Chapter 24 : The Last Missionใกล้ช่วงเวลาสำคัญของเหล่านักศึกษาวิศวกรรมศาสตร์ชั้นปีที่หนึ่งเข้าไปทุกทีแล้ว ซึ่งพวกเขาจะต้องพิสูจน์ตัวเองให้รุ่นพี่ยอมรับเพื่อที่จะได้มีโอกาสเข้าร่วมการชิงรุ่นและรับเกียร์มาเป็นของตน
เด็กหนุ่มชั้นปีหนึ่งทั้งสามคนกึ่งเดินกึ่งวิ่งตรงไปยังตึกเรียนในตอนสาย พวกเขาตื่นช้ากว่าปกติเพราะเมื่อคืนอยู่ทำกิจกรรมกันจนดึกดื่น พอมาวันนี้จึงตื่นเช้ากันไม่ไหว แถมมื้อเช้าก็ยังไม่ได้รับประทานเสียด้วย
“เฮ้ย แวะไปซื้อหนมปังมาแดกหน่อยดีกว่า” แหนมไม่สามารถทนฟังเสียงท้องร้องของตนเองต่อไปได้ เขาจะต้องอดทนจนถึงเที่ยงเลยเชียวนะ เด็กวัยกำลังกินกำลังโตแบบเขารอไม่ไหวหรอก
“จะทันเหรอวะ” ตำลึงขมวดคิ้ว
“เข้าสายนิดเดียวไม่ตายหรอกมึง เนอะ ไอ้เมฆ” แหนมใช้ข้อศอกสะกิดเพื่อนรักอีกคนที่เดินมาด้วยกัน
“เอาไงก็ได้”
สามหนุ่มเบี่ยงออกจากเส้นทางไปห้องเลคเชอร์แล้วตรงไปยังโรงอาหารแทน ทว่าที่ตรงก่อนถึงโรงอาหารนั่นเอง รุ่นพี่ต่างคณะคนดังกำลังยืนพูดคุยกันอยู่กับพี่ว้ากวิศวะปีสี่สองคน โดยที่ทั้งสามไม่ได้ใส่ใจกับคนรอบข้างที่เดินผ่านไปมา พอแหนมกับตำลึงเห็นเข้าก็หันขวับไปทางเพื่อนรักของพวกตนทันที
“ไอ้เมฆ พี่น้ำว่ะ”
“กูเห็นแล้ว” นัยน์ตาสีดำจับจ้องชายหนุ่มเขม็ง หัวใจเต้นสั่นรัวเพียงแค่เห็นอีกฝ่ายยืนอยู่ใกล้ๆ เขาจะลองทักพี่น้ำดูดีไหม แต่ถึงอย่างไรก็ต้องเดินผ่านอยู่แล้ว เขาควรจะต้องทำตัวให้เหมือนว่าทุกอย่างระหว่างกันกลับเป็นปกติอย่างที่เคยพูดกับรุ่นพี่ไว้สิ
ใจเย็นๆ นะไอ้เมฆ... เด็กหนุ่มบอกกับตัวเอง
เมฆหลุบตาลงมองพื้น แล้วชำเลืองมองดูรุ่นพี่เป็นระยะๆ ขณะที่สาวเท้าเข้าไปใกล้
น้ำพูดคุยกับป๊อกเด้งและเต้าหู้เสร็จพอดี เมื่อเงยหน้าขึ้นก็ประสานสายตากับเด็กหนุ่มเข้าอย่างจัง “....”
เมฆยิ้มกว้าง “พี่...” ทว่าก็ได้แต่ยิ้มเก้อค้างอยู่เช่นนั้น เพราะอีกฝ่ายเสตาหลบไปทันทีที่สายตาสบกัน สีหน้าของรุ่นพี่เรียบเฉยราวกับไม่เคยรู้จักกันกับเขามาก่อน ส่งผลให้ใจเขาร่วงวูบไปอยู่ใต้ฝ่าเท้า ใบหน้าซีดเผือด
ชายหนุ่มบอกลาเพื่อนที่พูดคุยอยู่ด้วยสั้นๆ แล้วเดินจากไปทันที ซึ่งพอเขาเดินออกไปแล้ว ทั้งสองก็ยกมือขึ้นเกาศีรษะพลางมองหน้ากันอย่างงุนงง หากพอหันไปพบกับเมฆก็เข้าใจ
“สวัสดีครับพี่ป๊อกเด้ง พี่เต้าหู้”
“อือ” รุ่นพี่ทั้งสองอ้ำอึ้ง หันไปทางเพื่อนรักตน น้ำก็เดินหนีหายไปแล้ว เมื่อหันกลับมาหารุ่นน้อง อีกฝ่ายก็ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ พวกเขาถอนหายใจออกยาวอย่างอ่อนใจ
ป๊อกเด้งถามแก้เก้อ “มีเรียนกันกี่โมง”
“อีกห้านาทีจะเข้าเรียนแล้วพี่” แหนมกับตำลึงเป็นคนตอบให้แทน
“อืม งั้นพวกคุณรีบไปเถอะ” เต้าหู้ยกมือขึ้นตบไหล่รุ่นน้องเบาๆ ขณะที่เดินสวนออกไปพร้อมกับเพื่อนของตน
เมฆยืนนิ่งเป็นเสาหินได้ไม่นาน เพื่อนรักทั้งสองก็ทั้งลากทั้งจูงให้รีบไปซื้ออาหารและกลับไปที่ตึกเรียน เมื่อนั่งลงตรงที่ประจำภายในห้องเลคเชอร์แล้ว พวกเขาจึงพูดคุยปรึกษากัน
“มึงรู้แล้วใช่มั้ยว่าคนที่โดนเมินเขารู้สึกยังไง มึงไปหนีเขาก่อน เขาก็ทำคืนบ้างน่ะสิวะ แบบนี้มึงยิ่งต้องรีบหาวิธีปรับความเข้าใจเลย”
“แต่กูขอโทษพี่เขาแล้ว...” เด็กหนุ่มพูดเสียงอ่อย หัวใจเจ็บเสียด ภายในอกอึดอัดจนหายใจยังลำบาก
“ลองหาโอกาสปรับความเข้าใจกันอีกทีน่ะ มันต้องมีหนทางสิ”
“.....”
“อาจารย์มาแล้ว เรียนก่อน เดี๋ยวค่อยคิดกันใหม่”
เวลาล่วงเลยไปจนใกล้ถึงเที่ยงวัน หลังจากจบเลคเชอร์แล้วกลุ่มนักศึกษาปีหนึ่งของภาคเครื่องกลยังอยู่พูดคุยกันต่อเล็กน้อยถึงเรื่องกำหนดการส่งสมุดลายเซ็นให้รุ่นพี่ตรวจรับ เพื่อที่จะได้มีสิทธิ์เข้าร่วมในวันชิงรุ่น เมื่อประชุมกันเสร็จจึงเคลื่อนย้ายกันไปที่โรงอาหาร
เมฆนั่งนิ่งอยู่ที่โต๊ะ มองสมุดลายเซ็นในมือที่ยังขาดลายเซ็นรุ่นพี่ภาคปีสี่อีกเพียงคนเดียวเท่านั้น หากคนเดียวที่ว่านั่นคือเฮดว้าก การที่จะได้ลายเซ็นมาคงไม่ใช่เรื่องง่าย และอีกอย่าง... หลังจากเหตุการณ์เมื่อเช้า เขายังไม่อยากเผชิญหน้ากับเพื่อนของพี่น้ำเลยจริงๆ รู้สึกสมเพชตัวเองมากเหลือเกิน
ทว่าเพื่อนพ้องในคณะกำลังจับตามองดูประธานรุ่นอย่างเขาอยู่ ถ้าหากเขาไม่เป็นคนเริ่มเข้าไปขอ คนอื่นก็จะไม่กล้า เพราะงั้นแล้ว ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็คงต้องลองพยายามดู
“ไอ้เมฆ มึงคิดว่าจะไปขอลายเซ็นพี่ตั้งใจเมื่อไหร่วะ” แหนมชะโงกหน้าเข้าไปมองดูสมุดลายเซ็นที่เมฆเปิดคาไว้ จากนั้นจึงหันไปสบสายตากับดวงตาที่ดูเศร้าสร้อยของเพื่อนรัก เขาถอนหายใจหนักๆ “เวลาเหลือน้อยแล้วนะมึง”
เด็กหนุ่มชำเลืองมองไปยังโต๊ะหินที่ประจำของรุ่นพี่ ทุกคนนั่งอยู่ที่นั่นยกเว้นพี่น้ำของเขา “เดี๋ยวรอให้พี่เขากินเสร็จก่อนแล้วกูจะเข้าไปขอ”
ตำลึงนึกสงสารเพื่อนรักจับใจ ประกอบกับความรู้สึกผิดยังคงค้างคาอยู่ในใจ เขาจึงอาสา “กูเข้าใจมึงนะไอ้เมฆ ถ้ามึงไม่อยากเข้าไปขอพี่ตั้งใจ กูจะไปเอง”
ตามปกติแล้ว ในสามคนนั้นตำลึงเป็นคนที่ปอดแหกที่สุด แต่พอเห็นเพื่อนตนอาสาเช่นนี้ เมฆก็อดใจอ่อนไม่ได้ เขาหัวเราะเจื่อนๆ “ไม่เป็นไร กูเป็นประธานรุ่นนะมึง แค่ขอลายเซ็นไม่ได้ไปตายสักหน่อย”
“ไอ้เมฆ” ตำลึงคราง
“ดูเหมือนพี่ตั้งใจจะกินเสร็จแล้ว”
เมฆกำมือแน่นพร้อมกับสูดหายใจเข้าปอดลึก เรียกแรงใจทั้งหมดที่มี ก่อนจะลุกขึ้นจากโต๊ะที่นั่งประจำในโรงอาหารตอนเที่ยง เดินตรงเข้าไปยังโต๊ะของพี่ว้ากชั้นปีสี่ที่ด้านหน้าโรงอาหาร เขาหยุดยืนอยู่ไม่ไกลออกไปนัก “พี่ตั้งใจครับ ผมมาขอ...” ยังพูดไม่ทันจบประโยค เจ้าของชื่อนั้นก็พูดแทรก
“มาพอดี มีเรื่องจะคุยกับคุณอยู่พอดีเลย” ตั้งใจลุกขึ้นพรวด พลางหันไปบอกกับเพื่อนพ้อง “เฮ้ย พวกมึง ลุกๆ” แล้วหันมาบอกกับเมฆอีกที “ตามมานี่หน่อย”
เด็กหนุ่มเลิกคิ้วขึ้น แวบหนึ่งรู้สึกเหมือนกับว่าจะโดนเรียกไปรุม แต่เดาจากนิสัยของรุ่นพี่แล้วก็ไม่น่าจะใช่ เขาหันไปสบสายตากับเพื่อนพ้องที่ชะโงกหน้ามองดูกันอยู่ จากนั้นจึงเดินตามรุ่นพี่ไป
ตั้งใจและผองเพื่อนเดินนำรุ่นน้องไปยังที่ว่างลับตาคนในสวนซึ่งอยู่ไม่ไกลจากด้านหลังของโรงอาหารนัก สีหน้าแต่ละคนเคร่งขรึมดูน่าเกรงขามสมกับเป็นพี่ว้าก โดยเฉพาะตั้งใจ เขายืนประจันหน้ากันกับเด็กหนุ่ม
“เอ่อ พี่มีอะไรจะคุยกับผมเหรอครับ”
“ผมอยากรู้ว่าคุณมีแฟนรึเปล่า” ตั้งใจถามเสียงเข้ม
“หา!” เมฆเบิกตาโพลง ทำไมจู่ๆ ก็โดนโจมตีด้วยคำถามแปลกๆ แบบนี้วะเนี่ย “พี่ถามผมทำไมครับ!”
“เพื่อนผมถามก็ตอบสิคุณ” ป๊อกเด้งคาดคั้น
“เอ่อ” เด็กหนุ่มหลุบตาลงต่ำ ก่อนจะส่ายหน้า “ไม่มีครับ”
“แล้วคุณมีคนที่ชอบอยู่รึเปล่า” ตั้งใจยิงคำถามอีก
“.....” เมฆอ้ำอึ้ง
“แค่นี้คุณตอบผมไม่ได้เรอะ”
เด็กหนุ่มพ่นลมหายใจออกหนักๆ “มีครับ”
“เป็นคนที่ผมรู้จักด้วยรึเปล่า”
เมฆประสานสายตากับรุ่นพี่ พลางอ้าปากค้าง “.....”
รุ่นพี่รู้... รู้ว่าเขาคิดอย่างไรกับพี่น้ำ
ตั้งใจยักไหล่ “ก็ไม่มีอะไรหรอก ถ้าใช่ ผมก็แค่อยากเห็นความจริงใจของคุณ กล้าเดิมพันกับพวกผมมั้ยล่ะ”
เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว สีหน้าของรุ่นพี่จริงจัง นิ่งขรึม แต่ก็ไม่ได้น่ากลัว ทำให้เขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายต้องการจะหาเรื่องหรือคิดร้ายกับตน “เดิมพันอะไรครับ”
“พรุ่งนี้ตอนบ่ายสามครึ่ง พวกผมจะมารอคุณที่ตรงนี้อีกครั้ง ถ้าหากคุณสามารถพาคนที่คุณชอบมาที่นี่ แล้วบอกความรู้สึกของคุณออกไปต่อหน้าพวกผมได้ ผมจะเซ็นลายเซ็นให้คุณกับปีหนึ่งทุกคนในภาคต่อหน้าทุกคนก่อนการประชุมเชียร์”
ไข่ย้อยเสริม “น่าสนใจใช่มั้ยล่ะ”
คนที่เขาชอบงั้นหรือ? ใบหน้าของรุ่นพี่ต่างคณะคนดังผุดขึ้นมาในความคิดทันควัน
...สำหรับเขา ไอ้การที่จะสารภาพความในใจต่อหน้าเพื่อนพ้องของพี่น้ำนี่ ยังง่ายกว่าการพาพี่น้ำมาที่นี่เลยนะ!
“ในเมื่อกล้าพอที่จะชอบ ก็ต้องกล้าที่จะยอมรับด้วยนะ ประธานรุ่น”
สีหน้าของเมฆสลดลง แม้ว่าการเดินพันในครั้งนี้จะน่าสนใจมาก แต่เขาจะทำอย่างไรให้สำเร็จ ในเมื่อตอนนี้ แค่มองหน้ากันพี่น้ำก็ยังไม่อยากจะมองเลย
“พวกผมมีเรื่องจะคุยกับคุณแค่นี้ล่ะ” ตั้งใจสรุป หันไปส่งสายตากับเพื่อนพ้องแล้วก้าวออกไปช้าๆ ปล่อยให้เมฆยืนนิ่งเป็นหิน จมอยู่กับความวิตกกังวลของตนเอง
เด็กหนุ่มไม่รู้ว่าจุดประสงค์ของรุ่นพี่คืออะไรกันแน่ บีบคั้นให้เขาบอกความรู้สึกออกไป แต่ถ้ารู้แล้ว... จะเข้ามาขัดขวางหรือเปล่า แค่ตอนนี้ความหวังก็เลือนรางจนแทบไม่เหลืออะไรแล้ว
ใบตองหันกลับมาทางเด็กหนุ่มราวกับได้ยินความคิดของอีกฝ่าย “ถ้าหากคนที่คุณชอบเป็นคนที่พวกผมรู้จักดี พวกผมก็ยินดีจะช่วยเหลือนะ เพราะงั้นพามาให้ได้ล่ะ”
เมฆอ้าปากค้าง ยืนมองรุ่นพี่เดินห่างออกไปอย่างงงๆ จนกระทั่งแหนมและตำลึงก้าวเข้ามาหา ทั้งสองมายืนรอดูลาดเลาอยู่ห่างๆ กะว่าถ้าเพื่อนรักถูกพี่ว้ากรุมจะได้กระโดดเข้ามาช่วยทัน
“ไอ้เมฆ พี่เขาคุยอะไรวะ มีอะไรรึเปล่า”
เด็กหนุ่มกะพริบตาปริบๆ จากนั้นจึงหันไปสบสายตากับเพื่อนรัก “พี่เขาบอกว่า จะเซ็นลายเซ็นให้ทุกคนในภาค ถ้ากู... พาคนที่กูชอบมาสารภาพรักต่อหน้ารุ่นพี่ พรุ่งนี้ตอนบ่ายสามครึ่งได้”
“เหย! งี้ก็แปลว่าพี่ๆ เขารู้อะดิ ว่ามึงชอบพี่น้ำอะ”
“จากที่ฟังดู... ก็เหมือนว่าจะรู้ แต่อาจจะยังไม่แน่ใจ”
“เพราะงั้นพี่เขาเลยบอกว่าให้พาคนที่ชอบมาสินะ” ตำลึงพยักหน้าหงึกหงัก “แต่ถ้าอย่างนั้น... ก็แปลว่าเพื่อนพี่เขาก็ชอบมึงด้วยรึเปล่าวะ”
“หา!” ใบหน้าของเมฆเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ
“มันก็ไม่แน่หรอกนะมึง แต่แบบ... พี่เขาอาจจะเห็นว่าไอ้เมฆชอบเพื่อนพี่เขา แล้วเกิดเอ็นดู ถูกชะตาไรงี้”
เมฆยกมือขึ้นกุมขมับ “แต่กูจะทำยังไงถึงจะพาพี่น้ำมาได้วะ แค่มองหน้ากูพี่เขายังไม่มองเลย โทรศัพท์ไปก็ไม่รับสาย”
“พี่น้ำไม่รับสาย ก็แปลว่าพี่น้ำรู้ว่าเป็นเบอร์มึงใช่มั้ย” แหนมตั้งสมมติฐาน “ถ้ารู้ว่าเป็นเบอร์มึง ก็แปลว่า ไม่จำได้ก็ยังเมมไว้ในเครื่อง”
“แต่พี่เขาอาจจะบล็อกเบอร์ไว้ก็ได้นะ” ตำลึงขมวดคิ้ว ก่อนจะโดนแหนมกระทืบใส่เท้าอย่างแรงแล้วโน้มตัวเข้าไปกระซิบ “ไอ้เหี้ย มึงจะให้กำลังใจหรือบั่นทอนกันแน่วะ”
“โทษทีๆ” ตำลึงรีบแก้ตัว “แต่ว่านะ ถ้าพี่เขาไม่ได้บล็อกก็แปลว่าเป็นอย่างที่ไอ้แหนมว่า แล้วพวกพี่ตั้งใจมาพูดแบบนี้ ก็ยิ่งน่าจะเป็นไปได้ว่าพี่น้ำเขามีใจให้มึงเหมือนกันรึเปล่าวะ”
หัวใจของเมฆเต้นตึกตักไม่เป็นส่ำ ถ้าคิดแบบเข้าข้างตัวเองและโลกสวยสุดๆ ที่เพื่อนๆ พูดมาก็มีความเป็นไปได้สูง “พวกมึงคิดงั้นเหรอ”
“ที่สำคัญ ถ้ามึงทำได้สำเร็จ พวกกูก็จะได้ลายเซ็นครบไปด้วย ทุกคนในภาคอีก ใกล้ชิงรุ่นแบบนี้ด้วยแล้ว จะได้กระตุ้นภาคอื่นๆ ให้เร่งทำให้สำเร็จเหมือนพวกเรา มีแต่ได้กับได้นะมึง กูว่าพวกพี่เขาช่วยเต็มที่เลยเนี่ย”
“ลองดูสักตั้งเว้ยไอ้เมฆ ยังไงมึงก็เคยบอกรักพี่น้ำไปแล้วตอนเมา ตอนนั้นอาจจะดูไม่น่าเชื่อถือเพราะมึงเมาแล้วสภาพไม่ให้ แต่ถ้าคราวนี้บอกอีกทีตอนสร่าง พี่น้ำอาจจะเห็นใจ... ยังไงมึงก็ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว”
จริงของทุกคนแฮะ มาถึงตอนนี้ เขาคงต้องดับเครื่องชนเท่านั้น ถ้าหากพี่น้ำคิดจะแบนเขาออกไปจากชีวิตอยู่แล้ว เขาก็ไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้วจริงๆ แต่อย่างน้อยอีกฝ่ายก็ยังได้รับรู้ความในใจของเขาล่ะนะ
“ในเมื่อพี่เขาไม่ยอมรับโทรศัพท์ มึงก็ไปรอพบพี่เขาที่หน้าตึกเรียนดีมั้ย ตอนเลิกเรียนยังไงพี่เขาก็ต้องเดินลงตึกมา หลบมึงไปไหนไม่ได้หรอก” ตำลึงเสนอ
แหนมพยักหน้าหงึกหงัก “งั้นต้องหาตารางเรียนของพี่น้ำก่อน” เขาตบไหล่เพื่อนรักหนักๆ “สู้โว้ยไอ้เมฆ”
“เออ สู้โว้ย ขอบใจพวกมึงมาก” เมฆยิ้มบางให้กับเพื่อนรักและตัวเอง “กูจะไม่ถอยจนกว่าจะได้บอกรักพี่เขาอีกครั้ง”
สามหนุ่มจัดการสืบหาตารางเรียนของรุ่นพี่ต่างคณะ เมื่อรู้เวลาและสถานที่เรียบร้อยก็พากันไปยืนรออีกฝ่าย หากรอแล้วรอเล่า ทั้งที่มีนักศึกษาเดินขึ้นลงตึกอยู่ตลอด ฝ่ายเมฆเองก็ส่งข้อความเข้าโทรศัพท์มือถืออีกฝ่ายรัวๆ แต่คนที่พวกเขารอคอยก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะเดินออกมาสักที
รออยู่นานจนถึงเวลาเข้าเรียนวิชาต่อไปของน้ำ แถมยังใกล้เวลาประชุมเชียร์เข้าไปทุกที แหนมจึงตัดสินใจเดินเข้าไปถามนักศึกษาที่เดินผ่านไปมา ซักถามจนกระทั่งพบรุ่นพี่ปีสี่เข้าคนหนึ่ง “ขอโทษนะครับ เห็นพี่น้ำมั้ยครับ”
“น้ำเหรอ ไปเรียนอีกตัวแล้ว”
“แต่วิชานั้นมันอยู่อีกตึกไม่ใช่เหรอครับ”
รุ่นพี่ชี้ขึ้นไปด้านบน “อื้อ แต่ตึกมันมีทางเชื่อมถึงกันไง ทางเชื่อมอยู่ชั้นห้า”
“...!!!” สามหนุ่มอ้าปากค้าง พวกเขารอเก้อมาเกือบชั่วโมงเลยทีเดียว
“เอาไงดีวะ”
“จะทำไงได้ล่ะ ต้องไปประชุมเชียร์แล้ว”
“แต่ถ้าเลิกประชุมเร็วก็อาจจะมาทันพี่น้ำเลิกเรียนนะ ไปกันก่อนเหอะ”
หากโชคไม่ดี การประชุมเชียร์ในตอนบ่ายของวันนี้ยาวนานกว่าปกติ กว่าจะเสร็จสิ้นลงก็กินเวลานานจนหมดชั่วโมงเรียนของน้ำไปแล้ว เด็กหนุ่มเหนื่อยแทบหมดเรี่ยวแรง เพราะไหนจะต้องตะเบ็งเสียงบูมคณะ ทำกิจกรรมตามที่พี่ว้ากสั่ง แล้วยังต้องคอยดูแลเพื่อนพ้อง แจกน้ำแจกอาหารแทนรุ่นพี่สวัสดิการด้วย แต่ถึงอย่างนั้น พอพี่ว้ากสั่งให้แยกย้ายได้ เขาก็วิ่งไปตามหารุ่นพี่ต่างคณะถึงที่ลานจอดรถโดยมีเพื่อนรักทั้งสองวิ่งไปพร้อมกันด้วย ทว่าชายหนุ่มไม่อยู่ที่นั่น คงจะกลับคอนโดมิเนียมไปแล้ว
เมฆเอนหลังพิงกำแพงแล้วหอบหนักๆ มือที่สั่นเทาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดโทรออกไป หากอีกฝ่ายก็ยังไม่รับสายเช่นเคย
“จะเอาไงดีวะไอ้เมฆ”
เด็กหนุ่มท่าทางอิดโรย หากก็ยังฝืนก้าวออกไป “เดี๋ยวกูไปหาพี่เขาที่คอนโดฯ”
“ถ้ามึงจะไป พวกกูจะไปด้วย”
เมฆโบกมือห้าม “ไม่ต้องหรอก จะไปกันยังไงวะ มอไซค์มีคันเดียว หมวกกันน็อกก็มีอันเดียว”
“ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวพวกกูไปหายืมมาเอง”
ใช้เวลาไม่นาน รถมอเตอร์ไซค์สองคันก็พาสามหนุ่มเคลื่อนย้ายออกไปจากมหาวิทยาลัย มุ่งสู่แหล่งคอนโดมิเนียมหรูริมชายหาดซึ่งเป็นที่พักของรุ่นพี่คนดัง
ในที่สุดทั้งสามก็มายืนจังก้ากันอยู่ที่หน้าคอนโดมิเนียมของน้ำ เมฆเพียรส่งข้อความเข้าโทรศัพท์มือถือสลับโทรศัพท์ไปหา หากทำอะไรมากไปกว่านี้ไม่ได้ในเมื่อเจ้าของห้องไม่ยอมรับโทรศัพท์และไม่เปิดประตูให้
เวลาเกือบชั่วโมงผ่านพ้นไปแล้ว เด็กหนุ่มทั้งสามนั่งลงปักหลักกันตรงพื้นปูนบริเวณด้านหน้าคอนโดมิเนียมนั่นล่ะ พอท้องฟ้าเบื้องบนมืดลง ยุงและแมลงก็แห่กันเข้ามารุมอย่างไม่ปราณี
“เอาไงต่อดีวะ”
จู่ๆ เสียงโทรศัพท์มือถือของเมฆก็ดังขึ้น เด็กหนุ่มรีบหยิบขึ้นมาดู เมื่อเห็นว่าคนที่โทรมานั้นเป็นคนที่เขาเฝ้ารออยู่ก็รีบกดรับสาย “พี่น้ำ!”
“กลับหอไปนอนได้แล้ว”
เมฆลุกขึ้นพรวด แล้วชะเง้อมองเข้าไปภายในตัวตึกคอนโดมิเนียม เผื่อว่าคนที่โทรศัพท์เข้ามาจะอยู่แถวๆ นั้น “ผมอยากคุยกับพี่ วันนี้ผมตามหาพี่ทั้งวันเลยรู้มั้ย พี่น้ำครับ...”
“ผมไม่ว่าง”
“พี่น้ำ... ยังโกรธผมไม่หายเหรอครับ” เด็กหนุ่มพูดเสียงอ้อน
“......”
“ผมจะต้องทำยังไงให้พี่น้ำคนที่แสนใจดีน่ารักคนเดิมกลับคืนมา”
คนที่อยู่ปลายสายถอนหายใจหนักๆ “เอาไว้คุยกันวันหลังนะ วันนี้กลับหอไปก่อนเถอะ” แล้วกดวางสายไปทันที
“พี่น้ำเดี๋ยวสิ...”
ไม่ทันเสียแล้ว เหลือเพียงแค่เสียงสัญญาณโทรศัพท์ที่ถูกตัดไปแล้วจากปลายสาย
เมฆทรุดตัวลงนั่งบนพื้นอีกครั้ง เจ็บปวดราวกับหัวใจถูกกระชากออกไปจากในอก เขาก้มหน้าลงซบบนฝ่ามือข้างที่ว่าง น้ำเสียงที่เอ่ยออกไปสั่นเครือ “กูจะทำยังไงดี แล้วเรื่องพรุ่งนี้...”
“เรื่องพรุ่งนี้ช่างแม่งเถอะ ไอ้เมฆ มึงใจเย็นๆ ก่อน” ตำลึงถลาเข้ามาปลอบ พอเห็นเพื่อนเป็นแบบนี้ทีไร ใจเขาก็พลอยรู้สึกแย่ไปด้วย เพราะเขาเป็นตัวต้นเรื่อง เป็นคนต้นคิดพาเมฆไปที่ร้านเบียร์ในครั้งนั้น “กูขอโทษนะไอ้เมฆ เพราะกูแท้ๆ”
เด็กหนุ่มก้มหน้านิ่งอยู่สักพัก “ไม่หรอก เพราะกูต่างหาก”
แหนมตบไหล่เพื่อนเบาๆ “แต่อย่างน้อยพี่น้ำก็โทรมาหามึงนะ พี่เขาก็คงจะเป็นห่วงมึงเหมือนกัน ถึงจะไม่ยอมคุย ไม่ยอมพบ แต่พี่เขาก็รู้ว่ามึงมาหาเขาที่นี่ แปลว่าเขาไม่ได้บล็อกเบอร์มึงเห็นมั้ย พี่เขาอ่านข้อความของมึงด้วย เป็นอย่างที่กูพูดเลย”
“จริงด้วย มึงยังมีหวังนะไอ้เมฆ”
“แต่กูไม่รู้เลยว่าพี่น้ำโกรธกูเรื่องอะไร แล้วกูควรจะทำยังไง” เมฆกำโทรศัพท์ในมือไว้แน่น
“พี่เขาอาจกำลังคิดหนัก มึงเป็นผู้ชายนะไอ้เหี้ยเมฆ มีผู้ชายมาชอบ ต่อให้พี่เขามีใจมึงก็ต้องให้เวลาพี่เขาบ้าง”
“แต่ใจกูจะขาดอยู่แล้ว” เมฆพูดเสียงแหบแห้ง “กูรักพี่เขา พวกมึงเข้าใจมั้ย... กูรักพี่เขา...”
“ไอ้เมฆ...” เพื่อนรักทั้งสองถึงกับตะลึง ต่างพากันนิ่งเงียบไปอีกครู่ใหญ่ จนกระทั่งมีใครบางคนเดินเข้ามาหาพร้อมด้วยถุงพลาสติกใสซึ่งข้างในมีกล่องข้าวอยู่ด้วยกันสามกล่อง
หญิงวัยกลางคนส่งถุงให้กับทั้งสามพร้อมด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน “มีคนโทรมาสั่งให้เอามาส่งให้พวกหนูๆ แน่ะ”
เมฆเงยหน้าขึ้นประสานสายตากับเธอ เขาเอื้อมมือไปรับถุงนั้นมา “พี่น้ำฝากมาเหรอครับ”
“ใช่ค่า คุณที่หล่อๆ นั่นแหละ เขามากินที่ร้านน้าอยู่บ่อยๆ” เธอตอบพลางชี้ไปที่ร้านอาหารขนาดเล็กซึ่งอยู่ด้านล่างของคอนโดมิเนียม “ร้านน้าอยู่นั่นไง เอาเข้าไปทานที่ร้านก็ได้นะ มาสิๆ ตรงนี้ร้อนจะตาย ยุงก็เยอะ”
กลิ่นของใบกะเพราจากในถุงลอยกรุ่นออกมาเตะปลายจมูก ชวนให้พวกเด็กหนุ่มรู้สึกหิว ท้องร้องจ๊อกๆ พวกเขาจึงเดินตามเจ้าของร้านกลับไปที่ร้านอย่างว่าง่าย
ภายในร้านมีโต๊ะอยู่ด้วยกันหกตัว มีเก้าอี้จัดวางไว้รอบโต๊ะแบบง่ายๆ บางโต๊ะก็มีลูกค้านั่งอยู่แล้ว กลุ่มของเมฆเดินไปนั่งที่โต๊ะด้านในสุดตามคำเชิญของเจ้าของร้าน พอนั่งแล้วเธอก็จัดการนำน้ำดื่มมาเสิร์ฟให้พร้อมช้อนส้อม “ทานเลยค่ะ เดี๋ยวจะเย็นซะหมด”
พวกเด็กหนุ่มยกมือไหว้ “ขอบคุณครับคุณน้า”
เมฆเปิดกล่องตรงหน้าเขาดู ข้างในเป็นผัดกะเพราหมูสับราดข้าว มีไข่เจียวกุ้งฟูกรอบโปะหน้า เมนูนี้เขาจำได้แม่น เด็กหนุ่มยิ้มออกมาอย่างลืมตัว ก่อนจะก้มลงจัดการกับอาหารกันอย่างหิวโหย ไม่นานก็เกลี้ยงกล่อง
เจ้าของร้านเรียกพนักงานซึ่งมีเพียงคนเดียวมาเก็บกล่องไปทิ้งให้ แล้วจึงเอ่ยถาม “ทานอะไรอีกมั้ยลูก อิ่มรึยัง ถ้ายังไม่อิ่มทานอีกได้นะ คุณน้ำสั่งไว้แล้ว”
“อิ่มแล้วครับ กล่องนึงมหาศาลเลย... ว่าแต่ พี่น้ำสั่งไว้?”
“ค่า สั่งไว้ด้วยว่าถ้าทานกันอิ่มแล้วให้ไล่กลับหอไปอาบน้ำนอน”
รอยยิ้มของเมฆหุบลงทันควัน “.....”
ช่วงเวลาที่ทั้งสามยังนั่งกันอยู่ในร้านอาหารนั้น เป็นช่วงเวลาซึ่งคนที่อยู่อาศัยในคอนโดมิเนียมเดินทางกลับมาจากที่ทำงานพอดี ดังนั้นจึงมีรถเคลื่อนเข้ามาจอดในที่จอดรถอยู่เรื่อยๆ แหนมมองตามรถแต่ละคันแล้วปิ๊งไอเดียดีๆ ขึ้นมาได้ เขารีบสะกิดเพื่อนรักพลางโน้มใบหน้าเข้าไปกระซิบ “เอาน่ะ ไอ้เมฆ กลับกันก่อน กูคิดอะไรดีๆ ออกแล้ว คืนนี้พวกเราคงต้องเตรียมตัวกันหนักสักหน่อย แต่กูบอกเลย ยังไงพรุ่งนี้พี่น้ำหนีมึงไม่พ้นแน่”
เมฆหันไปสบสายตา จากนั้นก็พยักหน้าหงึกหงัก แล้วทั้งสามหนุ่มจึงขี่มอเตอร์ไซค์กลับไปยังหอพักกันอย่างรีบเร่ง
TBC~*สงสารน้องเมฆจังเลยยย 555555 <-- แน่ใจว่าสงสาร
เอาใจช่วยให้น้องเมฆทำมิชชั่นสำเร็จกันนะคะ ตอนหน้าไม่อึมครึมแล้วแน่นอน #สปอยล์แรวงๆ
ขออภัยที่เอาตอนนี้มาลงช้าไปนิด ฮัสกี้ยังป่วยไม่หายเลยค่ะ หงุง~
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามค่า Happy Weekend นะค้า