Chapter 45 : ป่วยเด็กหนุ่มเดินตามรุ่นพี่ต้อยๆ มองมือที่ชายหนุ่มกุมไว้แน่นแล้วยิ้มอย่างพอใจ ก็แบบว่านานๆ ทีจะได้เดินจูงมือกับพี่น้ำ ถึงแม้สถานการณ์จะไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่
“พี่น้ำอย่าโกรธสิ”
“พี่ไม่ได้โกรธ”
“ทำหน้าบึ้งขนาดนี้ ผมกลัวนะ” เมฆพูดเสียงอ้อน
ชายหนุ่มกระตุกยิ้มมุมปาก “กลัวก็ดี”
พอกลับไปถึงบ้านพักน้ำก็จัดการปูที่นอนแล้วกดไหล่ให้คนป่วยนั่งลง “นั่งก่อน เดี๋ยวพี่หายาให้” จากนั้นจึงลุกไปคุ้ยกระเป๋ายาของเพื่อนซึ่งเตรียมยาที่จำเป็นมาพร้อม แล้วจึงนำยาแก้หวัดพร้อมกับน้ำดื่มเป็นขวดไปส่งให้ “อะ กินซะ แล้วก็นอนลงไป”
เมฆรับยามาอย่างว่าง่าย เขาหยิบใส่ปากแล้วดื่มน้ำตาม หากพอเห็นว่ารุ่นพี่กำลังจะเดินออกไปก็รีบคว้าแขนไว้ “พี่น้ำจะไปไหน”
“จะเอาผ้าไปชุบน้ำมาเช็ดตัวให้เมฆไง”
“ไม่ต้องหรอกพี่ ผมไม่ได้เป็นอะไรมากจริงๆ นะ”
“นอนลงไป” น้ำผลักไหล่รุ่นน้องเบาๆ “เดี๋ยวพี่มา”
เด็กหนุ่มเอนตัวลงนอนพลางหยิบผ้าห่มผืนบางมาห่ม เขาชำเลืองมองไปรอบๆ ห้อง เจ้าตุ๊กแกประจำห้องไม่อยู่ สงสัยว่าเพราะจะยังสว่าง มันอาจจะไปหลบนอนอยู่ที่ไหน
เพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้นรุ่นพี่ก็กลับเข้ามาพร้อมกับกะละมังพลาสติกหนึ่งใบ เขาใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กที่นำติดมาจากคอนโดมิเนียมจุ่มน้ำ บิดหมาดๆ แล้วนำไปลูบบนใบหน้าของเด็กหนุ่มเบาๆ
“น้ำเย็นจัง” เมฆขนลุกซู่ ส่งผลให้คนที่กำลังเช็ดตัวให้หลุดหัวเราะ
“ก็เพราะมีไข้ด้วยน่ะสิ”
เด็กหนุ่มยิ้มระรื่น “ไม่สบายก็ดี ได้อยู่กับพี่น้ำสองคน”
น้ำเคลื่อนมือลงไปเช็ดตามลำคอ ตามด้วยท่อนแขน ก่อนจะสอดผ้าเข้าไปเช็ดให้ในตัวเสื้อ
“ไม่ยักรู้ว่าพี่น้ำเช็ดตัวเป็นด้วย”
“เพิ่งเคยทำให้เมฆคนแรกนี่แหละ เอ้า หันหลัง”
“โอ้โห ผมนี่โชคดีชะมัด”
เมื่อเช็ดตัวเสร็จแล้วเมฆก็นอนทำตาปริบๆ เนื่องจากรุ่นพี่ไม่ยอมให้เขาลุกขึ้น เด็กหนุ่มจับจ้องใบหน้าขรึมของอีกฝ่ายแล้วพูดเสียงเบา “ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงครับ”
“รู้ตัวก็ดี” น้ำนำผ้าชุบน้ำหมาดมาพับแล้ววางไว้บนหน้าผากของเด็กหนุ่ม “อยากกินอะไรมั้ย”
“ไม่อะครับ”
“หรือว่าจะดื่มอะไรมั้ย”
“ไม่ครับ”
“งั้นอยากได้อะไรก็บอกพี่ละกันนะ”
“ผมอยาก...”
“หืม” ชายหนุ่มโน้มศีรษะลงไปฟัง
“อยากให้พี่น้ำนอนข้างๆ”
รุ่นพี่ยิ้มบาง จากนั้นจึงเอนตัวลงนอนเคียงข้างกันอย่างว่าง่าย เขายกมือขึ้นลูบศีรษะเด็กหนุ่มอย่างอ่อนโยน “พอใจรึยัง”
เด็กหนุ่มส่ายหน้าไปมา ขณะที่ประสานสายตากับนัยน์ตาเรียว
“อยากได้อะไรอีก”
“อยากให้พี่น้ำจุ๊บตรงนี้กับตรงนี้” เมฆชี้ไปที่แก้มทีละข้าง ก็แบบว่าเขาเป็นคนป่วย พี่น้ำคงจะไม่ขัด
แล้วก็เป็นอย่างที่เด็กหนุ่มคิด
น้ำโน้มศีรษะเข้าไปจูบแก้มที่เปลี่ยนเป็นสีแดงน้อยๆ เพราะพิษไข้ทีละข้าง “พอใจยัง”
รุ่นน้องพยักหน้า “ครับ”
“แล้วไม่อยากให้จูบตรงนี้บ้างเหรอ” ชายหนุ่มแตะริมฝีปากของอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา
“ไม่ดีกว่าครับ ผมไม่อยากให้พี่น้ำไม่สบาย” เมฆยิ้มบาง “เพราะตอนนี้ผมไม่สามารถดูแลพี่น้ำได้เต็มที่”
“......”
“ผมดีใจที่เป็นผมป่วย ไม่ใช่พี่น้ำ”
นัยน์ตาใสที่จ้องมองมาทำให้น้ำอ่อนไปทั้งใจ เขาโน้มใบหน้าลงไปจูบบนหน้าผากของเด็กหนุ่มเบาๆ
เมฆเงยหน้าขึ้นประสานสายตาด้วย ฤทธิ์ยาที่รับประทานเข้าไปส่งผลให้เขาเริ่มรู้สึกมึนงง เขาจับมือของรุ่นพี่ขึ้นมาวางบนแผ่นอก“ผมรักพี่น้ำนะ”
น้ำบีบมือพร้อมกับยิ้มตอบ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป เพียงแค่ครู่เดียวหลังจากนั้นเด็กหนุ่มก็หลับสนิท
ชายหนุ่มถอนหายใจหนักๆ เขาเอนตัวลงนอนข้างๆ กัน มือข้างหนึ่งเท้าแขนลงกับหมอน ส่วนมืออีกข้างมือเคลื่อนไปโอบกอดอีกฝ่ายไว้หลวมๆ
เหลือเวลาอีกหนึ่งเทอม จะว่ายาวก็ยาว จะว่าสั้นก็สั้น ทว่ายังมีหลายอย่างที่เขาจะต้องจัดการ อย่างน้อยก็ควรจะได้งานทำเพื่อให้ตัวเขาเป็นอิสระจากพี่ชายและดูน่าเชื่อถือพอที่จะทำให้พี่ไม้ไม่มองเขาเป็นน้องเล็กเช่นเดิมอีก เขาอยากจะแสดงให้พี่ชายเห็นว่าตัวเขาสามารถตัดสินใจทำอะไรเองได้ และก็ทำได้ดีด้วย แล้วหลังจากนั้น เขาจะได้คุยกับพี่ชายเรื่องของเมฆ
เมฆคงจะไม่รู้ตัวว่าที่จริงแล้ว... เด็กหนุ่มสำคัญสำหรับเขามากเพียงไหน เป็นตัวเขาต่างหากที่อยู่ห่างจากอีกฝ่ายไม่ได้ ขาดไม่ได้ ราวกับเด็กหนุ่มเป็นลมหายใจ ติดตรงที่ว่าเขาไม่สามารถแสดงความรู้สึกออกมาอย่างเปิดเผยแบบเมฆได้เลย
ทางด้านนักศึกษาอีกสิบสี่ชีวิตที่เหลือ หลังจากทำปลอกนิ้วเสร็จเรียบร้อยแล้วก็เร่งทำความสะอาดกันเพื่อที่จะได้กลับไปทำอาหารมื้อเย็น หากท้องฟ้าเบื้องบนช่างไม่เป็นใจเอาเสียเลย เมฆหนามืดครึ้ม ลมพัดมาเป็นระยะๆ ทำให้ใบไม้เสียดสีกันดังหวีดหวิว
ขณะที่กำลังเดินออกมาจากโรงเรียนนั้น หลวงพ่อกับผู้ชายสูงวัยอีกสองคนก็เดินตรงเข้ามาหาพวกเขา
“มีอะไรเหรอครับหลวงพ่อ”
“คือว่า พวกโยมพอจะจัดดอกไม้เป็นมั้ย โยมสองคนนี่เป็นเจ้าภาพงานคืนนี้ ไปซื้อดอกไม้มาพร้อมแล้วแต่คนจัดมาไม่ได้กะทันหันน่ะ”
“ช่วยหน่อยนะครู งานนี้เป็นงานของพี่ชายลุงเอง เมื่อวานน้องเมียของพี่เขาเป็นเจ้าภาพ วันนี้ลุงกับน้องเป็นเจ้าภาพ พวกเรามีกันสามคนพี่น้อง เมียลุงกับเมียน้องลุงกำลังทำอาหารเลี้ยงวุ่นอยู่ในครัว นี่อีกสามชั่วโมงก็จะถึงเวลาสวดแล้ว ดอกไม้ของเมื่อวานก็เหี่ยวไปเสียเกินครึ่ง”
พวกนักศึกษาหันมองหน้ากัน จากนั้นจึงตอบ “พวกผมก็ยังไม่เคยจัดนะครับ แต่จะลองดู”
ภายในศาลาบำเพ็ญกุศลนั้นไม่น่ากลัวอย่างที่ทุกคนคิด โลงศพตั้งอยู่ด้านในสุดมีกระถางใส่ต้นไม้ใบเขียวประดับดูเย็นตา หากดอกไม้ที่ประดับเมื่อวานทั้งเหี่ยวและคอตกจนดูไม่ได้ เมื่อเข้าไปพิจารณาดูใกล้ๆ จึงเห็นว่ามีน้ำหล่อไว้ไม่เพียงพอ
“ดอกไม้ที่ซื้อมาใส่กะละมังไว้ตรงนู้นน่ะครู ซื้อมาตั้งแต่เช้ามืด”
พวกนักศึกษาเดินตามเจ้าภาพงานไปยังลานว่างด้านหลังซึ่งบริเวณนั้นมีทั้งดอกไม้ใบไม้แช่อยู่ในกะละมังเต็มไปหมด แล้วก็ยังมีแมวอีกสี่ห้าตัวเดินวนไปวนมา รอเศษอาหารจากครัวที่อยู่ใกล้ๆ “อุปกรณ์ของใช้มีเท่าที่เห็นนะครู พวกมีด กรรไกร ก้านกล้วย พอจะไหวไหม”
ในสถานที่ซึ่งสัญญาณโทรศัพท์ยังมีติดๆ ดับๆ บ้าง เหล่านักศึกษาไม่อาจหวังพึ่งอะไรจากกูเกิลได้ จึงจำเป็นต้องใช้ความมั่วเท่านั้น “จะพยายามครับ”
“ขอบคุณมากนะครู ลุงไม่รู้จะไปขอใครช่วยแล้วจริงๆ”
“ไม่เป็นไรครับ มีอะไรที่ช่วยได้พวกผมก็อยากจะช่วย”
พวกเขาเริ่มจากนำก้านกล้วยมาวัดขนาดและมัดรวมกัน จากนั้นก็ปรึกษากันเรื่องการปักดอกไม้สลับใบตามแบบที่เคยเห็น แล้วก็ลงมือกันอย่างรีบเร่ง เพื่อให้เสร็จก่อนพิธีสวดจะเริ่มขึ้น
สองชั่วโมงผ่านไป พุ่มดอกไม้ห้าพุ่มก็เสร็จสิ้นเป็นรูปเป็นร่าง มีหนึ่งพุ่มใหญ่ สองพุ่มเล็กลงมา และอีกสองพุ่มเล็ก อาจจะดูไม่สวยอลังเหมือนร้านดอกไม้จากในเมือง แต่ก็เป็นความภูมิใจของทุกคน พวกเขายกไปตั้งแซมกับต้นไม้สีเขียวเดิม และคราวนี้ไม่ลืมที่จะใส่น้ำหล่อไว้ให้เพียงพอด้วย
“ขอบคุณครูมากเลย คงจะเหนื่อยกันแย่”
“ไม่เป็นไรครับ นิดหน่อย”
“เดี๋ยวอยู่กินข้าวกันก่อนครู เมียลุงทำไว้มากมาย มีแกงส้ม แกงคั่ว ปลาทอด น้ำพริก รับรองว่าอร่อย”
“จะดีเหรอครับ” พวกเขาตอบไปแบบนั้น แต่ว่าท้องก็ร้องโครกครากเสียงดัง
“ลุงให้เด็กๆ ปูเสื่อไว้แล้ว มาๆ ไปนั่งกันก่อนครู” ชายสูงวัยเดินนำไป
บนเสื่อที่เจ้าภาพปูไว้ให้ที่ด้านข้างศาลานั้นมีอาหารหน้าตาน่าอร่อยวางเต็มไปหมด กำลังร้อนๆ ควันขึ้นโขมง ส่งกลิ่นหอมฉุย
“เต็มที่เลยครู อาหารยังมีอีก เดี๋ยวลุงให้เด็กยกมาให้นะ เชิญนั่งเลย”
ทุกคนหันมองหน้ากัน สุดท้ายพวกเขาก็แพ้พ่ายให้กับอาหารตรงหน้า แต่ก่อนจะนั่งลง ตั้งใจหันไปบอกกับเจ้าภาพ “คือ เพื่อนผมสองคนอยู่ที่บ้านพัก...”
“เดี๋ยวลุงให้เด็กไปตาม”
“ไม่เป็นไรครับ ผมยกไปให้เองดีกว่า” ตั้งใจกับไข่ย้อยเสนอ “คือ... น้องผมมันไม่ค่อยสบาย”
“งั้นเดี๋ยวลุงบอกเด็กให้จัดใส่ถาดไว้ให้ ครูนั่งกินอะไรกันก่อนละกัน”
“ขอบคุณมากครับ”
เสียงบทสวดจากข้างในศาลาดังแว่ว ท่ามกลางบรรยากาศมืดครึ้ม แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อท้องไส้ที่หิวโหย พอนั่งลงแล้วพวกเขาก็คว้าจานข้าว จ้วงอาหารใส่ปากกันอย่างเอร็ดอร่อย
สักพักก็มีเด็กอายุราวๆ 7-8 ขวบเดินถือถาดใส่อาหารมาส่งให้ เขาอาสาจะไปส่งให้ที่บ้านพัก แต่ตั้งใจปฏิเสธไปอย่างนิ่มนวลด้วยความเกรงใจ
“พวกมึงกินกันไปก่อน เดี๋ยวพวกกูมา” ตั้งใจและไข่ย้อยลุกขึ้น “อย่าแดกหมดนะ”
“เดี๋ยวจะกินช้าๆ รอ รีบๆ ไป”
สองหนุ่มเดินถือถาดใส่อาหารกับตะเกียงตรงไปยังบ้านพักซึ่งปิดไฟไว้เงียบเชียบ พวกเขาหันมองหน้ากัน ก่อนจะเปิดประตูห้องออกช้าๆ
ภายใต้แสงสลัว เมฆกับน้ำนอนอยู่บนเสื่อผืนเดียวกัน โดยที่รุ่นพี่โอบกอดรุ่นน้องไว้แนบกาย
พอเห็นเช่นนั้นแล้วก็ไม่อยากจะปลุก ตั้งใจตัดสินใจวางถาดใส่อาหารไว้ข้างประตูทางเข้า จุดตะเกียงวางไว้ให้ข้างๆ เพื่อให้เวลาที่เพื่อนตื่นมามองเห็นและไม่เดินเตะ เสร็จแล้วจึงถอยกลับออกไปอย่างเงียบเชียบ
“มึงว่า...” ไข่ย้อยเอ่ยปาก
ตั้งใจหันไปขึงตาใส่ “หยุด อย่าถาม เดี๋ยวกูคิดลึก”
“แต่มันไม่ได้แก้ผ้ากันสักหน่อย มึงจะคิดลึกไปไหนวะ”
“ถ้างั้นเมื่อกี้มึงจะพูดว่าอะไร”
“พูดว่า มึงคิดว่าตอนที่มันอยู่กันสองคน มันทำอะไรกันบ้างวะ”
“ไอ้เหี้ย มันต่างกันตรงไหนวะ”
“แต่ดูมันรักกันดีนะมึง ไอ้น้ำแม่ง กลายเป็นไอ้น้ำเน่าซะแล้ว” ไข่ย้อยหัวเราะ “ตั้งแต่เจอไอ้เมฆ ไอ้น้ำมันกลายเป็นเสือยิ้มง่ายไปเลย”
“เออ จริงของมึง นิสัยก็เปลี่ยนไปนิดหน่อย”
ระหว่างทางที่สองหนุ่มช่างนินทาเดินคุยกันไป จวนจะถึงศาลาบำเพ็ญกุศลอยู่แล้ว แต่ฝนก็เทลงมาเสียก่อน พวกเขาจึงต้องรีบวิ่งเข้าไปหลบฝนภายในศาลา
หากพอก้าวเข้าไปข้างในศาลาก็พบว่าก๊วนเพื่อนกับรุ่นน้องได้โยกย้ายกันมานั่งรวมกับแขกในงานเรียบร้อยแล้ว “พี่ตั้งใจ พี่ไข่ย้อย มานี่ๆ”
บนเสื่อผืนเดิม ทว่าอาหารเซตใหม่ที่มีมากกว่าเดิม ตั้งใจกับไข่ย้อยเบิกตาโพลง “เฮ้ย!”
“ลุงบอกว่าเมื่อกี้อะ แค่ออร์เดิร์ฟ นี่เมนคอร์ส เพราะพระท่านสวดเสร็จแล้ว”
“โอ้โห ตายายกูเคยเล่าว่าคนใต้เวลามีงานบุญจะเลี้ยงอาหารแบบอภิมหาอลัง แต่กูไม่นึกว่าจะอลังขนาดนี้” ไข่ย้อยหันไปคุยกับเพื่อน ก่อนพวกเขาจะนั่งลงโซ้ยอาหารกันต่อ
“ไอ้เมฆมันเป็นไงบ้างอะพี่” แหนมกับตำลึงถาม
“ก็ดี ไอ้น้ำมันดูแลอย่างดีเลย ไม่ต้องห่วงหรอก”
“อ้อ...” ปีหนึ่งทั้งสองคนพยักหน้าอย่างเข้าอกเข้าใจ
ก่อนที่จะมีใครถามอะไรขึ้นมาอีก ป๊อกเด้งก็เอ่ยขึ้น “เฮ้ย มึงลองกินนี่ อร่อยฉิบหายเลยว่ะ” แล้วพวกเขาก็รับประทานอาหารกันไป พูดคุยกันไปอย่างออกรสโดยไม่สนใจกับสายฝนที่เทกระหน่ำลงมา
เสียงเม็ดฝนตกกระทบหลังคาดังลั่น ลมพัดแรงเป็นระยะๆ ทำให้กิ่งไม้จากต้นไม้ใกล้ๆ ฟาดลงบนตัวบ้านเสียงดัง น้ำลืมตาขึ้นก่อนจะผงกศีรษะขึ้นมองที่มาของแสงสลัว
ที่ตรงข้างประตูห้องมีตะเกียงวางอยู่คู่ถาดใส่อาหาร เพื่อนของเขาคงนำมาวางไว้ให้
ชายหนุ่มหันไปแตะหน้าผากรุ่นน้อง จากนั้นจึงยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลา “เกือบจะสี่ทุ่มแล้ว”
น้ำโน้มตัวเข้าไปลูบศีรษะเด็กหนุ่มเบาๆ “เมฆ ตื่นมากินอะไรสักหน่อย จะได้กินยานะ”
เจ้าของชื่อเรียกปรือตาขึ้น ก่อนจะยันตัวลุกนั่ง เขายกมือขึ้นกุมศีรษะ “อา ผมหลับไม่รู้เรื่องเลย”
“ยังปวดหัวอยู่มั้ย”
“นิดหน่อยครับ”
น้ำลุกขึ้น เดินไปยกถาดอาหารกับตะเกียงมาวางใกล้ๆ “อาหารน่ากินเชียว เมฆกินสักหน่อยละกัน”
“ผม...” เมฆอ้ำอึ้ง เพราะเขารู้สึกเวียนศีรษะ นั่งไม่ค่อยจะอยู่สักเท่าไหร่
ชายหนุ่มขยับไปนั่งพิงกองหมอน จากนั้นจึงดึงแขนอีกฝ่ายมาใกล้ๆ อีกมือตบลงบนเสื่อข้างหน้าตน “มานั่งพิงพี่นี่ แล้วพี่จะป้อนข้าวให้”
ดวงตาสีดำขลับเบิกกว้าง “นั่ง... พิงพี่น้ำเนี่ยเหรอครับ ผมตัวใหญ่นะ ไม่หนักเหรอ”
“มาเถอะน่ะ” พอเมฆขยับเข้ามาอยู่ในระยะที่เอื้อมถึง เขาก็โอบเอวเด็กหนุ่มแล้วดึงเข้าหาตัว
เมฆนั่งเกร็งอยู่ระหว่างขาทั้งสองข้างของรุ่นพี่ แผ่นหลังที่แนบชิดกับแผ่นอกส่งผลให้รู้สึกร้อนยิ่งกว่ามีไข้เสียอีก “เอ้อ...”
รุ่นพี่อมยิ้ม เขาหันไปตักอาหารขึ้นมาจ่อตรงริมฝีปากเด็กหนุ่ม “เอ้า อ้าปาก”
เมฆอ้าปากกว้างทันควัน พอเคี้ยวหยับๆ กลืนลงท้องแล้วจึงถามบ้าง “พี่น้ำไม่กินเหรอ”
“กิน นี่ไง” คราวนี้น้ำตักใส่ปากตัวเอง
“พี่น้ำไม่ควรใช้ช้อนเดียวกับผมอะ เดี๋ยวติดหวัดนะ”
“เมฆก็รีบหายไวๆ สิ จะได้มาดูแลพี่ต่อ เอ้า อ้าปาก”
เด็กหนุ่มอ้าปากกว้างเป็นลูกนก แรกๆ ก็เขินๆ เกร็งๆ อยู่บ้าง แต่สักพักเขาก็รู้สึกผ่อนคลาย ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าพี่น้ำจะมาคอยป้อนข้าวป้อนน้ำดูแลเขาแบบนี้ นัยน์ตาสีเข้มเหลือบมองใบหน้าของรุ่นพี่ที่อยู่ใกล้เพียงแค่ปลายนิ้วกัน ก่อนจะเอนศีรษะพิงหัวไหล่แล้วหันหน้าซบลงไปตรงซอกคอ
“อิ่มแล้วเหรอ”
“กินไม่ลงแล้วครับ อยากกินอย่างอื่น”
“กินยาใช่มั้ย เอ้า” น้ำหยิบยาไปจ่อปากเด็กหนุ่ม จากนั้นจึงส่งน้ำให้ดื่ม
พอกลืนยาลงท้องไปได้ เมฆก็หันไปซุกซบซอกคอชายหนุ่มต่อ พลางพึมพำ “อยากกินของหวานแล้ว” เขาจูบลงไปบนลำคอของรุ่นพี่เบาๆ แล้วใช้ปลายลิ้นไล้เลียเพื่อลองชิม
น้ำกระตุกยิ้มมุมปาก “รสชาติเป็นไงล่ะ”
“เค็มครับ”
“ก็ยังไม่ได้อาบน้ำนี่ เหงื่อออกมาทั้งวัน”
“แต่ก็อร่อยดี” เมฆรุกเข้าไปพรมจูบลำคอ ค่อยๆ เคลื่อนผ่านสันกรามขึ้นมาที่แก้ม หากไม่จูบบนริมฝีปากถึงแม้ใจจะอยากลิ้มลอง ในขณะเดียวกันอีกสองมือก็เคลื่อนไปโอบกอดลำตัวรุ่นพี่ไว้
“นี่ขนาดไม่สบายนะ”
“แค่ปวดหัวนิดเดียว”
“เมื่อกี้ยังนั่งโงนเงนอยู่เลย”
“เมื่อกี้ไม่มีแรงเพราะหิวครับ” คราวนี้เมฆค่อยๆ กดให้ชายหนุ่มเอนตัวนอนราบลงไปกับพื้น ใช้สองมือวางกักลำตัวอีกฝ่ายไว้ จากนั้นก็จ้องมองเรียวปากตรงหน้าอย่างลังเล
น้ำกระตุกคอเสื้อคนบนร่างลงมาใกล้ “ไม่สบายก็ควรจะทำตัวให้สมกับคนป่วยหน่อยไม่ใช่รึไง”
“ถ้าผมป่วยก็ไม่มีแรงกดพี่น้ำไว้แบบนี้หรอก”
“งั้นเหรอ”
ตึง!
คนใต้ร่างยกมือขึ้นโอบลำตัวเด็กหนุ่มแล้วจับให้พลิกตัวลงไปอยู่ใต้ร่างเขาแทน แผ่นหลังของคนอ่อนวัยกว่ากระทบพื้นดังตึงใหญ่ บ้านไม้สั่นสะเทือนไปทั้งหลัง “โอ๊ะ โทษที พี่ลืมไปว่ามีแค่พื้นไม้เปล่าๆ”
“โอ๊ย พี่น้ำอ่า จงใจแกล้งผมชัดๆ” เมฆยกมือขึ้นลูบศีรษะป้อยๆ
“กินยาแล้วก็นอนซะ”
เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว พลางกระดิกนิ้วเรียกให้รุ่นพี่โน้มใบหน้าเข้ามาใกล้ๆ “พี่น้ำ”
“อะไรอีก”
คราวนี้เมฆยกมือขึ้นลูบลำคอรุ่นพี่ สอดนิ้วมือเข้าไปใต้เชือกหนังเพื่อหยิบเกียร์ที่เขาเคยมอบให้ออกมาดู จากนั้นก็ยิ้มกริ่ม เขาผงกศีรษะขึ้น แล้วจูบลงไปบนเกียร์นั้น “ดีใจจัง พี่น้ำใส่ตลอดเลย” เด็กหนุ่มเหลือบมองดูรุ่นพี่ซึ่งอยู่เฉยให้เขาทำได้ตามชอบใจ ก่อนจะเคลื่อนไปจูบตรงซอกคอของรุ่นพี่แรงๆ สร้างร่องรอยสีแดงทิ้งเอาไว้
“เฮ้ย!”
ตึง! บ้านไม้สะเทือนเป็นครั้งที่สอง
เมฆใช้จังหวะที่น้ำโอนอ่อนให้ กอดลำตัวแล้วพลิกชายหนุ่มลงไปอยู่ใต้ร่างเหมือนในคราวแรก นัยน์ตาของเด็กหนุ่มฉาบแสงสีนวลจากตะเกียง เขากดหัวไหล่ทั้งสองข้างของรุ่นพี่ไว้กับพื้น แต่เพราะพิษไข้ทำให้เขาต้องเผยอริมฝีปากหอบ
คนใต้ร่างหัวเราะเบาๆ พลางยกมือขึ้นลูบตรงรอยที่เมฆจงใจสร้างไว้เมื่อครู่ “ร้ายจริงนะ พี่ต้องระวังตัวซะแล้วสิ”
“รู้ก็ดีแล้วครับ นี่ขนาดผมไม่ค่อยมีแรงนะ”
“อื้อหือ น่ากลัว” น้ำยิ้มร้าย เขายกขาขึ้นเตะขาคนที่คร่อมอยู่บนร่าง ให้อีกฝ่ายเสียหลักล้มลงทาบทับบนตัวเขา จากนั้นจึงจับเด็กหนุ่มเหวี่ยงลงไปนอนแอ้งแม้งอยู่ใต้ร่างอีกรอบ
ตึง! บ้านไม้สะเทือนเป็นครั้งที่สาม
“เป็นไงล่ะคนเก่ง จะยอม...”
ต๊ะ...
“หือ?” เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของเขากับเมฆแน่ๆ
ต๊ะแก่!
ตุ๊บ!
แรงสั่นสะเทือนบนพื้นบ่งบอกว่ามีบางสิ่งบางอย่างใหญ่ๆ หนักๆ ร่วงตุ้บลงบนพื้นใกล้ๆ พวกเขา เมฆกับน้ำจึงพร้อมใจกันหันไปมองตามต้นเสียง “เสียงอะ... ว้าก!”
เพียงแวบเดียวที่ได้สบสายตากับตุ๊กแกตัวโตที่เพิ่งร่วงลงมาจากเพดานหมาดๆ สองหนุ่มก็ลุกขึ้นพรวด “ว้าก! พี่น้ำ หนีก่อน!”
เมฆคว้าแขนรุ่นพี่ แต่พอจะก้าวขาวิ่งหนี เจ้าตุ๊กแกซึ่งกำลังตกใจก็กำลังคิดหนีเช่นกัน มันจึงหน้ามืดคลานพุ่งตรงเข้าไปทางที่เด็กหนุ่มยืนอยู่
“เมฆ หลบเร็ว!”
“ว้าก!” รุ่นน้องกระโดดกอดชายหนุ่มทันควัน “มันขู่ด้วยอะพี่น้ำ!”
“อย่าขยับ! ยืนเฉยๆ แกล้งตายเข้าใจมั้ย”
“แกล้งตายใช้กับตุ๊กแกได้เหรอพี่”
“เอาน่ะ ถ้าเราไม่ขยับ มันก็ไม่ขยับเห็นมั้ยล่ะ!” น้ำยกมือขึ้นทำท่าห้าม “นิ่งๆ นะ บุญชม... หรืออุไรวะ”
“ใครอะพี่” เมฆหันไปถาม
“ชื่อตุ๊กแกไง ไม่บุญชมก็อุไรนี่แหละ”
เด็กหนุ่มหรี่ตามองตุ๊กแกตัวโตซึ่งมีสีและจุดเด่นชัด ดูแล้วน่าจะเป็นตัวผู้มากกว่าล่ะมั้ง “บุญชมมั้งพี่”
“รู้ได้ไงน่ะ”
“ก็สีมันแรงน่ะพี่ เหมือนพวกไก่โต้งไง” เมฆเดาไปมั่วซั่ว ก่อนจะหันไปลองเรียก “บุญชม! บุญชมใช่ป่าว!”
ต๊ะ... แก่
“เฮ้ย มันตอบอะพี่ สงสัยจะชื่อบุญชมจริงๆ”
น้ำพยักหน้าเออออไปด้วย “อะ... เออ... บุญชม ถอยไปนะ เราต่างคนต่างอยู่เข้าใจมั้ย”
สองหนุ่มจ้องตากับเจ้าตุ๊กแกเขม็ง ก่อนจะต่างฝ่ายต่างจะค่อยๆ ถอยไปตั้งหลักกันคนละมุม
“ฉิบหายแล้ว” รุ่นพี่สบถเมื่อเขาถอยไปจนชิดผนังอีกฝั่ง
“มีอะไรเหรอพี่น้ำ”
“เราเลือกผิดมุมมั้ย นั่นมัน... ประตู” ชายหนุ่มชี้ไปยังตุ๊กแกตัวเขื่องที่กำลังไต่ขึ้นไปบนบานประตูห้อง
แล้วพวกเขาจะออกจากห้องกันได้อย่างไร!
TBC~*วุ่นวายจริงคู่นี้ 555555555 เล่นแรงเกิน ตุ๊กแกมือไม้อ่อน เกาะเพดานไม่อยู่เลยเห็นมั้ย 
เมื่อวานประกาศผลแอดมิชชั่นรึเปล่านะ ยินดีด้วยกับคนที่ได้คณะตามต้องการนะค้า ขอให้เจอหนุ่มๆ แบบพี่น้ำน้องเมฆกัน ส่วนใครที่พลาดไปก็ไม่เป็นไรน้า สู้ๆ ค่ะ
ขอบคุณทุกคนที่ยังติดตามพี่น้ำน้องเมฆอยู่นะคะ ใกล้ถึงฝั่งแล้วแหละ อดทนอีกนิดดดดด 