ด้วยรักจากสวรรค์ 22 – เวลาที่เหลืออยู่ (ต่อ)ไม่กี่วันต่อมาก็มีแขกมาเยือนพวกเขาถึงที่บ้าน คนที่พอมาถึงก็พาเอาเสียงหัวเราะและรอยยิ้มมาด้วยยามโผล่หน้ามาหาแสงเหนือที่กำลังนั่งฟังเขาอ่านหนังสืออยู่ในสวน “เป็นไงบ้างเหนือ สบายดีไหมจ๊ะ น้องจิน ไม่ได้เจอกันไม่กี่วัน คิดถึ้ง~~ คิดถึง”
ไม่พูดเปล่า นิ้วเรียวหยิกแก้มเขาแล้วบีบอย่างมันเขี้ยวและยิ่งเมื่อเห็นเขาหน้าแดงกับการโดนปฏิบัติเป็นเด็กๆ แบบนี้ คุณวิกกี้ยิ่งหัวเราะร่วน “อุ๊ย หน้าแดงอย่างกับมะเขือเทศเลย ต๊าย น่ารัก...!”
เขาเบี่ยงหน้าหลบไม่ทันเมื่อคุณวิกกี้จรดปลายจมูกหอมแก้มเขาแรงๆ ดังฟอด ในขณะที่เขาซึ่งยังประหม่า เขินอายจนพูดไม่ออกนั้นเอง แสงเหนือก็ลุกขึ้นทั้งตัว ตะโกนลั่น “วิกกี้! อย่ามาทำตัวฝรั่งจ๋าแถวนี้นะ กล้าดียังไง...”
“อย่ามาทำตัวหวงก้างไปหน่อยเลย เหนือ แค่หอมแก้มนิดๆ หน่อยๆ ไม่สึกหรอหรอก” ว่าแล้วก็แกล้งหอมแก้มของคนนั่งหน้าตาแตกตื่นอีกครั้งดังๆ ทำเอาแสงเหนือเต้นผางทันที
“หยุดนะ ยัยบ้า!” ชายหนุ่มคว้าหาตัวเขาอย่างแตกตื่นจนเจอ และรีบลากเข้าไปซุกไว้กับอก “อย่ามาแต๊ะอั๋งของของคนอื่นมั่วซั่ว มาทางไหนรีบกลับไปทางนั้นเลย ไป๊!”
“พี่เหนือ ห้ามพูดจาไม่ดีกับคุณวิกกี้นะ” เขาเอ็ดทั้งที่ยังดิ้นขลุกขลักยักแย่ยักยันอยู่ในอ้อมกอดแข็งๆ ของร่างสูง “มีอย่างที่ไหนถึงไปไล่คู่หมั้นอย่างกับหมูกับหมา ไล่ผู้หญิงไม่เป็นสุภาพบุรุษเลยสักนิด!”
“แต่... แต่ว่า...” ภาพผู้ชายตัวโตเบ้อเริ่มกำลังอึกอักพูดไม่ถูกเพราะโดนคนตัวเล็กกว่าไม่ถึงครึ่งเอ็ดเสียงเขียวทำเอาหญิงสาวที่มองอยู่หัวเราะท้องคัดท้องแข็ง เป็นเหตุให้แสงเหนือเงยหน้าตวาดซ้ำ “หัวเราะบ้าอะไร ยัยผู้หญิงหยาบกระด้าง...”
“พี่เหนือ!” สองคำสั้นๆ เล่นเอาเจ้าของชื่อเงียบลงทันควัน หน้าขาวงอบูดบึ้งแต่ท้ายที่สุดยังไม่วายแก้ตัวร้อนรน “พี่ไม่ได้เป็นคนหาเรื่องก่อนนะครับ”
“กลับมาครั้งนี้คุ้มค่าจริงๆ” คุณวิกกี้ทรุดตัวลงนั่งไขว่ห้างบนเก้าอี้ที่แสงเหนือลุกไป “ได้เห็นกรรมตามสนองผู้ชายเจ้าชู้ที่เคยแต่ทิ้งขว้างผู้หญิงเป็นผักปลาโดนครอบเสียอยู่หมัด เฮ้อ แบบนี้สินะที่เขาเรียกว่าโดนขอดเกล็ดเสียเกลี้ยงเกลา...”
“หยุด...!” คล้ายกับจะมีสัญชาตญาณเตือนภัย เพราะแค่จินดนัยย่อเข่าเตรียมเทคตัวขึ้นโหม่ง กะสอยปลายคางโป้งเดียวแบบถ้าไม่ตื่นก็ร่วงกันไปข้าง แสงเหนือกลับชะงักคำพูดที่เหลือและกัดฟันกล่าวด้วยน้ำเสียงข่มใจเหลือหลาย “หยุดหาเรื่องฉันเสียที”
คราวนี้ หญิงสาวหัวเราะจนน้ำตาไหล ก่อนจะยอมหยุดแหย่แสงเหนือและเริ่มพูดคุยไต่ถามอาการทั่วๆ ไปแทน ระหว่างนั้น จินดนัยซึ่งนั่งมองทั้งสองอยู่ก็รู้ได้โดยไม่ต้องสงสัยเลยว่าถ้าแสงเหนือจะต้องแต่งงานกับใครสักคน คนที่จะทำให้ชายหนุ่มมีความสุขได้ไม่แพ้เขา คนที่จะสามารถสร้างครอบครัวอันอบอุ่นและอยู่กันไปจนแก่จนเฒ่าได้ ใครคนนั้นก็ต้องเป็นคุณวิกกี้นี่ล่ะ
ใจหนึ่ง เขาเจ็บกับความคิดดังกล่าว กับความคิดที่ว่าจะมีคนมาแทนที่เขาอย่างง่ายดายหลังจากนี้ หากอีกใจหนึ่งกลับรู้สึกหายห่วงแบบแปลกๆ โชคดีที่ในเวลานี้ทั้งสองยังไม่แม้แต่จะเป็นคู่หมั้นกัน ไม่เช่นนั้นเขาคงวางตัวไม่ถูก
“จินสีหน้าไม่ค่อยดีเลยนะ เหนื่อยเกินไปหรือเปล่า นี่ล่ะน้า เหนือเล่นเอาแต่ใจตัวเองจนน้องจินเหนื่อยแบบนี้ ดูแลเด็กเกเรก็ต้องทำใจหน่อยล่ะนะ” คุณวิกกี้ทักพร้อมเหน็บคู่สนทนา หากแสงเหนือไม่แม้แต่จะต่อล้อต่อเถียงกลับ นอกจากขมวดคิ้วมุ่น
“จินเหนื่อยเหรอ ร้อนหรือเปล่ามานั่งข้างนอกนี่”ทำหน้าไม่สบายใจแล้วแบมือใหญ่ออก “มาหาพี่มา ขอดูหน่อยซิว่าตัวร้อนหรือเปล่า”
ฝ่ามือหยาบที่แตะเบาๆ ลงตรงหน้าผากและซอกคอสร้างความตื้นตันจนเขาอยากร้องไห้ แต่ขณะเดียวกันก็อดฝืนตัวไม่ให้อีกฝ่ายแสดงอาการสนิทสนมเกินเลยไปมากกว่านี้เมื่อยังอยู่ต่อหน้าว่าที่คู่หมั้นคนสวย “ผมไม่เป็นไร อย่า...เดี๋ยวคุณวิกกี้...”
หลุดปากไปแล้วก็ต้องกลั้นหายใจเพราะแสงเหนือตีหน้าเคร่งทันควัน “เดี๋ยวยัยวิกกี้จะทำไม... ทำไมอยู่ต่อหน้าวิกกี้แล้วพี่จะแตะตัวเราไม่ได้หรือไง”
“เปล่า” ปฏิเสธค่อยๆ หากสีหน้าซึ่งยังขึงตึงของชายหนุ่มทำให้เขาเผลอพูดต่อคำที่ไม่น่าพูด “แต่...”
“จริงสิ พี่จำได้แล้วว่าแต่ก่อนจินก็เคยพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้” แสงเหนือพูดช้าๆ อย่างคนเพิ่งนึกออก และตั้งท่าจะทำให้เรื่องที่ว่าจบลง “วิกกี้”
“อย่านะ!” จินดนัยร้องห้ามตระหนก นึกกลัวว่าถ้าแสงเหนือตัดความสัมพันธ์เคลียร์เรื่องคู่หมั้นจบไปเสียตั้งแต่ตอนนี้แล้วหลังจากที่เขาไปแล้ว คนทั้งคู่จะเป็นยังไง “ไม่ ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น ผมไม่ได้อยาก...”
“วิกกี้ เธอจะแต่งงานกับฉันไหม” นอกจากจะไม่สนใจคำร้องห้ามของเขา ชายหนุ่มยังเอ่ยถามหน้าตายโดยไม่ได้รับรู้เลยว่าประโยคสั้นๆ นั้นทำเขาชาหน่วงไปทั้งตัว จินดนัยอ้าปากค้าง เงยหน้าเบิ่งตามองร่างสูงอย่างไม่อยากจะเชื่อ
หากก่อนที่น้ำตาจะทันได้หลั่งไหลเป็นทำนบแตก เสียงแหลมสูงปรี๊ดกลับดังมาจากหญิงสาวที่เพิ่งถูกขอแต่งงานแทน “พูดบ้าอะไรน่ะ! ฉันคิดว่าเราเคยพูดเรื่องนี้และเข้าใจตรงกันแล้วเสียอีก หยุดเลยนะ เหนือ หยุดไอ้ความคิดเฮงซวยในหัวเดี๋ยวนี้ เหนือก็รู้ว่าฉันรักใคร และฉันก็รู้ด้วยว่าตอนนี้เหนือมีคนสำคัญอยู่แล้ว ดังนั้น หยุดพูดเรื่องบ้าบอคอแตกพรรค์นั้นไปได้เลย” คุณวิกกี้ลุกเดินกระฟัดกระเฟียด ตั้งท่าจะหมุนตัวจากไป แต่กลับหยุดกึก กล่าวทิ้งท้ายอาฆาต “ถ้านายกล้าพูดเรื่องนี้ต่อหน้าเขา ฉัน-เอา-นาย-ตาย-แน่ จำไว้”
คุณวิกกี้จากไปแล้ว ทิ้งความเงียบให้อยู่กับคนสองคน คนหนึ่งทำหน้าสับสนงงและเอ๋อ ขณะที่อีกคนยิ้มกริ่ม ก่อนที่คนหลังจะลากคนแรกที่ยังยืนค้างลงนั่งบนตัก “เห็นหรือยังครับ อย่าว่าแต่แต่งงานเลย แค่หมั้นยังไม่มีโอกาส คนที่เห็นชอบกับเรื่องนี้ก็มีแต่พวกผู้ใหญ่เท่านั้น เต่สำหรับพี่กับวิกกี้ เราเคยลงนั่งจับเข่าคุยตั้งนานแล้วและได้ข้อสรุปตรงกันว่าขืนหมั้นจริง คงฆ่ากันตายก่อนแต่งแน่ ที่สำคัญ วิกกี้มีคนที่รักอยู่แล้ว เหมือนๆ กับที่พี่ก็มีคนรักที่น่ารักมากๆ อยู่แล้วทั้งคน น่ารักแบบนี้ขืนยอมปล่อยไปก็โง่เต็มทน”
จินดนัยยกมือยันหน้าขาวๆ ที่ตั้งท่าจะก้มลงใกล้เอาไว้ทันเฉียดฉิว “นี่มัน... ผม... พี่เหนือ... แล้วคุณวิกกี้รักใครกันล่ะ”
“จินก็รู้จัก” แสงเหนือกดจูบลงบนฝ่ามือที่ยกกันท่าไว้
“ผมรู้จักเหรอ” นึกไล่ย้อนหาคนรู้จัก อย่าว่าโง้นงี้เลย แต่สังคมของร่างใหม่เขานี่คับแคบเหลือประมาณ ผู้คน ที่เข้าข่ายพอจะกระชากหัวใจสาวสวยนักเรียนนอกได้ก็พอจะมีแต่... “คุณวิกกี้รักคุณอั้มงั้นเหรอ”
ต่อให้ชายหนุ่มไม่ตอบ เขาก็ค่อนข้างแน่ใจว่าไม่ผิดแน่ ยิ่งหลังจากที่พูดออกมาแล้ว ดูเหมือนอะไรๆ มันจะเข้าที่เข้าทางยิ่งกว่าที่เคยเป็นมาด้วยซ้ำ จินดนัยหวนคิดถึงท่าทีพิเศษที่คนทั้งคู่อาจเผลอแสดงออกต่อกัน แต่เท่าที่นึกดู มันไม่มีวี่แววสักนิด “แต่ดูเหมือนคุณอั้มจะไม่...เอ่อ สนใจคุณวิกกี้มากไปกว่าคนรู้จักธรรมดาๆ เลยนี่ ตาถั่วชะมัดยาด มัวแต่ไปไล่จีบเขาดะ ทีผู้หญิงดีๆ แบบคุณวิกกี้ คุณอั้มดันไม่สนใจ ทำตัวใกล้เกลือกินด่างแบบนี้ ไม่ได้ละ ไว้เจอหน้าต้องสั่งสอนเสียหน่อย”
“แล้วจินอยากรู้ไหมว่าทำไมเจ้าอั้มถึงไม่สนใจยัยวิกกี้” เสียงนุ่มๆ ติดจะขำๆ ทำเขาตาโตเท่าไข่ห่าน อยากรู้จนตัวสั่น “อื้อ อยากรู้ ทำไมล่ะ ทำไม บอกหน่อยๆ”
“ถ้าอยากรู้ คืนนี้ต้อง...” คนหน้าขาวเอนตัวมากระซิบเสียงแหบพร่า หลังฟังประโยคสั้นๆ นั้นจบ ดีกรีความอยากรู้ก็ลดฮวบฮาบ เหลือแค่รู้ไว้ใช่ว่าเท่านั้น
“ไม่อยากบอกก็ไม่ต้องบอก” โวยวายพาโว ดิ้นจะลุกแต่กลับโดนยึดไว้แน่นพร้อมกับที่เจ้าของประโยคลามกเมื่อครู่ยื่นหน้ามากระซิบริมหู “อย่ามาเฉไฉกับพี่เลย นี่คงนึกว่าพี่ทำอะไรไม่รับผิดชอบมานานน่าดูแล้วสิท่า มิน่าล่ะ ตลอดมาจินถึงคอยเลี่ยงพี่อยู่ตลอด พี่จะไม่โทษเราหรอกเพราะพี่เองก็ผิดที่ไม่อธิบายให้ฟังตั้งแต่แรก แต่ตอนนี้เข้าใจพี่แล้วใช่ไหม”
“อืม” ตอบพลางก้มลงดึงทึ้งแอบเลาะด้ายตรงชายเสื้อของอีกฝ่ายไปพลาง
“แล้วพอตกกลางคืนจะบอกกับพี่ว่าปวดหัว ปวดท้องอีกไหม” คำตอบที่ได้รับเบาเสียยิ่งกว่าเบา หากสำหรับคนที่จดจ่อรอฟังอยู่อย่างแสงเหนือ มันดังมากเกินพอ “พี่รักจินมากนะครับ จำไว้”
แน่นอนว่าเขาจะจำ ต่อให้แสงเหนือลืม แต่ความทรงจำแห่งรักนี้จะยังมีชีวิตอยู่ในตัวเขาตลอดไป
.................
.................
“แน่ใจนะ” ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ริมเตียงเอ่ยถามคำถามเดิม “พี่ไม่อยากบังคับจิน แค่ได้กอดเรา พี่ก็ดีใจมากแล้ว ไม่ต้องทำแบบนั้นก็...”
“อื้อ บอกว่าแน่ก็แน่สิ เลิกถามซ้ำๆ ได้แล้วน่า” ตัดบทด้วยความหงุดหงิด มันจะอะไรกันนักกันหนาก็ไม่รู้ กับอีแค่เขาอยากทำให้อีกฝ่ายมีความสุขบ้าง จะว่าเพื่อเป็นการชดเชยที่บ่ายเบี่ยงมาตลอดก็คงไม่ผิดนัก “เงียบๆ ได้ไหม ผมเสียสมาธิหมด”
เสียงหัวเราะหึๆ ดังแผ่วๆ ก่อนที่จะค่อยเงียบลงกลายเป็นเสียงสูดหายใจลึกยามจินดนัยคุกเข่าลงตรงหน้าและวางมือลงบนท่อนขาแกร่ง ก่อนจะลูบเข้าไปใต้ชายเสื้อคลุมอย่างช้าๆ คล้ายกับเด็กที่ไม่แน่ใจแต่ก็อยากรู้อยากเห็นในเวลาเดียวกัน “แบบนี้ดีไหมครับ”
“ก็ดี” เสียงคนตอบกระตุกเพราะสัมผัสถึงเรียวปากอ่อนนุ่มแตะลงบนแผ่นอกตรงรอยแยกของสาบเสื้อคลุม ปลายลิ้นไล่แตะลงบนผิวกายตึงแน่นและขบด้วยแนวฟัน ขณะมือเริ่มไต่ระดับสูงขึ้นจนแตะโดนส่วนที่เริ่มตื่นตัว ความเย็นจากปลายนิ้วสร้างความแตกต่างจากส่วนร้อนผ่าวซึ่งกำลังร้อนรนขึ้นทุกขณะ
“ถ้าเป็นแบบนี้ล่ะ” คนถามถามอย่างคนถือไพ่เหนือกว่า ยิ่งยามจับจ้องหน้าขาวเคร่งเครียดขมวดคิ้วมุ่น ยิ่งเพิ่มความกล้าให้เขากอบกุมไว้เต็มกำมือ “อืม ...ก็ดี”
บริการถึงขนาดนี้ดันตอบแค่ก็ดีเนี่ยนะ... คนนั่งคุกเข่าจึงชะโงกตัวขึ้นประกบริมฝีปากเข้ากับอีกฝ่าย ซึ่งได้รับการตอบสนองและร่วมมือเต็มที่ ปลายลิ้นของพวกเขาเกาะเกี่ยว ตักตวงรสชาติของกันและกัน ...ขืนปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป แผนมอบความสุขของเขาต้องล่มครืนปากอ่าวแน่ จินดนัยจึงตัดใจและรู้สึกเหมือนใกล้จะขาดใจยามผงะออก หากอุ้งมือใหญ่กลับคว้าเอวเขาไว้ก่อนกระชากกลับไป ปากร้อนผ่าวทาบประกบปากเขาอย่างหิวกระหายขณะมือหยาบเลื่อนลงเคล้นคลึงสะโพกแล้วดันเข้าหาตัว
“ดะ เดี๋ยว” เขาเอ่ยละล่ำละลัก พยายามเบือนหน้าหนีหากกลับเปิดทางให้ชายหนุ่มฝังใบหน้าลงไซ้กับผิวตรงซอกคอซึ่งไวต่อสัมผัสแทนจนเข่าอ่อนทรุดฮวบ ขืนตัวไว้ยามแสงเหนือคว้าต้นแขนเขาตั้งท่าจะดึงขึ้นไปใหม่ เพราะตอนนี้เขากำลังสนใจกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ทั้งสนใจ ทั้งอยากจะสัมผัสจนแทบทนไม่ไหว
ร่างสูงกระตุกเยือกยามเขาก้มลงแตะริมฝีปากเข้ากับส่วนตื่นตัวเต็มที่ และถึงกับครางลึกเมื่อโพรงปากร้อนดูดกลืนความปรารถนาไว้โดยไม่นึกรังเกียจ
แม้จะอึดอัดคับปาก หากสีหน้าสุขสมของอีกฝ่ายเหมือนก็เป็นเหมือนยากระตุ้นชั้นดีให้เขาเดินหน้าต่อ พยายามเลียนแบบสิ่งที่ตนเคยถูกกระทำสุดความสามารถ แม้แต่ในยามที่ชายหนุ่มเป็นฝ่ายขยับเอวเข้าหา เขาก็ยังพยายามจะตอบสนองเท่าที่ทำได้
“จิน...” แสงเหนือเรียกและเชยคางเขาขึ้น จินดนัยอ้าปากรับนิ้วที่สอดเข้ามาในปากอย่างว่าง่าย ไล้เลียนิ้วเหล่านั้นจนเปียกชุ่มรวมถึงไม่ขัดขืนยามโดนกดศีรษะลงไปอีกรอบ หากขณะที่ยังมัวแต่ตอบรับการขยับเข้าออกของแก่นกายแข็งเกร็ง เขาก็ต้องร้องอู้อี้ยามปลายนิ้วเมื่อครู่สอดลึกเข้าทางด้านหลัง
ความเจ็บแปลบทำให้เผลอจิกปลายเล็บลงบนต้นขาแกร่ง ซึ่งเจ้าตัวดูเหมือนจะรับรู้ความทรมานของเขาจึงถอนกายออกและอุ้มเขาลงนอนบนเตียงแทน จุมพิตดูดดื่มเฝ้าปรนเปรอจนแทบลืมความเจ็บแสบอึดอัดเบื้องล่าง เนิ่นนานจนเกือบขาดใจกว่าที่ชายหนุ่มจะขยับนั่งและลากตัวเขาเข้าหาพร้อมกับแทรกกายเข้ามาเชื่องช้า
หยดน้ำตาไหลซึมจากปลายหางตาก่อนจะถูกซับหายไปด้วยจุมพิตประปราย จินดนัยไม่แน่ใจว่าที่กำลังเจ็บปวดอยู่ในขณะนี้คือร่างกายหรือหัวใจ ร่างกายเขากรีดร้องต้องการความแนบชิด หากหัวใจกำลังเต้นระรัวบ้าคลั่งจนแทบระเบิดหรือเป็นร่างกายที่ทนทรมานจากการถูกล่วงล้ำ ขณะหัวใจกลับตอบรับยินดี ทว่าไม่ว่าจะเป็นแบบไหน ทางสายนี้ก็ไม่มีโอกาสให้ถอยหลัง เมื่อสิ่งที่บุกรุกเข้ามาเบื้องล่างกำลังขยับเข้าออก แรกเริ่มอย่างเนิบนาบก่อนจะเร่งเร้ารุนแรงขึ้นตามจังหวะอารมณ์และขีดสุดของความอดกลั้น
หยาดเหงื่อเย็นบนผิวกายร้อนแทบลุกเป็นไฟ เขากัดฟันสั่นกึกกักเมื่อการรุกรานถี่ยิบส่งเขาสู่ขีดสุด ใบหน้าแดงก่ำส่ายไปมาบนหมอนส่งร้องเสียงแหบพร่า หยาดน้ำขุ่นกระเด็นเปรอะเปื้อนบนหน้าท้องขณะร่างสูงกดแก่นกายกระแทกซ้ำๆ โดยมิได้ถอนออก ก่อนที่เขาจะสัมผัสถึงกระแสอุ่นร้อนฉีดเข้าสู่ภายใน แค่ภาพใบหน้าของชายหนุ่มที่แหงนเงยสะบัด เสียงทุ้มต่ำคำรามลึกในคอและผิวกายมันวาวเกร็งแน่นจนสั่นไปทั้งตัวก็แทบจะส่งเขาสู่สวรรค์ได้อีกรอบอย่างง่ายดาย
“รู้สึกดีไหม” จินดนัยยังเบลอจนไม่เข้าใจความหมายของเสียงกระซิบตรงข้างหู จึงได้แต่ถามงงๆ ออกไป “ไรนะ...”
“พี่ถามว่าจินรู้สึกดีไหม” คนถามยิ้มเอื่อย กัดริมฝีปากล่างเขาเบาๆ คล้ายมันเขี้ยว “ถ้าไม่ตอบ พี่จะถือว่าไม่ผ่าน ต้องทำใหม่อีกรอบ ทำไปเรื่อยๆ จนกว่าจินจะพอใจ”
“ฮื้อ ดีแล้ว ดีพอแล้ว” รีบตอบแต่แสงเหนือกลับทำหูทวนลม ก้มหน้าลงกัดเนื้ออ่อนตรงซอกคอแรงๆ และหัวเราะกระหึ่มยามรู้สึกว่าเขาสะดุ้งโหยง “แต่พี่ว่ายังไม่ดี ที่สำคัญคือยังไม่พอ ฉะนั้นจินไม่ต้องตอบก็ได้”
“ไม่ให้ตอบแล้วจะถามทำบ้าอะไร” เอ็ดอึงหัวเสียด้วยจังหวะหัวใจซึ่งยังไม่ทันจะเข้าที่ ก็ต้องเต้นแรงอีกรอบยามฝ่ามือสากเริ่มลูบโลมไปทั่วอย่างซุกซน เขาถลึงตามองไอ้คุณชายที่ดูจะสนุกสนานกับการปรามอาการขัดขืนของเขาไว้ด้วยการทาบทับร่างกายที่ใหญ่โตกว่าไว้แบบบังกันมิด และยิ่งโมโหหนักเมื่อแสงเหนือยักไหล่แบบช่วยไม่ได้ ตอบพลางเหยียดยิ้มเอื่อยยียวนกวนส้นตามสไตล์ “ก็ถามไปงั้นๆ”
แม่ม กวนตีน ผู้ชายบ้าอะไรจะตัดอารมณ์โรแมนติกได้ไวแบบไม่เหลือซาก กินอะไรเข้าไปบ้างถึงตัดเส้นตบะชาวบ้านได้รวดเร็วแบบนี้ จินดนัยถามอย่างใจคิดแล้วต้องอยากระเบิดตัวเองทิ้ง เพราะคำตอบที่ได้รับหลังแสงเหนือครุ่นคิดสักพักและตอบหน้าตาเฉยคือ “ก็ผู้ชายแบบที่กินเมียจ๋าเข้าไปไง แต่สงสัยคงยังกินไม่พอล่ะมั้ง คงต้องขอหม่ำอีกรอบจริงๆ ด้วย”
แสงเหนือคงคิดว่าเขาเป็นบุฟเฟ่ต์ ตักได้ไม่อั้นแต่ขี้โกงกว่าเพราะไม่ยอมจำกัดเวลา ผลลัพธ์จึงกลายเป็นกว่าค่ำคืนนั้นจะสิ้นสุด เขาก็จำไม่ได้ว่าสรุปตนโดนหม่ำไปกี่รอบ หากจะให้กะจากเวลาคร่าวๆ ชนิดแทบจะเห็นขอบฟ้าตะวันใหม่แบบเลือนๆ คงต้องบอกว่าเขาโดนสูบจนหมดตัว มากกว่าจะโดนหม่ำเสียด้วยซ้ำ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
อาทิตย์ที่ผ่านมางานยุ่งคร้าบ