~ ด้วยรักจากสวรรค์ ~ by DD
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ~ ด้วยรักจากสวรรค์ ~ by DD  (อ่าน 320257 ครั้ง)

mhewkowron

  • บุคคลทั่วไป
เริ่มหน้ามืดแล้วล่ะ เป็นเค้าลางหรือเปล่านิ  :sad2:

anna1234

  • บุคคลทั่วไป

three

  • บุคคลทั่วไป
 :m22:ยู้ฮูมีใครอยู่ไหมครับผม

yayoy

  • บุคคลทั่วไป
^
^
^
จิ้มน้องทรีด้วยความคิดถึงงงงงงงงงงงงงง  :o8:

ขออภัย..ลืมเอาไฟล์กลับบ้าน เลยไม่ได้โพสเลย เสาร์อาทิตย์  :m23:



ไปอ่านต่อกันเลยคร๊าบบบบบบบบบบบบบบ

~ ด้วยรักจากสวรรค์ 9 - เวลาในนาฬิกาทราย ~

จินดนัยไม่มีปัญหากับการเดินย่ำไปทั่วโรงแรมเช่นครั้งแรกอีก เนื่องจากพนักงานเริ่มจำหน้าเขาได้หลังจากติดตามคุณรตีและแสงเหนือมาที่นี่หลายรอบ ทุกครั้ง คุณรตีจะปล่อยให้เขาไปวิ่งเล่นและเช่นเดียวกัน ทุกครั้ง แสงเหนือจะคอยกำชับไม่ให้ไปไหนไกลและต้องกลับมาให้ทันเวลาอาหารกลางวัน

ปกติเขาจะแกล้งรับคำยานๆ แล้วเกร่รออยู่แค่ในโรงแรมเพราะไอ้ร่างกายนี้มันดูจะอ่อนไหวกับแสงแดดหรือฝุ่นละออง ยิ่งมาระยะหลังๆ ยิ่งเหนื่อยง่ายบ่อยครั้งจนเกือบเข้าขั้นขี้โรค สร้างความรำคาญหนักให้กับคนเคยสุขภาพเต็มร้อยอย่างเขา เคยนึกบ่อยๆ ว่าจะฟิตจะฟิตแต่ติดตรงที่ไม่มีเวลามานั่งฟิตเพราะใช้เวลาเกือบยี่สิบสี่ชั่วโมงในแต่ละวันติดตามแสงเหนือ แถมวันนี้อารมณ์หงุดหงิดยังพุ่งสูงกว่าปกติ เพราะเทวดาที่มักจะผลุบโผล่เป็นนินจาเพิ่งแวะมาเซย์ฮัลโหลกับเขาเมื่อคืน แน่นอนว่าเขาได้ฟังแต่ถ้อยคำยุแหย่ ล้อเลียนเรื่องความใจอ่อนและความไม่พร้อมของเขาเสมอมา หลังจากฟังคำแก้ตัวต่างๆ นานาแล้วคุณเทวดามาแต่เสียงจึงค่อยเอ่ยคล้ายถามไถ่ “แล้วเป็นไงบ้าง ช่วงนี้สุขภาพยังแข็งแรงดีไหม”

“แข็งแรงกับผีน่ะสิ ร่างที่คุณให้ผมมาเนี่ยป้อแป้อย่างกับอะไร ถ้าคุณให้ร่างกายที่แข็งแรงสุขภาพดีเหมือนร่างเดิมของผมแต่ทีแรก ผมอาจจะหักคอแสงเหนือด้วยมือเปล่าไปตั้งนานแล้ว แต่หุ่นอย่างตอนนี้เนี่ยนะ ขอโทษ ผมต่างหากที่จะโดนหมอนั่นหักเป็นสองท่อนเอา”

“ถ้าอยากแข็งแรงก็รีบฆ่าหมอนั่นสิ” เขาเบิ่งตาโตเพราะไม่เข้าใจความหมายของคำพูดดังกล่าว “จะบอกให้เอาบุญนะ ไอ้หนูมือใหม่หัดตาย ร่างกายนั่นก็เหมือนกระเปาะของนาฬิกาทรายนั่นล่ะ เม็ดทรายที่มีจำนวนเท่ากับเวลาหนึ่งปีไหลอยู่ตลอดไม่ว่านายจะอ้างเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ ยิ่งทรายเหลือน้อย นายก็ไม่ค่อยกระตือรือร้น ร่างกายมันเลยต้องคอยส่งสัญญาณเตือน เหมือนไซเรนที่ร้องว่า...รีบหน่อยโว้ย รีบหน่อย”

ถึงจะทำเป็นติดตลกแต่ขอบอกว่าไม่ขำ “ที่สำคัญ ยิ่งนายใจอ่อนกับหมอนั่นเท่าไหร่ ร่างกายก็จะยิ่งเซ้นซิทิฟ เร่งส่งคำเตือนว่านายไม่มีเวลามานั่งสงสารใครนอกจากตัวเอง ...หึ แบบที่เขาพูดกันไงว่าถึงหัวใจจะคิดอย่าง แต่ร่างกายมันกลับทำอีกอย่างตรงข้าม เรื่องพรรค์นี้มีบ่อยไป อย่างนายใจอ่อนแต่ร่างกายมันไม่ยอมให้นายล้มเลิก หรืออีกทีก็เป็นประเภทปากบอกว่าเกลียดๆ แต่ใจจริง...”

“อย่าพูดบ้าๆ นะ! โอเค ผมยอมรับว่าอาจจะใจอ่อนกับหมอนั่นไปบ้าง กลัวบาปกลัวเวรกรรมอีกนิดหน่อย แต่ไอ้เรื่องความรู้สึกอื่นนอกเหนือจากนี้น่ะ ไม่มีทาง!” เขาเกลียดเสียงหัวเราะที่เหมือนจะรู้ทันแต่เลือกที่จะไม่พูดออกมาของเจ้าเทวดาซาตานยิ่งนัก เสียงหัวเราะนั้นเหมือนจะกรีดแทงลงบนกลางใจพอดิบพอดีแถมทิ้งท้ายให้กำลังใจสุดฤทธิ์ “บาปกรรมไร้สาระ สิ่งนี้มันก็เหมือนการกินเพื่ออยู่เท่านั้นเอง เหมือน...สัตว์ตัวที่อ่อนแอต้องตกเป็นเหยื่อเพื่อให้ตัวที่เข้มแข็งกว่ามีชีวิตรอด จำไว้นะ เมื่อไหร่ที่ทรายไหลลงมาจนหมดก็จะเหลือแต่ความว่างเปล่า และอย่างที่ฉันเคยบอก...ชีวิตเดียว เวลาของนายใกล้หมดแล้ว”

นั่งนับเวลาตั้งแต่วันแรกที่เขาย้อนกลับมาในร่างนี้แล้ว นับไปนับมา จินดนัยก็พาลไม่อยากจะนับ ไม่อยากยอมรับว่ามันผ่านมานานกว่าที่เขาคิด มากกว่าที่เขาตั้งใจ และเวลาที่เหลืออยู่ก็น้อยจนน่ากลัว น่ากลัวเกินกว่าจะกล้านับถอยหลัง ขณะยังนั่งหน้าเครียดอยู่นั้น คนที่เดินเข้ามาทักยิ่งทำให้ต้องเครียดหนักจนอยากลุกหนีเอาดื้อๆ

“เป็นไง ไม่ได้เจอกันนานนะ ไม่น่าเชื่อว่านายจะยังทนเจ้าเหนือมันได้” บุรุษหนุ่มในชุดสูทสีเทาดำท่าทางภูมิฐานเท้าแขนกับพนักเก้าอี้เพื่อชะโงกหน้ามองเขาใกล้ๆ “แต่ดูท่าว่าจะทนได้อีกไม่นาน โดนเจ้าเหนือแผลงฤทธิ์ใส่อีกสิท่าถึงนั่งหน้าบูดแบบนี้”

นั่งเงียบไม่ตอบ ไม่แม้แต่จะมองหน้าและไม่คิดจะทำหน้าให้ดูดีขึ้นด้วย เมืองเอกถือวิสาสะนั่งลง กล่าวยิ้มๆ “ที่นายไม่ชอบหน้าฉัน เป็นเพราะเรื่องตอนเราเจอกันครั้งแรกหรือแค่...นายว่าขี้ข้าพลอยกันแน่”

“ที่ผมไม่ชอบหน้าคุณเพราะปากคุณเป็นแบบนี้ต่างหากครับ คุณเมืองเอก” เบ้หน้ารังเกียจใส่แล้วเขยิบออกห่าง หากคนหน้าด้านยังกล่าวชวนคล้ายไม่ได้ยิน “หิวจัง ไปกินข้าวกันดีกว่า ฉันเลี้ยงเอง ถือว่าชดเชยให้ครั้งก่อนที่เข้าใจนายผิด อีกอย่าง ฉันไม่ชอบนั่งกินข้าวคนเดียว มันเหงาปาก เอ...หรือว่าต้องรอกินพร้อมเจ้าเหนือเท่านั้น”

ทำเป็นเอาของกินมาล่อ กะว่าจะรอดตัวไปโดยไม่ต้องเอ่ยขอโทษสักคำสิท่า ถ้าเป็นเมื่อวาน เขาคงหัวเราะใส่หน้ากวนๆ ของเมืองเอกไปแล้ว แต่มาวันนี้ หลังนิ่งคิดอยู่อึดใจ จินดนัยกลับเอ่ยรับคำง่ายดาย “ไปสิครับ ผมก็ชักหิวแล้วเหมือนกัน ขี้เกียจรอพี่...คุณเหนือแล้วด้วย”

แววตาที่มองเขาฉายแววสงสัย หากเมืองเอกไม่ได้กล่าวอะไร นอกจากลุกเดินนำหน้า “งั้นรีบหน่อยเถอะ เดี๋ยวเที่ยงแล้วคนจะเยอะ”

ที่ผ่านมา แสงเหนือกับคุณรตีก็พาเขามากินข้าวกลางวันตอนเที่ยงตลอด ห้องอาหารในโรงแรมแม้จะมีลูกค้าเยอะแต่ไม่เคยมีปัญหาเต็มจนต้องรอ จินดนัยนึกสงสัยและเริ่มเอะใจยามร่างสูงแวะถอดเสื้อนอกฝากไว้ที่รีเซพชั่นก่อนเดินนำลิ่วๆ ออกนอกโรงแรม เอี้ยวหน้าหันมายิ้มให้กับสายตาแสดงคำถามของเขาและพามาหยุดที่ร้านก๋วยเตี๋ยวในซอยเล็กๆ ไม่ไกลจากโรงแรมเท่าใด ร้านก๋วยเตี๋ยวซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณตึกสองแถวทรุดโทรมจนน่าแปลกใจว่ามันยังสามารถเบียดแทรกอยู่ได้ท่ามกลางตึกสมัยใหม่สูงลิบลิ่ว น้ำซุปในหม้อใบใหญ่หน้าร้านเดือดปุดส่งกลิ่นหอมหวนจนเขาต้องรีบเดินแซงหน้าคนนำทางไปแย่งสั่งก่อนด้วยซ้ำ “เล็กเนื้อน้ำตกสอง ไม่งอก”

“บ๊ะ ไอ้นี่ มาครั้งแรกดันรู้จักสั่งเมนูแนะนำเสียด้วย” เมืองเอกร้องสั่งแบบเดียวกับเขาแล้วใจดีสั่งน้ำอัดลมเผื่อให้ด้วย รอจนเด็กเสิร์ฟหันหลังตะโกนสั่งต่อลั่นร้านแล้วเมืองเอกจึงค่อยหันมามองหน้าเขา “ทีแรกคิดว่านายจะทำตัวมีปัญหาที่พามากินข้างนอกเสียอีก เห็นเจ้าเหนือเลี้ยงแต่ของกินดีๆ ตลอด”

ผ่านไปแว่บเดียว ก๋วยเตี๋ยวสี่ชามก็หายไปในท้องพวกเขาราวกับแข่งกันเล่นกล แต่ผู้ชายตัวโตดูจะยังไม่อิ่มและสั่งเพิ่มอีก หากพอชามก๋วยเตี๋ยวถูกวางปุ๊บ เมืองเอกก็คีบลูกชิ้นให้เขาปั๊บ “ไม่เอา ผมอิ่มแล้ว”

“กินๆ เข้าไปน่า นายมันแกร็นผอมแห้งหัวโต ต้องบำรุงเยอะๆ น่ะถูกแล้ว” ฝืนใจแต่ไม่มากคีบลูกชิ้นเตรียมเข้าปาก เขาค่อยเห็นกากหมูชิ้นโตลอยในชามอีกฝ่าย “ขอกากหมูด้วยได้ไหม”

“ไม่ได้ นี่ฉันชอบ” ตอบหน้าตาเฉยแล้วยิ้มรับเสียงบ่น “แสดงว่าที่ให้ลูกชิ้นนี่เพราะไม่ค่อยชอบสิท่า โธ่เอ๊ย ไอ้เราก็คิดว่าใจดี”

ตอนนั้นเองที่โทรศัพท์มือถือของเมืองเอกดัง เจ้าตัวกดรับ ฟังปลายสายอยู่ครู่หนึ่งพลางเหลือบมองหน้าเขา “ใช่ อยู่ด้วยกัน กำลังกินก๋วยเตี๋ยวอยู่แถวๆ โรงแรมนี่ล่ะ บอกหมอนั่นว่าเดี๋ยวจะพากลับไปส่ง เออ บอกๆ ไปเถอะน่า แค่นี้นะ”

ครั้นเห็นสายตาเขามองคล้ายเหมือนจะถาม ศัตรูที่อุตส่าห์พาเขามากินก๋วยเตี๋ยวก็เล่าไปพลาง ใช้ตะเกียบสาวเส้นเข้าปากไปพลาง “ดูเหมือนคุณผู้ปกครองจะหงุดหงิดที่หานายไม่เจอ ฟังเสียงรีเซพชั่นดูก็รู้ว่าเจ้าเหนือคงตั้งท่าอาละวาดเต็มที รีบกิน รีบกลับกันดีกว่า ฉันชักสงสารพวกพนักงานที่ต้องรับเคราะห์แทนฉันแล้วสิ”

ขากลับใช้เวลาน้อยกว่าขาไปเพราะคนนำหน้าจ้ำพรวดจนเขาต้องวิ่งตาม กว่าจะกลับมาถึงโรงแรมได้ก็เล่นเอาหยุดหอบเลยทีเดียว แต่ยังไม่ทันนั่งพักให้หายเหนื่อย เขาก็ต้องถลาตามแรงลาก “เจ้าเหนือรออยู่ที่ห้องอาหารญี่ปุ่น ป่านนี้คงกินหัวเด็กเสิร์ฟหมดฟลอร์แล้วมั้ง”

เขาวิ่งตามแรงดึงที่ต้นแขนขึ้นไปยังห้องอาหารดังกล่าวและสวนทางกับพนักงานเสิร์ฟในชุดกิโมโนน่ารักที่กำลังเดินหน้าเสียออกมาจากห้องส่วนตัวด้านในพร้อมเรือจำลองใส่ปลาดิบในมือ พนักงานสาวน้อยเงยหน้าขวับยามได้ยินเมืองเอกถามว่า “คุณรตีกับคุณเหนืออยู่ห้องด้านในใช่ไหม”

“ใช่ค่ะ คุณอั้ม” รับคำเสียงเครือแล้วอธิบายกับเมืองเอกที่ถามถึงอาหารในมือซึ่งมีร่องรอยกินไปเพียงเล็กน้อยว่า “คุณเหนือบอกว่าเหม็นคาว ให้เอาจานใหม่ที่ปลาไม่เหม็นไปเสิร์ฟ นี่จานที่สองแล้วด้วยค่ะ ถ้าจานต่อไป คุณเหนือยังบ่นว่าเหม็นอีก หนูต้องตายแน่”

“ไม่ต้องร้องไห้ เรื่องแค่นี้เอง ไม่ต้องไปเอาจานใหม่หรอก ยกกลับมาทั้งแบบนั้นล่ะ” เมืองเอกเดินต้อนสาวน้อยที่ยังละล้าละลังให้ย้อนกลับไปตามทาง ก่อนจะโผล่หน้านำพวกเขาเข้าไปในห้อง “สวัสดีครับ คุณรตี ขอโทษที่เอามาคืนช้านะ เจ้าเหนือ เอ้า รับรองได้ว่าไม่บุบสลายตรงไหนแน่นอน”

ใบหน้าขึงตึงของคนฟังเงยกระตุกทันทีและเหมือนจะผ่อนคลายลงเล็กน้อยยามคุณรตีรีบสำทับ “เอ้า มาจนได้ เจ้าจิน อยู่ๆ ก็หายไปเล่นเอาฉันกับตาเหนือเป็นห่วงแทบแย่ มากินข้าวเถอะ”

เขาคลานเข่าบนเสื่อไปหาแสงเหนือและเริ่มดูแลอาหารการกินให้ชายหนุ่มต่อจากคุณรตี ระหว่างที่คุณรตีมัวแต่คุยกับเมืองเอก คนนั่งเงียบมานานก็พูดเสียงไม่ดังมากแค่พอให้เขาได้ยิน “หายไปไหนมา แล้วถ้าจะไปข้างนอกทำไมไม่บอกใครไว้”

“พอดีคุณอั้มจะไปกินข้าวข้างนอก ผมหิวเลยขอไปด้วย” คีบปลาดิบลงแตะโชยุแล้ววางให้ “คุณอั้มพาไปกินก๋วยเตี๋ยวใกล้ๆ นี่เอง ลืมคิดว่าจะกลับมาไม่ทัน”

นั่งเท้าคางมองแสงเหนือคีบปลาดิบเจ้าปัญหาเข้าปาก เคี้ยวตุ้ยๆ ได้โดยไม่บ่นเรื่องเหม็นคาวก่อนได้ยินเสียงขรึมเอ่ยต่อหลังกลืนปลาเคราะห์ร้ายโดนกล่าวหาว่าเหม็นลงคอ “ถ้าวันหลังหิว จินไปกินก่อนก็ได้ ไม่ต้องรอพี่กับคุณแม่หรอก แค่บอกเด็กด้านหน้าไว้ก็พอ หรือถ้าเบื่ออาหารโรงแรม อยากกินอย่างอื่นก็บอกพี่ แต่ห้ามไปกินข้าวกับเจ้าอั้มอีกล่ะ”

รับคำส่งๆ แล้วเขาก็หวนนึกถึงแผนการที่วางไว้ เหลียวมองให้แน่ใจว่าคนอื่นยังคุยติดพันไม่มีใครหันมาสนใจพวกเขาแน่จึงค่อยพูดเสียงอ่อย “ผมอยากไปซื้อของบ้างแต่ไม่กล้าไปคนเดียว ถ้าตอนบ่ายว่าง พี่เหนือไปกับผมได้ไหม”

“ได้สิ ทำไมจะไม่ได้ จริงสิ เดี๋ยวชวนคุณแม่ไปเดินช็อปปิ้งด้วยกันเลยดีกว่า” จินดนัยรีบเบรกความคิดดังกล่าว “แต่ผมกลัวท่านจะว่าผมเรื่องมากนี่ ไปกันแค่สองคนไม่ได้เหรอ นะ”

“อืม ที่จริงแม่คงไม่ว่าอะไรเราหรอก แต่ตามใจจินแล้วกัน” เห็นกิริยารีบรับคำตามใจเขาแล้วต้องเมินหน้าหลบ เกลียดตัวเองที่เริ่มใจอ่อน เกลียดตัวเองที่รู้สึกผิด เพราะแสงเหนือเป็นแบบนี้ เขาถึงยังตัดใจฆ่าไม่ลงสักที จินดนัยได้แต่หวังว่าสถานการณ์จะดีขึ้นหลังจากจบวันนี้ แสงเหนือต้องกลับมาทำตัวเลวๆ เหมือนเดิมกับเขาแน่ เพราะแผนของเขานั้นง่ายมาก คือจะต้องทำให้แสงเหนือเกลียดขี้หน้าเขาให้ได้ เพื่ออะไรๆ มันจะได้ง่ายดายขึ้นตามไปด้วย

++++++++++

“เหนือแน่ใจหรือจ๊ะว่าจะไม่ให้ลุงโตอยู่รอ” คุณรตีถามเป็นรอบที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้หลังจากส่งพวกเขาลงที่ศูนย์การค้าขนาดใหญ่ใจกลางเมืองซึ่งมีแต่เด็กวัยรุ่นมาเดินกัน แสงเหนือยังต้องย้ำคำตอบเดิมให้มารดาสบายใจ “ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมกลับแท็กซี่จะสะดวกกว่า จินก็อยู่ทั้งคน แม่ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับ”

ทันทีที่เหลือกันสองคน จินดนัยจึงเริ่มลากแสงเหนือตรงไปยังพื้นที่เป้าหมาย เขาหยิบๆ จับๆ เสื้อผ้ายี่ห้อดังได้สองสามร้าน คำถามที่รอก็มา “พี่ไม่เห็นจินจะซื้ออะไรเลย ไม่ชอบเหรอ”

“ชอบน่ะมันชอบครับ” แอบกลืนน้ำลาย ลังเลหนักจนแทบอยากยกเลิกแผนการ หากท้ายสุด เขาก็กลั้นใจกล่าวว่า “แต่มันแพง ผมเห็นราคาแล้วไม่กล้าซื้อ”

“โธ่ คิดว่าอะไร จินอยากได้อะไรก็เลือกเลย พี่จะซื้อเป็นของขวัญให้เอง ไม่ต้องเกรงใจ” แสงเหนือไม่ซักไซ้รายละเอียดยามเขาจับปลายปากกาจรดลงบนสลิปบัตรเครดิตเพื่อให้ชายหนุ่มเซ็นต์ พนักงานขายเองก็คล้ายจะพยายามบอกยอดสินค้าให้ฟังชัดๆ ซ้ำๆ คงนึกกลัวว่าเขาจะหลอกให้คนตาบอดซื้อของแพงๆ ให้กระมัง แสงเหนือปล่อยให้เขากระหน่ำซื้อทุกร้านโดยไม่บ่นสักคำ กลายเป็นเขาเสียอีกที่ต้องเจอสายตาสงสัยมองมาแทบทุกร้านจนชักเซ็งบทเด็กเลว จึงตัดสินใจเล่นบทชั่วช้าสุดๆ แทนอย่างรวดเร็ว

“พี่เหนือ ผมลืมของไว้ที่ร้านเมื่อกี๊ พี่รออยู่ตรงนี้แป๊บนึงนะ เดี๋ยวผมจะรีบกลับมา” คนที่กำลังจะถูกทิ้งให้ยืนริมฟุตบาธรีบเอ่ย “ให้พี่ไปด้วยไหม”

“ไม่ต้องครับ ขืนพี่ไปด้วยจะยิ่งช้า เดี๋ยวของหายกันพอดี พี่เหนืออย่าเดินไปไหนนะ ขืนกลับมาหาไม่เจอแล้วผมต้องหลงทางกลับบ้านคนเดียวไม่ถูกแน่” หยุดมองหน้าคนชะงักกึกแล้วเขาก็รีบกลับหันหลับออกวิ่งราวกับกลัวว่าถ้ามองนานไปกว่านี้อีกแค่วินาทีเดียว เขาต้องไม่กล้าทำสิ่งนี้เป็นแน่

กระหืดกระหอบวิ่งไปได้สักพัก เดินดูร้านโน้นร้านนี้ได้แค่ไม่นาน จินดนัยก็ร้อนใจจนต้องเดินย้อนกลับมาแอบดูจากอีกฟากถนน แอบหวังว่าแสงเหนือจะหายไปแล้วด้วยซ้ำ ดังนั้นเขาจึงอดสูดหายใจลึกไม่ได้เมื่อยังเห็นร่างสูงนั้นยืนอยู่ที่เดิมที่เขาทิ้งไว้...ริมฟุตบาธและตากแดด

ระหว่างที่ลงนั่งบนขอบปูนใต้เงาไม้ เขาได้เห็นว่าหลายคนที่เดินผ่านไปมาลอบชำเลืองแสงเหนือราวกับตัวประหลาด ระหว่างนั้นก็ยังมีสองสามคนเข้าไปพูดด้วย อาจจะคิดว่าแสงเหนือรอข้ามถนนหรือไงไม่รู้ รู้แต่ชายหนุ่มเพียงส่ายหน้าปฏิเสธและปักหลักยืนรอที่เดิมไม่ผิดอะไรกับสุนัขตัวโตที่เจ้าของสั่งให้คอย

เวลาผ่านไปนานจนค่อนข้างแน่ใจว่าต่อให้เขาไม่กลับไปรับ หมอนั่นก็คงจะยืนรออยู่เช่นนั้นจนถึงเย็นแน่ เขาจึงข้ามถนนกลับไปหยุดยืนมองแสงเหนือจากด้านหลังด้วยความคิดที่จู่ๆ ก็แว้บขึ้นมาในหัว ขอแค่กะจังหวะดีๆ แล้วผลักเต็มแรง เขาก็จะ...

“คอยนานไหมครับ” มันไม่ใช่คำขอโทษหรือแม้แต่จะแสดงความเสียใจ เขาพูดไปเพราะแค่ไม่รู้จะพูดอะไรเท่านั้น

“หายไปไหนมาตั้งนาน!” เสียงตวาดไม่ผิดจากที่คาด แต่สิ่งที่คาดไม่ถึงคือประโยคถัดมาที่ชายหนุ่มดุเสียงอ่อน “...รู้ไหมว่าพี่เป็นห่วง”

คนตาบอดมาห่วงคนตาดี ตลกตายล่ะเขาเกือบจะพูดอย่างที่คิดอยู่แล้วถ้าจะไม่เห็นความเป็นห่วงจริงจังบนใบหน้าขาวที่บัดนี้แดงก่ำจากการยืนตากแดดและมีเหงื่อเม็ดเป้งเกาะอยู่ตามไรผม พอเห็นดังนั้นแล้วก็พูดอะไรไม่ถูกนอกจากยืนเงียบ

แสงเหนือถอนหายใจยาวเมื่อไม่ได้รับคำอธิบายใดๆ และไม่เซ้าซี้ต่อ หากเปลี่ยนไปถามเรื่องอื่นแทน “แล้วเจอของที่ลืมไว้ไหม ถ้าไม่เจอ พี่พาเราไปซื้อใหม่ก็ได้”

“ไม่เอาแล้ว เหนื่อย ผมอยากกลับบ้าน” คร้านจะนั่งค้นหาคำตอบว่าที่ร่างกายเริ่มเปลี้ยไม่มีแรงในตอนนี้เป็นเพราะอะไร เขารีบจับแขนแสงเหนือไว้และเงยหน้าหาแท็กซี่ขณะคนข้างตัวจับมือข้างนั้นของเขาไว้พร้อมขมวดคิ้วมุ่น “จินมือเย็นจัง เหนื่อยมากเลยเหรอ”

“ไม่เป็นไรครับ แค่เพลียๆ อยากนอน” ดันแสงเหนือให้เข้าไปนั่งบนเบาะหลังแท็กซี่ที่จอดตรงหน้า และเมื่อแสงเหนือไม่มีทีท่าว่าจะยอมปล่อยมือ เขาจึงต้องมุดตามไปนั่งข้างๆ อย่างขี้เกียจจะต่อปากต่อคำ จากแดดร้อนๆ มาเจอแอร์เย็นๆ แล้วเขาก็เริ่มหนาวๆ ร้อนๆ จนต้องหลับตา ทิ้งหัวกับเบาะเพื่อลดอาการหน้ามืดและไม่ขัดขืนเมื่อมือใหญ่ควานมาหาหัวเขาจนเจอ ก่อนจะลากให้ซบลงกับบ่ากว้าง

“ตัวรุมๆ เหมือนจะมีไข้เลย ยังไงจินนอนพักก่อน ไว้ถึงบ้านแล้วพี่จะปลุกนะครับ” จินดนัยเริ่มยอมรับ...สิ่งที่ไม่เคยยอมรับมาตลอด สิ่งที่เทวดาพูดนั้นถูกต้องแล้ว เขาใจอ่อนกับแสงเหนือ หวั่นไหวแค่ยามได้ยินเสียง...ไม่ว่าจะตวาดกราดเกรี้ยวหรือเอ่ยปลอบอย่างอ่อนโยน ใบหน้าขาวของคนตัวสูง...ไม่ว่าจะบูดบึ้งหรือแย้มยิ้มยินดีล้วนส่งผลให้เขาโอนเอนราวกับต้องลม เขาผิดมาตั้งแต่แรกที่คิดจะใช้ความใกล้ชิดดำเนินแผนการ ผิดตั้งแต่คิดย้อนกลับมาเพื่อฝืนดวงชะตา ทั้งที่ชีวิตเขามันควรจะจบไปนานแล้วแต่เขากลับมายืนอยู่ที่นี่ เหตุใดคนที่น่าจะตายไปแล้วกลับยังมานั่งอยู่ตรงนี้ เทวดาท้าพนันกับเขาเพื่อให้ได้อะไร โลกไม่ได้แตกยามเขาตายและแทบไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงเลยด้วยซ้ำยามเขากลับมา

ในสมองปวดหนึบกับคำถามร้อยพันที่ไร้คำตอบ จะมีก็แต่ไออุ่นจากคนข้างกายที่ช่วยกล่อมให้เขาผล็อยหลับลงไปได้ในที่สุด



+++++++++++++++++++++++++++++++

TBC

:o8: :o8: :o8:

three

  • บุคคลทั่วไป
ใจอ่อนแล้วสิพ่อจิน :m12:

ja ne

  • บุคคลทั่วไป
อ่านทันแย้ว เย้ๆๆๆๆ :oni2:ดีใจกระจาย

เป็นอีกเรื่องที่ชอบจัง

ออฟไลน์ pongsj

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-9
เดี่ยว....ในที่สุดก็ใจอ่อนนนนนนนนนนนแน่ๆ

แล้วแบบนี้เทวดานั้น จะเล่นตลกอะไรอีกละเนี่ย

ออฟไลน์ both^^

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +730/-4
จินนนนนนนนน  อย่าทำเลย

สงสารอ่ะ

mhewkowron

  • บุคคลทั่วไป
อ่า ตอนจบคงจะเศร้าแน่ๆ  :o12:

ifwedo

  • บุคคลทั่วไป
เมืองเอกมีแผนอะไรรึเปล่านี่

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






JoJo

  • บุคคลทั่วไป
เริ่มเศร้าแล้ว ทำไงดี ไม่อยากให้ตายทั้งจินทั้งแสงเหนือ  :serius2:

crazykung

  • บุคคลทั่วไป
เศ้ราอะ ปล่อยให้ ยืนรอกลางแดด


นี่ถ้าทิ้งกาน คงร้องไห้เลยอ้า


เหมือนจินจะตายย - -+ยังไงกะไม่รู้ อ่อนแอ เหลือเกินอะน กลัวจัง o7 o7

ja ne

  • บุคคลทั่วไป
จินใจร้ายเหมือนกันนะนั่น ปล่อยให้พี่เค้ายืนตากแดดตั้งนาน
แต่ว่าเรื่องนี้มันต้องมีการสูญเสียจริงๆ ใช่มั๊ยนั่น
โธ่ อะไรจะเศร้าซ้ำซ้อนขนาดน๊านนนนนน o7


เทวดาซานตา ตัวชงเรื่องน่ะ ร๊ายสุดๆๆ ชิส์ :o

yayoy

  • บุคคลทั่วไป
~ ด้วยรักจากสวรรค์ 10 – คำสัญญาข้างเดียว ~

ท่ามกลางสายตาพร่ามัวและความร้อนจนน่าอึดอัด จินดนัยสัมผัสถึงมือใครบางคนที่ลูบหน้าเขาเบาๆ ความอบอุ่นนั้นคุ้นเคยและอ่อนโยนจนเขาต้องยกมือไขว่คว้าไว้ยามมือนั้นละไป “แม่...แม่ครับ”

“ไม่เป็นไรแล้วนะ อีกไม่นานจินก็จะหาย ไม่เป็นไรนะ” เสียงผู้ชาย... เจ้าของมือนี้ไม่ใช่แม่ ความคิดชักตื้อตันจนหลุดปากเรียก “พ่อเหรอ”

ถ้าฟังไม่ผิด คล้ายจะได้ยินเสียงจิ๊จ๊ะขัดใจก่อนเสียงเดิมจะบ่นพึม “พี่ต่างหาก สอนเท่าไหร่ก็ไม่จำ...”

พี่ที่ไหนวะ ถึงจะจำได้ว่ามีน้องชายคนละแม่อายุห่างกันไม่กี่ปี แต่เขาไม่เคยมีพี่ แล้วพี่อะไรนี่จะงอกมาจากไหนแบบไม่รู้ตัว ทว่ามือใหญ่นั้นก็อบอุ่นดี เขาเลยคร้านจะถามต่อและซุกหน้าลงกับหมอนพร้อมกุมมือนั้นไว้แน่นเพื่อเป็นกำลังใจในการจมลึกสู่โลกแห่งความฝันต่อไป

เวลาผ่านไปนานแค่ไหนไม่รู้ จินดนัยจึงค่อยลืมตามาพบว่ากำลังนอนอยู่บนที่นอนของตัวเองในห้องแสงเหนือ แสงแดดอ่อนจากภายนอกบอกให้รู้ว่าเพิ่งเป็นเวลาเช้าตรู่ เมื่อเขาพยายามพยุงตัวขึ้นนั่งก็พลันนึกปวดระบมตามเนื้อตัวทุกส่วนจนต้องทิ้งตัวลงนอนเอาแรงอีกสักพัก แล้วค่อยๆ เท้าแขนดันตัวขึ้นจนสำเร็จ

เขามองไปรอบๆ ห้องอย่างเบลอๆ และเริ่มงงเมื่อสายตาเพิ่งจะเห็นก้อนอะไรบางอย่างกองอยู่ข้างๆ ที่นอน เกาหัวแกรกแล้วก็ยังนึกไม่ออกว่ามันก้อนอะไร ใครเอามากอง “อะไรเนี่ย”

แหวกๆ ก้อนผ้าแล้วเขาค่อยเจอผู้ชายตัวโตนอนขดอย่างน่าปวดหลังอยู่ข้างใต้ “พี่เหนือ...มานอนอะไรตรงนี้ นู่น กลับไปนอนบนเตียงไป๊” ดันๆ คนหลับไม่ยอมตื่นอยู่พักใหญ่กว่าที่เสียงอืออาจะเอ่ยงัวเงีย “อือ จิน หายแล้วเหรอ ยังปวดหัวไหม ตัวยังร้อน...”

ถามเขาแต่ไม่ยักรอเอาคำตอบ เขาเห็นอยู่กับสองตาว่าแสงเหนือหลับต่อทั้งที่ยังถามไม่เสร็จดีด้วยซ้ำ “บอกให้ขึ้นไปนอนบนเตียง นอนตรงนี้เดี๋ยวก็ปวดหลังหรอก” พยายามงัดร่างขดม้วนให้ลุกขึ้น แต่แค่จับคนตัวสูงพลิกตะแคง เขากลับโดนคว้าลงไปกอดซุกไว้ทั้งตัว เท่านั้นไม่พอ แสงเหนือยังกดจูบลงบนผมเขาแล้วเอ่ยเสียงคล้ายละเมอ “จุ๊ๆ นอนต่อนะ เด็กดี พี่อยู่นี่แล้ว ไม่เป็นไร”

พูดอะไรบ้าๆ คนเขามีพ่อมีแม่นะจะมาทำเนียนนัวเนียนอนกอดดื้อๆ แบบนี้ได้ไง “ปล่อย พี่เหนือ ปล๊อยยย!!”

ดิ้นขลุกขลักติดอยู่ในอกกว้างได้แค่ไม่เท่าไหร่ เขาก็หมดแรงนอนหอบ อีกฝ่ายดูจะพอใจที่เขายอมนอนอย่างสงบจึงกระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้นอีกนิดแล้วก็...หลับสนิท จินดนัยนอนฟังเสียงหายใจลึกยาวได้สักพักจึงเริ่มแพ้ความอบอุ่นชวนง่วงงุนติดหมัด เขายอมนอนต่อพร้อมคาดโทษคนตรงหน้าไว้ในใจว่าตื่นเมื่อไหร่ต้องชำระความให้กระจ่าง

หากกว่าเขาจะรู้สึกตัวอีกทีกลับเป็นตอนสายเมื่อสาวใช้ที่ชื่อพี่ดวงเข้ามาสะกิดเรียกเบาๆ “จิน ตื่นมากินข้าวแล้วจะได้กินยา” สะโหลสะเหลลุกขึ้นมานั่งหัวฟู พบว่าเหลือแค่เขานอนอยู่คนเดียวแล้วก็ต้องส่ายจมูกฟุดฟิดหาที่มาของกลิ่นหอมๆ “ส่ายจมูกเป็นไอ้ริชชี่เชียว เอ้า กินข้าวซะ”

ระหว่างที่เขานั่งกินข้าวต้มอยู่กับพื้น พี่ดวงซึ่งจัดการจัดเก็บที่นอนบนเตียงและเช็ดถูทำความสะอาดห้องไปพลางก็เอ่ยคุยกับเขาไปพลาง “ที่จริงฉันกะจะขึ้นมาดูแกนานแล้วล่ะ แต่คุณเหนือสั่งว่าให้แกนอนพักเต็มที่ ไม่ต้องปลุก จนคุณนายท่านต้องแย้งว่าแกยังไม่ได้กินยาเลยนี่ล่ะ คุณเหนือถึงยอม”

จินดนัยลุกขึ้นบิดเนื้อตัวไล่ความเมื่อยขบแล้วเดินหน้าเปื่อยเข้าห้องน้ำล้างหน้า “ผมจำได้ลางๆ ว่าเมื่อวานไข้ขึ้นตอนกลับมาถึงบ้านแต่หลังจากนั้นมันเบลอ...” คุ้นๆ ว่าเหมือนฝันเห็นพ่อ แต่ถ้าคิดถึงอีกที เขาควรจะฝันถึงแม่มากกว่านี่หว่า สงสัยจะเลอะเลือน

“งั้นแกคงจำไม่ได้สิว่าแกนั่งกอดเสาร้องไห้เพราะไม่ยอมหาหมอ พอตอนหลังลุงโตจะมาลากแกไปให้ได้ แกก็ดันโผไปเกาะขาคุณเหนือแทน แถมร้องห่มร้องไห้จนคุณเหนือใจอ่อน บอกให้รอดูอาการแกก่อนสักคืน ถ้าไม่ดีขึ้นแล้วค่อยจับมัดไปวันนี้แทน” คำบอกเล่าเรื่อยๆ ทำเอาจินดนัยสำลักยาสีฟันที่แปรงอยู่ ไม่จริง! อย่างเขาเนี่ยนะจะไปเกาะขาศัตรูร้องขอความเมตตาให้ไว้ชีวิต มันเป็นไปไม่ได้! “ที่สำคัญคือพอลุงโตจะอุ้มแกกลับไปนอนห้องเก่า คุณเหนือก็ค้านอีก บอกว่าให้แกนอนที่นี่น่ะดีแล้ว คุณรตีเห็นแล้วยังส่ายหน้าเลย คิดดูสิ ฉันได้ยินคุณรตีบ่นพึมเลยตอนมายืนดูฉันเช็ดตัวให้แกเมื่อวาน ท่านหาว่า...คุณเหนือน่ะทั้งรักทั้งหลงน้อง ยอมตามใจจนเสียเด็ก”

คราวนี้พ่นน้ำที่กำลังบ้วนปากอยู่ออกมาเต็มกระจกเงา ฝ่ายเจ้าของคำพูดกระแทกใจเมื่อได้ยินเสียงเขาพ่นน้ำก็วิ่งมาดูแล้วร้องลั่น “ต๊าย ไอ้จิน แกทำอะไรของแก สกปรกชะมัด กระจกก็เปื้อนหมดเลย ดูสิ! รีบๆ เช็ดเลยแก ตัวเองไม่สบายไม่พอดันหางานเพิ่มให้ฉันอีก”

“ขอ...ขอโทษ” กุลีกุจอรีบคว้าผ้ามาเช็ดแต่ยังไม่ทันลงมือทำความสะอาด เสียงตวาดแบบที่ไม่ได้ยินมานานของแสงเหนือก็ทำเอาทั้งเขาทั้งพี่ดวงสะดุ้งโหยง “ใครอนุญาตให้เธอเรียกจินว่าไอ้! แล้วฉันสั่งให้เธอมาดูแลจิน ไม่ใช่มาใช้ให้เขาทำงาน หรือถ้าคิดว่างานแค่นี้มันหนักเกินไป ก็เชิญออกไปหางานบ้านอื่นทำซะ”

“เดี๋ยว เดี๋ยวก่อน พี่เหนือ” ยังเรียบเรียงคำไม่ถูก สาวใช้ที่ตกใจหน้าซีดก็ร้องไห้โฮอย่างเสียขวัญ จนเขาต้องรีบปลอบ “พี่ดวงไม่ต้องร้อง พี่เหนือแค่พูดเล่น ใครจะบ้า...”

“พี่ไม่ได้บ้าแล้วก็ไม่ได้พูดเล่น รีบๆ ลงไปเก็บข้าวของแล้วออกไปให้พ้นบ้านฉันภายในเย็นนี้เลย ได้ยินไหม!” นาทีนี้ ไม่สนแล้วว่าใครจะบ่าว ใครจะนาย จินดนัยแหกปากลั่น “พี่เหนือ หยุดนะ! พี่ดวงไปรอข้างล่างก่อน อ๊ะ แต่ไม่ต้องเก็บของนะ”

รอจนพี่ดวงวิ่งตัวลีบตาแดงออกไปแล้วเขาจึงรีบก้าวประชิดคนตัวสูงที่ยืนจังก้าอยู่ตรงหน้าห้องทันที “มาทางไหนกลับไปทางนั้นเลยพี่เหนือ! พี่จะมาไล่ใครต่อใครออกเพราะเรื่องไร้สาระแบบนี้ได้ไง"

“แต่มันไม่ถูก พี่จะยอมให้ใครขึ้นไอ้ขึ้นอีกับจินได้ยังไง พี่...” เขาเลิกคิดมานานแล้วว่าแสงเหนือบ้า ทว่าคำว่าบ้าดูจะไม่พอสำหรับสถานการณ์นี้เสียแล้ว “ไม่เข้าใจเหรอครับว่าบางทีการเรียกไอ้ไม่ได้หยาบคาย มันเป็นการเรียกเพื่อ...แสดงความเอ็นดู อย่างลุงโตก็เรียกผมไอ้จิน แต่ลุงแค่นึกเอ็นดู ไม่ได้เรียกแบบจะจิกหัวเสียเมื่อไหร่”

“แต่...” เขาถอนหายใจยาว มองแสงเหนืออย่างนึกเซ็งเล็กน้อย “อย่าทำตัวเป็นคุณชายไปหน่อยเลยน่า พี่เหนือ คิดหยุมหยิมคิดจุ๊กคิดจิ๊กเหมือนพวกผู้หญิงไปได้”

เห็นอยู่กับตาว่าคนหน้าขาวเริ่มกลายเป็นคนหน้าบูดแล้วสะบัดพรืดจนกลัวคอจะเคล็ดแทน จินดนัยจึงถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง “พี่เหนือเข้าใจแล้วใช่ไหมครับ”

“...” นิ่งเงียบเสียจนเขาคิดว่าคงไม่ได้รับคำตอบ หากท้ายสุดหลังคาดคั้นกัดไม่ปล่อยจนน้ำลายยืด แสงเหนือจึงยอมรับคำเรียบๆ “เข้าใจ”

มองอาการรับคำหน้านิ่งแล้วเขาต้องกล่าวย้ำ รีบดักคอ “เข้าใจ... เข้าใจแล้วสัญญาได้ไหมว่าจะไม่อาละวาดถ้ามีใครเรียกผมแบบนั้นอีก”

“...” เงียบเป็นครั้งที่สองแถมทำท่าคอแข็งเข้าใส่จนจินดนัยรู้ว่ากำลังรอเก้อแน่นอน หากยังไม่ทันอ้าปาก แสงเหนือกลับเอ่ยสิ่งที่ทำให้เขาต้องอึ้งแทน “พี่ไม่รับปากสิ่งที่ทำไม่ได้หรอก พี่จะสัญญา...แค่สิ่งที่คิดจะทำและต้องทำให้ได้เท่านั้น”

“พี่เหนือ” จินดนัยแตะมือที่กุมไม้เท้าแล้วบีบเบา มืออุ่นข้างนั้นบีบตอบพร้อมขานรับอ่อนโยน “ครับ”
“อย่าดีกับผมนักเลย ผม...ไม่ใช่คนดีอย่างที่พี่คิดหรอก” เขาห้ามตัวเองไม่ได้ ดังนั้นจึงหวังว่าเขาจะห้ามแสงเหนือได้ “ผมทำเพราะเป็นหน้าที่ คุณรตีจ่ายเงินเดือนให้ผม จ้างผมให้ดูแลพี่ ถ้าไม่ใช่เพราะเงิน เพราะผมไม่มีที่ไป ถ้าพี่เหนือไม่ได้ตาบอด ถ้า...ไม่มีอุบัติเหตุนั่น ผมก็คงไม่มาอยู่ตรงนี้”

ใช่ ถ้าเขาไม่ได้ตายในอุบัติเหตุครั้งนั้น พวกเขาสองคนคงไม่มีวันได้มาอยู่ใกล้ชิดกันเช่นทุกวันนี้หรอก ไม่มีทาง จินดนัยเกลียดแสงเหนือมาตลอด เช่นเดียวกับที่แสงเหนือก็ชังน้ำหน้าเขาตั้งแต่เจอหน้ากันครั้งแรก ชีวิตพวกเขาเป็นคู่ขนานกันมาตั้งแต่ต้นและน่าจะเป็นตลอดไป เพราะนอกเหนือจากการเห็นเขาเป็นศัตรูแล้ว แสงเหนือไม่เคย...เห็นคนอย่างเขาอยู่ในสายตา

“แล้วไง” ชายหนุ่มย้อนถามง่ายดายพร้อมรอยยิ้ม “แต่พี่ไม่ได้รัก... ไม่ได้เอ็นดูเราตามหน้าที่สักหน่อย พี่อาจต้องเสียดวงตาไปแต่ได้หัวใจมาแทน มันก็คุ้มค่าแล้วไม่ใช่เหรอ และไม่ว่าจินจะมาอยู่ตรงนี้ด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม พี่ก็ยังดีใจนะที่ได้เจอเรา...ในที่สุด”

ก้อนแข็งที่จุกในลำคอกับดวงตาร้อนผ่าวทำให้เขาตอบไม่ได้ อากาศที่สูดลึกลงอกดูจะอัดแน่นจนปวดร้าว ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังดีใจหรือเสียใจ เขาไม่อยากให้เป็นแบบนี้แต่ในขณะเดียวกันกลับปรารถนามันเหลือเกิน แต่สิ่งสำคัญที่สุดในขณะนี้คือเขารู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ อย่างที่แสงเหนือพูดนั่นล่ะ ...ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร เขาก็รักแสงเหนือไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นจินหรือจินดนัย ไม่ว่าจะในฐานะพี่ชายหรือคนรัก “ผมดีใจนะที่มีพี่ชายอย่างพี่”

คนซึ่งถูกเขาเรียกย้ำว่าพี่ชายชะงัก สีหน้าแว่บหนึ่งที่เห็นคือความผิดหวังและตัดพ้อกับความใจร้ายของเขา หากหลังจากทำท่าอยากพูดอะไรอยู่นาน แสงเหนือก็เลือกที่จะยิ้มให้ แม้ว่าจะเป็นรอยยิ้มซึ่งดูเศร้าสร้อยจนน่าใจหายก็ตาม “ครับ ไม่เป็นไร”

แสงเหนือยกมือเขาขึ้นแตะแนบแก้มสากด้วยไรหนวดเขียว พึมพำเสียงแหบพร่า “แค่วันนี้ยังมีจิน...พี่ก็ไม่ต้องการอะไรแล้ว”

ดวงตาเขาร้อนผะผ่าวและเปียกชื้นขณะปล่อยให้มือเย็นเฉียบของตนอิงไออุ่นจากสัมผัสนั้นเนิ่นนาน ...แม้จะรักไม่ได้ ฆ่าก็ไม่ลง แต่เขาน่าจะมีสิทธิ์อยู่ตรงนี้เงียบๆ ระหว่างตัดสินใจและทำใจนี่ “ใครโกนหนวดให้พี่เหนือ ...ฝีมือไม่ได้เรื่องเลย แถมมีแผลโดนบาดด้วยนี่”

คราวนี้รอยยิ้มเขินๆ ของคนตัวสูงทำให้เขายิ้มได้บ้าง “โกนเองน่ะสิจะมีใครโกนให้ ขอโทษนะครับที่ฝีมือไม่ได้เรื่อง พี่หาที่โกนหนวดไฟฟ้าไม่เจอก็เลยขี้เกียจเรียกคนอื่น พวกนั้นถ้าไม่มือหนักเกินก็กลัวทำมีดบาดพี่ ยุ่งยากนักเลยโกนเอง ทำไม กลัวพี่ไม่หล่อเหรอ โอ๊ย แค่นี้ก็หล่อจนไม่รู้จะทำไงอยู่แล้ว” ว่าแล้วก็แกล้งดึงมือเขาให้ถูกับตอแข็งๆ ของหนวดเขียวๆ หัวเราะลั่นยามเขาพยายามดึงมือบิดหนี ก่อนชายหนุ่มจะโอบเขาเข้าไปกอดทั้งตัว กดหัวเขาไว้กับอกและพูดเบาๆ

“จินไม่ต้องคิดมาก ไม่ต้องรู้สึกผิด เพราะพี่ไม่เคยเสียใจ จำไว้นะครับ” แสงเหนือจะไม่เสียใจจริงๆ เหรอถ้ารู้ว่าที่จริงเขาเป็นใครและเข้ามาใกล้ชิดด้วยจุดประสงค์อะไร ตอนนี้ที่อีกฝ่ายพูดได้เต็มปากเพราะยังไม่รู้เท่านั้นเอง

++++++++++


yayoy

  • บุคคลทั่วไป
ตอนนี้ยาวจัง..ต่อคร๊าบบบบ :m13:



หลังจากประตูห้องประชุมปิดลง จินดนัยหาที่นั่งรอพร้อมหนังสือการ์ตูนเล่มใหม่ในมือบริเวณหน้าห้อง หากนั่งอ่านไปได้สักพักก็ต้องลดหนังสือลงเพราะขาดสมาธิ สถานที่รอบด้านมีแต่ความเคร่งเครียดเป็นการเป็นงานจะอ่านการ์ตูนได้ยังไง เขาจึงเดินเลี่ยงออกมาหามุมเงียบๆ บริเวณชั้นล่างแทนพลางครุ่นคิดถึงเรื่องกวนใจในระยะนี้

เขาไม่ปฏิเสธว่าดีใจที่เห็นแสงเหนือเริ่มศึกษางานด้านโรงแรมอย่างจริงจัง ชายหนุ่มกับมารดามาที่โรงแรมนี่อาทิตย์ละสี่ห้าวันซึ่งนับว่าบ่อยมากเมื่อเทียบกับสมัยก่อนที่เขาจะเข้ามาทำงานด้วย นอกจากนี้ไม่ว่าจะโรงพยาบาลหรือยาบำรุงอะไร แสงเหนือก็ยอมไปยอมกินแต่โดยดีไม่มีอิดออด จะเรียกว่าเป็นเด็กดีก็ใช่ หรือจะมองว่าเริ่มเป็นผู้เป็นคนก็ถูก คุณรตีดีใจจนยิ้มร่าหน้าบาน ทุกคนมีความสุข แทบทุกเรื่องราบรื่นไม่มีปัญหา ...ที่ต้องใช้คำว่าแทบเพราะเขาคนหนึ่งล่ะ ที่เริ่มมีปัญหาเสียแล้ว

แสงเหนือมีเวลาให้เขาน้อยลง อยู่กับเขาน้อยลง และเมื่อถึงเวลาได้อยู่ด้วยกันสองคน ถึงจะทำท่าฟังเขาเหมือนปกติแต่ในใจคงคิดไปเรื่องอื่น พอเขาเริ่มคาดคั้นก็โดนหาว่าคิดมากและสั่งให้เขาเลิกคิดไร้สาระ

ถ้านั่นยังมีลับลมคมใน กวนหัวจิตหัวใจกันไม่พอ เขายังมีอีกเรื่องที่เริ่มหงุดหงิดมากขึ้นทุกขณะ ซึ่งจะเป็นเรื่องอื่นใดไปไม่ได้นอกจากไอ้ท่าทางวางตัวเป็นพี่ชายแสนดีจอมปลอมของแสงเหนือนั่นล่ะ ว่าแล้วว่าที่เคยบอกไม่เป็นไร ไม่เสียใจนั่นโกหกทั้งเพ คนบอกว่าไม่เป็นไรแต่กลับเริ่มทิ้งระยะห่าง ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาเริ่มห่างเหินเหมือนกลับไปตอนเขาเพิ่งเข้าทำงานใหม่ๆ ไม่มีผิด จะให้เรียกพี่ชายน้องชายกันอีกทำไมในเมื่อฝ่ายนั้นต่างหากที่ทำตัวเป็นเจ้านายไม่ตีสนิทกับคนรับใช้อย่างเขา คงไม่น่าแปลกใจสักนิดถ้าวันหนึ่งแสงเหนือจะสั่งให้เขากลับไปเรียกว่าคุณเหนือเหมือนเดิม

...ก็ดี ทำตัวห่างๆ กันบ้างแบบนี้ก็เข้าท่าดี ว่าแต่ทำไมการ์ตูนเล่มนี้ไม่ตลกเลยเนี่ย เข้าข่ายต้มตุ๋นหลอกลวงผู้บริโภคนี่หว่า... เขาพลิกๆ ผ่านๆ การ์ตูนเรื่องโปรดซึ่งตามอ่านมาตั้งแต่ก่อนตายด้วยท่าทางเซ็งสุดขีด ก่อนเริ่มเลื้อยลงตามความนุ่มนิ่มของเก้าอี้ หากยังไม่ทันจะได้เคลิ้มก็ได้ยินเสียงพูดคุยจุ๊กจิ๊กน่ารำคาญดังเข้าหู “หมายความว่าไง ทำไมประชุมวันนี้เขาไม่ให้คุณพี่เข้าฟัง คุณพี่เป็นถึงหลานของคุณเตโช เป็นผู้ช่วยผู้จัดการแผนกบัญชีแต่กลับไม่เรียกเข้าประชุมแบบนี้ใช้ได้ที่ไหน”

“ก็จะอะไร คุณชายเขาไม่ชอบหน้าพี่เลยทำเมินมองข้ามหัวเหมือนพี่เป็นหัวหลักหัวตอน่ะสิ พะเน้าพะนอกันเข้าไป” เสียงผู้ชายตอบกลับด้วยอาการฉุนเฉียวพอกับเสียงแรก “พวกมันพอกันทั้งพี่ทั้งน้อง คนพี่ก็กวนตีน คนน้องก็ทำเป็นพี่ไม่อยู่ในสายตา อ๊ะ แต่จะว่าไป พี่ก็คงไม่อยู่ในสายตาคุณชายแสงเหนือตาบอดจริงๆ นั่นล่ะ ฮ่าๆ”

จินดนัยฟังไปพลาง นอนขมวดคิ้วเคาะนิ้วกับโซฟาไปพลาง ...ไอ้หมอนี่กับยัยผู้หญิงนั่น ถ้าไม่โง่มากๆ ก็คงง่าวสุดๆ คิดยังไงถึงได้มานั่งนินทาเจ้านายกลางวันแสกๆ ต่อให้บริเวณนี้จะเป็นที่ลับหูลับตา และถึงจะมีใครผ่านไปมาก็มักจะมีแต่แขกของโรงแรมมากกว่าพนักงานก็เถอะ แต่อย่างที่โบราณท่านว่าไว้ กำแพงมีหู ประตูมีช่อง แล้วนี่บนโซฟามีเขาแบบไม่ได้มาแค่หูหรือแอบอยู่ในช่องหากนอนอยู่ทั้งตัว ไม่ไหวๆ โง่วจนรับไม่ได้

หากยังไม่ทันที่เขาจะลุกเผยตัว เสียงแหลมก็เอ่ยต่อข้อความที่ทำเอาสะดุดกึก “น้องกลัวแค่ว่าเขาจะเริ่มสงสัยคุณพี่หรือเปล่าน่ะสิถึงไม่ได้เรียกเข้าประชุม เพราะครั้งล่าสุดนี่เรา...”

“ชี่ย์... อย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้” อีกฝ่ายคงเริ่มฉลาดและรีบปราม “ที่นี่ไม่ปลอดภัย กำแพงมีหู หนูมีปีก เกิดใครมาได้ยินเข้าเราจะแย่”

จินดนัยเกือบหลุดหัวเราะก๊ากกับคำพังเพยเด็กแนวที่คนโบราณมาได้ยินคงต้องกัดลิ้นตาย ทว่าเริ่มขำไม่ออกเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้ที่ที่เขานอนซุกอยู่นี่ “กลับไปก่อนเถอะ พี่เองก็ว่าจะกลับไปนั่งรอพบคุณรตีเสียหน่อยก่อนจะโดนไอ้คุณชายนั่นเป่าหูใส่จนซวยไปหมด หนอย ตัวมันก็แค่คุณหนูเรียนไม่จบแถมตาบอดแต่ดันเก๊กท่าเป็นคนใหญ่คนโต เห็นแล้วหมั่นไส้นัก”

น่าแปลกใจ เส้นเลือดบนขมับเริ่มปูดอย่างไม่รู้สาเหตุ แสงเหนือเป็นคนฆ่าเขา ฉะนั้นเขามีสิทธิ์ด่าแสงเหนือได้คนเดียว “พี่ชัชคะ อย่าใจร้อนเลยค่ะ เราต้องอดทนไปก่อน รอไปสักพักกว่าพวกมันจะรู้ตัวก็...”

กว่าคุณพี่กับคุณน้องจะเดินจากไป จินดนัยก็ลงไปคุดคู้หมอบซุกอยู่หลังโซฟาจนเมื่อยขบ ไม่ต้องเหลืออะไรให้สงสัยอีกแล้ว คุณพี่ซึ่งนินทาเจ้านายระยะเผาขนคือคุณชัช ชายอ้วนที่ชอบแต่งชุดสูทเล็กไปสองเบอร์ เขาเคยคิดว่าหมอนี่ลูกกะตาหลุกหลิกน่าสงสัย ไม่คิดว่าจะกล้าโกงบริษัทจริงๆ แถมเมื่อกี๊ คุณน้องช้างพังยังว่าฝ่ายนั้นเป็นถึงหลานคุณเตโช พ่อของแสงเหนืออีก นี่มิเท่ากับว่าโกงญาติพี่น้องกันเองหรอกหรือ

แว่บแรกที่เขาคิดจะทำคือวิ่งไปบอกแสงเหนือ แต่วิ่งไปได้แค่สองสามก้าวก็ต้องชะงัก เขาจะเอาอะไรไปบอกล่ะ ขืนบอกแค่มีคนคิดจะโกงดูจะน้ำหนักเบาหวิว โกงยังไงไม่รู้ หลักฐานอะไรก็ไม่มี ทางนั้นเขาเป็นถึงญาติฝ่ายพ่อ เขาเสียอีกที่ไม่ใช่ญาติโกโหติกาด้วยสักนิด หรือต่อให้คุณชัชโกงจริง แต่ในฐานะเครือญาติกัน เกิดแสงเหนือกับคุณรตีไม่ติดใจเอาความ เขาเองนั่นล่ะที่จะซวย


หากจะให้นิ่งเงียบเหมือนไม่ได้ยินอะไรเลยก็ทำไม่ได้ วิ่งวนเป็นหนูถีบจักรได้สักพัก จินดนัยจึงค่อยคิดหาทางออกได้ คราวนี้เขาเริ่มวิ่งตึงตังไปทั่ว จนเหงื่อเริ่มแตกนั่นล่ะ ในที่สุดจึงพบคนที่ตามหาในชุดสูทสีเข้มกำลังชะโงกหน้าหยอกล้อกับพนักงานต้อนรับที่แผนกสปาอย่างมีความสุข

ชายหนุ่มผู้กำลังหยอดยิ้มหวานเผลอสะดุ้งโหยงยามได้ยินเสียงตะโกนเรียกชื่อลากยาวเฟื้อยมาแต่ไกลและเป็นเสียงประเภทที่แค่ฟังดูก็รู้ว่าไม่ใช่เรื่องดี “คุณอ้ามมมม!!” ก่อนจะทันรู้ตัว ขายาวๆ ตั้งท่าจะหาทางหนีทีไล่แต่ติดตรงที่ชายเสื้อสูทถูกตะครุบไว้หมับจนแทบหน้าหงาย

“เฮ้ย! ดึงทำไม เดี๋ยวขาดหมด” จินดนัยไม่เพียงไม่ปล่อย หากยังยึดไว้แน่นกว่าเดิมจนขยุ้มไว้เต็มสองมือ “ปล่อย ปล่อยโว้ย กำแน่นขนาดนั้นยับกันพอดี”

“แล้วคุณอั้มจะวิ่งหนีทำไมเล่า” เขาขู่ฟ่อกลับแล้วกลับโดนหิ้วคอลากหลบไปทางด้านในที่เงียบสงบปลอดสายตาคนกว่าทันที “ทำอะไรผิดไว้หรือไงถึงต้องวิ่งหนี ผมไม่ใช่ตำรวจนะ ทำเป็นผู้ร้ายหนีคดีไปได้ จะบอกให้นะว่าโจรสติดีๆ เขาไม่เผ่นหนีซึ่งหน้ากันหรอก ไม่งั้นมีสิทธิ์โดนไข้โป้งทุกราย อีประเภท...”

“เด็กบ้าอะไรวะ พูดมากชะมัด” ชายหนุ่มรีบยกมือห้ามคนตั้งท่าจะเถียง “ไม่ต้องอธิบายให้มากความ เอาแค่ประเด็นหลักๆ พอว่าตามหาฉันทำไม ถ้าจะให้พาไปกินข้าวข้างนอกก็ลาก่อน แค่นี้เจ้าเหนือก็เขม่นหน้าฉันอย่างกับอะไร”

“คุณอั้มเป็นผู้จัดการประสาอะไร ไม่รู้หรือว่าคุณชัชเขาโกง...อื๊อ!!” มือใหญ่ตะปบปากเขาทีเดียวปิดมิดไปครึ่งหน้า โดยไม่สนใจร่างที่ดิ้นฮึดฮัดในมือ เมืองเอกลากเขาต่อไปยังห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ไม่มีลูกค้าใช้บริการอยู่ จนแน่ใจว่ามีเพียงพวกเขาอยู่กันตามลำพัง เมืองเอกจึงยอมปล่อยคนที่เริ่มแน่นิ่งหมดแรงเพราะขาดอากาศหายใจให้เป็นอิสระ “คิดบ้าอะไรถึงพูดโพล่งเรื่องนั้นออกมา เขาไม่ใช่คนที่นายควรเข้าไปยุ่งด้วยหรอกนะ หมอนั่น...”

ชายหนุ่มรับร่างที่ทรุดฮวลลงได้ทันและตบหน้าซีดๆ ซึ่งหายใจพะงาบๆ อย่างต้องการเรียกสติ “อ้าว ไอ้หนู อย่าเพิ่งเป็นลมนะโว้ย เฮ้ย อย่าตายนะ ขืนนายม่องคามือฉันก็ซวยสิ”

“คราย...ม่อง...” ลากเสียงพูดได้แค่สองคำก็ตาลายวูบเพราะโดนอุ้มช้อนขึ้นทั้งตัว รับรู้อาการใกล้เป็นลมแต่ยังฝืนสติไว้สุดฤทธิ์ สูดหายใจลึกและหลับตาเพื่อหลีกภาพวูบวาบน่าเวียนหัว ได้กลิ่นยาดมมารนๆ อยู่แถวใต้จมูกพร้อมผ้าชุบน้ำเย็นๆ ลูบตามใบหน้าลำคอให้จนรู้สึกดีขึ้น จินดนัยลืมตาปรือเห็นเมืองเอกกำลังนั่งยองๆ หน้านิ่วคิ้วเข้มขมวดโดยมีพนักงานหญิงอีกคนรอดูอาการเขาอยู่ด้วย

“นี่กินข้าวกินปลาบ้างหรือเปล่า สุขภาพตัวเองทำไมไม่ดูแลให้ดีๆ น้า นี่ถ้าไปเป็นลมเป็นแล้งที่อื่นแล้วจะทำยังไง ฉันก็พอเข้าใจนะว่าเด็กวัยรุ่นสมัยนี้มันชอบรักษาหุ่นให้ผอมเพรียวชะลูดตูดแฟบหัวโตเป็นถั่วงอก แต่ผอมมากไปมันก็ไม่ดีหรอก อย่าบอกนะว่าบ้านนั้นไม่มีอะไรให้กิน ฉันเห็นเจ้าเหนือออกจะประเคนให้นายทุกอย่าง กับอีแค่...” ผู้ชายปากมากหยุดพล่ามกะทันหันเพราะโดนคนป่วยปาผ้าเปียกเข้าเต็มหน้า “เฮ้ย ทำอะไร คนอุตส่าห์อุ้มมา แถมช่วยพยาบาลให้ รู้งี้ปล่อยกองทิ้งไว้ก็ดี”

“ก็ปล่อยทิ้งไว้เลยเซ่ ใครใช้ให้ช่วย” นอกจากไม่รู้จักบุญคุณแล้วยังไม่รู้สำนึก เขาลุกพรวดด้วยความไม่เจียม ผลลัพธ์คือวูบอีกระลอก ทำให้เผลอคว้าหัวคุณเมืองเอกไว้ทันท่วงที “นั่น เห็นฉันเป็นหัวหลักหัวตออีกต่างหาก นอนลงไปเลย ไอ้ลูกหมาสารพัดพิษ จะนอนลงไปโดยดีหรือต้องให้จับกด”

ไม่ได้กลัวแต่เขาต้องยอมลงนอนเพื่อพักเอาแรง ระหว่างนั้น เขาได้ยินเมืองเอกกล่าวขอบคุณและบอกให้พนักงานหญิงกลับไปทำงาน หลังสิ้นเสียงฝีเท้า เสียงทุ้มจึงค่อยเอ่ย “ฉันรู้เรื่องคุณชัชอยู่แล้ว พูดไปมันก็ลำบากใจนะ ทางนั้นเขาก็เป็นญาติที่คุณเตโชฝากมา จะพูดจะทำอะไรก็ลำบาก ที่สำคัญคือฉันเกรงใจคุณรตี”

“บอกพี่เหนือสิ รับรองว่าพี่เหนือไม่เอาหมอนั่นไว้แน่” เขาลุกขึ้นมานั่ง คราวนี้อย่างช้าๆ

“...คิดอยู่เหมือนกัน แต่เจ้าเหนือมันเกลียดขี้หน้าฉันจะตาย เธอก็รู้ พูดไป เจ้าเหนืออาจไม่เชื่อแถมด่าฉันกลับก็ได้” อืม ไอ้เรื่องเกลียดขี้หน้าน่ะเข้าใจ แต่กับเรื่องหลังนี่เขาไม่คิดว่าจะเป็นเช่นนั้น ครั้นพูดออกไป เมืองเอกจึงหันกลับมามองหน้าเขาแล้วหัวเราะ “ช่วยไปพูดเกริ่นๆ ให้ก่อนทีสิ เอาน่า ไม่ต้องทำหน้ากลัวขนาดนั้นหรอก รู้ตัวบ้างไหมว่าทุกวันนี้เจ้าเหนือฟังเธอมากกว่าฟังคุณรตีเสียอีก”

“ไม่จริงอ่ะ” หน้าร้อนซู่แบบไม่เกี่ยวกับอาการหน้ามืด จินดนัยรีบมองไปทางอื่นที่ไม่ใช่สีหน้าจับผิดของเมืองเอก “ตอนนี้เขาโกรธผมอยู่ ไม่รู้งอนบ้าอะไร ไม่อยากยุ่งกับไอ้คุณชายเอาใจยากนั่นหรอก...”

เสียงหัวเราะหึๆ เหมือนรู้ทันแต่ยังไม่ทันได้ทุบสักอั้ก เมืองเอกกลับขยุ้มหัวเขาแล้วขยี้แรงๆ “หัดเอาใจหมอนั่นหน่อยสิ เจ้าเหนือมันนิสัยเหมือนเด็กจะตาย ชอบแกล้งคนที่ตัวเองชอบ อ้อนเก่ง งอนก็เก่งเป็นอันดับหนึ่ง ง้อๆ เข้าหน่อย ขี้คร้านจะใจอ่อนปวกเปียก ยอมออกปากขอโทษเธอแทนด้วยซ้ำ”

“รู้ดีจังนะ คุณอั้ม รู้ดีขนาดนี้น่าจะสนิทสนมกลมเกลียวมากกว่าเกลียดขี้หน้ากันนี่นา” ปรายหางตามองหวาดระแวง แต่โดนดีดหน้าผากจนความคิดอกุศลหล่นกระจาย “หยุดไอ้ความคิดบ้าๆ ในสมองเสียตั้งแต่เดี๋ยวนี้ ฉันเห็นหมอนั่นตั้งแต่เล็กไม่รู้ก็เกินไปล่ะ สำหรับฉัน เจ้าเหนือก็เหมือนน้องชายเกเรๆ คนหนึ่ง และเพราะรู้ดีขนาดนี้ เจ้าเหนือถึงเกลียดคนรู้ทัน เอาล่ะ เธอน่าจะกลับไปได้แล้วนะ นี่ก็เกินเที่ยงแล้วเดี๋ยวเจ้าเหนือจะอาละวาด พนักงานกระเจิงอีกรอบ”

++++++++++

“ทำไมเมื่อกลางวัน จินถึงมาช้า” จินดนัยชะงักมือซึ่งยกจัดที่หลับที่นอนบนเตียง เหลือบมองหน้าคนนั่งตรงริมเตียงนิดหนึ่งแล้วทำเหมือนไม่ได้ยิน “พี่ถามทำไมไม่ตอบ! หรือมีความลับอะไรถึงตอบไม่ได้”

“ถ้าพี่เหนืออยากถามว่าทำไมคุณอั้มถึงมาพร้อมผมก็ถามมาตรงๆ ดีกว่า ไม่ต้องอ้อมค้อมหรอก ผมง่วง อยากนอน ขี้เกียจเล่นยี่สิบคำถาม” หน้าขาวๆ ของแสงเหนือแดงก่ำขึ้นทันตา เขาสงสัยว่าเป็นเพราะชายหนุ่มเขินหรือของขึ้นกันแน่ แต่ฟังจากเสียงตวาดที่ไม่ได้ยินมาเสียนาน คาดว่าน่าจะเป็นเพราะประการหลังเสียมากกว่า

“รู้ตัวก็ดี! ไหนลองตอบมาซิว่าทำไมต้องมาพร้อมไอ้หมอนั่น พี่สั่งแล้วไม่ใช่เหรอว่าอย่าไปยุ่งกับมัน!” จินดนัยถอนหายใจยืดยาวและตั้งใจให้อีกฝ่ายได้ยินอีกต่างหาก ส่งผลให้หน้าแสงเหนือที่แดงอยู่แล้วยิ่งแดงจัด “จิน!”

“ผมอยู่แค่นี้ พี่เหนือจะตะโกนทำไม” เมื่อครู่ที่บอกว่าง่วงและอยากนอนนั่น เขาไม่ได้โกหก จินดนัยทิ้งตัวลงนอนแผ่กลางเตียงกว้างของเจ้านายโดยไม่ต้องห่วงเรื่องโดนดุ “หมู่นี้ผมเผลอทำอะไรให้พี่เหนือโกรธหรือเปล่า”

แผ่นหลังเหยียดตรงดูเกร็งขึ้นนิดหนึ่งก่อนเสียงห้วนจะย้อนถาม “ทำไมอยู่ๆ ถึงมาถามพี่เรื่องนี้ พี่ไม่ได้...”

“ถึงผมจะโง่แต่ก็ไม่ใช่ควายนะถึงจะได้ไม่รู้ว่าพี่เหนือกำลังโกรธผมอยู่” เสียงสลดแบบไม่ต้องเล่นละคร เขาเหนื่อยจริงๆ นะกับการตามอารมณ์แสงเหนือให้ทัน “ถ้าพี่อยากให้ผมทำอะไร พี่ก็บอกผมตรงๆ สิ”

“พี่ไม่ได้โกรธจินจริงๆ เพียงแต่... เพียงแต่ว่า...” ทำหน้าตัดใจแล้วแสงเหนือจึงเอ่ยเบาๆ ราวกับกลัวเขาจะได้ยิน “พี่ต่างหากที่กลัวจินจะโกรธ พี่รู้ว่าเคยบอกให้จินไม่ต้องกังวลแต่ว่า...”

ถ้าแสงเหนือพูดคำว่าแต่ว่าอีกครั้งเดียวล่ะก็ โดนยันโครมตกเตียงแน่ “พี่พยายามทำตัวเป็นพี่ชาย เป็นแค่พี่ชายที่ดีอย่างที่จินต้องการ แต่พี่ตัดใจไม่ได้นี่” เวรแล้ว เสียงตัดพ้อมาแต่ไกลเชียว เขายังไม่ได้ง้างเท้าถีบสักน่อยเลยนะ “รักไม่ได้ อยู่ใกล้ก็พาลจะตบะแตก จะให้ห่างกันไปเลยพี่ก็ทนไม่ได้หรอก สรุปแล้วเลยกลายเป็นแบบที่จินว่า... ถ้าไอ้อาการกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของพี่ มันทำให้จินรำคาญล่ะก็...พี่ขอโทษ แต่จินจะให้พี่ทำยังไงล่ะถึงจะพอใจ”

“พี่เหนือ ผม...” พอยกมือแตะแผ่นหลังกว้างหากบัดนี้เริ่มงองุ้มนั่น กลับโดนเจ้าตัวสะบัดชิ่งหลบ น่าแปลกที่เขากลับรู้สึกสงสารแทนหมั่นไส้อย่างที่ควร “ผมเคยบอกพี่เหรอว่าโกรธหรือรำคาญ ...ผมเคยบอกหรือเปล่าว่ารักไม่ได้”

พูดไปแล้วก็อายตัวเอง หากก่อนจะลากเลื้อยหลบไปได้ กลับโดนเจ้าคนที่เมื่อวินาทีทีแล้วยังนั่งคอตกพลิกตัวกลับคร่อมเขาไว้ ...เอ่อ ได้ข่าวว่าตาบอดอยู่ไม่ใช่เหรอ หรือไอ้เรื่องขึ้นคร่อมนี่มันแทรกซึมเข้าไปทุกอณูของร่างกายจนสามารถทำได้โดยอัตโนมัติ คิดยังไม่ตกระหว่างมุดดำดินกับเอาหัวโหม่ง ชายหนุ่มก็ถามเสียงเข้มเอาจริงเอาจัง

“จิน...ไม่ได้โกรธ ไม่ได้รังเกียจพี่จริงๆ นะ” กลืนน้ำลายเอื้อก จินดนัยจึงค่อยตอบเบาแสนเบาซึ่งมันช่วยเรียกรอยยิ้มหวานจากคนรอฟัง “อืม นั่นสิ จินไม่เคยบอกพี่สักคำเลยว่ารักไม่ได้หรือแม้แต่ไม่ได้รัก... งั้นแสดงว่า...พี่รักจินต่อไปได้ใช่ไหม”

ไอ้อาการคัดแน่นในอกเหมือนจะหายใจไม่ออกนี่ต้องเป็นหนึ่งในสัญญาณเตือนภัยแน่ๆ ใจเย็นก่อน พรรคพวก ก็แค่ปล่อยให้หมอนี่มันฝันลมๆ แล้งๆ เท่านั้น ตราบใดที่เขาไม่ได้รักตอบ นั่นก็น่าจะปลอดภัย... น่าจะ...นะ

อารามคิดฟุ้งซ่านอยู่นาน ฝ่ายรอคำตอบจึงจัดการทึกทักเข้าข้างตัวเสียฉิบ “ไม่ตอบ พี่ถือว่าไม่ปฏิเสธนะ”

ต่อจากอาการคัดแน่นคือความร้อนวูบวาบยามใบหน้าขาวกับรอยเคราเขียวๆ ที่เห็นว่าลอยวนเวียนอยู่หลัดๆ เริ่มซุกซบลงกับซอกคอ ตอหนวดแข็งๆ ที่เผลอจ้องเมื่อครู่ครูดกับผิวเนื้ออ่อนจนขนลุกเกรียว ท่าซุกไซร้หาไออุ่นไม่ต่างกับแมวทำให้จั๊กกะจี้จนต้องพลิกหน้าหนีพัลวัน “ฮื้อ จั๊กกะจี้น่า อย่า... ไม่เล่นแล้ว”

“อืมมม... คิดถึงจัง” เสียงครางแหบนุ่มตรงริมใบหูราวแมวตัวโตที่ได้ละเลียดนมอุ่นๆ หวานๆ ทำเอาจินดนัยขนลุกซู่ หัวใจเต้นแรงขึ้นจวนเจียนจะเกมโอเวอร์เต็มทน ซ้ำร้ายเข้าไปอีกเมื่อฟันคมๆ แกล้งงับเนื้อนุ่มตรงติ่งหูอย่างต้องการจะแกล้ง ส่งผลให้เขาหลุดเสียงหัวเราะสลับตะโกน “พี่...พี่เหนือ! บอกว่าไม่เล่นไง มันจั๊กกะจี้... ฮะ อ๊า...”

“ไม่เล่นจั๊กกะจี๋ก็ได้”เขายังหายใจหอบจากการหัวเราะเมื่อครู่แต่ก็ไม่ละความพยายามยันหน้าขาวๆ ที่ยิ้มกรุ้มกริ่มออกให้ห่างจอ จู่ๆ กลับโดนคว้ามือข้างนั้นไปจูบฟอดก่อนที่แสงเหนือจะกระซิบ “งั้นขอจูบแทนนะ”

วินาทีนั้น หัวใจที่กำลังเต้นจังหวะแซมบ้าอย่างเมามันกลับทำเหมือนจะลืมวิธีแดนซ์ไปเสียดื้อๆ ไม่รู้ว่าเป็นเขาเองที่หยุดหายใจหรือร่างกายเกิดปฏิกิริยาต่อต้านออกซิเจน รู้แต่ลิ้นแข็ง ปากชา คิดอะไรไม่ออกเท่านั้น คิดคำปฏิเสธไม่ออก หรือจะหาวิธีตอบรับก็ทำไม่ได้ เขานอนอึ้งเหมือนคนเป็นใบ้ปล่อยให้แสงเหนือลูบใบหน้าช้าๆ และใช้มือใหญ่ข้างเดียวกันนั้นประคองแก้มเย็นชืดไว้

“...ไม่ตอบ พี่ถือว่าไม่ปฏิเสธนะ” เขาต้องใกล้ตายอย่างที่เทวดาพะยี่ห้อไว้แน่ๆ เพราะแทนที่จะเอาหัวโหม่ง ขึ้นท่าโช้คแสลมหรือรัวอัปเปอร์คัทแจกหมัดดาวตกเทือกนั้น กลับทำแต่อะไรงี่เง่าๆ อย่างใช้มือที่อ่อนเป็นวุ้นยันใบหน้าที่ก้มลงมาหาและหลับตาปี๋ยามหมดทางหนี

มันงี่เง่าจริงๆ นะ ให้ดิ้นตาย

++++++++++++++++++++++++++++++++

TBC

จาจูบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบบแล้ว
เจ้าจินหนีไม่พ้นแน่ๆ   :m25:

anna1234

  • บุคคลทั่วไป
กร๊ีดดดดดดดดดดสลบ

หวานจริงหวานจัง
 :m1: :m25: :m1: :m25:


ออฟไลน์ Daow

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 214
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดด แสงเหนือ สุดจะแสนดี ขี้อ้อน แถมขี้หวงอีกต่างหาก

ไม่กล้าคิดถึงตอนจบเล้ยจริงๆ กลัวไม่แฮ้ปปี้จังเลย  :serius2:

re_rain

  • บุคคลทั่วไป
 :m31: อ้ากกกกกกกกกกกกกกก

ค้าง ค้างอย่างแรง

หลอกให้อยาก :o8: แล้วจากไป o12 o12

ออฟไลน์ pongsj

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-9
โอ้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย พี่เหนือน่ารักไปไหนค่ะ

Taurus

  • บุคคลทั่วไป
 :oni1: :oni1: :oni1: ชอบเรื่องนี้ที่ซูดดดดดดดด

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Ryze

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1003
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-1
ปมเรื่องยังไม่เคลียร์เรย

อยากรู้จัง ไหงวันนั้นขับรถฉิวไปชนเขาเดี้ยงได้ละนั่น

ฮึ้ย..

ค้างง

ifwedo

  • บุคคลทั่วไป

ja ne

  • บุคคลทั่วไป
ฮิ๊วววววววววววววววววววววววววววววว
ทำอารายกาน
 :o8: ย้ำชัดๆ อีกทีซิ

three

  • บุคคลทั่วไป
จะจะจะจะจะจะจะจะจะจะจะจะจูบๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆแว้ว :m1:เป็นกำลังใจให้พี่ยาโยนะครับผม

ออฟไลน์ อิง

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 840
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +137/-6
อุอุ ไม่มีอะไร เข้ามาบอกว่าคิดถึงพี่โยยอะ  :กอด1:  :กอด1:

ออฟไลน์ both^^

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +730/-4

yayoy

  • บุคคลทั่วไป
งานยุ่งเหยิงทั้งวัน ตอนนี้ว่างแว่บนึงเลยรีบมาโพสนะคร๊าบบบบ

ขอบคุณทุกเมนท์เลยยยยยยย



~ ด้วยรักจากสวรรค์ 11 – Sleeping Beauty ~

บรรยากาศภายในสนามเด็กเล่นตอนช่วงพักกลางวันเต็มไปด้วยเด็กตัวน้อยทั้งชายและหญิงซึ่งกำลังเล่นสนุกกันให้ทั่วบริเวณ บ้างก็เล่นเครื่องเล่นพ่นสีสวยสดใสจำพวกไม้ลื่น ไม้กระดกและที่ปีนป่ายเตี้ยๆ ซึ่งทำจากโครงเหล็ก บ้างก็จับกลุ่มกันเล่นกระโดดเชือก วิ่งเล่นหรือนั่งกินขนมกันด้วยความร่าเริง ส่วนตัวเขาเองชอบดูรูปสวยๆ ในสมุดภาพกับเพื่อนอีกสองสามคนมากกว่าจะลงไปวิ่งตากแดดให้สูญเสียพลังงานโดยใช่เหตุ

เหตุการณ์เช่นนี้เป็นเรื่องปกติดังเช่นทุกวัน หากจะมีสิ่งพิเศษอยู่บ้างก็คือวันนี้คือวันแห่งความรัก ที่รู้เพราะเมื่อเช้าจินดนัยเห็นเด็กชายสองสามคนประคับประคองดอกไม้ดอกเล็กๆ ขนมนมเนยหรือของเล่นผูกโบไว้ด้วยความประหม่า ยิ่งเมื่อโดนเพื่อนๆ แซว เด็กชายเหล่านั้นต่างทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ แต่เมื่อเห็นตอนพักกลางวันอีกที เด็กชายเหล่านั้นกลับจับคู่นั่งคุยกับเด็กสาวหน้าตาน่ารักอยู่ตามมุมต่างๆ ในสนามเด็กเล่นเสียแล้ว

นานๆ ทีจึงเงยหน้าชี้ชวนให้เพื่อนดูรูปที่เปิดเจอ เขานั่งจมอยู่อย่างนั้นจนจู่ๆ ก็มีเงามาทาบลงบนหน้าหนังสือ ด้วยความหมกมุ่นและไม่ได้คิดอะไร เขาจึงแค่เบี่ยงตัวหลบเพื่อไปหาแสงอีกด้านแทน แต่เงาดำกลับตามมาบดบังไว้อีก เงยหน้าขึ้นหากยังไม่ทันจะเอ่ยปากสิ่งที่สงสัย เขาก็เกือบเผลอร้องจ๊ากออกมาดังๆ เมื่อเห็นชัดว่าเจ้าของเงาทะมึนนั้นคือใคร

“นาย! ตามเรามาเดี๋ยวนี้!” นิ้วชี้ของเจ้าหัวโจกตัวเอ้ชี้ตรงมาที่เขาแบบเบี่ยงหลบให้ตายก็ไม่พ้น จินดนัยเหลียวมองเพื่อนอย่างต้องการหาที่พึ่ง แต่เพื่อนที่คบถ้าไม่เป็นพวกรักสงบก็มีแต่พวกรักตัวกลัวตายจึงต่างเป็นที่พึ่งให้เขาด้วยการทำตัวสั่นงันงกหลบตาเป็นพัลวัน

“ไม่ได้ยินที่ฉันสั่งหรือไง บอกให้มาก็มาสิ! หรือว่าอยากเจ็บตัว!” มือเล็กๆ กระชากต้นแขนเขาแรงจนจินดนัยนิ่วหน้า จำต้องพยุงตัวลุกขึ้นยืนและเก๊กเสียงไม่ให้สั่นเทาเกินไปนัก “ปละ...ปละ... ปล่อย ระ... ระ...เรา ดะ...เดินเองได้”

เดินขาสั่นเทาเป็นลูกหมาขาอ่อน เกือบตุปัดตุเป๋ล้มลงข้างทางก็หลายรอบ ยิ่งเดินก็ยิ่งห่างไกลจากผู้คนและแสงแดดอันสดใสมากขึ้นทุกที มัวแต่มองหาทางหนีทีไล่หรือใครสักคนมาช่วย เขาจึงไม่ทันตั้งตัวเมื่อเจ้าคนเดินนำหยุดยืนในมุมลับตาและก้มงุดๆ อยู่ให้ง่วน

หมอนั่นต้องกำลังค้นหาอุปกรณ์เชือด ชำแหละ กระชาก กระซวก สับ เซาะ เลาะกระดูกและฝังกลบเขาอยู่แน่ๆ ฮือ คุณครูค้าบ คุณครูอยู่ไหน แม่จ๋า ช่วยเค้าด้วย หนูยังไม่อยากตายอ้า...

“ชิ มดเยอะชะมัด” เจ้าว่าที่ฆาตกรอายุน้อยที่สุดในโลกกลับมาแล้ว กลับมาพร้อมกล่องใส่ยาพิษ พร้อมอุปกรณ์ฝังกลบฆ่าและน้ำยาสลายกระดูก จินดนัยสะดุ้งเฮือกยามกล่องลึกลับโดนยื่นพรวดใส่จนเกือบกระแทกหน้า “เอ้า เอาไป”

กล่องสีน้ำเงินเข้มมันวาวที่ด้านบนเป็นพลาสติกใสเผยให้เห็นช็อคโกแล็ตหลากหลายรูปร่างและสีสัน มีทั้งแบบทรงเหลี่ยมผสมถั่วบด ทรงกลมเคลือบผงสีน้ำตาล ทรงรีคาดริ้วสีสดใสและรูปทรงหัวใจสีขาวสะอาด ...แค่มอง จินดนัยก็รู้สึกเหมือนน้ำลายใกล้จะยืดหยดเต็มที

เขาเงยหน้ามองอีกฝ่ายงงๆ สีหน้าคนมอบกล่องช็อคโกแล็ตสีสวยกลับถมึงทึงเคร่งเครียดราวโกรธแค้นหนัก ขณะที่เริ่มคิดว่าฝ่ายนั้นอาจต้องการสงบศึก ยุติเรื่องที่พวกเขาไม่ถูกกันนั้นเอง ดอกกุหลาบดอกเดียวเดี่ยวๆ ก็ถูกยื่นพรวดตามติด คราวนี้เขาหลบไม่พ้นและโดนกลีบดอกอ่อนนุ่มทิ่มปลายจมูกพอให้คันยุบยิบและตกใจจนเผลอถอยหลังไปสามก้าวติดๆ เลยทีเดียว

สมองน้อยๆ อันชาญฉลาดเริ่มตีความรวดเร็ว เขารู้ว่าวันนี้เป็นวันแห่งความรัก เด็กผู้ชายต้องให้ของขวัญกับเด็กผู้หญิงที่ชอบ แล้วพวกเขาก็จะกลายเป็นแฟนกัน พอเป็นแฟนก็ต้องนั่งกินข้าวกลางวันด้วยกัน โทรศัพท์หากัน และวิ่งเล่นด้วยกัน ใช่ นี่ล่ะคือราคาของของขวัญในวันแห่งความรักที่เด็กผู้หญิงต้องจ่ายเพื่อเป็นสิ่งตอบแทน ถ้าเขาเป็นเด็กผู้หญิง เขาก็จะต้องทำแบบนั้น แต่นี่เขาไม่ใช่ อีกฝ่ายก็เป็นเด็กผู้ชาย ในเมื่อเขาไม่ใช่ หมอนั่นก็ไม่ใช่ ดังนั้นสรุปได้อย่างเดียวคือ...

“เฮ้ย!! นายทำ...” เสียงดังกล่าวบ่งบอกความตกใจจริงจังยามเขาเขวี้ยงกล่องช็อคโกแล็ตชวนน้ำลายไหลลงกับพื้นจนช็อคโกแล็ตบางส่วนกระเด็นออกมาคลุกฝุ่น “นายทำบ้าอะไรวะ!”

กลัวก็กลัว โกรธก็โกรธ พอเขาตะเบ็งเสียงตะโกนตอบไอ้เด็กหน้าเหี้ยม เสียงจึงสั่นอย่างช่วยไม่ได้ “เมื่อไหร่นายจะเลิกแกล้งเราซะที! ทำแบบนี้มันสนุกตรงไหน ทั้งขนม ทั้งดอกไม้เขาต้องให้เด็กผู้หญิงต่างหาก ถ้าเราโง่รับของพวกนี้ไว้ นายจะได้หัวเราะเยาะเราล่ะสิ ไอ้บ้า ไอ้ทุเรศ! เราเกลียดนาย! ได้ยินไหม เกลียดๆๆ!”

อาศัยช่วงจังหวะที่อีกฝ่ายกำลังนิ่งอึ้งตะลึงงันที่เขารู้เท่าทันแผนการ จินดนัยตรงเข้าปัดดอกกุหลาบในมือฝ่ายตรงข้ามจนหนามบาดทั้งมือเขาและมือคนถือก่อนกุหลาบสีสวยสดจะตกลงกับพื้น ร่างกายขยับไปก่อนสมองคิด เขายกเท้ากระทืบป้าบๆ จนกลีบบอบบางบี้แบนติดพื้นไม่เหลือสภาพ สะใจแล้วรีบกลับหันหลังวิ่งหนีเต็มสปีด

แม้เตรียมตัวเต็มที่ว่าจะต้องโดนกระชากคอเสื้อจากด้านหลังภายในไม่กี่วินาทีข้างหน้า แต่เขาก็ยังวิ่งหน้าตั้งและเมื่อเหลียวหลังกลับไปเช็คระยะห่าง เตรียมพร้อมแหกปากขอความช่วยเหลือ กลับพบว่าไม่มีใครวิ่งตามเพราะเจ้าคนที่ควรวิ่งตามกลับยืนนิ่งอยู่จุดเดิม ร่างที่เคยดูยิ่งใหญ่คับฟ้าในสายตาเขากลับเล็กลงกะทันหัน ...จะด้วยระยะห่างหรือจะด้วยอะไรก็แล้วแต่ ร่างของแสงเหนือดูเหมือนเป็นแค่เด็กอนุบาลสามธรรมดาๆ เท่านั้น ไม่อันตรายและออกจะ...น่าเวทนาด้วยซ้ำ

เขาเผลอหยุดยืนมองภาพตรงหน้าโดยไม่รู้ตัว มองแสงเหนือทรุดลงเก็บซากดอกไม้และขนมราคาแพงงุดๆ พร้อมอากัปกิริยาแปลกๆ อย่างเช่นยกมือป้ายแก้มตัวเองแรงๆ ไปด้วย ...หรือมันจะปิดปากหัวเราะวะ ที่เขาดันเผลอทำน้ำลายยืดใส่ช็อคโกแล็ตของมันไปเมื่อกี๊ ว่าแล้วว่ามันเลว...

ไม่ทันตั้งตัวและเผลอสะดุ้งเหมือนโดนเหยียบหางเมื่อเจ้าคนที่เขาแอบมองดันเงยหน้าขวับคล้ายมีซิกเซนส์รับรู้ยามมีคนจ้อง ดวงตาคู่นั้นแดงก่ำฉายแววโกรธเกรี้ยวและคล้ายจะตกใจเช่นกันที่เงยหน้ามาเจอเขายืนมอง เจ้าตัวกระโจนยืนผึง กำหมัดแน่น ไอ้อาการตั้งท่าพร้อมวิ่งมากระโดดเตะก้านคอขาดเป็นก้านกล้วยแบบนี้จะอยู่รอให้ภัยมาถึงตัวก็คงไม่ได้การ

คราวนี้เขาวิ่งไม่หยุดจนกลับมายืนในสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดในโรงเรียน คุณครูเงยหน้าจากสมุดการบ้านมามองเขายืนหอบเกาะโต๊ะแล้วถามอย่างปราณี “มีอะไรจ๊ะ จินดนัย วิ่งเล่นกับเพื่อนมาเหรอ”

“คะ ครับ วิ่งเล่นมาครับ” เงยหน้ายิ้มหวานประจบครูและได้รับการหยิกแก้มยุ้ยๆ ด้วยความเอ็นดูตอบแทนความตอแหลของตัวเอง

ระหว่างที่นั่งประจบสอพลอจ๊ะจ๋ากับคุณครูอย่างนั้นอย่างนี้ ในใจเขายังหวั่นระทึกไม่หายกับแววตาอาฆาตของแสงเหนือ รับรู้ได้โดยไม่ต้องรอให้ใครมาบอกเลยว่านับจากนี้ ชีวิตเขาจะยากลำบากมากขึ้นหลายเท่าตัว ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้หมอนั่นทำเรื่องพิเรนทร์ๆ แบนนั้นก่อนเล่า ตัวเขาแค่ตอบโต้ไปตามสถานการณ์

ถูกแล้ว เขาไม่ผิดสักหน่อย หมอนั่นต่างหากที่ผิด แสงเหนือผิดตลอดมาและจะผิดตลอดไป เรื่องระหว่างพวกเขามันคงไม่มีทางเลวร้ายไปกว่านี้ได้อีกแล้ว

++++++++++

จินดนัยลืมตาโพลงอย่างตกใจ ไม่บ่อยนักที่เขาจะสะดุ้งตื่นกลางดึกเพราะฝันร้าย เหงื่อแตกเต็มหน้าผากทั้งที่อากาศในห้องเย็นสบาย เขาขยับอึดอัดตั้งใจจะสะบัดผ้าห่มที่พันรอบตัวจนแทบขยับไม่ได้แต่กลับสะบัดไม่ออก กำลังสงสัยว่าเผลอผูกเงื่อนตายตอนหลับหรือเปล่า เขาก็ต้องสะบัดหน้ามาเพ่งไอ้เงาดำซึ่งจ่อชิดติดแผ่นหลังอีกครั้งหลังมองผ่านแว้บๆ เมื่อครู่แล้วขนลุกซู่เพราะดันคิดว่าเห็นผี ถึงตัวเองจะกลายเป็นผีไปแล้วแต่ยังไม่พร้อมจะรับมือผีแปลกหน้าหน้าไหนทั้งสิ้น ดังนั้นเขาจึงโล่งใจเมื่อเห็นว่าเจ้าเงาดำนั่นคืออะไร หรือจะพูดให้ถูกก็คือใคร

แสงเหนือที่ไม่รู้ว่าย่องลงจากเตียงกว้างมานอนเบียดบนฟูกแคบๆ ของเขาตั้งแต่เมื่อไหร่กำลังนอนหลับท่าทางแสนสุข เงื่อนตายอันเกิดจากสิ่งที่รัดอยู่รอบตัวเขาก็ไม่ใช่อะไรที่ไหนนอกจากแขนสองข้างของแสงเหนือนั่นเอง

“ปล่อยน่า มันอึดอัดน้า” งัดนิ้วแข็งๆ ออกแต่กลับยิ่งโดนรัดแน่นเข้าจนแทบจะหักดังกร๊อบ ครั้นพอเขานอนนิ่ง อ้อมแขนนั้นจึงค่อยผ่อนแรงตามกอดเขาไว้หลวมๆ ทว่ายังไม่ปล่อยอยู่ดี จึงได้แต่ถอนหายใจพรืด เอี้ยวตัวกลับมามองใบหน้าบรมสุขของชายหนุ่มท่ามกลางแสงจันทร์อันน้อยนิดที่ลอดจากหน้าต่างเข้ามา

แสงเหนือเป็นคนหน้าตาดี ยิ่งเวลานอนนิ่งๆ ไม่ออกอาการเถื่อนถ่อยฟาดหัวฟาดหางฟาดกบาลชาวบ้าน ยิ่งไม่ผิดกับเจ้าหญิงนิทรา แต่ไหงพอฟื้นจากนิทรากลับกลายเป็นเจ้าชายอสูรแทนไปได้ล่ะหนอ ไอ้เจ้าชายเก็บกดมีปมด้อยแถม...ลามกมือไวอีกต่างหาก

เผลอจ้องหน้าเรื่อยลงมาจนถึงริมฝีปากแล้วหัวใจก็เริ่มเต้นคร่อมจังหวะ ปากคู่นี้ไม่ใช่เหรอที่เมื่อเย็นกดทาบกับปากของเขาอย่างนุ่มนวล ...แม้จะเพียงชั่วครู่ก็เล่นเอาเขาแทบอยากระเบิดร่างทำลายหลักฐาน แสงเหนือทำราวกับเวลาแค่ชั่วครู่ที่จูบเขานั้นเพียงพอ ...เกินพอสำหรับสถานการณ์ในตอนนั้น จึงไม่ยื้อยุดหรือทำให้เขาลำบากใจ ปล่อยให้เขาหกหลังตีลังกาเกลียวสามรอบครึ่งลงจากเตียงไปนอนมุดรูใต้ผ้าห่มแต่โดยดี

ท่าน่ะดีแต่ทีเหลว พิสูจน์ได้จากการย่องเงียบมานอนซุกเขาเป็นลูกแมวยักษ์แนบชิดติดสีข้างจนไม่มีที่ว่างนี่ไง จินดนัยหวนคิดถึงความฝันเมื่อครู่แล้วต้องถอนหายใจ เรื่องนานนมในอดีตที่เขาลืมไปนานแล้ว เพราะก่อนหน้านี้เหตุการณ์พรรค์นั้นถูกจดจำและบันทึกไว้เป็นเพียงแค่หนึ่งในกองภูเขาวิวาทเลากา

ถ้าจำไม่ผิด หลังจากวาเลนไทน์สีเลือดคราวนั้น แสงเหนือก็ชังน้ำหน้าเขาหนักขึ้นอย่างที่คาดไว้ เขาโดนแกล้งหนักขึ้น โดนด่าสาดเสียเทเสียแรงขึ้นและได้รับแววตาอาฆาตฉายแววศัตรูทุกครั้งที่สบตาแบบที่เจ้าตัวไม่คิดจะปิดบัง มาบัดนี้โตๆ กันแล้ว จึงให้นึกสงสัยปนตงิดยิ่งนักว่าในวันวาเลนไทน์ที่เห็นในความฝัน แสงเหนือต้องการแกล้งเขาอย่างที่เขาคิดเอาเองมาตลอดจริงแน่หรือ

ไม่อยากคิดว่าไอ้หมอนี่จะมีนิสัยเด็กๆ อย่างพวกชอบแกล้งคนที่ชอบหรอก เพราะนิสัยดังกล่าวออกจะหงุมหงิม จุ๋มจิ๋ม ติ๋มๆ น่ารักไม่เหมาะกับหมอนี่สักนิด แบบแสงเหนือน่ะมันต้องตีหัวลากเข้าถ้ำหรือไม่ก็จับมัดเอาไฟลนแล้วเฆี่ยนด้วยแส้ให้สาวเจ้ารับรักสิถึงจะเหมาะ

ถึงจะยังไม่แน่ใจเรื่องนั้นแต่อย่างน้อย เขาก็แน่ใจว่าต่อให้แสงเหนือจะเคยนึกแอบชอบเขาแต่หลังจากเหตุการณ์วาเลนไทน์สีเลือดแล้ว หมอนั่นเกลียดชังเขาเข้าไส้แน่นอน

“อืม...” เสียงละเมอพึมพำเรียกความสนใจของเขาให้หันไปจ้องคนในห้วงความคิด คิ้วเข้มๆ ของแสงเหนือขมวดมุ่นเหมือนอึดอัดเต็มประดา เขาต่างหากที่น่าจะอึดอัดเพราะโดนรัดไว้อย่างกับโดนงูเหลือมพัน แต่เห็นท่าขยับตัวยุกยิกแล้วก็เดาได้ว่าเจ้าคุณชายคงไม่เคยชินกับการนอนบนฟูกแข็งๆ แถมต้องคอยเบียดไว้ถ้าไม่อยากกระเด็นตกฟูก ไม่ต้องนับว่าแสงเหนือไม่กล้าแย่งผ้าห่มเขาอีก จึงได้แต่อาศัยนอนซุกหาความอบอุ่นจากเขาที่นอนเหงื่อแตกใต้ผ้าห่มแทน

“พี่เหนือ นอนดีๆ สิ” ดุไม่จริงจังแล้วเขาก็จับต้นแขนอีกฝ่ายเขย่าเบาๆ “เขยิบออกไปก่อน พี่เหนือ ตื่น”

“...จิน” เสียงพึมพำงัวเงียดังจากคนทำหน้างงๆ เบลอๆ ซึ่งเขารีบอาศัยจังหวะนั้นสะบัดตัวออกจากอ้อมกอดและผ้าห่ม เขยิบตัวไปริมฟูก “เขยิบเข้ามา เดี๋ยวก็ตกฟูกหรอก ที่นอนดีๆ มีไม่นอน ตื่นมาปวดหลังอย่าบ่นแล้วกัน”

คนตัวโตขยับงุดๆ หัวซุนเข้ามาแล้วแย่งที่นอนเขาเกือบหมด หากยังไม่ทันที่เขาจะหอบผ้าหอบผ่อนอพยพไปนอนเตียงนุ่มๆ กว้างๆ ให้แทน แสงเหนือก็ดึงเขาลงไปนอนกอด บ่นงึมงำอะไรสองสามคำก่อนจะหลับต่ออย่างง่ายดาย

หัวใจเริ่มปวดหนึบในช่องอกและเริ่มคิดฟุ้งซ่านถึงอะไรที่เป็นไปไม่ได้ อย่างเช่นไม่อยากให้วันพรุ่งนี้มาถึง มันจะดีสักแค่ไหนถ้าเวลาจะถูกหยุดเอาไว้แค่คืนนี้ ขอให้โลกหยุดหมุนเพื่อที่เขาจะได้ไม่ต้องนึกแค้นผู้ชายตรงหน้าอีก เพื่อที่เขาจะได้มองหน้าชายหนุ่มได้นานอีกนิด เพื่อที่แสงเหนือจะได้นอนหลับอย่างมีความสุข ปราศจากฝันร้ายใดๆ มาแผ้วพาน

ถ้าเพียงแต่ไม่มีรุ่งเช้าก็คงจะดี

++++++++++

ต่อข้างล่างฮับ
V
V
V

yayoy

  • บุคคลทั่วไป


แสงตะวันอ่อนยามเช้าเริ่มส่องลอดผ้าม่านเข้ามาบ่งบอกคนมองถึงเวลาและหน้าที่ที่ต้องตื่น จินดนัยลูบดวงตาอ่อนล้าอันเกิดจากการได้นอนพักผ่อนไม่เต็มอิ่มและสูดหายใจได้ไม่เต็มปอด ลืมตาดูโลกมาก็หลายปี นี่เป็นครั้งแรกที่เข้าใจความรู้สึกสาวๆ ที่ต้องใส่สเตย์รัดหน้าท้องกันเสียแล้ว

“พี่เหนือ ผมอึดอัด” ทุบต้นแขนแน่นๆ ดังปึ้กปั้กมั่วซั่วแต่เจ้าตัวก็ไม่ยอมตื่น “ตื่นเถอะครับ เช้าแล้ว เดี๋ยวคุณรตีก็ให้ใครมาตามหรอก”

พูดกับกำแพงยังดีกว่า จินดนัยเริ่มมาตรการขั้นต่อไป บิดซ้ายตะแคงขวาชนิดใครมาเห็นคงคิดว่าเขาหัดเต้นแร็พแนวนอนอยู่เป็นแน่ “บ๊ะ ขนาดนี้แล้วยังไม่ตื่นได้ ตื่นโว้ย จะตื่นไม่ตื่น ประเทศไทยหมดไปครึ่งนึงแล้วคิดจะนอนกินเมืองไปถึงพม่าเลยหรือไง”

เสียงหัวเราะพรืดดังเข้าหูเขาคล้ายหูแว่วไปเอง แต่เมื่อจ้องหน้าขาวๆ ดีๆ แล้วเขาก็รู้ว่าโดนเล่นเล่ห์เข้าอีกจนได้ “ตื่นแล้วก็รีบลุกสิ ทำเป็นเล่นอยู่ได้ หรือฝันว่าตัวเองเป็นเจ้าหญิงนิทราเลยยังไม่ยอมตื่น”

กะพูดให้แสงเหนือฉุนจนต้องลุกมาหาเรื่อง ที่ไหนได้ ดันโดนไอ้คุณชายหักหลังเสียแสบสันต์ขนลุกเกรียวแต่เช้า เพราะนอกจากจะไม่ยอมหลงกลเขา แสงเหนือดันนอนอมยิ้มหลับตาพริ้ม พูดเสียงนุ่ม “เปล่า ไม่ได้เป็นเจ้าหญิงนิทรา เนี่ย...เจ้าชายกบต่างหาก ต้องได้จุมพิตจากเจ้าหญิงก่อน กบถึงจะกลายเป็นเจ้าชาย” ว่าแล้วกบยักษ์ตัวโตเท่าตึกก็ทำปากยื่นได้อย่างทั้งน่าเอ็นดูและน่าถีบปากเป็นที่สุด “จุ๊บก่อน จุ๊บบบ... อุ๊บ แค่กๆ”

สมน้ำหน้า ลิ้มรสชาติหัวเน่าไม่ได้สระของเขาเข้าไปแทน ตื่นทันควันเลยนะไอ้เจ้าชายลูกอ๊อด “อี๋ แหวะ หัวผมเปื้อนน้ำลายพี่เปล่าเนี่ย อี๋ๆ สกปรก” มองหน้าหงิกๆ รับอรุณอันสดใสแล้วรีบบอก “อย่ามัวแต่ทำหน้าบูดเลย รีบไปอาบน้ำเถอะครับ วันนี้ไม่รู้ว่าคุณรตีจะไปไหนอีกหรือเปล่า ยังไงเดี๋ยวผมเตรียมเสื้อผ้าไว้เผื่อก่อนดีกว่า”

งอนเชิดไปโน่นแล้ว เจ้าชายบ้าอะไรวะ ขี้งอนซะขนาดนี้... เขายังยิ้มอารมณ์ดียามเลือกเสื้อผ้าสีสุภาพและเบาสบายให้เหมาะกับวันอันสดใส แต่ขณะที่หันหลังขวับมาพร้อมเสื้อในมือ จู่ๆ ก็เหมือนโลกทั้งใบจะดับวูบหายไปชั่วขณะ สมองหมุนติ้วจนไม่รู้เหนือใต้ กว่าจะรู้สึกตัวอีกครั้ง เขาจึงพบว่าตัวเองทรุดลงนั่งพับเพียบอยู่กับพื้น มือยังกำเสื้อแน่น เสียงน้ำในห้องน้ำเงียบไปแล้ว ขณะที่เขากำลังตะกายขาสั่นๆ ให้ลุกขึ้น แสงเหนือก็เรียกหา “จินเข้ามาอาบเลยก็ได้ พี่ไม่แอบดูเราหรอกน่า”

ครั้นไม่มีเสียงตัดมุขตอบรับจากเขา คนถามจึงเรียกซ้ำ คราวนี้เริ่มแฝงความกังวล “จิน ปลุกพี่แล้วแอบนอนต่อเหรอ ...จิน”

“ครับ” รับคำทั้งหน้าซีด เขาตกใจมากจริงๆ กับการวูบกะทันหัน วินาทีที่ไม่รู้ว่าตัวเองยังยืนอยู่หรือล้มลงไปแล้ว ความคิดแว่บหนึ่งเลวร้ายถึงขั้นว่าเขาอาจลืมตามาเจอเทวดานั่นอีกรอบโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวทำให้หน้าเริ่มเหยเก “พี่เหนือ...”

เขาไม่ได้พูดอะไรไปมากกว่านั้น แต่แสงเหนือกลับเหมือนจะจับความหวาดกลัวในน้ำเสียงเขาได้ ชายหนุ่มรีบผละจากห้องน้ำพยายามเดินเร็วๆ มาตามเสียงเขาจนกลายเป็นเขาเองที่ตกใจซ้ำอีกรอบ “พี่เหนือ ช้าๆ ระวังหกล้ม”

ห้ามไปก็ไม่มีคนฟังเพราะในอีกไม่กี่วินาทีต่อมา มือสองข้างของแสงเหนือก็ลูบคลำหัวหูเขาให้วุ่นวาย “เป็นอะไร ไม่สบายตรงไหนครับ”

กลืนน้ำลายเอื้อกแล้วกลั้นใจตอบ หวังว่าน้ำเสียงจะฟังดูสบายๆ “เปล่า ผมไม่ได้เป็นอะไร แค่เวียนหัว สงสัยจะความดันต่ำมั้ง”

“จริงเหรอ” คิ้วเข้มขมวดแทบจะผูกเป็นโบ “แน่ใจนะ พี่ว่า...”

“ฮื่อ อย่ามัวแต่เซ้าซี้เลย เสียเวลา ผมรีบไปอาบน้ำดีกว่า” เห็นแสงเหนือตั้งท่าจะค้านต่อ เขาจึงรีบสำทับเสียงห้วน “บอกว่าไม่เป็นไรก็ไม่เป็นไรสิ เลิกถามได้แล้วน่า พี่เหนือ มันน่ารำคาญ”

มือใหญ่ราออกไปแทบจะทันที สีหน้าของแสงเหนือดูคล้ายอยากไถ่ถามต่อแต่ก็เปลี่ยนใจนิ่งเงียบแทน พวกเขาสองคนตัดสินใจสงบปากสงบคำรักษาท่าทีต่อกัน ทำราวกับเมื่อคืนไม่ได้นอนกอดกันมาทั้งคืน แม้แต่คุณรตียังมองออกว่าพวกเขาผิดปกติและได้เอ่ยขึ้นกลางโต๊ะอาหาร

“คู่นี้งอนอะไรกันอีกล่ะ หืม” ครั้นลูกชายทำหน้านิ่งตอบ ในขณะที่เขาได้แต่เสมองโน่นมองนี่เลือกที่จะไม่ตอบ คุณรตีจึงยิ้มน้อยๆ ส่ายหน้า “อยู่ด้วยกันตลอดจะมีเรื่องทะเลาะกันบ้างมันก็ไม่น่าแปลกหรอก ตาเหนือ เราก็อย่าใช้อารมณ์กับน้องนักล่ะ ส่วนจิน เราอีกคน ถ้าพี่เขาจะห่วงจะหวงเกินเลยไปบ้างก็เข้าใจเขาหน่อย เราน่ะเป็นน้องเขาแล้วนะ”

เพราะแสงเหนือตาบอดจึงไม่ได้เห็นอย่างที่เขาเห็น แววตาคุณรตีที่มองเขาอย่างสงบนิ่งเหมือนจะมีแววเข้าใจอะไรๆ ดีกว่าที่ตัวเขาเข้าใจเสียด้วยซ้ำ ด้วยอาการร้อนตัวทำให้ใบหน้าเขาร้อนผ่าวด้วยความละอายใจและรู้สึกผิด พร้อมกับที่แสงเหนือเรียกมารดา “แม่ครับ...”

นั่นล่ะ คุณรตีจึงลอบถอนหายใจและเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปสู่เรื่องอื่นแทน “เมื่อเช้าวิกกี้เพิ่งโทรมา บอกว่าทางนั้นปิดเทอมแล้ว คงได้กลับมาเร็วๆ นี้...”

“เหรอครับ” ดูท่ารับคำเลื่อนลอยด้วยทีท่าไม่สนใจ เล่นเอาเขาที่เริ่มสงสัยว่าวิกกี้สลิกกี้เพดดีกรีที่ไหนต้องเลิกสนใจตามไปโดยปริยาย คุณรตีจึงคล้ายคร้านจะพูดแล้วกินข้าวต่อเงียบๆ โดยมีเขายืนใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ อ่านหนังสือให้แสงเหนือฟังแบบผิดๆ ถูกๆ ตะกุกตะกักจนคนฟังบอกให้เขาหยุดอ่าน “ไม่ต้องใส่ใจที่คุณแม่พูดมากนักหรอก ท่านก็แค่...พูดไปเรื่อยเท่านั้น”

หากต่างคนต่างรู้ว่าคุณรตีไม่ได้แค่...พูดไปเรื่อย ความสนิทสนมระหว่างพวกเขาสองคนไม่ต้องให้ใครมานั่งชี้นั่งบอกก็ยังรู้ว่ามันผิดปกติ อย่าว่าแต่คุณรตี แม้กระทั่งเด็กรับใช้ในบ้านคนอื่นยังชอบหยิบยกมาเลียบเคียงถามเขาเป็นประจำ บางคนมีเพียงเจตนาหยอกเล่นก็แล้วไป แต่กับบางคนกลับพูดทีเล่นทีจริงจนเขาตอบไม่ถูก อาศัยเพียงแค่ว่ายังมีแสงเหนือคุ้มกะลาหัวอยู่เท่านั้นล่ะ ไม่อย่างนั้นเขาคงกระเด็นไปอยู่ข้างถนนนานแล้ว

“ยังโกรธ...ที่พี่เซ้าซี้เมื่อเช้าอีกเหรอ” แสงเหนือกำๆ คลายๆ มือทั้งสองข้างบนตัก ทำท่าจะเอ่ยคำที่เขาไม่อยากได้ยิน เพราะไม่มีแม้แต่สิทธิ์จะได้ยิน “ถ้าจินโกรธ พี่ก็ขอโท...”

“พี่เหนือไม่ผิด” จินดนัยโพล่ง ซบหน้าลงกับเข่า เอียงหน้ามองชายหนุ่ม “ผมขอถามอะไรพี่หน่อยได้ไหม ถ้าไม่อยากตอบก็ไม่เป็นไรแต่...อย่าโกรธผมนะ” ถึงค่อนข้างแน่ใจว่ายากนักที่เขาจะโดนโกรธ เขาไม่อยากให้แสงเหนือโกรธ ความรู้สึกพรรค์นี้เขาก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน

“อยากรู้อะไรเหรอครับ” รอยยิ้มกระตือรือร้นบนใบหน้าขาวสะอาดเจื่อนลงทันควันยามเขายื่นมือไปกุมมือใหญ่พร้อมเอ่ยถามสิ่งที่อยากรู้มานาน แต่ไม่กล้าถามเพราะกลัวคำตอบที่จะได้รับ “เรื่องอุบัติเหตุที่ทำให้พี่ตาบอด”

“คนอื่น...ลุงโตไม่เคยเล่าให้ฟังหรือไง” เป็นครั้งแรกที่แสงเหนือดึงมือหนีสัมผัสของเขา และมันก็สร้างความเจ็บปวดอันแปลกประหลาดให้โดยไม่รู้สาเหตุ “จะรู้ไปทำไม รู้ให้ได้อะไรขึ้นมา เรื่องมันผ่านมานานแล้ว”

ผ่านมานานแล้ว แสงเหนือคงลืมไปแล้ว ใช่ เป็นใครใครก็คงอยากลืมความผิดบาปของตัว ลืมความทรงจำที่เลวร้ายให้หมด สำหรับแสงเหนือ ความตายของเขาคือเรื่องเลวร้าย มีค่าควรให้ลืมเท่านั้นเอง... “ก็ดีครับที่ลืมได้ พี่คงไม่อยากจำมัน”

“พี่ไม่เคยลืม” เสียงเรียบๆ ดังขัดเขา คนนั่งนิ่งเหม่อมองไปไกลแสนไกลแม้ดวงตาจะมองไม่เห็นสิ่งใดราวจะมองย้อนกลับไปในอดีตก่อนถอนหายใจ “พี่จะลืมคนที่พี่ฆ่ากับมือได้ยังไง”

เขากลั้นหายใจยามรับฟังเสียงทุ้มลึกเอ่ยช้าๆ พร้อมรอยยิ้มแสนเศร้าบนใบหน้า “ต้น...จินดนัย...หมอนั่นเป็นเพื่อนพี่ตั้งแต่สมัยเรียนอนุบาล แต่เราก็ไม่ได้สนิทกันหรอกนะ เพราะ...เอ้อ หมอนั่นออกจะเป็นคนเงียบๆ ไม่ค่อยซนแบบพี่น่ะ ต้นชอบอ่านหนังสือตอนเด็กคนอื่นวิ่งเล่นกัน ชอบ...นั่งยิ้มหวานประจบครูทั้งที่ไม่ใช่เวลาเรียน”

เฮ้ย ไอ้หมอนี่ มันจะมากไปแล้ว... แต่เดี๋ยวก่อน ฟังให้จบก่อน ขืนโวยตั้งแต่ตอนนี้จะแหวกหญ้าให้งูตื่นเสียเรื่องเปล่าๆ

“พี่ชอบแหย่เขา มันตลกดีเวลาต้นวิ่งหนีหน้าตั้งไปทั่วทั้งที่ปากร้องลั่นยกสารพัดเรื่องมาขู่ ทั้งจะแก้แค้นเอย จะให้ครูตีเอย จะฟ้องพ่อแม่เอย เอาเข้าจริงก็ไม่เห็นจะมีใครมาทำโทษอะไรพี่สักครั้ง เลยแกล้งไปเรื่อยๆ กะจะรอดูว่าจะทำอะไรพี่ได้ แกล้ง...จนเหมือนกลายเป็นเรื่องปกติ กลายเป็นงานประจำ พี่สนุก ถึงหมอนั่นดูเหมือนจะไม่สนุกนักเท่าไหร่ก็เถอะ” คัน...คันไม้คันมือเหลือเกิน เย็นไว้โยม ฟังมันก่อนลูก ร่มๆ ไว้ “คนอื่นพี่ก็แกล้งนะ แต่แค่สักพักก็เบื่อ ต้องวกกลับมาแกล้งหมอนี่ต่อ พวกเด็กผู้หญิงก็ดีแต่ร้องไห้ เด็กผู้ชายก็เหมือนกัน แต่ต้นไม่เคยร้องเวลาโดนพี่แกล้ง อ้อ ยกเว้นหนแรกสุดนะ จำได้ว่าตบหัวไปที ร้องยังกับจะตาย ตลกเป็นบ้า”

คนที่ทีแรกทำท่าอิดออดไม่อยากเล่าเริ่มหัวเราะกึกกักบาดตาบาดใจจนคนมองกำลังตบะเจียนแตกกระจาย ว่าแล้วว่ามันเลว “ตอนต้นร้องไห้ พี่ว่าก็ดู...น่ารักดี เลยนึกอยากดูอีก แต่ทำยังไงๆ ก็ไม่ยอมร้องให้ดู จนครั้งหนึ่งหมอนั่นลื่นล้มฟาดพื้นจนหัวแตก เชื่อไหมว่าต้นก็ยังไม่ร้องไห้”

ลืมใส่ประธานของประโยคไปหรือเปล่า แน่จริงทำไมไม่เล่าให้หมดว่าเขาล้มเพราะวิ่งหนีไอ้เด็กบ้าคนหนึ่งอยู่ “หลังจากนั้น พี่ก็เริ่มได้ยินข่าวลือว่าหมอนั่นไปเข้าคอร์สเรียนพวกศิลปะป้องกันตัว แต่พี่ก็เริ่มโตพอแล้วล่ะนะ เลยไม่ได้แกล้งอะไรเขาอีก”

โกหก ใครกันที่วิ่งโร่ไปเรียนคาราเต้ ชกมวย ยิงปืน ไอ้ลูกหมาบ้าพลังตัวไหนกันขอรับ คุณผู้ชาย “เราเริ่มห่างกันไป จนช่วงม.ปลาย เขาก็ย้ายโรงเรียนไป พี่มาเจอต้นอีกครั้งก็ตอนเข้ามหาวิทยาลัยนี่ล่ะ คนที่ไม่คิดว่าจะได้เจอกันอีกก็กลับได้เจอ พี่...ดีใจนะ หมอนั่นยังเรียนเก่งเหมือนเดิม เป็นตัวแทนมหาวิทยาลัยไปแข่งบ่อยๆ เขาเป็นเด็กดี มีอนาคต”

แสงเหนือไม่ยอมพูดอะไรต่อหลังประโยคดังกล่าว จนเขาต้องเป็นฝ่ายเอ่ยถาม “มันเป็นอุบัติเหตุ...ใช่ไหมครับ พี่เหนือไม่ได้...”

ชายหนุ่มสูดหายใจลึก ใบหน้าที่ขาวอยู่แล้วยิ่งซีดหนัก มือใหญ่กำแน่นจนสั่นเกร็ง “จินสงสัยว่าพี่ตั้งใจฆ่าเขาหรือเปล่า...อย่างงั้นสิ”

“ผมขอโทษ ผมรู้ว่าพี่ไม่มีทางทำแบบนั้นหรอก” ทำไมเขาต้องเป็นฝ่ายละล่ำละลักขอโทษร้อนรนด้วย เขาไม่ได้ผิดสักหน่อย เพียงแต่เขาไม่อยากให้แสงเหนือโกรธนี่นา และถึงไม่อยากโดนโกรธ เขาก็อยากรู้ความจริงอีกข้อเช่นกัน “พี่เหนือนึกเสียใจแค่ไหนที่อีกฝ่ายเป็นคนคนนั้น ผมหมายความว่าถ้าเป็นคนอื่น พี่จะรู้สึกผิดน้อยลงบ้างไหม”

คราวนี้ เขาไม่ได้รับคำตอบใดๆ จากคนนั่งหน้านิ่งและพวกเขาก็แทบไม่ได้คุยกันอีกเลยหลังจากนั้น ทำเอาจินดนัยหน้าเสีย พาลให้นึกโมโหแทนว่ามันผิดมากหรือไงที่อยากรู้ความรู้สึกของคนที่ฆ่าเขา คุณรตีเห็นท่าทางมึนตึงชัดเจนเสียยิ่งกว่าตอนเช้าแต่คล้ายกับท่านคร้านจะกล่าวเตือนเรื่องเดิมๆ อีกจึงทำเป็นไม่สนใจ เขาเองก็ขี้เกียจจะสนใจ ไม่นึกอยากง้อคนพรรค์นี้ให้เสียเวลา

เขาไม่สนหรอกว่าจะโดนโกรธ โดนเกลียด ในเมื่อเขาไม่ใช่คนผิด หมอนั่นต่างหากที่ผิด แสงเหนือผิดตลอดมาและจะผิดตลอดไป เขาต้องไม่สนใจน่ะถูกแล้ว

ยังย้ำคำเดิมตอนเข้านอนพร้อมน้ำตาซึ่งเริ่มคลอหน่วง จินดนัยรีบม้วนผ้าห่มให้แน่นเข้าแต่ต้องตกใจจนเกือบร้องออกมาเมื่อจู่ๆ ก็มีแขนสอดจากด้านหลังดึงเขาเข้าไปนอนกอด หลังจากดิ้นยุกยิกอยู่พักหนึ่งโดยที่คนด้านหลังไม่สนใจอาการขัดขืนของเขา จินดนัยจึงพลิกตัวไปเผชิญหน้ากับชายหนุ่ม ท่ามกลางความมืดและความเงียบ แสงเหนือเป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อนด้วยน้ำเสียงแหบพร่า

“ถ้าทำได้ พี่ก็อยากตายแทนเขา” เป็นคำตอบที่มาช้า ตอบไม่ตรงคำถามและไม่ได้สร้างความยินดีให้อย่างที่ควรจะเป็นสักนิด เขาแตะปลายนิ้วลงบนแนวคิ้วและปลายขนตาดกหนาของคนตรงหน้าด้วยความรู้สึกบอกไม่ถูก แสงเหนือบอกว่าอยากตายแทน แต่เขายังตอบตัวเองได้ไม่เต็มปากด้วยซ้ำว่าถ้าแลกกันได้ เขายังจะกล้ายอมตาบอดแทนไหม

“ผมรู้”พร้อมๆ กับเสียงกระซิบเบานั้น จินดนัยจำต้องยอมรับความจริงบางอย่างที่ตนเคยปิดหูปิดตาไม่ยอมรับฟังมาตลอด สำหรับเขา ความตายเป็นเพียงความรู้สึกเจ็บปวดวูบเดียวก่อนดับหาย แต่สำหรับแสงเหนือ ความตายของเขานั้นหนักหนาสาหัสและยาวนานอย่างไม่สิ้นสุด ไม่เพียงต้องโดนคลางแคลงใจจากคนรอบข้างว่าเจตนาหรือเปล่า ไม่นับว่าต้องสูญเสียแสงสว่างอีก แสงเหนือยังต้องทนแบกรับความผิดอันหนักอึ้งไว้เพียงลำพัง เพราะต่อให้ใครต่อใครจะยกโทษให้ ตัวแสงเหนือนั่นล่ะที่จะไม่มีวันยอมยกโทษให้ตัวเอง

“แต่พี่เหนือไม่เห็นต้องยอมทรมานตัวเองอยู่แบบนี้เลย ทำไมไม่ยอมไปรักษาตัวที่เมืองนอก” เขาจำที่ลุงโตเคยเล่าให้ฟังได้ว่าแสงเหนือเป็นฝ่ายปฏิเสธการไปหาหมอที่ต่างประเทศ ซึ่งอาจจะเป็นเพราะกลัวความผิดหวังในกรณีที่การรักษาล้มเหลว แต่มานาทีนี้ จินดนัยเริ่มสงสัยว่าสาเหตุมีเพียงแค่นั้นจริงแน่หรือ “หมอที่นั่นเก่งๆ ทั้งนั้น เขาต้องรักษาตาให้พี่เหนือได้แน่”

ชายหนุ่มดึงมือเขาไปกดแนบริมฝีปากก่อนชะโงกตัวมาจูบที่ใบหน้าและหยุดนิ่งที่ริมฝีปากของเขา จินดนัยเข้าใจความเงียบของคำตอบดี คำปฏิเสธที่ไม่ถูกเอ่ยออกมาตรงๆ แสดงออกโดยสัมผัสอันแนบสนิท ผ่านจุมพิตที่แข็งกร้าวไร้ความอ่อนโยน ยิ่งร้องประท้วงอู้อี้ ยิ่งโดนรุกเร้าหนัก เขาโดนปากร้อนผ่าวคู่นั้นบดเบียดรุกรานจนเริ่มหายใจไม่ออกและกำปั้นที่ปาดป่ายทุบหลังทุบบ่ากว้างดูจะไม่สามารถช่วยอะไรได้แม้แต่น้อย

กว่าแสงเหนือจะยอมผละออกไป เขาก็นอนหอบโยนและหมดแรงต่อต้านยามโดนลากเข้าไปกอดไว้ทั้งตัว อ้อมแขนที่กอดรัดแนบแน่นนั้นราวกับจะต้องการลงโทษที่เขาเอ่ยขอให้รักษาตา คล้ายกับเขากลายเป็นศัตรูของจินดนัยที่โดนรถชนตาย

แสงเหนือยอมพูดถึงตัวเขาในอดีตแต่กลับไม่ยอมให้คนอื่นแตะต้องจินดนัยคนนั้นด้วย ชายหนุ่มไม่เพียงไม่ลืม หากยังยึดติดจนถึงขั้นไม่ยอมปล่อยวาง ไม่ยอมให้ใครแตะต้อง จนเกิดปัญหาไร้สาระ น่าปวดหัวและน่าคิดจริงจังแว่บขึ้นในสมองก่อนเขาจะผล็อยหลับไปในคืนนั้นว่า...เขาจะมีวันเอาชนะคนที่ตายไปแล้วได้ยังไง ในเมื่อยังมีสิ่งสำคัญที่สุดอีกอย่างก็คือคนตายคนนั้นดันเป็นเขาเอง

++++++++++++++++++++++++++

TBC


yayoy

  • บุคคลทั่วไป
Re: [Novel] ~ ด้วยรักจากสว&#
«ตอบ #88 เมื่อ18-06-2008 16:36:11 »

จะจะจะจะจะจะจะจะจะจะจะจะจูบๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆแว้ว :m1:เป็นกำลังใจให้พี่ยาโยนะครับผม

ขอบคุณคร๊าบบบบบน้องทรีคนดีของพี่โยย....มอบกำลังใจคืนให้ด้วยนะจ๊ะ
คิดถึงเสมอนะคร๊าบบบบ  :L1: :L1:

อุอุ ไม่มีอะไร เข้ามาบอกว่าคิดถึงพี่โยยอะ 

คิดถึงเหมือนกันจ้าอิง....ช่วงนี้งานยุ่งไปหน่อยอ่ะ... o12 o12
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-06-2008 17:44:21 โดย yayoy »

ja ne

  • บุคคลทั่วไป
จิ้มคุณโยย :laugh:

จะมีอะไรน่าเศร้าไปกว่าการที่ไม่สามารถถ่ายทอดความรู้สึกและความอัดอั้นในใจของทั้งสองฝ่ายได้ (เขียนได้ดูดีพิลึก):m12:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-06-2008 17:19:38 โดย kimi dake!!! »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด