Chapter 11 I never stopped
เคยมีคนกล่าวไว้ว่า เมื่อมีครั้งแรกก็ต้องมีครั้งต่อมาเสมอ และการเดทกับมนุษย์แฟนเก่าก็เช่นกัน... โถ่ะ หน่องซีล่ะไม่อยากจะคุย แต่เห็นว่าทำหน้าสู่รู้เรื่องชาวบ้านกันขนาดนี้หรอกนะ จะเล่าหน่อยก็ได้ว่า... ครั้งนี้มันชวนก่อนด้วย อิอิ
'ชวนเที่ยวค้างคืนนี่คิดจะทำไรเราปะเนี่ย'ผมพิมพ์ไปอย่างรวดเร็ว
Proton : เยหมอนข้างยังสนุกกว่า
'ผมนี่เห็นภาพเลยครับ'ลีลาการเด้าหมอนยังคงแจ่มชัดฝังเหง้าสมองจนน้องซียากที่จะลืมเลือนจริงๆ
Proton : แล้วนี่ถึงไหนแล้ว
Proton : กูจะแดกข้าววันนี้นะ
Proton : ไม่ใช่พรุ่งนี้
'อยู่ลานจอดรถบริหารแล้วเนี่ย'
'โปรเหอะ อยู่ไหน'
ละสายตาจากหน้าจอ ก่อนจะหันรีหันขวางมองหามนุษย์แฟนเก่ากับมอเตอร์ไซต์คันใหญ่สีเหลืองสดที่ทุกวันนี้ผมซ้อนได้อย่าเชี่ยวชาญแล้ว ก็นะ นั่งทุกวันก็งี้แหละ
ถ้าถามว่าทำไมน้องซีถึงได้นั่งอิงแอบแนบชิดไปรับไปส่งกันจนมีหมวกกันน็อคส่วนตัวมาได้ร่วมเดือน น้องซีก็คงตอบได้แค่ว่า เรากลับมาคบกันแล้ว ถุย! ก็อยากจะบอกแบบนั้นอยู่หรอกนะ แต่ความจริงคือช่วงนี้งานผมเยอะมาก จะให้ขับรถไปกลับบ้านใหญ่นั้น ผมรู้สึกว่าไม่ไหวจริงๆ ก็เลยขอพ่อมาอยู่บ้านแม่ชั่วคราว ซึ่งลุงต้องเห็นด้วยแน่นอน เพราะลุงจะได้หาข้ออ้างมาบ้านแม่ผมได้บ่อยๆด้วย
และด้วยความใส่ใจทรัพยากรที่ใช้แล้วหมดไปอย่างน้ำมันของพี่บลู ทำให้ผมกับไอ้โปรนั้นได้เข้าสู่โหมดรักโลก รักน้ำ รักปลา รักซากุระตามไปด้วย ไหนๆม.ผมก็เป็นทางผ่านตอนมันวนไปกลับรถอยู่ดี เราก็เลยเข้าสู่ช่วงทางเดียวกันไปด้วยกัน ซึ่งแน่นอนว่ามายแฟมิลี่แอนด์มีไม่มีปัญหาอยู่แล้ว เพราะนอกจากผมจะได้ซบๆคลึงๆลวนลามมนุษย์แฟนเก่าแล้ว บ้านผมยังประหยัดค่าน้ำมันไปได้เดือนละหลายตังค์อีกด้วย และก็ด้วยเรื่องราวข้างต้นนี่แหละครับคือสาเหตุที่ทำให้ผมเชี่ยวชาญในศาสตร์ด้านสก๊อยอย่างทุกวันนี้
Proton : หันขวา
ผมรีบหันไปด้านขวา ก็เห็นโปรตอนที่หน้าใสปิ้งราวกับพรีเซนเตอร์ครีมเคาน์เตอร์แบรนด์ ที่ถึงจะอยู่ในชุดสบายๆอย่างเสื้อยืดคอกลมแขนยาวเนื้อดีสีเทากับกางเกงยีนส์ขาเดฟขาดเข่าสีเข้ม ซึ่งก็เป็นสไตล์ดาษดื่นทั่วๆไป แต่ไอ้โปรก็คือไอ้โปร ต่อให้มันแต่งตัวกากๆหรือปิดมิดชิดจนเหลือแต่ลูกตา มันก็เด่นอยู่ดี
...โถ่ะ...
...มองกันจนคอเคล็ดหมดแล้วมั้ง...
"ทำไมวันนี้เลิกช้า"เปิดประเด็นหลังจากที่ผมเลทจากเวลาเดิมไปเกือบครึ่งชั่วโมง
"มีควิซท้ายคาบ แล้วก็ประชุมคณะด้วย"ผมเดินตามไอ้โปรที่เดินท่ามกลางแดดอ่อนๆอย่างเปล่งประกาย
คือถ้ามึงจะขาวสว่างขนาดนี้นะ ทีหลังก็เอาไฟฉายมาส่องเบ้าตากูเลยเถอะ โอ้ย แสบตา!
"ประชุมเสร็จแล้วไง"หันมามองผมที่เดินหน้ามันเยิ้มตามมาอย่างอ่อนล้า
"ยังไม่ได้เริ่มประชุมเลย นี่หนีมา"ยิ้มส่งไปก่อนจะเดิมตามมนุษย์แฟนเก่าไปอย่างเงียบเชียบ
ที่หนีมาเนี่ยไม่ใช่กลัวว่าโปรมันจะรอนานหรอกนะ น้องซีไม่ใช่คนดีขนาดนั้น แต่นี่ไม่อยากประชุมอยู่แล้วไง ประชุมกี่ครั้งๆก็เหมือนเดิม งานเอาหน้าก็แย่งกันบรรลัย แต่พอถึงหน้างานคนที่ทำจริงๆมีอยู่ไม่กี่ตัวหรอก และแน่นอนว่างานนี้หนึ่งในตัวที่ทำ จะไม่มีชวัลกรแน่นอน พี่เปลี่ยนไปแล้ว พี่จะเป็นเด็กเรียนแล้วโว้ย พี่อยากเห็นแก่ตัว
"วันนี้เอาคันนี้มาหรอ"ผมชี้ไปที่GT R ที่จอดเป็นสง่าอยู่ใต้ร่มไม้ "แต่เมื่อเช้าโปรเอามอเตอร์ไซต์ออกมานี่"
"กูกลับบ้านมาตั้งแต่เที่ยงแล้วไง"แล้วก็หันไปยิ้มให้กลุ่มน้องปีหนึ่งที่กำลังจับกลุ่มคุยแล้วจ้องมาทางมัน
"อ้าว นี่ออกมารับเราหรอ จริงๆเรานั่งแท็กซี่กลับก็ได้นะ"ดูเป็นคนดีจังนะกูเนี่ย
"งั้นมึงนั่งแท็กซี่กลับนะ"พูดจบก็พุ่งไปที่รถอย่างไวจนผมแทบคว้ามันไว้ไม่ทัน
"แหม ขับรถมาถึงแล้วปะล่ะ"จะแยกกันกลับเพื่อใครกันเล่าพ่อคุณเอ๊ย
"แล้วนี่โดดเยอะหรือไงมึงถึงได้โดด"ยิ้มน้อยๆก่อนจะเปิดประตูรถอย่างหล่อๆ
"ปีเราน่าจะโดดหกคน มีมังกรเพราะมันต้องไปหาหมอฟัน แล้วก็ออมเนี่ยเหมือนจะบ้านไกลเดี๋ยวรถหมด แล้วก็ไอ้เอ็ม คือแม่งโดดตั้งแต่คาบแรกอยู่แล้วเพราะปั่นงานที่ต้องส่งพรุ่งนี้ยังไม่เสร็จ แล้วก็ครีมกับบอส แต่สองคนเนี่ยโดดทุกงานอยู่แล้ว โคตรต่อต้านสังคมอ่ะ แต่ว่านิสัยดีนะ ไม่ค่อยเสแสร้งดี แล้วก็คนสุดท้ายเราเอง เพราะเรากลัวโปรรอนาน"พูดจบผมก็เปิดประตูรถ แต่ยังไม่ได้ขึ้นไปนั่งเสนอหน้าแต่อย่างใด เพราะว่ามัวแต่ติดคุยกับไอ้คนที่ยังไม่ขึ้นรถเหมือนกัน
"เล่าซะเหมือนกูรู้จักเลยนะ"ผมหัวเราะออกมาเมื่อไอ้โปรพูดจบ แหม กูก็เพลินเลย "แล้วก็อย่าเอากูมาอ้าง เพราะถึงมึงจะปล่อยกูรอยันตีสามมึง คนอย่างมึงมันก็ไม่สำนึกหรอก"แหม นี่ก็ใส่ร้ายซะพี่ซีนี่ดูเลวเลย
"เออ ไม่สำนึกหรอก เพราะคนอย่างโปรไม่มีทางรอเรายันตีสามเหมือนกัน หกโมงครึ่งก็นั่งเล่นเกมส์อยู่บ้านแล้ว"สวนกลับจพี่ก็ลอยหน้าลอยตาอย่างปัญญาอ่อนต่อทันที
"ปากดีนะเดี๋ยวนี้"หัวเราะน้อยๆ แล้วขึ้นรถไป
ผมเฟดตัวตามขึ้นมานั่งเสนอหน้า ก่อนที่เจ้าของรถจะกดปุ่มสตาร์ทที่อยู่ใกล้ๆกล่องเกียร์ ซุปเปอร์คาสีเหลืองเข้มทะยานออกสู่ถนน เพลงแบ๊วๆที่ผมไม่รู้ความหมายดังขึ้นคลอเคล้าบรรยากาศ
ผมทิ้งตัวลงกับเบาะหนัง แต่ยังไม่ทันที่จะได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศได้อย่างสุขสม สัมผัสบางอย่างที่ทิ่มหลังก็ต้องทำให้ผมเอี้ยวตัวกลับไปดูอย่างเสียไม่ได้ สมาร์ทโฟนที่ถูกหุ้มด้วยเคสใสถูกหยิบขึ้นมา
"ของโปรเปล่า"ผมหันไปถาม คนที่ขมวดคิ้วเล็กน้อย
"อือ"แบมือออกมารับ
"มีกี่เครื่องเนี่ย"เอ่ยด้วยน้ำเสียงร่าเริงทั้งที่รู้สึกตะหงิดๆกับสีหน้ามนุษย์แฟนเก่า แต่ยังไม่ทันที่ผมจะสงสัยไปมากกว่านี้ มือเจ้ากรรมก็เลยแสร้งโดนปุ่มโฮมอย่างลืมตัว ภาพหน้าจอที่ปรากฏเป็นรูปผู้หญิงผมสีชมพูอ่อนที่คาวาอี้สไตล์ไอดอลโคเรียแบบสุดๆ
...ไอดอลที่มันชอบหรอวะ...
"
จะลงบ้านมึง หรือจะไปบ้านกู"คำถามที่เรียกให้ผมหลุดจากห้วงความคิด
"ลงบ้านเราเลยดีกว่า วันนี้ต้องไปบ้านพ่อ"ผมบอกจบ ไอ้โปรก็ตีไฟจอดตรงหน้ารั้วบ้านผม
โบกมือลาคนหน้านิ่งด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ก่อนจะกระชับกระเป๋าแล้วเปิดประตูรถ แต่ยังไม่ทันที่จะได้เข้าบ้านอย่างสบายใจ กระเป๋าสะพายของผมที่อ้าปากมาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ก็เทกระจาดชีทเรียนผมเสียเกลื่อนกลาด
มนุษย์หมีขาวช่วยผมเก็บของทั้งที่คิ้วขมวด ถึงจะรู้สึกแปลกที่มันไม่ด่าผมออกมาตามสไตล์ที่มันเป็น แต่ผมก็ไม่ได้ติดใจอะไร จนเมื่อผมไปพบกับเส้นอะไรยาวๆสีอ่อนออกชมพูที่ตอนแรกผมคิดว่าเส้นด้าย แต่เมื่อเหลือบไปเห็นตรงปลายน้องซีก็เหมือนจะเข้าใจบางอย่าง
...แตกปลายด้วย...
"ขอบคุณนะ"เก็บความสงสัยไว้ในใจ ก่อนนะหันมาตีสีหน้ายิ้มแย้มตามเดิม แต่ในใจกูจะไม่ได้ยิ้มแย้มตามแล้วก็ตาม
ผมโบกมือลาอีกครั้ง เมื่อเห็นซุปเปอร์คาร์สีแสบตาลับตาไปแล้วผมถึงเข้าบ้าน จัดการเอาข้าวของที่ไม่ใช้ขึ้นไปเก็บในห้อง ตรวจทานล็อกประตูหน้าต่างจนเรียบร้อย ผมก็ถอยรถออกมาจากโรงรถ
ระยะทางและรถที่ติดของเย็นวันศุกร์ ไม่สามารถทำให้ผมหงุดหงิดได้เหมือนทุกที ไม่ใช่ว่าผมกำลังครุ่นคิดว่าผู้หญิงในรูปเป็นใคร หรือเส้นยาวๆนั่นคืออะไร เอาเป็นว่าผมก็ไม่ได้โง่ออกว่าไอ้โปรคงไปไหนกับผู้หญิงมานั่นแหละ
ไม่ใช่ว่าเซ้นส์แรงอะไร แต่ผมค่อนข้างมันใจประสบการณ์ตรงของตัวเอง ต้องเข้าใจก่อนนะว่าในช่วงสามปีที่เลิกลากันไป พี่ก็ไม่ธรรมดาเหมือนกัน สามปีนี่เปลี่ยนแฟนมาเป็นสิบคนแล้วจ้ะ
แล้วโปรเองก็ไม่คนจำพวกที่ชอบปกปิดอะไรอยู่แล้ว ดังนั้นผมก็พอจะเดาๆได้ตั้งแต่ตอนเจอแล้ว ทั้งกลิ่นน้ำหอม การแต่งตัวหรืออะไรที่ดูมากเกินกว่าจะแค่ออกมารับผมอย่างเดียว ยิ่งไอ้คนที่ติดอีแตะยิ่งกว่าอะไรอย่างไอ้โปรด้วยนะ ไอ้ที่จะใส่บู้ทหนังด็อกเตอร์มาร์ตินออกมาแค่ห้าร้อยเมตรเนี่ย ยิ่งโคตรเป็นไปไม่ได้เลย
กว่าจะฝ่าดงรถติดมาถึงบ้านก็ปาเข้าไปเกือบหนึ่งทุ่ม เดินดุ่มๆเข้าบ้านอย่างเหนื่อยอ่อน แต่ยังไม่ทันได้ไปนอนพักผ่อนให้สุขใจ ตาเจ้ากรรมก็ดันเหลือบไปเห็นฉากเด็ด ที่มีเสี่ยผมน้อยพุงพลุ้ยกำลังยืนฮัมเพลงโยกไปโยกมาอยู่กลางห้องนั่งเล่น
"อารมณ์ดีจังเลยนะพ่อ"แซวลุงพอหอมปากหอมคอจบก็เดินเข้าไปหา "จะไปเดทกับแม่หรอ"ลุงยิ้มลอยหน้าลอยตา
"ไม่เสือกสิลูก"ตบบ่าผมแปะๆเสร็จก็เดินฮัมเพลงถือเท็กซ์บุ๊คขึ้นไปห้อง
"ป้าศรีครับ"ผมรีบเรียกหัวหน้าแม่บ้านที่กำลังเตรียมโต๊ะอาหารอยู่อีกห้อง
"ขาคุณซี"
"พ่อเป็นไรอ่ะครับ วันนี้แลอารมณ์ดีแปลกๆ"เกาหัวแกรกๆ ด้วยความงงในพฤติกรรมของลุง
"ไปดูหนังกับคุณอ้อมค่ะ"ป้าศรีรีบเข้ามากระซิบกระซาบ "ที่คุณซีเห็นยังน้อยค่ะ บางวันคุณเอกเธอลุกขึ้นมาเต้นด้วยค่ะ ตอนแรกป้าก็กลัวใจเธอนะคะ ไม่รู้เธอประสาทกลับหรือเธอบ้าไปแล้ว"ป้าศรีพูดจบกูนี่หัวเราะลั่นเลยจ้า
"แต่ที่ซีเห็น แม่กับพ่อก็คุยกันแบบถามคำตอบคำนะครับ"
"นั่นสิคะ รู้ตัวอีกทีนี่นัดแนะไปดูหนังกันแล้วค่ะ"
ไม่ต้องสงสัยว่าทำไมป้าศรีถึงกล้านินทาพ่อผมนะครับ นอกจากป้าจะเป็นคนเลี้ยงผมมา ป้ายังเป็นพี่เลี้ยงพ่อผมอีกด้วย นี่อย่าว่าแต่นินทาลับหลังเลย ด่าต่อหน้าจนพ่อผมซึมไปเลยก็เคยมาแล้ว
"คุณซีหิวยังคะ ให้ป้ายกอาหารมาเลยดีไหม"ผมพยักหน้าน้อยๆ คุณหัวหน้าแม่บ้านร่างท้วมก็สาวเท้าเร็วๆเพื่อไปสั่งงานในครัว
ผมวางกระเป๋าไว้ที่โซฟา ก่อนจะเข้ามานั่งรอที่โต๊ะอาหาร กับข้าวมากมายถูกลำเลียงมาวาง แต่จานข้าวดันมีของผมคนเดียว พอถามป้าศรี ก็เลยรู้ว่าพ่อผมจะออกไปทานข้างนอก ผมโบกมือให้พ่อเล็กน้อยเมื่อลุงผมบางเดินลงมาด้วยชุดเสื้อเชิ้ตสีพื้นที่ไม่เหมือนเสี่ยเงินกู้นอกระบบแล้ว
ถึงจะรู้สึกเหงานิดๆ แต่แค่คิดว่าพ่อแม่จะดีกันความสุขมันก็เหมือนพุ่งพล่านขึ้นมากจนผมต้องเผลอยิ้มจนหน้าตึง ถึงผมจะแสดงออกไปว่าไม่ยินดียินร้ายกับการที่พ่อแม่หย่ากัน แต่ลึกๆแล้วผมก็ไม่ปฏิเสธหรอก ว่าอยากให้เรามาเป็นครอบครัวกันเหมือนเดิมมากกว่า
กินข้าวเสร็จผมก็หิ้วกระเป๋าขึ้นไปบนห้อง อาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็ออกมานั่งอ่านหนังสือต่อ แต่อ่านไปได้ครึ่งชั่วโมงผมก็ต้องหยุด เพราะอ่านอะไรไปก็ไม่เข้าหัวเลย หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เห็นโปรไลน์มาถามว่า 'ถึงบ้านยัง' แต่ผมก็แค่ปิดหน้าจอแล้วฟุบหน้าลงกับโต๊ะ
ผมไม่รู้ว่าผมจะจัดการยังไงกับเรื่องนี้ดี ทั้งที่ถ้าเป็นเมื่อก่อน ผมคงโบกมือลาไปง่ายๆเพราะไม่ชอบแย่งชิงกับใคร แต่สำหรับมันแล้ว แค่คิดว่าต้องเสียไป ใจผมก็เต้นไม่เป็นส่ำจนเจ็บหน้าอกไปหมด ไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้มันคืออะไรเหมือนกัน แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้ผมแม่งเจ็บในอกมากเลยว่ะ
Rrrr
Rrrr
Rrrr
Rrrr
โทรศัพท์สั่นรัวเพราะไลน์ที่ส่งมาจากคนที่ผมกดอ่านแต่ไม่ตอบ
ใจหนึ่งผมก็อยากคุยนะ แต่อีกใจผมก็กลัว กลัวทุกอย่างมันจะไม่ได้เป็นอย่างที่หวัง กลัวทุกอย่างที่ผมคิดว่ามันกำลังไปได้ดี มันจะไม่ใช่อย่างนั้น
ผมนอนเหยียดแขนแนบกับโต๊ะอย่างเหนื่อยอ่อน ในหัวมันเหมือนเบลอๆ ไม่รู้ว่าเวลามันผ่านไปนานแค่ไหน แต่เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นพร้อมกับโชว์เบอร์แปลก ที่อาจจะเป็นอาจารย์สักคน หรือธุระด่วนอะไรสักอย่าง ก็ทำให้ผมต้องกดรับอย่างเสียไม่ได้
"ครับ"กรอกเสียงลงไป
/"ทำไมไม่ตอบไลน์"/เสียงที่คุ้นเคยทำเอาผมใจเต้นไม่เป็นส่ำ เอาเบอร์กูมาจากไหนวะ!
"อ่อ เราอ่านหนังสือน่ะ"ถือว่าไม่ได้โกหก เพราะเมื่อกี้ก็อ่านจริงๆ ถึงกูจะไม่รู้เรื่องเลยก็เถอะ
/"มีอะไรอยากถามกูไหม"/เปิดมาขนาดนี้ พี่ก็ไม่รู้จะหลบไปเพื่ออะไรแล้วล่ะ
"มี แต่ไม่ได้บังคับให้โปรตอบนะ"ผมสูดหายใจเข้าเต็มปอดเพื่อตั้งสติ "ผู้หญิงที่เป็นรูปหน้าจอคือใคร"รู้เลยว่าเสียงผมแกว่งนิดๆ
/"..."/เงียบ
"เอ่อ ไม่อยากตอบก็ไม่เป็นไร"
/"รุ่นพี่"/ตอบมาสั้้นๆ
"อืม"รู้ว่ามันไม่ได้โกหก แต่แค่บอกผมไม่หมดก็แค่นั้น "แค่นี้ก่อนนะโปรเราต้องทำรีพอร์ตต่ออ่ะ ฝันดีนะ"พยายามทำเสียงให้ร่าเริง ทั้งที่กระบอกตาแม่งร้อนผ่าวราวกับโดนน้ำร้อนสาด ผมกดวางสาย ก่อนจะกระพริบตาถี่ แล้วหายใจเข้าออกลึกๆเพื่อตั้งสติ
ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตู เรียกให้ผมต้องตั้งสติและตีสีหน้าปกติให้เร็วที่สุด
"คุณซีคะ"เสียงป้าศรีดังลอดเข้ามา
"ครับ" ผมตะโกนเสียงดัง เพราะผมนั้นเก็บเสียงค่อนข้างดี
"คุณโปรมาหาค่ะ จะออกไปไหมคะ นี่ป้าบอกไปอย่างเซฟๆว่าป้าก็ไม่แน่ใจว่าคุณซีอยู่หรือเปล่า"ป้าศรีบอกจบผมก็ได้แต่นั่งคุ้นคิด
ไหนๆเรื่องมันก็มาถึงขนาดนี้แล้วเคลียร์ๆไปให้จบๆเถอะ อกหักเจ็บจี๊ดเดียวเดี๋ยวก็หาย แต่ถ้าต้องอยู่แบบโง่เป็นควาย มันก็จะเป็นตราบาปติดตัวกูไปตลอดชีวิต
ผมออกไปจากห้องนอน ยิ้มให้ป้าศรีที่มีสีหน้ากังวลเล็กน้อย ก่อนจะเดินไปที่โรงรถ แล้วคว้าจักรยานจ่ายตลาดเพื่อปั่นไปที่รั้วหน้าบ้าน จอดจักรยานเสร็จ ผมก็เดินไปอยู่ตรงรั้ว คนที่นั่งอยู่ในรถก็ก้าวขาลงมา ขายาวๆภายใต้กางเกงยีนส์หยุดตรงหน้าหน้าผม
"จะไม่เชิญเข้าบ้านหน่อยไง"
"ไม่ต้องหรอก เราคุยไม่นาน"ผมบีบมือตัวเองเบาๆ พร้อมเงยหน้าจ้องอีกคนผ่านประตูรั้ว "โอเค คือเรารู้ว่าเราไม่ได้เป็นอะไรกับโปร แล้วเราก็รู้ว่าโปรมีสิทธิ์ที่จะคุยกับใครกี่คนก็ได้ ซึ่งตรงนั้นเรารับได้ ให้โปรคุยกับอีกเป็นร้อยเราก็โอเคนะ ก็มันเป็นสิทธิ์ของโปรไง"ผมหายใจหอบเนื่องจากพูดเร็วรัว "แต่พี่คนนี้ เรารู้สึกว่ามันมากกว่านั้น" รู้เลยว่าเสียงผมแม่งสั่น
ถึงแม้ว่ามันอาจจะยังไม่ได้เป็นอะไรกับเขา แต่การที่ตั้งเป็นรูปหน้าจอแบบนี้ อย่างน้อยๆมันก็ต้องชอบเขามาก มากจนผมอาจจะไม่ความหมายไปเลยก็ได้
"เรารู้สึกเหมือนตอนนี้เราเดินกันคนละทางแล้วเลยว่ะ คือให้วิ่งจนตายก็เหมือนว่ามันไม่มีทางมาเจอกันอยู่ดี"พูดเองก็หน่วงเอง ไม่ใช่ว่าผมอยากตัดใจอะไรหรอกนะ แต่อะไรที่รู้ว่าไม่มีทางมาเป็นของเรา ผมว่าถอยไปตอนที่ยังเจ็บไม่มากดีกว่า
"คือมึงจะทิ้งกูอีกรอบ?"ถามหน้านิ่งๆ แต่ผมก็ยังเห็นแวววูบไหวในตาเยิ้มๆคู่นั้น
"เราไม่รู้ ไม่รู้อะไรเลย เราโคตรไม่มั่นใจ แล้วก็ไม่รู้ต้องทำยังไงต่อไปด้วย"ผมพยายามข่มอารมณ์ทั้งที่ในอกนี่ปวดหนึบมากขึ้นทุกที
"รูปที่มึงเห็น เขาชื่อพี่พริ้ม เป็นรุ่นพี่ที่คณะ ตอนนี้ไปต่อโทที่ญี่ปุ่น วันนี้กูไปรับเขา แล้วเขาก็ทำโทรศัพท์ตกในรถกู"อธิบายทั้งที่หน้ายังคงนิ่ง "นั่นไม่ใช่โทรศัพท์กู"
"อ๋อ"ยืนเกาหัวแกรก แหมะ บอกตั้งแต่ที่แรกก็จบแล้วปะ ให้กูดาร์กอยู่ตั้งหลายชั่วโมง "นี่โปรกินเหล้ามาหรอ"ผมก็เพิ่งสังเกตุว่ามันตัวแดงๆ
"แค่เบียร์"ผมนี่ตาเบิกกว้างเลย
อีเบียร์นี่ตัวดีเลย ที่กินไปคราวก่อนน้องซีนี่ยังจำฝังแน่นติดตาไม่มีลืม บอกเลยว่านี่ก็ไม่รู้จะอธิบายยังไง ไอ้พวกที่คิดว่าไอ้โปรมันเถื่อนโฉดโคตรเร้าใจน่ะ หน่องซีนี่บอกเลย มึงพลาดแล้ว ได้แต่เบ้ปากเป็นสระอิรัวๆเมื่อนึกถึงเรื่องเมื่อเดือนที่แล้ว
"เอาอะไรพี่"ลูกชายวัยหัวเกรียนของลุงร้านข้าวมันไก่เดินมารับออเดอร์ถึงหน้าโต๊ะ
"เอาเกาเหลาหมู กับข้าวมันไก่ไม่หนัง โปรล่ะ"หันไปมองไอ้คนที่นั่งมองผมตาเยิ้มอย่างผิดวิสัย
"ทำถูกล๊าวว ที่เลือกเกาเหลาแล้วทิ้งหนังไว้กลางทาง"ไม่รู้องค์พี่ปัํ๊บลงหรืออะไร แต่ผมกับน้องนี่ถึงกับหัวเราะแหะๆอย่างเสียความรู้สึกเลยทีเดียว
ถึงแม่งจะดูเป็นมลภาวะทางเสียงหรือเป็นภัยต่อสังคมยังไง แต่ผมก็ว่ามันน่ารักดี อาจเพราะเวลาปกติมันจะไม่หลุดด้วยแหละ พอรั่วนิดรั่วหน่อยผมเลยรู้สึกว่าน่ารักมากกว่าปกติ
"จะเดินไปสั่งเล็กน้ำ แต่เหมือนลูกจ้างพม่าไม่เข้าจาย...."โอ้ย ไม่ไหวแล้วโว้ย
"ฮ่าๆๆ"ผมระเบิดหัวเราะออกมา เมื่อไอ้โปรมันยังร้องเพลงไปอย่างไม่มีจบมีสิ้น
... เอาที่มึงสบายใจเลย ... คิดเรื่องตอนนั้นแล้วผมก็เผลอหัวเราะออกมา นี่ยังไม่รวมเรื่องมันเอาเทปพันสายไฟมาแปะหัวนมเป็นรูปกากบาทแล้วดึงไม่ออกอีกนะ อันนี้กูจะบ้าจริง เผลอไปฉี่เดี๋ยววเดียวเองไอ้สัด ต้องมาเสียเวลาแงะเทปดำกว่าครึ่งค่อนชั่วโมง... หน่องซีจิคราย
ยิ่งคิดก็ยิ่งหัวเราะ จนตอนนี้คนที่ยังตีหน้านั้นขมวดคิวจนเป็นปม ผมล้วงรีโมทย์ออกมาจากกระเป๋าเสื้อ แล้วกดเปิดประตู
"นอนบ้านเราก่อนเถอะ สร่างแล้วค่อยกลับ"ผมฉีกยิ้มอย่างอารมณ์ดี
"กูไม่ได้เมา"อ่ะจ้ะ แต่ตัวมึงนี่แดงเถือกเป็นเทพกวนอูเลยจ้ะ
"ดึกแล้วอันตราย"ขี้เกียจเถียงแล้วไง
โปรยั้งคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะเดินกลับไปที่รถ แล้วขับเข้ามา ผมกดปิดรั้วบ้านเรียบร้อยก็วาดขาขึ้นคร่อมจักรยานแล้วปั่นกินลมชมวิวไปเรื่อยๆ
ผมเดินนำโปรขึ้นมาบนห้อง โดยที่ขณะเดินผ่านห้องรับแขก มันเองก็ไม่ลืมกล่าวทักทายเหล่าแม่บ้านที่กำลังนั่งดูละครกันอย่างเมามันส์
เมื่ออยู่สองคนในห้อง ผมก็รู้สึกประหม่าขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ เมื่อกี้ยังดราม่าอยู่เลย นี่กูกลับมาร่าเริงแล้วหรอ บางทีซีนี่ก็สงสัยนะ... ว่ากูเป็นบ้าหรือเปล่า
"หิวไหมอ่ะ เดี๋ยวเราลงไปหาอะไรให้กิน"เกาหัวแกรกอย่างประหม่า
"ไม่ล่ะ"โบกมือปฏิเสธน้ำใจ "ไม่อยากอ้วนเหมือนมึง"อ้าวอีนี่
"แฮ่"เถียงสู้ไม่ได้กูก็ขู่แทนก็ได้วะ " ไปอาบน้ำไป เราจะนอนแล้ว"โบกมือไล่ ก่อนจะดึงน้องเขี้ยวกุดมากอดแล้วทิ้งตัวลงนอน "แปรงใหม่อยู่ในตู้ชั้นบนนะ"
ผมนอนยังไม่ทันจะหลับ คนที่เข้าไปอาบน้ำก็ออกมาพร้อมร่างเปลือยเปล่า เตียงอีกฟากยุบตัวลง ก่อนที่ไฟทั่วห้องจะดับลง
"เวลามึงโมโหนี่น่ากลัวอยู่นะ"เสียงทุ้มๆดังขึ้นจากอีกฟากเตียง
"เราไม่ได้โมโห เราแค่หงุดหงิด แล้วก็ดาร์กๆ ดราม่าไรงี้"ผมตอบกลับ ก่อนจะหันไปมองคนที่นอนข้างๆ
"ถ้าสมมุติว่ากูคุยกับคนอื่นอยู่ มึงจะเลิกยุ่งกับกูหรอ"หันมามองผมก่อนจะกระชับผ้าห่มจนขึ้นมาถึงอก
"ถ้าแค่คุยก็ไม่นะ ก็มันเป็นสิทธิ์ของโปร แต่ถ้าโปรมีแฟนน่ะ เราถึงจะเลิก เพราะเราว่าการที่ไม่ปล่อยอีกคนแต่ก็ยังให้ความหวังอีกคนมันไม่แฟร์อ่ะ"ผมบอกเสียงเรียบ "ถ้าโปรรู้สึกกับใครมากกว่า ก็บอกเราเร็วๆนะ ถ้าบอกเราช้า แล้วเราชอบโปรมากกว่าเดิม เวลาตัดใจมันจะแย่"ผมยิ้ม ก่อนจะหันหน้ามามองเพดานห้องแทน
"แล้วกูไม่แย่กว่าหรอ"ผมหันไปมองอีกคนที่ตะแคงมาทางผม "กูรักมึงไปแล้ว"
รีล่างเป็นเนื้อหาที่ลากเลือดมากค่ะ
ถ้าไม่ชอบก็ข้ามๆไปเนอะ