✿ Wonder Lover อลวลวุ่นรัก...กลับชาติมาเกิด ✿ [ภาค1+2] 14/09/59
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ✿ Wonder Lover อลวลวุ่นรัก...กลับชาติมาเกิด ✿ [ภาค1+2] 14/09/59  (อ่าน 244616 ครั้ง)

ออฟไลน์ โซ อึน

  • อยากให้โลกนี้มีเท่ากัน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 472
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +144/-4
    • แฟนเพจเจ้าค่ะ
ปุกาด ตอนนี้โซอึนกำลังรีไรส์เรื่องนี้ใหม่
ตอนนี้กำลังรีไรส์ถึงตอนที่สองแล้ว คาดว่าไม่เกินอีกวันเดียวจะเสร็จสิ้นพร้อมเอาตอนที่8มาลงเพิ่มให้ใหม่
ความจริงอยากให้อ่านซ้ำกัน เพราะว่ามันจะต่างอารมณ์กับฉบับเก่า
แต่หลายคนอาจจะไม่ว่างไม่มีเวลา จะอ่านซ้ำ ก็ไม่เป็นไรค่ะ อ่านต่อตอนที่8ได้เลย
ขอบคุณที่คอยสนับสนุนเรื่อยมาค่ะ ขอบคุณคนอ่านที่น่ารักที่อุตส่าห์รอคอยนะค่ะ
 :pig4:  :pig4:  :pig4:

ออฟไลน์ BlueCherries

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4060
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +159/-17
เพิ่งมาอ่านรอบรีไรท์

ธาราชอบมณีมานานแล้วสินะ แต่แม่นางเงือกมาคว้าไปก่อน

แล้วธาราจะเอาลูกไปทำไร??

ปอลอ ผีเสื้อสมุทรกลับมาเกิดใหม่ไหม??

ออฟไลน์ โซ อึน

  • อยากให้โลกนี้มีเท่ากัน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 472
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +144/-4
    • แฟนเพจเจ้าค่ะ
8545

ชดใช้หนี้ครั้งที่ 3 จุมพิต


   “น้อง น้อง น้องครับ น้อง!!”

   “อ่ะ อ่า ครับ”ผมตอบรับแทบไม่ทันเมื่อได้ยินเสียงเรียกที่แทบจะตะคอกดังขึ้นจากด้านหน้าของตัวเอง

   “พี่เอาหนังสือมาคืน เป็นอะไรเหม่อเชียว แค่โดนซ่อมแค่นี้ ถึงกับนั่งเหม่อเลยรึไง”รุ่นพี่ที่ผมไม่ค่อยจะคุ้นหน้าถามราวกับว่ากำลังจะตอกย้ำให้ผมตั้งใจทำงาน เพราะกำลังอยู่ในช่วงโดนซ่อม

   แต่ทำไม ฟังดูแล้วผมกลับคิดว่ามันเยาะเย้ยกันยังไงก็ไม่รู้

   หลังจากที่ผ่านพ้นพิธีรับน้องของมหาวิทยาลัย ไม่นานชื่อเสียงของผมในฐานะของเฟรชชี่คณะมนุษย์ศาสตร์เอกภาษาไทยคนเดียวที่หาพี่รหัสไม่เจออย่างผมก็ดังไปทั่วคณะ ไม่เว้นแม้แต่ขณะรอบข้าง ทำให้ผมอับอายจนเริ่มที่จะชินกับชีวิตวัยรุ่นในรั้วมหาวิทยาลัยที่กำลังจะเหี่ยวเฉาลงไปทุกที

   “ครับ โทษที เล่มเดียวนะครับ รหัสนี้นะครับ”ผมรีบรับหนังสือมาคีย์เข้าระบบให้เรียบร้อยพลางยื่นบัตรนักศึกษาคืนให้พี่เขาไป ก่อนที่จะตกอยู่กับความเงียบอีกรอบ

   บรรยากาศที่เงียบเหงาบวกกับเสียงแอร์ที่ครางเสียงเบาในห้องสมุดหลังเลิกเรียนเป็นอะไรที่ทำเอาน่านอนมากมากเลยล่ะตอนนี้  ติดที่ว่าตอนนี้ผมไม่ได้กำลังง่วงนอนเสียแต่อย่างใด กลับตรงกันข้าม

   ผมกำลังนั่งเหม่อลอยมองดูใครอีกคนที่อยู่ห่างไปไม่ไกล

   คนที่มีชะตากรรมร่วมกันกับผม คนที่ทำให้ผมต้องมานั่งเหม่ออยู่ในห้องสมุดยามเย็นแบบนี้

   ใครอีกคนที่มีรูปร่างสูงใหญ่เกินคนอื่นจนผมเห็นแล้วยังอดอิจฉาไม่ได้ รูปร่างสูงใหญ่ซึ่งดูท่าแล้ว ภายใต้เสื้อผ้านั่นคงจะรูปร่างดีไม่ใช่น้อย คงจะเล่นกล้ามล่ะมั้ง พี่เขาถึงได้ตัวใหญ่ขนาดนี้

   พอผมไปยืนเทียบกับเขาแล้วทำให้ดูต่างชั้นกันไปเลย ทั้งที่ผมสูงตั้งร้อยเจ็ดสิบกว่า แต่ทำไมถึงได้ต่างกันราวกับฟ้ากับเหวเชียว แค่คิดสภาพจิตใจผมมันก็ห่อเหี่ยวแล้ว

   นี่ก็ผ่านมาหนึ่งอาทิตย์แล้วที่หลังเลิกเรียนผมต้องมาคอยนั่งรับหนังสือที่ถูกยืมไปคืนเข้าระบบ ส่วนพี่เขาก็ทำหน้าที่เก็บ

   ต่างฝ่ายต่างทำหน้าที่ของใครของมัน แต่ทำไม ทำไมผมถึงได้รู้สึกว่าตัวเองอึดอัดเอามากมายขนาดนี้

   ทั้งที่พี่เขาเป็นคนที่เป็นต้นเหตุทำให้ผมต้องมาโดนซ่อมเป็นเดือนๆ แต่ทำไมเจ้าตัวถึงไม่ดูทุกข์ร้อนหรือรู้สึกผิดอะไรเลยสักนิด ตรงกันข้ามเขากลับมีท่าทีสบายใจเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเสียอย่างนั้น

   การพูดคุยระหว่างผมกับพี่เขาก็แทบจะนับคำกันได้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ทำเป็นมาพูดจาแปลกแปลกใส่ผมเป็นตุเป็นตะ ทีตอนนี้กลับมีท่าทีไม่ทุกข์ร้อนเหมือนกับว่าลืมเรื่องราวที่เคยพูดไป

   หรือว่าพี่เขาเป็นพวกสองบุคลิกกัน ผมล่ะไม่เข้าใจจริงๆ  วันวันพี่เขาก็แค่เดินมาหยิบหนังสือแล้วเอาไปเก็บไว้ที่ชั้นตามหมวดหมู่  ไม่เห็นว่ามีอะไรที่แปลกไปกว่านั้น ทั้งที่พี่เขาเพิ่งจะบอกให้ผมมีลูกด้วยกันกับเขา ซึ่งฟังยังไงมันก็ดูแปลกเอามากมาก

   คนเรานี่มันเข้าใจยากขนาดนั้นเลยรึไง เริ่มคิดว่าชีวิตวัยรุ่นของผมมันคงไม่ง่ายขึ้นมาแล้วสิ

   ผมจ้องมองดูพี่เขาเดินมาเอาหนังสือไปเรียงที่ชั้นตามหมวดหมู่กองแล้วกองเล่า

   ความเงียบงันกับเสียงเครื่องปรับอากาศที่ครางเบาเบาก่อให้เกิดบรรยากาศที่น่าเบื่อหน่ายทำให้ผมต้องยกมือขึ้นมาเท้าคางชันแขนลงบนเคาท์เตอร์

   ยิ่งมองดูพี่เขาแล้ว ผมก็ยิ่งเกิดความรู้สึกหมั่นไส้ขึ้นหนักกว่าเก่า นักศึกษาผู้หญิง หลายคนเอาแต่ลอบมองตามพี่เขาไปอยู่บ่อยบ่อย

   ไม่เว้นแม้กระทั่วผู้ชายด้วยกันที่ผมแอบเห็นว่ามองตามพี่เขาด้วยสายตาที่อิจฉาปนหมั่นไส้ไม่น้อย

   
      ยิ่งเห็นก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองกำลังสวมวิญญาณนางร้ายในละครที่กำลังริษยาพี่เขาอยู่

   ทำไมเขาถึงได้ดูดีในทุกทุกอิริยาบถแบบนี้ ไม่ว่าจะเอื้อมเก็บหนังสือในชั้นที่สูง หรือว่าจะนั่งยองก้มลงเก็บหนังสือในชั้นที่ต่ำสุด
   ผมก็ไม่ได้อิจฉามากมายอะไรหรอกนะ แค่มันเกิดอารมณ์หมั่นไส้เฉยๆ ที่เป็นตัวต้นเหตุทำให้ผมต้องมาทำงานหลังเลิกเรียนอย่างนี้ ซ้ำยังทำเป็นไม่รู้ร้อนรู้หนาวทั้งที่ตัวเองเป็นคนก่อเหตุเอาไว้ แถมยังทำท่าทำทางหล่อซะเต็มประดา เรียกให้สาวสาวหันไปมองกันหมด ไม่เว้นแม้กระทั่งผู้ชายบางคนที่ผมเองก็ไม่รู้ว่ากำลังมองเขาด้วยจุดประสงค์อะไรกันแน่ แค่เห็นก็ขนลุกแล้ว ดูดีจนผู้ชายด้วยกันบางคนยังอาย

   ถ้าขืนอยู่ใกล้ๆพี่เขาอีกต่อไปล่ะก็ ชีวิตวัยรุ่นของผมก็คงเหี่ยวเฉาหนักขึ้นไปอีก เพราะถูกรัศมีความดูดีของพี่เขากลบเอาหมด
   ว่าแล้วผมก็ถอนหายใจเป็นรอบที่เท่าไรก็ไม่รู้ พลางหลุบตาลงมองหนังสือเล่มที่พึ่งจะถูกคืนมา

    “พระอภัยมณี”

   จะว่าไป ชื่อของผมเองก็มาจากตัวเอกของวรรณคดีเรื่องนี้ แต่ว่าผมเองก็ไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องราวที่อยู่ในหนังสือเล่มนี้เลย ไม่รู้แม้กระทั่งที่มา จำความได้ก็ใช้ชื่อนี้มาตลอด

   จะเป็นไปได้ไหมที่พี่เขารู้เรื่องชื่อผมอยู่แล้วแล้วเอามาอำเพราะรู้ว่าเขากำลังเข้าเรียนที่เดียวกัน

   แต่ว่าต่างคนต่างก็เพิ่งจะเจอหน้ากันครั้งแรกไม่ใช่รึไง ผมเองก็เพิ่งจะเคยเห็นพี่เขาเป็นครั้งแรก จำได้ว่าไม่เคยเจอคนที่ดูดีเท่าเขามาก่อนในชีวิต ถึงจะน่าหมั่นไส้แค่ไหนก็เถอะ

   แต่ยิ่งคิดผมยิ่งปวดหัว หนี้ตั้งแต่ชาติที่แล้วอะไรผมไม่เห็นจะรู้เรื่อง หรือว่าพี่เขาจะชอบวรรณคดีเรื่องนี้มาก เลยเอามารวมกับชีวิตจริง แต่มันก็คงไม่มีใครเพี้ยนขนาดนั้น

   แล้วทำไม ดวงตาที่พี่เขาจ้องมองผมในคืนนั้น มันถึงเป็นดวงตาที่แสดงออกว่ากำลังมุ่งมั่นเกินกว่าที่จะเป็นแววตาที่แสดงออกถึงการโกหกหรือว่าผมอาจจะคิดไปเอง

   แต่ทำไมเรื่องราวที่เกิดขึ้นมันถึงได้ค้างคาใจผมจนผมแทบจะหยุดคิดถึงมันไม่ได้

   ทำไมผมถึงได้บังคับใจตัวเองให้ปล่อยมันผ่านเลยไปไม่ได้กัน ทั้งที่คิดว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระ แต่มันก็ยังคงค้างคาอยู่ในใจผมราวกับว่ามันอยู่ข้างในนั้นมาตลอด

   ผมหยิบหนังสือเล่มที่ปกยับยู่ยี่จนกระดาษแทบจะเปื่อยบ่งบอกถึงความเก่าขึ้นมา แล้วตัดสินใจคีย์รหัสนักศึกษาของตัวเองลงไปเพื่อทำเรื่องยืมเข้าระบบ
      

   ไม่รู้ว่าทำไมผมจะต้องยืมมัน แต่ว่าความสงสัยที่อยู่ภายในใจมันไม่หายไปสักที

   จะยืมไปมันก็คงไม่เสียหายอะไร อย่างน้อยๆก็คงจะได้รู้จักพระอภัยมณีเจ้าของชื่อที่ผมกำลังใช้อยู่


   “เจ้าสนใจมันเช่นนั้นหรือ?”เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นด้านหน้าเค้าท์เตอร์ทำเอาผมแทบสะดุ้งเพราะกำลังคิดอะไรเพลินๆ

   คำพูดแบบนี้ของเขาทำเอาผมจดจำได้ดีโดยไม่ต้องจำน้ำเสียงกันเลยทีเดียว

   ทำไมตอนคุยกับคนอื่นพี่เขาถึงคุยปกติได้ ทีตอนนี้ล่ะทำมาเป็นพูดจาลิเกหลงโรงกับผม

   ผมล่ะไม่เข้าใจพี่เขาจริงๆ หรือว่าเขาจะเป็นคนสองบุคลิกอย่างที่ผมคิด

   “ก็ไม่ได้สนใจสักหน่อย  แค่เห็นคนยืมบ่อยเลยอยากจะดูว่ามันเป็นยังไงเฉยๆ ไม่ได้สนใจสักนิด”

   ผมตอบปัดพลางเชิดหน้าอย่างวางฟอร์ม พลางหยิบหนังสือยัดใส่กระเป๋าตัวเองด้วยท่าทางที่ไม่ค่อยพอใจเขาสักเท่าไร

   ข้อหาหล่อเกินคนอื่น อีกทั้งยังเป็นต้นเหตุที่ทำให้ผมต้องมาซ่อมที่ห้องสมุดเป็นเดือนเดือนแบบนี้

   “หากเจ้าอยากรู้อะไร ถามความเอากับข้าก็ได้”

   “อะไร ก็ไม่ได้อยากรู้สักหน่อย อย่ายุ่งให้มากเรื่องได้ไหม”

   ผมบอกปัดพลางเบือนหน้าหนีพี่เขา เขาทำอย่างกับตัวเองรู้ดี จนน่าหมั่นไส้ พูดจาเหมือนกับว่าตัวเองอยู่ในเรื่องพระอภัยมณี แถมยังไม่เลิกพูดภาษาลิเกอีก

   ผมเริ่มที่จะหงุดหงิดแล้วไม่อยากจะคุยกับพี่เขาแล้ว

   ผมผลุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ก่อนจะคว้าเอากระเป๋าตัวเองมาสะพายเพราะนาฬิกาบอกเวลาเลิกงานพอดิบพอดี ทำให้ผมมีข้ออ้างที่จะออกห่างจากพี่เขาได้


   แล้วทำไม ท่าทีของผมมันถึงได้ดูเหมือนว่าผมกำลังกลัวพี่เขาอยู่กันนะ สายตาที่ยิ่งมองก็เหมือนกับยิ่งคุ้นเคยของพี่เขาทำให้ผมรู้สึกหวาดหวั่นเวลาที่จะต้องจ้องมองมันกลับ

   “เฮ้อ”

   ผมถอนหายใจเป็นรอบที่สองร้อยแล้วมั้งสำหรับวันนี้

   ผมยกมือขึ้นยีผมตัวเองเบาเบา พยายามสลัดภาพของพี่เขาที่ติดมาในหัวออกไป

   เวลาที่ผมถูกเขาจ้องมอง ทำไมผมถึงได้รู้สึกแปลกๆในอกอย่างบอกไม่ถูก ทั้งรู้สึกกลัว แล้วก็หวั่นไหวในใจ จนไม่สามารถที่จะอธิบายออกมาเป็นคำพูด

   แสงนีออนของไฟถนนยามเย็นเริ่มติดขึ้นทีละดวงอย่างอัตโนมัติบ่งบอกว่าความมืดกำลังเข้ามาเยือน

   สายลมของฤดูหนาวพัดผ่านในยามเย็นหอบเอาความเงียบงันเข้าปกคลุมทำให้เวลาที่ไม่ค่อยมีผู้คนอย่างนี้ดูหดหู่ไม่น้อย

   อาจเป็นเพราะล่วงเลยเวลาเย็นมากแล้ว นักศึกษาต่างก็พากันกลับไปหมด ที่มีเหลืออยู่ก็แทบจะนับคนได้

   ผมเดินไปยังลานจอดรถมอเตอร์ไซที่อยู่ไม่ไกลจากตึกคณะ

   บรรยากาศยิ่งเงียบสงบเข้าไปใหญ่เมื่อดวงอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้า เพราะเป็นฤดูหนาวทำให้ความมืดเริ่มเข้าปรกคลุมพื้นที่ในเวลาไม่นาน มีเพียงแสงจากหลอดไฟเท่านั้นที่พอจะให้แสงสว่างทำให้เห็นบริเวณรอบรอบ

   เสียงฝีเท้าดังมาจากทางด้านหลังทำให้ผมหันไปมองพลางหรี่ตาลงเมื่อลมพัดแรงขึ้นกว่าเก่าเล็กน้อยทำให้ใบไม้ที่เริ่มแห้งร่วงหล่นลงมาตามสายลม

   วินาทีที่ราวกับถูกดวงตาสีดำเหลือบสีเขียววาบสะกด เพียงชั่วครู่ที่ผมมองเห็นดวงตาสีดำสนิทคู่นั้นทอประกายสีเขียวมรกตก่อนจะกลับไปเป็นสีดำสนิท

   หรือว่าผมตาฝาดอีกแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่ผมจะเห็นตาเขากลายเป็นสีเขียวแบบคืนนั้นอีกครั้ง หรือว่าผมกำลังจะคิดมากไปเอง
   ร่างสูงใหญ่ของพี่ธาราอยู่ห่างจากผมไปแค่ไม่กี่ก้าว ดวงตาสีดำสนิทของเขาทอดมองมาทางผม

   “อภัยมณี เจ้าลืมสิ่งนี้เอาไว้”พี่ธาราเดินเข้ามา ยื่นโทรศัพท์เครื่องสีขาวมาตรงหน้าผม

   ดูเหมือนว่าผมจะลืมมันเอาไว้บนโต๊ะเพราะความรีบร้อนเกินไป

   “ขอบคุณ”ผมตอบสั้นสั้นได้ใจความ พยายามที่จะรักษาเวลาให้น้อยที่สุดในการที่ต้องอยู่เพียงลำพังกับคนประหลาดอย่างพี่เขา
   ผมรับมือถือเครื่องสีขาวมาอย่างไว พยายามที่จะไม่สัมผัสกับผิวของพี่เขาใบหน้าของผมรู้สึกว่ามันร้อนวูบอย่างบอกไม่ถูกเมื่อรู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกจ้องอยู่จากมุมสูง

   รู้อย่างนี้ผมไม่น่ารีบจนลืมของสำคัญเอาไว้เลย มันน่าอายชะมัดที่ต้องให้คนเพี้ยนเพี้ยนอย่างพี่เขามาคอยช่วยเหลือ รู้สึกว่าเสียฟอร์มขึ้นมาเลย

   “เจ้ากำลังจะไปที่ใดกัน”จู่จู่พี่ธาราก็ถามขึ้นหลังจากที่เราของคนเงียบกันมาพักหนึ่งจนผมรู้สึกว่าเริ่มอึดอัด

   “อะไร จะรู้ไปทำไม”

   ผมตอบเสียงห้วนอย่างขัดใจ ไม่ชอบใจเลยที่พี่เขาพูดแทนตัวเองว่าข้าแล้วแทนตัวผมว่าเจ้าเหมือนกับภาษาลิเกแบบนี้

   “มีสิ่งใดเป็นข้อห้ามที่ห้ามไม่ให้ข้าอยากรู้ได้”

   “เออ ก็กลับบ้านดิ ป่านนี้แล้ว แล้วก็เลิกพูดจาอะไรแบบนั้นได้แล้ว บ้าบอ”ผมบอกพลางขมวดคิ้ว จ้องมองเขาอย่างไม่พอใจ

   “ข้าพูดกับเจ้าอย่างที่เคยพูดกับเจ้าเมื่อชาติที่แล้ว”

   “ชาติที่แล้วบ้าอะไร มันมีซะที่ไหน เลิกบ้าได้แล้ว นอนน้อยรึไง ถึงได้ฝันประหลาด เลิกพูดแบบนนั้นสักที”

   “จะให้ข้าเลิกพูดได้อย่างไรในเมื่อมันคือความเป็นจริง”พี่ธาราพูดด้วยน้ำเสียงจิงจังพลางจ้องมองผมด้วยสายตาที่มุ่งมั่นราวกับจะต้องการยืนยันในสิ่งที่พูดว่ามันเป็นความจริง

   แต่มันจะเป็นไปได้ยังไง ชาติที่แล้วมันมีจริงที่ไหนกัน

   “ความจริงบ้าบออะไร เลิกพูดเหอะน่า สิ่งที่คุณพูดมันไม่มีจริงสักอย่าง คุณน่ะบ้าไปแล้ว มันไม่มีจริงหรอกไอ้กลับชาติมาเกิดอะไรนั่นนะ แล้วอีกอย่าง เลิกเรียกชื่อจริงสักที เรียกแค่มณีสั้นๆพอ ฟังแล้วมันดูพิลึก”

   ผมว่าไปยาวยาวเพราะไม่ต้องการที่จะเสวนากับคนอย่างพี่เขาอีก คนเพี้ยนเพี้ยนอย่างพี่เขา ไม่มีค่าพอที่จะให้ผมนับถือเป็นพี่ด้วยซ้ำ เรียกแบบเหินห่างแบบนี้น่ะดีแล้ว ไม่ค่อยอยากจะสนิทกับคนพรรค์นี้สักเท่าไร ถึงแม้ว่าพี่เขาจะเป็นพี่รหัสก็ตาม

   
   “ถึงอย่างไรเจ้าก็หลีกหนีความจริงไปไม่ได้หรอก อภัยมณี”

   “ความจริงที่ว่าผมติดหนี้คุณน่ะเหรอ เอาจริงนะ นี่บ้าไปแล้วรึไงแล้วอะไรต่อล่ะ จะให้ผมมีลูกกับคุณน่ะเหรอ เลิกพูดดีกว่า ก่อนที่ผมจะประจานคุณให้รู้กันไปทั้งว่าคุณชอบพูดเหมือนพวกลิเกหลงโรงกับผม”

   ผมหันกลับไปจ้องมองเขาแล้วพูดเสียงดังอย่างเหลืออดเต็มที

   ทำไมไอ้เรื่องเพี้ยนๆที่พี่เขากรอกเข้ามาในความคิดของผมต้องคอยตามหลอกหลอนผมอยู่ตลอด

   ชีวิตวันรุ่นใสใสที่ผมต้องการนี่มันยากขนาดนี้เลยรึไงกัน ไม่เข้าใจจริงๆเลย ว่าชีวิตวัยรุ่นของไอ้มณีคนนี้ทำไมมันถึงได้แห้งเหี่ยวขึ้นทุกวันทุกวันแบบนี้

   “เจ้าต้องกำเนิดบุตรให้กับข้า เมื่อใดที่บุตรของข้ากับเจ้ากำเนิดมา หนี้แค้นทั้งหมดจะถูกชำระสิ้น”

   “อะ อะไรนี่ ยังไม่เลิกพูดอีกรึไง แล้วทำไมผมต้องไปมีลูกกับคุณ ผมเป็นผู้ชายนะ แหกตาดูบ้างดิ เผื่อจะยังไม่รู้ ไม่ได้เป็นเกย์”
   ผมปรี๊ดขึ้นมาทันทีเมื่อพี่เขาท้วงเรื่องให้ผมไปมีลูกกับเขาอีกรอบ มันอะไรกันนักหนา ผู้ชายบ้านไหนเขาจะท้องได้ คนนะไม่ใช่ไส้เดือนถึงจะได้สืบพันธุ์กันโดยไม่อาศัยเพศ   

   “ข้าบอกเจ้าแล้วอย่างไรว่าเผ่าพันธุ์ยักษ์เราสืบพันธ์ได้ทุกเพศทุกตน แค่เราไม่ค่อยนิยมสืบพันธ์กับเพศบุรุษแค่นั้น”

   “คุณนี่มัน หึ่ม ยังไงจะไม่หยุดพูดเรื่องพรรณนี้ใช่ไหม”

   ผมเดินเข้าไปใกล้พี่เข้าด้วยท่าทางที่กำลังหงุดหงิดเต็มทน

   ทั้งหงุดหงิดทั้งโมโหกับไอ้บทสนทนาบ้าบออะไรนี่แล้ว ใครเชื่อก็ออกลูกเป็นแมวแล้ว นี่มันไม่ใช่นิทานหลอกเด็กจะได้ให้เชื่อกันง่ายๆ

   “ใช่ ข้าจะไม่หยุดพูดตราบใดที่เจ้ายังไม่ได้สืบพันธุ์ร่วมกับข้า”พี่ธาราบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง พลางจ้องมองมาที่ผมด้วยแววตาที่แน่วแน่ แต่นั่นมันก็ยิ่งทำให้ผมหงุดหงิดเข้าไปใหญ่จนอยากจะชกหน้าเขาสักหมัด

   ติดแค่ว่าพี่เขาเป็นพี่รหัส ขืนทำไปคงจะมองหน้ากันไม่ติดอีกหลายปี ผมจึงได้แต่ยืนเงยหน้าจ้องมองเขานิ่งอย่างโกรธเคืองไปตามอารมณ์

   “สืบพันธ์บ้าอะไรกัน อะ อะไรเล่า ปล่อยสิเว้ย มันน่าโมโหจริงๆเลย ปล่อยนะ”

   จู่จู่พี่เขาก็ดึงจับข้อมือของผมดึงเข้าไปหาตัวเองโดยที่ผมไม่ทันได้ตั้งตัว

   ผมพยายามสะบัดมือใหญ่ของพี่เขาให้หลุดออกจากข้อมือ แต่มันก็ไม่เป็นผล ทั้งที่พี่ธาราดูเหมือนไม่ได้ออกแรงอะไรเลย แต่ทำไมผมถึงได้รู้แรงเขาไม่ได้ล่ะเนี่ย มันน่าเจ็บใจนักเชียว แกะยังไงก็แกะไม่หลุดสักที

   “เจ้าต่างหากที่น่าโมโหยิ่งนัก ไม่ยอมเข้าใจอะไรง่ายๆเสียที”

   “อะไร ทำไมต้องเข้าใจด้วย ไอ้นี่นี่ ชักจะเอาใหญ่แล้วนะ”

   ผมโวยวาย จะร้องให้คนช่วยก็ไม่มีแมวตัวไหนโผล่มาสักคน ทีอย่างนี้ล่ะเงียบหายกันไปหมด

   อีกอย่างตอนนี้ก็เริ่มมืดเข้าไปทุกที ผมได้แต่กัดริมฝีปากแน่นอย่างขัดใจตัวเอง ดวงตาเริ่มหรี่ลง แล้วขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ

   “อีกอย่าง เวลานี้ข้าอายุมากกว่าเจ้าเป็นร้อยปี เจ้าควรจะเรียกข้าว่าพี่ ถึงจะถูก เรียกข้าว่าพี่ธาราเหมือนดังชาติก่อนสิ อภัยมณี”
   “ไม่เรียกโว้ย ไอ้บ้านี่  ก็บอกแล้วไงว่าอย่าเรียกชื่อจริง แล้วนี่ เป็นยักษ์รึไง ถึงได้แรงเยอะขนาดนี้”

   ผมโวยวายเอาเสียงดังเข้าข่ม พยายามทุบที่มือของเขาที่กุมข้อมือผมอยู่ แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้สะเทือนอะไรพี่เขาเลยสักนิด
   ความจริงเรื่องนี้มันจะไม่มีอะไรมากไปกว่านี้เลยถ้าพี่เขาไม่ได้มาชวนให้ผมไปผสมพันธุ์ด้วยอย่างนี้   

   “ใช่ เจ้าก็รู้นี่ว่าข้าเป็นยักษ์ ยังจะต้องถามอีกรึ”พี่ธารายังคงยืนยันคำตอบเดิมจนผมชักจะหงุดหงิดจนแทบจะคลั่งตาย

   “ไม่ใช่โว้ย ยังจะมายักษ์เยิกอะไรอีก ยักบ้าอะไรไม่มีเขี้ยว”

   ก็จริงไหมล่ะ ถ้าเป็นยักษ์จริงจริงก็ต้องมีเขี้ยวไม่ใช่รึไง   ดูยังไงก็คนชัดๆ ไม่มีอะไรแตกต่างนอกจากตัวที่ใหญ่กว่าชาวบ้านแค่นั้นเอง

   “นี่เป็นร่างแปลงของข้า เหมือนที่ผีเสื้อสมุทรแปลงตอนที่อยู่กับเจ้า”

   “จะบ้าไปใหญ่แล้ว ไม่คุยด้วยแล้ว ยิ่งคุยยิ่งยาว ปล่อยสิ ผีสงผีเสื้ออะไรกัน ว่างมากก็ไปเช็คสมองไป”

   ทำไมตอนนี้ถึงได้ไม่มีใครผ่านมาสักคนเลยนะ ไม่เข้าใจจริงๆ ไอ้ลิเก(ย์)นี่มันกำลังชวนลวนลามผมอยู่ใช่ไหม

   แล้วก็ชวนผมผสมพันธุ์อีก ถ้าเกิดจู่จู่พี่เขามีอารมณ์ขึ้นมาจะทำยังไง ไอ้มณีคนนี้ไม่กลายเป็นเหมืองทองให้เขาขุดไปเลยรึไง
   แค่คิดก็น่ากลัวแล้ว ไอ้มณีคนนี้ยิ่งเป็นพวกดูดีน่าดึงดูดใจอีกต่างหาก

   
   “ไม่ต้องห่วงไป ข้าไม่สืบพันธุ์กับเจ้าตอนนี้หรอก มันยังไม่ถึงเวลาอันควร เจ้าอย่าเป็นกังวลไป ยังมีเวลาอีกมากพอที่จะให้เจ้าได้เตรียมใจ”

   “อะ เออ ก็ปล่อยสิ ใครจะไปคิดเรื่องนั้นกัน มีแต่คุณเท่านั้นแหละที่คิดเรื่องพรรค์นั้นคนเดียว อย่ามาทำรู้มากไปหน่อยเลย”

   ผมว่าพลางเบือนหน้าหนี ทำไมต้องรู้สึกว่าหน้าตัวเองมันร้อนผ่าวไปหมด นี่ผมกำลังหน้าแดงอยู่ใช่ไหม

   “ข้าจะปล่อยก็ต่อเมื่อเรียกข้าว่าพี่”

   “มะ ไม่เอา ไม่เรียก ก็ทำตัวไม่สมกับเป็นรุ่นพี่เอง ทำไมจะต้องเรียกพี่ด้วยล่ะ”

   “เรียกข้าว่าพี่ธารา มิเช่นนั้นเจ้าจะต้องถูกลงโทษ”พี่เขาบอกด้วยน้ำเสียงที่ต่างออกไป

   ทำให้ผมเริ่มรู้สึกขนลุกขึ้นมาแปลกๆ อีกทั้งสายตาที่จ้องมองมาเหมือนกับจะคาดคั้นนั่นอีก มันจะอะไรนักหนา

   “ไม่เรียก”

   “เรียกเดี๋ยวนี้”

   “ไม่”ยังไงผมก็จะไม่เรียกเขาว่าพี่เด็ดขาด ตราบใดที่เขายังไม่เลิกพูดภาษาลิเกกับผม

   “ข้าบอกให้เรียกพี่ธาราอย่างไรเล่า อภัยมณีเจ้านี่ชั่งดื้อดึงยิ่งนัก”

   พี่เขาพูดเสียงดังกลับมาจนผมสะดุ้ง รู้สึกว่าข้อมือที่ถูกกุมเอาไว้จะถูกบีบแน่นกว่าเก่าจนเริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมา

   “อะไร ทีคุณยังเรียกผมว่าอภัยมณี เรียกมณีก็พอแล้ว แล้วแทนตัวข้าข้าเจ้าเจ้าบ้าบออะไร ถ้าอยากให้ผมเรียกพี่ก็แทนตัวเองใหม่สิ ไอ้เพี้ยนเอ้ย”

   “ก็ได้ ถ้าเจ้าต้องการเช่นนั้น เจ้าก็เรียกพี่ว่าพี่ธาราเสีย”

   “ไม่เรียก”ผมเมินหน้าหนี ยังไงก็ไม่ยอมรับอยู่ดี

   “พี่ธารา”

   “ไม่ ก็บอกว่าไม่เรียกไง”

    ให้ตายยังไงพี่เขาก็ไม่ยอมปล่อยผมอยู่ดี แขนที่ถูกบีบเริ่มจะรู้สึกเจ็บขึ้นมาบ้างแล้ว เพราะพยายามที่จะสะบัดให้หลุด มันน่าเจ็บใจนัก

   “เรียกเดี่ยวนี้”

   “ไม่เรียกโว้ย ปล่อยสักที อื้มมมมม”

   ผมยังพูดไม่ขาดคำดี ริมฝีปากของพี่ธาราก็กระแทกลงมาที่ปากผมอย่างรวดเร็วโดยที่ผมไม่ทันได้ตั้งตัว

   ปากของพี่เขาก็ขยี้ลงมาหนักหน่วงจนผมตกใจแทบจะหมดแรงลงไปกองกับพื้นถ้าไม่ติดที่พี่เขาถือโอกาสที่ดึงผมเข้าไปกอดประคองเอาไว้

   ดวงตาของผมเบิกกว้างขึ้นอย่างตกใจ ใบหน้าของเขาอยู่ใกล้จนชิด ดวงตาสีดำสนิทนั้นกำลังจ้องลึกเข้ามาในดวงตาของผมในระยะประชิด

   มันจ้องเข้ามาในดวงตาผมอย่างจาบจ้วงพอพอกับลิ้นร้อนๆที่ผมเผลอเปิดปากรับมันเข้ามาด้วยความตกใจ

   สายตาที่ราวกับกำลังแผดเผาทำให้ผมต้องเลือกที่จะหลบตาคู่นั้นโดยการหลับตาหนี

   จูบที่ราวกับเปลวเพลิงร้อนแผดเผาอยู่ภายในปากของผมอย่างหนักหน่วง

   พร้อมกับอ้อมแขนที่โอบกระชับผมมากกว่าเก่าเพราะผมพยายามที่จะขืนตัวเองออก

   ทั้งที่ผมพยายามยามที่จะไม่ตอบสนอง จูบแรกที่เคยวาดฝันเอาไว้กับสาวมหาลัยน่ารักน่ารักสักคนกลับพังทลายกลายเป็นจูบที่เร่าร้อนเกินกว่าที่ผมจะตามทัน

   ในเกมส์นี้ผมถูกต้อนให้จนมุม ถูกบังคับให้ตอบรับในสิ่งที่พี่เขากำลังเชื้อเชิญ ผมไม่เข้าใจจริงจริง

   ไม่เข้าใจในสิ่งที่พี่เขากำลังทำอยู่กับผมตอนนี้เลย


***----***----***----***----***----***----***----***----***----***----***----***----***----***----***----***----***----***

มีต่อ


ออฟไลน์ โซ อึน

  • อยากให้โลกนี้มีเท่ากัน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 472
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +144/-4
    • แฟนเพจเจ้าค่ะ
ต่อ

“น้องผีเสื้อ น้องก็รู้ว่ามันผิดที่จะใช้มนตราลักพาเอามนุษย์มาเช่นนี้”ร่างสูงใหญ่ใบหน้าดุดันราวกับรูปปั้นเทวาแห่งสงครามกล่าวด้วยท่าทีตำหนิน้องสาวร่วมสายเลือดของตนเองด้วยท่าทีที่เป็นกังวล

   “น้องรู้ว่ามันผิด แต่น้องหลงรักเขาตั้งแต่แรกเห็น เขารูปงามเกินกว่าที่น้องจะหักห้ามหัวใจดวงนี้เอาไว้ ความรักที่น้องมีต่อเขามันมากล้นเหลือเกินพี่ธารา ต่อให้น้องต้องตาย น้องก็จะทำเขาเป็นของน้องให้จงได้ ชีวิตนี้น้องไม่ต้องการสิ่งใดอีกแล้วนอกจากได้เขามาเคียงคู่”ร่างท้วมใหญ่ใบหน้าคล้ำเอยด้วยน้ำเสียงแน่วแน่ราวกับกำลังต้องมนต์ให้ตกอยู่ในห้วงแห่งรัก

   “ถ้าเช่นนั้นน้องก็จงดูแลเขาให้เป็นอย่างดี เขาเป็นมนุษย์ มิใช่สัตว์เลี้ยง จงอย่าได้คิดทิ้งขว้างหรือทำอันตรายต่อเขาเป็นอันขาด”

   “น้องจะดูแลเขาด้วยชีวิต ชาตินี้ทั้งชาติชีวิตของน้องจะเป็นของเขาเพียงผู้เดียว”ผีเสื้อสมุทรกล่าวด้วยน้ำเสียงแน่วแน่ก่อนจะแปลงกายให้เป็นหญิงงาม เรือนร่างสะโอดสะองนุ่งน้อยห่มน้อย

   แล้วใช้มือเรียวบางดันก้อนหินใหญ่เปิดปากถ้ำปากถ้ำออก เดินเข้าไปภายใน แล้วดันมันปิดประตูถ้ำไว้ดังเดิม

   ทิ้งให้ธาราสมุทรยักษารูปงามผู้เป็นพี่ส่ายหน้าด้วยความระอาใจกับการกระทำที่เอาแต่ใจของผู้เป็นน้อง

   ที่รู้ทั้งรู้ว่าเผ่าพันธุ์ของยักษ์นั้นจะผูกติดชีวิตกับคู่ครอง หากเมื่อใดที่อายุขัยของคู่ชีวิตสิ้นสุด เมื่อนั้นชีวิตตนก็จะสิ้นตามไป

   ชีวิตของมนุษย์ช่างสั้นยิ่งนักหากเทียบอายุขัยกับเผ่าพันธุ์ยักษาที่มีอายุขัยไม่รู้จบสิ้น


   แต่หากเพราะความเป็นอมตะที่ยั่งยืนนั้นเป็นสิ่งที่น่าเศร้ายิ่งนักเมื่อต้องมองดูสิ่งที่เปลี่ยนผันไปตามกาลเวลา โดยที่ตนเองไม่เคยเปลี่ยนแปลงตามสิ่งรอบตัว

   หลายร้อยปีผ่านมาจึงได้กำเนิดลูกแก้วอายุรา โดยการบำเพ็ญเพียรของยักษ์เฒ่า ที่สามารถบันดาลให้เผ่าพันยักษา สามารถมีการเวียนว่ายตายเกิดเช่นสิ่งมีชีวิตทั่วไป ทำให้อายุขัยของเผ่าพันยักษ์อยู่ได้เพียงสามร้อยปี จากเดิมที่ไม่มีวันจบสิ้น หรือเป็นเพียงสามเท่าของเผ่าพันธุ์มนุษย์


***----***----***----***----***----***----***----***----***----***----***----***----***----***----***----***----***----***----***----***

   “ทะ ทำ อะไรน่ะ บะ บ้ารึไง ปะเป็นเกย์ ระ เหรอ”

   ผมผลักพี่ธาราออกอย่างแรงทันทีที่พี่เขาคลายอ้อมแขน ผมยกมือขึ้นเช็ดปากตัวเองไปมาอย่างเจ็บใจ ทั้งโกรธทั้งอายที่พี่เขามาทำแบบนี้ ไม่น่าเสียท่าเลยจริงจริง

   “โทษที่เจ้าไม่ทำตามคำของข้า”

   “ละ แล้วทำไมต้องจูบเล่า  ไอ้บ้าเอ้ย ไอ้เกย์โรคจิต” ไม่รู้จะสรรหาคำพูดอะไรมาต่อว่าผู้ชายคนนี้แล้วจริงจริง

   ไอ้ลิเกย์บ้านี่มันจูบผม จูบที่เรียกว่าจูบจริงๆไม่ใช่เอาปากแตะปาก มันเอาลิ้นเข้ามาในปากผมด้วย

   ไอ้บ้านี่มันช่างหน้าด้านนักมันน่าโมโหไหมล่ะ นี่จูบของผมนะ จูบแรกด้วย จูบแรกกับสาวน่ารักๆ กับชีวิตวัยรุ่นในฝันของผมพังทลายลงไปแทบจะทันที แล้วทำไมผมถึงปล่อยให้เขามาจูบได้ล่ะเนี่ย

   ไม่ใช่แล้ว!! ผมขัดขืนพี่เขาแล้วต่างหาก เขาใช้กำลังบังคับผม ใช่ ผมไม่ได้สมยอม ไม่ได้สมยอมเลยสักนิด ผมไม่ผิด พี่เขาต่างหากที่เป็นคนผิด

   ใจเย็นเย็นสิมณี ตั้งสมาธิเอาไว้ ท่องเอาไว้ อย่าเดินเข้าไปในเส้นทางสีม่วงเด็ดขาด

   ผมกำลังถูกดึงเข้าไปในเส้นทางสีม่วง

   เมืองทองหนอ ขุดทองหนอ ไม่นะ เหมืองทองหนอ ขุดทองหนอ

   ไม่จริงใช่ไหม ไอ้พี่ธารามันเป็นเกย์จริงๆใช่ไหม หรือว่าผมกำลังคิดไปเอง ใครก็ได้ ช่วยบอกผมที

   แล้วทำไมพี่เขาต้องมาทำอย่างนี้กับผมด้วย หรือว่าพี่เขากำลังจีบผม

   แล้วคนบ้าที่ไหนจะมาจีบกันด้วยการชวนไปผสมพันธุ์แบบนี้ นี่มันไม่ใช่ นี่มันต้องไม่ใช่เรื่องจริง

   ชีวิตวันรุ่นของไอ้มณี บ้าไปแล้ว ไอ้มณีเสียจูบไปแล้ว เสียจูบให้ผู้ชาย

   ผมมองซ้ายขวาอย่างตื่นตระหนกกลัวว่ามีใครจะมาเห็นว่าเมื่อกี้ผมกำลังจูบอยู่กับพี่ธารา

   ถ้ามีใครมาเห็นเข้าล่ะก็ ชีวิตวัยรุ่นหน้าตาดีอย่างที่วาดเอาไว้ของผมคงจะพังทลายหายไปในพริบตาทันที

   แล้วทำไมพี่ธาราเขาถึงได้ยกยิ้มมุมปากเหมือนเยาะเย้ยผมแบบนั้นล่ะ นี่เขากำลังเยาะเย้ยผมอยู่ใช่ไหม เขากำลังว่าผมอ่อนประสบการณ์จูบอยู่ใช่ไหมถึงได้มองผมด้วยท่าทีแบบนั้น มันจะมากไปแล้ว

      “รสจูบเจ้า ช่างหอมหวานเหมือนเมื่อร้อยปีที่แล้วยิ่งนัก”

   พี่ธาราพูดกับผมด้วยน้ำเสียงที่ดูยังไงมันก็เหมือนกับกำลังหยอกเย้าผมอยู่ ทำให้ผมหน้ายิ่งแดงหนักเข้าไปใหญ่

   ดวงตาสีดำสนิทของเขาจ้องมองผมเหมือนกับกำลังจะมองเข้าไปข้างในร่างกายผมยังไงยังงั้น

   อีกทั้งตอนนี้เขากำลังยิ้ม

   “หวะ หวานบ้าบออะไร บอกไว้ก่อนนะ ว่าฉันไม่ใช่เกย์ อย่าเข้าใจผิด ละ แล้วก็ อย่าบอกใครล่ะ ไอ้บ้าเอ้ย”ผมชี้หน้าพลางพูดบอกเขาอย่างเจ็บใจ

   หันหลังเตรียมออกเดินหนี ความคิดมันตีกันไปหมด จนเริ่มไปไม่เป็น ทำอะไรไม่ถูก ยกมือขึ้นขยี้ผมตัวเองอย่างหงุดหงิด ทั้งโมโหทั้งเจ็บใจจนไม่รู้จะเลือกเอาอย่างไหนก่อนดี

   “เดี่ยวสิ”พี่ธาราเรียกเอาไว้ก่อนจะยื่นมือมาจับที่แขนผมรั้งเอาไว้

   “ฮะ เฮ้ย บะบอกไว้ก่อนนะ มะไม่ได้กลัว อย่าเข้ามาใกล้ ไปไหนก็ไปเลย ถ้าจูบอีกผมต่อยแน่”

   ผมสะบัดมือเขาออกทันทีพลางถอยหลังออกจากเขาหลายก้าวเพื่อที่จะตั้งหลักหากถูกจู่โจมอีกรอบจะได้หนีทัน

   แค่โดนจูบครั้งเดียวมันก็หนักเกินพอแล้วสำหรับชีวิตวัยรุ่นที่วาดฝันเอาไว้   ไอ้จูบแบบนี้ใช่ไหมที่เขาทำกันในหนังโป๊ที่เคยดู มันไม่เห็นสยิวแบบในหนังโป๊เลยสักนิด ตรงกันข้ามกลับตื่นเต้นจนหัวใจแทบวายมากกว่า

   “แต่ข้าหิว”พี่ธาราบอกเสียงเบาทำให้ผมหันไปมองหน้าเขาอย่างไม่เข้าใจ

   คนอะไรจะเปลี่ยนอารมณ์ได้ไวขนาดนั้น ได้ข่าวว่าเมื่อกี้พี่เขาเพิ่งจะจูบผมไป

   “เป็นยักษ์ไม่ใช่รึไง นู่นไง หมาเดินอยู่นั่นน่ะเห็นไหม จับกินเอาสิ”ผมหันไปบอก

   พอดีเห็นไอ้ด่างหมาที่ยามเลี้ยงเอาไว้เดินผ่านไปถึงได้พยักหน้าบอกพี่เขา ถ้าเป็นยักษ์จริงก็ต้องกินสัตว์เป็นตัวตัวสิ จะมาบอกผมทำไมกัน

   หรือว่าที่บอกว่าหิวคือเขาจะจับผมกิน ยิ่งคิดก็ยิ่งไปกันใหญ่

   “เจ้านี่ช่างดื้อด้านยิ่งนัก”

   “เออ แล้วไงล่ะ ยืนอยู่นั่นเลยนะ ไม่ต้องเดินเข้ามา”ผมชี้หน้า พลางเดินถอยหลังเมื่อเห็นว่าพี่เขาเดินเข้ามาใกล้

   “เจ้ากลัวข้าอย่างนั้นรึ”

   “ไม่ได้กลัว สักหน่อย”ผมตอบแทบจะทันทีพลางยืดอก ไม่อยากจะบอกว่ากลัวพี่เขาจับผมจูบอีกรอบต่างหาก

   “งั้นไปเถอะ ข้าหิวแล้ว”

   “หิวก็เรื่องของคุณสิ มะ ไม่เกี่ยวกับผมสักหน่อย”

   “ไปเถอะ มือนี้ข้ารับผิดชอบเอง”พี่ธาราว่าพลางยกยิ้มเมื่อเห็นว่าผมเริ่มเหล่มองเขาด้วยท่าทีสนใจ

   ใครจะไม่สนใจล่ะ นี่พี่เขากำลังบอกว่าจะเลี้ยงผมอยู่ใช่ไหม ว่าแต่ทำไมผมถึงไม่ได้สังเกตเลยว่าตอนนี้พี่เขาเดินเข้ามาใกล้จนมายืนอยู่ข้างหน้าผมแล้ว

   “เลี้ยงจริงเหรอ”

   “ข้ามีสัจจะ ไม่โกหกเจ้าหรอกอภัยมณี”

   “งะ งั้นอาหารญี่ปุ่นได้ไหม”ผมถาม พลางคิดแผนจะฉีกกระเป๋าพี่เขาให้สมกับจูบแรกที่เสียไปเลย

   เอาคืนให้สาสมที่บังอาจมาจูบไอ้มณีคนนี้ได้

   “นั่นเป็นสิ่งข้าโปรดปราณ”พี่ธาราพลางยิ้มพยักหน้ารับเบาเบาทำให้ผมแสยะยิ้มออกมาทันที
   คอยดู จะกินให้ขนหน้าแข้งร่วงกันไปข้างหนึ่งเลย
   
   

   “ใครจะขับ”ผมถามเมื่อเดินมาถึงลานจอดรถ

   “ข้าขับเอง”

   “ขับเป็นรึป่าว มอไซต์อ่ะ”ผมถามอย่างไม่แน่ใจ

   คนที่ดูดีมีชาติตระกูลอย่างพี่เขาน่ะเหรอจะขับมอเตอร์ไซเป็น

   ดูท่าทางการมองมอเตอร์ไซยังมองแบบงงงงอยู่เลยไม่ใช่รึไง ยังมีหน้าจะมาอาสาขับ ตกลงพี่เขาไม่เต็มบาทหรือว่าอะไรกันแน่ ผมล่ะไม่เข้าใจ ไม่รู้จะสรรค์หาคำไหนมาเปรียบเปรยดี ดูท่าแล้ว ไม่รู้ว่าเคยนั่งมอเตอร์ไซบ้างรึป่าว

   “ไม่เคย แต่ก็คงไม่ยาก”

   พี่ธาราตอบพลางยักไหล่ทำให้ผมหันไปถลึงตาใส่แทบจะทันที เป็นอย่างที่คิดเอาไว้ไม่มีผิด แล้วยังมีหน้าจะมาอาสาขับเอง คนคนนี้นี่มันยังไง ถ้าไม่ติดว่าผมเห็นเขาเป็นคนเพี้ยนเพี้ยนผมคงคิดว่าพี่เขากำลังกวนตีนผมอยู่เป็นแน่

   “ไม่ยากอะไร ไม่เคยขับมอเตอร์ไซเลยรึไง”ลูกคุณหนูจริงๆ ผมพูดพลางหยิบกุญแจรถมอเตอร์ไซออกมาเสียบที่เต้ารับก่อนจะถอยมันออกมา

   “ไม่เคย แต่คิดว่าคงทำได้”

   “เชื่อก็บ้าแล้ว ขับมอไซต์นะ ไม่ใช่ปั่นจักรยาน จะได้หัดกันง่ายๆ ขืนให้ขับล่ะตายคู่กันพอดี”ยังมีหน้ามาบอกว่าจะขับเองทั้งที่ขับไม่เป็นพี่เขา เพี้ยนหนักมากจริงๆ ชักเริ่มสงสัยว่าความคิดของพี่เขาเป็นยังไงกัน ทำไมถึงได้สุดยอดจนไม่รู้จะบรรยายออกมาด้วยคำพูดอะไรอย่างนี้

   “งั้นเจ้าก็ขับ”

   “เออ นั่นแหละ ขับเองดีกว่า ถอยไปล่ะ ห้ามนั่งใกล้เด็ดขาด นั่งท้ายๆเบาะจนสุดเลยนะ ถ้าเข้าใกล้จะยกล้อให้ร่วงเลย”ผมพูดขู่ พลางปั้นหน้าโหด ที่ไม่รู้ว่ามันดูแล้วจะโหดสักแค่ไหน

   ว่าแต่มันจะดีเหรอที่ยอมให้พี่เขานั่งซ้อนแบบนี้ เมื่อกี้พี่เขายังจูบผมอยู่เลย  แต่ถ้าพี่เขาเกิดตุกติกล่ะก็ คอยดูจะยกล้อให้ร่วงกลางถนนกันไปเลย
   



   พอถึงร้านอาหารญี่ปุ่นที่อยู่ในห้างสรรพสินค้าที่อยู่ไม่ไกลจากมหาวิยาลัยผมก็ตรงดิ่งเข้าไปนั่งจับจองพื้นที่ วางตัวอย่างกับเป็นเจ้ามือมาเอง

   ผมเปิดเมนูออกพลางสอดส่ายสายตาหาเมนูที่คิดว่าแพงที่สุดอร่อยที่สุด ช่วยไม่ได้ เขาอยากรับปากว่าจะเลี้ยงผมเอง

   ลองดูว่าจะมีปัญญาจ่ายแค่ไหน ถ้าเงินไม่พอจ่ายจะทิ้งให้นั่งล้างจานอยู่ที่ร้านนี่ไปเลย


   “เป็นยักษ์ไม่ใช่รึไง กินได้เหรอ”ผมถามพลางหรี่ตาอย่างจับผิดเมื่อพี่ธาราเปิดเมนูบ้าง

   ก็พี่เขาบอกว่าตัวเองเป็นยักษ์ แล้วเขาจะมากินอาหารของคนได้ยังไงกัน

   “ยักษ์ก็เหมือนมนุษย์ ไม่ต่างกันตรงที่ชอบกินเนื้อ”

   “หึ ให้มันจริงเถอะ”ผมว่าพลางชี้เมนูสั่งอาหารพนักงานไปหลายชุด

   พอสั่งเสร็จก็หันไปยักคิ้วให้พี่เขาอย่างสะใจนิดหน่อย คงจะอึ้งสิท่าที่เห็นผมสั่งของแพงแพงเยอะขนาดนี้

   แต่ทำไมพี่เขาถึงยิ้มรับคล้ายกำลังหัวเราะผมอยู่กันนะ ไม่เห็นจะมีทีท่าว่าเจ็บใจผมสักนิด

   แทนที่พี่เขาจะโดนเอาคืน ทำไมผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นฝ่ายเสียเปรียบไปซะได้

   ผมมองหน้าพี่ธาราที่กำลังยิ้มอย่างพอใจ แล้วสั่งเมนูอาหารที่ทำให้ผมต้องตาโต

   เมื่อเมนูที่สั่งล้วนเป็นของสด ดิบดิบทั้งนั้น อีกทั้งพี่เขายังสั่งมาเกือบห้าสิบกว่าจาน นี่กินหรืออะไรกันเนี่ย


   “มองหน้าข้ามีอะไรรึ”พี่ธาราหันมาถามหลังจากส่งเมนูคืนพนักงาน ดวงตาสีดำสนิทของเขาคล้ายกับมีประกายขบขันอยู่ภายในทำให้ผมยิ่งมองก็ยิ่งตกใจกับเมนูอาหารที่เขาสั่ง

   “ไม่มีอะไรสักหน่อย แล้วนั่นกินคนเดียวเลยเหรอ”ผมถามพลางบุ้ยหน้าอย่างกลัวเสียฟอร์ม

   ตกลงไอ้ที่พี่เขาบอกว่าตัวเองเป็นยักษ์เนี่ย เรื่องกินผมคงต้องคิดดูใหม่


   ผมลอบมองอาหารจานแล้วจานเล่าที่ทยอยเสริฟออกมาจากหลังร้าน จ้องมองดูพี่ธารากินไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด






   “กินเข้าไปได้ไงหมดนั่น”ผมพูดเสียงเบาพลางมองจานเปล่าที่วางกองเรียงเป็นคอนโดจนสูง

   อาหารที่พี่เขากินไปมันเทียบเท่ากับของคนสิบคนกินเลยก็ว่าได้ แค่เห็นผมก็พะอืดพะอมแทนแล้วไอ้ไอ้ของสดกลิ่นคาวแบบนั้น

   “ก็ข้าเป็นยักษ์ แค่นี้ถือว่าเล็กน้อย”

   “ยังจะว่าไปเรื่อยอีก”ผมบ่นเบาเบา ไม่ว่ายังไง พี่เขาก็ยังจะยืนยันอยู่ดีว่าตัวเองเป็นยักษ์

   เป็นยักษ์ภาษาอะไรกัน ถึงได้เหมือนมนุษย์ขนาดนี้ ทั้งการวางตัว การพูดจากับคนอื่นๆถ้าไม่นับรวมผมล่ะก็ ดูจากภายนอกเขาก็แค่คนคนหนึ่งเหมือนๆกับคนทั่วไป

   ถ้าไม่นับรวมว่าหน้าตาหล่อกว่าชาวบ้านนิดหน่อย กินจุกว่าชาวบ้านหลายเท่า ตัวใหญ่กว่าชาวบ้านพอประมาณ แล้วก็ดูรวยกว่าชาวบ้าน ดูจากบัตรเครดิตสีทองวาววับตอนที่จ่ายค่าอาหาร นอกนั้นก็ไม่มีอะไรผิดแปลก เขี้ยวก็ไม่มี ตัวก็ไม่ได้ใหญ่เท่าตึก  ทำไมเขาถึงชอบบอกว่าตัวเองเป็นยักษ์กันนะ


   ผมทำสีหน้าครุ่นคิดพลางมองไปที่คนข้างข้างอย่างไม่เข้าใจ ทำไมพี่เขาต้องเข้ามาหาผมแล้วพูดเรื่องราวแปลกแปลกด้วย

   ถ้าพี่เขาไม่มีนิสัยที่ผมคิดว่ามันเพี้ยนมากล่ะก็ ผมคงจะคิดดีกับเขามากกว่านี้

   ผมเดินไปเรื่อยๆผ่านทางม้าลายเพื่อที่จะไปยังลานจอดรถมอเตอร์ไซที่อยู่ชั้นใต้ดินของตัวห้างสรรพสินค้า โดยที่ไม่ได้สังเกตุว่าพี่ธาราไม่ได้อยู่ข้างข้างผมแล้ว

   
   “อะ อ่าว ไปไหนของเขา เมื่อกี้ยังอยู่”หันมาอีกทีพี่ธาราก็หายไป ทำให้ผมยกมือขึ้นเกาหัวเบาเบาอย่างมุนงง

   คนอะไรนึกจะมาก็มา นึกจะหายก็หาย แต่ช่างมันเถอะ เดี๋ยวก็คงโผล่มาเอง อีกอย่างตอนนี้ผมก็มีที่จะให้คิดมากเกินที่จะมาสนใจเขา


   “ระวัง!!!!!!”

   เอี๊ยดดดด

   เสียงร้องดังทำให้ผมหันไปมองอย่างตกใจ แต่ไม่ทันแล้ว แสงไฟของรถสาดเข้ามาที่ตัวผมจนผมต้องหลับตาลงแทบจะทันที เสียงเบรกจนล้อรถเสียดกับถนนดังก้องไปทั่ว ผมหลับตาแน่นสนิทด้วยความหวาดกลัวก่อนจะยกมือกุมหัวตัวเองแล้วย่อตัวลงอย่างตกใจ


   ปังงงงงงง

   เสียงชนสนั่นดังไปทั่วเรียกให้คนที่อยู่บริเวณนั้นหันมามองด้วยความสนใจ

   ไม่นานคนขับก็ลงมาจากรถด้วยสีหน้าที่ดูตื่นตระหนกไม่น้อย พลางรีบเก็บโทรศัพท์ลงในกระเป๋ากางเกงอย่างร้อนรน

   เพราะมัวแต่คุยโทรศัพท์จึงไม่ทันเห็นว่ามีคนข้ามทางม้าลายอยู่

   “เป็นอะไรไหม”เสียงทุ้มต่ำกระซิบเรียกผมลืมตาขึ้นมองด้วย มือทั้งสองข้างมันสั่นจนไม่อาจจะควบคุมได้

   นี่ผมยังไม่ตายใช่ไหม ทำไมผมถึงไม่เจ็บเลยสักนิด

   “มะไ ม่เป็นไร”ผมตอบกลับด้วยความมึนงง พยายามตั้งสติมื่อครู่ รถคันนี้วิ่งมาด้วยความเร็ว ใกล้เพียงแค่เอื้อม ทำไมผมถึงไม่รู้สึกเจ็บเลยสักนิด ทำไมผมถึงไม่โดนชน

   แล้วพี่ธาราล่ะ พี่เขามาได้ยังไง ในเมื่อเมื่อกี้พี่เข้าไม่ได้อยู่ตรงนี้กับผม

   ผมหันไปมองรถที่จอดสนิททับเส้นทางม้าลาย กันชนของรถบุบลึกเหมือนกับกระแทกกับอะไรสักอย่างจนมันยุบลงไป เหมือนกับว่าถูกค้อนหนักๆทุบจนมันบุบ

   ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมแปลกใจเข้าไปใหญ่แต่นั่นก็ไม่แปลกใจเท่ากับตรงกันชนของรถส่วนที่ยุบนั้นมีมือของธาราทาบอยู่  มือที่เริ่มมีรอยปริของบาดแผล

   แล้วที่สำคัญ เลือดที่ไหลซึมออกมานั้นมีสีเขียวเข้มราวกับสีของมรกตจนน่าหวาดกลัว

    นั่นมันเลือดใช่ไหม!! ของเหลวที่ออกมาจากมือของพี่ธาราคือเลือดใช่ไหม

   เลือดของพี่ธาราเป็นสีเขียว!!!!!!



***---***---***---***---***---***---***---***---***---***---***---***---***---***---***---***---***---***---***

16/09/58

ถูกผิดตรงไหนติชมกันได้ค่ะ
ยินดีตอบรับคำติชมเพื่อพัฒนาผลงานค่ะ



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-09-2015 17:22:19 โดย โซ อึน »

ออฟไลน์ Min*Jee

  • เอวรี่ติงจิงกะเบล
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2797
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-5
ก็บอกว่าพี่ธาราเป็นยักษ์ไงลูกมณี แบบนี้คงไม่คิดว่าพี่เค้าเป็นเอเลี่ยนเลือดสีเขียวหรอกนะ
รอตอนต่อไปเนาะ

ออฟไลน์ โซ อึน

  • อยากให้โลกนี้มีเท่ากัน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 472
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +144/-4
    • แฟนเพจเจ้าค่ะ
เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย::นางผีเสื้อสมุทรเป็นยักษ์ที่ได้ทำความดีความชอบเอาไว้พระอิศวรจึงให้ถอดหัวใจใส่ไว้ในก้อนหินได้ ต่อมาได้กำเริบว่าตนเองเป็นอมตะจึงได้ไปต่อสู้กับพระเพลิงจนร่างกายถูกไฟเปาไหม้ วิญญาณได้ไปสิงอยู่ในก้อนหินที่ถอดหัวใจซ่อนเอาๆไว้ นานวันเข้าก้อนหินนั้นได้กลับกลายเป็นร่างกายที่อัปลักษณ์ แต่นางผีเสื้อสมุทรสามารถแปลงกายให้เป็นหญิงงามได้ ต่อมาจึงได้เจอพระอภัยมณีแล้วตกหลุมรักตั้งแต่แรกเห็นจึงได้ลักพาพระอภัยมณี โดยที่พระอภัยมณีไม่ยินยอมและรู้อยู่แล้วว่านางเป็นยักษ์เพราะแววตาที่ไร้ชีวิตและกลิ่นกายที่เหม็นสาบผิดกับมนุษย์ แต่นางผีเสื้อสมุทรก็บังคับพระอภัยมณีโดยพระอภัยมณีออกอุบายว่าถ้าหากยอมล่ะก็หากวันหน้าผิดใจกันห้ามฆ่ากันเด็ดขาด นางผีเสื้อสมุทรตอบตกลงทันทีแล้วก็มีอะไรกัน จากนั้นก็เกิดสินสมุทร

** ชดใช้หนี้ครั้งที่ 4 ยักษ์สมุทร **


   “เอ่อ คือ เป็นอะไรไหม”

   ผมถามเสียงเบาหลังจากที่พากันเดินมาที่ลานจอดรถชั้นใต้ดินของห้างสรรพสินค้า

   ผมจ้องมองมือที่มีผ้าเช็ดหน้าของผมคลุมอยู่โดยที่มีของเหลวสีเขียวมรกตไหลซึมออกมา โชคดีที่ความตกใจของผมทำให้ผมรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาคลุมมือเขาเอาไว้ทัน ประกอบกับแสงไฟที่น้อยจนเห็นภาพได้แค่ลางๆ คนอื่นที่มามุงดูจึงไม่มีใครสังเกตเห็นได้ทัน

   หรือว่าเห็นไปแล้วก็ไม่รู้ ผมเองก็ไม่แน่ในเท่าไร

   แต่ยังไงซะตอนนี้เรื่องพวกนั้นมันก็คงไม่สำคัญเท่ากับตอนนี้ เลือดของพี่ธาราเป็นสีเขียว สีเขียวจริงๆ

   ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าคนอย่างไอ้มณีจะต้องมาพบเจอเรื่องแบบนี้

   “ข้าไปไม่เป็นอะไรหรอก มีก็แต่เจ้าที่มัวแต่เหม่อลอยจนเกือบโดนรถนั่นชน”พี่ธาราหันมาตอบทำเอาผมรู้สึกผิดไปเลยทีเดียว

   “งะ งั้นเหรอ แล้วแผลนั่น เอ่อ จะเอายังไง”

   ผมถามอ้ำอึ้ง จะพาไปโรงพยาบาลคนอื่นอื่นเขาก็ได้แตกตื่นกับไอ้เลือดสีเขียนนั่นพอดี เกิดมาเพิ่งจะเคยพบเคยเห็น ตอนนี้ผมเองก็ยังช็อคไม่หายเลยด้วยซ้ำ

   “ปล่อยไว้อย่างนี้ล่ะ เดี๋ยวแผลก็หายไปเอง”

   “จะบ้าเหรอ”ผมร้องเสียงดัง โชคดีที่ตอนนี้ไม่ค่อยมีคนอยู่แล้ว ถึงจะเลือดสีเขียวก็เถอะ แต่แผลนี่มันคงไม่ได้หายเองง่ายง่ายหรอกมั้ง หรือว่ามันจะหายเองจริงจริงถามที่พี่เขาบอก

   ตอนนี้ผมรู้สึกว่าตัวเองมึนแล้วก็ไปไม่ถูกเลยทีเดียว

   ตอนนี้อยากจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเลยด้วยซ้ำ ถ้าพี่เขาเป็นยักษ์จริงๆ ผมไม่ต้องผสมพันธ์กับพี่เขาจริงจริงตามที่พี่เขาบอกรึไง แค่คิดก็ขนลุกแล้ว

   “ข้าไม่เป็นอะไร แล้วเจ้าล่ะ ขับรถกลับไหวหรือไม่”พี่ธาราหันมาถามผมด้วยสีหน้าที่แสดงออกถึงความห่วงใย ทำเอาผมยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้นไปอีก

   “ไหวอยู่ ไม่เป็นไร”ผมตอบพลางเบือนหน้าหลบ แต่ก็ยังไม่วายเหลือบมองดูมือที่มีผ้าเช็ดหน้าปิดเอาไว้อยู่ดี

   “งั้นเจ้าก็ขับรถกลับบ้านดีดีล่ะ”

   “คือ เอ่อ แล้วพี่จะกลับยังไง”ผมถามออกไป สิ่งที่เขาช่วยเหลือผมมันมากเกินไปจนทำให้ผมยอมเรียกพี่เขาว่าพี่ได้จริงจริงแล้ว แต่ถึงยังไงผมก็ยังไม่ไว้วางใจเขาอยู่ดี

   “นั่งรถเมล์กลับ”

   “ให้ผมไปส่งก็ได้นะ เจ็บมืออยู่ไม่ใช่รึไง รถเมล์ตอนกลางคืนมันขับไม่ดี เดี่ยวจะเจ็บเข้าไปใหญ่ เห็นว่าช่วยหรอกนะ ไม่ได้อยากไปส่งเท่าไรหรอก”ผมบอกแก้เก้อ ทำไมรู้สึกว่าช่วงนี้ผิวหน้าตัวเองร้อนขึ้นบ่อยเกินไปยังไงก็ไม่รู้

   “ก็ได้ ถ้าเจ้าต้องการเช่นนั้น”


   
   แสงไฟสลัวสองข้างทางสาดลงมาบนพื้นถนนทำให้ผมพอจะเห็นทางอยู่บ้าง ผมขับรถลัดเลาะเข้ามาในซอยที่แยกออกมาจากถนนใหญ่ สองข้างทางเป็นป่าที่มีต้นไม้ขึ้นสูงทึบจนดูน่าขนลุก มีเพียงไฟถนนไม่กี่ดวงเท่านั้นที่ส่องสว่างต่อระยะทางของซอยที่ลึกมากของซอยนี้

   ผมไม่อยากจะนึกเลยว่า ถ้าปล่อยให้พี่เขานั่งรถสองแถวมาจากห้างสรรพสินค้า พี่เขาจะต้องเดินเข้ามาอีกลึกแค่ไหน
   มองดูสองข้างทางไม่มีบ้านคนเลย ไม่มีแม้กระทั่งคนที่ผ่านไปมา ไม่ยักรู้ว่ามีที่แบบนี้อยู่ในจังหวัดที่ขึ้นชื่อเรื่องการท่องเที่ยวแบบนี้อีก

   แล้วพี่เขาเข้าออกทุกวัน พี่เขาไม่กลัวบ้างรึยังไง

   “อีกไกลไหม”

   ผมเปิดหมวกกันน็อกขึ้นแล้วถามแข่งกับเสียงลมที่พัดแรง ความหนาวในเวลากลางคนทำให้ผมต้องห่อตัวลงแต่นั่นก็ไม่เท่ามือที่กำลังจับเอวของผมอยู่อย่างฉวยโอกาส

   ถ้าเป็นสาวมหาลัยน่ารักน่ารักมาซ้อนท้ายล่ะก็ ผมจะไม่ว่าอะไรเลย แต่นี่มันผู้ชาย ผู้ชายที่มีเลือดสีเขียว ที่ผมเองก็ยังไม่รู้ว่าพี่เขาเป็นตัวอะไร

   ถ้าไม่ใช่ว่าพี่เขาช่วยผมเอาไว้ ผมคงถีบพี่เขาตกรถไปนานแล้ว

   
   “สุดทางข้างหน้าเจ้า”พี่ธาราบอกก่อนจะชี้ไปด้านหน้า

   ทำให้ผมมองเห็นรั้วบ้านที่สูงจนท่วมหัว เอาคนสองคนยืนต่อกันแล้วยังสูงไม่ถึง

   กำแพงรั้วบ้านที่ทึบจนไม่สามารถมองเห็นภายในบ้าน อีกทั้งหลังคาบ้านสไตล์โมเดิร์นสองชั้นหลังใหญ่ที่สูงเลยพ้นกำแพงบ้านมาพอให้เห็นทำให้ผมอดทึ่งไม่ได้ที่มีบ้านแบบนี้อยู่ในที่ที่ไร้ผู้คนอย่างนี้

   
   “หลังนั้นเหรอ”ผมถามย้ำเพื่อความแน่ใจกับบ้านหลังใหญ่ที่ผมกำลังเห็นอยู่

   “ใช่ หลังนั้นนั่นล่ะ”พี่ธาราย้ำ

   ทำให้ผมเริ่มคิดว่าพี่เขาหลอกผมมารึปล่าว ทำไมบ้านหลังใหญ่แบบนี้มาตั้งอยู่ตรงนี้แล้วยังไม่มีบ้านคนอื่นเลย ทำอย่างกับมาซ่อนเอาไว้ไม่ให้ใครเห็น

   แล้วไอ้คนที่อยู่บ้านหลังใหญ่ขนาดนี้ ใช้บัตรเครดิตสีทองอร่ามขนาดนั้น ทำไมถึงไม่มีรถขับกับเขา แต่กลับขึ้นรถเมล์ไปไหนมาไหน มันก็น่าสงสัยอยู่ไม่ใช่รึไง

   ตอนนี้เลยกลายเป็นหลายเรื่องเลยที่ผมยิ่งคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจเกี่ยวกับตัวพี่เขา


   ผมจอดรถหน้าบ้านที่คิดว่าเป็นบ้านของพี่เขาตามที่พี่เขาบอก พลางมองดูมือที่มีผ้าเช็ดหน้าผมคลุมอยู่ ไม่ว่ายังไง ผมก็ยังคงสงสัยไม่หายอยู่ดี

   “เอ่อคือ ไปแล้วนะ”ผมบอกพลางมองไปยังประตูบ้านที่ถูกออกแบบมาให้ทึบจนมองไม่เห็นภายในบ้าน ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องสร้างให้ทึบบังตัวขนาดนั้นด้วย

   หรือว่าพี่ธาราขี้ตู่ว่าบ้านหลังนี้เป็นบ้านตัวเอง เพราะคนที่มีบ้านหลังใหญ่ขนาดนี้เขาก็ต้องมีรถหรูหรูขับกันไม่ใช่รึไง

   แถมบรรยากาศก็เงียบเหงาวังเวงเหมือนไม่มีใครอยู่อีกต่างหาก ไม่รู้ว่าข้างในจะเป็นบ้านแบบไหนกันทำไมถึงต้องสร้างกำแพงสูงๆประตูทึบๆปกปิดแบบนี้ด้วย

   “เจ้าอยากจะเข้าไปข้างในไหมล่ะ”

   เสียงพี่ธาราถามทำให้ผมหันขวับไปมองพี่เขาแทบจะทันที สลับกับมองประตูบ้านพี่เขา นี่พี่เขากำลังชวนผมเข้าในข้างในจริงๆเหรอ

   ความจริงผมก็ไม่ได้อยากที่จะอยู่สองต่อสองกับพี่เขาสักเท่าไร แต่ใจมันก็อยากรู้ว่าบ้านที่อยู่ข้างในจะเป็นยังไง

   “นี่บ้านพี่จริงจริงเหรอ”ผมถามย้ำพลางหรี่ตาลงอย่างจับผิด แต่ดูท่าพี่เขาคงไม่ได้โกหกอะไร เพราะเขาดูท่าทางนิ่งเกินกว่าที่จะโกหก

   “บ้านชั่วคราวน่ะ”

   บ้านชั่วคราว? ตอบมาได้ นี่น่ะเหรอบ้านชั่วคราว แล้วถ้าบ้านจริงจริงพี่เขาล่ะ จะขนาดไหน

   “เข้าไปได้เหรอ”

   “ได้สิหากเจ้าต้องการ”

   พี่ธาราตอบพลางกดรหัสบนแป้นกดหน้าประตูบ้าน ไม่นานประตูบ้านบานเล็กก็ดีดตัวแง้มออกเล็กน้อยแล้วพี่ธาราก็เปิดมันออก
   “เข้ามาสิ”เขาพยักหน้าเรียกพลางเบี่ยงตัวให้ผมจูงรถมอเตอร์ไซเข้าไปในตัวบ้าน

   ทันทีที่ผมเดินเข้ามาในตัวบ้าน โมชั้นเซ็นต์เซอร์ก็ทำงานทันที ไฟภายในสวนของตัวบ้านเริ่มติดทีละดวง

   แสงสีส้มเริ่มสาดลงมาเผยให้เห็นพันธุ์ไม้หลากหลายชนิดที่ปลูกเอาไว้จนเต็มสวนอย่างสวยงาม

   ผมมองไปรอบรอบด้วยความแปลกใจ กำแพงรั้วบ้านที่ว่าสูงแล้ว ต้นไม้ที่อยู่ด้านในยิ่งสูงกว่า ราวกับคนออกแบบต้องการให้มันสูงเพื่อปิดกั้นสายตาจากคนภายนอก

   ตัวบ้านหลังใหญ่ที่คล้ายกับเรือนกระจกเพราะมันใสจนมองทะเห็นเกือบแทบทั้งหมดภายในบ้านที่ตกแต่องอย่างเรียบง่ายเน้นพื้นที่กว้าง

   อีกทั้งอีกฝั่งของตัวบ้านที่มองทะลุไปได้ก็มีสระว่ายน้ำขนาดพอดีที่ล้อมรอบสามด้านด้วยต้นไม้และไม้พุ่มบังตา

   ผมเพิ่งจะเคยเข้ามาในบ้านหรูแบบนี้ครั้งแรกเลย แล้วเมื่อกี้พี่เขาบอกกับผมว่าอะไรนะ บ้านชั่วคราว

   ขนาดบ้านชั่วคราวของพี่เขายังขนาดนี้ แล้วบ้านจริงจริงของเขาล่ะ ไม่เป็นคฤหาสน์พันล้านเลยรึไง

   ยิ่งคิดยิ่งสงสัย ว่าบ้านพี่เขาทำอะไรกันแน่ ทำไมถึงได้รวยขนาดนี้ รวยจนหน้าหมั่นไส้ นอกจากจะหล่อแล้วยังรวยอีก ใจคอจะไม่แบ่งความดีความชอบให้ใครบ้างเลยรึยังไง

   “นี่ พ่อแม่พี่ อยู่ไหนเหรอ”ผมถาม เพราะไม่สังเหตุเห็นว่ามีใครอยู่ในบ้านหลังนี้เลยนอกจากผมกับพี่เขา

   “บิดาของข้าสิ้นอายุขัยตามมารดาของข้าไปเมือหลายสิบปีที่แล้ว”

   “อะ เอ่อ พ่อพี่ฆ่าตัวตายเหรอ”ไอ้ที่ว่าสิ้นอายุตามเนี่ย ก็คือฆ่าตัวตายตามใช่ไหม

   “มิใช่อย่างที่เจ้าคิดหรอก เผ่าพันธุ์ยักษ์จะผูกชีวิตไว้กับคู่ครอง หากวันใดที่คู่ครองสิ้นอายุขัย ก็จักตายตามไปในไม่ช้า”

   ยิ่งพี่เขาพูดก็ยิ่งทำให้ผมสงสัยหนักเข้าไปอีก กับไอ้เรื่องที่มีแต่ความไม่น่าจะเป็นไปได้

   “ละ แล้วพี่ เอ่อ พี่เป็นยักษืจริงจริงใช่”ผมถามอ้ำอึ้ง เริ่มไม่แน่ใจว่าที่มาอยู่กับพี่ธาราเขาตามลำพังอยู่นี่มันจะดีไหม

   ถ้าหากว่าพี่เป็นยักษ์จริงๆล่ะก็ ผมอาจจะถูกเขาจับกินเอาตอนไหนก็ได้

   “หืม?”ผมร้องถามทันทีเมื่อถูกดึงมือไปจับมือที่เป็นแผลอยู่ ตอนนี้ผ้าเช็ดหน้าที่คลุมเอาไว้ถูกเปิดออกทำให้ผมเห็นแผลที่มีของเหลวสีเขียวซึมออกมาได้ชัดเจนขึ้น

   ทั้งรู้สึกกลัว ทั้งรู้สึกผิดไปตามตามกัน แต่ก็พยายามใจแข็งเอาไว้

   “เอ่อ จะ จับทำไมเหรอ”

   ผมถามพลางมองหน้าพี่เขาเหลอหลา หรือว่าพี่เขากำลังคิดที่จะกินผมอยุ่กัน เขาอาจจะกินผมก็ได้เพราะตอนนี้ผมกำลังล่วงรู้ความลับของเขาว่าเขาอาจจะเป็นยักษ์จริงจริงอย่างที่เขาบอก

   “เจ้าอยากเห็นไหมเล่า ร่างกายจริงของข้า”

   “คือ ละแล้ว จะกินไหม”ผมถามอ้ำอึ้ง เริ่มอยากจะกลับบ้านแล้วจริงๆ ความคิดที่ว่าพี่เขาเป็นยักษ์จริงๆเริ่มจะเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา
 
   “กินเจ้าน่ะเหรอ”

   “อือ”ผมพยักหน้าหงึกๆ

   “ข้าไม่ใคร่กินเนื้อมนุษย์ มนุษย์นั้นกลิ่นเนื้อไม่น่าพิศมั้ยเท่ากลิ่นสัตว์กินพืช วางใจได้ ข้าไม่กินเจ้าหรอก”

   พี่ธาราว่าพลางยิ้มคล้ายกับกำลังหัวเราะ

   แล้วดึงแขนผมให้เดินตามเข้าไปภายในตัวบ้าน ด้วยความที่ผมยังไม่ทันได้ตั้งตัวทำให้ผมเดินตามพี่เขาเข้าไปอย่างง่ายดาย

   ผมถูกดึงให้เดินตามไปยังส่วนหลังบ้านที่เป็นสระน้ำ ตอนนี้หัวใจของผมกำลังเต้นโครมครามอย่างบอกไม่ถูก อีกใจหนึ่งก็กลัวว่าพี่เขาจะลวงผมมาฆ่าหมกป่าเป็นปุ๋ยให้ต้นไม้

   แต่เพราะความอยากรู้อยากเห็น ทำให้ผมเดินตามเข้ามาในที่ทีไม่ปลอดภัยเข้าจนได้

   ถึงพี่เขาจะบอกว่าไม่กินผม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ทำอย่างอื่น อย่างอื่นที่ว่าผสมพันธุ์อะไรนั่น   มณีเดินตามมาทรุดตัวลงนั่งข้างสระน้ำตามแรงดึงของธารา

   “มานี่ทำไมเหรอ ไม่ทำแผลรึไง”ผมถามพลางทำสีหน้ารู้สึกผิด

   “เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิด แผลแค่นี้ไม่สามารถทำให้ข้าเจ็บได้หรอก”

   พี่ธาราบอกพลางฉุดให้ผมนั่งลงริมสระน้ำ

   ก่อนจะทำเรื่องที่ทำเอาผมแทบจะพูดไม่ออกเมื่อพี่เขาเอามืออีกข้างที่ไม่เจ็บกวักน้ำในสระขึ้นมาแล้วเทไปที่แผลที่มีเลือดซึมออกมา
   

   ผมมองภาพที่เห็นอย่างตกใจ นัยน์ตาของผมเบิกกว้าง ไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่กำลังเห็น

   รอยแผลที่ปริแตกของพี่ธารากำลังสมานตัวอย่างน่าประหลาดใจ เหลือเอาไว้เพียงแต่คราบเลือดสีเขียวที่กำลังตกผลึกจับตัวเป็นก้อนราวกับมรกตล้ำค่า

   นี่ผมกำลังตาฝาดอยู่ใช่ไหม หรือว่าผมกำลังคิดไปเองกันแน่

   “ทะ ทะ ทำได้ไง”ตอนนี้สติของผมแทบจะหลุดลอยออกจากร่างเลยทีเดียว

   “ข้าเป็นเผ่าพันธุ์ยักษ์สมุทร น้ำสะอาดสามารถชำระล้างและสมานบาดแผลได้”

   พี่เขาตอบพลางยกยิ้มมุมปากคล้ายกับกับลังขบขันกับสีหน้าของผมที่กำลังแสดงออกอยู่ตอนนี้

   “อะ เอ่อผมว่าผมกลับดีกว่า”

   ผมว่าพลางผลุดลุกขึ้น เริ่มไม่ไว้ใจในตัวพี่เขาแล้ว ว่าพี่เขาจะไม่ทำอะไรผม ดวงตาของผมเริ่มหลุกหลิกมองซ้ายมองขวา
   “เฮ้ย วะ เหวยยยย”ผมร้องขึ้นเสียงดังเมื่อมือถูกดึงเอาไว้ พร้อมกับแรงฉุดที่มากพอจะดึงรั้งให้ผมเข้าไปหา

   
   ตูมมมมมม

   
   เสียงตกกระทบผิวน้ำดังก้องไปทั่ว ผมกลั้นหายใจยกมือขึ้นปัดป่ายไปมาอย่างตกใจ กลัวว่าตัวเองจะจมน้ำ

   ความเย็นเยียบของสายของฤดูหนาวแผ่ซ่านไปทั่วกายทำให้ผมขนลุกชัน ร่างกายจมดิ่งสู่ก้นสระ ผมหลับตาแน่นสนิทอย่างหวาดกลัว

   แต่แล้วก็มีมือมาฉุดดึงทำให้ลืมตาขึ้นมา มองผ่านสายน้ำที่ใสจนสามารถเห็นได้ทุกอย่าง

   ดวงตาของผมเบิกกว้าง อากาศในปอดทะลักออกจากปากเฮือกใหญ่ สิ่งที่ตาผมเห็นไม่ใช่ภาพในความฝัน แต่มันคือความเป็นจริง
   ใบหน้าหล่อเหลาดุดันจ้องมองมาที่กำลังจ้องมองมาทางผมทำให้ผมแทบจะหมดลมหายใจ ใบหน้าที่มีเค้าโครงดูคุ้นเคยแต่กลับ
แตกต่างออกไป เรียวคิ้วดำดกเข้มที่หนาของพี่เขาหนาขึ้นกว่าเก่า เรียงตัวสวยงาม คล้ายกับเป็นลวดลายกระหนก กอปรกับ ดวงตาสีเขียวเข้มสีมรกตที่จ้องมองมานิ่ง จมูกโด่งงองุ้มเล็กน้อยเป็นสันรับเข้ากับใบหน้าได้รูป เรียวปากหยักของพี่เขาที่กำลังยกยิ้ม
ราวกับหยอกล้อ กับเรือนผมหยักศกที่ยาวเกือบถึงไหล่ ทำให้ผมตกใจ แต่นั่นก็ไม่เท่ากับ

   คมเขี้ยวที่งอโง้งที่นออกมานั่นมาจากริมฝีปาก

   ยักษ์!!

   เป็นยักษ์จริงๆ ด้วยพี่ธาราเป็นยักษ์จริงๆ

   ไม่ผิดแน่เขี้ยวที่งองอกออกมา เขี้ยวที่ไม่ใช่แบบแวมไพร์ในหนัง แต่เป็นเขี้ยวแบบยักษ์ในวรรณคดี

   ผมรีบผลักตัวออกแล้วดึงมือที่ถูกฉุดเอาไว้ออก ก่อนจะโผล่พ้นขึ้นมาบนผืนน้ำสูดเอาอากาศเข้าไปในปอดเฮือกใหญ่ ก่อนจะกระวนกระวายรีบขึ้นมาบนขอบสระ

   ใครก็ได้ช่วยบอกว่าทีว่านี่ไม่ใช่ความจริง

   “กะ กลับแล้วนะ”ผมบอกพยายามคุมเสียงไม่ให้สั่นโดยที่ไม่หันกลับไปมอง

   ผมรีบเดินผ่านตัวบ้าน คว้าเอากระเป๋าที่วางเอาไว้ทั้งๆตัวเปียกออกมา

   ทิ้งให้พี่เขามองตามด้วยท่าทีราวกับว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องตลก


   
   ผมจูงรถออกมาจากตัวบ้าน โชคดีที่ขาออกไม่ต้องกดรหัส ผมคงจะต้องติดอยู่ในบ้านนี้โดยที่มีพี่ธาราที่กลายร่างเป็นยักษ์ตามหลอกหลอนเป็นแน่

   แค่คิดก็หลอนมากแล้ว ไม่น่าไปยุ่งกับพี่เขาเลยจริงจริง ทำไมชีวิตวัยรุ่นของผมถึงไม่ได้สวยหรูเหมือนชีวิตคนอื่นบ้าง ทำไมผมจะต้องมาเจอเรื่องแบบนี้

   หรือว่านี่จะเป็นเพราะบาปกรรมที่ผมทำเอาไว้แต่ชาติปางก่อนอย่างที่พี่เขาว่าจริงจริง

   หรือว่าชาติที่แล้วผมเป็นพระอภัยมณีจริงอย่างที่เขาบอก แล้วก็ไปฆ่าผีเสื้อสมุทรตาย ถึงได้เป็นเวรกรรมมาจนถึงชาตินี้

   เห็นพี่เขาบอกว่าตัวเองเป็นยักษ์ แต่ใครจะรู้ล่ะว่าเป็นยักษ์จริงจริง ถ้ารู้ว่าของจริงล่ะก็ ผมจะไม่เข้าไปยุ่งเลยเด็ดขาด

   ไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมชีวิตวัยรุ่นใสใสของไอ้มณีทำไมต้องเป็นอย่างนี้

   หนาวก็หนาวเป็นทุนอยู่แล้ว ยังจะมาเปียกอีก


***----***----***----***----***----***----***----***----***----***----***----***----***----***----***----***----***----***

มีต่อ

ออฟไลน์ โซ อึน

  • อยากให้โลกนี้มีเท่ากัน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 472
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +144/-4
    • แฟนเพจเจ้าค่ะ
ต่อ
ผมขับรถกลับบ้านด้วยสภาพที่เปียกปอน บวกกับลมหนาวยามดึกที่เริ่มพัดแรงทำให้ตัวผมสั่นแล้วสั่นอีก

   แต่นั่นก็ไม่เท่ากับใจที่กำลังสั่นรัว ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว พาลให้สิบล้อที่ขับผ่านผมไปคันแล้วคันเล่าแทบจะแบเอาผมไปมุดอยู่ใต้ท้องรถ

   ตอนนี้ในหัวสมองของผมมีแต่เรื่องของพี่ธาราคนเดียวเต็มไปหมด

   ไม่ใช่คนสิ ไอ้ที่ผมเห็นน่ะไม่ใช่คนสักหน่อย นั่นมันยักษ์ต่างหาก ยักษ์ตัวเป็นเป็นเลย ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่ายักษ์ที่อยู่ในวรรณคดีนั้นจะมีตัวตนจริงๆ

   ใครจะไปคิดว่าจู่ๆพี่ธาราเขาจะดึงผมลงไปในสระน้ำนั่น พอลืมตาในน้ำก็เห็นเข้ากับสภาพที่เปลี่ยนไปของของเขาทำเอาผมแทบจะหมดอากาศหายใจจมน้ำเขี้ยวที่งอโง้งของเขามันเป็นอะไรที่ติดตาจนลืมไม่ลงเลยจริงๆ

   ไม่อยากจะเชื่อแต่ก็ต้องเชื่อแล้ว แล้วคราวนี้ผมควรจะต้องทำยังไงดี ในเมื่อพี่ธาราคนนั้น เอะ ไม่ใช่คนสิ ต้องเป็นยักษ์ ไอ้ยักษ์บ้านั่นมันบอกว่าเขาเป็นพระอภัยมณีกลับชาติมาเกิด

   ถ้าการที่ยักษ์มีตัวตนจริงล่ะก็ การที่ผมเป็นพระอภัยมณีกลับชาติมาเกิดก็ดูจะเป็นเรื่องจริง แต่เรื่องนี้ผมก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งอยู่ดี

   ตอนนี้ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ตรงนั้นปัญหามันอยู่ที่ ไอ้พี่ยักษ์ธารานั่นมันดันตามมาแก้แค้นให้ผีเสื้อสมุทรที่พี่เขาบอกว่าเป็นน้องสาวต่างหาก

   แล้วทำไมการแก้แค้นของเขา ถึงต้องให้ผมไปผสมพันธุ์แล้วมีลูกกับเขาด้วย แล้วอีกอย่างผมเป็นผู้ชาย จะไปท้องให้เขาได้ยังไงกัน

      
   ไม่เข้าใจ ผมไม่เข้าใจเลยจริงๆไอ้พี่ธาราบ้านั่นมันเพี้ยนหรือว่าผมเพี้ยนกันแน่ ความคิดมันตีกันวุ่นวายไปหมดจนไม่รู้จะเอาเรื่องไหนขึ้นมาคิดก่อนดี

   เรียงลำดับความสำคัญไม่ถูกเลยจริงๆ ระหว่างเรื่องที่จะเอาเวลามากลัวว่าพี่เขานั่นจะมาจับผมกินเพื่อแก้แค้น หรือว่าจะจับผมผสมพันธุ์แล้วมีลูกกันตามที่พี่เขาบอก

   ผมควรจะหลบหน้าพี่เขาดีไหม หรือว่ายังไงดี ยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัว

   กว่าจะถึงบ้านเสื้อผ้าที่ใส่อยู่ก็เกือบจะแห้งดีแล้ว ผมขับรถมาจอดหน้าบ้านของผมที่อยู่ตรงชานเมือง เป็นบ้านไม้สองชั้นสีครีมทรงประยุกต์หลังเก่าที่พ่อบอกว่าตกทอดมาตั้งแต่สมัยปู่ทวดของทวดอะไรสักอย่างที่ผมเองก็เรียงลำดับไม่ถูก



   
   ผมจูงรถมอเตอร์ไซผ่านเข้าประตูรั้วไม้เตี้ยๆเข้ามาจอดภายในบ้าน ดีที่ไฟหน้าบ้านติดสวิตซ์ออโต้ ถึงจะมืดแล้วมันก็ติดเองทำให้พอมองเห็นอยู่บ้าง

   พอปิดประตู่รั้วบ้านดีแล้วผมเดินเข้าบ้านด้วยท่าทีเหม่อลอยเพราะเอาแต่คิดถึงภาพยักษ์ที่มันติดตาผมมาตลอด

   ผมไม่รู้ว่าจะเอายังไงดี ถ้ารู้ว่าก่อนว่าชาตินี้จะมียักษ์มาตามล้างแค้นตามทวงหนี้ล่ะก็ ชาติที่แล้วผมคงไม่เป่าปี่ฆ่านางผีเสื้อสมุทรตายหรอก ใครมันจะไปรู้ล่วงหน้ากัน

   ผมส่ายหัวอย่างกลุ้มใจ ยังไงซะผมก็คงต้องหลบหน้าไอ้พี่ยักษ์ธารานั่นไปก่อน


   “อ่าวเฮ้ยพ่อ ตกใจหมด”

   ผมสะดุ้งเมื่อเห็นพ่อตัวเองในชุดลิเก ทาหน้าขาวปากแดง มีเพชรรัสเซียระยิบระยับติดอยู่ที่ชุดจนลายตา

   “ตกใจอะไร เอ็งนี่ ทำยังกับไม่เคยเห็น”พ่อผมว่าเหน็บไอ้ท่าทีที่ตกใจจนเกิดเหตุของผม

   เป็นใครใครล่ะจะไม่ตกใจ ตอนหัวค่ำมาเจอยักษ์ ตอนนี้มาเจอลิเก

   “ก็ใครบอกให้พ่อกลับมาทั้งอย่างนี้เล่า มณีก็ตกใจดิ”

   ผมบ่นออดแอดพลางเดินไปนั่งบนโซฟาตัวยาวข้างข้างพ่อหยิบรีโมทขึ้นกดเปิดทีวี

   “ว่าแต่ทำไมวันนี้กลับดึกเชียว”จู่ๆพ่อก็ถามขึ้นหลังจากที่เงียบกันมาพักใหญ่

   “พ่อนั่นแหละกลับเร็ว แล้วแม่ล่ะ”

   “แม่เอ็งยังไม่เลิก เรื่องนี้พ่อถูกฆ่าตายตั้งแต่ต้นเรื่องเลยกลับมาก่อน แม่เอ็งอยู่ยันจบเรื่องนู่น”

   พ่อตอบพลางเอาสำลีจุ่มโทนเนอร์ล้างเครื่องสำอางที่ติดอยู่บนหน้าออก

   “พ่อนี่ก็ทิ้งแม่อีกแล้ว”ผมว่าแซว

   “ทิ้งแม่เอ็งที่ไหน แม่เอ็งสั่งให้มาดูเอ็งเนี่ยแหละ ไอ้นี่นิ เดี๋ยวข้าจะฟ้องแม่เอ็งว่าเอ็งมาว่าพ่อ”

   “โห่ ฟ้องแม่ตลอด ไม่เก่งจริงนี่หว่า”

   ผมว่าพลางยกเท้าขึ้นมาชันแล้วนั่งกอดเข่ามองทีวี

   จริงอยู่ที่ครอบครัวของผมเป็นครอบครัวสุขสันต์ ความเอาใจใส่ของคนในครอบครัวที่มีมากทำให้ผมต้องอยู่ติดกับบ้านไม่เคยได้ไปไหนไกลไกลคนเดียวมาก่อนเลยในชีวิต

   บางครั้งผมก็รู้สึกอึดอัดอยู่บ้าง ทั้งที่เริ่มโตขนาดนี้ ผมเองก็อยากจะใช้ชีวิตวัยรุ่นเท่เท่แบบคนอื่นบ้างก็แค่นั้น

   แต่ด้วยความเอาใจใส่ของครอบครัว บวกกับกิจการที่มีกำลังคนไม่ค่อยแน่นอนในการสืบทอดศิลปะวัฒนะธรรมที่เก่าแก่ ทำให้บางครั้งผมที่อยู่กับครอบครัวที่สืบทอดศิลปะการแสดงมาตั้งแต่เด็กต้องขึ้นแสดงด้วยเพราะคนไม่พอ

   บ้านของผมเป็นครอบครัวที่เป็นเจ้าของคณะลิเกที่ไม่รู้ว่าสืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยไหน ปู่ของผมเคยเล่าว่าต้นตระกูลสืบเชื้อสายมาจากลูกหลานเจ้าเมืองอะไรเนี่ยล่ะ เห็นบอกว่าเขาเป็นคนที่ชอบการแสดงชอบดนตรีมาก แต่นั่นมันก็นานมากแล้ว

   แต่ยังไงผมก็ไม่เคยได้รับบทเด่นเด่นสักที ที่เล่นได้ก็มีแต่ตัวโจ๊ก ตัวตลก หรือไม่ก็ตัวประกอบ
   

   “แล้ววันนี้เขาจ้างไปเล่นเรื่องอะไรอ่ะพ่อ”

   “เรื่องเจ้าจอมในดวงใจ พ่อก็เลยตายตั้งแต่ต้นเรื่อง แม่เอ็งถึงได้ให้กลับมาดูเอ็งนี่ไงกลัวว่าจะไปเถลไถลจนไปเจอคนไม่ดีเข้า”

   ไม่ใช่เจอคนไม่ดีหรอกพ่อ เจอยักษ์ไม่ดีมากกว่าพ่อนี่ก็ไม่รู้อะไรบ้างเลย รู้บ้างไหมว่าลูกตัวเองกำลังจะโดนยักษ์จับกินอยู่รอมร่อ

   “ไอ้มณี”

   “อะไรพ่อ”

   “เอ็งจะยกเท้าขึ้นมาทำไม พ่อเหม็น ไอ้นี่นิ ไปอาบน้ำไป”

   “พ่อ อะไรเนี่ย ใครบอกให้พ่อมาดมล่ะ แม่มาจะฟ้องแม่ว่าพ่อว่าแม่แก่แล้วไม่เร้าใจ”ผมลุกขึ้นพลางบ่นล้อเลียนพ่อ ที่ป่านนี้ก็ยังลบเครื่องสำอางออกจากหน้าไม่หมด

   “ไม่เร้าใจบ้าอะไรของเอ็ง ไปอาบน้ำไป ไอ้ลูกนี่”

   “วันนี้มณีไม่กินข้าวนะพ่อ กินมาแล้ว”ผมหันมาบอกพ่อก่อนจะเดินกำลังจะก้าวขาขึ้นบันได

   “ไปกินกับใครมา”พ่อชะงักมือที่กำลังล้างเครื่องสำอางนิ่งก่อนจะถามเสียงเข้มผิดกับเมื่อครู่ลิบลับ

   “ก็เพื่อนน่ะ”ผมตอบ

   ใจจริงอยากจะตอบว่าไปกินกับยักษ์มากกว่า แล้วก็เกือบจะโดนกินด้วย แต่ถ้าพูดไปพ่อคงจะหาว่าผมบ้า

   “คราวหลังจะไปไหนมาไหนก็บอกพ่อก่อน ไม่ใช่ว่าไปไหนตามอำเภอใจแล้วไม่บอกกล่าว”

   “ทำไมอ่ะพ่อ มณีไปแค่นี้เอง”

   “ไม่ต้องทำไมหรอก เอ็งหายไปเดี๋ยวแม่เอ็งเป็นห่วงแย่ ไม่ต้องมาสงสัยอะไรมากหรอก ขึ้นไปอาบน้ำนอนไป”

   “คร๊าบ พ่อหัวหน้าคณะลิเก”

   ผมแซวก่อนจะเดินขึ้นชั้นบนของตัวบ้านไป

   แค่บอกว่าไปกินข้าวกับเพื่อนทำไมพ่อต้องทำท่าทางเหมือนไม่พอใจด้วย ผมล่ะไม่เข้าใจ หรือว่าผมเป็นคนเข้าใจอะไรยากกันนะ

   ไม่ไหว ไม่ไหว ทำไมชีวิตวัยรุ่นใสใสของไอ้มณีถึงมีเรื่องไม่เข้าใจเยอะแยะไปหมดอย่างนี้ หรือว่ามันเป็นปรกติของชีวิตวัยรุ่นที่คนเป็นวัยรุ่นอย่างผมจะต้องเจอ


***----***----***----***----***----***----***----***----***----***----***----***----***----***----***----***----***----***----***----***----***

   “มณี มานี่สิ เมื่อคืนพ่อบอกว่าลูกกลับบ้านดึก แถมยังไปกินข้าวกับเพื่อนมาโดยที่ไม่บอกพ่อก่อน ไหนมาคุยกับแม่สิ”

   เสียงเรียกแหลมมาแต่ไกลตั้งแต่ที่เท่าผมยังไม่ก้าวลงจากบันไดขั้นสุดท้าย ก็ถูกแม่ที่ควงทัพพีตักข้าวดักเอาไว้เสียก่อน

   “โหแม่ มีเรียนเนี่ย เดี๋ยวไปไม่ทัน”

   ผมพยายามเบี่ยงหนีประเด็นที่กำลังจะถูกหยิบยกมาเต็มที่ สงสัยพ่อต้องไปฟ้องแม่แล้วแน่แน่ว่าผมกลับบ้านดึก

   เป็นเรื่องใหญ่แน่ ถ้าหากว่าแม่โมโหขึ้นมา ผมอาจจะสูญเสียของรักของหวงไปเลยก็ได้

   “ไม่ต้องเลย แม่พูดเนี่ยเข้าใจไหม คราวหลังถ้าจะไปไหนมาไหนต้องบอกก่อน”

   “ครับครับ คราวหลังมณีจะบอกก่อน”

   “ถ้ามีอีกคราวหน้า แม่จะยึดกุญแจรถแล้วจะให้พ่อไปรับไปส่ง”นั่นไงผมว่าแล้ว ของรักของหวงของผมจะต้องอยู่ในลิสรายการลงโทษขั้นสูงสุด

   “ไม่เอานะแม่ มณีโตแล้ว ให้พ่อแม่ไปรับไปส่งอายเขาตาย วัยรุ่นนะแม่ วัยรุ่นอ่ะเข้าใจป่ะ”ผมพูดพลางส่ายหัวหลบทัพพีแม่โดยไว

   “แม่ไม่สน ถ้าคราวหลังแม่รู้ว่าไปแวะที่อื่นก่อนกลับบ้านล่ะก็โดนแน่ ไม่ต้องขี่มันแล้วมอไซอะไรเนี่ย”

   “แม่อ่ะ มณีอยากจะเท่กับเขาบ้างดิ วัยรุ่นเฟี้ยวๆอ่ะ อยากจะเป็นกับเขาบ้าง”

   “เฟี้ยวบ้าอะไร คนที่บ้านเขาเป็นห่วงลูกกันทั้งนั้น รีบกินแล้วก็รีบไปเรียนได้แล้ว แล้วก็ไม่ต้องขับรถเร็วล่ะ”

   “ครับครับคุณนายโรงลิเก”

   “เอ้อ ว่าถึงลิเก เรื่องหน้าเห็นพ่อบอกว่าจะให้ลูกเป็นพระเอกนะ”แม่หันมาบอกทำเอาผมตาโตชะงักช้อนที่กำลังตักข้าวเข้าปากทันที

   “จริงเหรอแม่”ผมถามย้ำ ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยได้รับบทเด่นเด่นกับเขาสักที

   เพื่อนพระเอกก็ยังไม่เคยได้เป็นกับเขาเลย คราวนี้พ่อคงจะเห็นแววความหล่อในตัวของมณีคนนี้แล้วสิท่า ถึงได้ให้เล่นบทพระเอกได้

   “จริงสิ เห็นว่าแม่ขี้โม้เหมือนพ่อรึไง”

   “ว่าแต่พ่อจะให้มณีเล่นเรื่องอะไรอ่ะแม่”

   “เรื่องพระอภัยมณีตอนผีเสื้อสมุทรอะเนี่ยแหละ”

   “อะไรนะแม่!!”ผมตะโกนเสียงดังอย่างตกใจ แทบจะสำลักข้าวออกมาทันทีที่ได้ยิน

   “จะตกใจอะไรกัน เดี๋ยวก็สำลักหรอก”

   “ทำไมต้องเรื่องนี้อ่ะแม่”

   “ก็คนจ้างเขาอยากให้เล่นเรื่องนี้ ถามมากน่า ไปไป ไปเรียนได้แล้ว”แม่บ่นเบาเบาพลางกวักมือไล่

   ผมเดินออกมาจากครัวหลังจากที่พยายามฝืนกินข้าวเข้าไปจนหมด อะไรมันจะบังเอิญขนาดนั้น คนจ้างเขาก็คิดอะไรของเขา ลิเกมีตั้งร้อยตั้งพันเรื่อง กลับมาจ้างให้เล่นเรื่องนี้

   จ้างอย่างกับจะตอกย้ำว่าผมเป็นพระอภัยมณีกลับชาติมาเกิดอย่างนั้นแหละ จะไม่รับก็ไม่ได้

   “มณี แม่เอ็งบอกแล้วใช่ไหมว่าให้ช่วยเล่นลิเกให้น่ะ เป็นพระเอกเลยนะเว้ย”

   “รู้แล้วน่าพ่อ”ผมบอกปัดด้วยท่าทีที่กำลังห่อเหี่ยวเต็มที่ พลางหยิบถุงเท้ามาใส่ข้างพ่อที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่หน้าทีวี

   “นี่เอ็งไม่ดีใจรึไง ได้เป็นพระเอกเลยนะเว้ย”

   “ดีใจครับดีใจ”

   “อะไรของเอ็งไหนบอกว่าอยากจะเป็นพระเอก ก็ได้เป็นแล้วนี่ไง”

   “ก็ไม่ได้อยากเป็นพระเอกเรื่องนี้สักหน่อย”

   “เอ็งนี่เรื่องมากจัง เจ้าภาพเขาบอกให้เอ็งรำฉุยฉายพราหมณ์แก้บนก่อนจะออกแขกด้วยนะเว้ย”

   “อะไรนะพ่อ แล้วทำไมต้องเป็นมณีอ่ะ คนอื่นไม่ได้รึไง”

   “ก็เขาเคยเห็นเอ็งเล่นลิเกตอนเด็กๆเขาชอบใจเลยเลือกเจาะจงเป็นเอ็ง เขาบอกว่าเอ็งรำสวย”

   “พี่แก้วนางเอกพ่อก็รำสวย ทำไมไม่เอาเขาล่ะ มาให้ผู้ชายรำฉุยฉายเขาบ้ารึป่าว”

   “บ้าอะไร เอ็งก็รำเป็นไม่ใช่รึไง”

   “ขี้เกียจบ่นแล้ว มณีไปเรียนดีกว่า”

   “รีบกลับมาล่ะ จะได้ซ้อมกับพวกพี่พี่เขา”

   “ครับครับ รู้แล้ว”ผมใส่รองเท้าหยิบกุญแจรถที่แขวนหน้าประตูเดินออกมาจูงรถสตาร์ทหน้าบ้าน

   ไม่อยากจะคิดว่าชีวิตนี้จะต้องเจอกับเรื่องอะไรอีก ไม่อยากจะคิดเลยจริงๆ

   ไปมหาลัยก็ต้องเจอกับไอ้พี่ยักษ์ธารานั่น แล้วยังต้องมาเล่นลิเกที่รับบทเป็นพระอภัยมณีอีก

   มันจะตอกย้ำกันไปถึงไหน ชีวิตวัยรุ่นของไอ้มณีเนี่ย มันช่างเหี่ยวเฉาดีจริงจริง

   แล้วยังมารำฉุยฉาย ที่ปกติเขาจะให้ผู้หญิงรำอีก ไม่รู้เจ้าภาพเขาคิดอะไรของเขากันแน่

   ทำไมเรื่องราวมันถึงได้วุ่นวายกันไปหมด ตั้งแต่ที่ผมเจอพี่ธาราเขา เรื่องราวในชีวิตของผมก็ดูท่าจะวุ่นวายขึ้นมาทันที ถ้าพี่เขาไม่โผล่มา เรื่องราวทั้งหมดก็คงจะไม่เป็นอย่างนี้ เพราะพี่เขาคนเดียวที่ทำให้ชีวิตผมวุ่นวายอย่างนี้

   

***----***----***----***----***----***----***----***----***----***----***----***----***----***----***----***----***


https://www.youtube.com/watch?v=VVKVn-aI9owตัวอย่างรำฉุยฉายที่น้องมณีจะต้องรำ


16/09/58


ออฟไลน์ BlueCherries

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4060
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +159/-17
น้องมณีหน้าหวานจริงๆ ขนาดไปรำฉุยฉายได้


คนที่ขอมาน่าจะมีคนเดียวล่ะมั้ง


ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ โซ อึน

  • อยากให้โลกนี้มีเท่ากัน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 472
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +144/-4
    • แฟนเพจเจ้าค่ะ

** ชดใช้หนี้ครั้งที่ 5 มนต์สะกด **

   “มณี วันนี้ไปกินหมูกระทะกันไหม”

   โมถามในขณะที่ผมกำลังเก็บหนังสือใส่กระเป๋าหลังจากเวลาเรียนคาบสุดท้ายหมดลง

   ก็ดีเหมือนกันเพราะผมเองก็คิดว่าวันนี้จะไม่ไปทำงานที่ห้องสมุดเอ็นอันขาด

   ขืนผมหลงไปล่ะก็ ได้เจอพี่ธาราที่อยู่ในคราบยักษ์จับกินแน่ แค่คิดก็สยองแล้ว

   มันเป็นอะไรที่อึดอัดใจผมมาโดยตลอดทั้งวันจนแทบจะเรียนไม่รู้เรื่อง ความรู้ที่อาจารย์บรรยายในคาบเรียนมันไม่ได้หลั่งไหลเข้าไปในหัวสมองผมเลยสักนิด

   ถ้าหากว่าเมื่อคืนผมไม่หนีออกมา ป่านนี้ผมก็คงจะนอนอยู่ในท้องของพี่ธาราอยู่ก็เป็นได้

   ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าชีวิตของผมคนนี้จะต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ ใครจะคิดว่าจะมียักษ์ตัวจริง ตัวเป็นเป็นมายืนอยู่ตรงหน้าอย่างนี้

   ดังนั้น สิ่งที่ผมคิดว่าควรทำมากที่ในเวลานี้ก็คือ การหลบเลี่ยงที่จะเผชิญหน้ากับพี่เขา

   โดยการไม่ไปทำงานที่ห้องสมุด ส่วนเรื่องข้ออ้างผมได้คิดล่วงหน้าเอาไว้แล้ว นั่นก็คือ ไม่สบาย หวังว่าพวกรุ่นพี่จะเชื่อกันนะ ไม่งั้นผมคงโดนซ่อมเพิ่มอีกแน่ แต่ก็ดีกว่าอยู่สองต่อสองกับไอ้พี่ยักษ์ธารานั่น

   “โม นายก็ไปชวนมณีมัน รู้ก็รู้ว่ามณีต้องไปห้องสมุดต่อยังจะไปชวนมันอีก”เชียรหนุ่มหล่อผิวแทนหนึ่งในกลุ่มเพื่อนใหม่ในรั้วมมหาวิทยาลัยของผมท้วงขึ้นมาทันทีทำเอาผมหันขวับไปมองด้วยสายตาที่เจ็บเจ็บคันคันเล็กน้อย

   “เออ เราก็ลืมไปเลย”โมเกาหัวแก้เก้อ

   “ไม่เป็นไร ไปสิ ไปเลยเนี่ย วันนี้ไม่ไปห้องสมุด”ผมรีบบอกก่อนที่จะชวดไม่ได้ไปกับเพื่อนๆ เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดีเหมือนกัน ดีกว่าไปทำงานที่ห้องสมุดแล้วอยู่สองต่อสองกับพี่ธารา

   “ไม่ไปห้องสมุดจะดีเหรอมณี รุ่นพี่จะว่าเอานะ แล้วพี่ธาราอ่ะ เขาจะไม่ว่าเอาเหรอ”โทถามพลางยกมือขยิบแว่นตา

   “อะ เออ ช่างมันเถอะน่า เขาคงไม่ว่าอะไรหรอก ไปกินหมูกระทะกับพวกนายน่ะแหละดีแล้ว”

   ผมรีบบอกอย่างร้อนรน ดูเหมือนว่าบรรดาเพื่อนๆจะไม่ค่อยสนับสนุนให้ผมโดดงานสักเท่าไร แต่ว่าให้ตายยังไง วันนี้ผมก็จะไม่ไปห้องสมุดเด็ดขาด

   เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงที่จะเจอหน้าใครบางคนที่ผมหลบหน้าเขามาทั้งวัน

   แค่นึกถึงเขา ภาพเขี้ยวที่มันงอโง้งออกมาจากปากมันก็ผุดขึ้นมาติดตาแทบจะทันที

   ภาพที่ผมเห็นในสระน้ำเมื่อคืนทำให้มันติดตาผมจนแทบจะเก็บเอาไปฝัน

   
   “ตกลงไปใช่ไหมมณี พอดีเลยจะได้ไม่ต้องซ้อนสามไป ได้เอารถนายไปอีกคัน”เชียรบอก

   “อือ ไปกันกี่คน”

   “ไปกันสามคน มีโม มีเราแล้วก็นนท์”

   “แล้วนนท์ไปไหน”ผมถามพลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดหาเบอร์พ่อ ถ้าไม่รายงานเดี๋ยวจะหาว่าผมไม่บอกก่อนจะไปไหน เดี๋ยวจะพาลไปฟ้องแม่ให้มายึดกุญแจรถผมอีก

   “ไปห้องน้ำ เดี๋ยวคงมา”

   “เออ เดี๋ยวขอโทรบอกพ่อก่อนนะ รอแปบ ”ผมยกมือขึ้นให้สัญญาณโมก่อนจะยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหูฟังเสียงรอสาย

   “มณี”

   “อะไร รอแปบนึง ขอโทรบอกพ่อก่อน”ผมพูดเสียงเบาพลางยกมือจุ๊ปากให้โมเงียบหลังจากที่โมเรียกผมในขณะที่ผมกำลังฟังเสียงรอสาย

   “มณี”คราวนี้โมสะกิดอีก ไม่รู้ว่าจะสะกิดอะไร

   “ว่าไง รอแปบนึง ขอโทรบอกพ่อก่อน”

   “แต่ว่า”โมอ้ำอึ้งพลางชี้นิ้วไปทางด้านหลังผม ไม่รุ้ว่าจะชี้ให้ดูอะไร

   “แปบนึงดิ ขอโทรบอกพ่อก่อน อ่ะ ฮัลโหลพ่อ ขอไปกินหมูกระทะกับเพื่อนหน่อย น่า เดี๋ยวกลับ ไม่ดึกหรอกพ่อ จ๊ะ จ๊ะ บอกแม่ด้วย จ๊ะๆแค่นี้นะ”
   

   “โมมีอะไร เมื่อกี้เห็นสะกิด”ผมหันไปถามพลางยัดโทรศัพท์ลงไปในกระเป๋าเมื่อคุยเสร็จแล้ว

   “มณี นายจะไปกับพวกเราจริงเหรอ”โมถามเสียงเบา ใบหน้าขาวซีดเริ่มมีเหงื่อผุดทั้งที่อากาศภายในห้องก็ไม่ได้ร้อนอะไร

   “เออ ก็ไปจริงดิ ทำไปอ่ะ หรือเปลี่ยนใจไม่ไปกินหมูทะกันแล้ว”

   “ปะ ปล่าว มันก็ไม่ใช่หรอก แต่ว่า”โมบอกเสียงแผ่วพลางหลบตา ดวงตากลมภายใต้แว่นตาหนาเตอะเริ่มหลุกหลิกจนผมชักสงสัยว่าโมเป็นอะไร

   “แต่ว่าอะไร งั้นก็ไปดิอ้ำอึ้งทำไม”ผมว่าพลางก้มหยิบกระเป๋าที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาสะพาย

   “คือมณี เราว่า”โมพยายามแย้งพลางสะกิดไหล่ผมทำให้ผมเงยหน้าขึ้นมองอย่างไม่เข้าใจ ว่าจะสะกิดอะไรกันนักกันหนา

   “คืออะไรเล่า ไปกันได้แล้ว หิวแล้ว”

   “ตกลงมณีจะไปใช่ไหม”คราวนี้เชียรถามผมบ้าง เท่าที่ผมจำได้ผมก็ตอบทั้งสองคนแล้วนี่ว่าผมจะไปด้วย แล้วทำไมต้องมาถามย้ำอีกรอบด้วยผมล่ะไม่เข้าใจ

   “เออก็ไปไง แล้วไม่รู้ว่าโมมันจะอ้ำอึ้งทำไมวะ จะพูดอะไรก็ไม่พูด”

   “แล้ววันนี้ไม่ไปห้องสมุดเหรอ”เชียรถามน้ำพลางกรอกตาหลุกหลิกไปมาอีกคน

   “ไม่เอาอ่ะ วันนี้ไม่อยากไป”ผมตอบเป็นรอบที่สอง ชักเริ่มที่จะหงุดหงิดกับเพื่อนช่างซักสองคนซะแล้ว

   “งะ งั้นเหรอ แต่เราว่ามณีไปหน่อยก็ดีนะ อย่างน้อยก็ไปบอกพี่รหัสก็ยังดี”

   “นี่พวกนายเป็นอะไรกันวะเขาคงไม่ว่าอะไรหรอก ตกลงพวกนายไม่อยากให้เรารึว่าอะไร ถามกันอยู่ได้”ผมชักเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาแล้วสิ

   ตอนแรกก็ชวนกันซะดิบดี พอจะไปก็ทำเหมือนไม่อยากจะให้ไปด้วย อะไรของพวกนี้

   “มะ ไม่ใช่ พวกเรานอยากให้นายไปนะเว้ยมณี  แต่ว่า”เชียรอ้ำอึ้ง
   “เออ งั้นก็ไปกันสักที จะตงจะแต่อะไรกันนักหนา ไปได้แล้ว”ผมตัดบท ขืนคุยกันต่อไปมากกว่านี้คงจะอ้ำอึ้งไม่ได้กินกันพอดี

   แต่แล้วโชคชะตาก็เหมือนจะกลั่นแกล้งชีวิตวัยรุ่นหลังเลิกเรียนอย่างผมที่ควรจะมีเวลาไปเฮฮาปาร์ตี้กับเพื่อนเพื่อนบ้าง ข้อมือของผมถูกรั้งเราไว้ด้วยมือใครบางคนจากทางด้านหลัง

   
   หมับ!!

   “จะไปไหนกันเหรอครับ”พรอ้มกับเสียงทุ้มต่ำที่คุ้นเคยดังขึ้นข้างหูทำให้ผมรู้สึกว่าขนของตัวเองพร้อมใจกันลุกเกรียวขึ้นมาทั้งตัว

   เสียงทุ้มทุ้มต่ำๆแบบนี้ มันช่างคุ้นหูผมดีจริงๆ ไอ้สัมผัสที่ส่งผ่านมาทางฝ่ามือทำให้ผมเริ่มคิดออกว่าคนที่เข้ามาขัดขวางเส้นทางชีวิตของผมคือใคร

   และเขาก็คือ พี่ธารา ยักษ์ที่อยู่ในคราวหนุ่มหล่อที่สาวสาวต่างพากันมองเหลียวหลัง ไม้เว้นแม้กระทั่งสาวเทียม

   “อะ เอ่อ พี่ธารา คือว่า พวกเราจะไปกินหมูกระทะกันน่ะครับ พี่จะไปกับพวกเราด้วยไหม”เชียรถามพลางยิ้มแห้งแก้เก้อ

   ดูหน้าก็รู้ว่าเพื่อนผมคนนี้กำลังกลัวว่าพี่ธาราจะคิดว่ามันเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดชวนผมโดนงานแน่

   “อ้อ งั้นหรอกเหรอ น้องมณีก็จะไปด้วยงั้นเหรอครับ”พี่ธาราถามพลางแสยะยิ้มที่มุมปากอย่างร้ายกาจพลางจ้องมองมาที่ผมซึ่งตอนหนี้กำลังหลบตาพี่เขาอยู่เต็มที่

   “อ่าครับ มณีจะไปด้วย”คราวนี้โมตอบแทนผม เมื่อเห็นว่าผมไม่มีสัญญาณตอบรับใดใดต่อคำถามของพี่เขา

   เพราะว่าตอนนี้ผมกำลังอยู่ในช่วงสภาวะของการช็อกต่างหากล่ะ ใครจะคิดว่าพี่เขาเล่นมาตามผมถึงห้องเรียนอย่างนี้

   “ไหนน้องมณีมีนัดกับพี่ไม่ใช่รึไงครับ เรานัดกันไว้ จำไม่ได้เหรอ”

   อะไรนะ!นี่ผมไปนัดกับพี่เขาตั้งแต่เมื่อไร ผมไปนัดกับเขาตอนไหน อะไรของเขาเนี่ย ไอ้มนุษย์ปลอมขี้ตู่

   “นะ นัดที่ไหน ไม่มี ไม่มี๊ เด็ดขาด”ผมว่าเสียงสูง

   พลางก้าวถอยหนีพี่เขาที่กำลังจับมือผมอยู่

   “น้องมณีลืมนัดพี่ธาราแล้วเหรอครับ เรานัดกับเมื่อคืนนี้เอง จำไม่ได้เหรอ ที่บ้านพี่ไง”ที่บ้านไหน พูดอย่างนี้ไอ้มณีก็เสียหายสิครับ ไอ้พี่ธารา

   เดี๋ยวคนอื่นเขาก็หาว่าไอ้มณีเป็นเจ้าของเหมืองทอง คราวนี้สาวน่ารักๆที่ไอ้มณีเคยจิ้นเอาไว้ก็พากันหายหมดสิ

   “ทะ ที่ไหน ไม่มี อย่ามามั่ว วันนี้จะไป กับเพื่อน ไม่ได้นัดสักหน่อย มั่วแล้ว” ผมยกมือขึ้นโบกห้ามทันทีพลางสะบัดมือพี่ธาราออกอย่างเนียนเนียนแล้วถอยมาหลบหลังเชียร หนุ่มหล่อล่ำผิวที่กำลังเป็นว่าที่เดือนคณะ

   “บ้านเหรอ มณีไปบ้านพี่ธารามาเหรอ”เชียรถามเสียงเบาเหมือนกับสงสัย

   งานเข้าแล้วไง คราวนี้อิมเมจิ้นของไว้มณีที่วาดเอาไว้ได้พังทลายแน่

   “มะ ไม่ใช่อย่างที่คิดนะเว้ยเชียร มันแค่อุบัติเหตุ”ผมกลัวรีบแก้ตัว

   “หึหึ อุบัติเหตุงั้นเหรอครับ น้องมณีก็รู้นี่ครับว่ามันไม่ใช่อุบัติเหตุ พี่ว่าเราไปกันดีกว่านะครับน้องมณี”

   พี่ธาราที่อยู่ในคราบหนุ่มหล่อที่แสนจะร้ายกาจยกยิ้มที่มุมปากพลางสาวท้าวเข้าเข้ามาทางผมที่หลบอยู่ด้านหลังเชียร

   แต่เรื่องอะไรผมจะยอมไปกับไอ้พี่ยักษ์ธารานี่กันล่ะ ขืนยอมไปมีหวังพี่เขาจับผมกินแน่

   ไอ้มณีคนนี้ยังใช้ชีวิตไม่คุ้มเลย

   “มณี เอ่อ เราว่านายไปกับพี่ธาราก่อนก็ได้นะ พวกเราค่อยไปกันวันหลังก็ได้”โมบอกพลางกระชับแว่น

   “มะ ไม่เอาดิ เราจะไปกับพวกนาย รับปากแล้วก็ต้องไปสิ ละ ลูกผู้ชายพูดแล้วไม่คืนคำ ปะ ไปกันได้แล้ว หิวจนกินหมูได้ทั้งตัวแล้ว”ผมจับแขนโมเตรียมจะออกเดินทางเต็มที่

   “แต่ว่าแกนัดพี่ธาราไว้ก่อนไม่ใช่รึไง”โมแย้ง

   “ก็บอกว่าไม่ได้นัด พี่เขามันมั่ว ไปกันเหอะน่า อย่าไปสนพี่เขาเลย”ผมว่าพลางหันหลังเดินหนี

   อาศัยช่วงเผลอเนี่ยแหละชิ่งเอาตัวรอดไว้ก่อน ค่อยไปเจอกันที่โรงจอดรถแล้วกัน

   “เฮ้ย!!จับทำไม”

   ผมก้าวได้เพียงก้าวเดียวก็ถูกดึงมือให้หันกลับไปอีกครั้ง

   “เดี๋ยวสิครับ ใจคอจะไม่ไปกับพี่จริงๆเหรอ เรานัดกันไว้แล้วนี่ครับ น้องมณี”

   พี่ธาราว่าเสียงเรียบก่อนจะออกแรงบีบข้อมือของผมที่กุมเอาไว้จนผมเริ่มรู้สึกเจ็บจนต้องเงยหน้าขึ้นมองพี่เขาอย่างขัดใจ

   ชั้วครู่ที่ผมจ้องมอง ดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีเขียวมรกตอยูวูบหนึ่งด้วยความเกรี้ยวกราด

   แต่มันก็แค่วูบเดียวเท่านั้นก่อนจะกลับมาเป็นเหมือนเก่า มีแต่ผมคนเดียวที่เห็นใช่ไหม ทำไมเพื่อนคนอื่นถึงได้ไม่มีท่าทีตกใจอะไรกันเลยสักนิด

   มันยิ่งตอกย้ำว่าเขาแตกต่างจากผม เขาเป็นสิ่งที่ทำให้ผมเริ่มที่จะหวาดกลัว เป็นสิ่งที่ผมไม่อยากจะเข้าใกล้

   ผมเริ่มหน้าซีด พยายามแกะมือที่กุมข้อมือตัวเองออก แต่มันก็ไม่เป็นผลราวกับว่าแรงที่เขาบีบข้อมือผมอยู่นั้นมันมีอยู่มากเกินที่ผมจะต้านมันได้
   นี่ผมจะขัดขืนสิ่งที่ผมทำกับเขาสักครั้งไม่ได้เลยใช่ไหม ครั้งที่แล้วพี่เขาก็จูบผมโดยที่ผมไม่เต็มใจเลยสักนิด
   

   “ก็บอกว่าไม่ได้นัดไง ปล่อย ไม่งั้นผมจะบอกคนอื่นนะพี่ว่าเป็นอะไร”ผมว่าพลางบิดข้อมือแรงกว่าเก่าจนเพื่อนๆที่หลงเหลืออยู่ในห้องไม่กี่คนหันมามองด้วยความสนใจ

   รวมถึงโมกับเชียรที่มองมาด้วยความเห็นใจแต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้เพราะว่าอีกคนเป็นรุ่นพี่

   
   “โม เชียรช่วยกันหน่อยสิ”ผมหันไปขอความช่วยเหลือ

   ผมไม่ได้มีนัด หรืออยากไปกับไอ้ยักษ์นี่สักหน่อย

   “มณี เราว่ามณีไปกับพี่เขาก่อนดีกว่านะ พี่เขาคงมีเรื่องจะคุยกับนาย”

   “ไม่มี มีที่ไหน มีอะไรจะคุยที่ไหน โม ช่วยพูดหน่อยสิ”

   “จริงอย่างที่น้องโมพูด พอดีพี่มีเรื่องอยากจะคุยกับน้องมณีอยู่เยอะแยะไปหมด แต่ว่าน้องมณีสงสัยจะลืมว่าเราสองคนมีธุระ ‘ส่วนตัว’ กัน  ”แล้วทำไมต้องเน้นคำว่าส่วนตัวให้คนอื่นเขายิ่งคิดลึกด้วย

   แค่เขามาหาผมถึงห้องเรียนมันก็หนักหนามากพอแรงแล้ว ยิ่งพูดไปแบบนี้ เพื่อนๆก็ยิ่งซุบซิบกันเข้าไปใหญ่

   “มะ ไม่มีนะ พี่ อย่ามามั่วได้ไหม”

   “มณี เราว่านายไปกับพี่เขาก่อนดีกว่านะ พวกเราไปก่อนนะ คุยกันดีดี”เชียรพูดตัดบทก่อน

   “เฮ้ย พวกนายอย่าทิ้งเราดิะ โม เชียร เราเพื่อนกันนะเว้ย”

   “เอาน่า พี่เขาไม่ฆ่าแกหรอก มณี”

   “ใครบอกว่าไม่ฆ่า ฉันไม่ไป ฉัน ฮึก”ผมเถียง แต่ไม่ทันขาดคำดี หัวสมองก็รู้สึกว่ามันอื้ออึงจนรวนไปหมดทันทีที่พี่ธาราทาบมือลงมาบนหน้าผากของผม

   “ไปกันได้รึยังครับน้องมณี”ธาราถามเสียงเบาพลางยกยิ้มดึงให้ผมไปยืนข้างข้างเขา

   ซึ่งก็แปลกที่ผมทำตามอย่างว่าง่ายโดยที่สมองของผมมันขาวโพลนไปหมดจนไม่มีความคิดใดใดอยู่ภายในหัว ร่างกายของผมมันขยับไปตามคำสั่งของพี่ธาราอย่างว่าง่าย

   ทำให้โมและเชียรหันไปมองหน้ากันอย่างมึนงงในปฏิกิริยาที่แตกต่างกันออกไปของผม

   “ไปกันเถอะครับพี่ธารา”ผมพูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบราวกับไร้ชีวิต

   “อยากไปกับพี่ไหมครับ”พี่ธาราถามย้ำ

   “ครับ ผมอยากไปกับพี่ธารา”ตอบตอบพร้อมกับยกมือขึ้นจับแขนพี่ธาราอย่างสนิทสนม

   “ดีมากครับ คราวนี้เราก็ไปกันได้แล้ว”

   พี่ธาราดึงมือให้ผมเดินตามอย่างว่าง่ายท่ามกลางสายตาของเพื่อนเพื่อนที่มองมาอย่างคาดเดาไปต่างต่างนานาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของผมกับพี่ธารา

   
   “เชียรว่ามันแปลกไหมทำไมจู่ๆมณีก็ยอมพี่เขาง่ายๆ”โมถามขึ้นหลังจากที่ผมเดินตามพี่ธาราออกมาจากห้องเรียน

   “เออ ตอนแรกเถียงพี่เขาหัวชนขวา ไปไปมามากลับยอมเขาง่ายๆซะงั้น แถมมีมีครับด้วย”เชียรตอบว่า

   “นั่นสิ”

   “เออน่า เขาอาจจะทะเลาะกันแล้วคืนดีกันแล้วก็ได้ นั่นมันเรื่องของเขา”เชียรบอกด้วยท่าทีไม่ใส่ใจ

   แต่ก็อดข้องใจไม่ได้ว่าทำไมผมถึงเปลี่ยนใจง่ายขนาดนี้

   

***----***----***----***----***----***----***----***----***----***----***----***----***----***----***----***


มีต่อ

ปอลอ ใครว่าตอนนี้บทพูดมันยืดเยื้อไปก็บอกนะค่ะ รุ้สึกว่ามันยืดๆยังไงไม่รู้ แต่ก็ไม่แน่ใจ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-09-2015 05:31:47 โดย โซ อึน »

ออฟไลน์ โซ อึน

  • อยากให้โลกนี้มีเท่ากัน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 472
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +144/-4
    • แฟนเพจเจ้าค่ะ
ต่อ

ผมได้สติขึ้นมาอีกทีก็รู้สึกว่าเปลือกตาของตัวเองหนักอึ้งจนแทบจะลืมไม่ขึ้น

   ผมยกมือขึ้นกุมหัวที่รู้สึกว่ามันปวดจนรู้สึกมึนงง

   นี่ผมกำลังอยู่ที่ไหน?

   ทำไมถึงได้รู้สึกว่าหัวสมองของตัวเองถึงได้ว่างปล่าวเหมือนกับว่าไม่มีความคิดอะไรอยู่ภายในหัวเลย

   ผมปรือตาขึ้นมาด้วยความยากลำบากพลางจ้องมองเพดานที่ขาวสะอาดตาด้วยความแปลกใจ ทำไมโคมไฟระย้าช่อโตถึงมาอยู่ในห้องผมได้

   ปกติห้องผมไม่มีแชนเดอเรียสวยหรูแบบนี้นี่ มีก็แต่ไฟเพดานสีขาวเรียบง่ายที่ราคาไม่กี่บาท

   แล้วเตียงที่ผมนอนอยู่นี่ก็ดูหนานุ่มฟูมากเป็นพิเศษ หรือว่าผมกำลังฝันอยู่กันแน่

   ผมชันตัวขึ้นมองไปรอบรอบสถานที่ที่คิดว่ามันไม่คุ้นเคยเอาเสียเลย

   ผมกำลังนอนอยู่บนโซฟาสีเบจตัวใหญ่ที่อยู่ในห้องรับแขกรอบข้างเป็นกระจกใสล้อมรอบ มองเห็นไปถึงข้างนอก

   ความมืดกับแสงสลัวของดวงไฟบ่งบอกว่าตอนนี้ได้ล่วงเลยเข้าสู่เวลากลางคืนแล้ว แสงไฟสีเหลืองอุ่นสาดส่องให้พอมองเห็นสวนที่มีต้นไม้สูงใหญ่สีเขียวขจีไล่ระดับอย่างสวยงาม

   ภาพที่เห็นมันเหมือนจะคุ้นอยู่ในความทรงจำ แต่สมองของผมมันก็รุ้สึกมึนงงจนแทบจะคิดอะไรไม่ออก

   ผมมองไปอีกฟากของตัวบ้าน ก็เจอสระว่ายน้ำขนาดไม่ใหญ่มาก พื้นสระเป็นสีฟ้าเขียวคล้ายกับสีน้ำทะเล มีไฟสาดส่องมาจากใต้น้ำทำให้มันดูสวยงามตอบรับกับผืนน้ำที่นิ่งสนิท

   นี่คือความฝันอย่างนั้นเหรอ หรือว่าผมยังไม่ตื่นกันแน่ แล้วที่นี่ที่ไหน ทำไมผมถึงคิดอะไรไม่ออก ผมยันตัวขึ้นนั่งพิงพนักพิงพลางยกมือกุมหัว กระพริบตาถี่ๆอีกครั้ง

   แล้วยกมืออีกข้างขึ้นจ้องมองมือตัวเองที่กำมือไปมาตามที่สมองสั่งการ ซึ่งนั่นก็หมายความว่าผมกำลังตื่นอยู่ นี่ไม่ใช่ฝัน!!
   แล้วผมกำลังอยู่ที่ไหน?

   มันเริ่มคุ้นเหมือนกับว่าผมเคยมาที่นี่มาก่อนแต่ก็นึกไม่ออก ผมมองไปที่สระน้ำอีกครั้ง

   เริ่มคุ้นกับสระน้ำนั่นขึ้นมาบ้างแล้ว

   สระน้ำนั่น เหมือนจะคุ้นว่าเคยตกลงไป เหมือนเคยมีใครอยู่ด้วยในสระน้ำนั้น ในความทรงจำที่เลือนราง

    แต่ยิ่งคิดภาพก็ยิ่งเบลอ ใครกันนะผมพยายามคิด

   จนภาพที่มันเบลอค่อยๆรวมตัวกันจนเริ่มจะชัดเจน ใครคนนั้น ที่มีเขี้ยวงอกออกมา

   ใช่แล้ว!!

   ยักษ์!! พี่ธาราที่เป็นยักษ์!!

   นี่คือบ้านของเขา

   นี่ผมกำลังอยู่ในรังของยักษ์ใช่ไหม อย่าบอกนะว่าพี่เขาพาเขามาเพื่อเตรียมตัวเชือด

   ไม่จริงใช่ไหม!!

   ผมเริ่มมองซ้ายมองขวาเพื่อหาพี่ธารา แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าพี่เขาจะอยู่แถวนี้

   หรือว่าเขากำลังเตรียมเครื่องมือเพื่อที่จะเชือดผมอยู่

   ไม่ได้การแล้ว ชีวิตของไอ้มณีกำลังแขวนอยู่บนเส้นด้าย

   ผมต้องกลับบ้าน ผมต้องหนี

   แต่ทำไมขาของผมมันเหมือนจะไม่มีแรง แล้วผมมาที่นี่ได้ยังไง ทำไมผมถึงจำอะไรไม่ได้เลย

   ครั้งสุดท้ายที่จำได้ก็กำลังจะไปกินหมูกระทะกับเพื่อนๆหลังเลิกเรียน แล้วผมถึงมาโผล่ที่นี่ได้ล่ะ

   ผมพยายามที่จะยืนขึ้นแต่ก็ทำไม่ได้ ร่างกายมันหนักอึ้งคล้ายกับถูกตรึงเอาไว้ให้อยู่แต่ตรงนี้

   อย่าบอกนะว่าพี่ธาราใช้เวทมนต์กับผมเพื่อพาผมมาที่นี่ นี่มันไม่ใช่เรื่องปกติธรรมดาที่คนทั่วไปอย่างผมจะรับได้แล้ว    ตกลงพี่เขาจะกินผมจริงจริงใช่ไหม

   คนอื่นมีตั้งเยอะทำไมไม่กิน ทำไมถึงต้องตามมาล้างแค้น มาจับผมกินกันถึงชาตินี้ด้วย

   ผมเริ่มที่จะคิดฟุ้งซ่าน แต่ยังไม่ทันไร เสียงกระซิบก็ดังขึ้นมาข้างหูพร้อมกับลมหายใจอุ่นร้อนเป่าเฉียดแก้มผมไปนิดเดียว                     

   “ตื่นแล้วรึ อภัยมณีของข้า”

   “พะ พี่ธารา”
   มณีสะดุ้งเมื่อเสียงที่ได้ยินมันก้องกังวานอยู่ภายในหู แต่กลับไม่เห็นตัวพี่เขา

   ผมรู้สึกถึงลมอุ่นร้อนที่เป่ารดหลังหู พร้อมกับได้ยินเสียงกระซิบบางอย่างที่ผมไม่เข้าใจไหลผ่านหูเข้ามาในโสตประสาท

   ผมพยายามจะหันไปมอง แต่ร่างกายมันก็หนักอึ้งคล้ายกับถูกกดทับตรึงเอาไว้อยู่กับที่ จนผมเริ่มกลัว

   พยายามที่จะหันไปมองด้านหลัง แต่ก็ทำไม่ได้ คล้ายกับศีรษะของผมนั้นถูกมือใหญ่จับตรึงเอาไว้ให้มองไปข้างหน้าเพียงอย่างเดียว

   “นะ นาย จะทำอะไรน่ะ”ผมถาม พยายามคุมสียงไม่ให้สั่น ตอนนี้ความกลัวเริ่มกัดกินเข้ามาใจใจจนเริ่มที่จะคุมสติไม่อยู่

   “เจ้ากลัวข้าอย่างนั่นรึ”

   “มะ ไม่ได้กลัวสักหน่อย”ผมตอบด้วยคำตอบที่ตรงข้ามกับความเป็นจริงไปโดยสิ้นเชิง

    ทั้งที่ยังมองไม่เห็นว่าอีกฝ่ายอยู่ที่ไหน ได้ยินเพียงแค่เสียงที่ดังก้องอยู่ในหู กับลมหายใจที่เป่าแก้ม

   ผมรู้สึกว่าปอยผมของผมที่ระต้นคอกำลังถูกเขี่ยเล่นไปมาอย่างหยอกเย้าจนน่าขนลุก

   “ถ้าเจ้าไม่กลัว เช่นนั้นวันนี้เจ้าจะหลบหน้าข้าไปทำไม ไหนลองตอบข้ามาสิ อภัยมณี”

   “มะ ไม่ได้หลบหน้าสักหน่อย”

   “เจ้านี่ช่างไม่ซื่อสัตย์เอาเสียจริง”เขาพูดด้วยน้ำเสียงคล้ายกับกำลังขบขัน

   “ฮึก”

   ผมสะดุ้งเฮือกเมื่อรู้สึกว่ามีมือที่อุ่นจนร้อนไล้ผ่านมาทางด้านหลังแล้วใช้เรียวนิ้วลูบเอากรอบหน้าของผมอย่างเบามือ

   นั่นมันน่าขนลุกไม่น้อยกับไอ้สัมผัสแผ่วเบาที่ทำให้ผมเสียวไปถึงกระดูกสันหลัง ผมตัวสั่นเทาพยายามเชิดหน้าขึ้นเพื่อหลบนิ้วที่กำลังลูบหน้าผมอยู่

   ผมเหลือบตาลงมองก็เห็นเรียวนิ้วมือสีเข้ม กับเล็บยาวมนที่ค่อยค่อยกรีดกรายลงบนโครงหน้าของผมไล่ลงไปที่คาง

   มันดูน่ากลัวไม่น้อยเลยถ้าเล็บนั่นมันจิกลงมาบนผิวเนื้อของผม มันคงจะเจ็บมากถ้าเกิดว่าเขาทำขึ้นมาจริงจริง

   “พี่ต้องการอะไร กันแน่ อย่าบอกนะว่าจะกินผม”

   “หึ หึ เจ้านี่ช่างคิดอะไรไปไกลยิ่งนัก ไม่ต้องกังวล ข้าไม่พิศวาสกินเนื้อมนุษย์นักหรอก”

   พี่ธาราบอกพลางหัวเราะคล้ายกับกำลังขำกับสิ่งที่ผมกำลังกลัว

   “ละ แล้วพี่จะจับฉันมาทำไมล่ะ”

   “เข้าผิดแล้ว อภัยมณี เจ้ามานี่นี่โดยเต็มใจต่างหาก”

   “แล้วผมจะมาที่นี่ได้ยังไง ถ้าพี่ไม่ได้จับผมมา”ผมถามอย่างสงสัย

    ก่อนที่จะหลังด้านหลังเพื่อเผชิญหน้ากับพี่เขา แต่สิ่งที่ผมเห็นทำเอาผมตกใจไม่น้อยเมื่อด้านหลังของผมไม่มีใครอยู่เลย

   นั่นมันทำให้ผมขนลุกขึ้นมาทันทีแล้วลมหายใจที่เป่ารดแก้มผมจากทางด้านหลังเมื่อกี้มันคืออะไร

   
   “เจ้าเต็มใจมากับข้าเองต่างหาก”

   แล้วเสียงทุ้มต่ำก็ดังมาจากด้านข้างของตัวผมทำให้ผมกระทดตัวหนีทันทีด้วยความตกใจ ผมขยับตัวไปชิดโซฟาอีกด้านในทิศที่ตรงข้ามกับเสียง ตอนนี้ผมขยับตัวได้อย่างที่ใจนึกแล้ว แต่ก็ไม่สามารถลุกขึ้นจากโซฟาตัวนี้ได้เลย

   “พะ พี่มาได้ไง”ผมยกมือขึ้นตั้งการ์ดถามเสียงสั่น

   เมื่อมองเห็นพี่ธารานั่งอยู่อีกฝั่งของโซฟาไกลจากผมแค่เอื้อม

   แต่ในสายตาพี่ธาราผมคงเป็นได้แค่ลูกแมวที่กำลังขู่ฟ่อฟ่อมากกว่า


   “รู้บ้างไหมว่าท่าทีของเจ้านั้นไม่ได้แตกต่างจากชาติก่อนแม้สักนิด เจ้ามิต้องกลัวข้าไปหรอก ข้ายังไม่ทำอะไรเจ้าตอนนี้”พี่ธาราบอกพลางยกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์

   “งะ งั้นพูดอย่างนี้แสดงว่าพี่จะทำตอนอื่นใช่ไหม ตกลงพี่จะกินผมจริงจริงใช่ไหม”

   มณีเบียดตัวเข้ากับที่พักแขนของโซฟาอีกด้านพลางชันเข่าขึ้นเป็นการบอกเป็นนัยน์ว่าถ้าเข้ามาผมถีบพี่เขาจริงจริงแน่

   “เจ้านี่ช่างคิดไร้สาระได้เก่งไม่เปลี่ยนแปลงเลยเชียว”

   “นี่พี่ จะหาว่าผมไร้สาระเหรอ”

   “นั่นเจ้าก็คิดไปเอง”พี่ธารายิ้ม

   “แล้วพี่จับผมมาทำไม พี่ไม่ทำอะไรผม พี่ก็ปล่อยผมไปสิ คนก็ส่วนคน ยักษ์ก็ส่วนยักษ์ สัญญาว่าผมไม่บอกใครหรอก เราต่างคนต่างอยู่เหอะนะ”

   “ที่พาเจ้ามาที่นี่ ข้าเพียงแค่อยากจะเตือนให้เจ้าได้เตรียมใจเท่านั้น ไม่ได้ต้องการจะทำอะไรอย่างที่เจ้าคิดอยู่หรอกนะ อภัยมณี”

   “ตะ เตรียมใจอะไร ไหนพี่บอกว่าจะไม่กินผมไง” ไหนบอกว่าจะไม่กินผมแล้วไง แล้วจะให้ผมเตรียมใจทำไม

   “ข้าไม่ได้จะกินเจ้าหรอก ต้องให้ข้าบอกเจ้าครั้งกี่ครั้งเชียว เจ้าเด็กงี่เง่า”

   “อย่ามาว่าผมงี่เง่านะ ละ แล้วทีพี่ล่ะ ผมบอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าเรียกชื่อเต็มแบบนั้น แล้วก็บอกมาสักทีว่าผมมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”

   “ข้าบอกแล้วว่าเจ้าเต็มใจที่จะมาเอง”ธาราตอบพลางยิ้มเจ้าเล่ห์ ถึงมันจะดูดีแค่ไหน แต่ผมก็อยากจะต่อยเขาสักทีให้หายเจ็บใจ
   ทำไมพี่เขาถึงได้เข้ามายุ่งกับชีวิตผมจนมันวุ่นวายอย่างนี้

   “ไม่จริงน่า ผมไม่มีทางเต็มใจจะมากับพี่ง่ายง่ายหรอก พี่ใช้เวทมนต์กับผมใช่ไหม พี่เองก็เป็นพ่อมดด้วยใช่ไหมล่ะ”

   “ทำไมเจ้าชอบพูดอะไรที่มันน่าขบขันนัก ข้าไม่ได้ใช้เวทมนต์หรือเป็นพ่อมดอะไรอย่างที่เจ้าว่าหรอก”

   “แล้วทำไมผมถึงมาที่นี่ได้ล่ะ ไม่มีทางที่ผมจะเต็มใจมากับพี่เองเด็ดขาด”ผมพูดพร้อมกับเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย

   “ข้าเพียงแค่ใช้มนตราแปรเปลี่ยนใจให้เจ้าคล้อยตามสิ่งที่ข้าพูดเพียงแค่นั้น”

   “แล้วมันต่างจากใช้คาถา ใช้เวทมนต์ตรงไหน พี่นี่มันมั่วจริงจริงเลย”มันแตกต่างจากเวทมนต์คาถาตรงไหนเนี่ย ไอ้คำว่ามนต์ตรา
 
   “อ้อ งั้นรึ”พี่ธารายิ้มเล็กๆพลางยักไหล่ด้วยท่าทีไม่ใส่ใจ ยังมีหน้าจะมาไหลไปเรื่อยอีก มันน่าหมั่นไส้ดีจริงจริง

   “แล้วเรื่อง นั้น มันหมายความว่ายังไง”

   “เรื่องอะไร?”

   “ก็เรื่องนั้นไงเล่า เรื่องที่พี่บอกให้เตรียมใจ ไหนบอกว่าจะไม่กินผม”ถึงผมจะพูดด้วยน้ำเสียงที่ดังคล้ายกับว่ากำลังจะข่มพี่เขา
   แต่ตัวผมนี่กำลังจะเบียดแทบจะแทรกลงไปรวมกับพื้นผิวของโซฟาเลยทีเดียว

   “เรื่องที่เจ้าต้องชดใช้ยังไงล่ะ”

   “ผมต้องชดเชยอะไร” คงไม่ใช่ว่าเรื่องที่บอกตอนเจอกันครั้งแรกหรอกนะ ที่ว่าให้ผมผสมพันธุ์กับพี่เขา

   “เจ้าต้องชดใช้เผ่าพันธุ์ยักษ์ด้วยการมีบุตรให้แก่ข้า”

   “อะ อะไร แล้วทำไมผมต้องมีลูกกับพี่ด้วยล่ะ”

   “มันเป็นการปลดปล่อยพวกเราจากกรงขังที่เจ้าได้ก่อเอาไว้เมื่ออดีตชาติ”

   “เดี่ยว เดี๋ยว กรงขังอะไร ผมไม่เคยได้รู้เรื่อง แล้ว ต้องมีลูกกันอย่างเดียวเลยรึไง ทำอย่างอื่นไม่ได้เหรอ แบบอุทิศส่วนกุศลอะไรเทือกนั้นน่ะ”

   “มีทางเดียวที่จะปลดปล่อยพวกเราได้ นั่นคือข้ากับเจ้าจะต้องมีบุตรร่วมกัน”

   “ไม่มีทาง”ผมยกมือค้าน

   “เจ้ามิอาจหลีกหนีโชคชะตาได้พ้นหรอก ในราตรีของคืนเพ็ญเดือนยี่ เจ้าจักต้องสืบพันธุ์เชื้อสายครึ่งมนุษย์ครึ่งยักษ์ให้แก่ข้า เมื่อใดที่กำเนิดสายเลือดของเราออกมา เมื่อนั้นโซ่กรรมของเจ้าก็จักถูกปลดออก หนี้ที่เจ้าคั่งค้างกับเผ่าพันยักษ์ก็จักจบสิ้นทันที”

   “เดี๋ยว เดี๋ยวสิ เดือนยี่ที่พี่ว่านี่มันเดือนกุมภาใช่ไหม”

   “ใช่”

   “เดี๋ยวสิ นั่นมันอีกแค่เดือนเดียวเองนี่”ผมพูดเสียงดังอย่างตกใจ

    อะไรกัน จู่ๆก็จะให้เตรียมใจมีลูกพี่เขา แล้วอีกแค่เดือนเดียวเองนี่นะ มันเป็นไปไม่ได้ ผู้ชายจะมามีลูกกับผู้ชายด้วยกันได้ยังไง

   “เวลาหนึ่งเดือนก็เพียงพอแล้วสำหรับการที่จะให้เจ้าเตรียมใจ”พี่ธาราบอกด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

   แต่สำหรับผมมันเป็นเหมือนกับเสียงกระซิบที่พัดผ่านหูลอยหายไปกับสายลมมากกว่า

   ผมนิ่งอึ้งมองพี่ธาราตาค้าง ไม่อยากจะเชื่อว่าผมจะต้องมีลูกกับพี่ธาราจริงจริง ทั้งๆที่ผมเองก็เป็นผู้ชายผู้ชายพี่เขาก็เป็นผู้ชาย

   ทำไมชาติที่แล้วผมต้องเกิดเป็นพระอภัยมณีด้วย ไม่น่าไปเป่าปี่ให้นางผีเสื้อสมุทรได้ยินเลย ถึงได้เป็นผลกรรมาจนถึงชาตินี้
   “แล้วจะให้ผมทำยังไง”ผมถามลองเชิง พลางมองพี่ธาราด้วยท่าทีหวาดหวั่น

   “เจ้ามิต้องทำอะไร แค่ร่วมรักกับข้า แล้วก็”ธาราบอกเสียงเบาพลางคืบคลานเข้ามาหาผมอย่างใจเย็น

   แต่นั่นก็ทำให้ผมตกใจไม่น้อย ผมยกมือขึ้นกันพี่เขาทันที แต่ร่างกายมันก็นิ่งอยู่แค่นั้นเหมือนกับถูกตรึงเอาไว้อีกครั้ง

   “ฮึก”

   ผมสะดุ้งเมื่อรู้สึกถึงมือร้อนๆสอดของพี่เขาสอดเข้ามาภายใต้เสื้อนักศึกศาตัวบาง

   ผมนิ่วหน้าลงอย่างเสียวไส้เมื่อมือนั้นลูบไว้ไปมาบนหน้าท้องของผม จนรู้สึกว่ามันสะท้านไปทั้งร่างกาย

   พี่ธาราโถมตัวขึ้นคร่อมอยู่เหนือร่างของผมพลางโน้มหน้าเข้ามาใกล้ซึ่งแน่นอนว่าผมหลบเลี่ยงไม่ได้เพราะกำลังโดนตรึงด้วยสิ่งที่มองไม่เห็น


   “อุ้มท้องลูกของข้า แค่เจ้าอุ้มให้ลูกของเราเท่านั้น”พี่ธารากระซิบข้างหูพลางเป่าลมร้อนรดหูผม

   “อือ”ผมร้องขึ้นอย่างขัดใน เมื่อนิ้วร้อนกรีดเล็บวนตรงแอ่งสะดือของผมไปมาจนผมต้องงอตัว

   ทำไมกัน ทำไมผมถึงขยับตัวไม่ได้ ทั้งที่อยากจะถอยหนี อยากจะขัดขืน แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เลยสักนิด

   “เจ้าอย่าคิดหนี หรือว่าขัดขืนเป็นอันขาด อภัยมณี หนี้ครั้งนี้ของเจ้าช่างใหญ่หลวงยิ่งนัก เจ้ามิอาจขัดขืนโชคชะตาที่ฟ้าได้ลิขิตเอาไว้ได้หรอก”พี่ธารากระซิบ

   คราวนี้น้ำเสียงของเขาแข็งกร้าว จมูกร้อนผ่าวของพี่เขากดลงบนผิวคอของผมโดยที่ผมไม่อาจจะเบี่ยงหลบได้เลย

   “ฮึก พี่จะบ้ารึไง เป็นไม่ไม่ได้หรอกที่ผู้ชายจะมีลูก ผมมีลูกให้พี่ไม่ได้หรอก”ผมเถียง พยายามเบือนหน้าจมูกที่จรดลงมาบนต้นคอ แต่ทว่ากายกับแข็งทื่อ

   “เมื่อถึงเวลานั้น เจ้าจักรู้เอง”

   “แล้วถ้าผมไม่ยอมล่ะ ถ้าผมไม่ทำ”

   ผมถามอย่างลองเชิง แต่ทว่าสิ่งที่ถามออกไปกลับเป็นเหมือนหอกที่พุ่งกลับมาทิ่มแทงตัวผมเอง

   ฉับพลันดวงตาสีดำสนิทก็กลับกลายเป็นสีเขียวมรกตที่เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว

   เรียวคิ้วดกดำเริ้มแปลเปลี่ยนสภาพเป็นลวดลายกระหนกวิจิตรงราวกับเป็นรอยสักที่บรรจงวาดมันขึ้นมา

   ริมฝีปากหยักแสยะยิ้มมุมปากเผยให้เห็นเขี้ยวที่ยาวยื่นออกมาสองข้าง งอโง้งอย่างงดงาม ผมสีดำสนิทราวกับสีของยามค่ำคืนจากที่สั้นระลำคอก็ยาวจนคลอเคลียช่วงลาดไหล่

   เรือนร่างกำยำที่จัดว่าสูงใหญ่อยู่แล้วก็ขยายใหญ่ขึ้นอีกจนบดบังแสงไฟเกิดเงาทะมึนขึ้นทาบทับร่างของผมทันที

   ผมตาเบิกกว้างด้วยความตกใจพยายามกระถดตัวหนี แต่ก็ไม่ทันเสียแล้วเมื่อมือใหญ่ของพี่ธารายื่นมาจับโครงหน้าของผมตรึงเอาไว้ให้จ้องมองสบกับดวงตาสีมรกตที่กราดเกรี้ยวของเขาแน่น

   “พะ พี่ธารา”ผมเรียกชื่อเขาเสียงเบา พยายามหันหน้าหนีมือแข็งแรงที่ตรึงโครงหน้าเอาไว้อย่าง

   “เจ้าคิดว่าเจ้าจะขัดขืนโชคชะตาได้อย่างนั้นหรือ อภัยมณี โชคชะตามันมีอาจฝืนได้หรอกนะ”พี่ธาราพูดด้วยน้ำเสียงดุดัน พลางจ้องลึกเข้ามาในดวงตาสีอ่อนของผม

   “ไม่จริง ทำไมจะทำไม่ได้ ในเมื่อผมไม่ยอมซะอย่าง”ใช่ ผมจะไม่ยอมให้พี่เขาทำอะไรตามใจชอบกับตัวผมเด็ดขาด

   “นั่นมันไม่ได้อยู่ที่เจ้า ว่าเจ้าจะยอมหรือไม่ แต่มันอยู่ที่ข้า”ธาราบีบมือลงบนคางของผมพลางเชิดมันขึ้นจนผมรู้สึกเจ็บ

   “ก็ผมไม่ยอมซะอย่าง พี่ก็ทำอะไรไม่ได้อยู่แล้ว”ผมนิ่วหน้าพยายามเถียง

   “หากเจ้าไม่ยอมโดยดี ข้าก็จักฝืนใจเจ้า”

   “หมายความว่ายังไง นั่นมันไม่ถูกต้อง พี่จะมาบังคับผมได้ยังไง ผมไม่ใช่สิ่งของที่พี่จะมาทำอะไรตามใจชอบนะ”

   “เช่นใดเจ้าถึงคิดว่าข้าทำไม่ได้”

   “ไม่ได้ก็คือไม่ได้ไง คนเราจะมีลูกกันก็ต้องมีอะไรกันไม่ใช่รึไง”

   “เจ้าคิดถูกต้อง แล้วมีอันใดที่เจ้าไม่เข้าใจงั้นรึ”พี่ธาราตอบ พลางคลายมือที่หน้าผมแน่นออกแต่ก็ยังไม่ปล่อยอยู่ดี

   เทียบกับมือพี่ธาราแล้วใบหน้าของผมดูเล็กลงไปถนัดตาเลยดีเดียว

   เขี้ยวที่โผล่ออกมาของพี่เขาเริ่มคืนกลับสภาพไปสภาพเก่า เรียวคิ้วก็บางลงไปเหมือนกับคิ้วของคนปกติแล้ว

   “แต่ว่าคนจะมีอะไรกันมันก็ต้องรักกันไม่ใช่รึยังไง”มณีถาม

   พยายามคิดหาทางหลบเลี่ยง ไม่ว่ายังไงผมก็จะไม่ยอมให้พี่เขามาทำอะไรผมง่ายง่ายเด็ดขาดถึงแม้ว่าตอนนี้ผมจะคิดว่าผมไม่ท้องก็ถาม ถ้าหากว่าพี่เขาเกิดทำอะไรผมขึ้นมาจริงจริง

   “ใช่แค่ส่วนเดียวเท่านั้น ความใคร่ มีทั้ง ใครแบบพิศวาส กับใคร่แบบรักใคร่”พี่ธาราพูดเสียงเรียบก่อนจะปล่อยผมแล้วถอยกลับไปนั่งที่เดิม

   “หมายความว่าไง พี่จะบอกให้ผมมีลูกกับพี่โดยที่ไม่ได้รู้สึกอะไรเลยอย่างนั้นเหรอ คนเรามีอะไรกันอย่างน้อยก็ต้องรู้สึกดีต่อกันบ้านสิ ใช่ว่านึกจะทำก็ทำ ผมไม่ยอมหรอกนะ”

   “ข้าก็ยังมิได้บอกเช่นนั้น”พี่ธาราแก้

   “ยังไงผมก็ไม่ยอมเด็ดขาด ผมไม่ยอมมีอะไรกับคนที่ไม่ได้รักหรอกนะ”ผมค้านหัวชนฝา พลางยกมือขึ้นลูกคางที่โดนพี่ธาราบีบเมื่อครู่

   บีบกันมาได้ เจ็บชะมัด

   “ถ้าเช่นนั้นเจ้าจะทำอย่างไร ในเมื่อหัวใจคนเรามิอาจบังคับกันได้”

   “นั่นผมก็รู้อยู่แล้ว”

   “แล้วเช่นนั้นเจ้าต้องการสิ่งใด”

   “คือ มันก็ไม่ใช่อย่างนั้น ยังไงผมก็หนีนายไม่พ้นอยู่ดีใช่ไหมล่ะ อย่างน้อย ก็”ผมอ้ำอึ้ง เสตามองไปทางอื่นเมื่อรู้สึกได้ว่าพี่ธารากำลังจ้องมองผมอยู่ไม่วางตา

   “เจ้ามีสิ่งใดก็พูดออกมา”พี่ธาราจ้องมองผมอย่างคาดคั้น

   “เออน่า อย่างน้อย พี่ก็น่าจะ เอ่อ คือ”

   “น่าจะอันใด”

   “ก็น่าจะจีบกันก่อนดิ อย่างน้อยคนจะมีอะไรกันก็ต้องรู้สึกดีต่อกัน ถ้าพี่ไม่ทำให้ผมรู้สึกดีกับพี่ผมก็ไม่ยอมมีอะไรกับพี่หรอกนะ บอกไว้ก่อนว่าผมจะไม่ยอมมีอะไรกับใครง่ายง่ายหรอกนะถ้าผมไม่ได้รู้สึกดีด้วยน่ะ”ผมบอกพลางเบือนหน้าหนี

   ว่าแต่ทำไมผมต้องหน้าแดงใส่พี่เขาด้วยนะ รู้สึกว่าตัวเองกำลังพูดเชื้อเชิญเขาอยู่ยังไงก็ไม่รู้

   “อ้อ เจ้าหมายถึงให้ข้าเกี้ยวเจ้าเช่นนั้นรึ”

   “ก็เออไง แล้วทำไมพี่ต้องพูดว่าเกี้ยวด้วย มันน่าอายไม่ใช่รึไง ”ผมยกมือขึ้นโบกไปมา

    ทำไมต้องรู้สึกเขินไอ้ยักษ์นี่จนวางตัวไม่ถูก ก็ไม่รู้ ไม่รู้จะเอามือไม้ไปวางไว้ตรงไหนดี

   “แล้วถ้าข้าเกี้ยวพาเจ้าไม่สำเร็จล่ะ”พี่ธาราถาม

   ทำให้ผมครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ หัวสมองเริ่มคิดถึงแผนการที่จะเอาตัวรอดโดยไม่ต้องตกเป็นเมียของเขาได้

   “ถ้าพี่จีบผมไม่สำเร็จ พี่ก็ห้ามผสมพันธุ์กับผมเด็ดขาด โอเคไหม”   “หากไม่สำเร็จข้าก็ใช้กำลังฝืนใจเจ้าก็สิ้นเรื่อง”

   “ไม่ได้นะ พี่จะมาขืนใจคนอื่นง่ายๆได้ยังไง หรือว่าพี่ไม่กล้าเดิมพันกับผม เพราะกลัวจะจีบผมไม่ได้ใช่ไหมล่ะ”ผมเชิดหน้าขึ้น

   “หึ เรื่องนั้นข้ามั่นใจอยู่แล้วไม่ว่าจะชาตินี้หรือชาติก่อน ใจเจ้าก็จักอ่อนไหวมิเคยเปลี่ยนแปลง  เพียงแค่ข้าคิดว่าไม่จำเป็นที่จักต้องตอบรับข้อเสนอของเจ้าในเมื่อเจ้าจักเป็นผู้ที่ต้องชดใช้ แต่เอาเถอะ ในเมื่อเจ้าต้องการเช่นนั้นข้าก็จักยอมเจ้าสักครั้งก็แล้ว
กัน”

   “พี่สัญญาเองนะ ถ้าหากว่าพี่ทำไม่ได้ล่ะก็ พี่จะเลิกยุ่งกับผม แล้วก็จะ เอ่อ จะไม่จับผมผสมพันธุ์ด้วย โอเคไหม”

    “ได้ ข้าสัญญา”พี่ธาราตอบพลางยิ้มมุมปาก ไม่ว่ายังไงเขาก็จะไม่ปล่อยผมให้หลุดไปจากเงื้อมือเขาง่ายง่ายอยู่ดี



   ‘เจ้าเตรียมใจไว้ให้ดีเถิด อภัยมณี ข้าจักให้สินสมุทรได้เกิดมาลืมตาดูโลกอีกครั้ง พร้อมแก้วแห่งอายุราที่เจ้าได้ฉกชิงไปเมื่อครั้งก่อน’

   
***----***----***----***----***----***----***----***----***----***----***----***----***----***----***----***


17/09/58

โอยยย แก้ไขเกือบทุกบรรทัด ทำไมมันเยอะอย่างเน้ แงแง เมื่อไรจะแก้เสร็จ เหลืออีกสองตอน


ออฟไลน์ BlueCherries

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4060
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +159/-17
ติดตามตอนต่อไปปปปป

อยากเห็นมณีตอนท้องแล้ว ><

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ โซ อึน

  • อยากให้โลกนี้มีเท่ากัน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 472
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +144/-4
    • แฟนเพจเจ้าค่ะ
9432

ชดใช้ครั้งที่ 6 เพลงพิฆาต

   “ทะ ท่านเป็นใครน่ะ”ร่างสูงโปร่งนั่งชันเข่าอยู่บนเตียงไม้หลังใหญ่ถามด้วยน้ำเสียงที่ตื่นตระหนกเมื่อมีแขกที่ไม่ได้รับเชิญเข้ามาภายใน

   เป็นเวลาล่วงเลยผ่านมาจนนับวันนับคืนไม่ถูกแล้วที่พระอภัยมณีถูกลักพาตัวมาโดยนางผีเสื้อสมุทร เขาถูกนางผีเสื้อสมุทรขังไว้ภายในถ้ำใหญ่นี้โดยไม่เคยได้เห็นเดือนเห็นตะวันสักครั้ง ร้องเรียกให้คนช่วยก็ไม่มีแม้แต่เสียงตอบรับจากภายนอกถ้ำเลยสักครั้ง
   “แล้วเจ้าคิดว่าข้าเป็นใครล่ะ”

   “ทะ ท่านเป็นยักษ์หรือไม่”อภัยมณีถามพลางกระถดตัวชิดหัวเตียงสี่เสาหลังใหญ่

   “ข้าชื่อธาราสมุทร เป็นพี่ชายของนางผีเสื้อสมุทร”ร่างสูงกำยำ ไร้เสื้อผ้าปกปิดส่วนบนเดินเข้ามาภายในโถงถ้ำที่พระอภัยมณีอยู่ด้วยท่าทีนิ่งเฉย

   “งะ งั้นท่านก็เป็นยักษ์น่ะสิ”

   “เจ้ากลัวข้างั้นรึ”ธาราสมุทรถามเสียงดังก้อง พลางจ้องมองร่างสูงโปร่งไร้ซึ่งกล้ามเนื้อกุมมือกับเครื่องดนตรีประจำกายแน่น

   “ขะ ข้ามิได้กลัวท่านสักหน่อย ข้าเพียงแค่ตกใจ ที่จู่จู่ท่านก็โผล่เข้ามา”

   “อ้อ งั้นเหรอ แล้วนี่เจ้าร้องไห้หรืออย่างไรกัน”ธาราสมุทรเดินมาชิดขอบเตียงพลางนั่งลงอีกฝั่ง

   “ขะ ข้ามิได้ร่ำไห้เสียแต่อย่างใด ท่านนี่ช่างพูดจามั่วยิ่งนัก”อภัยมณีขมวดคิ้วพลางเบือนหน้าหนี

   “งั้นรึ งั้นข้าคงจะตาฝาดไปเอง”ธาราสมุทรพูดพลางยิ้มอย่างขบขัน เมื่อเจ้าตัวที่นั่งชิดอยู่อีกริมฝั่งเตียงรีบเช็ดหยาดน้ำตาที่ยังไม่เหือดแห้งอยู่บนพวงแก้มออกอย่างรวดเร็ว

   “แล้วท่านเข้ามาได้อย่างไร ต้องการอะไร ยะ อย่าบอกนะว่าท่านจะกินข้า”พระอภัยมณีจ้องมองอีกฝ่ายอย่างหวาดระแวง

   “ข้ามิได้จะกินเจ้าหรอก ข้ามิชอบเนื้อมนุษย์”

   “มิน่า ท่านถึงมีกลิ่นกายต่างจากนางผีเสื้อสมุทรนัก”

   “งั้นหรอกเหรอ เจ้านี่ช่างเจรจาเสียจริง ทั้งที่ตัวยังสั่นอยู่แท้แท้”

   “ข้าปล่าวสั่นนะ ข้าแค่ตั้งหลัก ข้ามิรู้ว่าท่านจะกระโจนเข้าใส่ข้าเมื่อใด ข้าก็แค่ ระวังตัวเองไว้เพียงแค่นั้น”

   “งั้นหรอกรึ งั้นเจ้าพอจะบอกนามของเจ้าให้ข้ารู้ได้หรือไม่ล่ะ”ธาราสมุทรยิ้มกับคำตอบที่ได้รับฟัง พลางไถ่ถามกลับอย่างใคร่รู้

   เหยื่อที่น้องสาวของตนจับมา ช่างน่าดูน่ามองยิ่งนักจนไม่อาจที่จะละสายตาไปได้ รูปโฉมงามสมกับที่นางผีเสื้อสมุทรทุ่มเทใช้มนตราลักพาเอาตัวมาเสียจริง

   ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรที่นางผีเสื้อสมุทรออกไปหาอาหาร เขาเห็นต้องลอบเข้ามาภายในถ้ำนี้เสมอ เพียงเพื่อมาดูหน้าของคนรูปงาม เจ้าของเพลงปี่หวานหู

   “ข้าชื่อ อภัยมณี”

   “ชื่อช่างแปลกนัก”

   “ท่านก็ชื่อยาวเกิน ข้าเรียกยาก”

   “งั้นเรียกข้าว่าพี่ธาราก็ได้ ข้ามิถือสา”

   “ทำไมข้าต้องเรียกท่านว่าพี่ด้วยเล่า ท่าอายุสักเท่าใดเชียว”

   “ข้าอายุ หกสิบกว่าปีแล้ว เช่นนี้เจ้าจะเรียกข้าว่าพี่ได้รึยังเล่า”ธาราสมุทรยกยิ้ม มองดูคนที่กอดปี่ประจำตัวแน่น จ้องมอมางเขาด้วยท่าทีราวกับสัตว์ตัวเล็กกับลังตั้งท่าขู่ป้องกันตัว

   “ก็ได้ ข้าเรียกท่านว่าพี่ก็ได้ ว่าแต่ ท่านพอจะมีของกินติดตัวมาบ้างหรือไม่ ข้าเบื่อผลไม้พวกนี้เต็มทน”พระอภัยมณีหันมาถาม พลางกระเถิบตัวเข้ามาใกล้ธาราเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายวางตัวเฉยนิ่งไม่มีท่าทีว่าจะทำร้ายตน

   “ข้ามิมีหรอก แต่ถ้าเจ้าต้องการ ครั้งหน้าข้าอาจจะมีกุ้งหอยปูปลาติดไม้ติดมือมาหน่อยก็ย่อมได้”

   “อ่า ท่านพูดจริงนะ จะไม่ปดข้าใช่ไหม พี่ธารา”อภัยมณีคลานเข่าเข้ามาใกล้ ช้อนตามองร่างสูงอีกฝั่งเตียงอย่างมีความหวัง

   “ข้าจักต้องปดเจ้าทำไม เห็นข้าเป็นคนสับปลับเช่นนั้นรึ”ธาราถาม พลางเลิกคิ้ว เมื่อสังเกตเห็นว่าคนที่ตั้งท่าทีขู่ราวกับสัตว์ตัว
เล็กๆกำลังกลัว คืบคลานมาจากริมฝั่งเตียงตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ จนตอนนี้มานั่งขัดสมาธิอยู่ข้างๆโดยที่เจ้าตัวไม่ได้รู้ตัวเลยแม้แต่น้อยว่าเผลอลืมที่จะระวังตัวไปเสียแล้ว


   ‘เจ้านี่ช่างเดียวสานัก อภัยมณี’





***----***----***----***----***----***----***----***----***----***----***----***----***----***----***----***


   ท่ามกลางกลางคืนที่สนจะวุ่นวายของเมืองแห่งการท่องเที่ยว ที่อยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวง แสงสีของดวงไฟยามค่ำคืนเปิดถูกเปิดจนสว่างทั่วท้องถนน

   ผมนั่งเบียดตัวชิดกับประตูรถฝั่งตรงข้ามคนขับพลางลอบมองไปที่พี่ธาราอย่างไม่ไว้ใจ

   ใครจะรู้ว่าพี่ธาราก็มีรถขับกับเขา แถมเป็นรถหรูราคาหลักเจ็ดหลักแปดที่แม้แต่ผมก็ยังกระดากที่จะยกก้นตัวเองขึ้นมานั่ง

   ผมเหลือบตามองพี่ธาราที่ตอนนี้กับลังอยู่ในคราบมนุษย์ธรรมดาที่แสนจะดูดีจนกลบรัศมีวันรุ่นของผมจนหมด กำลังจับจ้องท้องถนนเบื้องหน้าอย่างใช้สมาธิ

   ไม่รู้มาก่อนเลยว่าพี่เขาจะขับรถเป็น ความจริงผมไม่ได้อยากจะให้เขามาส่งเงยสักนิด

   แต่จะทำยังไงได้ในเมื่อรถมอเตอร์ไซของผมยังจอดอยู่ที่มหาวิทยาลัย ถ้าไม่ให้พี่เขามาส่งผมคงจะต้องเดินกลับเอง
   แต่จะเพราะใครล่ะ ถ้าไม่ใช่เพราะพี่ธารา ไอ้ยักษ์ที่อยู่ในคราบมนุษย์คนนี้


   ผมก้มลงมองนาฬิกาเมื่อรถของพี่ธาราจอดเทียบประตูรั้วไม้เตี้ยสีครีมของบ้านผม ผมก็ถึงกับตาโตเท่าไข่ห่านขึ้นมาทันที

   
   “ตายห่าน เที่ยงคืน ชิบหายแล้ว”ผมร้องอย่างตกใจ

   อุตส่าห์สัญญากับพ่อไว้ว่าจะกลับไม่เกินสองทุ่ม แล้วนี่อะไร แล้วนี่มันอะไร!! เที่ยงคืนพอดิบพอดี ไม่ขาดไม่เกิดแม้แต่วินาทีเดียว
   โครก!!!

   มิหนำซ้ำท้องของผมก็ยังร้องอีก ผมหันไปมองค้อนคนขับอย่างหงุดหงิดทันทีที่ได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอของอีกฝ่าย

   ยังมีหน้ามาหัวเราะผมอีก ที่ผมเป็นอย่างนี่ก็เพราะเขาไม่ใช่รึไง

   “เพราะพี่เลย เป็นเพราะพี่คนเดียว หมูกระทะผมก็ไม่ได้กิน แล้วยังกลับบ้านดึก พ่อต้องยึดกุญแจรถผมแน่”

   “ถ้าพ่อเจ้ายึดกุญแจรถ ข้าจะเป็นคนมารับส่งเจ้าถึงที่เอง”

   “ไม่ต้องเลย!! อย่าแม้แต่จะคิด”

   “ทำไมเล่า เจ้าเองมิใช่รึ ที่เป็นคนเชิญชวนให้ข้ามาเกี้ยวพาเจ้าเอง”

   “ใครไปเชิญชวนพี่ตอนไหน พี่อย่ามามั่วดิ”

   “ก็ได้ๆ เจ้ามิได้เชิญชวนข้า เจ้าเพียงแค่ให้ท่าข้าเท่านั้น”พี่ธาราตอบแล้วยกยิ้ม

   “พี่ไปเอาคำแบบนี้มาจากไหนวะเนี่ย ผมไม่ได้ให้ท่าพี่สักหน่อย พี่อย่ามาพูดแบบนี้ดิ แม่ม ไปแล้ว ขอบคุณที่มาส่ง คราวหลังไม่ต้อง”

   ผมบอกเสียงห้วนพลางเปิดประตูรถ

   “เดี๋ยวสิ”   แต่ว่าผมก็ถูกธาราดึงมือเอาไว้ให้เซไปทางพี่เขา

   “อะไร อะ อื้อ”

   จู่จู่พี่ธาราคว้าเอาคอผมโน้มเข้าไปหาก่อนที่จะประกบริมฝีปากของที่เขาจะเข้ามาประกบบนปากของผม แต่ก็แค่แวบเดียวเท่านั้น
   แต่นั่นมันก็มากพอที่จะทำให้ผมอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปซุกไว้ที่ไหน ผมผลักพี่เขาออกทันที ทันทีที่พี่เขาปล่อยมือ

   “นะ นี่มัน ทำอะไรน่ะ”ผมถามพลางยกมือขึ้นเช็ดปากตัวเองเป็นระวิง

   “จูบฝันดี แบบที่คนรักเขาทำกันอย่างไรล่ะ เจ้านี่ เป็นคนบอกให้ข้าจีบเจ้า พอข้าทำเจ้าก็ตื่นตูมเป็นนกแตกรังไปได้”

   “พี่นี่มัน เข้าใจอะไรบ้างไหมเนี่ย ฮึ่ย ผมไม่รู้จะพูดยังไงกับพี่แล้วเนี่ย”

   ปึง!!!

   ผมกระแทกประตูรถเบนซ์สปอร์ทสุดหรูอย่างแรง ไอ้รถคันเล็กๆที่นั่งได้แค่สองคน แถมราคาก็แพงแสนแพง มันน่าโมโหนัก
   เป็นแค่ยักษ์แท้แท้ แต่ทำไม ทั้งหล่อทั้งรวย  ทั้งดูดีแทบคนอื่นเขาแทบจะมองว่าเป็นเทวดามาจุติขนาดนี้

   ไม่รู้ว่าชาติที่แล้วผมทำกรรมอะไรมาอีกนอกจากฆ่านางผีเสื้อสมุทร ทำไมชีวิตผมถึงได้ต้องเจอแต่เรื่องราวน่าปวดหัวอย่าง

   

   ผมเอื้อมมือไปปลดล็อกกลอนประตูรั้วอย่างเบามือกลัวว่าคนในบ้านจะตื่นขึ้นมาแล้วจับได้ว่าผมกลับบ้านดึก

   แต่ไม่ทันไรขนหลังผมก็พร้อมใจพากันลุกซู่เมื่อได้ยินเสียงดังมาจากโต๊ะม้าหินอ่อนหน้าบ้านแต่ไกล

   “ไอ้มณี เอ็งไปไหนมา ถึงได้กลับมาเสียดึกดื่นมืดค่ำอย่างนี้ นี่แม่เอ็งรอเอ็งจนหลับไปแล้วเอ็งรู้บ้างไหม”

   “เอ่อ คือว่า”ผมอ้ำอึ้ง ไม่รู้ว่าจะตอบคำถามพ่อยังไงดี จะบอกว่าถูกยักร่ายคาถาใส่แล้วลักพาตัวไป อย่างนี้ดีไหม พ่อจะได้คว้าไม้เรียวฟาดน่องผมลายพอดี
   
   “ว่าไง พ่อรอเอ็งจนนั่งสัปปะหงกไปหลายรอบ ไหนเอ็งตกลงกับพ่อว่าไม่เกินสองทุ่ม”

   “เอ่อ คือ มณีไป”

   “ว่าไงก็ว่ามา อย่ามัวอ้ำอึ้ง”
   ไม่รู้จะตอบพ่อว่ายังไงดี ไม่ได้ซ้อมบทมาซะด้วย ไอ้ครั้นจะพูดความจริงไป พ่อก็คงหาว่าผมโกหกอยู่ดี

   “เอ่อ คือว่า มณีไป เอ่อ”ผมอ้ำอึ้ง ยกมือเกาหัวตัวเองแกรกแกรก มองดูไม้เรียวที่หวดจนเสียงดังฟึบฟับไปมาในอากาศแล้วกลืนน้ำลายเฮือกใหญ่

   “ว่าไงก็ว่ามา แล้วนั่นข้างหลังเอ็งน่ะ ใคร? เอ็งไม่คิดจะแนะนำให้พ่อรู้จักหน่อยรึไง”

   “ห่ะ ข้างหลังไหนอ่ะพ่อ”กลางค่ำกลางคืนใครเขาให้ทักกันอย่างนี้ล่ะพ่อ เสียวหลังกันพอดี

   “ก็ข้างหลังเอ็งนั่นไง ตัวสูงๆ พ่อไม่เคยเห็นหน้า”พ่อบอกพลางชี้ไม้เรียวไปทางข้างผม

   “ข้างหลังอะไรล่ะพะ เย้ย มาได้ไงเนี่ย จะลงมาทำม้ายยยย”

   ผมหน้าร้องเสียงหลงยกนิ้วชี้หน้าพี่ธารา ตกอกตกใจหมด มาไม่ให้ซุ่มให้เสียง จู่ๆก็มายืนยิ้มแบบหล่อร้ายกาจอยู่ข้างหลังผมได้

   “สวัสดีครับคุณพ่อ”พี่ธารายกมือไหว้พ่อผมอย่างอ่อนน้อม ทั้งที่ตัวเองอายุมากกว่าพ่อผมเป็นร้อยปีแท้ๆ
   ทำมาเป็นไหว้ผู้หลักผู้ใหญ่ น่าหมั่นไส้ ว่าแต่เดี๋ยวนะ เมื่อกี้เขาเรียกพ่อสุทัศน์ของผมว่ายังไงนะ

   “เฮ้ย พี่ ใครเป็นพ่อพี่ ไม่เอา ไม่เรียกพ่อคนอื่นว่าพ่อดิ”ผมโวยวาย

   “เอ็งนี่ก็ขี้โวยวายไอ้มณี ว่าแต่เป็นใครชื่ออะไรล่ะไอ้หนุ่ม”

   “ชื่อธาราครับ เป็นพี่รหัสของน้องมณี วันนี้พาน้องมณีเขาไปเอาหนังสือที่เคยใช้เรียนตอนปีหนึ่ง เลยพาน้องกลับมาช้า ขอโทษด้วยนะครับคุณพ่อ”พี่ธาราบอกพลางปั้นยิ้มอย่างเป็นธรรมชาติประจบประแจงพ่อผมทันที

   ไม่ได้สนใจผมที่ยืนถลึงตาใส่อยู่ข้างข้างเลยสักนิด เรื่องอะไรพี่เขามาประจบเอาใจพ่อผมเนี่ย

    ผมนี่แทบจะเต้นแร้งเต้นกาเลยทีเดียว พ่อนะพ่อ จะรู้อะไรบ้างไหม ว่าไอ้พี่ธารานี่มันเป็นยักษ์ มันกำลังจะหลอกขุดเหมืองทองลูกพ่ออยู่ แล้วไอ้พี่ธารานี่ก็เนียนได้โล่เลย ตีสนิทพ่อผมจนได้

   “งั้นเหรอ ก็ว่าอยู่ ว่าทำไมถึงกลับบ้านช้า ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร เข้ามากินน้ำกินท่าก่อนไหมล่ะพ่อธารา”

   “ไม่เป็นไรครับครับ ไม่อยากรบกวนคุณเพราะ เพราะว่าดึกมากแล้ว เดี่ยวผมกลับเลยดีกว่า พรุ่งนี้มีเรียนแต่เช้าน่ะครับ คุณพ่อ”

   “งั้นเรอะ งั้นก็ขอบคุณนะที่มาส่งไอ้มณีมันนะ มืดค่ำดึกดื่นอย่างนี้มันอันตราย กลัวว่าจะมีตัวอะไรมาฉกมันไปกินซะ ยังไงก็ขับรถดีดีล่ะ”ตัวอะไรฉกไปกินหมายความว่าไงล่ะพ่อ เหมือนมีเสศนัยน์

   “ครับ งั้นผมลาเลยนะครับคุณพ่อ”

   “เดี๋ยวสิ”ผมคว้าแขนเสื้อพี่ธาราเอาไว้ทันทีที่พี่เขากำลังจะเดินหันหลังกลับ

   “มีอะไรเหรอครับน้องมณี”พี่ธาราหันมายิ้มหวานจนน่าขนลุก แต่ทำไมผมกลับรู้สึกว่าภายใต้รอยยิ้มที่หวานเชื่อมนั่นมันมีอะไรเคลือบแคลงอยู่กัน

   “อะไรของเอ็งไอ้มณี พี่เขาจะกลับแล้ว จะไปดึงเขาทำไม”

   “จะคุยกับพี่เขาอีกแปบนึงอ่ะพ่อ พ่อเข้าไปก่อนก็เลย”ผมว่า

   “เออ งั้นตามใจเอ็งแล้วกัน”

   ผมมองตามหลังพ่อจนแน่ใจว่าหายเข้าบ้านไปแล้วถึงได้หันมาถลึงตาใส่พี่ยักษ์ธาราตัวโตที่ยืนยิ้มอย่างไม่ทุกรข์ไม่ร้อนอยู่ตรงหน้าผมนี่

   “พี่นี่มัน ผมไม่รุ้จะว่ายังไงดี ใครสั่งใครสอนให้มาเรียกพ่อคนอื่นว่าพ่อกันห่ะ”

   “ก็มนุษย์มักเรียกพ่อแม่ของคู่ชีวิตว่าพ่อแม่ด้วยมิใช่รึไง”

   “มันก็ใช่ แต่ผมไม่ใช่คู่ชีวิตของพี่สักหน่อย”

   “อีกไม่นานก็จะใช่ เจ้าเตรียมใจรอไว้ได้เลย”

   “หึหึ นายพี่คิดว่าพี่จะจีบผมติดรึไง ไม่มีทาง”ผมกอดอกพลางเชิดหน้า ก็ลองดูสิ ไอ้มณีคนนี้ไม่ได้จีบติดกันง่ายง่ายนะ

   แถมอีกฝ่ายลองเป็นผู้ชายด้วย ร้อยทั้งร้อยไม่มีทางที่พี่ธาราจะได้ใจผมไปครองแน่นอน

   “แล้วข้าจะรอดู อภัยมณี”


***----***----***----***----***----***----***----***----***----***----***----***----***----***----***----***----***


   “มณี เอ็งมานั่งนี่สิ”

   ผมก้าวเข้ามาในบ้านได้แค่ก้าวเดียวพ่อก็เรียกผมพลางตบลงที่โซฟาด้านข้างทันที

   “อะไรอ่ะพ่อ”ผมถาม

   “พ่อไม่ยักรู้ว่าเอ็งรู้จักกับคนแบบนั้นด้วย”

   “ก็พี่รหัสน่ะพ่อ”ผมตอบปัดปัด

   ใจจริงอยากจะตอบพ่อด้วยซ้ำว่าพี่เขาเป็นยักษ์ที่เป็นเจ้าหนี้ผมเมื่อชาติที่แล้ว โผล่มาเพื่อจะจับผมผสมพันธุ์ด้วย แต่ถ้าตอบไปอย่างนั้นมีหวังไม้เรียวที่วางอยู่ไกล้ๆมีพ่อคงหวดมาบนน่องของผมแน่   

   “งั้นรึ เอานี่พ่อมีอะไรจะให้ เอ็งเอานี่ไป ลองเล่นดู ถึงเวลาแล้วที่เอ็งต้องใช้มัน”

   พ่อพูดพลางยื่นกระดาษแผ่นเก่าที่เหลืองจนแทบกรอบสามสี่แผ่นให้ผม

   “อะไรอ่ะพ่อ ทำไมเก่าอย่างนี้อ่ะ”ผมรับมาพลางจ้องมองดูกระดาษโน๊ตเพลงแผ่นเก่าที่ไม่สามารถคาดเดาอายุของมันได้เลยว่าเก่าแค่ไหน

   “เออน่า ลองเอาไปเล่นดู แล้วอย่าทำหายล่ะ ของตกทอดมาหลายรุ่นแล้ว”

   “แล้วทำไมต้องเอามาให้มณีด้วยล่ะ พ่อกลัวหายพ่อก็เก็บไว้สิ”

   “เอ้อ ไอ้นี่นินี่ พ่อบอกให้เอาไปก็เอาไปสิ จะมายึกยักอะไร แค่นี้ล่ะ พ่อไปนอนแล้ว แล้วเอ็งก็เตรียมบอกแม่เอ็งเรื่องมอไซให้ดีล่ะ โดนยึดกุญแจขึ้นมาพ่อไม่รู้ด้วยล่ะ”
   “อ่าว พ่อ ยึดไม่ได้นะ พ่อก็ช่วยคุยกับแม่ให้หน่อยไม่ได้รึไง”
   “ไม่รู้เว้ย จัดการเอาเองเรื่องใครเรื่องมัน”
   “อ่าว พ่ออ่ะ พ่อ”ผมเรียก แต่ก็ไม่ทันซะแล้วในเมื่อพ่อเดินขึ้นไปบันไดบ้านไปเรียบร้อยแล้ว
   ผมมองกระดาษโน้ตเพลงสามในในมือ กระดาษที่เก่าจนกลายเป็นสีเหลืองน้ำตาล แต่ก็ไม่มีรอยขีดข่วนจนยับยู่ยี่ราวกับว่าถูกเก็บเอาไว้เป็นอย่างดี
   โน้ตเพลงอะไรของพ่อเนี่ย มันสำคัญมากขนากนั้นเลยรึไงถึงได้ตกทอดกันมาหลายรุ่นจนดูเก่าขนาดนี้ ทำท่าทำทางเหมือนกับมีความลับตลอด


   ผมเดินสะพายกระเป๋าขึ้นห้องด้วยท่าทางเหนื่อยล้า แต่ก็ไม่ได้คลายความสงสัยลงไปบ้างเลยกับไอ้โน้ตเพลงที่พ่อให้มา

   พออาบน้ำเสร็จก็เดินเช็ดผมออกมาจากห้องน้ำ มองดูกระดาษโน้ตเพลง ที่ไม่รู้ว่าจะเริ่มเล่นยังไง

   ได้แต่คิดอย่างสงสัย แล้วก็สอดมันไว้ที่ลิ้นชักหัวเตียงอย่าไม่ใส่ใจ

   “เอาไว้ก่อนแล้วกัน ค่อยว่ากัน ไว้ในนี้คงไม่หาย”ผมว่ากับตัวเองพลางปิดลิ้นชักลง

   หวังว่าหลังจากนี้คงจะไม่มีเรื่องอะไรวุ่นวายเพิ่มมาอีกไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้ผมจะต้องเจอกับอะไรอีกบ้าง ไม่รู้ว่าพี่ธารานั่นจะงัดลูกไม้อะไรมาเล่นอีก


***----***----***----***----***----***----***----***----***----***----***----***----***----***----***----***


รีไรส์ 17/08/58

อ่า เหลืออีกตอนเดียวจะรีไรส์เสร็จแล้ว



ออฟไลน์ BlueCherries

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4060
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +159/-17
เพลงที่ผีเสื้อสมุทรฟังแล้วขึ้นสวรรค์ไปสินะ จะใช้ได้กับยักษ์ตนอื่นไหม?? แบบพี่ธาราไรงี้

ออฟไลน์ โซ อึน

  • อยากให้โลกนี้มีเท่ากัน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 472
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +144/-4
    • แฟนเพจเจ้าค่ะ
เพลงที่ผีเสื้อสมุทรฟังแล้วขึ้นสวรรค์ไปสินะ จะใช้ได้กับยักษ์ตนอื่นไหม?? แบบพี่ธาราไรงี้
เกรงว่านางผีเสื้อสมุทรจะไม่ได้ขึ้นสวรรค์น่ะสิค่ะ555

ออฟไลน์ โซ อึน

  • อยากให้โลกนี้มีเท่ากัน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 472
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +144/-4
    • แฟนเพจเจ้าค่ะ
9729

ชดใช้หนี้ครั้งที่ 7 ดอกไม้ปริศนา

   ปัง! ปัง! ปัง!

   เสียงเคาะประตูห้องนอนดังโครมคราวแต่เช้าตั้งแต่นาฬิกาปลุกของผมยังไม่ทำงานดังขึ้นทำให้ผมที่กำลังนอนหลับอย่างสบายใจสะดุ้งตื่นขึ้นมาทันที

   ร้อยวันพันปีวัยรุ่นอย่างไอ้มณีไม่ต้องรอให้ใครมาปลุกนอกจากนาฬิกา แล้วไงวันนี้แม่กลับมาเคาะประตูห้องนอนแต่เช้าได้ล่ะ
   “มณี เมื่อไรจะตื่น ปล่อยให้คนอื่นรอมันไม่ดีนะลูก”

   เสียงแม่เรียกโวยวายดังมาจากข้างนอกทำเอาผมชักเริ่มสงสัยปนหงุดหงิดขึ้นมานิดนึงแล้วสิที่โดนปลุกเอาแต่เช้าขนาดนี้
   “ตื่นแล้วแม่ ทำไมวันนี้มาปลุกอ่ะ”ผมตะโกนถามพลางแคะขี้ตาตัวเอง

   “ก็ลูกมีนัดไม่ใช่รึไง ทำไมไม่เตรียมตัวล่ะ”เสียงแม่ดังลอดมาจากด้านนอกทำเอาผมได้แต่เกาหัวแกรกๆด้วยความงง ผมไปมีนัดอะไรยังไงตอนไหน ทำไมผมถึงจำอะไรไม่ได้เลย

   
   “จ๊ะแม่ เดี๋ยวมณีอาบน้ำแปบนึง”

   “เร็วๆล่ะ อย่าปล่อยให้คนอื่นรอนาน”

   คนอื่นอะไร แล้วใครมารอผม ตื่นเช้ามาก็มีเรื่องให้งงอีกแล้ว ครั้นจะออกปากถามออกไปว่าใครมารอเสียงฝีเท้าแม่ก็เดินลงบันใดไปซะแล้ว

   “เฮ้อ เอาแต่เช้า”ผมบ่นกับตัวเอง พลางลุกขึ้นหยิบผ้าขนหนูเดินเข้าห้องน้ำไป




   “มณี ยังไม่ลงมาอีก ลูกคนนี้ นัดคนอื่นไว้แล้วทำไมไม่รีบตื่นมาเตรียมตัว”ยังไม่ทันลงจากบันไดดีเสียงแม่ก็ดังลอดขึ้นมาให้ได้ปวดหูแต่เช้า

   “จ้าแม่ มาแล้ว เนี่ยเสร็จแล้ว ให้รีบไปไหนแต่เช้าเนี่ย”

   ผมถามพลางกำลังติดเข็มขัดให้เข้าที่ เน็กไทที่ยังไม่ได้ผูกดีก็เอาคล้องคอไว้เฉยๆ แขนอีกข้างก็คล้องไว้กับกระเป๋าที่จะหล่นแหล่ไม่หล่นแหล่   แถมเสื้อก็ยังไม่ได้ทับใน

   ช่วยไม่ได้ ก็แม่อยากรีบปลุกเอง ผมถึงได้รีบลงมาในสภาพแบบนี้

   “ดูทำพูดเข้า ลูกคนนี้ ตั้งนานตั้งเนยังแต่งตัวไม่เสร็จอีก ปล่อยให้พี่เขามารอ”แม่บ่นพลางเดินมาดึงแขนผมให้เดินตามไปที่ห้องนั่งเล่นแทนที่จะเดินเข้าครัว


   “อะไรล่ะแม่ มณีไม่ได้นัดใครที่ไหน”ใครมารอผม ผมไม่เข้าใจ จู่ๆแม่ก็เดินลากผมมาที่ห้องนั่งเล่นทำอย่างกับมีใครมารอผมอย่างนั้นแหละ เท่าที่จำได้ผมไม่ได้นัดใครเอาไว้นี่นา

   “ดูพูดเข้า ลูกคนนี้ ขี้ลืมจริงๆ ก็นัดพี่เขาให้มารับไม่ใช่รึไง”

   “พี่เขาไหนอ่ะแม่ ไม่ได้นัดใคร”ผมว่าพลางคว้าเอากระเป๋าที่กำลังจะหล่นลงจากไหล่ไม่ทันได้มองว่ามีใครรออยู่ในห้องนั่งเล่น
   “ไม่เป็นไรครับคุณแม่ ผมรอได้”เสียงทุ้มต่ำแทรกขึ้นทำให้ผมที่ก้มหน้าก้มตาจัดเน็กไทที่เบี้ยวอยู่ให้เข้าที่เงยหน้าขึ้นมามองแขกไม่ได้รับเชิญทันที

   หมายความว่าไง!!

   พี่ธารามาได้ยังไง มาอยู่ในห้องนั่งเล่นบ้านผมแต่เช้าได้ยังไง

   “มาได้ไง!!”ผมชี้หน้าถามเสียงดัง

   ไม่ทันระวังตัวก็โดนทัพพีตักข้าวของแม่เคาะหัวไปอีกทีข้อหาเสียงดังแต่เช้า

   “ก็ลูกนัดพี่เขาให้มารับไม่ใช่รึไง แล้วนี่อะไร ตื่นก็สาย แล้วยังลืมว่านัดพี่เขาให้มารับอีก อะไรกันลูกคนนี้ มันน่าตีนัก ให้พี่เขารอตั้งนาน”

   แม่ยืนเท้าสะเอวพลางบ่น แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น ประเด็นก็คือว่า ผมไปนัดให้พี่เขามารับผมไปมหาลัยตอนไหน

   “หมายความว่าไง”ผมหันไปถามพี่ธาราที่กำลังนั่งจิบกาแฟอยู่กับพ่ออย่างสบายอารมณ์พร้อมกับดูข่าวยามเช้าที่กำลังถ่ายทอดอยู่ทางหน้าจอทีวี

   “ก็เมื่อคืนน้องมณีบอกให้พี่มารับไงครับ จำไม่ได้เหรอ”พี่ธาราตอบพลางหันมายิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์

   “บะ บอกเมื่อไรกัน อย่ามามั่วดิ”ผมโวยวาย แล้วไอ้ท่าทีที่วางตัวเข้ากับครอบครัวชาวบ้านเขาได้เป็นอย่างดี กับไอ้รอยยิ้มชั่วร้ายนั่นอีก นี่มันอะไรกันนี่ ทำไมไอ้พี่ธารามันชอบขี้ตู่อย่างนี้

   “มณี นี่ขนมปัง แม่ใส่กล่องไว้ให้ไปกินที่มหาลัย ไม่ต้องกินข้าวแล้ว พี่เขารอนานแล้ว เอาใส่กระเป๋าไป”

   “อะไรอ่ะแม่ ใครบอกว่ามณีจะไปกับพี่เขา มณีไม่ไป”เรื่องอะไรจะไป ใครจะอยากไปอยู่กับไอ้ยักษ์นี่สองต่อสองกัน

   “เอะ นัดเขาไว้แล้วก็ต้องไปกับเขาสิ พี่เขาอุตส่าห์มารับ เรานี่ยังไง ลูกคนนี้”

   “แม่ อะไรเนี่ย มณีไม่รู้เรื่องอะไรเลย”

   “ไปกันเถอะครับ น้องมณี เดี๋ยวจะสายนะครับ ขอบคุณสำหรับกาแฟนะครับคุณแม่”พี่ธารายิ้มพลางเดินมาจับแขนผมดึงให้เข้าไปหาตัวอย่างแนบเนียน

   เดี๋ยวนะ!นี่อะไรของพี่เขา จะมาจับแขนผมลากไปอย่างนี้ได้ยังไง

   มันจะมากไปแล้วนะไอ้ยักษ์ขี้ตู่ นี่ลูกมีพ่อมีแม่นะเว้ย ถึงพ่อแม่จะดูเข้าข้างกันอย่างดิบดีก็เถอะ

   “จ้า ไม่เป็นไร แม่ต่างหากที่ต้องขอบคุณที่อุตส่าห์มารับมณีไปมหาลัยแต่เช้า แล้วจะยังซื้อขนมมาฝากแม่อีก ขับรถดีดีนะจ๊ะลูก แม่ฝากมณีด้วยล่ะ”แม่ปทุมคุณแม่ยังสวยของผมโบกมือลาด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้มทันที

   นี่ใจคอแม่จะไม่แย้งอะไรเขาหน่อยรึไง แถยังไปรับสินบนมันอีก นี่ผมลูกแม่นะแม่

   ปม่นี่ก็ไม่ได้รู้อะไรบ้างเลยว่าไอ้ยักษ์นี่มันต้องการจะขุดเหมืองทองลูกแม่อยู่นะ

   “ครับ งั้นผมลานะครับคุณแม่”พี่ธาราบอกก่อนจะลากให้ผมเดินตามออกมาทันที



   “พี่มาได้ไง ผมไปนัดพี่ตอนไหนเนี่ย ใครบอกให้พี่มารับผม”ผมโวยวายดึงแขนตัวเองออกทันทีที่พ้นประตูรั้วบ้าน

   “ขับรถมา”พี่ธาราตอบพลางยักไหล่ พยักหน้าไปที่รถบีเอ็มดับบริวคันสีดำที่ไม่ใช่คันเมื่อ

   ผมคืนแอบเหล่มองรถคันสีดำเงาวับแล้วก็กลืนน้ำลายลงคอไปอึกใหญ่ อะไรจะรวยปานนั้น

   “ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ที่ผมหมายถึงน่ะ คือพี่มาทำไมต่างหาก”

   “ข้าก็มารับเจ้าไปเรียน”

   “ผมไม่ได้บอกให้พี่มารับสักหน่อย แล้วก็เรื่องอะไรพี่จะต้องมาประจบประแจงพ่อแม่ผมด้วย แถมยังโกหกว่าผมบอกให้มารับอีกต่างหาก”

   “การไปรับไปส่งเป็นเรื่องปกติที่คู่รักกระทำกันไม่ใช่รึ เจ้าเป็นคนบอกให้ข้าจีบเจ้าเอง”

   “จีบเหรอ นี่ตกลงพี่จะจีบผมจริงจริงใช่ไหม”ผมกอดอกมองพี่ธาราด้วยท่าทางที่ไม่พอใจสักเท่าไร

   กำลังคิดว่ายิ่งคุยกับพี่เขาก็ยิ่งไม่รู้เรื่อง แถมพี่เขายังชอบคิดเองเออเองอีกต่างหาก

   “เจ้าเป็นคนให้ท่าข้าเอง มีอะไรข้องใจกันเล่า อภัยมณี จิตใจเจ้านี่เข้าใจยากยิ่งกว่าสตรีเสียอีก”

   “ใครให้ท่าพี่ แล้วอีกเรื่อง ผมไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยเหมือนผู้หญิงอย่างที่พี่ว่าด้วย อ่าวเฮ้ย ฟังกันก่อนสิ”

   ยังไม่ทันที่ผมจะพูดจบ พี่ธาราก็เดินเปิดประตูขึ้นรถไปซะแล้ว

   “เฮ้ย มาคุยกันให้รู้เรื่องก่อนดิ ไอ้บ้านี่”




   ในระหว่างทางไปมหาวิทยาลัย ภายในรถที่เงียบสนิททำให้ผมเริ่มอึดอัดเล็กน้อย

   ผมเหล่มองไปยังฝั่งคนขับแอบมองเสี้ยงหน้าคมดุของพี่เขาที่กำลังตั้งใจมองไปยังถนนข้างหน้า


   “นี่”ผมเรียกเสียงเบา

   “เจ้ามีอะไรรึ อภัยมณี”

   “พี่น่ะ เป็นยักษ์ใช่ไหม”ผมย้ำ

   “ใช่ แล้วเจ้ามีอะไรข้องใจ”พี่ธาราหันมามองหน้าผมครู่หนึ่งก่อนจะหันไปมองทางข้างหน้าเหมือนเดิม

   “ก็ พี่เป็นยักษ์ แล้วทำไมถึงได้รวยอ่ะ พี่ใช้เวทมนต์เสกเงินได้ใช่ไหม”ผมถามออกไป

   ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเรื่องที่ดูติ๊งต๊องมากก็เถอะ แต่ก็เคยดูหนังกันไม่ใช่รึไง ที่เสกเงินได้เสกบ้านเสกรถได้


   “ทำไมเจ้าถึงคิดว่าข้าเสกเงินได้ล่ะ”พี่ธาราหันมาถามพลางหัวเราะในลำคอ นี่มันน่าขำมากรึไงกับข้อสงสัยที่ผมสันนิษฐานเนี่ย

   “ก็พี่รวยมากมีบ้านหลังใหญ่แล้วก็มีรถขับหลายคัน”แถมบ้านที่อยู่ก็เป็นแค่บ้านชั่วคราวอีกต่างหาก

   “ข้าไม่มีเวทมนต์เสกเงินตราอะไรอย่างที่เจ้าว่าหรอก”

   “แล้วทำไมพี่ถึงรวยล่ะ แบบว่ามีเงินเยอะอ่ะ”

   “หึหึ เจ้านี่ช่างน่าขัน คิดไร้สาระได้เก่งจริงเชียว”พี่ธาราหัวเราะพลางยิ้มมุมปาก นี่เขากำลังว่าผมไร้สาระอยู่ใช่ไหม

   “ไม่ได้ไร้สาระสักหน่อย แล้วทำไมต้องขำด้วย บอกกันหน่อยไม่ได้รึไง”

   ผมบ่นพลางกอดอกหันไปมองนอกหน้าต่างรถ

   ความจริงพี่เขาก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร ติดที่ว่าเป็นยักษ์แล้วก็ชอบกวนประสาทมากก็แค่นั้น

   “นี่เจ้าอยากรู้มากเลยรึ”

   “ก็อยากรู้น่ะสิ ไม่งั้นผมจะถามพี่ทำไม”ผมตอบเสียงห้วนพลางเบ้ปากใส่พี่เขา

   “ครอบครัวของข้าทำสัมปทานรังนก ถ้าเรียกอย่างที่มนุษย์เขาเรียก”

   “ไอ้น้ำลายนกที่กินกินกันอ่ะน่ะ”

   “ใช่”พี่ธาราพยักหน้า

   “ไหนบอกว่าพ่อแม่ไม่อยู่แล้วไงแล้วใครเป็นคนทำล่ะ”

   “ครอบครัวของข้าใช่ว่าจะมีแค่พ่อแม่”

   “หรือว่ามีพี่น้องอีก”

   “ไม่หรอก นอกจากผีเสื้อสมุทรแล้วข้าก็ไม่มีพี่หรือน้อง มีแค่ท่านอาวสินที่คอยดูแลทุกอย่างทั้งหมดของครอบครัว”

   “เป็นอาเหรอ อาคนเดียวเหรอ แล้วคู่ของอาพี่ล่ะ ไหนนายบอกว่าอายุขัยของยักษ์จะผูกไว้กับคู่ไง แล้วทำไมเหลือแค่อาพี่คนเดียวล่ะ”

   “ท่านอาไม่มีคู่หรอก ท่านถือศีลมาตลอด เพราะฉะนั้นท่านเป็นคนเดียวที่ยังเหลืออยู่กับข้า”

   “คนเดียวเลยเหรอ ไม่มีคนอื่นเลยเหรอ”ผมพึมพำพลางพยักหน้า งั้นยักษ์ก็กำลังจะสูญพันธุ์น่ะสิ เพราะเหลืออยู่แค่พี่ธารากับอาของเขา

   ยังไงซะการมีอยู่ของสิ่งมีชีวิตที่เหนือกฎเกณฑ์ธรรมชาติอย่างยักษ์นี่
ทำเอาผมค่อนข้างจะไม่เข้าใจโลกขึ้นมาซะแล้วสิ


***----***----***----***----***----***----***----***----***----***----***----***----***----***----***----***

   “มณี มากับพี่ธาราเหรอ แล้วเมื่อวานสรุปเป็นไงบ้าง พี่เขาไม่ได้ว่าอะไรใช่ไหม”โมทักทันทีที่ผมเดินมาที่โต๊ะม้าหินอ่อนที่ประจำของกลุ่มเราใต้ตึกคณะพลางกระชับแว่นที่ร่นลงขึ้นไปอย่างเคยชิน

      ผมเหลือบตามองใครอีกคนที่กำลังเดินไปที่กลุ่มรุ่นพี่ปีสองที่อยู่ไม่ไกลจากกลุ่มที่ผมกำลังนั่งอยู่

   “ไม่ได้เป็นอะไรนิ ทำไมถามงั้นล่ะ”

   “ก็เมื่อวานนายบอกว่าไม่ได้มีนัดอะไรกับพี่เขา พอพี่เขาจับตัวนายก็ยอมพี่เขาเลย เรานึกว่าพี่เขาขู่บังคับอะไรนายซะอีก”โมตอบ

   “ปล่าว ไม่ได้บังคับหรอก”แค่โคตรบังคับต่างหาก

   “งั้นเหรอแล้วกินอะไรมายัง เราได้ซื้อเผื่อ”โมถาม

   “ยังเลย แต่แม่เอาขนมปังใส่มาให้ พอดีเลย โมกินด้วยกันดิ เรากินไม่หมดหรอก ว่าแต่เชียรกับนนท์ยังไม่มาเหรอ”

   “ยังเลย สงสัยตื่นสายกันอีกแล้วมั้ง”

   “อืม ช่างมันเถอะ เดี่ยวก็คงมา”ผมว่าพลางส่งขนมปังที่แม่อุ่นร้อนมาให้ให้โม

   ผมกินขนมไปตาก็เหลือบมองไปยังกลุ่มรุ่นพี่ปีสอง มองดูใครอีกคนที่ดูโดดเด่นกว่าคนอื่น แต่ทำตัวเข้ากับคนอื่นได้อย่างเป็นธรรมชาติ เหมือนกับคนทั่วๆไป
   

   “ทำไมมากันเร็วจังวะ”นนท์เพื่อนในกลุ่มที่มีดีกรีเป็นว่าที่เดือนคณะเช่นเดียวกับเชียรทักหลังจากกระแทกก้นลงข้างๆโมพร้อมกับนมสดขวดใหญ่ที่มักติดมือมาตลอดในทุกทุกเช้า ที่เจ้าตัวให้คำตอบว่ากินบำรุงร่างกาย

   “นั่นสิ ทำไมวันนี้มากันเร็วจัง”เชียรนั่งลงข้างผม พลางจ้องมองมาที่ผมคล้ายกับมีเรื่องจะถาม

   “มองอะไร”ผมถาม

   “ป่าวๆ แค่สงสัยว่าวันนี้ทำไมนายมาเช้าก็แค่นั้น”

   “แน่ใจ? จ้องกันอย่างกับว่ามีอะไรจะจับผิดเรา”ผมว่าพลางยักไหล่

   “ไม่ใช่สักหน่อย”เชียรส่ายหน้า


   “เอ้ยๆ พวกแกดูนั่นสิวะ มีดอกไม้มาส่งอีกแล้วโว้ย คราวนี้จะเป็นของสาวคนไหน กุหลาบแดงช่อใหญ่เชียว”นนท์ หนุ่มเซอร์ผิวขาว มีลักยิ้มที่มุมปากเป็นเอกลักษณ์พูดเสียงดังทำให้ผมกันไปมองคนส่งดอกไม้ที่กำลังถามนักศึกษาผู้หญิงที่อยู่ไม่ไกลจากกลุ่มที่ผมนั่งอยู่คล้ายกับถามทาง

   “ชี้มาทางนี้ด้วย”เชียรว่าพลางศอกเข้าที่เอวผมเบาเบา

   เป็นจังหวะเดียวกับที่ผมเลิกสนใจคนส่งดอกไม้ที่มีมาบ่อยบ่อยหันกลับไปสนใจกินอาหารเช้าอย่างขนมปังต่อ

   ดวงตาผมสบเข้ากับดวงตาสีดำสนิทของพี่ธาราที่มองมาอย่างบังเอิญก่อนจะผละออกจากกัน

   เพียงแค่วูบเดียว แต่ทำไมกัน ทำไมผมหัวใจผมมันถึงได้กระหน่ำเต้นรัวจนแทบจะหลุดออกมานอกอกเหมือนกับเป็นลางบอกเหตุอะไร

   “มาส่งให้นายป่าววะเชียร”นนท์ถามอย่างตื่นเต้นพลางยิ้มจนแก้มบุ๋มเผยให้เห็นลักยิ้ม

   “บ้าเหรอ เลิกหมดแล้วเว้ย”เชียรหนุ่มหล่อผิวเข้มที่ค่อนข้างจะเจ้าชุ้พอพอกันพูดปัดเบาเบา

   “มาทางนี้แล้วเว้ย เชียร ของใครวะ”

   นนท์พูดทำให้ผมหันไปมองคนส่งดอกไม้ที่กำลังเดินใกล้เข้ามาที่กลุ่มผมอีกครั้ง

   จริงอย่าสงที่นนท์บอกว่าคนส่งดอกไม้ตรงมาที่กลุ่มเขาจริงจริง ก็คงจะเป็นของนนท์หรือไม่ก็เชียรที่มีสาวสาวในสต็อกเยอะจนนับแทบไม่ถ้วน

   ผมมองกุหลาบแดงช่อใหญ่ที่เป็นจุดดึงดูดสายตาของนักศึกษาที่กำลังรอให้ถึงเวลาเข้าเรียนในช่วงเช้าทำให้เวลานี้เป็นเวลาที่มีนักศึกษามารวมกันเยอะมากที่สุดของวัน

   “ของนายรึป่าวโม”นนท์หันไปถามพลางจิ้มไปที่แก้มโมเบาเบา

   “จะบ้าเหรอ ใครจะส่งมาให้เรา”โมรับตอบแทบจะทันที ใบหน้าขาวเนียนแบบลูกผู้ดีของโมแดงก่ำเป็นลูกตำลึงก่อนที่เจ้าตัวจะก้มหน้าก้มตาดันแว่นขึ้นอย่างเคยชิน ก็แล้วทำไมโมถึงต้องทำท่าทำทางอายขนาดนั้นด้วย

   “แล้วของใครล่ะ”ผมถามขึ้นมาบ้าง ถ้าไม่ใช่ของโม ของเชียร ของนนท์จะของใคร ก็ต้องของหนึ่งในนั้นแหละ

   ตอนนี้หลายคนกำลังจับจ้องมาที่กลุ่มของผมเป็นตาเดียวเพราะว่าหนุ่มส่งดอกไม้กำลังยืนอยู่หน้ากลุ่มของผมเรียบร้อยแล้ว

   “ขอโทษนะครับ ใช่น้องมณีรึปล่าวครับ”คนส่งดอกไม้ถามผมที่กำลังมองดอกกุหลาบแดงที่ถูกจัดเป็นช่ออย่างมึนงง

   “อ่า ใช่ครับ”ผมตอบไปอย่างมึนมึน

   “มีคนส่งดอกไม้มาให้นะครับ รบกวนเซ็นต์รับตรงนี้หน่อยครับ”

   “อ่า ใช่ของผมเหรอครับ พี่ส่งผิดรึป่าว”ผมถามย้ำเพื่อให้พี่เขาแน่ใจ

   “ไม่ผิดหรอกครับ นี่ไงครับ ใช่น้องรึป่าว”พี่คนส่งดอกไม้ยื่นโทรศัพท์ให้ผมดูหน้าจอที่เปิดรูปผมทิ้งไว้

   ไม่ผิดหรอกครับ รูปของผมจริงจริง แล้วเขาไปเอารูปผมมาจากไหน

   “อ่าใช่ครับ”ผมตอบพลางเซ็นลงไปบนใยรับสินค้าอย่างงงๆ

   “งั้นเรียบร้อยนะครับ ขอบคุณมากครับ”

   ผมได้แต่พยักหน้ารับช่อกุหลาบช่อใหญ่มาไว้ในวงแขนอย่างมึนงง ตอนนี้สายตาคนในคณะแทบจะทั้งหมดกำลังจ้องมองที่ผมอยู่
   แล้วช่อกุหลาบแดงที่ส่งกลิ่นอบอวลนี่มันอะไร หรือว่าใครกำลังเล่นตลกกับผมกัน

   หรือว่าจะเป็นพี่ธารา พี่เขากำลังจีบผมอยู่ใช่ไหม งั้นก็ต้องเป็นของพี่เขา

   ผมหันไปมองยังกลุ่มพี่เขา มองดูพี่เขาที่กำลังมองมาทางผมอยู่แล้ว

   ใบหน้าของเขาเรียบนิ่งเกินที่จะบอกว่านี่คือดอกไม้ที่เขาส่งมาให้ผม และที่สำคัญ ดวงตาสีดำที่กำลังทอประกายสีเขียวของเขากำลังจ้องมองมาทางผมอย่างวาวโรจน์

   หมายความว่ายังไง!!

   ถ้านี่ไม่ใช่ดอกไม้ของพี่เขา แล้วเป็นดอกไม้ของใคร

   ผมก้มลงมองกระดาษการ์ดลายกุหลาบที่แนบมากับช่อดอกไม้

   “ใครส่งมาให้นายวะมณี”นนท์ถามพลางชะโงกหน้ามาจากฝั่งตรงข้ามอย่างอยากรู้อยากเห็น

   “นั่นสิ มณี เปิดการ์ดเลย เราก็อยากรู้”เชียรเสริม

   ทำให้ผมตัดสินใจเปิดการ์ดลายกุหลาบสีแดง

   ทั้งที่ปกติแล้วมีคนอื่นส่งดอกไม้มาให้ก็ต้องเกิดอาการดีใจ แต่ทำไมกัน ทำไมผมถึงไม่ได้รู้สึกดีใจเลยสักนิด

   กลับกัน ผมกลับรู้สึกว่าดอกกุหลาบแดงนี่มันมีสีที่แดงสดจนดูน่ากลัว สีราวกับสีของเลือดสดสดนี่ทำให้ใจผมกระตุกวูบคล้ายกับกำลังจะเกิดเรื่องอะไรไม่ดี

   ‘ดอกไม้งาม สำหรับคนรูปงาม’

               ‘ละเวง’


   ข้อความสั้นสั้นที่เขียนด้วยลายมือบนการ์ดทำให้ผมขมวดคิ้วแน่นอย่างไม่เข้าใจ


   “อะไรวะ ละเวง ชื่อคนหรือว่าอะไรวะเนี่ย แปลกๆ”นนท์ที่ยื่นหน้าเข้ามาอ่านบ่นเบาเบา

   “คนที่รูปงาม อย่างมณีอ่านะ รูปงาม ผู้หญิงที่ไหนชมผู้ชายด้วยกันว่างามวะ เลยไม่รู้เลยว่าใครส่งมา”

   “มาเรียนไม่ทันไรก็มีคนส่งดอกไม้มาให้ซะแล้ว เนื้อหอมไม่เบานี่หว่า ๆม่เหมือนโมมัน วันวันก็เอาแต่อ่านการ์ตูน ไม่สนใจใคร”นนท์ว่าพลางจิ้มแก้มโมไปมา

   “แล้วเกี่ยวอะไรกับเราล่ะ อย่ามาจิ้มน่า”โมเบี่ยงหน้าหลบพลางดันแว่น ใบหน้าขาวขึ้นสีจนแดงก่ำ

   “ไม่ดีใจรึไงมณี”เชียรถามหลังจากที่ผมเงียบไปพักใหญ่

   “อ่า ดะ ดีใจสิ”ผมตอบเสียงเบา พลางก้มมองดอกกุหลาบแดงในมือ สีของมันแดงเหมือนกับสีเลือดไม่มีผิด

   
   ‘ละเวง’

   จะใช่หนึ่งในบรรดาเมียของพระอภัยมณีในชาติที่แล้วรึปล่าวนะ แล้วทำไมหัวใจz,มันถึงได้วูบไหวแปลกๆคล้ายกับว่ากำลังจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ในไม่ช้านี้กัน


***----***----***----***----***----***----***----***----***----***----***----***----***----***----***----***

   
[/color]


รีไรส์ 18/09/58


จะบอกว่าตอนนี้คนเขียนรีไรส์ครบทุกตอนแล้วนะคร้าาาา
สำหรับคนที่รอตอนที่แปดก็ช่วงเย็นค่อยว่ากันน้า ตีสามครึ่งแระ โฮะๆ
รักคนอ่านเหมือนเดินคร่า อย่าเพิ่งทิ้งกันนะคร้า อาจจะใช้เวลารีไรส์นานไปหน่อย
แต่ก็อยากให้คนอ่านได้อ่านอะไรที่มันไม่ดีกว่าเดิม ยังไงก็อย่าลืมติดตามตอนต่อไปนะค่ะ คนอ่านที่น่ารักทุกคน
 :mew1:  :mew1:  :mew1:

[/color]

ออฟไลน์ โซ อึน

  • อยากให้โลกนี้มีเท่ากัน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 472
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +144/-4
    • แฟนเพจเจ้าค่ะ
8968

เกร็ดเล็ก::นางละเวงวัณฬา กษัตริย์สาวแห่งเมืองลังกา ที่เป็นศัตรูคู่อาฆาตกับนางสุวรรณมาลี(หนึ่งในเมียของพระอภัย)และพระอภัยมณี ต่อมาก็เกิดพี่ชายของนางละเวงก็ยกทัพมาทำศึกเพราะว่าชอบนางสุวรรณมาลีแต่นางสุวรรณมาลีเป็นเมียพระอภัยไปแล้ว แล้วพี่ชายของนางละเวงก็ถูกจับตัวเป็นเชลยศึก พ่อแม่นางละเวงจึงตรอมใจตาย นางละเวงจึงแค้นแล้วทำศึกกับพระอภัยมณี โดยออกอุบายล่อพระอภัยมณีออกมาโดยใช้รูปวาดของตนที่ผสมเสน่ห์ยาแฝดลงไป จนพระอภัยหลงรักนางละเวงจนหัวปักหัวปำ สุดท้ายพระฤษีก็แก้มนเสน่ห์ให้ ถึงได้กลับไปอยู่กับสุวรรณมาลี แต่ก็ทิ้งลูกไว้ในท้องนางละเวง


ชดใช้หนี้ครั้งที่ 8 ดอกมะลิ

   ปัง! ปัง! ปัง!

   ผมตื่นขึ้นมาในเช้าวันใหม่ด้วยเสียงเคาะประตูของแม่อีกครั้ง โดยที่นาฬิกาปลุกเองก็ไม่ต้องเปลืองแรงติดกันเป็นวันที่สอง

   “ครับ ตื่นครับแม่”ผมว่าพลางชันตัวลุกขึ้นนั่งมองนาฬิกาปลุกที่อีกนานเกือบชั่วโมงกว่าจะทำงาน

   “พี่ธาราเขามารอน่ะลูก รีบตื่นอาบน้ำเลยนะ”

   “ห่ะ อะไรนะแม่ ใครรอใคร”ผมตะโกนถามแม่ที่อยู่อีกฟากประตูอย่างตกใจ

   พี่ธารามารอ? หมายความว่าไง

   “ก็พี่ธาราเขามารับลูกไปเรียนไง อย่ามัวแต่ถาม รีบลุกอาบน้ำได้แล้ว”

   “โอ้ย จะบ้าตาย”ผมบ่นพลางขยี้หัวตัวเองอย่างบ้าคลั่ง

   อะไรของพี่เขาเนี่ย ตกลงที่พี่เขาทำอย่างนี้คือพี่เขาต้องการจีบผมจริงจริงใช่ไหม ไม่อยากจะเชื่อ

   ชีวิตที่กำลังเดินทางเข้าสู่การเป็นเหมืองทองของไอ้มณีกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว



   ผมลงมาชั้นล่างของตัวบ้านก็เจอเข้ากับไอ้ยักษ์ขี้ตู่นั่งจิบกาแฟอยู่กับพ่อผมเหมือนเมื่อวานไม่มีผิด

   “เอานี่ ขนมปังเหมือนเมื่อวาน ช่วยไม่ได้ อยากตื่นสายเอง”แม่ยัดกล่องขนมปังใส่มือผมก่อนจะหันไปยิ้มหวานให้พี่ธาราที่มองมา
   นั่นมันไม่ใช่ลูกแม่นะแม่ ลูกแม่อยู่นี่ต่างหาก ไปยิ้มให้มันทำไมมันจ้องจะขุดเหมืองทองลูกแม่อยู่นะแม่

   “ทำไมขนมปังอีกแล้วอ่ะแม่ มณีอยากกินข้าว”

   “รีบไปได้แล้ว พี่เขามารอนานแล้ว ขืนกินข้าวพี่เขาก็รอรากงอกพอดี”

   “โห อะไรอ่ะแม่ นี่มณีลูกแม่นะ”ผมว่าพลางขมวดคิ้วมุ่น

   ทำไมคนในครอบครัวผมถึงได้เออออกับพี่เขาจัง เข้ากันได้เป็นปี่เป็นขลุ่ย

   “ขอบคุณสำหรับกาแฟนะครับคุณแม่ ยังอร่อยเหมือนเดิมนะครับ งั้นผมพาน้องไปเรียนแล้วนะครับ”มาแล้วครับ พี่ธาราเดินมาดึงแขนผมให้เข้าไปยืนชิดเหมือนเมื่อวานไม่มีผิด

   ใบหน้าหล่อคมของพี่เขากำลังปั้นยิ้มหวานใส่แม่ผมอีกต่างหาก นี่พี่เขาจะประจบครอบครัวผมเอาโล่รึไง

   “แหม ลูกธาราล่ะก็ปากหวาน ถ้าแม่มีลูกสาวคงจะยกให้แล้ว เสียดายที่มีแต่ลูกชาย แม่ฝากมณีด้วยนะ”

   อะไรนะแม่ นี่แม่หลงพี่จนถึงขั้นบอกว่ามีลูกสาวจะยกให้เลยเหรอแม่ อะไรของแม่เนี่ย มันชักจะมากไปแล้ว ดีนะที่ผมเป็นผู้ชาย แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ แม่จะรู้บ้างไหมว่าพี่ธารามันกำลังจีบผมอยู่

   “ลูกชายก็ได้ครับ ผมไม่ถือ”พี่ธาราบอกพลางทำเป็นหัวร่อต่อกระซิกกับแม่ใหญ่

   กลายเป็นว่าผมนี่ยืนหัวโด่อยู่ในวงสนทนาไปโดยปริยาย แล้วเมื่อกี้มันอะไร ลูกชายก็ได้งั้นเหรอ ไปบอกอย่างนั้นกับแม่ได้ยังไง ไอ้ยักษ์งี่เง่าเอ้ย

   “อ้อ แล้วก็ขอบคุณสำหรับขนมนะจ๊ะลูกธารา วันนี้ก็ซื้อมาฝากแม่อีกแล้ว แม่ล่ะเกรงใจเชียว เดี๋ยววันนี้แม่ทำขนมบัวลอยน้ำขิง ตอนเย็นก็แวะมากินข้าวด้วยกันสิจ๊ะถ้าไม่รังเกียจ”

   “ครับ เดี๋ยวยังไงตอนเย็นผมคงต้องฝากท้องไว้กับฝีมือคุณแม่ ขอบคุณคุณแม่นะครับที่ชวน ผมลานะครับ”





   “หมายความว่าไง”ทันทีที่ออกมาจากบ้านผมก็ถามขึ้นด้วยอารมณ์ที่ไม่ค่อยจะพอใจสักเท่าไร

   “เจ้ามีอะไรไม่เข้าใจรึมณี”

   “ยังจะมาถามอีก ใครบอกให้พี่มารับ แล้วอะไร ใครอนุญาตให้พี่มากินข้าวเย็นที่บ้านผม”

   “ก็แม่เจ้าชวนข้าเอง ข้าจำเป็นต้องขออนุญาตใครอีกอย่างงั้นรึ”พี่ธาราหันมามองหน้าผมพลางดึงแขนให้ผมเดินตามไปที่รถ

   “ไม่เอา ผมไม่ไปกับพี่หรอกนะ ผมจะขับรถไปเอง”

   “เจ้านี่ช่างเอาแต่ใจนักต้องให้ข้าเข้าไปบอกแม่ของเจ้าไหมว่าเจ้าไม่ยอมไปกับข้า ลองดูว่าแม่เจ้าจะเข้าข้างใคร”

   “พี่อย่ามาประจบครอบครัวคนอื่นหน้าตาเฉยอย่างนี้นะ คนอะไรวะขี้ตู่ได้โล่เลย”

   “เจ้าเองก็ขี้หงุดหงิดไม่แพ้กัน”

   “ใครถามความเห็นพี่ แล้วก็เลิกประจบพ่อแม่ผมสักที เห็นแล้วมันหงุดหงิดยังไงชอบกล”

   “ข้าต้องเข้าหาพ่อแม่เจ้าเป็นธรรมดาอยู่แล้ว หากว่าข้าจะเอาเจ้ามาเป็นแม่ของลูก”

   “แม่ของลูกอะไร เลิกพูดเรื่องนี้เถอะน่า มันน่ารำคาญ ตกลงจะไปส่งใช่ไหมล่ะ ก็รีบๆเปิดประตูสิ รีบไปรีบแยกกัน ทางใครทางมัน”
   ผมว่าพลางขยี้ผมตัวเอง ต่อให้เถียงกับพี่เขายังไง คำพูดทุกอย่างของพี่เขามันก็ตรงเข้ามาแทงใจดำผมอยู่ดี



   “แล้วทำไมไม่ออกรถล่ะ”ผมถามหลังจากที่รถยังจอดนิ่งอยู่ที่หน้าบ้านยังไม่เคลื่อนไปไหน

   พลางสอดส่องสายตาไปทั่วรถที่นั่งได้เพียงสองคน มองหาต้นตอของกลิ่นหอมที่เตะจมูกตั้งแต่เปิดประตูเข้ามาในรถ

   กลิ่นหอมอ่อนๆที่ทำให้รู้สึกสบายใจอยากบอกไม่ถูกทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายพรอ้มกับสงสัยถึงที่มาภายในเวลาเดียวกัน

   “ดอกไม้เมื่อวาน”จู่ๆพี่ธาราก็พูดขึ้นมา

   “ดอกไม้พี่มีคนมาส่งเมื่อวานอ่ะนะ”ผมว่าพลางหันไปมองหน้าพี่ธาราที่มองมาอยู่ก่อนหน้าแล้ว

   “ใช่ เจ้ายังเก็บมันเอาไว้หรือไม่”

   “อะไรกัน ถามทำไม ไม่ใช่ของพี่สักหน่อย”ผมว่าพลางหันไปมองหาต้นตอของกลิ่นหอมหวานที่กำลังลอยคลุ้งอยู่ทั่วรถคันหรู
   กลิ่นอะไรกันนะ? ทำไมมันหอมหวานจนน่าค้นหาอย่างนี้

   “ทิ้งมันไปซะ ข้าไม่อยากให้เจ้าเก็บมันเอาไว้”น้ำเสียงเย็นเยียบของคำตอบทำให้ผมหันไปมองพี่ธาราด้วยความไม่เข้าใจ

   ทำไมพี่เขาต้องบอกให้ผมทิ้งมันด้วย พูดเหมือนกับว่ามันมีอะไร กับไอ้ช่อดอกกุหลาบแดงที่เหมือนกับสีเลือดนั่น หรือว่าพี่ธารากำลังหึงผม แต่มันจะเป็นไปไม่ได้

   “ทำไมผมต้องทิ้งด้วย ดอกไม้ช่อใหญ่ขนาดนั้น สวยจะตาย”

   “ทิ้งมันซะ ข้าไม่อยากให้เจ้าเก็บมันไว้”พี่ธาราพูดซ้ำ คราวนี้ใบหน้าของเขานิ่งเรียบราวกับไร้อารมณ์ ดวงตาสีดำสนิทจ้องมองมาทางผมอย่างคาดคั้น

   “ก็แล้วทำไมผมต้องทิ้งด้วยล่ะ เก็บไว้ไม่เห็นจะเป็นไร”

   “เจ้าเก็บมันไว้ที่ไหน”

   “ก็ต้องในห้องนอนน่ะสิ ถามมาได้”

   “เอามันไปทิ้ง ถ้าเจ้าไม่ทำข้าจะเป็นคนเก็บมันไปทิ้งเอง”

   “เรื่องอะไรเล่า นั่นมันของผมนะ แล้วอีกอย่างทำไมผมต้องทิ้งมันด้วย”

   “ข้าไม่ชอบ”ตอบมาได้

   “ผมไม่ทิ้ง โอ้ย”พูดยังไม่ทันขาดคำพี่ธาราก็โน้มตัวมาทางฝั่งผมแล้วดึงแขนผมให้เซไปทางเขาอีก

   ใบหน้าของเขาเริ่มแสดงออกถึงความไม่พอใจ ดวงตาของเขาทอประกายสีเขียววาบ มันมักจะเป็นอย่างนั้นตลอดเวลาที่พี่เขาไม่พอใจ

    แล้วทำไมเขาถึงไม่พอใจ?

   “อย่าให้ข้าต้องบุกเข้าไปในห้องนอนเจ้า แล้วจับดอกไม้นั่นโยนทิ้งออกมา”พี่ธาราพูดด้วยน้ำเสียงแข็ง

   “อะไร เจ็บนะ ปล่อยสิ ทำไมผมต้องทิ้งมันเพียงเพราะว่าพี่ไม่ชอบมันด้วยล่ะ พี่ไม่ได้เป็นคนให้สักหน่อย มีสิทธิอะไรกัน”

   “สิทธิในความเป็นคู่ชีวิตของเจ้าใจ ข้าจะไม่ยอมให้ใครผู้ใดมาขัดขวางสิ่งที่ข้ากำลังจะทำหรอกนะ ถ้าเจ้าไม่ทิ้งมัน ข้าเองที่จะเป็นคนทำแทนเจ้า”

   “โอ้ย อะไรของพี่เนี่ย ผมเจ็บ”แล้วทำไมพี่เขาต้องดูโมโหขนาดนี้ด้วย แถมยังบีบต้นแขนผมจนผมรู้สึกเจ็บจนชาไปหมดแล้ว

   “เจ้าจะทิ้งมันหรือไม่”

   “ไม่เอา เรื่องอะไรจะทิ้ง”

   “เลือกเอา ระหว่างทิ้งดอกไม้สีเลือดนั่นไป หรือว่าจะให้ข้าจูบเจ้าข้อหาที่ดื้อดึงกับข้าเกินไป”

   “อะ อะไรนะ”ตัวเลือกของพี่ธาราทำเอาผมตาโตหน้าเหวอทันที อะไรของพี่เขา จูบงั้นเหรอ ใครจะบ้าเลือกจูบกันเล่า แล้วอีกอย่างดอกไม้นั่นผมก็ทิ้งไปตั้งแต่เมื่อเย็นวานแล้วด้วย ใครจะขับมอเตอร์ไซทั้งๆที่มีดอกไม้ช่อใหญ่มาด้วยได้ล่ะ

   “เลือก”

   “ผม ทะ อื้อ”ยังไม่ทันที่ผมจะสารภาพความจริงพี่ธาราก็คว้าคอผมเข้าไปจูบจนรู้สึกได้ว่าจูบครั้งนี้มันหนักหน่วงและรุนแรงมากกว่าครั้งก่อน

   เรียกลิ้นที่ร้อนราวกับเปลวไฟสอดเข้ามาลุกล้ำในปากผมอย่างจาบจ้วง ดวงตาสีเขียวมรกตวาวโรจน์จ้องมองเข้ามาในตาผมราวกับจะกลืนกิน

   ผมพยายามผลักอกพี่เขาออก แต่แรงที่มีอยู่กลับไม่สามารถสู้แรงที่กอดรั้งของพี่ธาราได้เลยสักนิด

   นี่ผมทำผิดอะไร?

   เพียงเพราะบอกว่าไม่ได้ทิ้งดอกไม้แค่นั้นเหรอ


   “เฮือก”ผมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่เมื่อถูกปล่อยตัว

   ใบหน้าของผมแดงก่ำทั้งรู้สึกโกระทั้งรู้สึกอายที่พี่เขาทำอย่างนี้ ผมยกมือขึ้นถูกริมฝีปากของตัวเองไปมาพลางจ้องมองพี่เขาด้วยสายตาที่โกรธเคือง

   มันจะมากเกินไปแล้วที่พี่เขามาทำแบบนี้กับผม แล้วทำไมผมจะต้องฟังที่เขาสั่งด้วย อยากให้ผมทำอะไรผมก็ต้องทำรึไง

   “รับนี่ไป แล้วก็ทิ้งดอกไม้แดงนั่นไปซะ อย่าให้ข้าต้องพูดซ้ำ”

   ถึงเวลานี้เขาก็ยังคงสั่งผม พร้อมกับยื่นถุงกระดาษทรงเตี้ยมาวางไว้ที่ตักผมโดนที่ผมยังไม่ทันจะปฏิเสธอะไร”

   “ทะ ทิ้งไปแล้ว”ผมบอกเสียงเบาพลางก้มลงมองถุงกระดาษที่วางอยู่บนตัก

   “ไหนเจ้าบอกว่าเก็บมันเอาไว้”

   “นั่นผมแค่โกหกต่างหาก ใครจะไปรู้เล่าว่าพี่จะ เอ่อ จะบ้ามาจูบผม”ผมว่าพลางเบือนหน้าหนี รู้สึกว่าหน้ามันร้อนจนแทบจะละลายได้แล้วมั้ง

   “ช่วยไม่ได้ เจ้าบอกข้าช้าเอง”

   นี่ผมผิดอีกแล้วใช่ไหม


***----***----***----***----***----***----***----***----***----***----***----***----***----***----***----***

   “พี่ธารา ข้างนอกนั่นข้าได้กลิ่นหอมเวลาพี่ธาราจะมาทุกที ดอกอะไรทำไมช่องหอมเช่นนี้”อภัยมณีถามหลังจากที่ชะเง้อมองปากทางเข้าถ้ำเห็นธาราสมุทรเดินเข้ามาก็ทักแต่ไกล

   “เจ้าได้กลิ่นมันด้วยรึ”

   “ข้าได้กลิ่น มันหอมมากเลยทีเดียว”อภัยมณีตอบพลางรับห่ออาหารที่ธารามักจะเอาติดมือมาให้ทุกวันด้วยความดีใจ จนคนที่เอามาให้แอบลอบยิ้มด้วยความปลื้มใจ

   “ดอกมะลิซ้อนมันขึ้นพุ่มอยู่ด้านนอก หากเจ้าต้องการ วันพรุ่งข้าจักเก็บเอามาเผื่อให้”

   “พี่ธาราไม่ปดข้าใช่ไหม”

   “ข้าเคยปดเจ้าด้วนรึอภัยมณี”

   “งั้นข้าขอเข็มร้อยมาลัยดับเส้นด้ายด้วยได้หรือไม่”อภัยมณีเงยหน้าถามพลางแตะแขนของธาราสมุทรอย่างตีสนิท

   แต่สำหรับธาราสมุทรแล้ว นั่นเป็นเหมือนการอ้อนขอของเด็กที่อยากได้ขนมเสียมากกว่า

   “เจ้าอยากร้อยมาลัยรึ เช่นใดเจ้าถึงใคร่ทำสิ่งที่สตรีทำกัน”

   “มิใช่สิ่งที่สตรีทำหรอกพี่ธารา ผู้ชายที่อยู่ในวังบางคนก็ทำกัน ข้าคิดว่ามันเป็นศิลปะที่งดงามมากกว่า ข้ามิใคร่ชอบวิชากระบี่กระบอกย่างน้องศรีสุวรรณ หากแต่ชอบวิชาศิลปะการดนตรีและงานบ้านเสียมากกว่า”

   “งั้นหรือ มิน่านิ้วมือของเจ้าช่างเรียวแล้วก็นุ่มนิ่มราวกับกลีบของดอกไม้นัก ถ้าเจ้าต้องการวันพรุ่งข้าจักหามาไว้”

   “พี่ธาราช่างใจดีกับข้าเสียจริง หากพี่เป็นสตรีชาวบ้าน ข้าคงหลงรักพี่หัวปักหัวปำ”อภัยมณีบอกพลางส่งยิ้มให้หับธารา

   “งั้นหรอกรึ”

   ‘ข้าก็หวังอย่างนั้นเช่นกัน’


***----***----***----***----***----***----***----***----***----***----***----***----***----***----***----***


   “มณีมากับพี่ธาราอีกแล้วเหรอ”คราวนี้โมทักทำให้นนท์กับเชียรที่วันนี้มาก่อนผมเงยหน้าขึ้นมามอง

   “เคยมาด้วยกันเหรอวะมณี”นนท์ถามพลางทำหน้าสงสัย

   “อะ อืม เมื่อวานน่ะ”ผมบอกพลางเหลือบมองพี่ธาราที่เดินไปยังกลุ่มเพื่อนของตัวเอง

   “อะไรวะ ไม่เห็นเล่าให้ฟังเลย”

   “ทำไมต้องเล่าล่ะ ไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจ”

   “ไม่น่าสนใจได้ไง ก็เห็นไม่ค่อยถูกกันแล้วไหงไปมาด้วยกันบ่อยๆ แถมมีมารับมาส่งด้วย”นนท์ถาม

   “มันก็แค่บังเอิญ”แล้วทำไมผมต้องมานั่งตอบคำถามอย่างกับดาราด้วยนะ

   “บังเอิญอะไร เราเองก็ได้ยินเพื่อนกลุ่มอื่นซุบซิบกันว่ามณีกับพี่ธาราสนิทกัน”เชียรว่า

   “อะไร ใครซุบซิบ”ผมถามทันที

   อย่าบอกนะว่ามีคนรู้แล้วว่าผมกับพี่ธารากำลังมีซัมติงกัน

   ไม่ได้นะ ถ้าคนอื่นในมหาวิทยาลัยรู้ล่ะก็ ชีวิตของไอ้มณีที่จะมีสาวน่ารักๆเข้ามาสนใจก็ต้องเป็นอันจบสิ้นพอดี

   “ก็เพื่อนในห้องเรียนเขาซุบซิบกัน แอบได้ยินมา ว่าแต่จริงไหมที่ว่าสนิทกัน”

   “ไม่ได้สนิทกันสักหน่อย แค่เป็นสายรหัสกันไม่ได้สนิทกันสักหน่อย”ผมตอบพลางขยับไปใกล้โมที่นั่งอ่านการ์ตูนเงียบไม่สนใจใคร สงสัยได้เล่มใหม่มาแน่ๆ

   “จริงเหรอ ว่าแต่วันนี้จะมีดอกไม้ส่งมาอีกไหมวะ ถ้ามีล่ะก็ คราวนี้นายได้ดังแน่มณี”นนท์ว่าพลางเอาหลอดน้ำจิ้มแก้มโมที่กำลังอ่านหนังสือการ์ตูนไม่สนใจใคร

   ก็แล้วทำไมสองคนนี้ถึงดูว่าเหมือนมีซัมติงกันตลอด โมก็เอาแต่หน้าแดงนนท์ก็เอาแต่แกล้ง

   “แล้วรู้ไหมว่าใครคือละเวง”เชียรถามเสียงเรียบพลางเอื้อมมือไปดึงหลอดดูดน้ำออกจากมือนนท์เรียกให้นนท์หันมาบุ้ยหน้าใส่อย่างไม่พอใจพลางแยกเขี้ยวใส่

   อะไรของสามคนนี้ ทำไมเหมือนมีบรรยากาศอะไรรอบๆตัวสามคนนี้แปลกๆ

   “ยังไม่รู้เลย”ผมตอบพลางจ้องมองถุงกระดาษทรงเตี้ยที่พี่ธารายัดให้มาตั้งแต่อยู่บนรถ

   ผมเริ่มสงสัยแล้วสิว่าข้างในถึงกระดาษมีอะไร ทำไมกลิ่นหอมที่ผมได้กลิ่นตอนอยู่ในรถมันถึงได้ตามติดผมมาจนถึงตอนนี้กลิ่นนั่นก็ยังไม่หาย

   หรือว่าจะเกี่ยวกับของที่อยู่ในถุงกระดาษใบนี้กัน

   “ถุงอะไรวะมณี”นนท์ถาม ยิ่งทำให้ผมสงสัยหนักกว่าเก่า

   “ไม่รู้เหมือนกัน”

   “อ่าว แล้วเอามาได้ไง”

   “พี่ธาราให้มา”ผมตอบ

   “ไหนว่าไม่สนิทกันไง”

   “ก็ เออ นั่นแหละ พี่เขาให้มาก็แค่รับไว้ ไม่ได้สนิทอะไรกันมากมาย”ทำไมช่วงนี้ผมรู้สึกว่าพูดอะไรแล้วมันชอบเข้าตัวเองตลอดเลย

   “แล้วเขาให้อะไรนายมาวะ เปิดดิ อยากรู้”

   “เออน่าก็จะดูอยู่นี่ไง”ผมว่าพลางมองไปยังกลุ่มพี่ธาราที่ตอนนี้ไม่อยู่แล้ว สงสัยว่าพากันขึ้นเรียนกันหมดแล้วมั้ง

   พอดีเลย ผมจะได้รู้สักทีว่าอะไรอยู่ในนี้ ทำไมมันถึงได้หอมหวานซะจนเหมือนกับน้ำตาลที่กำลังละลายอยู่ในปากขนาดนี้

   ผมหยิบชามแก้วมีฝาปิดสีขาวขุ่นเคลือบลายดอกไม้สีหวานออกมาจากถุงกระดาษ

   อะไรของพี่ธาราเขา ชามแก้วเนี่ยนะ แล้วเอามาให้ผมทำไม

   “ชามอะไรวะเนี่ย แต่ก็สวยอยู่ ท่าทางจะแพง”นนท์พูดเรียกให้เชียรและโมเงยหน้าขึ้นมามองบ้าง

   “พี่ธาราให้มาเหรอ”เชียรถามย้ำ

   “อืม พี่เขาให้มา ไม่รู้ให้มาทำไม”ผมว่าพลางมองสำรวจชามสีขาวขุ่นเคลือบลายดอกไม้สีหวาน

   แปลกชะมัด ใครเขาจีบกันแล้วเอาชามมีฝาปิดมาให้กันอย่างนี้ อะไรของพี่ธาราเขากันนะ

   “เปิดดุสิเผื่อข้างในมีอะไร”โมว่าพลางกระชับแว่น

   นั่นสินะ ข้างในมันต้องมีอะไรสิ ไม่งั้นมันจะหอมขนาดนี้ได้ยังไง

   ผมเปิดฝาของชามแก้วที่ดูเปราะบางออก ไม่รู้ว่าผมหิ้วมาได้ยังไงโดยที่มันไม่แตก

   คนให้ก็ไม่ได้บอกผมเลยสักนิดว่ามันเป็นของแตกได้

   ทันทีที่เปิดฝาแก้วออกผมก็พบกับต้นตอของกลิ่นหอมหวานที่น่าสงสัยมาตั้งแต่ช่วงเช้า

   ดอกไม้สีขาวสะอาดตาถูกร้อยเรียงเป็นมาลัยกลมชายเดียวพวงใหญ่ที่ส่งกลิ่นอบอวลไปทั่วหลังจากที่ผมเปิดฝาออก

   “ดอกมะลิเนี่ยนะ”เชียรพูดขึ้นหลังจากที่ผมนิ่งเงียบไปพักใหญ่กับพวงมาลัยที่เห็นอยู่

   “ทำไมพี่ธาราต้องให้ดอกมะลินายวะมณี”นนท์ถาม

   “จะ ไปรู้เหรอ”

   “หรือว่าพี่เขาจีบนายวะมณี พอเห็นว่าเมื่อวานมีคนให้ดอกกุหลาบช่อใหญ่แก พี่เขาเลยเอาพวงมาลัยดอกมะลิมาให้”นนท์ว่า
พลางยิ้มจนเห็นลักยิ้มที่มุมปาก แต่มันก็มีส่วน จู่ๆจะเอาดอกมะลิมาให้ก็คงไม่ใช่ ถ้าหากว่าพี่เขาไม่ได้คิดอะไร

   “เออ ก็มีส่วนนะ มณี เราคิดว่าพี่เขากำลังจีบนายแบบที่เขาซุบซิบกัน”

   “จะ จะใช่ได้ยังไงเล่า พวกนายก็มั่ว เราว่าเราขึ้นห้องเรียนก่อนดีกว่า”

   ผมว่าพลางรีบเก็บของ ถึงจะรู้ว่าพี่เขากำลังจีบผมอยู่

   แต่มาเล่นแบบนี้ผมก็เริ่มจะใจเต้นแปลกๆแล้วสิ ยอมรับเลยว่าชอบดอกมะลิที่พี่เขาให้มามากกว่าดอกกุหลาบแดงช่อใหญ่นั่นเสียอีก



***----***----***----***----***----***----***----***----***----***----***----***----***----***----***----***


ตอนหน้านางละเวงจะออกมาแล้วนะคร้าาา
ยังมีคนอ่านอยู่ไหมน้อ 55+หลังจากไม่ได้มาต่อนาน
อย่าเพิ่งทิ้งกันสิคร้าาาาาา คนเขียนเหงาแย่




ออฟไลน์ BlueCherries

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4060
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +159/-17
ยังตามอยู่น้าาาาา


รอนางชะนีออกโรง จะสวยแค่ไหนกันเชียว

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ sanri

  • เวลาไม่ใช่ตัวพิสูจน์ทุกสิ่งเสมอไป
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1553
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-9
แหมๆ น้องมณีอย่าพึ่งรีบใจเต้นไปสิจ๊ะ  :impress2:
อร๊ายยยยย ตอนหน้าแล้วหรอที่นายละเวงจะออกมาอ่ะ  :hao7:

ออฟไลน์ Min*Jee

  • เอวรี่ติงจิงกะเบล
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2797
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-5
โอ้ จีบด้วยดอกมะลินี่คลาสสิคสุดๆเลยยยยย
เอาใจเจ้ไปเลยจ้ะ :hao7:
ตอนหน้าเตรียมรับละเวง ฮี่ๆๆๆๆ

ออฟไลน์ mimasopu

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 189
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
น่ารักออกจีบด้วยมาลัยมะลิ 55555
นางละเวงนี่จำอดีตได้ด้วยรึเปล่ามาดีมาร้ายหนอ

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ white_destiny

  • รักไม่เคยมีจริง
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 873
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +378/-199
อยากได้ดอกมะลิบ้าง
คลาสสิกจริงพี่ยักษ์
 :mew1:

ออฟไลน์ แดนเหนือ

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 6
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ยังรออยู่ และจะรอต่อไปจ้า  o13

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7

ออฟไลน์ บุหลันรัศมี

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 11
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
เข้ามาอ่านต่อ
รอดูนางละเวง
พี่ธาราให้ดอกมะลิ :o8: :-[ :impress2:
จีบได้ดีงามมากเจ้าค่ะ o13

ออฟไลน์ กบกระชายไทยนิยม

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 502
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1
หนุ่มลูกครึ่ง???  :hao6:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด