่าสิ่งนี้คือเลือดเป็นแน่ แต่ทำไมบาซิกค์ถึงต้องให้เขาดื่มเลือดนี้ด้วย คิดได้ไม่ทันไร..คำตอบก็สัมผัสได้ด้วยร่างกายของเขาเอง

            เวลานี้เขารู้สึกอบอุ่นขึ้น ราวกับมีกองไฟเล็กๆ ล้อมอยู่รอบตัว หัวสมองที่ปวดหนึบก็กลับคลายจนเริ่มกลายเป็นปกติอย่างไม่น่าเชื่อ มิกิมองหลอดโปร่งใสในมือพลางเม้มริมฝีปากลง แต่ไม่ทันจะได้หันใบหน้าไปขอบคุณเจ้าสิ่งมีชีวิตที่เข้ามาช่วยเขา มันก็หายตัวไปเสียแล้ว..

           

ออฟไลน์ EtuDe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-0
ค่ำคืนที่ 20 : ดวงเนตรเทพนาคิน Part 3


            ในวันรุ่งขึ้น..



            “นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน ตัดงบประมาณงั้นเหรอ คิดว่าการทดลองนี้มันไม่ใช้เงินทุนหรือยังไง! ฉันจะไปคุยกับสำนักงานใหญ่ให้รู้เรื่อง!”



             เสียงโวยวายดังขึ้นแต่เช้าที่สถานีวิจัยกลางป่า ค็อตเลอร์รู้สึกหัวเสียจนขว้างปาเอกสารวิจัยกระจุยกระจายเต็มห้อง

             ถึงนี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่หัวหน้าของพวกเขาโมโหสุดขีด แต่นับได้ว่าเรื่องงบประมาณเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดในการทดลอง หากไม่มีงบ ก็เท่ากับคนที่ขาดเลือดมาหล่อเลี้ยงชีวิต ศาสตราจารย์ดูจะหวังการวิจัยเรื่องดอกเพเซียนี้ไว้มาก แต่ด้วยทีมและศาสตราจารย์โลเกียผู้ช่วยคนสำคัญดันมาด่วนจากโลกนี้ไป ก็ทำให้งานที่ค้างอยู่ล่าช้ากว่าที่ควรจะเป็น และกินงบประมาณของทางองค์กรไปกว่าหลายล้าน สุดท้ายก็มาถึงวันนี้วันที่ทุกอย่างถูกยุติเอาเสียดื้อๆ แม้จะเดินมาได้ใกล้สุดทางแล้วก็ตาม สิ่งเดียวที่ทำได้คือพยายามปลอบใจหัวหน้าของพวกเขา



            “ใจเย็นก่อนครับศาสตราจารย์ เรายังพอมีเงินทุนเหลืออยู่บ้าง พอที่จะทำถึงสิ้นเดือนนี้”



            “สิ้นเดือนนี้! มันจะไปพออะไร!” ค็อตเลอร์ตวาดเสียงดังพลางโยนเอกสารใส่หน้าลูกน้องของตัวเอง ก่อนจะเดินวนไปวนมาด้วยความหงุดหงิด ถึงเขาจะเป็นคนที่ทำงานให้กับรัฐบาล แต่รัฐบาลกลับไม่ได้เห็นค่าคนอย่างเขาว่าสามารถทำประโยชน์ให้องค์กรได้มากขนาดไหน



            ค็อตเลอร์นั่งลงที่โต๊ะ เคาะปากเร่งเป็นจังหวะราวกับกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก ใบหน้าใต้กรอบแว่นนั้นเต็มไปด้วยตึงเครียด อย่างไรเขาก็เหลือเวลาไม่มากแล้ว อีกไม่ถึงอาทิตย์ก็สิ้นเดือน พวกเขาจะต้องเก็บข้าวของทุกอย่างที่ทำและมอบให้รัฐบาลอย่างไม่มีข้อแม้ แต่ใครจะยอมมอบผลงานของตัวเองที่ใกล้เสร็จสมบูรณ์ไปให้คนอื่นเชยชมกันล่ะ ถึงแม้จะผิดกฎหมาย แต่เขาไม่สนใจ อย่างไรเม็ดเงินจำนวนมหาศาลก็รออยู่ตรงหน้าขอเพียงแค่เขาสามารถสกัดทุกอย่างออกมาจนเสร็จ ฉะนั้นสิ่งที่พอทำได้ก็คือ..



            เก็บวัตถุดิบที่เหลือมาให้หมด



            “ไม่มีทางเลือกแล้ว ถ้าฝ่ายนั้นต้องการบีบเราขนาดนี้ เห็นทีจะต้องคว้าประโยชนไว้ให้ได้มากที่สุด” ค็อตเลอร์หมุนเก้าอี้หันมามองลูกน้องของตัวเอง ขณะคนที่ถูกมองใบหน้าเริ่มถอดสีไม่อยากคิดถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป



            “ศาสตราจารย์หมายความว่า…”



            “วันนี้เราจะเก็บตัวอย่างเลือดทั้งหมดจากเจ้าเด็กนั่นออกมา” คำสั่งเลือดเย็นหลุดออกมาจากหัวหน้าทีมวิจัย ทำเอาทั่วทั้งห้องเต็มไปด้วยความเงียบกริบ พวกลูกน้องได้แต่มองหน้ากันเลิ่กลั่ก แต่กลับไม่มีใครกล้าแย้งศาสตราจารย์ที่ใจคอโหดเหี้ยมเลยสักคน ว่ากันว่ามนุษย์คือสัตว์ชั้นสูงที่มีความคิดเฉลียวฉลาดมีความรู้สึก สงสารเป็น รักเป็นเกลียดเป็น แต่หากมองในเรื่องวงจรผู้ล่า มนุษย์นั้นล่ะคือสัตว์ร้ายที่อันตรายที่สุด

 

 

            บรึน

 

            บรึน!

            เสียงบิดเครื่องยนต์จากยานพาหนะเหล็กสองล้อเร่งดังรบกวนอยู่ที่หน้าศูนย์วิจัยกลางป่า จนทำให้คนที่เป็นเจ้าหน้าที่ที่คอยเฝ้าผู้เข้าออกอยู่หน้าประตูสองนายต้องเดินออกมาไล่ด้วยความหงุดหงิด ไม่คิดว่ากลางป่าเขาเช่นนี้แล้วจะมีพวกก่อกวนตามมาไม่เลิก



            “เฮ้ยแกเป็นใครน่ะ ที่นี่คนนอกห้ามเข้ากลับไป!” เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของศูนย์วิจัยเอ่ยไล่คนที่จอดบิดมอเตอร์ไซด์อยู่ด้านหน้าอย่างไม่ไยดี ถึงพาหนะสีดำตรงหน้าจะดูโก้หรูมีราคา และรูปร่างของคนขับจะดูเท่สูงใหญ่สมชายชาตรี แต่ด้วยใบหน้าที่ปกปิดไว้ใต้หมวกกันน็อคกลับทำให้เขารู้สึกไม่ไว้ใจเลยสักนิด



            คาบูติสีดำบิดคั่นเร่งดังขึ้น ราวกับต้องการยั่วโมโหคนที่เฝ้า ในที่สุดก็เริ่มทนไม่ไหว รีบเดินย่ำตึงออกมา ในมือกำไม้ตะบองเตรียมยกขึ้นมาขู่ไล่เจ้าบ้าที่พูดภาษาคนไม่รู้เรื่อง



            “บอกให้กลับไปไงเล่า ที่นี่เขตหวงห้ามอ่านภาษาคนไม่ออกเหรอ อยากโดนจับหรือไง!” ยามหนุ่มขู่เสียงดุ แต่ผลลัพธ์กลับไม่ได้เป็นไปอย่างที่เขาต้องการ เมื่อคาบูติสีดำบิดคันเร่งแรงขึ้นเสียงดังจนคนที่คิดมาไล่สะดุ้งจนล้มหงาย ไม่ทันได้พักหายใจต่อ ยานพาหนะสองล้อตรงหน้าก็พุ่งตรงมาหาพวกเขาอย่างรวดเร็ว!



            “เฮ้ย!” อุทานเสียงหลง ก่อนจะกลิ้งตัวหลบอย่างทุลักทุเลแต่...

 

            โครม!!

 

            เสียงที่ได้ยินทำเอาสองยามต้องรีบเหลียวหลังหันมามอง ก่อนจะพบว่าประตูที่กั้นทางเข้า ถูกคาบูติสีดำยกล้อหนาๆ พุ่งเข้าใส่จนพังยับ ต่อด้วยสัญญาณเตือนที่ดังว่ามีผู้บุกรุก ตามมาด้วยเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่อยู่ด้านในทั้งหมดรุมกันเข้ามาเพื่อไล่จับ คนที่ขับมอเตอร์ไซค์กันวุ่นวาย โดยที่ไม่เฉลียวใจเลยสักนิดว่ามีใครบางคนแอบลอบเข้าที่ประตูด้านหลัง

 

 

            “ข้างนอกเอะอะเสียงดังอะไรกัน” ถึงจะได้ยินเสียงโหวกเหวกอยู่ภายนอก แต่ค็อตเลอร์ก็ถามขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ เพราะมือทั้งสองกำลังยุ่งอยู่กับการใช้เข็มดึงตัวยาสีเหลืองใสออกมาจากขวดทดลอง



            หลังจากที่เตรียมถุงบรรจุเลือดยัดลงในกระเป๋าแช่เย็นสำหรับการเก็บตัวอย่างจนเสร็จ ลูกน้องของเขาก็ยืนขึ้นไปดูคำตอบให้ผู้เป็นนายที่หน้าต่าง เห็นคนขับมอเตอร์ไซค์เข้ามาที่ศูนย์วิจัย



            “มีคนบุกรุกเข้ามาครับศาสตราจารย์!” เขาหันมาตอบด้วยท่าทีตื่นๆ ค็อตเลอร์ละสายตาออกจากขวดยา และเก็บเข็มฉีดยาเข้ากระเป๋าเสื้อของตัวเองเหมือนเช่นเคย ร่างสูงของชายวัยกลางคนขมวดคิ้วเดินตามลูกน้องตัวเองไปดูให้ชัดๆ ร้อยวันพันปีสถานีวิจัยแห่งนี้ไม่เคยเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น แต่ไฉนถึงได้เป็นแบบนี้ เห็นทีจะต้องอบรบพนักงานที่อยู่ที่นี่ใหม่ทุกคนเสียแล้ว ไม่สิ...เขาไม่มีความจำเป็นจะต้องสนใจที่แห่งนี้อีกแล้วเพราะอีกไม่นานโครงการนี้ก็จะถูกยุบและทุกคนก็จะกระจัดกระจายกันออกไป แต่ใครเล่าจะยอมทิ้งเงินมหาศาลไปเปล่าๆ ให้โง่ ถ้าเขานำเลือดออกจากเจ้าเด็กนั่นหมดเมื่อไร เขาจะไปจากที่นี่ทันที โดยไม่เหลียวแล



            ค็อตเลอร์แสยะยิ้มออกมาตรงมุมปาก ปรายตามองคนที่ก่อกวนผ่านหน้าต่างราวกับใครคนนั้นเป็นแค่แมลงหวี่แมลงวันน่ารำคาญ ก่อนจะหันหลังกลับ แล้วรีบมุ่งตรงไปที่ชั้นสามของสถานีวิจัยทันทีพร้อมกับลูกน้องอีกสองคน

 

            ทันทีที่มาถึงชั้นสาม ร่างผอมสูงของหัวหน้าศูนย์วิจัยก็รีบเดินมาตามทางเดิน โดยมีจุดหมายคือห้องด้านในสุดทางเดิน ทว่าระหว่างที่กำลังเดินไปจนใกล้ถึง จู่ๆ ไฟทุกอย่างก็ดับลงกะทันหัน!



            ฟืบ!



            “ฟะ ไฟดับ” ลูกน้องข้างกายเขาร้องขึ้นอย่างตกใจ และเนื่องจากเป็นทางเดินปิดตายที่สามารถเข้าได้เพียงด้านเดียว เวลาไฟดับก็พลันทำให้ทุกอย่างนั้นมืดสนิท



            “กลัวบ้าอะไรกัน เกิดมาไม่เคยเห็นไฟดับหรือไง” ศาสตราจารย์ค็อตเลอร์ดุลูกน้องทั้งสองที่ทำตัวเลิ่กลั่กจนหงอย ก่อนเขาจะหยิบโทรศัพท์ตัวเองขึ้นมา แล้วส่องให้ความสว่างแทน ทว่า...หูกลับได้ยินเสียงเหมือนคนเปิดประตูเข้ามาด้านใน



            “ใครน่ะ!” เพราะด้วยไฟดับทำให้ระบบทุกอย่างถูกตัด ประตูทุกบานจึงไม่ต้องใช้เลขบัตรของพนักงานในการเปิด ค็อตเลอร์จึงรีบหันหลังกลับไปมองพลางใช้ไฟบนหน้าจอมือถือของตัวเองส่องไปยังประตูทางเข้า แต่กลับไม่พบใครสักคน หัวใจเริ่มเต้นระส่ำแปลกๆ คล้ายกลับกำลังสังหรณ์ใจบางอย่างที่ไม่ดีเลยสักนิด



            ป่านนี้เจ้าพวกบ้านั้นจะจับคนมาก่อกวนไปหรือยัง แล้วทำไมระบบไฟฉุกเฉินถึงไม่ทำงานสักที

            เขาเผลอคิดขึ้นมาด้วยความระแวง ปนกับความกลัวบางอย่างที่ผุดขึ้นในใจ แต่จู่ๆ เสียงสั่นระรัวที่ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบเฉียบก็พลันทำให้เขาเสียวสันหลังวาบ

            เสียงนั้นสั่นระรัวจนคล้ายกับเสียงคลื่นถี่ของกระดิ่งพวงเล็กๆ

            เสียงที่คล้ายกับสัตว์บางอย่างในทะเลทราย และมันอยู่..

            ที่พื้น!

 

            ฟ่อ!

 

            “อ๊ากก!!”

 

            “เฮ้ยพวกแกเป็นอะไรไป!” ค็อตเลอร์ตะโกนเสียงหลง เมื่อจู่ๆ ก็ได้ยินเสียงร้องโหยหวนของลูกน้องที่อยู่ข้างกาย ก่อนจะเงียบไปหายไปทีละคน

            หัวหน้าวิจัยหนุ่มหน้าซีดเผือด เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พยายามใช้ไฟจากหน้าจอมือถือส่องที่พื้น แต่กลับพบลูกน้องตนที่นอนแน่นิ่งเป็นศพไร้ลมหายใจ สักพักรู้สึกเหมือนมีลมเย็นวูบผ่านจนหนาวสะท้าน ดวงตาใต้กรอบแว่นเบิกกว้าง ริมฝีปากเริ่มสั่นด้วยความกลัว เหงื่อไคลไหลซึมเกาะทั่วใบหน้า เท้าก้าวถอยหลังตามสัญชาตญาตที่พาหนี แต่ไม่ช้าระบบไฟฉุกเฉินก็ทำงาน เผยภาพทุกอย่างตรงหน้าให้กระจ่าง แต่สิ่งที่เห็นทำเอาเขาล้มลงไปอ้วกอยู่กับพื้น



             เส้นผมสีดำขลับยาวจรดกลางหลัง ใบหน้างดงามดั่งรูปหล่อทองคำของทวยเทพ แต่ทั้งหมดกลับไม่เท่าดวงตาเรียวยาวคมกริบคล้ายกับอสรพิษที่กำลังจ้องมองราวกับจะกลืนกินวิญญาณของเขาไปจนไม่มีวันได้ผุดเกิด บุคคลร่างสูงสง่าในอาภรณ์สูงศักดิ์กำลังยืมคร่อมขวางทาง



            ค็อตเลอร์พยายามคุมสติของตัวเองไม่ให้แตกกระเจิง แต่ภาพที่พบมันช่างเลวร้ายเกินจะรับไว้ เมื่อเห็นสภาพการตายของลูกน้องทั้งสองคน ใบหน้าบิดเบี้ยวไม่เหลือรูป ขากรรไกรอ้าข้างมีน้ำลายปะปนกับเลือดไหลออกมาไม่หยุด บริเวณลำคอและลำตัวมีงูเลื้อยพันกันยั้วเยียะจนน่าขนลุก



            “ประตูห้องด้านในสุดเปิดมันออกซะ” ริมฝีปากหยัดสวยเอ่ยอย่างเย็นเยียบ ดวงตาคมกริบขององค์เทพจ้องมองไปที่คนที่ทรุดตัวอยู่กับพื้นราวกับอยากฉีกออกเป็นชิ้นๆ



            ค็อตเลอร์เมื่อได้ยินประโยคที่ร่างตรงหน้าพูด เขาก็พอจะเดาเรื่องทุกอย่างได้ทันทีว่าคนคนนี้เป็นใคร เรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้ทั้งหมดถูกเฉลยออกมาทันทีว่าคงหนีไม่พ้นฝีมือของบุคคลผู้นี้ ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรนักว่าร่างสูงศักดิ์เข้ามาที่นี่ได้อย่างไร แต่ก็พยายามสยบความกลัวของตัวเองไว้



            ดูเหมือนว่าชายผู้นี้คงไม่ใช่คนธรรมดาอย่างที่เขาคิดแน่! ทว่า หมากเกมนี้เขาต่างหากที่เป็นต่อ!



            “พระองค์กำลังตามหาใครที่ห้องด้านในหรือพะย่ะค่ะ” นักวิจัยเจ้าเล่ห์จงใจยั่วโทสะของอีกฝ่าย



            “เจ้าอยากตายนักใช่ไหม” บาซิกค์ถลึงดวงเนตรดุดันปานจะแผดเผาร่างกายของชายชั่วให้มอดไหม้ ค็อตเลอร์เหยียดยิ้มร้ายกาจ ก่อนจะปัดฝุ่นแล้วลุกขึ้นยืนเต็มความสูงมองใบหน้าขององค์เทพทะเลทราย



            “แต่กระหม่อมคิดว่าพระองค์ไม่สามารถบังคับกระหม่อมได้นะ หรือจะฆ่าก็ไม่ได้เพราะอะไรรู้ไหม” ค็อตเลอร์มองดวงตาเย็นเยือกของอีกฝ่ายอย่างท้าทาย ริมฝีปากยกขึ้น “เพราะกระหม่อมเพียงคนเดียวที่สามารถเปิดประตูห้องนั้นได้!”

 

            ฟ่อ!

            เพียงพริบตาเดียว คำพูดทุกอย่างก็กลืนหายไปในลำคอ น้ำหนักของสิ่งมีชีวิตบางสิ่งปรากฏขึ้นบนบ่าทั้งสอง ค็อตเลอร์หน้าซีดเผือดเมื่อเห็นอสรพิษขนาดใหญ่เท่าท่อนแขนเลื้อยพันอยู่ที่ลำคอของตัวเอง  เหงื่อไหลหยดลงมาจากไรผม

            “เฮ้ย!!” ตกใจร้องเสียงหลงลงจนล้มไปกองกับพื้น แต่ไม่วายอสรพิษที่พันคอเขาไว้อยู่นั้นก็ไม่ได้หลุดออกแต่อยางใด มือทั้งสองข้างจึงพยายามแกะสิ่งแปลกปลอม แต่ยิ่งพยายามเท่าไรก็ยิ่งถูกบีบรัดแรงขึ้นจนแทบจะหายใจไม่ออก ดวงตาใต้กรอบแว่นพยายามเหลือบมองคนที่ทำให้สิ่งนี้เกิดขึ้นอย่างตื่นกลัว



            “กะ แก เป็นตัวอะไรกัน อึก!” งูรัดที่ลำคอเริ่มบดแน่นขึ้นจนเสียงที่กำลังพูดกลืนหายไปชั่วอึดใจ อย่างไรบาซิกค์ไม่ได้คิดจะไว้ชีวิตคนคนนี้ไว้อยู่แล้ว แต่หากอยากเล่นไม้นี้กับเขาเขาก็จะสนองคืนให้อย่างสาสม



            “ข้าไม่มีเวลามาตอบคำถามชีวิตที่ไร้ค่าเช่นเจ้า หากเจ้าไม่ทำก็จงตายซะ” น้ำเสียงเยือกเย็นทำเอาคนฟังถึงสั่นผวา ดวงเนตรที่เต็มไปด้วยความเย็นชาทำเอาค็อตเลอร์รู้ดีถึงความน่ากลัวของราชาผู้นี้ อย่างไรเขาก็ยังไม่พร้อมจะตายที่นี่ อย่างไรข้อเสนอของเขาอาจจะใช้ไม่ได้เลยกับคนที่มีอำนาจมนตรา ถึงจะเจ็บใจที่ต้องทิ้งทุกอย่างไป แต่สิ่งที่เขาควรทำก็คือ...การมีชีวิตรอดเพื่อหาโอกาสทวงคืน

            “ตัดสินใจหรือยังค็อตเลอร์”

 

ออฟไลน์ EtuDe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-0
ค่ำคืนที่ 20 : ดวงเนตรเทพนาคิน Part จบ



            มิกิได้ยินเสียงเอะอะดังออกมาจากด้านนอกนั่นพร้อมกับไฟในห้องที่ดับลงอย่างกะทันหัน มิกิไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พยายามใช้เรี่ยวแรงที่เหลืออยู่ลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินไปที่ประตู แต่ด้วยข้อมือทั้งสองข้างถูกมัดไว้กับขาเตียงที่ยึดติดกับพื้นทำให้เขาไม่สามารถไปได้ดั่งใจนึก



            ร่างบางขบกรามตัวเองแน่น รู้สึกใจเจ็บใจยิ่งนักที่ไม่สามารถทำอะไรดั่งใจได้ ขณะเดียวกันก็ใจคอไม่ดีเลยสักนิดราวกับสังหรณ์ใจอะไรบางอย่าง แต่พอได้ยินเสียงกรีดร้องดังขึ้นด้านนอกก็พาเอาหัวใจเต้นกระตุก ไม่นานระบบไฟสำรองก็กลับมาให้ความสว่างอีกครั้ง ดวงตาคู่สวยหรี่ลงมองที่ช่องประตูด้านล่าง เห็นเงาดำวูบไหวไปมาอยู่ด้านนอก  ริมฝีปากเม้มลงแน่น



            หากเขาเดาไม่ผิด คงต้องเป็นค็อตเลอร์แน่ที่อยู่ข้างนอกนั่น แต่ทำไมเขากลับได้ยินเสียงร้องราวจะเป็นจะตายดังออกมาด้วย



            บานประตูค่อยๆ ถูกเปิดออก มิกิมองตามพลางใจเต้นแรง หากเป็นค็อตเลอร์ เขาจะไม่ยอมให้เจ้าคนชั่วนั่นแตะต้องร่างกายเขาอีกแล้ว แม้จะต้องต้องตายก็ขอสู้อย่างสุดแรง ว่าแล้วก็กำหมัดตัวเองแน่น แสงไฟจากด้านนอกส่องสว่างผ่านแผ่นหลังสูงใหญ่ของผู้มาเยือนจนเห็นเป็นเพียงเงาดำย้อนสายตา แต่ทำไมรูปร่างของคนคนนี้ถึงได้คุ้นตานัก



            ทันทีที่ทุกอย่างปรับชัดเข้าที่ ก็พลันทำให้ดวงตาคู่สวยนั่นตะลึงค้าง ภาพทุกอย่างราวกับหยุดชะงักจนหยุดนิ่ง ใบหน้าอันแสนคุ้นเคย นั่นทำให้รู้สึกตื้นตันขึ้นในอก



            ทั้งริมฝีปากนั่น

            จมูกนั่น

             และดวงตาสีอำพันคมกริบดุจแสงอรุณ ที่กำลังสะท้อนเป็นภาพตัวเขาอีกครั้ง



            น้ำตารื้นขึ้นมาที่ริมขอบตาไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร หัวใจตัวเองเต้นแรงราวกับได้พบความอบอุ่นที่รอคอยมาแสนนาน ริมฝีปากแห้งปากของเขาเม้มลงแน่น ขณะที่หยาดน้ำใสๆ จากใบหน้าหยดลงบนพื้น 



            “บาซิกค์” เสียงนั้นแผ่วเบาราวกระซิบ มือทั้งสอง เอื้อมขึ้นไปด้านหน้าหวังว่าภาพที่เห็นอยู่นั้นไม่ใช่เพียงฝันไป



            “ฉันมารับแล้ว” ได้ยินเพียงเสียงคุ้นเคย มือที่เอื้อมไปถูกกุมมาแนบที่อกกว้าง เชือกที่พันธนาการเอาไว้มลายหายราวกับโดนแผดเผา ในอุ้งมือสัมผัสถึงเสียงหัวใจที่เต้นอย่างสม่ำเสมอแต่ทว่าอบอุ่นจนน้ำตาไหลอาบลงมาจากดวงตา



            เป็นครั้งแรกที่รู้สึกโหยหาขนาดนี้

            เป็นครั้งแรกที่ตื้นตันในหัวใจว่าไม่ได้ถูกทอดทิ้ง

            เป็นครั้งแรกที่น้ำตาไหลอาบลงมามากมายราวกับไม่มีวันจะหยุดลง

 

            ค็อตเลอร์มองภาพของคนทั้งสองอย่างเจ็บใจ ขณะที่หัวสมองก็พยายามใช้ความคิดอย่างหนักถึงวิธีเอาตัวรอด หากเจ้างูที่อยู่บนคอเขาเกิดจากมนตราของราชาแห่งอนาคานจริง ก็พอเป็นได้ว่ามนตรานั้นอาจจะสูญสลายลงหากเขาสามารถทำร้ายผู้ใช้ได้เหมือนอย่างในหนังหรือภาพยนตร์หลายๆ เรื่อง ถึงจะไม่มีเหตุผลใดมาค้ำประกันได้ว่าสิ่งที่เขาคิดถูกต้อง เพราะถ้าหากพลาดก็หมายถึงชีวิตของเขาจะต้องดับสูญอย่างน่าอนาถ แต่อย่างไรก็ไม่มีวันตกอยู่ในสภาพนี้เด็ดขาด หากชีวิตไม่ได้มาซึ่งเงินทองที่วาดฝันไว้ ทั้งที่มันอยู่แค่เอื้อมแล้วละก็ ถึงจะเสี่ยงก็ยอมดีกว่าตายเปล่าเช่นนี้!

 

            ฉึก!

            เข็มฉีดยาปักเข้าคาที่ไหล่ขององค์เทพ ภาพอันโหดร้ายราวกับถูกสะกดค้างไว้ต่อดวงตาของเด็กหนุ่มที่เบิกกว้าง กายสูงทรุดตัวล้มลงคาอ้อมแขนของคนรัก ก่อนเสียงปืนจะลั่นดังตามมาจนหูอื้อชา

 

            ปัง!

            ดวงตาคู่สวยขยายโพลน สัมผัสได้ถึงของเหลวที่เปรอะกระเซ็นใส่ใบหน้า ความกลัวในสิ่งที่ไม่อยากจะคิดทำให้เนื้อตัวสั่นเทาไปหมด มือเรียวโอบกอดร่างกายที่ทรุดลงกับพื้น แต่พอยกขึ้นมากลับพบแต่เลือดสีแดงฉานจนสติแทบขาดสะบั้น ภาพนิมิตในอดีตย้อนกลับมาในหัวอีกครั้ง น้ำตาผันแปรจากความดีใจเป็นความโศกาก่อนมันจะกลั่นออกมาพร้อมกับเสียงกรีดร้อง

            “บาซิกค์!!”



            สมมุติฐานของเขาเป็นจริงทั้งหมด เมื่อเวลานี้งูที่พันรอบลำคอเขาหายไปแล้ว ค็อตเลอร์เหยียดยิ้มเย็นมองดูสภาพของคนทั้งสองอย่างสะใจ มิกิเหลือบตามองคนกระทำพลางจ้องเขม็งด้วยความเคียดแค้น แต่ไม่ทันจะได้ลุกขึ้นไปจัดการคนชั่วช้า ขณะที่กระบอกปืนสีดำถูกยกขึ้นมาขู่

            “สีหน้าแบบนี้เหมือนโลเกียตอนที่ฉันจะยิงเขาไม่ผิด แต่ก็มีบางอย่างที่แตกต่างกันนิดหน่อย” ค็อตเลอร์เหยียดยิ้มเย้ย ใบหน้าเต็มไปด้วยความต่ำช้าเกินบรรยาย “ตรงที่หมอนั่นขอชีวิตแกกับฉันไว้ยังไงล่ะ!” ก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง

            “ไอชาติชั่ว!! ”



            ปัง!



            กระสุนนัดหนึ่งยิงเข้าที่หัวไหล่จนทะลุ ความแรงของกระสุนทำให้กายบางล้มกระแทกพื้น ความเจ็บแล่นแปลบขึ้นมาราวกับแขนทั้งท่อนกำลังถูกไฟครอกจนร้อนแสบทรมาน มิกิร้องออกมาด้วยความเจ็บ แต่ก็พยายามกัดฟันทั้งน้ำตานองหน้ากลั้นเสียงของตัวเองไม่ให้ชายที่ไม่อาจเรียกว่ามนุษย์ได้นั้นได้ใจ

            ค็อตเลอร์ยืนฉีกยิ้มอย่างพอใจมองภาพม้าพยศดิ้นทรมานอยู่กับพื้น

            “ร้องออกมาสิมิกิ ส่งเสียงของนายออกมาให้ดังๆ เพราะหลังจากนี้นายจะไม่มีวันได้ร้องไห้อีกแล้ว เพราะกระสุนนัดนี้…” ค็อตเลอร์จ่อปืนสูงขึ้น ปลายนิ้วชี้จ่อไว้ตรงไกปืน “จะเล็งที่หัวนาย” ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างเมื่อได้ยินสิ่งที่เอ่ย ไม่คิดเลยว่าชีวิตจะต้องมาจบเพราะคนที่มีจิตใจเลวทรามอำมหิต หากเขาเข้มแข็งมากกว่านี้ ทุกอย่างก็อาจไม่ต้องลงเอยเช่นนี้ ความตายไม่ใช่เรื่องเลวร้าย แต่ความโดดเดี่ยวต่างหากคือสิ่งที่ร้ายแรงที่สุด



            เขาไม่อยากทิ้งใครให้โดดเดี่ยว

            เพราะการมีกันและกันต่างห่างที่ทำให้หัวใจที่เคยเหี่ยวเฉาดวงนี้อบอุ่น

            บาซิกค์จะอยู่ได้ไหมนะ...ถ้าไม่มีเขา

            “ลาก่อนไอหนู” เสียงเย็นเยียบกล่าวทิ้งท้าย นิ้วเรียวค่อยๆ เหนี่ยวไกเชื่องช้า ดวงตาคู่สวยหลับลง ในใจคิดถึงแค่เพียง ขอให้ชายข้างกายคนนี้ให้อภัย



            ฟ่อ!

            ปัง!



            กระสุนพลาดไปถูกเตียงที่ด้านหลังเป็นรูดำ มิกิรีบลืมตาขึ้นมาดูเหตุการณ์ต่างๆ ด้วยความึนงง ก่อนจะพบว่ามีงูหางกระดิ่งตัวหนึ่ง กัดเข้าที่ข้อเท้าของค็อตเลอร์!

            “ไองูบ้านี่!”

            ค็อตเลอร์สะบัดเท้าออก พลางรีบเล็งปืนไปที่อสรพิษที่ลอบกัด ก่อนกระหนำกระสุนยิงไม่ยั้งใส่เจ้างูตัวนั้น แต่อสรพิษก็กลับซ่อกแซกกว่าที่เขาคิดไว้นัก ทำให้กระสุนยิงไม่โดน แต่เพียงไม่นานค็อตเลอร์เริ่มเหงื่อแตกกาฬ สัมผัสได้ถึงอาการชาที่เริ่มไล่ขึ้นมาจากปลายเท้า หากปล่อยไว้เช่นนี้เขาคง..



            “เซรุ่ม” ไม่รอช้าก่อนที่ขาจะใช้ไม่ได้ ค็อตเลอร์รีบวิ่งออกจากห้องทันที โดยไม่หันหลังมองพวกเขาอีก



            “ค็อตเลอร์! อึก!” เปล่งเสียงเรียกด้วยความแค้นพยายามจะลุกตามออกไป แต่แผลที่ไหล่ก็เจ็บเกินกว่าจะลุกขึ้นได้ทันที กระทั่งได้ยินเสียงของคนข้างกายเรียกชื่อเขาแผ่วเบา



            “มิกิ” ร่างบางรีบมาอยู่ข้างๆ ค่อยๆ ยกคนที่นอนหายใจรวยรินอยู่กับพื้นขึ้นมานอนไว้บนตัก สองมือก็ประคองใบหน้าของอีกฝ่าย



            “ทะ ทำใจๆ ดีไว้ บาซิกค์นายจะไม่เป็นอะไร” ถึงจะพูดปลอบไปแต่ทว่าน้ำตาเย็นชื้นกลับหยดรดใบหน้า บาซิกค์คลี่ยิ้มอ่อนๆ ก่อนจะบกมือขึ้นซับน้ำตาให้คนขี้ตกใจ



            “นายต่างหากที่ต้องใจเย็นๆ กระสุนปืนฆ่านาคินไม่ได้ อึก...” บาซิกค์คล้ายกลับกำลังจะพูดอะไรต่อ แต่ดูเหมือนร่างกายเขากลับอ่อนแรงลงเสียดื้อๆ หากเดาไม่ผิดอาจเป็นเพราะเข็มฉีดยานั่นที่ค็อตเลอร์แอบแทงเข้าในตัวบาซิกค์เป็นยาตัวเดียวกันกับเขาที่จะทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง เลยทำบาซิกค์มีอาการแบบนี้



            “มันคือยาคลายกล้ามเนื้ออดทนหน่อยนะบาซิกค์” ดวงตาสีเขียวมองชายคนรัก บาซิกค์พยายามพยักใบหน้ารับ เพราะประมาทไปหน่อยถึงได้พลาดท่าได้



            “ลุกขึ้นไหวไหม โอ๊ย!” มิกิพยายามพยุงตัวบาซิกค์ให้ลุกขึ้น แต่ไม่วายกระสุนปืนที่ฝังอยู่ในไหล่เขาก็ทำพิษจนต้องร้องครวญ



            “นายบาดเจ็บ” น้ำเสียงที่ไม่เคยได้ยินเอ่ยขึ้น ความห่วงใยส่งทอดมาจากดวงตาคู่นั้น



            “ฉะ ฉันไม่...อึก!”



            ไม่ทันได้พูดต่อจนจบประโยค ก็สัมผัสได้ถึงนิ้วเรียวยาวที่เลียลงบนปากแผลจนสะดุ้ง ดวงตาคมกริบเงยขึ้น



            “ถอดเสื้อออก”

            ไม่รู้ว่าคนตรงหน้าคิดจะทำอะไร แต่พอเห็นใบหน้าและดวงตาที่เต็มไปด้วยความห่วงใยแล้ว เขาก็ไม่สามารถขัดคำสั่งนั่นได้ มิกิค่อยๆ ถอดเสื้อของตัวเองออก เผยให้เห็นอกขาวบางเรียบ ดวงเนตรสีอำพันมองขึ้นไปบริเวณบาดแผลที่ยังคงมีเลือดไหลซึม ใบหน้าคมโน้มเข้ามาใกล้รอยแผลมากขึ้น ลมหายใจอุ่นๆ ไหลรดจนร่างกายร้อนวูบ ก่อนการกระทำหนึ่งจะทำให้หัวใจเต้นแรงอีกครั้ง



            กลีบปากอ่อนนุ่มไล่บรรจงจุมพิตลงยังบาดแผล ความเจ็บปวดแสบร้อนมลายหายราวกับร่ายเวทย์มนต์ มือทรงอำนาจสัมผัสลงบนรอยเลือด ความอบอุ่นไหลซ่านกระจ่ายที่หัวไหล่ เพียงไม่นานกระสุนที่คาอยู่ด้านในก็ถูกขับออกมาหล่นกับพื้น  ก่อนเนื้อหนังที่ฉีกขาดจะกลับเป็นดั่งปกติ



            เมื่อทุกอย่างกลับเป็นเช่นเดิม มิกิรู้สึกพูดไม่ออก ได้แต่มองใบหน้างดงามขององค์เทพอยู่แบบนั้น แม้จะมีคำถามมากมายอยู่ในหัว แต่ในใจกลับไม่รู้ว่าจะเรียบเรียงมันออกมายังไง มีคำๆ หนึ่งอยากจะเปล่งเสียงออกมา แต่มันกลับถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกในใจบางอย่างจนยากจะอธิบาย รู้สึกตัวอีกที ริมฝีปากของชายผู้นี้ก็ปิดทับลงมาอย่างอ่อนโยนพร้อมกับ ประโยคที่ไม่เคยคาดว่าจะได้ยิน

            “ฉันขอโทษ” ถ้อยคำเพียงสั้นๆ แต่ลึกกินใจเสียจนน้ำตาไหล สองมือโอบกอดแผ่นหลังกว้างเอาไว้แน่น เสียงสะอื้นดังออกมาไม่ขาดสาย หยาดเลือดที่เปรอะเปื้อนจากบาดแผลหายไปแล้ว เวลานี้ เหลือเพียงแผลในหัวใจที่กำลังค่อยๆ ได้รับการรักษาจากยาชั้นดี ต่อให้ชีวิตนี้ต้องเจออะไรมากกว่านี้ เขาจะไม่จากอ้อมแขนของชายผู้นี้ไปอีกแล้ว แม้จะต้องตกเป็นทาสกับความรู้สึก ก็ยินดีผูกโซ่คล้องเอาไว้ตลอดไป

            “ไปจากที่นี่กันเถอะ”

 



 

            เวลานี้ไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นที่สถานีวิจัยบ้าง ถึงจะมีเสียงกรีดร้อง พร้อมกับเสียงปืนดังขึ้นอยู่เป็นระยะแต่เขาก็ไม่สนใจอะไรทั้งนั้นนอกจากชีวิตของตัวเอง



            ค็อตเลอร์เดินโซเซจนถึงที่ชั้นสองของสถานีวิจัยซึ่งเป็นชั้นที่เก็บเซรุ่มและพวกยาปฏิชีวิณะต่างๆโดยเฉพาะ จึงไม่มีเจ้าหน้าที่ดูแลอยู่ในชั้นนี้



            ความจริงแล้วถึงสถานีวิจัยแห่งนี้จะอยู่กลางป่า แต่หลังจากที่เขาได้รับอำนาจให้ดูแลเกี่ยวกับการวิจัยของดอกเพเซียเพื่อมารักษาโรคเจ้าหญิงนิทราต่อ เขาก็ได้เตรียมเซรุ่มป้อนกันพิษงูเอาไว้มากมาย เพราะดอกเพเซียเป็นดอกไม้ที่ปล่อยกลิ่นฟีโรโมนดึงดูดพวกงูมาชุมนุมกัน แต่ถ้าเทียบกับตอนที่นำตัวมิกิกลับมาใหม่แล้ว พวกงูกลับชุกชุมกว่าที่เขาคิดไว้มากนัก จนต้องสั่งเซรุ่มมาเพิ่มเติมเรื่อยๆ เพราะมีนักวิจัยหลายคนถูกงูกัด



            แขนเสื้อกาวน์ข้างหนึ่งถูกฉีกออกอย่างเร่งด่วนเพื่อมาพันไว้ที่ขาข้างที่ถูกกัด ค็อตเลอร์ขบกรามแน่น เหงื่อกาฬแตกพลั่ก และหายใจลำบากขึ้นทุกที ขณะที่เขาก็พยายามลากขาที่แทบจะไร้ความรู้สึกของตัวเองไปที่ตู้เก็บเซรุ่ม ใส่รหัสบางอย่างลงไปพร้อมกับมือที่เริ่มสั่น ก่อนที่สายตาจะพล่าเรือนไปมากกว่านี้เขารีบควานหาตัวยาป้องกันในทันที เซรุ่มที่หยิบออกมาเป็นหลอดสีเหลือง หากเดาไม่ผิดงูที่กัดเขาเป็นงูหางกระดิ่ง โชคดีที่เขาจำสีของเซรุ่มนี้ได้จึงฉีดมันเข้าตัวอย่างไม่ลังเลว่าจะกลัวผิด



            ไม่นานนักอาการทุกอย่างก็ทุเลาลง ทีละน้อย กระทั่งเริ่มขยับขากลับมาเป็นปกติได้บ้าง แต่เซรุ่มที่ฉีดกลับส่งผลให้ร่างกายของเขาอยากหลับตาลงพัก แต่เขาจะเสียเวลาเพราะเรื่องแบบนี้ไม่ได้ ว่าแล้วก็กลั้นใจใช้เข็มฉีดยาแหลมๆ แทงเข้าที่ไหล่ตัวเอง ให้ความเจ็บปวดกระตุกให้เขาตื่นขึ้นมา



            ค็อตเลอร์หอบหายใจถี่รัวจากความเจ็บ เลือดสีแดงสดไหลลงมาจากบาดแผล ก่อนจะค่อยๆ พยุงตัวลุกขึ้น แล้วถอดเสื้อกาวน์ที่เลอะเปรอะเปื้อนไปด้วยคาบเลือดของตัวเองออก



            ในห้องเก็บเซรุ่มนี้เขาจำได้ว่า มีตัวอย่างเลือดของมิกิที่ยังไม่ได้รับการทดสอบเก็บไว้อยู่ด้วย เมื่อคิดได้ดังนั้นจึงจะไปเอาเลือดที่ยังไม่ได้ใช้ หากสามารถนำมันออกไปได้ เขาก็สามารถสกัด DNA จากเลือดของมิกิให้เพิ่มขึ้นมาได้โดยที่ไม่จำเป็นจะต้องมีเจ้าตัว



            หัวหน้านักวิจัยพยายามเดินไปให้ถึงตู้เก็บสีขาวขนาดใหญ่ที่คล้ายกับเครื่องแช่ มือเปื้อนเลือดรีบกดรหัสผ่านของตัวเครื่อง ด้านในมีถุงพลาสติกใสที่บรรจุเลือดสีแดงสดไว้สองถุงเต็มๆ ก่อนเขาจะคว้ามันขึ้นมา แล้วยัดใส่กระเป๋าเก็บที่วางไว้อยู่ข้างตู้ แล้วรีบเดินออกไปจากห้องทันที



            ทว่า..ก่อนจะออกมาด้านนอก เขาก็เหลือบไปเห็นคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่ง ซึ่งคอมพิวเตอร์ทุกตัวในสถานีนี้สามารถเข้าสู่ระบบส่วนกลางของสถานี รวมทั้งเซตระบบป้องกันต่างๆ ได้ เพียงแค่ใช้รหัสจากเขาซึ่งเป็นผู้ควบคุมทั้งหมดและรวมไปถึงอุปกรณ์ต่างๆ ในนี้ด้วย เพียงแค่นั้นความคิดชั่วร้ายก็แล่นเข้ามาในหัวทันที ก่อนที่จะแสยะยิ้มแล้วทำบางอย่าง





 

 

            มิกิค่อยๆช่วยพยุงบาซิกค์ออกมาจากห้อง แม้จะเป็นองค์เทพที่มีอำนาจมนตราสามารถรักษาแผลให้หายได้ในพริบตา แต่หากเป็นผลของพวกยากลับไม่ได้หายในทันที บาซิกค์ส่งยิ้มอ่อนๆมาให้เหมือนรู้ตัวว่าทำให้เขาต้องลำบาก แต่มิกิกลับไม่ได้คิดเช่นนั้นเลย เวลานี้พวกเขาจะต้องรีบออกไปจากที่นี่ หากเขาเดาไม่ผิด ทุกศูนย์วิจัยมักจะมีระบบป้องกัน เหมือนๆกันแทบทุกสถานี หากมีเหตุร้ายเกิดขึ้นอาจเป็นไปได้ว่าระบบ อาจจะทำลายตัวเองเพื่อกันข้อมูลรั่วไหล หรืออาจส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือจากภายนอกโดนอัตโนมัติ หรือไม่ก็..

 

            กริ๊งงง!!



            จู่ๆเสียงสัญญาณเตือนภัยก็ดังขึ้น มิกิหน้าซีดเผือดทันที มองไฟสีแดงที่กระพริบถี่อยู่บนเพดานทางเดิน

            ไม่นะ หรือค็อตเลอร์คิดจะ..

            ตูม!! เสียงระเบิดดังขึ้นจากชั้นหนึ่งของสถานีวิจัย ทำให้พื้นที่ด้านบนสั่นสะเทือนราวกับจะถล่มลงมา! มิกิรีบจับตัวบาซิกค์เอาไว้แน่น



            “เราต้องรีบขึ้นไปชั้นบน ทางออกจากที่นี่ตอนนี้มีเพียงทางเดียวคือ เฮลิคอปเตอร์ที่ดาดฟ้า”



            “จับฉันไว้มิกิ”



            ฟืบ!

            พริบตาเดียว คนที่เคยพยุงมากลับแปรเปลี่ยนเป็นอสรพิษทะเลทรายขนาดใหญ่ เกล็ดสีเหลืองทองสลับลายพาดดำ ทำให้เขาจำได้อย่างดิบดี รู้สึกตัวอีกทีมือทั้งสองข้างก็โอบลำคอของนาคินยักษ์เอาไว้แน่น พร้อมกับการเคลื่อนที่พุ่งทะยานขึ้นไปด้านบนอย่างรวดเร็ว ขณะที่เสียงระเบิดไล่ตามขึ้นมาเรื่อยๆ จากชั้นล่างจนโครงสร้างของตึกเริ่มบิดเบี้ยวคล้ายกับอีกไม่นานจะถล่มลงมา



            มิกิเกาะบาซิกค์เอาไว้แน่น แรงระเบิดทำกลุ่มควันคละคลุ้งไปหมด เศษหิน ซากเพดานตกลงมาเรื่อยๆราวกับห่าฝน แต่บาซิกค์ก็คอยหลบเลี่ยงแล้วใช้ศีรษะ และลำตัวของตัวเองคอยปกป้อง ไม่ช้าก็พุ่งทะยานออกมาที่ชั้นบนสุดของสถานีวิจัย ทว่าพื้นของดาดฟ้าด้านบนเริ่มเอนเอียงไปตามรูปทรงของตึกที่ใกล้พังทลาย ก่อนบาซิกค์จะกลับคืนรูปมนุษย์แล้วทรุดตัวลงฮวบเนื่องจากฝืนเรี่ยวแรงของตัวที่ยังไม่กลับคืนมาจนถึงขีดจำกัด



            มิกิตกใจเข้าไปช่วยพยุงร่างแกร่งลุกขึ้น แล้วรีบพาไปที่เฮลิคอปเตอร์ที่จอดนิ่งอยู่ใจกลาง ถึงเขาไม่รู้ว่าจะขับเฮลิคอปเตอร์ลำนี้เป็นไหม และคิดว่าคงคล้ายกับวิดีโอเกมที่เขาเคยเล่นตอนเด็กเท่าไร แต่ตอนนี้เขาก็ไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว

            เด็กหนุ่มคอยพยุงบาซิกค์ไปถึงตัวเครื่อง แต่ไม่ทันได้แตะประตู เสียงปืนก็ขึ้นมาทางด้านหลังจนไม่กล้าขยับ

 

            ปัง!



            “นึกไม่ถึงพวกนายจะหนังเหนียวเกินคาดนะ” เสียงที่ไม่อยากได้ยินทำเอามิกิกัดฟันแน่นด้วยความเจ็บใจ ที่คนคนนี้ยังไม่ยอมไปเฝ้านรกอย่างที่ใจคิด ค็อตเลอร์ถือกระเป๋าบางอย่างไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง ขณะที่อีกข้างเล็งกระปืนมาที่เขา



            “แต่จะทำอย่างไรดี ที่บนเฮลิคอปเตอร์นี้ คงมีไม่พอสำหรับพระองค์และพระชายา” รอยยิ้มชั่วร้ายใต้กรอบแว่นยกขึ้นอย่างไม่สำนึกผิด ขณะที่มิกิเกินจะทนแล้วจริงๆ



            “แกมันไม่มีสำนึกของความเป็นคนอยู่เลยใช่ไหม พวกเขาเป็นลูกน้องของแก แกจะฆ่าพวกเขาทั้งหมดเลยหรือไง ค็อตเลอร์ไอชาติชั่ว!” แผดเสียงลั่นอย่างไม่เคยเป็น นัยน์ตาเต็มไปด้วยความโกรธ แต่หากคนที่กำลังเอ่ยถึงกลับหัวเราะเสียงดัง



            “ไม่เอาสิพระชายา อย่าทำกิริยาเช่นนั้น มันไม่สง่างามเลยนะ” พูดจบก็ยิงปืนลงกับพื้นที่มิกิยืนอยู่ ก่อนจะขู่เสียงเย็น “ถอยออกไป” เมื่อได้ยินคำสั่งของอีกฝ่าย มิกิกัดฟันแน่ด้วยความเจ็บใจที่ไม่สามารถมีกำลังไปต่อกรกับค็อตเลอร์ได้เลย ขณะที่บาซิกค์เอง ก็รู้สึกเจ็บใจไม่แพ้กัน ถึงตอนนี้เขาจะสามารถยืนได้แล้ว แต่ยาที่ฉีดเข้าไปกลับทำให้หัวสมองเขามึนงงจนไม่สามารถใช้อำนาจนาคินของตัวเองได้ ผสานกับการฝืนตัวเองกลายร่างก่อนหน้านี้เพื่อพามิกิหนีขึ้นมาด้านบนทำให้เหนื่อย จนแทบจะรั้งร่างกายให้ยืนไว้ยังลำบาก สุดท้าย พวกเขาทั้งสองคนถึงได้แต่ทำตามคำขอที่ชั่วช้าของค็อตเลอร์อย่างเลี่ยงไม่ได้ ในที่สุดก็มองดูอีกฝ่ายแย่งเฮลิคอปเตอร์ไปต่อหน้าต่อตา แต่เหมือนเจ้าตัวยังไม่อยากหมดสนุกเพียงแค่นี้



            “ถอยไปจนสุดขอบดาดฟ้านั่นล่ะ”



            “แก!”



            ปัง!     มิกิทำท่าจะขัดขืน แต่กระสุนก็ถูกไล่ยิงที่พื้นจนเขาไร้ข้อแย้ง



            “ถอย-ไป-อีก” กล่าวเน้นย้ำทีละคำช้าๆ มิกิกับบาซิกค์จำใจก้าวถอยหลังไปจนสุดดาดฟ้าอย่างที่สั่ง มือเรียวกำแน่นด้วยความเจ็บใจ ขณะที่แรงสั่นสะเทือนของสถานีวิจัยก็ใกล้ขึ้นทุกที ค็อตเลอร์รีบขึ้นไปบนเฮลิคอปเตอร์ สายลมมหาศาลพัดจากใบพัดที่กำลังเตรียมโผบินไปบนฟ้า แต่ขณะที่กำลังนำเครื่องขึ้น ใบหน้าชั่วช้าก็ชะโงกออกมาด้านนอก พร้อมกับปืนที่เล็งมาที่หัวใจของเจ้านาคิน มิกิเบิกตากว้าง

 

            “แล้วก็ได้โปรดประทานอภัยให้กระหม่อมด้วยนะ ฝ่าบาท”



            “บาซิกค์!!”

 



            ทันทีที่ยิงปืนนัดสุดท้ายเสร็จ ค็อตเลอร์มองภาพเหตุการณ์ต่างๆ ผ่านเฮลิคอปเตอร์ แล้วแสยะยิ้มเยาะ ในที่สุดเรื่องนี้เขาก็เป็นผู้ชนะ และอีกไม่นานเงินทองมหาศาลก็จะตกเป็นของเขา เขาไม่กลัวที่ตัวเองกระทำผิดเลยสักนิด เพราะจะเอาอะไรกับราชาประเทศเล็กๆ ที่ไม่มีใครรู้จักกันเล่า จะบอกว่าเขาลักพาตัวพระชายาไปงั้นหรือ แล้วหลักฐานล่ะ เพราะทั้งหมดมันถูกทำลายลงไปแล้ว ไม่มีใครจับตัวเขาหรือสามารถเอาผิดเขาได้เลยสักนิด หากเรื่องนี้จะต้องโทษใครสักคน ก็ต้องโทษที่เจ้าเด็กนั่นที่ดันดื้อด้านไม่ยอมให้ความร่วมมือกับเขาตั้งแต่ทีแรก อ่า..แต่เขาก็ไม่อยากคิดอะไรอีกแล้วเพราะทุกอย่างกำลังจะจบแล้ว



            ว่าแล้วก็เร่งเครื่องให้บินขึ้นสูงขึ้นอย่างสบายใจ แต่ไม่ทันไรที่ปลายเท้ากลับสัมผัสได้ถึงบางอย่างที่ผสานกับเสียงสั่นถี่รัวคล้ายกับปลายหางของสิ่งมีชีวิตที่เขาเพิ่งหนีรอดมาก็พลันทำให้หน้าซีดเผือดทันที



            อย่าบอกนะว่าเจ้างูที่กัดเขามัน..

 

            ฟ่อ!



            “โอ๊ย!” คมเขี้ยวฝังลงที่โคนขาด้านใน ความเจ็บปวดแล่นเข้ามาจนแทบจะขาดสติมิอาจควบคุมเฮลิคอปเตอร์ได้



            อสรพิษถอนคมเขี้ยวออก ดวงตาเรียวยาวจ้องมองเขานิ่งงัน ลิ้นสองแฉกแลบยาวออกมาราวกับมันต้องการจะเยาะเย้ยในความหลงระเริงของเขา



            ค็อตเลอร์กัดฟันแน่นด้วยความเจ็บใจ แต่ไม่ทันไรพิษของงูหางกระดิ่งก็พลันเล่นงานเร็วกว่าที่คิดไว้ ไม่ช้าทั่วทั้งตัวของเขาก็เป็นอัมพาต ระบบประสาททั้งหมดในร่างกายถูกทำลาย หลอดลมตีบลงจนไม่สามารถหายใจ ใบหน้าเริ่มเขียวช้ำจนดูน่ากลัวบิดเบี้ยวราวกับศพ ในที่สุดเฮลิคอปเตอร์ที่ไร้การควบคุม ก็หมุนติ้วอยู่กลางอากาศ ไม่ช้าก็ตกลงมากลางป่าแล้วระเบิดเป็นพลุไฟสีแดง

 



 

            ปัง!



            เสียงปืนดังก้องฟ้า หมู่นกโบยบินขึ้นจากป่า ภาพทุกสิ่งทุกอย่างหมุนช้าลง หากเพียงเสี้ยววินาทีเขาช้าไปกว่านี้ เขาอาจจะได้เห็นภาพที่เขาไม่ต้องการ มือเรียวของเด็กหนุ่มผลักร่างผู้ครอบดวงใจให้พ้นวิถีกระสุนจนนาทีพรากชีวิตแปรเปลี่ยมมาฝังลงกลางอกเขาเสียแทน



            ไม่เสียดายเลย..

            ไม่เสียดายเลยสักนิดหากหัวใจนี้ต้องแหลกสลาย

            แต่ขอให้หัวใจนี้ได้ทำเพื่อใครสักคนที่รักหมดใจ อย่างน้อยก็ล่วงรู้แล้วว่าสามารถปกป้องคนที่รักไว้ได้

            เขาเคยบอกว่าดวงตาของเทพนาคินจะจ้องมองเพียงเขา เสมือนเขาเป็นเจ้าของ

            แต่กลับกัน เขาต่างหากที่กลับตกเป็นทาสดวงเนตรงดงามโดยไม่รู้ตัวเลยสักนิด

            ความรู้สึกสุดท้ายกำลังจะหายไป..มือเอื้อมขึ้นมาหวังจะสัมผัสใบหน้างดงามนั้นดั่งใจ แต่ทำไมช่างห่างไกลเสียเหลือเกิน..



“มิกิ!! ”

 

            วูบ!



            ร่างกายนี้กำลังร่วงหล่นลง หรือโบยบินกันนะ

            ทำไมใบหน้าของคนคนนั้นถึงพร่าเลือนไปเรื่อยๆ

            มีเสียงบางอย่างดังขึ้นคล้ายกับกำลังเรียกชื่อเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า

            เงาดำสูงใหญ่นั้นช่าง..งดงามจัง

 

            ตูม!!



            จบแล้วสินะ ภาพสุดท้ายที่เห็นคือแสงสีดำ กับความหนาวเย็นที่ห่อหุ้มร่างกายที่แหลกสลายพร้อมกับลมหายใจที่สิ้นไปในสายน้ำ

 


+++++++++++++++++
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-10-2015 17:11:23 โดย EtuDe »

ออฟไลน์ alt1991

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 370
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-1

ออฟไลน์ philosopher

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
สนุกมากเลยค่ะ
อ่านมา 20 ตอนรวดลุ้นจนเกร็งไปหมดเลยค่ะ
อยากอ่านต่อเร็วๆแล้ว
อยากรู้ว่ามิกิจะได้รักกับพระราชาหรือไม่ 55555555

ออฟไลน์ EtuDe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-0
ค่ำคืนสุดท้าย : ชายาคู่บัลลังก์

 

            “เกิดอะไรขึ้นที่สถานีวิจัยกันแน่คะ”

          “รัฐบาลไม่มีส่วนรู้เห็นเกี่ยวกับการกระทำของศาสตราจารย์ค็อตเลอร์จริงหรือเปล่าครับ”

          “โครงการเซรุ่มนี้ยังดำเนินต่อไปอีกไหมคะ”

          “อนาคานเป็นประเทศที่มีอยู่จริงๆ ใช่ไหมครับ”

          “แล้วเด็กหนุ่มคนนั้นไปอยูที่ไหนแล้ว”

 

            คำถามมากมายถูกระดมยิงจากสื่อมวลชนทุกแขนงราวกระสุนปืน หลังจากที่โครงการวิจัยเซรุ่มดอกเพเซียรั่วไหลออกมาด้วยฝีมือของใครบางคน รัฐบาลก็ไม่ได้นิ่งนอนใจแต่อย่างใด หากแต่เปิดแถลงข่าว และให้คำตอบเฉพาะในเรื่องที่ต้องรับผิดชอบ แต่เรื่องนี้กลับปิดได้ไม่ง่ายนัก เมื่อนักข่าวกลับสืบคุ้ยข้อมูลต่างๆ ออกมาจนกลายเป็นข่าวครึกโครมในสังคม พร้อมกับข้อสงสัยที่ว่า

 

         อนาคาน เป็นประเทศที่มีอยู่บนโลกจริงหรือ?

 

         หลายคำถามถูกตอบโดยรัฐบาลอย่างรัดกุมเพื่อไม่ให้ข้อมูลรั่วไหลไปมากกว่านี้ แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ศูนย์วิจัยลับกลางป่าของประเทศ กลับสร้างคำถามมากมายให้นักข่าว ยิ่งพอพบซากเฮลิคอปเตอร์พร้อมกับศพไหม้เกรียมของศาสตราจารย์ค็อตเลอร์หัวหน้านักวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ที่ควบคุมโครงการเซรุ่มดอกเพเซียนี้ต่อจากศาสตราจารย์โลเกีย ก็เหมือนรัฐบาลกำลังปิดบังความจริงไว้บางอย่าง ถึงฉากบังหน้าที่ประชาชนพบจะรับรู้ว่าเป็นเพียงแค่อุบัติเหตุ แต่นักข่าวกลับเชื่อมเหตุการณ์ระเบิดที่ศูนย์วิจัยทะเลทรายฮาซานจนกลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมาว่าเซรุ่มจากดอกเพเซีย จะช่วยรักษาโรคให้ประชาชนหรือช่วยรักษาผลประโยชน์ของใครบางคนกันแน่ อีกทั้งผลชันสูตรกลับพบสารพิษอยู่ในศพของศาสตราจารย์ค็อตเลอร์ ถึงจะไม่มีข้อมูลแน่ชัดว่าพิษจากสิ่งใด หรืออาจเป็นแผนฆาตกรรม แต่ทั้งหมดก็ทำได้เพียงคาดเดาไปต่างๆ นานา

 

         รัฐบาลยอมรับว่ามีการวิจัยเซรุ่มดอกเพเซียจริง แต่กลับมิอาจตอบเต็มปากเต็มคำในเรื่องของศาสตราจารย์ค็อตเลอร์ได้ว่า เขาฆ่าเพื่อนร่วมงานของตัวเองรวมทั้งจับเด็กหนุ่ม ซึ่งเป็นผู้ช่วยงานวิจัยของศาสตราจารย์โลเกียมาทดลองด้วย ถึงจะไม่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังว่าข่าวนี้ใครเป็นคนแพร่ออกมา ซึ่งทำให้พวกเขาหัวหมุนอยู่ไม่น้อย สุดท้ายจึงได้แต่ตอบตามบทที่คุ้นกันดีว่า ‘เราจะทำการสืบเรื่องนี้ต่อไป’

 
         “เรื่องจบแบบนี้ จะดีกับอนาคานจริงเหรอ”

         ที่ตึกแห่งหนึ่ง..ดวงตาสีครามมองภาพฝูงชนเบื้องล่างจากบนดาดฟ้าสูง คนถามหันหน้ามา มองชายหนุ่มผิวเข้มที่ยืนอยู่ข้างกาย สายลมโบกพัดเส้นผมสีดำให้ปลิวสยาย เห็นนัยน์ตาคมนั้นหรี่ลง ริมฝีปากยกยิ้มขึ้นราวกับสบายใจที่ได้กล่าวคำตอบ

 
         “ฝ่าบาทประสงค์ให้เป็นเช่นนั้น” สิ่งที่ได้ยินทำเอาคนถามแอบจะอมยิ้มเป็นไม่ได้ บางทีสัตว์ร้ายที่เห็นว่านิ่งก็ควรจะขู่คำรามเสียบ้างจะได้ไม่มีใครกล้ามาข่มเหง แต่สำหรับคนที่ปฏิเสธการมีตัวตนมาแสนนาน พอออกสู่โลกกว้างจะปรับตัวได้ไหมนะ?

 
         “คำถามจากผู้คนจะรุมล้อมไปที่อนาคาน ฝ่าบาทอาจต้องทรงรับมือกับสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้น”

 
         “อย่าห่วงไป...ฝ่าบาทมีทุกสิ่งทุกอย่างในมือแล้ว” คำตอบนั้นทำเอาขมวดคิ้ว ใบหน้าคมเข้มหันกลับมา ดวงตาสีดำขลับมองมาที่เขา พลันทำเอาใจเต้นระส่ำ กายสูงใหญ่เดินเข้ามาใกล้ขึ้น มือใหญ่ค่อยๆ ช้อนคางของคนตัวเล็กกว่าให้เงยขึ้น

 
         “แม้แต่วิญญาณที่คิดจากไป ก็ยังดึงกลับมาได้ เขาจะต้องกลัวอะไรอีก” รอยยิ้มมุมปากยกขึ้น แววตาหวานซึ้งอย่างแปลกประหลาดจนเขาอดหัวเราะออกมาไม่ได้ “เช่นท่านใช่หรือไม่”   

 
         “เปล่า...” มือเปลี่ยนเป็นโอบไหล่คนข้างกายเอาไว้ ก่อนจะผินหน้าออกไปมองไปยังท้องฟ้าเบื้องบน“แต่เป็นคนคนนั้นต่างหาก”

 

                                                                     

         ระฆังวิวาห์ดังกังวาลไปทั่วอาณานครที่ยิ่งใหญ่ กลีบบุปผาขาวถูกโปรยปรายลงมาจากหอคอยสูง ก่อนจะล่องลอยออกไปไกลแสนไกลตามลมทะทรายที่พัดพาไป

 
         ประตูราชวังอันยิ่งใหญ่ถูกเปิดต้อนรับ พื้นทรายสีทองและหินอ่อนด้านอกถูกโอบล้อมด้วยเหล่าพสกนิกรที่ร่วมแสดงความปลาบปลื้มปิติที่อัดล้นอยู่เต็มหัวใจ น้ำพุรูปร่างเทพธิดามีอสรพิษเกี่ยวพันรอบลำตัวปล่อยน้ำมาจากปากที่อ้าค้าง หากมองรอดผ่านแสงอาทิตย์จะเห็นเหมือนเป็นม่านน้ำสีรุ้งประกายงดงาม รวมทั้งดอกกระบองเพชรสีชมพูสวยที่ไม่เคยมีวี่แววว่าจะผลิดอก กลับบานสะพรั่งส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ขจรขจราย พาให้สวนทรายที่แห้งแล้งมีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้ง

 
         ทั้งหมดที่เกิดขึ้นไม่เว้นแม้แต่ธรรมชาติ เหมือนต่างกำลังอวยพรให้ทวยเทพที่กำลังจุติลงมายังราชวังเบื้องหน้าให้พานพบแต่ความสุขตลอดไป

 

         สายตาของผู้คน ต่างทอดมองออกไปที่ทางเดินบันไดสูงชันที่ทวยเทพของพวกเขาจะเสด็จลงมาเยือนในไม่ช้านี้

 

         กริ๊ง..

 

         เสียงกระดิ่งจากชายผ้าคลุมสีขาวบริสุทธิ์ขลิบทองดังรอดออกจากหลังประตูวังบานใหญ่ พลันทุกสิ่งทุกอย่างเงียบสงัดลงราวกับลืมหายใจ เพียงไม่กี่อึดใจ บุคคลที่พวกเขารอคอยก็ประจักษ์สู่สายตา

 

         ราชาในชุดราชพิธีสีขาวบริสุทธ์ ผู้เป็นดั่งเทพปกรนัมของชาวนาคิน ก้าวเดินลงมา ดวงตาสีอำพันส่องเป็นประกายงดงามราวกับเพชรล้ำค่ากวาดมองเหล่าพสกนิกรนิ่งงัน ทว่าหากสังเกตทีริมโอษฐ์จะเห็นว่าแย้มพระสรวงขึ้นบางๆ ภาพที่เห็นทำเอาชาวนาคินน้ำตารื้น ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาพวกเขาไม่เคยได้รับแม้แต่ปรายพระเนตรที่จะสนใจ ทว่าธิดาจุติองค์ใดกันเล่า ที่สามารถเปลี่ยนพระทัยที่เยือกเย็นขององค์เทพเราให้กลายเป็นประกายไฟที่ให้ความอบอุ่นได้ หากไม่ใช่..

 

         กริ๊ง..

 

         พระหัตถ์อบอุ่นยื่นมา..

         ดวงเนตรอ่อนโยนทอดมอง..

         ทาสหัวใจ..

 

         “ข้ามขั้นตอนมาแบบนี้จะดีเหรอ ฝ่าบาท” เสียงหวานนุ่มกังวาลดังระฆังแก้วจนใจสั่น ใบหน้าหมดจดสวยงามหันมาคลี่รอยยิ้มสดใส ความกังวลเมื่อคราก่อนบัดนี้หายไปจนสิ้นเหลือแต่ความตื้นตันที่เต็มล้นอยู่ในหัวใจ และไม่มีคิดว่าชีวิตนี้จะกลายเป็นเช่นนี้ได้

 

         ความรักที่ไม่เคยสุดทางเลยสักครั้ง ทำให้เขาตัดสินใจเลิกเชื่อในสิ่งๆ นั้นไปในที่สุด

         ทุกคนจากไปหมดแล้ว เหลือตัวเขาเพียงลำพัง

 

         กระทั่งมาเจอกับชายผู้นี้ที่มาพร้อมกับความโหดร้ายอย่างที่ชีวิตไม่เคยพบว่าเจอแต่ไฉนเลย สวรรค์ถึงได้เล่นตลกกับหัวใจของเขาให้หลงรักอสูรร้ายไปได้

 

         รู้สึกตัวอีกที ก็อยากจะถูกอ้อมแขนนี้รัดไว้ตราบสิ้นลมหายใจ...เหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้น เป็นเครื่องพิสูจน์ทุกอย่างแล้วคนคนนี้จะไม่มีวันทอดทิ้งเขาไป และเหตุใดเขาถึงจะต้องยอมเสียมันไปด้วยเล่า

 

            พอกระสุนปืนฝังเข้าที่กลางอก เขาจำได้ว่าร่วงลงไปจากดาดฟ้า และจากนั้นทุกอย่างก็ดำมืดไปหมด วินาทีที่มีเพียงแค่ภาพสีดำตรงหน้าโดยรู้ตัวว่าจะไม่มีวันได้ตื่นขึ้นมาพบกับแสงสว่างอีก ความรู้สึกนั้นมันช่างน่ากลัวจนยากจะทานทน

 

            เขาเหงา เขาโดดเดี่ยว

            อยากจะร้องไห้ เพราะอยากเจอใครคนนั้นแต่กลับทำอะไรไม่ได้เลย

            ราวกับความรู้สึกของเขามันสูญเปล่า

            เขาไม่เคยกลัวความตาย

 

            แต่สิ่งที่เขากลัวคือการถูกทิ้งให้อยู่ลำพัง แม้จะคอยโกหกตัวเองอยู่เสมอว่าชีวิตนี้ต้องการแค่อิสระภาพ แต่พอเจอกับคนคนนั้น คนที่มาปลดล็อกความรู้สึกทุกอย่าง เขาก็ได้มอบหัวใจไปให้โดยไม่รู้ตัว ก่อนแสงสว่างจะทำให้เขาลืมตาตื่นขึ้นมา และพบกับความจริงทุกอย่างว่า บาซิกค์ยังคงอยู่ข้างกายเขาไม่ไปไหน

 

            เขาตื่นขึ้นมา พบรอยยิ้ม และสีหน้าที่ไม่เคยได้เห็นมอบให้ ดวงเนตรที่มันแสดงแต่ความโหดร้ายเย็นชากลับคลอด้วยหยาดน้ำใสๆ ที่ปรากฏเป็นภาพตัวเขา

 

            เวลาที่อ้อมแขนนั้นโอบกอดช่างอบอุ่นจริงๆ

            หรือเพราะเขาเหมือนเด็กน้อยที่ต้องการคำปลอบโยนกันถึงได้รู้สึกแบบนี้

 

            ทีแรกก็แปลกใจอยู่เหมือนกันว่าทำไมถึงยังได้มีชีวิตอยู่ แต่พอทราบความจริงว่า ในตอนที่เขาถูกจับ งูหางกระดิ่งตัวนั้นได้มอบเลือดของบาซิกค์มาให้เขาดื่ม ซึ่งบาซิกค์บอกกับเขาว่ามันจะช่วยให้ร่างกายของเขาแข็งแรงขึ้น ถึงจะเคยได้ยินมาบ้างว่าดื่มเลือดงูแล้วจะอยู่ยงคงกระพัน แต่ในกรณีถ้าเป็นเลือดของเทพนาคิน คงมิวายพ้นคำว่า อมตะ(ชั่วคราว)กระมัง ฟังดูเหมือนกับปาฏิหาริย์ไม่มีผิด แต่เขาคิดว่าคงไม่ใช่ และคิดว่าบาซิกค์คงวางแผนทุกอย่างไว้ก่อนหน้าที่จะช่วยตัวเขาออกมาแล้ว นึกแล้วก็ใจหายอยู่เหมือนกันที่จู่ๆ เรื่องทุกอย่างก็จบลงด้วยดี

 

“เจ้าควรดีใจ ที่คนส่งตัวเจ้าเป็นข้าเองมิใช้ผู้อาวุโสแบบครั้งก่อน” บาซิกค์ยื่นมือมาพร้อมกับน้ำเสียงที่ดูเหมือนไม่รู้สึกผิดเลยสักนิด มิกิจึงหลุดออกจากความคิดตนเอง

 

“ตรัสเช่นนี้ ทรงกังวลเรื่องอันใดอยู่อีก” เอื้อมมือไปรับมือของอีกฝ่าย พระหัตถ์กุมมือคนรักเอาไว้ ก่อนทั้งสองที่ดั่งสมมุติเทพจะค่อยๆ เดินจูงมือกันเอื่อยเฉี่ยยไปยังลานแท่นพิธีกลางแจ้ง

 

“ก็กลัวว่า...จะมีใครมาแย่งเจ้าไปอีก” น้ำเสียงนั้นกึ่งจริงจังแต่ก็กึ่งหยอกเย้า มิกิคลี่ยิ้มออกมาแต่กลับชวนมองจนคนข้างๆ ลอบยิ้มตาม

 

“นั่นก็ขึ้นอยู่กับตัวพระองค์เอง ว่าทรงอยากทิ้งหม่อมฉันหรือเปล่า” กล่าวประชดไปเล่นๆ เพื่อหวังให้คนที่จูงมือใจเสีย แต่อีกฝ่ายกลับหัวเราะออกมา มิกิขมวดคิ้วย่น

 

“ทรงขำอะไร” แกล้งทำเป็นไม่พอใจ บาซิกค์หันมากล่าวด้วยรอยยิ้มละมุน

 

“พอเป็นแบบนี้แล้วรู้สึกไม่ชิน เวลาเจ้าพูดราชาศัพท์กับข้า” กล่าวจบ คนที่เดินข้างกายถึงกับผงะฝีเท้า ใบหน้าหวานจู่ๆ ก็เริ่มแดงซ่านขึ้นมาจนถึงใบหู

 

กะ..ก็ใครมันเป็นคนสั่งให้คนมาสอนเขากันเล่า!

 

กำลังจะโต้เถียง แต่ก็ถูกคนตรงหน้าปรามไว้ด้วยรอยยิ้มเรียบๆ

 

“พูดอย่างที่เจ้าถนัดเถอะ...มิกิ” ร่างเล็กถอนหายใจ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าบาซิกค์จะเปลี่ยนจากหลังเท้าเป็นหน้ามือได้ขนาดนี้ แต่มันก็เป็นเรื่องดี

 

“ไว้หลังจากเสร็จพิธีแล้วกัน” ถึงจะพูดไปแบบนั้น แต่สุดท้ายก็ปล่อยให้อีกฝ่ายจูงมือไปจนถึงแท่นพิธีกลางแจ้งเช่นครั้งก่อน

 

มิกิก้าวไปตามพรหมสีแดงที่ทอดยาวไปถึงแท่นพิธีที่อยู่เบื้องบน ตลอดทางเป็นด้วยเสาหินสลักลายอสนพิษที่น่าองอาจ กระทั่งมาถึงบันไดเตี้ยๆจะก้าวไปสู่แท่นพิธี ดวงตาคู่สวยกวาดมองประชาชน และเหล่าบรรดาคนในวังที่ต่างมาร่วมเป็นสักขีพยานกันยกใหญ่ ถึงแม้จะมีเพียงแค่คนใน แต่เขาก็อดที่จะรู้สึกประหม่าขึ้นมาไม่ได้เมื่ออยู่ท่ามกลางสายตานับร้อยคู่

 

บาซิกค์กุมมือเขาไว้แน่น เหมือนต้องการจะบ่งบอกว่า มีเขาอยู่ไม่ต้องกลัวอะไร พอได้รับกำลังใจจากคนข้างกายแล้วมิกิก็สูดหายใจเข้าลึกเต็มปอด เพื่อบรรเทาความตื่นเต้นที่อยู่ในใจ เมื่อบาซิกค์เห็นว่าเจ้าตัวพร้อมแล้ว จึงได้จำยอมปล่อยมือคู่นั้น แล้วก้าวไปราชพิธีสำคัญ

 

            เมื่อมาถึงด้านบนสุด เสียงทุกอย่างก็เงียบสงบลบ มีเพียงเปลวไฟจากคบเพลิงศักดิ์สิทธิ์ที่ระนาบเยื้องอยู่ทั้งสองข้างที่โบกสะบัดไปตามแรงลม ส่วนตรงหน้าคือเครื่องเสวย และถ้วยปฏิญาณขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยน้ำสีแดงเข้มอยู่ด้านใน

 

มิกิรู้สึกใจสั่นแปลกๆ พิธีเลิกผ้าคลุมถูกเอาออกไปแล้วตามคำสั่งของราชา โดยให้ความเห็นว่า เขาต้องการจะเริ่มพิธีถัดจากนั้นเลยไม่อยากเสียเวลามาไล่ทุกอย่างใหม่ แต่กระนั้นพิธีกรีดเลือดให้หยดลงบนถ้วยปฏิญาณของทั้งสองก็ยังคงทำอยู่เช่นเดิม

 

ทันทีที่ดื่มน้ำสีแดงเฝื่อนลิ้นในถ้วยของตัวเองจนหมด ผู้อาวุโสที่ทำพิธีก็อัญเชิญคำสัตย์สาบานต่อเทพนาคินในทันใด เสียงกลอง และสายลมโหมพัดรุนแรงขึ้นราวกับล่วงรู้ถึงพิธีการสำคัญในวันนี้

 

“โอม...เสียงกลองจงสะท้อนก้อง...อัญเชิญองค์มหาเทพนาคินพันเศียร

โปรดเสด็จเป็นประจักษ์พยาน แด่โอรสของพระองค์
ด้วยสัจวาจาจะมิหมายมองใครอื่นใดจากคู่หทัย

ด้วยหยดเลือดจักพันผูกด้วยกายดุจงูรัด

แม้วิญญาณสูญสลาย รักพิสุทธิ์มิอาจพังทลาย

จงสาบานด้วยหยาดเลือดนี้ ต่อดวงเนตรเทพนาคิน.. ” สิ้นคำขาน สายลมวูบหนึ่งก็พัดเข้ามา ทำให้เปลวไฟในคบเพลิงโหมลุกขึ้นโชติช่วง ราวกับเป็นคำตอบที่เทพยดาขานรับ ผู้อาวุโสที่ทำพิธีหันมามองพระพักตร์พระชายาแห่งอนาคาน

 

            “คิโนมุระ มิกิ เจ้าสาบานว่าจะมอบทั้งกาย ใจ และวิญญาณนี้ต่อองค์เทพนาคินหรือไม่” หัวใจเขาเต้นแรงจนแทบไม่ได้ยินคำปฏิญาณนั้น ฟังไม่ออกด้วยซ้ำว่าพูดว่าอะไร แต่เพียงได้เห็นดวงเนตรคมกริบสวยงามนั้น ก็เหมือนกับสะกดให้ริมฝีปากของเขาพูดออกไปทั้งหัวใจ

 

            “ข้าสาบาน” เขาตอบด้วยเสียงที่หนักแน่น มั่นคง แต่ร่างกายกลับสั่นไหวน้อยๆ ราวกับหัวใจมันจะหลุดออกมา

 

            “องค์ราชาบาซิกค์ พระองค์ทรงยอมรับคำสาบานนี้จากพระชายาหรือไม่”

 

            “ข้ายอมรับ” น้ำเสียงนั้นเรียบเย็น ฟังดูไม่หวานหูเลยสักนิด แต่น่าแปลกที่มันกลับให้ความรู้สึกอบอุ่นประหลาดๆ ทั้งที่ไม่ควรจะเป็น มิกิแอบเม้มริมฝีปากลง แกล้งเบี่ยงสายตาไม่มองออกไป เพราะตอนนี้เขารู้สึกสั่น จนแทบจะยืนตรงๆ ไม่ได้ แถมยังร้อนๆ แถวใบหน้าขึ้นมาจนถึงหู ไม่รู้ว่าเพราะอากาศหรืออะไรกันแน่

 

            “เชิญพระองค์ทั้งสอง จุมพิตปฏิญาณพะย่ะค่ะ” พูดให้สัญญาณเสร็จสรรพถึงพิธีสุดท้าย ร่างสูงศักดิ์ก้าวมาใกล้ ไออุ่นจากคนตรงหน้าประชิดตัวเขาแล้ว แต่เด็กหนุ่มกลับยืนตัวแข็งทื่อราวกับรูปปั้นหิน ท้ายสุดก็ถูกพระหัตถ์ใหญ่เชยขึ้นมาสบ ดวงตาเทพนาคินจ้องมองอย่างละเมียดละไมอยู่นานสองนาน และลอบยิ้ม นิ้วเรียวสวยเกลี่ยลงบนแก้มขาวนุ่มจนรู้สึกจั๊กจี้แปลกๆ

 

            “ทรงมองนานเช่นนี้ เกิดลังเลขึ้นมาหรืออย่างไร” แกล้งถามออกไป พลางเริ่มทำใจให้เป็นปกติหันมองคนสูงกว่า

 

            “เปล่า...ข้าแค่อยากมองหน้าเจ้าให้ชัดๆ ว่านี่ไม่ใช่ความฝัน” ดวงเนตรทอดมองภาพเจ้าหัวใจเพียงคนเดียวนิ่ง ประกายของความบริสุทธิ์ใจที่ไม่มีวันผันแปรปรากฏขึ้นในแววตา ขณะที่แววตาของตัวเองก็จะไม่แปรเปลี่ยนเช่นเดียวกัน

 

“ทรงจูบเถิด คนอื่น...เขารอฉลองกันอยู่” พูดด้วยความเขินอาย บาซิกค์หัวเราะเบาๆ

 

“ปากเจ้ามันน่าโดนกัดไม่เปลี่ยน”

 

“หึ...งั้นก็กัดเลย”

สัมผัสอ่อนนุ่มครอบครองทั้งหัวใจ จุมพิตสาบานร้อนแทบหลอมละลายทุกสรรพสิ่ง แม้ความร้อนของทะเลทรายสีทองกว้างใหญ่ก็มิอาจเทียบเท่า ความรักนี้ บทเรียนนี้ ทำให้เรารู้จักหัวใจตัวเองมากขึ้น บางทีคนที่สามารถทำลายกำแพงสูงกั้นในจิตใจตัวเองได้ อาจมิใช่ใครอื่น นอกจากตัวเราเอง ขอเพียงเปิดใจ แล้วปล่อยหัวใจให้นำพาไป แล้วจะพบว่าอ้อมแขนที่เราโหยหาจะอยู่ใกล้เพียงเอื้อม ความสุขของหัวใจกลั่นออกมาเป็นน้ำตาจนล้นเอ่อ แม้พันธนาการรักนี้จะไม่ได้สวยหรูมาตั้วแต่ต้น แต่ตอนนี้ ณ เวลานี้..แม้จะต้องพันผูกโซ่ด้วยทาสใจ ก็จะอยู่เช่นนี้ไป นิจนิรันดร์..

 

       
  สายลมดุจเป็นพยานรัก..

         จุมพิตจักกัดกลืนถึงใจหมาย..

         ขอเพียงรัก เจ้านี้ ไม่เสื่อมคลาย..

         แม้ชีวาย มิพรากรัก สิ้นมรณา..

 

         ดวงตาคู่นี้จักปรากฏแค่ภาพเขา..
          และจักเป็นเช่นนั้นตลอดไป..

 
+++++++++++++++ เสน่หาทาสนาคิน (จบบริบูรณ์) +++++++++++++++

 

ทักทายทิ้งทายกันสักนิด

 

          กรี๊สสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสสส  ในที่สุดพี่งูของหมู่เฮาก็แล่นมาถึงตอนสุดท้ายจน ได้ โฮกกกกกกก  รู้สึกใจหายมากมาย ( เหลือบมองต้นฉบับ 200 นิดๆ ) เป็นเรื่องที่ทำดี้ร้องโอดครวญที่สุดเท่าที่เคยแต่งมาฮืออ พยายามทำออกมาให้สมเหตุสมผลที่สุดแง้ และแล้วมันก็ออกมาเป็นแบบนี้  (แก้เยอะมากก แก้บ่อยมาก) แต่ก็ไม่รู้ว่าจะถูกใจ รีเดอร์ ทุกท่านกันไหม T^T
                  ขอบคุณนะคะ  ขอบคุณทุกคนจริงๆที่คอยเป็นกำลังใจให้ดี้มาตลอดทั้งจากเรื่องเก่าและเรื่องใหม่ และยังไม่หนีไปไหน ดี้ยอมรับผิดแต่โดยดีค่ะว่าเรื่องนี้ เบี้ยวบ่อยมาก แล้วก็อัพช้ามาก แต่อยากให้ทุกคนเข้าใจว่าแต่ล่ะงาน ดี้ตั้งใจทำเขียนนะ ตั้งใจจริงๆ(ดูหน้า *^*) จนถึงหน้าสุดท้ายอิอิ

       มาถึงพาร์ทสำคัญกันบ้าง  หลายคนอาจสงสัยว่าว่า เฮ้ย!!! ขุ่นพระขุ่นเจ้า บาฮษลกับ ซาอิดมา โผล่ญี่ปุ่นได้ยังไง เฮ้ยแล้วเรื่องราว รอดออกมาได้ยังไง ทำไมไม่เห็นรู้เรื่อง!

 

อย่าเพิ่งโวยวายค่ะ..

คำตอบทั้งหมดอยู่ในตอนพิเศษ สำหรับคู่ น้ำพริกปลา(งู)เค็ม? ของนิยายเรื่องนี้ค่ะ ซึ่งจะจัดให้ อาเฮียหลีบาฮาล กับ อาเจ้ซาอิด โดยเฉพาะ รวมถึงเฉลย ปมใน บางอย่างด้วย..ฮิ้วววว  ใครอยากรู้ช่วยอุดหนุนดี้กันนเร๊อะ (ถ่อวววว งานขายตรง)

        พอพูดถึงตอนพิเศษ แล้ว บอกเลยแล้วกันเนร๊อะว่ามีทั้ง 3 ตอน ด้วยกัน เป็น คู่หลัก 2 ตอน แล้ว คู่ บาฮาลกับซาอิด อีก 1 ตอนค่ะ

     บอกใบ้ให้ว่า ใครอยากเห็น ลูกงู ตัวน้อยๆ วิ่งไปวิ่งมา?  ห้ามพลาดเชียว! ><y (ขายอีกล่ะ)       

 อ่า ถึงย่อหน้าสุดท้ายแล้ว ไม่มีไรมาก แค่อยากจิบอกว่า รักทุกคนนะคะ และคิสถึงมากด้วยย จุ๊ฟ >3
ใครรอเรื่องตำนานรักเพลงราชันภาค 2 อยู่ อาจมีข่าวดีเร็วๆนี้ 

 

ส่วยนิยายเรื่องนี้เปิดเจอเมื่อไรดี้จะอัพเดทให้ทราบโดยด่วนค่ะ คาดว่า สิ้นเดือนนี้ น่าจะรู้กัน ><

ปล. สนพ หนึ่งเดียว นะคะ  บลายยยยยยยยยย >3

 

ออฟไลน์ alt1991

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 370
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-1

ออฟไลน์ Cockroach

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 195
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
อยากเห็นมิกิแปลงเป็นงูได้บ้างจัง=3=+ แล้วจะรอหนังสือนะครับผม

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ EtuDe

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +72/-0
เปิดจองนิยาย Basilik Eye สเน่หา ทาสนาคิน
โดย EtuDe 

1.   เสน่หา ทาสนาคิน Basilisk Eye By EtuDe   

วาดปกโดย  Sweet Surrender

รอปก

          หลังจากที่สามารถสกัดเซรุ่มรักษาโรคเจ้าหญิงนิทราจาก ‘ดอกเพเซีย’ ได้สำเร็จ พวกเขาก็ถูกหักหลังโดยเพื่อนร่วมงานที่หนีชิ่งเอาผลงานไป ศาสตราจารย์โลเกียได้มอบเซรุ่มที่มีประสิทธิผลมากที่สุดให้กับ ‘มิกิ’ แล้วบอกให้เขาฉีดเซรุ่มนั้นกับตัวเอง มิกิหนีรอดจากความตายมาได้ ทว่าเส้นทางที่รอเขาจากนี้กลับทำให้เขาคิดว่าเขาควรตายซะจะดีกว่า เมื่อเขาถูกพ่อค้าทาสจับตัวไปขาย
          มิกิถูกประมูลขายไปในราคาสูงริบโดย ’บาซิกค์’ ราชาผู้สูงศักดิ์แห่งอนาคาน เด็กหนุ่มพยายามหลบหนีทุกวิธีเท่าที่ยังมีลมหายใจ  แต่กลับได้ทราบความจริงที่ไม่ควรรู้ เมื่อเมืองอนาคานกลับเต็มด้วยมนุษย์งู! และที่ยังมีชีวิตอยู่ได้อาจเป็นเพราะเซรุ่มจากดอกเพเซียที่ไหลเวียนอยู่ในเลือด! แต่เขาก็ตอบไม่ได้ว่าเซรุ่มนี้มีจะมีผลอยู่นานเท่าไร
เขาจะต้องหาทางออกไปจากประเทศแห่งนี้ก่อนยาจะหมดฤทธิ์ !
แต่จะทำยังไงล่ะ! ในเมื่อคิดจะหนีก็ถูกลากขึ้นเตียงไม่เว้นแต่ละวัน เพราะตัวเซรุ่มที่อยู่ในร่างกายเขากลับเป็นยาปลุกเซ็กส์งู!


รายละเอียดหนังสือ 

- หนังสือขนาด  A5  เล่มเดียวจบ ความหนาโดยประมาณ  510 หน้า++  อาจมีเพิ่มหรือลดได้เพื่อความเหมาะสมของการรวมเล่ม
- หนังสือเล่มเดียวจบ

ตอนพิเศษที่มีเฉพาะในเล่ม  ทั้งหมด  3  ตอน

-  คู่หลักมิกิ บาซิกค์ และลูกงู
- บาฮาล และ ซาอิด
-  ตอนพิเศษลับที่ยิ่งกว่าลับ มีให้อ่านในเล่มเท่านั้น 

ของแถมประจำเล่ม (หลังรอบจองก็มีให้)
-   ที่คั่นหนังสือ  1 ชิ้น

ของแถมเฉพาะรอบจอง(หลังรอบจองหาไม่ได้นะเออ ทำรอบเดียวจบจ้า )

Mini Novel ขนาด B6 เรื่อง เรื่อง ปิ๊ง รัก เจ้าตัวจิ๋ว : Cactus Red Hood

แต่งโดย EtuDe  วาดปก KillAel

     ‘รุจ’ บรรณาธิการหนุ่ม นวนิยายสยองขวัญ ที่ไฟใกล้มอดดับเต็มทน? แม้จะทำงานด้วยหน้าเบื่อโลก
แต่เขาก็ไม่เคยโทษโลกว่าทำให้เขาเบื่อเลยสักนิด และเพราะชีวิตที่จืดชืดอยู่แต่หน้าจอคอมพิวเตอร์นี่เอง ทำให้แฟนสาวข้างกายเลือกที่จะสะบัดบ๊อบและทอดทิ้งเข้าไปในที่สุด ทว่าสถานะทางการเงินชนิดเดือนชนเดือนทำให้เขาไม่มีเวลามานั่งนอยด์ชีวิตทิ้งไปวัน ๆ ได้ ขณะที่กำลังแก้ต้นฉบับทั้งน้ำตานองหน้า จู่ ๆ ต้นกระบองเพชรจิ๋ว ที่แฟนสาวของเขาเป็นคนซื้อให้ ที่ตั้งอยู่หน้าจอคอม ก็ส่งเสียงร้องโหยหวนจนหลอนตกเก้าอี้ งานนี้ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า ภูต? กระบองเพรช (จิ๋ว?) ก็มีอยู่จริง! แต่..

   เลิกเอาเข็มมาขู่กันสักที่ได้ม้ายยย!!

   “จงกราบไหว้ข้าด้วยไก่บอนชอน และไอศกรีมฮาเก้น-ดาสซะ เจ้ามนุษย์!!”

เปิดจองตั้งแต่วันที่  28 ตุลาคม 2558  -  31 มกราคม 2559
หนังสือราคาเล่มละ 540 บาท  ค่าส่ง 50 บาท
 รวมเป็นเงินทั้งชุด 590 บาท 


Special Promotion
Special Promotion ซื้อ 3 ได้ 6
หากคุณลูกค้าซื้อหนังสือนิยาย   มนต์รักข้าวมันไก่ (nikkou แต่ง) ราคา 320 + Basilik Eye สเน่หา ทาส นาคิน (EtuDe แต่ง) ราคา 540 + Plus+Man ผู้ชายคิดบวกปิ๊งรัก My Angel (?) (Ranmaru * แต่ง) ราคา 390 บาท จากทั้งเซ็ต เพียงราคา  1,249 บาทเท่านั้น  ส่งฟรี***

ทุกชุดจะได้รับ
ถุงผ้าขนาด  กว้าง 14 สูง 10 ฐาน 4 นิ้ว จำนวน 1 ใบ
+
ปฏิทิน Planner 2016 ขนาด 10.5x14.5 ซม. ลายปกนิยาย

  หากมีข้อสงสัยสอบถามได้จากทุกช่องทางของ สนพ.หนึ่ง หรือเพจคนแต่งค่ะ

 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-10-2015 20:44:10 โดย EtuDe »

ออฟไลน์ Baruda

  • มีความสุข
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 633
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
เรื่องราววุ่นวายดีแท้ นายเอกเราถึกและอึดสุดๆ ฉากสุดท้ายเขาแต่งงานกัน :m3: :m3: ขอบคุณค่ะสนุกมากเลย :pig4:

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ jum1201

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 587
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-5
บวกเป็ดให้เลยยย สนุกมากกกก ลุ้นทุกตอน สงสารมิกิที่สุดเลยยย ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆ คะ

ออฟไลน์ Aumy8059yaoi

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 419
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
เรื่องนี้สนุกมากกกกกกกกค่ะ o13 o13 o13
เค้าจะซื้อแน่ๆเก็บตังค์ๆ :mc4: :mc4:
 :pig4: :pig4: :กอด1:

ออฟไลน์ azure

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 772
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
อ่านสองวันติดกันจนจบ
เป็นนิยายที่ดีงามมาก :katai1: :katai2-1:

ออฟไลน์ boworange

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 537
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +48/-0
 :pig4: คือดีงามค่ะ  :heaven

ออฟไลน์ k_keenny

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 370
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-1

ออฟไลน์ badbadsumaru

  • ♡ caramel macchiato
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2461
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +91/-2
เป็นเรื่องที่ทรหดอดทนกันมากเลยอ่ะ 55555
ชอบค่ะ ขอบคุณมากนะคะ

ออฟไลน์ mint_852

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 735
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-1
หน่วงมาก
หน่วงทั้งเรื่อง
ตัวร้ายตายง่ายไปอ่ะ
แค่ถูกงูกัดแค่เนี้ย
แต่โดยรวมก็ชอบค่ะ
จะมีบางประโยคคำซ้ำกันให้งงๆก็มีบ้าง
แต่ก็โอเคค่ะ
ขอบคุณที่แต่งมาให้อ่านนะคะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด