หัวหินเป็นถิ่นมีหอย คือเป้าหมายของการเดินทางของเราในครั้งนี้ แดดตอนห้าโมงเย็นนั้นไม่ร้อนเท่าไหร่แล้วถึงผมจะมาหัวหินหลายครั้งแล้ว แต่ว่าแต่ละครั้งความรู้สึกแต่ละครั้งมันก็จะต่างออกไป
เพราะปกติผมมักจะใช้เงินซื้อความสะดวกสบายของตัวเอง กินข้าวร้านอาหาร พักห้องพักโรงแรมที่เห็นวิวสวยๆ เพราะผมไม่ค่อยชอบออกไปโดนลมทะเลให้เหนียวตัวสักเท่าไหร่นัก
และแน่นอนครั้งนี้มันก็ต่างออกไปเช่นกัน ไม่ใช่แค่บุคคลที่มาด้วยเท่านั้น แต่บรรยากาศและไลฟ์สไตล์มันก็ต่างออกไปเช่นกัน อย่างเช่นตอนนี้ แทนที่ผมจะนั่งจิบเบียร์สดในร้านริมทะเลบรรยากาศดีๆ ผมกลับมานั่งอยู่ริมหาด กระดกเบียร์กระป๋องกับเบนโตะซองสีแดง ท่ามกลางแดดสีอ่อนที่ใกล้ลาลับขอบฟ้า
"ไม่ชอบที่มึงคอแข็ง"ยังไม่จบสินะอิเกมถามตอบนี่ "มอมแม่งไม่ได้"
"โปรคออ่อนเกินมากว่ามั้ง แค่ได้กลิ่นก็มึนแล้วมั้ง หึหึ"ผมว่าจบก็กระดกเบียร์ในกระป๋อง ปล่อยขาเหยียดราบไปบนพื้นทราย
"ปากดี"ว่าจบก็ส่งเบนโตะเข้าปากแล้วเคี้ยวกรวมๆอย่างดุเดือด ก่อนจะแลบลิ้นแดงๆออกมาระบายความเผ็ด "ทีมึงหลั่งเร็วกูยังไม่เหน็บแนมมึงเลย"พี่นี่มองค้อนเลยครับ "ชอบตอนมึงเคืองว่ะ น่ารักดี"ง่อว กูก็เขินสิจ๊ะ
"แต่เราไม่ชอบตอนหนวดโปรขึ้น"บาดเนื้อบาดตัวกูตลอด
"ชอบเวลามึงใส่แว่นสายตา"ผมใส่บ้างเวลาอ่านหนังสือตอนกลางคืน
"ชอบโปรตอนใส่แว่นเหมือนกัน"จริงๆตอนไหนผมก็ชอบทั้งนั้นแหละ
เรานั่งพูดกันจนเกือบหกโมงเย็น เบียร์หมดไปสี่กระป๋อง แน่นอนผมสาม ส่วนอิหมีขาวนั่นแค่ก็ป๋องเดียวแก้มมันก็แดงระเรื่อเป็นเด็กดอยใจดีแล้วนั่น ... กากจริง
เราพักที่บังกะโลแถวนั้นนั่นแหละ บ้านหลังเล็กๆที่เปิดไปก็มีแค่ที่นอนกับห้องน้ำ ท้ายรถโปรตอนนั้นมีกระเป๋าสะพายหลังที่มีเสื้อผ้าอยู่สองสามชุด ผมเลยออกมาหยิบ ในขณะที่ปล่อยให้คนที่กรึ่มๆนั้นอาบน้ำดับความร้อนผ่าวจากสุราเมรัยไป
เข้ามาในบังกะโล ผมก็ทิ้งตัวนั่งบนเตียง ไลน์บอกพ่อว่าวันนี้ไม่กลับบ้าน ก่อนจะหยิบผ้าเช็ดตัวและเสื้อผ้าออกมาวางรอคนคออ่อนที่อาบน้ำอยู่
ผมเปิดตู้เย็นที่มีเบียร์ที่เหลืออยู่หกกระป๋อง หยิบออกมาหนึ่งกระป๋อง แล้วเปิดจิบคลอเคล้าบรรยากาศ ความมืดโรยตัวรอบบังกะโลที่เขาอยู่
โปรเดินแก้ผ้า น้ำที่เกาะตัวไหลเป็นทางยาว ผมได้แต่ส่ายหัวแล้วเอาตีนลากพรมเช็ดเท้าตามเช็ดให้ โปรแต่งตัวเสร็จ ก็เดินมาแย่งเบียร์ในมือผมไปกินต่อ ก่อนที่เราจะออกไปหาอะไรกินต่อข้างนอก
เราขับรถมาจอดที่ร้านคาเฟ่หนึ่งที่อยู่ใกล้กับตลาดโต้รุ่ง โปรสั่งเขียวมะนาวโซดาตามใจมันจบ ผมก็สั่งโกโก้ปั่นอีกแก้ว เราเดินเที่ยวในตลาดที่คนแน่นขนัดอย่างไม่รีบร้อน เพราะถึงรีบไป กูก็ไปไหนไม่ได้อยู่ดี... ทำไมคนมันเยอะอย่างนี้วะ
โปรจับมือผมไว้ ก่อนจะเดินนำแวะดูร้านนู้นร้านนี้ ตอนนี้ของกินเต็มไม้เต็มมือผมไปหมด เดินจนถึงสองทุ่ม เราก็แวะซื้อแปรงสีฟันยาสีฟันสบู่กันที่ร้านสะดวกซื้อ ก่อนที่เราจะก็กลับมาที่รถ แล้วขับกลับที่พัก
ผมวางถุงของกินไว้ที่ม้านั่งหน้าบังกะโลของเรา ก่อนจะเข้าไปหยิบเบียร์ในตู้เย็นออกมาสองกระป๋อง ลมเย็นๆกับกลิ่นเค็มของทะเล เหมือนช่วยให้ทุกอย่างมันผ่อนคลาย แม้ว่าตอนนี้เราจะแค่นั่งจิบเบียร์มองดูทะเลที่มืดมิด แต่เราก็กลับมีความสึกและอบอุ่นอย่าประหลาด ซึ่งผมเองก็ไม่แน่ใจว่ามันเป็นเพราะ บรรยากาศที่ดี หรือเป็นเพราะ... มืออุ่นๆที่ผมจับไว้กันแน่
สี่ทุ่มครึ่ง เราสองคนทนยุงไม่ไหวเลยเข้านั่งในห้อง ผมเข้าไปอาบน้ำแปรงฟันก่อน แต่งตัวด้วยชุดที่หลวมบรรลัยของโปรตอนเสร็จก็ออกมานอนดูรายการทีวีต่อ ในขณะที่อิหมีขาวขี้ร้อนมันก็เข้าไปอาบน้ำต่อ พอมันออกมามันก็ทิ้งตัวลงนอนด้วยสภาพที่ดูก็รู้ว่า... แม่งไปแล้ว
"ไหวไหมเนี่ย"
"อื้อ..."ตอบแม่งแค่นั้น
"งั้นนอนเถอะ"
"อื้อ"มันครางตอบ ผมก็ปิดทีวี เปิดไฟสีส้มตรงหัวเตียง ก่อนจะปิดไฟในห้อง
ผมปีนขึ้นบนเตียง สวดมนต์ก่อนนอน ทั้งที่ปกติไม่ค่อยได้สวดเท่าไหร่ แต่อยู่ดีๆก็อยากสวดขึ้นมา จบบทอิติปิโส ผมก็กราบหมอนสามครั้ง ก่อนจะทิ้งตัวนอนหลังข้างๆอิคนตัวขาว
โปรดึงผมเข้าไปกอดไปก่าย โชคดีที่ผมไม่ใช่คนขี้รำคาญ และหลับง่าย ก็เลยไม่มีปัญหาเวลาที่มันเอาตัวผมไปหนีบแนบไข่ หรือรุงรังรุ่มร่ามกับผมตอนนอน
"กูไม่ชอบเวลามึงร้องไห้"พึมพำออกมา
"อื้อ..."ผมลูบแขนขาวนั่นราวกับกล่อม "เหมือนกัน"
-----
ผมตื่นขึ้นมาอีกทีตอนหกโมงเช้า โปรตอนยังคงนอนหลับสนิท ผมขยับตัวจะออกจากมันที่ตอนนี้เอาตีนก่ายผมไว้ แต่หมีขาวมันดันรู้สึกตัว แล้วซะงั้น
เมื่อตื่นแล้ว เราเลยตัดสินใจล้างหน้าแปรงฟันแล้วออกไปตลาด ซึ่งก็โชคดีครับ ที่พระท่านยังบิณฑบาตอยู่ เราเลยได้ใส่บาตกันตอนเช้าด้วย
นั่งกินโจ๊กกับปาท่องโก๋เสร็จเราก็เดินเล่นในตลาดสักพัก ก่อนจะกลับมาที่บังกะโล เรายืนมองทะเลยามแปดโมงเช้าอีกครั้งก่อนกลับ ทะเลก็ยังคือทะเล แม้ยามกลางคืนจะน่ากลัวยังไง แต่ไม่นานเมื่อแสงสว่างมาเยือน มันก็ยังสวยงามเช่นเดิม ความรักก็เช่นกัน แม้จุดที่ดำมืดจะทรมานเพียงใด แต่ถ้าเราผ่านมาได้ มันก็ยังสวยงาม... ปล. กูเพ้ออะไรของกู
เราจูงมือกันเดินเท้าเปล่าเหยียบย่ำไปบนผืนน้ำที่ซัดขอบทรายชายหาด แดดตอนแปดโมงนี่ไม่ธรรมดานะ แต่ผมกลับไม่รู้สึกว่ามันร้อนจนทนไม่ไหวหรืออะไร กลับกัน มันอุ่นไปทั่วใจผมเลยว่ะ
"ซี..."
"ห๊า..."ผมขานหันมองขนข้างตัว
"เราไม่เลิกกันแล้วใช่ไหม"โปรถามเรียบๆ
"อื้อ..."ผมก้มหน้าหลับตา
"กูรู้ว่ามึงไม่อยากงี่เง่า แต่กับกูมึงงี่เง่าบ้างก็ได้นะ"ผมสูดหายใจเข้าเต็มปอดเมื่ออีกคนพูดจบ
"เรากลัวโปรรำคาญ กลัว..."ยังไม่ทันที่ผมจะพูดจบ คนข้างตัวกระกระชับมือผมดึงให้เข้าไปใกล้กว่าเดิม
"ต่อให้มึงงี่เง่ากว่านี้อีกสิบเท่ากูก็ไม่เลิกรักมึงหรอก"ผมเงยหน้ามองขนพูด รอยยิ้มละมุนนั้นมันทำให้ใจผมที่เต้นโครมครามเพราะความกลัวมันสงบลง แล้วเต้นด้วยจังหวะที่เป็นปกติ แต่อุ่นวาบไปทั้งหัวใจ "ชอบมันเลิกได้ แต่รักมันเลิกไม่ได้ไม่ใช่หรอวะ"โปรหยุดเดิน ก่อนจะคว้ามืออีกข้างผมมาจับ ตอนนี้เราเลยหันหน้าเข้าหากัน และแน่นอน พระอาทิตย์ก็หันหน้าเข้าหากูด้วย... ตาจะบอดแล้วจ้า
"..."ผมก้มหน้าลง ไม่ได้หลบสายตามันนะ กูหลบแดด...อ่า ฝ้าจะแดก
"กูรู้ว่าเรื่องบางเรื่องมันก็พูดยาก แต่ถ้ามึงไม่พอใจหรือกูทำให้มึงเสียใจ มึงช่วยบอกกูด้วยนะซี ถ้ากูยอมรับว่ากูผิด กูจะยอมให้มึงลงโทษก็ได้ และถ้ามึงลงโทษกูจนมึงพอใจ มึงช่วยยกโทษให้กู แล้วกอดกูไว้ได้ไหม"เสียงเรียบๆนั้นทำให้ผมรู้สึกน้ำตามันรื้นที่ขอบตา... แม้แดดจะเผากบาลกูอยู่ก็เถอะ
"..."ผมบีบมืออีกคนไว้
"ถึงก็จะพอรู้เรื่องมาจากจีนบ้าง แต่โปรก็อยากฟังจากปากอิ้วมากกว่านะ"ไม่ต้องอ้อน กูเล่าก็ได้
"เราไม่ชอบเวลามีคนมาซบ มาเล่นถึงเนื้อถึงตัวกับโปร ไม่ชอบเวลาไปไหนกับเราแต่โปรสนใจคนอื่นมากว่าเรา ไม่ชอบ ไม่ชอบอ่ะ"ผมบอกมือไม้สั่นไปหมด
"อื้อ โปรขอโทษ โปรผิดจริงๆนั่นแหละ"เสียงอ่อนเชียวมึง "อนุญาตให้ลงโทษ ตบหน้าก็ได้"ผมเงยหน้ามองอีกคน แต่ก็ต้องก้มหน้าแทบทันที เมื่อสบกับพระอาทิตย์เพื่อนรักเสียก่อน... ตาจะบอด
"ไม่ต้องหรอก เราให้อภัยเลย"ผมคลายมือที่จับกันไว้ออก ก่อนจะโผเข้ากอดคนตรงหน้าไว้แน่น
"ขอบคุณนะ"
"เหมือนกัน"ขอบคุณที่รักเรา ขอบคุณที่ไม่เลิกกับเรา ขอบคุณที่ยังอยู่กับเรา...ขอบคุณจริง
และก็ขอบคุณจริงๆพระอาทิตย์ ที่ส่องมาจนหน้ากูจะไหม้แล้วไอ้สัตว์!!!
"ถึงกูจะไม่ใช่คนดี ไม่ใช่แฟนที่ดี ทำมึงเสียใจบ่อยๆ"โปรลูบหลังผมเบาๆ "แต่กูรักมึงจริงๆ"
"...อื้อ"มีอะไรอยากพูดมากมาย แต่ถ้าพูดออกไป ผมร้องไห้ออกมาด้วยแน่ๆ
แต่เราคงพูดได้แค่ขอบคุณขอบคุณจริงๆ ขอบคุณที่ให้อภัยเราทั้งที่เมื่อสามปีก่อนเราทำร้ายโปรขนาดนั้น ขอบคุณที่ยังรักเรา ขอบคุณที่ไม่ปล่อยมือเราในวันที่เราสับสน ขอบคุณที่กอดเราไว้แบบนี้ ขอบคุณ...เราขอบคุณจริง
----
จบตอน
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามให้กำลังใจกันมาจนถึงขนาดนี้นะคะ
ซึ้งน้ำตาจิไหล
ปล. ใครอ่านแล้วชอบ แต่ไม่เม้นท์ให้ข้า ข้าแช่งให้ปวดขี้บนทางด่วน
ความรักมันก็แบบนี้แหละเนอะ บางทีแม่งก็เห้ บางทีมันก็ดี
ไม่มีใครที่เกิดมาเพื่อเติมเต็มลงล็อกกลับใครได้พอดีเป๊ะหรอกเนอะ
มันก็ต้องปรับๆกันไป
ติชมได้ค่ะ เผื่อมีตรงไหนผิดพลาดเขียดได้แก้ไขเนอะ (แต่ติอย่างละมุนละไมนะเว้ย ช่วงนี้จิตข้านี้ไม่ค่อยสตรอง)
เพิ่มเติม*เพลงในรถคือเพลงร้อนนี้มีลุ้นนะคะ เขียดชอบเอาไว้ร้องแอ๊วข้างห้อง 555 แอ๊วบ่อยจัด ช่วงนี้แม่งกลับบ้านทุกวันเลย = = กลับมาเมื่อไหร่ คุณเจอผมฉุดแน่โสรยา
ถกประเด็นเรื่องนิยาย
1.อาการที่น้องซีลืมนั้นมันเกิดจากการเก็บกดเรื่องที่กระทบจิตใจเอาไว้ค่ะ มีข้อมูลจิตวิทยาอ้างอิงนะ แต่ขี้เกียจพิมพ์
2.คุณเขียดเลือกใช้การกอด เพราะคุณเขียดว่ามันให้ความรู้สึกมากกว่าการพูดกันอีกอ่ะ แบบเขียดเคยเศร้าๆ มีคนปลอบเยอะนะ แต่หลานชายเขียดเดินมากอดล่ะบอกว่าไม่เป็นไรนะ... มันแบบโคตรดี เลยยกมาใช้กับนิยาย
3.นิยายใกล้จบล่ะน๊า แอบใจหายเหมือนกัน เรื่องหน้าเป็นเรื่องของพี่กรสายบู๊ค่ะ ปกติจะเขียนนายเอกแบบเก็บอารมณ์เก็บอาการเก่ง ไม่ก็เจ้ามารยา แต่เรื่องนี้นางตรงแบบขวานผ่าซากเลยค่ะ ได้อารมณ์ไปอีกแบบ 555