เกร็ดความรู้ นางวาลีเป็นเด็กกำพร้า อาศัยอยู่กับตายาย แต่รูปร่างหน้าตาที่ไม่งามของนางทำให้คนอื่นๆมักดูแคลน ต่อมานางได้เพียรพยายามหาความรู้การศึกษาเล่าเรียนเพื่อที่จะมีปัญญาและมีความสามารถที่โดดเด่นกว่าใคร ต่อมานางจึงใช้ความรู้ความฉลาดของตนเข้าหาพระอภัยมณีจนสำเร็จ แล้วต่อรองกับพระอภัยให้แต่งตั้งนางเป็นนางสนมเพื่อที่จะช่วยให้พระอภัยต่อกรกับท้าวอุศเรน(พี่ชายของนางละเวง) พระอภัยมณีจึงแต่งตั้งนางวาลีเป็นสนมเอก จนท้าวอุศเรนอกแตกตายด้วยคำพูดของนางวาลี แล้วนางวาลีก็ถูกวิญญาณของท้าวอุศเรนที่ตายไปแล้วเข้าสิงจนป่วยตายนั่นเอง
ชดใช้ครั้งที่ 13 ใกล้อีกนิด พอรู้ข่าวเจ้าเมืองผลึกใหม่
พระอภัยพูลสวัสดิ์รัศมี
งามประโลมโฉมเฉิดเลิศโลกีย์
นางวาลีลุ่มหลงปลงฤทัย
**เป็นกลอนบทที่นางวาลีเจอพระอภัยมณีซึ่งได้กับนางสุวรรณมาลีแล้วขึ้นเป็นเจ้าเมืองผลึก
หลังจากที่เสียงเพลงจากเครื่องเล่นเทปจบลง ผมก็หยุดการเคลื่อนไหวแล้วถอนหายใจพรูออกมา ไม่ใช่ว่าผมเต้นแรโรบิกแล้วเหนื่อยอะไรหรอกนะ
ตอนนี้ผมกำลังซ้อมรำฉุยฉายพราหมณ์ให้เจ้าของงานที่เขามาดูความคืบหน้าของงานได้รับชมต่างหาก
ดวงตาคมกริบของคุณวาลีผู้จัดการในเรื่องการจ้างวานจ้องมองมาที่ผมอย่างไม่วางตาทำให้ผมรู้สึกอึดอัดและอยากจะให้มันจบจับไปสักที
...มันแปลกๆ มันเหมือนว่ามีอะไรซ่อนอยู่ภายในดวงตาของเขาทำให้ผมรู้สึกว่ากลืนไม่เข้าคลายไม่ออกเวลาจ้องตอบกับมัน
“เป็นไงบ้างพ่อ”ผมถามหลังจากเดินลงมาจากเวทีพื้นไม้ยกระดับแล้วเดินไปคว้าผ้าเช็ดหน้าบนโต๊ะข้างๆพี่ธาราเพื่อซับเหงื่อ
ดวงตาคมที่กำลังจ้องมองผมอยู่แล้วฉายแววระริบระยับก่อนจะยกยิ้มที่มุมปาก
ไม่เข้าใจว่าพี่เขาจะตามติดอะไรผมนักหนากัน
ตั้งแต่มีเรื่องพี่อเลน พี่ธาราก็ดูจะตามติดผมทั้งวัน พอนึกถึงเรื่องนั้นแล้ว ผมก็พึ่งจะคิดออก
ผมยังไม่ได้ขอโทษที่พูดไม่ดีกับพี่ธาราเลย...
“ดีแล้ว แต่ต้องอ่อนๆมากกว่านี้หน่อยเอ็งน่ะยิ่งโตก็ยิ่งแข็ง ว่างๆก็ดัดมือดัดไม้เพิ่มบ้าง แล้วพ่อวาลีว่ายังไงล่ะ จะให้ปรับตรงไหนบ้างอีกไหมล่ะ”พ่อหันไปถามคนที่นั่งไขว้ขากับเก้าอี้วางมาดอย่างน่าเกรงขาม
แต่เขาเพียงแค่หันมายิ้มตอบพ่ออย่างวางเชิง
“ไม่ครับ...แค่นี้ก็เพอร์เฟกแล้วครับ น้องมณีทำเอาผมอึ้งไปเลย ผมว่าพอถึงวันแสดงจริง คนที่มาดูจะต้องชมกันไม่หยุดปากแน่เลยครับ นึกไม่ถึงว่าน้องจะเก่งขนาดนี้”
“พ่อวาลีก็ชมเกินไป ไอ้มณีลูกชายพ่อมันฝึกร้องฝึกรำมาตั้งแต่เด็กแล้ว มันก็เป็นธรรมดาของเขาล่ะ เกิดมาในครอบครัวลิเก”
ทำเป็นถ่อมตัวนะพ่อ...แต่จริงๆนี่ยิ้มปากบานเลย
“น้องมณีเนี่ย เก่งจังเลยนะครับ ทั้งที่ยังเด็กแต่ทำได้ถึงขนาดนี้”คุณวาลีหันมาพูดกับผมเสียงเรียบ
สายตาคมกริบจ้องมองมาทางผมทำให้ผมรู้สึกเสียงสันหลังยังไมก็ไม่รู้
“อ่า ขอบคุณครับ”
ผมได้แต่เกาหัวแกรกๆ รู้สึกตัวอีกทีด้านหลังก็รู้สึกถึงเงาดำทะมึนมาทาบทับ แล้วมีออร่าอำมหิตแผ่กระจายยังไงก็ไม่รู้
หันไปอีกทีพี่ธาราก็มายืนซ้อนทับแล้ววางมือบนไหล่ผมคล้ายกับแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของผมซะแล้ว
อะไรของไอ้ยักษ์ขี้ตู่นี่อีกแล้ว...ผมล่ะไม่เข้าใจ ใจคอเขากะจะแยกเขี้ยวใส่ทุกคนที่เข้าใกล้ผมเลยรึยังไง
สายตาคู่ดำสนิทจ้องมองไปยังผู้ว่าจ้างของพ่ออย่างไม่วางตา นัยน์ตาคมแสดงออกถึงความไม่พอใจและไม่ไว้วางใจอีกฝ่าย
ผมเงยหน้าขึ้นไปมองพี่ธารา ซึ่งตอนนี้เจ้าตัวก็กำลังจ้องหน้ากับคุณวาลีไม่วางตา ด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตรซะด้วย
นี่พ่อผมยังไม่ได้ว่าอะไรเลย...แต่พี่เขานี่ออกตัวแรงกว่าพ่อผมอีก
“ดูแล้วน้องมณีน่าจะมีแววทางด้านการแสดงนะครับ ผมว่าน้องน่าจะลองหันมาเอาดีทางด้านการแสดงดู”
มันก็แน่อยู่แล้วไม่ใช่รึไง จะไม่ให้ผมถนัดการแสดงได้ยังไง ในเมื่อผมคลุกคลีอยู่กับเรื่องพวกนี้มาตั้งแต่เกิด แต่ว่าทำไมเขาต้องพูดเรื่องนี้ขึ้นมาด้วย
“อันนั้นก็เห็นกันอยู่หรอก แต่ตอนนี้มณีมันเรียนอยู่ พ่อก็อยากให้สนใจแต่เรื่องเรียนมากกว่า ถ้าทำอย่างอื่นกลัวว่าจะเสียการเรียนเอาได้”
“ไม่หรอกครับ ดาราตังหลายคนเขาก็เรียนไปด้วย รับงานแสดงไปด้วย ผมร้อยละร้อยก็ประสบความสำเร็จนะครับคุณสุทัศน์”
ดูท่าเขาคงกำลังเกลี้ยกล่อมพ่ออยู่...ว่าแต่ทำไมเขาต้องมาเกลี้ยกล่อมพ่อด้วยล่ะ
ถึงผมจะหล่อจะดูดี แต่ก็ไม่ได้น่าสนใจขนาดเห็นปุ๊บจะต้องสนใจปั๊บนี่นา
“เออ เรื่องนี้พ่อเองก็ไม่ค่อยรู้หรอก แต่เรื่องแบบนี้พ่อเองก็ตัดสินใจแทนมณีมันไม่ได้หรอก ต้องให้เจ้าตัวเขาตัดสินใจเอาเองว่าสนใจรึเปล่า”
อ่าวพ่อ!!โยนมาให้ผมเฉยเลย
แต่ว่าก็ดีแล้ว ดูจากท่าทาง ดูท่าคุณวาลีอะไรของพ่อเนี่ย ท่าทางจะโน้มน้าวใจเก่งพูดเก่งน่าดู ทำเอาพ่อเคลิ้มจนยิ้มไม่หุบแล้ว
ดีที่พ่อยังเคารพการตัดสินใจของผมอยู่บ้าง ถึงจะปรายตามามองอยู่บ้างแล้วทำให้ผมเกร็งๆก็เถอะ
“น้องมณีสนใจจะเข้าวงการไหมครับ พี่คิดว่าบางทีน้องมณีอาจจะเป็นที่รู้จักของผู้คนด้วยการแสดงนาฏศิลป์ที่น้องมณีถนัด คุณสุทัศน์ว่ายังไงล่ะครับ ถ้าหากว่าผมจะดึงน้องมณีไปลองแคสงาน เพื่อที่จะได้เอาศิลปะดั้งเดิมไปเผยแพร่”คุณวารีพูดพลางหันไปขอความเห็นจากพ่อ
มีเหรอที่คนอย่างพ่อที่รักในเรื่องที่ทำสืบทอดกันมาจะไม่สนใจ ขานี่เขายิ่งอวยง่ายอยู่
ยิ่งไปยกเขาเขาก็ลอยสิเออ
“จะว่าอย่างที่พ่อว่าลีพูดพ่อก็เห็นด้วย เด็กสมัยนี้มันแทบจะไม่รู้จักการร้องรำของสมัยก่อน พ่อเองก็อยากให้ศิลปะของเราเราเผยแพร่ให้คนรู้จักกันทั่ว”
พอเขาโน้มน้าวเข้าหน่อยก็เอาใหญ่เชียวนะพ่อ ดูท่า อีกฝ่ายท่าจะพูดโน้มน้าวได้เก่งกว่าพี่ธาราเสียอีก
ว่าแต่พูดถึงพี่ธารา...ผมก็ลืมไปว่าเจ้าตัวกำลังยืนซ้อนหลังวางมือไว้บนไหล่ผมอยู่
ก็แล้วทำไมต้องมายืนซ้อนทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของผมด้วย
“แล้วพ่อธาราล่ะ ว่ายังไง พ่อเองก็ไม่มั่นใจหรอกนะว่าจะตัดสินใจยังไง ใจหนึ่งก็อยากให้วนใจแต่เรื่องเรียน ในฐานะที่พ่อธาราเรียนอยู่คณะเดียวกัน พ่อธาราว่ายังไงดี”พ่อหันมาถามความเห็นพี่ธารา
แทนที่จะถามความเห็นจากผมนะพ่อ...นี่ตกลงใครลูกพ่อกันแน่ ผมล่ะไม่เข้าใจ
นี่ตกลงพ่อรับพี่ธาราเขาเป็นลูกแล้วใช่ไหมพ่อ...
ผมได้แต่ยิ้มแหยๆให้กับสายตาคู่คมกริบที่มองมาที่ผม
“ถ้าถามผมในฐานะรุ่นพี่ของน้องมณี ผมเองก็คิดว่าอยากให้น้องเขาสนใจแต่เรื่องเรียนมากกว่า เพราะว่าบางวิชาน้องเองก็ยังไม่ค่อยเข้าใจแล้วเอามาให้ผมติมอยู่บ่อยครั้ง ถ้าหากว่าคุณพ่อให้น้องมณีเข้าวงการ วันข้างหน้าน้องอาจจะไม่มีเวลาพอจะใส่ใจเรื่องการเรียนแล้วจะพาให้การเรียนแย่นะครับ”
แล้วผมไปไม่เข้าใจเรื่องเรียนตอนไหน แล้วเมื่อไรที่ผมให้พี่เขาติวให้
อะไรของพี่เขาเนี่ย...นี่ใจคอพี่เขาจะไม่เลิกนิสัยขี้ตู่บ้างรึไง อยากจะบ้าตาย
แต่ละคน
พ่อก็อวยง่ายเหลือเกิน ส่วนพี่ธาราก็ขี้ตู่ ยิ่งคุณวาลีอะไรของพ่ออีก พูดเก่งเสียเหลือเกิน ทำเอาพ่อนี่เคลิ้มตาม
ถึงพี่ธาราจะช่วยเบรก หรือสกัดก็ไม่แน่ใจ แต่มันก็เกินไปแล้ว ผมไม่ได้เรียนแย่ขนาดนั้น
มีแค่เรียนไม่ทันคนอื่นตรงที่เอาเวลาไปคิดกับเรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้นต่างหาก
“นั่นสิ พ่อเองก็คิดเหมือนพ่อธารา อยากจะให้เจ้ามณีมันสนใจแต่เรื่องเรียน ลำพังมันก็ยิ่งเซ่อๆซ่าๆป้ำๆเป๋อๆลำบากให้พ่อธาราคอยช่วยเหลือตลอด เลยไม่ค่อยจะมั่นใจสักเท่าไร”
พ่อพูดเหมือนจะอวยผมรึว่าอย่างไร ทำไมมันเหมือนทำให้ลูกพ่อดูเป็นตัวอะไรไปเลย
ว่าแต่...นี่ตกลงว่าไม่มีใครสนใจจะถามความคิดเห็นผมเลยเหรอ คุยข้ามหัวผมกันไปมาเนี่ย
“เรื่องเรียนผมว่าไม่น่าจะมีปัญหานะครับคุณสุทัศน์ เพราะว่าทางผมสามารถจัดการตารางเวลาเพื่อไม่ให้กระทบกับการเรียนของน้องได้ ผมว่าคุณพ่อน่าจะลองเอาไปคิดดูก่อน ผมเองก็อยากให้น้องเอาศิลปะเก่าแก่ไปนำเสนอให้คนทั่วไปได้รู้จักกันมากขึ้นนะครับ”ฝ่ายคุณวาลีของพ่อก็ไม่ยอมหยุดเหมือนกัน
“แต่ถ้าทำอย่างนั้นเวลาพักผ่อนของน้องก็อาจจะไม่เพียงพอแล้วกระทบต่อสุขภาพของน้องนะครับคุณพ่อ”พี่ธาราแย้ง
แล้วหันไปจ้องตาตอบกับคุณวาลี
ตกลงสองคนนี้อะไรกัน จะไม่อมกันเลยใช่ไหมเนี่ย...จะมีใครถามความคิดเห็นผมบ้าง
ใจคอชีวิตวัยรุ่นของผมจะตัดสินใจอะไรเองบ้างไม่ได้เลยรึยังไง
“นั่นสินะ แล้วเอ็งล่ะจะว่ายังไงมณี”พ่อเออออกับพี่ธาราแล้วหันมาถามผม
นี่พ่อเพิ่งจะรับรู้ได้เหรอว่าลูกตัวเองยืนหัวโด่อยู่ตรงนี้
“ผม ว่าผม ยังไม่แน่ใจ”ผมตอบไป
ไม่ใช่อะไรหรอก ก็ไอ้สายตาคมกริบของพ่อวาลีของพ่อท่านมองมาที่ผมอย่างกับคาดหวังยังไงยังงั้น
ทำเอาผมปฏิเสธไม่ลงเลย
“ถ้ายังไงแล้ว ถ้าน้องมณีสนใจก็ติดต่อไปที่ผมก็ได้ครับ นี่ครับนามบัตรผม”คุณวาลีพูดตัดบทพลางปรายตามองไปทางพี่ธาราเพราะกลัวว่าจะโดนแย้งอะไรขึ้นมาอีก
“เออ งั้นจะลองคิดดูก่อนแล้วกัน”พ่อรับมาก่อนจะยัดมันใส่กระเป๋าเสื้อ
“นี่ครับน้องมณี อันนี้เป็นเบอร์ส่วนตัวพี่เลย ถ้าสนใจยังไงก็โทรมาหาพี่ได้ตลอดเวลานะครับ”
ไม่พูดเปล่า เจ้าตัวยังคะยั้นคะยอยัดนามบัตรใส่มือผมอีก
จะว่าผมเซ่อๆซ่าๆแบบที่พ่อว่าตอนนี้ผมก็ยอมรับเลย เพราะว่าผมกำลังยืนนิ่งอึ้งให้คุณวาลีเขายัดเอานามบัตรใส่มือมาเรียบร้อยแล้ว
ทำอะไรไม่ได้แล้ว นอกจากยืนมองพ่อกับคุณวาลีเดินออกไปจากโรงซ้อม
ทิ้งให้ผมอยู่กับพี่ยักษ์ขี้ตู่สองต่อสองอีกแล้ว
นี่ใจคอจะไม่ให้ผมคิดเองกันบ้างรึยังไง คนพวกนี้
ทำไมชีวิตวัยรุ่นของผมต้องเจอกับเรื่องชวนปวดหัวอยู่ตลอดก็ไม่รู้
“แล้วพี่จะมาใกล้ผมทำไมเนี่ย”ผมว่าพลางหันไปบ่นคนตัวสูงที่ยังยืนซ้อนหลังผมไม่ยอมถอยออกไปสักที
“เจ้าเขินข้าอย่างนั้นรึ”พี่ธาราก้มลงมากระซิบข้างหูทำเอาหูผมร้อนวาบวาบเพราะลมหายใจร้อนๆทันที
“อะ อะไรของพี่ ผมเปล่าเขนสักหน่อย แค่...แค่ไม่ชินเวลาคนอื่นอยู่ใกล้ๆต่างหาก”ผมก็ว่าไป
ไม่ใช่ไม่ชินอะไรหรอก แค่มันระแวง กลัวว่าจะโดนเข้าข้างหลังไม่รู้ตัวต่างหาก
พอนึกถึงเรื่องนี้แล้วก็นึกถึงพี่อเลนขึ้นมาเลย
ภาพมันยังติดตาผมไม่หายเลย เจ้าดุ้นใหญ่ยักษ์นั่น นึกไม่ถึงว่าบอบบางอย่างพี่เขาจะใหญ่ปานนั้น แค่คิดก็ขนลุกไปทั้งตัวแล้ว
ถ้าหากวันนั้นผมพลาดท่าแล้วพี่ธาราไม่มาช่วยขึ้นมา ผมคงจะเดินไม่ได้อีกหลายวันถ้าหากโดนเข้าไป
“เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่อย่างนั้นรึ”พี่ธาราถาม พร้อมกับแรงกดจมูกลงมาบนหัวของผม
อย่าบอกนะว่าพี่เขาแอบดมผมผมอยู่น่ะ นี่ผมยังไม่ได้สระมาสองวันแล้วนะ
“ปะ เปล่าคิดสักหน่อย แล้วพี่จะมาใกล้ผมอะไรนักหนาเนี่ย”ผมว่าพร้อมหันไปกะจะชี้หน้าด่าสักหน่อยข้อหาแอบลักลอบดมหัวเหม็นๆ
แต่ใจเจ้ากรรมเหมือนกับโดนแกล้ง
จมูกของผมดันไปจิ้มโดนเอาคางพี่ธาราในระยะประชิด ทำเอาผมถอยกรูดออกมาแทบไม่ทัน
“พี่ จะยื่นหน้ามาทำไมเล่า”ผมว่าพลางลูบจมูกแก้เขินแล้วหลุบตาลงหนีดวงตาคมกริบที่จ้องมองมา
รู้สึกว่าหน้ามันร้อนๆยังไงก็ไม่รู้
“เจ้าเองที่หันมาชนข้า”
“เออ นั่นแหละ แล้วพี่จะมาใกล้ผมทำไมล่ะ ดูสิ ผมเกือบชนหน้าพี่เลย นี่หน้าผมเอาไว้ทำมาหากินนะเนี่ย ดูสิยังไม่ทันไรก็มีแมวมองมาทาบทามซะแล้ว”
ผมพูดพร้อมกอดยกยืดทันที
จะว่าไปเรื่องทาบทามเข้าวงการอะไรนั่นผมก็ไม่ได้สนใจอะไรหรอก เพราะว่าหากเข้าวงการอะไรนั่นจริงๆเวลาส่วนตัวของผมคงหมดไป
แล้วคราวนี้ชีวิตวัยรุ่นจ๊าบๆของผมก็จะหายไปในทันที
แต่อีกใจก็อดเห็นใจพ่อไม่ได้ รู้อยู่ว่าพ่ออยากจะให้คนรู้จักสิ่งที่สืบทอดกันมายาวนานตั้งแต่รุ่นปู่ทวดของปู่ทวดที่นับลำดับยังไม่ถูก
แต่ถ้าจะให้ทำงานกับคนที่พูดจาโน้มน้าวคนเก่งแบบนั้น แล้วท่าทางเจ้าเล่ห์ไม่น่าไว้ใจ ผมเองก็รู้สึกไม่สบายใจ แล้วก็คงอึดอัดน่าดู
“แล้วทำไมพี่ต้องมาเฝ้าผมด้วย...บ้านช่องไม่กลับรึไง”ผมอดค่อนขอดไม่ได้เมื่อเราเงียบกันไปสักพักเพราะพี่ธาราไม่ตอบอะไร
“อีกไม่กี่เพลาสิ่งที่ข้ารอคอยก็จะมาถึง ข้าจะไม่ปล่อยให้บรรดาเมียในอดีตชาติของเจ้ามาขัดขวางหรอก”พี่ธาราบอกเสียงเรียบ
บรรดาเมียๆเหรอ...ก็คิดอยู่หลอกว่าคุณว่าลีอาจจะเป็นหนึ่งในบรรดาเมียที่มาจากชาติที่แล้ว
แต่ว่า ถึงท่าทางเขาจะดูสุขุม น่าเชื่อถือ แต่ดูจากภายนอกแล้วอายุก็ไม่น่าจะต่ำกว่าสามสิบเลย
แล้วเขาจะใช่หนึ่งในเมียของพระอภัยมณีในชาติก่อนจริงรึเปล่า
แล้วที่พี่ธาราพูดมันหมายความว่ายังไง ว่าอีกไม่นานส่งที่รอคอยก็กำลังจะมาถึง
ยิ่งผมรับรู้เรื่องราวแปลกๆนี่มากเท่าไร ผมก็ยิ่งรู้สึกว่าผมไม่เข้าใจมากเท่านั้น
“พี่คิดว่าพี่จะมีลูกกับผมได้จริงๆเหรอ”
“ได้สิ เจ้ากังวลเรื่องอะไรกัน”
“เปล่ากังวลสักหน่อย ผมแค่ไม่คิดว่าผมจะท้องได้ อีกอย่าง ผมยังไม่ได้บอกเลยว่าผมจะยอมทำตามที่พี่พูดน่ะ พี่ยังจีบผมไม่ถึงไหนเลยด้วยซ้ำ”ผมพูดปนหัวเราะ
พลางเชิดหน้าขึ้นเหมือนจะเยาะเย้ย ถึงในใจลึกๆจะเริ่มรู้สึกว่าเวลาที่อยู่กับพี่ธาราไม่อึดอัดเหมือนครั้งก่อนๆก็เถอะ
ถ้าไม่นับรวมในคืนวันเพ็ญที่พี่เขาเกือบจะยิงประตูผมเอา
“ข้ามั่นใจว่าใจเจ้าไปไหนไม่รอดหรอก นอกจากตกเป็นของข้า”พี่ธาราพูดพร้อมกับยิ้ม
ดวงตาคู่ดำสนิทฉายแวววิบวับทำเอาผมรู้สึกใจสั่นในประโยคที่เขาพูดออกมา
ใจของผมจะต้องเป็นของเขาอย่างนั้นเหรอ...นี่พี่เขาไปเอาความมั่นใจนี่มาจากไหน
แต่ว่าทำไมผมร้องรู้สึกว่าเหมือนถูกสารภาพรักยังไงยังงั้น
“ผมไปดีกว่า...หิวข้าวแล้ว ไม่รู้ว่าแม่ทำอะไรไว้รอ พี่เองก็กลับบ้านไปได้แล้ว อยู่นานเดี๋ยวพ่อแม่ผมจะหลงผิดคิดว่ายักษ์อย่างพี่เป็นลูกอีกคนเอา”
ผมว่าพลางโบ้ยมือใส่แก้เก้อ ไม่อยากจะยอมรับว่าใจกำลังเต้นแรง
“เดี๋ยวก่อน”
“อะไรอีกล่ะ ผมหิวแล้ว”ผมหันไปมองหน้า
“เจ้าไม่จำเป็นต้องใช่สิ่งนี้ มันจะนำพาความวุ่นวายมาสู้เจ้าอีก”
พอพี่ธาราพูดจบ นามบัตรที่อยู่ในมือของผมก็ถูกดึงไปโดยที่ผมเองก็ไม่ทันได้แย้งอะไรเลยสักนิด
นี่ตกลงผมมีพ่อเพิ่มมากอีกคนใช่ไหม
“อะไรของพี่เนี่ย จะดึงของจากมือคนอื่นมันเสียมารยาทน่า ยักษ์เขาไม่ได้สอนมารยาทกันรึไง”
ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่ผมก็ดันยอมเอาง่ายๆซะได้
“นี่ ผมบอกแล้วไงว่ากลับบ้านไปได้แล้ว จะเดินตามผมมาทำไม”
ผมออกปากไล่ยักษ์ตัวใหญ่ที่เดินตามผมมาจากโรงซ้อมจนจะถึงบ้านอยู่แล้ว
“แม่เจ้าชวนข้ากินมื้อเย็นด้วย”ที่ธาราตอบพลางยิ้ม
ยิ้มที่ผมรู้สึกว่ามันกวนประสาท
“แล้วเรื่องอะไรพี่จะต้องมาประจบพ่อแม่ผมด้วย แค่นี้เขาก็จะลืมว่าผมเป็นลูกอยู่แล้ว”
“ข้าเปล่าประจบ ข้าแค่ทำความรู้จักต่างหาก แค่จันทร์เพ็ญ เจ้าก็จักเมียข้า ข้าต้องรีบตีสนิทกับพ่อแม่ของเจ้า”
พี่ธาราพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่ทำเอาผมแทบจะตาถลนหลุดออกจากเข้าทีเดียว
จันทร์เพ็ญเดียว เมื่อคืนเป็นคืนเดือนมืด งั้นก็อีกสิบสี่วัน ถึงจะถึงคืนเพ็ญอีกรอบ
แล้วคืนเพ็ญเดือยอ้ายใช่ไหมที่พี่ธาราบอกว่าจะทำลูกกับผม
สิบสี่วันก็สองอาทิตย์
เวลาอะไรมันจะผ่านไปไวขนาดนั้น
“เดี๋ยวสิ พี่ แต่...ผมยังไม่ได้ชอบพี่ยังไม่ได้อะไรพี่เลย”ผมแย้ง...ถึงแม้ว่าเขาจะเริ่มจีบผมแล้วก็เถอะ
“ไม่ต้องกังวล ข้าจะทำให้ร่างกายเจ้าจดจำสัมผัสข้าได้เอง”
จบคำพูดของพี่ธารา ผมก็ชะงักเท้าที่กำลังเดินย่ำสวนข้างบ้านทันทีแล้วหันไปมองหน้าพี่ธาราแบบอึ้งๆ
ร่างกายจดจำสัมผัส...คืออะไร
แล้วทำไมพี่ธาราต้องเดินเข้ามาใกล้จนชิดแบบนี้
พี่จะทำอะไรผมมมมม
นี่มันในบ้านผมนะ ถ้าบรรพบุรุษที่เขาเคยอยู่ในบ้านนี้รู้เข้าผมจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
ในขณะที่ผมกำลังกระวนกระวายใจแต่ร่างกายแข็งทื่อนั่นเอง
แขนแข็งแรงก็โอบเอาเอวผมคว้าเข้าไปหาตัวจนชิด
ใบหน้าหล่อเหลาปานเทพบุตรโน้มลงมาใกล้ ทำเอาใจผมนี่กระหน่ำรัวเป็นกลองในงานคอนเสิร์ตเลยทีเดียว
“พะ พี่จะทำอะไรน่ะ”ผมว่าพลางยันอกแข็งๆของพี่ธาราไว้ไม่ให้เข้ามาใกล้ไปมากกว่านี้
“ข้าก็กำลังทำให้ร่างกายเจ้าจกจำสัมผัสอย่างไร”พี่ธาราตอบพร้อมกับยิ้ม
ยิ้มที่แทบจะกระชากวิญญานผมออกจากร่างพร้อมกับประโยคล่อแหลมที่หลุดออกมาจากปากอิ่มๆนั่น
ใบหน้าคมคายของพี่ธาราก้มลงมาใกล้จนเกือบชิดทำให้ผมมองลึกเข้าไปในดวงตาคู่ดำสนิท
เอวผมถูกกระชับให้แน่นกว่าเก่าทำให้แนบชิดร่างกายเข้าหากันมากขึ้น หัวใจผมเต้นโครมครามอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
พ่อแก้วแม่แก้ว ใจคอจะให้ลูกช้างถูกลวนลามในบ้านเลยเหรอเนี่ย
ผมมองไปรอบรอบอย่างหวาดระแวง โชคดีที่ฤดูนี้ดอกพูดกำลังเบ่งบานเต็มที่จนบดบังทัศนียภาพโดยรอบพร้อมกับส่งกลิ่นหอมตลบอบอวล
มันเป็นเกราะกำบังสายตาได้ดีเลิศ แต่ว่า...เขาจะมาทำกับผมอย่างนี้ในบ้านผมไม่ได้นะเฮ้ย!!
“ปะ ปล่อยผมได้แล้ว พี่จะกอดผมอีกนานไหม”ผมว่าพลางดันอกพี่ธาราออก
“ข้าจะปล่อยเจ้าก็ต่อเมื่อข้าได้ลิ้มรสจูบจากเจ้าเสียก่อน”
“อะ อะไรนะ จะจูบเหรอ พี่จะบ้าเหรอ อื้อ”ผมยังไม่ทันโวยวายจบ ริมฝีปากพี่ธาราก็กดจูบลงมาบนปากผมเป็นการปิดปากทันที
อารมณ์ไหนของเขา...แล้วทำไมเขาต้องมาจูบผมด้วย
ร่างกายของผมสะดุ้งทันทีที่ลิ้นร้อนถูกกวาดต้อนเข้ามาในโพลงปาก ความอุ่นร้อนมันแผ่ซ่านไปทั้งร่างกาย
นี่ผมกำลังเคลิ้มไปกับจูบครั้งที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้....เรื่องนี่มันไม่สำคัญเท่ากับผมกำลังจูบผู้ชายอยู่ในบ้านของตัวเองโดยที่ไม่ได้ขัดขืนอะไรเขามากมายเลย
ความจริงผมน่าจะต่อพี่เขาไปสักหมัดสองหมัด หรือไม่ก็ปลักออกก็ยังดี แต่นี่อะไร ผมกลับยอมให้เขาจูบง่ายๆซะงั้น
ถึงปากจะพูดมากความอย่างนั้นอย่างนี้ก็เถอะ
ยังไงซะพี่ธารานี่ก็กำลังจ้องจะขุดเหมืองผมในอีกสองสัปดาห์อยู่รอมร่อ
แต่แล้ว.....
พ่อผมก็เดินย้อนกลับมาแล้วเห็นผมกับพี่ธาราจูบกันพอดี....
อะไรมันจะวุ่นวายขนาดนี้...นี่ไม่ใช่ชีวิตวัยรุ่นที่ผมต้องการเลยสักนิดดดด!!
***////***////***////***////***////***////***////***////***////***////***////***////***////***////*** คนเขียนจะเคืองแล้วนะเออ

โน๊ตบุ๊คเจ็งต้องต่อเข้ากะทีวี ลำบากในการพิมพ์มาก ปกติก็พิมพ์ผิดเป็นอาจินแล้ว
นี่ยิ่งกว่าเก่าอีก เง้อ ยังไงก็อย่าลืมกำลังใจคนเขียนนะคร้าาา แบบว่าตอนที่แล้วอุตส่าห์ลงตั้งยี่สิบกว่าหน้า มีรีพลายตอบแค่หากรีพลาย ร้องให้เบาเบาเบยง่า แต่ยังไงก็ยังรักคนอ่านเหมือนเดิมน้าาา
ฝากเพจด้วยจ้า
แฟนเพจของโซอึนจ้ามีแพลนจะซื้อโน๊ตบุ๊คใหม่ด้วย ซื้อที่ไหนดี ใครพอจะแนะนำได้บ้างเอ่ย