✿ Wonder Lover อลวลวุ่นรัก...กลับชาติมาเกิด ✿ [ภาค1+2] 14/09/59
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ✿ Wonder Lover อลวลวุ่นรัก...กลับชาติมาเกิด ✿ [ภาค1+2] 14/09/59  (อ่าน 244709 ครั้ง)

ออฟไลน์ white_destiny

  • รักไม่เคยมีจริง
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 873
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +378/-199
 :z3: :z3: :z3:
ตามสิครับจะรออะไร
มัวแต่นอนปล่อยให้เมียหนีไปซะงั้น

ออฟไลน์ โซ อึน

  • อยากให้โลกนี้มีเท่ากัน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 472
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +144/-4
    • แฟนเพจเจ้าค่ะ
25555


ครั้งที่ 19 กุหลาบสีน้ำเงิน
(ตอนนี้ค่อนข้างหลายอารมณ์)


   

   แสงอาทิตย์สีอ่อนสาดเข้ามาภายในห้องโปร่งแสงที่อยู่ชั้นบนสุดของตัวบ้านหลังใหญ่บนเกาะใจกลางทะเล

   เสียงคลื่นน้ำกับสายลมยามเช้าปลุกให้ผมลืมตาขึ้นมาอย่างสะลึมสะลือ

   ทันทีที่ขยับตัวก็รู้สึกปวดร้าวที่บั้นเอวจนแทบจะหลุดเสียงร้อยโอยออกมา

   พอนึกได้ว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองแล้วมันก็เริ่มรู้สึกร้อนๆหนาวๆขึ้นมาทันที

   ใครจะไปนึกไปฝันล่ะว่าชีวิตวัยรุ่นเฟี๊ยวฟ้าวอย่างผมจะดันมากลายเป็นเมียของคนอื่นอย่างเต็มรูปแบบ แถมสามีที่โคตรจะ
เพอร์เฟกก็เป็นถึงยักษ์ตัวตนในเรื่องปรัมปรา

   ใจมันอยากจะมุดหายจมไปกับที่นอนเอาซะตอนนี้ให้รู้แล้วรู้รอด

    แผงอกล่ำๆสีแทนกระทบเข้ามาในม่านตาของผมเป็นอันดับแรก พร้อมด้วยอ้อมแขนที่กระชับผมเข้าไปกอดจนแทบจมหายเข้าในร่างกายสูงใหญ่

   “ปล่อยดิ อึดอัด หึ่ย!!”ผมก็ได้แต่ทำโวยวายไปเมื่อเงยหน้าขึ้นไปมองเจ้าตัวที่จ้องมองผมอยู่ก่อนหน้าแล้ว

   “เจ้านอนกรน”พี่ธาราทักทายยามเช้าทำเอาแทบเงิบ

   ไม่มีคำทักทายที่มันหวานกว่านี้รึไง

   “อย่ามายุ่งน่า”ว่าไปพร้อมกับพยายามดันตัวออกจากอ้อมกอดแข็งแรงนั่น

   “จะไม่ให้ข้ายุ่งได้อย่างไร ในเมื่อ…เจ้าเป็นเมียข้า”พูดเสร็จใบหน้าหล่อเหลานั่นก็ยิ้มหยอกเล่นเอาแทบจะซุกหน้าเข้ากับ
แผงอก ถ้าไม่ติดว่ามันออกจะน่าอายที่ผู้ชายจะเอาหน้าซุกอกผู้ชาย

   “มะ ไม่ได้เป็นเมียสักหน่อย พี่อย่ามาขี้ตู่ดิ มั่ว ปล่อยผมได้แล้ว”ไม่รู้จะพูดะไรดี มันเขินจนต้องแถเนียนไปก่อน

   “ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไปอีกแล้ว บอกความในใจของเข้าต่อข้าอีกครั้งสิ ข้าอยากฟัง”ไม่พูดเปล่า จมูกโด่งซุกลงมาบนหน้า
ผากของผมทำเอาผมไปแทบไม่เป็น

   “อย่ามาทำเป็นเอาแต่ใจน่า ปล่อยได้แล้ว น่ารำคาญจะตาย”

   “ข้าไม่ปล่อย เจ้าจะขัดขืนอะไรได้”ริมฝีปากหยักยกยิ้มเจ้าเล่ห์

   แต่นั่นก็ไม่เท่าเจ้าธารายักษ์ที่มันกำลังขู่ฟ่อๆผงกหัวหงึกๆถูไถกับขาของผมอยู่

   “อะ อะ เฮ้ย บ้าแล้ว บอกให้ปล่อยไง อย่ามาทะลึ่งแต่เช้าดิ”

   “งั้นเจ้าก็ลองขัดขืนข้าดูสิ”ไม่พูดเปล่า มือข้างที่โอบเอวมอยู่เลื่อนต่ำลงไปเคล้นคลึงบั้นท้ายที่ระบมจาากศึกหนักเมื่อคืน
ซะเต็มไม้เต็มมือ

   ไอ้ยักษ์หื่น!!

   “ปล่อยสิ อย่ามาจับมั่วๆน่า”

   “ข้าไม่ปล่อย”

   “แต่ผมปวดฉี่ จะให้ฉี่ตรงนี้รึไง”ผมขมวดคิ้วจ้องใบหน้าเจ้าเล่ห์อย่างเริ่มไม่พอใจทำเอาพี่ธาราหลุดขำอกมาเบาเบา

   “แล้วเจ้าก็ไม่บอกตั้งแต่แรก”

   พี่ธาราปล่อยผมจากอ้อมแขนแข็งแรงที่แทบจะกดผมให้จมหายเข้าไปในอกแล้วลุกขึ้นนั่ง

   ยังไม่ทันที่จะลุกขึ้นนั่งได้ดีผมก็ถูกอุ้มช้อนตัวขึ้นไปแล้วพาเข้าห้องน้ำไป

   “เฮ้ย ทำอะไร ปล่อยผมดิ พี่จะบ้ารึไง ฉี่จะแตกแล้ว จะมาอุ้มผมทำไม”

   “อาบน้ำกัน”พูดเสร็จยักษ์ธารายักษ์จอมเจ้าเล่ห์ก็ยิ้มเยาะใส่ผมแล้วอุ้มผมเข้าห้องน้ำไปจนได้




   พอปล่อยผมลงกับพื้นห้องน้ำเท่านั้นล่ะขามันไร้เรี่ยวแรงจนแทบร่วงลงไปกองกับพื้นถ้าไม่มีมือหนาจับบั้นเอวโอบประคอง
เอาไว้ผมคงร่วงไปกองลงกับพื้นแน่

   ใครจะรู้ว่าการมีเซ็กครั้งแรกแบบมาราธอนแบบนี้มันจะทำเอาแทบยืนไม่เป็นต้องเกาะขอบอ่างล้างหน้าพยุงตัวอีกแรง

   พอเงยหน้าก็เหลือบเห็นกระจกหน้าอ่างล้างหน้าในห้องน้ำสุดหรูหลังคาเปิดโลงแบบเอ้าท์ดอร์สะท้อนให้เห็นร่างกายอัน
เปลือยเปล่าของผมโดยที่มีพี่ธารายืนซ้อนทับ

   

   “จะมายืนชิดทำไมเล่า”หันไปโวยวายเมื่อไอ้ยักษ์ใหญ่ธารามันขู่ฟ่อๆจ้องจะกัดตูดผม ส่วนเจ้าของมันก็ยืนยิ้มกรุ่มกริ่ม
สะท้อนกับกระจกเงาที่อยู่ด้านหน้าให้ได้อายแล้วอายอีก

   ยังไม่พอ มือร้อนๆยังเลื่อนไปทั้งบีบทั้งเค้นก้นของผมจนมันเริ่มจะรู้สึกว่าชักไม่ค่อยปลอดภัย

   “เจ้าหน้าแดงรึ”พี่ธาราพูดหยอกแล้วจูบซับลงบนแก้มผม ที่เอาแต่ยืนแข็งทื่อ

   “กะ ก็แล้วทำไมเล่า อย่ามาทะลึ่งสิโว้ย หน้าแดงแล้วยังไง ไม่ได้แดงบนหน้าพี่สักหน่อย”

   “เจ้านี่ขี้โวยวายไม่มีเปลี่ยน เห็นทีข้าจักต้องสั่งสอนให้สงบเสียบ้าง”

   สั่งสอนของเขามันหมายถึงมือใหญ่เลื่อนมาด้านหน้าของผมแล้วเคล้นคลึงปลุกให้มณีน้อยลุกขึ้นฮึดหายปวดฉี่ในทันที
ทันใดใช่ไหม

   “ข้ารักเจ้า”ถ้อยคำหวานหูกระซิบแผ่วเบาทำเอาใจผมเต้นโครมคราม

   แล้วแบบนี้ผมต้องยอมพี่ธาราอีกแล้วใช่ไหม

   จมูกโด่งซุกไซร้ลงที่ซอกคอผมจากทางด้านหลังทำให้ผมเข่าอ่อนโชคดีที่แขนแข็งแรงข้างหนึ่งรับผมเอาไว้

   สุดท้ายยังไม่ทันได้อาบน้ำผมก็ถูกอุ้มกลับไปที่เตียงอยู่ดี

===================================================================


   แสงอาทิตย์แยงตาปลุกให้ร่างสูงใหญ่ที่กำลังอยู่ในห้วงนิทราลืมตาขึ้นมามองไปที่ระเบียงห้องที่ถูกเปิดม่านทิ้งเอาไว้

   ดวงตาคมมองไปที่ข้างกายด้วยสายตาที่บ่งบอกถึงความพึงพอใจ แต่แล้วมือที่ควานหาร่างที่คาดหวังว่าจะเจอกลับเจอเพียงแต่พื้นที่นอนที่ว่างเปล่า

   ดวงตาคมดุเบิกกว้างอย่างตกใจ ในเมื่อคนที่คิดว่าหลับอยู่ข้างกายได้หายไปแล้วเหลือเพียงแต่ความเย็นชืดบนผ้าปูที่นอนเอาไว้เพียงแค่นั้น

   ศรีสุวรรณหยัดกายลุกขึ้นอย่างเร่งรีบแล้วสวมกางเกงนอนอย่างรวดเร็วแล้วออกจากห้องไปในทันที

   เขาวิ่งไปยังชายหาดด้านหน้าของตัวเกาะที่เป็นหาดทราบทอดยาว

   แต่ก็ไม่มีแม้แล้ว ไม่มีแม้แต่เงาของใครที่เขาตามหา

   อีกแล้วแล้วที่ปล่อยให้หนีไปได้ อีกครั้งที่ต้องพบเจอกับความรู้สึกแย่ที่ถาโถมเข้ามาภายในจิตใจ

   เขาทรุดกายลงบนผืนทรายริมหาดอย่างเจ็บใจในความสับเพร่าของตนเอง

   เขาไม่น่าปล่อยให้เงือกหนุ่มเป็นอิสระ

   ศรีสุวรรณขบกรามแน่นเขาผิดเองที่ไม่รอบคอบและรีบร้อนเกินไป

   มือหนาหยิบเม็ดพลอยสีน้ำทะเลที่ถูกซัดมาเกยตื้นขึ้นมามองด้วยความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย

   

================================================================



   หนึ่งอาทิตย์ผ่านไป ไวเหมือนโกหกหลังจากที่ผมต้องตกเป็นเมียของยักษ์อย่างพี่ธารา

   เรื่องราวมันเริ่มจะยุ่งขึ้นมาเพราะว่าพี่วรรณไม่ยอมกลับมาพร้อมผมและพี่ธารา แต่กลับยืนยันที่จะอยู่ที่เกาะนั่นต่อ

   ทำเอาผมงงเป็นไก่ตาแตก แต่ก็พูดอะไรไม่ได้ และไม่รู้สาเหตุเลยสักนิดว่าทำไม

   และไม่คิดจะเซ้าซี้เพราะว่าเรื่องของตัวเองผมยังจะเอาตัวเองไม่ค่อยจะรอด

   

   เสียงเซ็งแซ่ของผู้คนมากมายดังห้องในโรงละครขนาดใหญ่ในตัวเมืองแห่งการท่องเที่ยว

   ใครจะไปรู้ว่ามันจะเป็นงานใหญ่ขนาดนี้

   “ไหนพ่อบอกว่าเป็นงานแก้บนไง ทำไมมาจัดในโรงละครแบบนี้ล่ะ แล้วยังจะนักข่าวตั้งเยอะ ยังกับเป็นดารา อย่างนี้ก็ตาย
กันพอดีดิ”ผมหันไปบ่นใส่หลังจากที่ไหว้พ่อแก่เสร็จก็ชะโงกหน้าออกไปดูหน้าเวทีหลังม่านผืนใหญ่

   “อะไรของเอ็ง ทำเป็นปอดแหกไปได้ ไม่โปรสมกับเป็นลูกพ่อเอ็งเลย ขายหน้าบรรพบุรุษกันพอดี อย่างนี้แหละดีแล้ว ใคร
จะได้รู้ว่าลิเกคณะเรามันเจ๋ง”

   

   “ว่าไปนั่น เฮ้อ”ได้แต่ถอนหายใจปล่อยให้พ่อเดินไปหลังเวทีคุมลูกคณะคนอื่นเตรียมตัวให้พร้อม ในขณะที่อยู่ในชุดรำ
ฉุยฉายแบบครบเครื่องหลังจากที่แต่งองค์ทรงเครื่องอยู่นาน

   

   “เจ้ากังวลสิ่งใดกัน”เสียเรียบนิ่งเรียกให้ผมหันไปมองเจ้าของประโยคที่ไม่เหมือนใคร

   “ไม่ได้กังวลสักหน่อย ผมแค่ไม่คุ้นเฉยๆ”ผมหันไปตอบ

   “ข้าเชื่อว่าเจ้าจะต้องทำได้”พี่ธาราพูดปลอบพร้อมกับวางมือทาบลงมาบนหัวz,

   “อะไรเล่า  ไม่ใช่เด็กๆน่า จะมาลูบหัวทำไม”ผมโยกหัวหลบ

   “เจ้าเป็นเมียข้า”พี่ธาราพูดด้วยท่าทีนิ่งเฉย ไอ้เขาน่ะนิ่งๆแต่ผมนี่สิ ตาโตมองซ้ายมองขวากลัวใครจะมาได้ยิน

   “อะไร จะมาพูดอะไรข้างนอกแบบนี้ เดี่ยวคนอื่นได้ยิน”ผมถลึงตาใส่

   “เจ้าเกรงกลัวอะไรกัน ในเมื่อมันเป็นความจริง อีกอย่างมันก็เป็นการดีหากพ่อเจ้าจะรู้และเข้าใจว่าข้าได้เสียกับเจ้าแล้ว”

   “ก็บอกว่าอย่าพูดไง พี่จะบ้ารึไง เดี๋ยวคนอื่นก็ได้ยืนหรอก”

   ผมกระโดดเอามือไปอุดปากยักษ์พูดมากแทบไม่ทัน มองซ้ายมองขวาไม่มีใครสนใจฟังถึงได้ถอนหายใจออกมาอีกรอบ

   “แล้วนี่มาทำไม ไม่ได้เชิญสักหน่อย”ผมบุ้ยปากแล้วปล่อยมือลง

   “พ่อเจ้าชวนข้ามา อีกอย่างข้ามาเฝ้าเมียข้า มันแปลกตรงไหนรึ”พี่ธารายิ้มมุมปาก

   “ก็บอกว่าอย่าพูดไง เฮ้อ งั้นก็ไปนั่งดูหน้าเวทีนู่น ข้างหลังเขาเอาไว้ให้นักแสดง ยืนตรงนี้ก็เกะกะเขาเปล่าๆ”

   ผมไล่ พอโดนเรียกว่าเมียบ่อยเข้าก็เริ่มเขินๆจนชักจะทำตัวไม่ถูกแล้วสิ

   ขืนปล่อยให้พี่ธาราพูดมากนี่อยู่ต่อมีหวังปากโป้งจนคนเขารู้กันไปทั้งคณะแน่



   
   พอถึงเวลาทำการแสดง คิวแรกเป็นการรำฉุยฉายพราหมณ์เปิดงาน

    กล้องหลายตัวจับจ้องมาที่หน้าเวทีทำเอาผมนึกใจสั่นตื่นเต้นแบบแปลกๆ ทั้งที่เคยแสดงมานักต่อนักแล้ว

   เสียงดนตรีค่อยๆดังขึ้นผมค่อยๆเคลื่อนตัวไปยังหน้าเวทีด้วยท่วงท่าที่อ้อนช้อยตามที่ฝึกมา เสียงตบมือของผู้ชมดังระงม
ก้องโรงละคร

   แขกที่มาชมเกือบครึ่งที่ผมสังเกตเห็นคือชาวต่างชาติ พอเดินเข้ามาตอนเปิดงานผมรู้ได้ทันทีว่างานนี้มันแปลกๆ พอมอง
ป้ายของงานก็พบว่ามันเป็นงานเกี่ยวกับการแสดงออกถึงวัฒนธรรมเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว

   ซึ่งมันเป็นงานระดับประเทศ ก็ถึงกับบางอ้อ

    ผมขยับตัวสลับท่าทางพลางเอียงตัวแล้วกรีดกรายนิ้วอย่างที่พ่อสอน ท่ารำในเบบฉบับดั้งเดิมถูกแสดงออกมาสู่สายตาของผู้ชมที่มากันจนเต็มโรงละครแห่งนี้

   ดรายไอซ์ถูกปล่อยทั่วพื้นเวทีใหญ่ ผู้ชมต่างก็นิ่งเงียบจ้องมองมาที่ผมเป็นจุดเดียว แต่แสงแฟรชยังคงวูบวาบ

   เสียงดนตรีค่อยๆเร่งจังหวะพร้อมบทกลอนที่เริ่มขับกล่อมเสนาะหู

   ผมชำเรืองมองไปยังด้านหน้าเวทีทางที่พี่ธารานั่งอยู่ โชคดีที่พี่ธารารูปร่างสูงใหญ่กว่าคนปกติทั่วไปจึงค่อนข้างดูเด่น
ทำให้ผมมองหาได้ง่าย

   พี่ธารายิ้มบางส่งมาให้เมื่อเห็นผมมองไป น่าแปลกที่ผมกลับยิ้มกลับไปให้แต่ก็ได้แค่เล็กน้อยพอเป็นพิธี

   นึกเขินในใจที่ตอนนี้ผมกับพี่เขาทำตัวเหมือนคู่รักที่คอยให้กำลังใจกันตลอดไปซะแล้ว

   จนเพลงใกล้จบเต็มที สิ่งที่ผมไม่ได้คาดคิดก็เกินขึ้นเบื้องหน้าของผม

   คุณวาลีเดินเข้ามาตามด้านหน้าเวทีที่ทอดยาวออกไปบนเพรมสีแดงสด เขาเดินตรงมาที่ผม ที่ด้านหน้าเวทีพร้อมกับช่อ
ดอกกุหลาบช่อใหญ่

   ดอกกุหลาบช่อใหญ่อีกแล้ว!!

   แต่ครั้งนี้เป็นดอกกุหลาบสีน้ำเงินเข้ม สีที่หมายถึงความลึกลับ ความเป็นปริศนา

   จนกระทั่งเพลงจบลง เสียงผู้ชมต่างก็ปรบมือพร้อมเสียงชื่นชมกึกก้อง

   แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมละสายตาไปจากผู้ชายที่ดูมีท่าทางเคร่งขรึมน่านับถือตรงหน้าของผมเลย กลับตรงกันข้ามที่ผมจ้อง
เขาไม่วางตา

   เพราะไม่รู้ว่าเขาต้องการอะไร

   ช่อกุหลาบสีนำเงินช่อใหญ่ที่ถูกตกแต่งจนสวยถูกยื่นมาเบื้องหน้าของผมทำให้ผมนิ่งชะงัก

   กล้องหลายตัวจับภาพมาที่ผมกับเขาราวกับว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องราวที่น่าจับตามอง

   คุณวาลียิ้มมุมปากเล็กน้อย

   “รับไปสิ”

   ถึงผมจะไม่ได้ยินเสียงเขาเพราะเสียงของผู้ชมและสียงแฟรชดังแต่ผมก็สามารถอ่านปากเขาได้

   ผมเหลือบมองไปยังพี่ธาราที่มองมาอยู่ก่อนหน้า ดวงตาสีดำสนิทบ่งบอกถึงความไม่พอใจ

   เกือบแทบทุกคนจ้องมองมาทางผมราวกับกำลังจะบีบคั้นให้ผมรับช่อดอกไม้สีน่ากลัวนั่น

   แล้วผมก็เอื้อมมือไปรับมันจนได้ มันเป็นมารยาทของคนที่อยู่บนเวทีที่ต้องรับสิ่งของจากคนดู ถึงแม้ว่าไม่อยากจะรับมันก็ตาม

   ผมก้มลงมองดอกไม้กุหลาบสีน้ำเงินในอ้อมแขนก่อนจะเงยหน้ามองคุณวาลีที่ยิ้มอย่างมีความหมาย

   ความหมายที่ผมเองก็อ่านไม่ออกว่าคืออะไร แต่มันคงไม่ใช่เรื่องดีแน่

   ผมเดินกลับเข้ามาหลังเวทีพร้อมกับดอกไม้ช่อใหญ่

   ทั้งที่ต้องรีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อเตรียมการแสดงชุดต่อไป แต่ผมกลับยืนนิ่งมองดอกไม้ช่อใหญ่ที่อยู่ในมือราวกับว่ามัน
เป็นสิ่งของน่าพิศวงชวนให้น่าค้นหา

   หรือว่าผมจะคิดมากไปเอง ความรู้สึกมันเหมือนกับตอนเจอกับพี่อเลน มันเหมือนมีอะไรค้างคาแต่ก็นึกไม่ออก

   หรือว่าแท้จริงแล้วคุณวาลีก็คือหนึ่งในเมียของผมในชาติที่แล้วกัน

   “มัวแต่เหม่ออะไร รีบไปเปลี่ยนชุดสิไป เดี๋ยวก็ไม่ทัน”

   เสียงเรียกของพ่อปลุกให้ผมหลุดออกจากความคิดกังวลของตัวเอง

   “รู้แล้ว รู้แล้ว”ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่ก็ยังไม่หายกังวล

   ไม่รู้ว่าพี่ธาราจะว่าอะไรไหม จะโกรธผมรึเปล่าที่ผมรับดอกไม้มาจากคนอื่นแบบนี้

   แต่ก็คงจะโกรธอยู่แล้ว เล่นส่งสายตาไม่พอใจมาให้ขนาดนั้น

   พอคิดถึงพี่ธาราขึ้นมาก็ค่อยสบายใจหน่อย ผมคงจะไม่ต้องกังวลอะไรมากมายถ้าหากว่ามีพี่เขาคอยอยู่ข้างๆแบบนี้


   การแสดงดำเนินต่อไปเรื่อยๆจนถึงฉากสุดท้ายที่พระอภัยมณีต้องเป่าปี่ฆ่านางผีเสื้อสมุทร พอมาถึงฉากนี้แล้วผมรู้สึกใจไม่ดียังไงไม่รู้

   มันเหมือนกับตอกย้ำในสิ่งที่ผมเคยทำในชาติที่แล้ว แต่การแสดงยังไงมันก็ต้องดำเนินต่อไปอยู่ดี

   ผมนั่งบนฉากโขดหินที่ถูกทำขึ้นแล้วเป่าปี่เป็นเพลง ไม่รู้ว่าเพราะอะไรผมถึงได้นึกถึงบทเพลงที่พ่อเคยให้มา

   และผมก็เล่นเพลงนั้นแทนเพลงที่เตรียมเอาไว้ก่อนหน้า

   เสียงปี่ชวาเครื่องดนตรีที่ผมไม่ค่อยคุ้นเคยเริ่มดังขึ้น ท่วงทำนองค่อยๆเริ่มขึ้นอย่างช้าๆ

   มันเป็นท่วงทำนองที่ค่อนข้างจะเศร้าทำเอาคนดูเงียบสนิทและตั้งใจฟังเพลงที่บรรเลงอย่างเนิบนาบ

   ท่วงทำนองของมันในช่วงแรงดูเศร้าใจและน่าหดหู่เมื่อมันบรรเลงอย่างช้าๆ

   แต่เมื่อผมค่อยๆเร่งจังหวะให้เร็วขึ้นและรุนแรงขึ้น เนื้อหาของบทเพลงมันค่อยๆบีบคั้นหัวใจ และมันก็มากขึ้นทุกทีจนผม
รู้สึกว่ามันน่าเศร้าและน่าเสียใจจนรู้สึกว่าหัวใจมันเหมือนกับถูกบีบรัดเอาไว้ด้วยมือที่มองไม่เห็น

   เรื่องราวในอดีตที่ผมจำไม่ได้ แต่ผมก็พอที่จะรับรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นทำให้สมองของผมมันอื้ออึง ความเศร้าที่ไม่เคยมีรุม
เข้ามาโจมตีผมโดยที่ผมไม่ทันได้ตั้งตัว

   ผมมองไปยังพี่ธาราโดยที่ไม่รู้ว่าทำไมต้องมอง

   ร่างสูงใหญ่ของเขาลุกขึ้นมองผม แล้วเขาก็เดินตรงไปยังประตูทางออก

   ผมมองตามด้วยความสงสัย และแล้วเขาก็เปิดประตูออกไปโดยที่ไม่หันกลับมามอง

   จู่ๆน้ำตาของผมมันก็ร่วงลงมาจากขอบตาโดยที่ผมไม่รู้ว่าเพราะอะไร และทำไม แต่ผมรู้เพียงแค่ว่าตอนนี้ผมเสียใจ

   ผมรู้สึกเสียใจกับเรื่องที่ผมไม่รู้ว่าคืออะไร

   ม่านสีทึบค่อยๆปิดตัวลงอย่างช้าๆท่ามกลางเสียงปรบมือที่ดังก้อง

   แต่ผมยังตกอยู่ในภวังค์ของบทเพลงที่แสนเศร้า

   จนกระทั่งพ่อมาดึงมือให้ผมลุกเดินไปพร้อมๆกับคนอื่นเพื่อไปขอบคุณคนดูที่หน้าเวที

   ผมมองไปรอบๆหวังว่าจะเจอพี่ธาราที่ผมไม่รู้ว่าเขาเดินออกไปไหนแต่ก็ไร้วี่แวว ไม่มีแม้แต่เงาคนตัวใหญ่ที่ผมคุ้นเคย

   “ขอโทษนะคะ เดี๋ยวขอตัวน้องไปสัมภาษณ์ได้รึเปล่าค่ะ ในฐานะเยาวชนที่เผยแพร่วัฒนะธรรมสู่สายตาชาวต่างชาติในวันนี้น่ะค่ะ”

   “ได้สิไม่มีปัญหา ไปสิ มณี ยืนนิ่งอะไรของเอ็งอยู่ได้”พ่อหันมาสะกิด

   ทำให้ผมเดินตามผู้หญิงที่ดูท่าจะเป็นเหมือนนักข่าวเดินนำผมไปยังด้านล่างของเวที

   ผมเห็นคุณวาลีที่ยืนอยู่ต่อหน้ากล้องหลายตัวอยู่ก่อนหน้ามองมาแล้วยิ้มพอเป็นพิธีก่อนจะเดินเข้ามาหาผมทำเอาผมรู้สึกงงไม่น้อย

   ผมถูกคุณวาลีจูงไปยืนตรงกลางวงท่ามกลางนักข่าวที่ค่อยๆยิงคำถามมาให้เขาตอบ

   “น้องมณีรู้สึกอย่างไรค่ะกับการที่ได้รับหน้าที่นี้”

   “ก็ดีใจครับ”ได้แต่ตอบพอเป็นพิธีแล้วยิ้มอย่างมีมารยาท

   มันไม่คุ้นเลยที่จะต้องมามีคนรุมถามแล้วตอบคำถามแบบนี้

   “แล้วเคยคิดบ้างไหมค่ะว่างานนี้จะเป็นบันไดก้าวแรกที่ทำให้เข้าไปทำงานในวงการบันเทิง ได้ข่าวว่าคุณวาลีทาบทาม
น้องมณีเอาไว้แล้วจริงรึเปล่าค่ะ”ผมคิดว่าคำถามมันเริ่มทะแม่งๆแล้วหลงประเด็น

   “เอ่อ”ผมได้แต่อ้ำอึ้งไม่รู้จะตอบว่ายังไงดี ตอนนี้ใจของผมกำลังนึกถึงพี่ธาราจนไม่อยากจะสนใจฟังหรือตอบคำถามจาก
ใครเลยสักนิด

   “ครับ ตอนนี้ผมกำลังทาบทามน้องเข้าสู่วงการอยู่ ตอนนี้กำลังเตรียมให้น้องถ่ายโฆษณาเชิญชวนเกี่ยวกับการท่องเที่ยวอยู่นะครับ อีกไม่นานก็น่าจะมีผลงานออกมาให้เห็น”

   กลายเป็นคุณวาลีที่ตอบแทนทำเอาผมอึ้งหันไปมองเขาด้วยสีหน้าที่ไม่เข้าใจ

   โฆษณาอะไรของเขา แล้วผมยังไม่ได้ตอบตกลงเรื่องเข้าวงการอะไรกับเขาเลย หลายคำถามที่คุณวาลีชิงตอบเอาเอง เป็นคำตอบที่ผมถึงกับปวดหัวเพราะมันไม่ใช่สิ่งที่ผมยินยอมหรือตกลงอะไรด้วยเลยสักนิด

   ขืนเขาพูดต่อหน้าสื่อแบบนี้แล้วผมจะปฏิเสธยังไงได้ บ้ากันไปใหญ่แล้ว รู้สึกว่าคนเจ้าเล่ห์อย่างเขาจะฉลาดจนรับมือยากเกินไป

   “แล้วเมื่อครู่ดอกไม้ช่อใหญ่ที่เอามาให้น้องตอนน้องแสดงชุดแรกจบนั่นมีความหมายอะไรแอบแฝงรึเปล่าค่ะ คุณวาลี กลัวว่านักแสดงคนอื่นในสังกัดจะน้อยใจบ้างรึเปล่าค่ะ”

   “เรื่องนี้ผมขอไม่ตอบนะครับ ส่วนที่ถามว่ากลัวนักแสดงคนอื่นในสังกัดน้อยใจไหม อันนี้คนเราก็ต่างความคิดครับ อยู่ที่ว่าใครจะคิดยังไง ผมว่าเราพอแค่นี้ก่อนดีกว่านะครับ ให้น้องไปพักผ่อน”

   พูดเสร็จเขาก็เดินจับแขนผมให้เดินมาหลังเวที

   มันทำให้ผมนึกสงสัยว่าตกลงคุณวาลีเป็นใครกันแน่ คงไม่ใช่แมวมองปกติทั่วไปที่เคยบอกแน่นอน ไม่งั้นสื่อจะสนใจเขามากขนาดนี้ได้ยังไง

   

   “ทำไมถึงไปบอกพวกเขาอย่างนั้นล่ะครับ”ด้วยความที่ทนไม่ไหว ถึงได้ถามไปหลังจากหลุดออกมาจากนักข่าวที่รุมล้อม

   “ฉันมั่นใจว่าเธอจะต้องทำตามที่ฉันต้องการ”พูดจบนามบัตรใบเล็กก็ถูกยื่นมาให้ผมอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันเป็นสีดำสนิทขลิบ
ขอบด้วยสีทองสว่างดูมีคุณค่าต่างจากใบเก่าทำให้ผมต้องมองมันด้วยความสนใจ

   สิ่งที่แตกต่างจากครั้งเก่าไม่ใช่ชื่อหรือเบอร์โทรหรืออะไร หากแต่เป็นตำแหน่งที่สูงขึ้นมากจนผมอดตกใจไม่ได้

   ประธานกรรมการบริษัทเกี่ยวกับการโฆษณา

   ตกลงเขาเป็นใครกันแน่

   “ถึงเธอไม่โทรหาฉัน ฉันก็จะโทรหาเธอเอง เธอจะต้องตกลงรับงานนี้แน่นอนมณี”พูดจบเขาก็เดินจากไป ทิ้งให้ผมได้แต่งุนงงกับเรื่องที่เกิดขึ้น


   ผมกลับบ้านมาพร้อมกับพ่อและคนอื่นๆโดยที่จิตใจยังคงว้าวุ่นกับเรื่องที่เกิด ไหนจะเรื่องคุณวาลีที่จู่ๆก็เข้าหาผมโดยที่ผมไม่รู้ว่าเขาต้องการอะไร

   อีกทั้งเรื่องของพี่ธารา ที่จู่ๆก็เดินออกไป ไม่ว่าจะพยายามโทรหาเท่าไรก็โทรไม่ติด

   “เป็นไงบ้างล่ะ ได้ข่าวว่านักข่าวเขาถามนั่นถามนี่จนมึนไปเลยรึไง”พ่อถามขณะที่นั่งลงโซฟาด้วยท่าทีเหนื่อยอ่อน

   “ก็ประมานนั้นแหละ”ผมตอบอย่างไม่ใส่ใจ

   “อะไรของเอ็ง และมึนๆนิ่งตั้งแต่แสดงจบ”

   “ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย”ผมหันไปตอบปัดทั้งที่จริงแล้วกำลังนึกเป็นห่วงพี่ธารา

   ถึงอีกใจจะบอกว่าพี่เขาคงจะไม่เป็นอะไร แต่มันก็แปลกที่คนอย่างเขาที่คอยเอาตัวเข้ามายุ่งกับชีวิตผมไล่เท่าไรก็ไม่ไป จู่ๆก็หายไปติดต่อไม่ได้เลย

   “นี่ดอกไม้นี่ใครให้มาล่ะ สวยเชียว พี่ธาราให้มาเหรอ แม่เห็นมันวางอยู่ในรถน่ะ ”แม่ถามพร้อมกับอุ้มดอกไม้ช่อใหญ่มาวางไว้บนโต๊ะกลางในห้องนั่งเล่น

   “เปล่าหรอกแม่ พี่ธาราไม่ได้ให้”

   “แล้วใครให้มาล่ะแปลกนะดอกกุหลาบสีน้ำเงินแม่ไม่เคยเห็น สงสัยจะแพง แล้วว่าแต่พ่อธาราไปไหนล่ะ ไม่ได้มาด้วยกันเหรอ”

   “ไม่ได้มาด้วยหรอกแม่ปทุม สงสัยมีธุระถึงได้ออกไปไม่บอกไม่กล่าว ส่วนดอกไม้นี่พ่อว่าลีเขาให้มา ทีแรกไอ้เราก็นึกว่าเขาเป็นแมวมองธรรมดา ที่ไหนได้ ดันเป็นถึงเจ้าของบริษัทโฆษณาใหญ่โต มิน่านักข่าวถึงได้มากันเยอะแยะเต็มไปหมด เสียดายที่แม่ปทุมไม่ได้ไป”

   “งั้นเหรอ น่าแปลกใจเชียว”

   “เดี่ยวมณีขึ้นไปอาบน้ำก่อนนะแม่ เหนื่อยๆ กินข้าวเมื่อไรไปเรียกด้วย”

   “อะไร ทำไมซึมๆแปลกๆนะลูกคนนี้ ไปไป ไปอาบน้ำอาบท่า เดี่ยวถึงเวลากินข้าวแล้วแม่ไปเรียก”


   พอเข้ามาในห้อได้ผมก็ทิ้งตัวลงบนที่นอนด้วยความอ่อนเพลีย หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาไม่รู้ว่าครั้งที่เท่าไรแล้วของวัน

   เสียงฝากหมายเลขโทรกลับทำให้ทั้งกังวลทั้งหงุดหงิด

   นี่ตกลงมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ หรือว่าพี่เขาจะไม่พอใจที่ผมรับดอกไม้จากคุณวาลี หรือว่าเขาไม่พอใจที่ต้องมานั่งดูเนื้อเรื่องที่บ่งบอกถึงการตายของน้องสาวของตัวเองแล้วเกิดไม่พอใจผม

   แล้วมันเพราะอะไรจู่ๆนึกจะไปก็ไปอย่างนี้

   โทรศัพท์ถูกโยนทิ้งลงบนเตียงอย่างหงุดหงิดใจ แขนข้างหนึ่งถูกยกขึ้นมาก่ายหน้าผาก

   ความกังวลมากมายมันเกิดจนผมรู้สึกว่าตัวเองใกล้จะบ้ามากเข้าไปทุกที





=============================================================


แฟนเพจของโซอึนจ้าถ้าไม่อยากพลาดโมเม้นน่ารักนอกเรื่อง

 :z2: :z2: :z2:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-11-2015 03:56:00 โดย โซ อึน »

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3704
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
 :sad4: ไม่ชอบมาม่าและเซ้นบอกว่ามันกำลังจะมา

ออฟไลน์ Min*Jee

  • เอวรี่ติงจิงกะเบล
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2797
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-5
สงสัยพี่ยักษ์จะบาดเจ็บจากเพลง
วาลีมาแบบ....น่ากลัวอะะะะะะ :katai1:
พยายามต่อไปนะพี่วรรณ

ออฟไลน์ double9JH

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1809
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-7
ทำไมพี่ธาราถึงลุกออกไปอ่ะ แล้วหายไปไหนน :katai1:

ออฟไลน์ บูมเบส

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1740
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-4
มมม่ามาแล้วไม่เอาไม่อยากกิน

ออฟไลน์ azure

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 772
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
โอ้ยยยยย นู๋มณีงานเข้าเสียแล้ว :hao7:

ธารางอนหรือหายไปจัดการคู่แข่งหัวใจกันนะ?!


ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7

ออฟไลน์ white_destiny

  • รักไม่เคยมีจริง
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 873
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +378/-199
ธาราหายไปไหนนนนนนน
แล้ววาลีจะมาทำไม
เขาได้กันไปแล้ว
อย่าแทรกสิ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ โซ อึน

  • อยากให้โลกนี้มีเท่ากัน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 472
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +144/-4
    • แฟนเพจเจ้าค่ะ
26375


ครั้งที่ 20 ตามหาหมอ



   หลายวันผ่านไปที่ผมไม่ได้เจอกับพี่ธาราเลย ไม่แม้แต่จะได้ยินเสียงทั้งที่มหา’ลัยและที่บ้านของผมซึ่งพี่เขามักจะมาเองโดยไม่มีใครเชิญเพื่อมาประจบประแจงพ่อแม่ของผมเสมอ   

   ซึ่งนั่นมันก็ทำให้ผมยิ่งหงุดหงิดมากไปกว่าเก่า อารมณ์มันเหมือนกับว่าโดนฟันแล้วทิ้งประมาณนั้น

   การที่พี่ธารหายไปไม่มีแม้แต่เงาและร่องลอยทำให้คนอื่นๆที่เขารับรู้กันทั่วและเออออไปเองว่าผมกับพี่ธารานั้นเป็นแฟนกันต่างก็มาถามหาพี่ธารากับผม

   ซึ่งผมก็ตอบไปตามจริงทำให้หลายคนคิดว่าผมกับพี่ธาราอาจจะทะเลาะกันหรือเลิกกัน ซึ่งนั่นมันยิ่งกวนใจผมเข้าไปใหญ่
เพราะว่าผมไม่รู้ว่าเหตุใดพี่ธาราถึงได้หายไป

   นึกถึงครั้งแรกที่เจอกันแล้วมันน่าโมโห ไล่เท่าไรก็ไม่ยอมไป ทีตอนนี้กลับหายเข้ากลับเมฆไม่มีแม้แต่เงาให้ได้เห็น ถ้าเจอล่ะก็ ไอ้มณีคนนี้จะจับหมกส้วมให้เข็ด

   “เป็นอะไรวะมณี อารมณ์แปรปรวนอย่างกับคนท้อง”

   “คนท้องบ้าอะไรล่ะ พูดเรื่อยเปื่อย”ผมตอบนนท์ไป พูดถึงเรื่องท้องแล้วมันจี๊ดขึ้นมา

   พูดอย่างกับว่าผู้ชายจะท้องได้ ให้ตายก็ไม่เชื่ออยู่ดี ถึงแม้ว่าจะแอบหวั่นๆก็ตาม

   “แล้วเป็นอะไรเดี๋ยวก็หงุดหงิดเดี๋ยวก็เศร้า”เชียรถามบ้าง

   “ไม่ได้เป็นอะไร กินๆไปเถอะถามมาก ติดคอตายพอดี”ผมว่าพร้อมตักข้าวเข้าปาก ไม่วายรู้สึกหงุดหงิดใจ

   “แล้วพี่ธาราไปไหนล่ะ ทำไมเราไม่เจอเลย”โมถามบ้าง ซึ่งคำถามนี้มันยิ่งทำให้ผมหงุดหงิดมากกว่าเดิมเข้าไปอีก

   “จะไปรู้เขาเหรอ จะไปสนใจทำไม ตกส้วมตายไปแล้วมั้ง นึกจะมาก็มานึกจะไปก็ไป”ผมตอบอย่างหงุดหงิด

   “เลิกกันแล้วรึไง”เชียรถาม

   ไม่รู้ว่าตอนนี้ผมเป็นดาราแล้วรึไง ทำไมคนอื่นๆตั้งคำถามกับผมกันจังเลย แม้กระทั่งเรื่องข้าวจานที่สามที่ผมกำลังจะเริ่ม
กิน

   ไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงกินเยอะกว่าปกติ แต่ก็คิดได้แค่อาจจะเป็นเพราะโมโหหิวที่พี่ธาราหายไป

   “เลิกอะไรได้เลิก ไม่ได้คบกันด้วย”ไม่ได้คบ ไม่ได้เป็นแฟน แต่เป็นผัวเมียกันแล้วต่างหาก

   แต่จะให้คนอื่นรู้ได้ไงว่าผมโดนพี่ธาราฟาดเรียบไปแล้ว ขืนรู้มีหวังข่าวกระจายยิ่งกว่าสี่จี

   “ปากแข็ง ยังจะบอกว่าไม่ได้คบอีก มีคลิปอะไรหลุดออกมาก็ยังไม่รู้รึไง”นนท์หันมาแขวะ

   “คลิปอะไร”

   “ก็คลิปที่ไปยืนจูบกับพี่ราที่โรงจอดรถนั่นไง มีคนเอามาลงในเพจซุบซิบมหา’ลัย อย่าบอกนะว่ายังไม่เห็น”

   “ได้ไง จะบ้าเหรอ มั่วแล้วตัดต่อรึเปล่า”

   ข้าวในปากจานที่สามของผมนี่แทบจะพุ่งออกมา ไหนจะพูดไปเคี้ยวไปก็เต็มกลืนอยู่แล้ว นี่ยังจะมาเรื่องบ้าบอน่าขาย
หน้าที่เพิ่งจะรู้อีก

   ผมเปิดเข้าไปในเพจซุบซิบที่ว่า แล้วก็ชัดเลย หมาตัวไหนมันดันถ่ายเอาไว้ ทำไมไม่เห็นรู้เรื่องเลย

   มิน่าคนถึงมองแปลกๆ นึกว่าแค่เรื่องที่ออกข่าวกับคุณวาลีแล้วก็เรื่องการแสดงอะไรอีก ที่ไหนได้

   “ยอมรับเถอะว่าเป็นแฟนกัน แต่ก็ยังมีอีกข่าวนะ ข่าวที่ออกทีวีกับเจ้าของบริษัทโฆษณาอะไรนั่น เห็นเขาว่ากันว่ากิ๊กกับแก
จริงรึเปล่าวะ มีเอาดอกไม่ไปให้กันด้วย ดูท่าจะเกิดศึกชิงนายอีกแล้ว มิน่าพี่ธาราถึงหายไป สงสัยจะงอน”นนท์ว่า

   “บ้าบอ ใครจะไปกิ๊กกับคนน่ากลัวแบบนั้น น่ากลัวจะตาย แล้วพี่ธาราเขาไม่ได้สนใจเรื่องแบบนี้สักหน่อย”

   ตอบไปถึงจะยังไม่แน่ใจ

   คิดว่าชีวิตตัวเองจะหมดเรื่องวุ่นวายหลังจากที่ยอมเสียตัวให้กับพี่ธาราไปแล้ว เรื่องจะได้จบๆ

   แต่ที่ไหนได้เรื่องมันยิ่งวุ่นวายเมื่อพี่ธาราดันหายตัวไปซะอย่างนั้น แล้วไปจะมีคุณวาลีที่ผมยังไม่รู้เลยว่าเขาเข้ามาในชีวิต
ผมเพราะอะไร

   ดูเหมือนว่าชีวิตของผมมันมีเค้ารางจะวุ่นวายมากขึ้นกว่าเก่า พี่ธาราที่คอยอยู่ข้างๆก็ดันหายไปทั้งที่ก่อนหน้าคอยตามปกป้อง

   ชักเริ่มทนไม่ไหวแล้ว

   ไหนไหนก็ไหนไหน ขอใช้สิทธิเมียที่ไม่เคยยอมรับสักทีเถอะ


   แล้วผมก็จอดมอเตอร์ไซที่หน้าประตูบ้านหลังใหญ่ที่เข้ามาในซอยลึกห่างจากถนนใหญ่อยู่มากพลางชะเง้อหวังว่ามันจะเห็นข้างในตัวบ้าน

   แต่มันจะเห็นอะไรได้ยังไงในเมื่อกำแพงบ้านมันทั้งสูงทั้งทึบขนาดนี้

   ดีที่พี่ธาราเคยให้รหัสเอาไว้

   ผมมองซ้ายมองขวากดรหัสลงบนแป้นกดหน้าประตู

   เสียงดังติ๊ดก่อนที่ประตูจะเด้งเปิดออกเล็กน้อย

   

      บรรยากาศภายในบ้านหลังใหญ่ที่ส่วนมากเป็นกระจกโปร่งแสงมองเห็นทะลุปรุโปร่งดูเงียบสงัดราวกับว่าไม่มีคนอยู่
   ผมชักเริ่มน่ากลัวขึ้นมาเมื่อบรรยากาศค่อยๆมืดลง ผมเอื้อมมือไปเลื่อนประตูบ้านออกอย่างเบามือ โชคดีที่มันไม่ได้ล็อก

   พอมองสำรวจตัวบ้านจนทั่วก็ไม่มีวี่แววว่าจะมีใครอยู่ ไม่รู้จะเอายังไงดี แค่เข้ามาโดยพลการก็พอแรงแล้ว

   ได้แต่มองบันไดทางขึ้นชั้นสอง คิดอยู่ว่าจะขึ้นไปดีไม่ขึ้นไปดี

   ถ้าเจอหน้าพี่ธาราแล้วจะทำยังไง จะทำโกรธทำโมโหหรือทุบทักทีสองทีให้มันหายหงุดหงิดปล่อยให้คนอื่นเขาเป็นห่วง
   

   แล้วจนในที่สุดผมก็ตัดสินใจเดินขึ้นมาบนชั้นสองของตัวบ้านที่ค่อนข้างจะเงียบสงัด

   ดีที่บ้านนี้ค่อนข้างจะไฮเทค ไฟตรงทางเดินของตัวบ้านทั้งหมดจะเป็นระบบเซ็นเซอร์ทำให้มันติดอัตโนมัติเมื่อแสงสว่าง
เริ่มน้อย ทำให้ผมมองเห็นทางได้สะดวก

   ผมองประตูห้องของพี่ธาราที่ปิดสนิทไม่มี่แววและเสียงใดใดเล็ดลอดออกมาเหมือนไม่มีทีท่าว่าใครอยู่ข้างในนั้น

   ใจผมตุ๊มๆต่อมๆมือค่อยๆบิดลูกบิดออกเบาเบา

   ใจตั้งคำถามว่าถ้าเปิดไปไม่เจอกับพี่ธาราผมจำทำอย่างไร จะไปตามหาเขาที่ไหนต่อ

   ประตูค่อยๆเปิดออกอย่างเบามือ ก้อนเนื้อในอกมันแทบจะออกมาเต้นอยู่บนพื้น

   เสียงในอกมันดังโครมครามจนน่ารำคาญ ประตูห้องค่อยๆแง้มออก ภายในห้องมีเพียงแสงไฟสีวอร์มสลัวที่พอจะมองเห็นกลุ่มผมวีดำโผล่พ้นผ้าห่มผืนใหญ่ออกมา

   ความรู้สึกเป็นห่วงของผมมันหายไปเป็นปลิดทิ้งเมื่อเห็นร่างหายใหญ่โตนอนคลุมโปงอยู่ใต้ผ้าห่ม

   ความรู้สึกดีใจมันเอ่อล้นขึ้นมาจนนึกแปลกใจว่าทำไมผมถึงเป็นได้หนักขนาดนี้ ไม่คิดเลยว่าชีวิตนี้จะเป็นห่วงคนที่ไม่ใช่ครอบครัวของตัวเองแบบนี้มาก่อน ยิ่งเป็นคนที่รู้สึกดีด้วยแล้วยิ่งเข้าไปใหญ่

   ผมเดินตรงเข้าไปหาคนที่นอนหลับไม่รู้เรื่องรู้ราวแล้วเปิดผ้าห่มออกเผยให้เห็นใบหน้าชื้นเหงื่อทั้งที่ห้องเปิดเครื่องปรับอากาศจนเย็นฉ่ำขนาดนี้

   พี่ธาราอยู่ในสภาพเปลือยออกไม่ได้ใส่เสื้อเผยให้เห็นแผงอกสีเข้มแน่นตึง

   แต่เหนือสิ่งอื่นใดที่ทำให้ผมนิ่งชะงักคือไอร้อนที่แผ่ออกมาจากร่างกายของเขา

   มันร้อนจัดจนสัมผัสได้ทั้งที่อากาศภายในห้องเย็นขนาดนี้

   ผมแตะมือไปที่แขนพี่ธาราเพื่อที่จะปลุกเขาเพราะคิดว่ามันผิดปรกติ แต่อุณหภูมิร่างกายที่ผมสัมผัสได้มันร้อนจนผมต้องชักมือกลับด้วยความตกใจ

   “พี่ธารา ตื่นได้แล้ว นี่”ผมเขย่า แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าพี่ธาราจะตื่น

   “นี่ ไม่ตลกนะ ตื่นดิ ถ้าไม่ตื่นผมกลับแล้วนะ”

   “ผมไม่ตลกนะ ถ้าไม่ตื่นผมกลับจริงๆแล้วนะ”แต่ก็เงียบ ไม่มีแม้แต่สัญญาณว่าพี่ธาราจะรับรู้ว่าผมอยู่ตรงนี้

   ตาของเขาปิดนิ่งสนิทไม่ไหวติง แม้แต่ขยับรับรู้อะไรทำให้ผมนึกกังวลขึ้นมา

   “นี่ กลับแล้วนะ”ผมเริ่มใจไม่ดี เริ่มเขย่าแรงขึ้น

      “นี่ ตื่นสิ พี่ ผมไม่ตลกด้วยนะ ใจคอทิ้งให้คนอื่นเค้าเป็นห่วงแล้วยังจะแกล้งคนอื่นเขาอีกรึไง”
   ผมพยายามเขย่าพี่ธารา และเริ่มเขย่าแรงยิ่งขึ้นจนร่างใหญ่เปลือยกายท่อนบนนั้นคลอนไปตามแรงแต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะตื่น

   “ถ้าพี่ไม่ตื่นผมจะกลับแล้วนะ”

   ผมขู่ทำท่าว่าจะเดินออกมา แต่ก็เปล่าเลย ไม่มีแม้แต่เปลือกตาที่ขยับรับรู้อะไร มีแต่ลมหายใจร้อนผ่าวที่เป่ารดออกมา

   “ตื่นสิ พี่เป็นอย่างนี้ผมใจคอไม่ดีนะ”ผมเรื่องเสียงสั่น

   “นี่ อย่ามาสำออยดิ ปกติก็เก่งไม่ใช่รึไง”

   “นี่!! ถ้าไม่ตื่นผมจะทิ้งพี่ไปจริงๆนะ ฮึก”ผมสะอื้นในลำคอ รู้สึกกลัวจนทำอะไรไม่ถูก ได้แต่เขย่าพี่ธาราอยู่อย่างนั้น

   “ตื่นขึ้นมาดิ ไอ้ยักษ์โรคจิต เป็นอะไรก็ตื่นขึ้นมาบอกสิ บอกให้ตื่น”ผมพยายามปลุก

   

   

   ท้องฟ้าข้างนอกมืดสนิทลง ผมไม่รู้ว่านานเท่าไรที่ผมเช็ดน้ำตาออกจากดวงตาที่แดงก่ำของตัวเอง

   ผมไม่รู้ว่าเดินเข้าไปในห้องน้ำกี่รอบเพื่อที่จะเปลี่ยนน้ำในกะละมังใบเล็กแล้วซักผ้าขนหนูเพื่อมาเช็ดตัวให้คนที่หลับไม่ได้สติอยู่บนเตียง

   อุณหภูมิร่างกายของพี่ธารายังไม่ลดลงเลยแม้แต่น้อย สีหน้าที่ปกติมักเรียบนิ่งกลับแสดงสีหน้าที่บ่งบอกว่ากำลังทรมาน

   ครั้งแล้วครั้งเล่าที่เช็ดตัวให้พี่ธาราโดยที่ไม่รู้เลยว่าเขาเป็นอะไร

   เพราะว่าผมไม่ใช่ยักษ์ผมถึงไม่รู้ว่าพี่ธาราเป็นอะไรเจ็บตรงไหนทำไมถึงได้ไม่ยอมตื่นขึ้นมา

   แล้วผมจะต้องทำอย่างไร? ในเมื่อผมไม่ใช่ยักษ์ ผมไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น

   จริงสิ!!ถึงผมจะไม่ใช่ยักษ์แต่ก็น่าจะถามยักษ์ด้วยกันได้ ยักษ์ด้วยกันน่าจะรู้ดี

   ยักษ์อีกตนที่รู้จักพี่ธาราดี

   คุณอาวสิน!!

   ผมยกโทรศัพท์ขึ้นมากดเบอร์หาพี่วรรณทันที หวังว่าพี่วรรณจะยังอยู่ที่เกาะนั่น

   ‘ว่าไง ถ้าจะถามว่ากลับเมื่อไรบอกพ่อกับแม่เลยนะว่าพี่ยังไม่มีกำหนดกลับ’เสียงทักทายดังแทรกขึ้นมาก่อนที่ผมจะทักไป
ซะอีก

   ถึงมันจะดูน่าสงสัยว่าทำไมพี่วรรณถึงไม่ยอมกลับ แต่เรื่องนี้มันก็ไม่สำคัญเท่ากับเรื่องของพี่ธาราตอนนี้

   “อยากคุยกับคุณอาวสิน พี่วรรณขอมณีคุยกับอาวสินหน่อย”

   ‘อืม อยู่ใกล้ๆพอดี รอเดี๋ยว’

   พี่วรรณบอกทำให้ผมดีใจเพราะปกติแล้วคุณอาวสินของพี่ธาราจะไม่ค่อยอยู่ให้เห็นตัวสักเท่าไร

   ไม่นานก็ได้ยินเสียงดังเหมือนเสียงคนเดิน ตามด้วยเสียงทักทายของคุณอาของพี่ธารา

   และผมก็เล่าเรื่องทุกอย่างให้คุณอาวสินฟังจนหมดโดยที่คุณอาวสินบอกว่าให้ผมรอเขา เขาจะรีบมา

   ผมจึงได้แต่รอโดยที่วนเวียนเช็ดตัวให้พี่ธาราแล้วผลัดกับนั่งเฝ้า

   ไม่รู้ว่าตัวเองหลับไปตอนไหน รู้แค่ว่าได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือของตัวเองดังถึงได้ผงกหัวขึ้นมาจากที่นอนแล้วควาน
หยิบโทรศัพท์ในกระเป๋าเป้อย่างสะลึมสะลือ

   ‘มณีเอ็งอยู่ไหน ทำไมไม่กลับบ้านกลับช่อง ป่านนี้แล้ว รู้ไหมว่าแม่เอ็งเป็นห่วง’

   “มณีอยู่บ้านพี่ธาราน่ะพ่อ พี่เขาไม่สบาย”


   ‘เอ้า แล้วเป็นอะไรมากไหมล่ะ เป็นหนักไหม’

   “หนักมากเลยพ่อ ไม่รู้ว่าจะตื่นไหม”

   ‘แล้วทำไมไม่พาไปหาหมอล่ะวะ’

   “ไปไม่ได้ พี่ธาราเขาไม่ค่อยชอบหมอเท่าไร เอาเป็นว่าวันนี้มณีไม่กลับบ้านนะพ่อ”

   “เออๆเอ็งก็ดูแลพี่เขาดีดีแล้วกัน ดูหาเช็ดตัวหาหยูกหายาให้พี่เขากิน”

   “จ๊ะพ่อ รู้แล้ว แค่นี้นะ”พูดจบก็ตัดสายแล้วดูเวลา

   นาฬิกาบอกเวลาปาเข้าไปสามทุ่มกว่า มิน่าพ่อถึงได้โทรตาม

   ผมไม่รู้ว่าฟุบหลับไปนานแค่ไหนทั้งที่นั่งอยู่บนพื้นอยู่ข้างกะละมังน้ำแบบนี้ จนขาเริ่มเป็นเหน็บชา

   มือก็ค่อยๆนวดขาเพื่อคลายอาการชาพลางชะโงกมองใบหน้าคมคายกับดวงตาที่ปกติจะเป็นสีดำสนิทวันดีคืนดีจะเป็นสีเขียวนิ่งไม่มีทีท่าว่าจะลืมขึ้น

   ไม่รู้ว่าเมื่อไรคุณอาวสินจะมาถึง

   พออาการชาที่ขาเริ่มหายผมก็พยุงตัวลุกขึ้นเอามือแตะทาบบนหน้าผากของพี่ธารา

   ความร้อนเริ่มลดลงไป แต่ก็แค่นิดเดียว ตัวของพี่ธาราก็ยังอยู่ในระดับที่ร้อนมากอยู่ดี

   ผมลุกขึ้นอุ้มเอากะละมังใบเล็กกับผ้าขนหนูไปเปลี่ยนน้ำอีกรอบ

   รู้สึกว่ามันเจ็บข้างในใจแบบแปลกๆ ความเป็นห่วงมันเริ่มทวีมากขึ้นเมื่อเวลายิ่งผ่านไปนาน

   ไม่รู้ว่าพี่ธาราหลับไปตั้งแต่เมื่อไร    


   ตลอดทั้งคืนจนรุ่งสางผมเช็ดตัวสลับกับเผลอหลับไป

   ในที่สุดคุณอาวสินก็มาถึงด้วยท่าทางรีบร้อน

   “คุณอาวสิน”ผมทักทายอย่างดีใจ

   “ธาราเป็นอย่างไรบ้าง”

   เขาทักแล้วตรงเข้าไปดูพี่ธารา

   “ร่างกายไม่ค่อยร้อนเท่าไร”คุณอาวสินหันมาบอกแล้วเหลือบตามองไปที่กะละมังที่มีน้ำอยู่

   “นี่เจ้าเช็ดตัวให้ธารารึ”

   “ครับ ผมเช็ดไปเป็นร้อยรอบแล้วแต่พี่ธาราก็ไม่หายตัวร้อน”

   “ดีแล้ว ถ้าขืนปล่อยให้ร้อนมากกว่านี้มีหวังคงแย่ไปมากกว่านี้”

   “แล้วผมต้องทำยังไง ทำไมพี่ธาราถึงไม่ฟื้นเลยล่ะ แล้วจะพาไปหาหมอได้ไหม ถ้าเขาไม่หาย”ผมรัวคำถามไม่หยุด

   “ใจเย็นๆ ธาราจะไม่เป็นอะไรหรอกถ้าเขาได้รับการรักษา”

   “จะรักษายังไงในครับในเมื่อพาไปหาหมอไม่ได้”ผมถามออกไป อดที่จะสงสัยไม่ได้

   “เลือดในร่างกายของธารากำลังจะตายลง หากไม่รีบรักษาให้ทันการล่ะก็ ชีวิตของธาราก็จะเป็นอันตราย”

   คำพูดของคุณอาวสินทำเอาหัวใจผมกระตุกวูบ

   ไหนว่ายักษ์เป็นอมตะไง ถึงจะไม่รู้ว่าเลือดตายคืออะไรสำหรับยักษ์ แต่ถ้าบอกว่าถึงขั้นอันตรายล่ะก็ผมคงจะยอมไม่ได้

   ทั้งที่เป็นคนที่เข้ามายุ่งกับชีวิตผมเองแท้แท้ จู่ๆก็จะทิ้งกันไปแบบนี้ผมไม่ยอมเด็ดขาด

   “งั้นก็รักษาเลย ตอนนี้เลยได้ไหมครับ ให้ผมช่วยก็ได้ ให้ผมทำอะไรก็ได้”ผมว่าอย่างร้อนรน

   “ธาราจะไม่เป็นอะไร เจ้าอย่ากังวลไป หากธารารู้เข้าจะเสียใจที่เป็นเหตุทำให้เจ้าต้องเป็นเช่นนี้”

   “แต่ผม …. ผมไม่อยากให้พี่ธาราตาย”

   ใช่ผมไม่อยากให้พี่ธาราตาย ผมจะไม่ยอมให้เขาตายต่างหาก

   “เราต้องใช้หมอเฉพาะทาง เจ้าจะต้องไปตามหมอมาที่นี่”

   “หมอเฉพาะทาง?แล้วผมจะต้องไปหาหมอที่ไหน”

   “เจ้าต้องไปตามเขามา เขาไม่ไกลนักขับรถไปไม่กี่ชั่วโมง”

   “ทำไมไม่โทรเรียกล่ะครับ แล้วมันต่างกับหมอธรรมดายังไงผมไม่เข้าใจ”

   “ต่างกันตรงที่เป็นยักษ์อย่างไรล่ะ”

   “ยักษ์?”

   อย่าบอกนะว่าหมอที่ว่าคือหมอที่เป็นยักษ์เหมือนกัน

   “ข้าจะเขียนจดหมายแนะนำตัวฝากไปกับเจ้า จำเป็นที่จะต้องมีคนคอยเช็ดตัวให้ธาราตลอด ไม่เช่นนั้นเลือดในร่างกายจะ
ร้อนตายลงเร็วกว่าที่ควรจะเป็น”

   “งั้น ผมต้องไปหาหมอที่ว่าที่ไหน ผมไม่มั่นใจว่าจะไปถูก”

   ตอนนี้ให้ผมทำอะไรผมก็ยอม ถึงไม่รู้ว่าถ้าไปเจอกับยักษ์แปลกหน้าที่ไม่เคยรู้จักแล้วจะถูกจับกินไหม แต่ในเวลานี้ผมไม่
ต้องการให้พี่ธาราเป็นอะไรไป

   “ข้าจะให้คนพาเจ้าไปเอง ไม่ต้องห่วง ธาราจะไม่เป็นอะไร”

   ผมก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น


================================================================

ตอนหน้าเราไปตามหาหมอกัน 555 ชีวิตพี่ธาราอยู่ในกำมือคนเขีนแล้ว (รู้สึกตัวเองยิ่งใหญ่ยังไงไม่รู้)
เหมือนเดิมเจ้า กดบวก กดเม้น คนเขียนรออ่านเม้นใจจดจ่อ ชอบอ่านเม้น อ่านแล้วมีพลัง ประหนึ่งว่าเม้นคือแครอท กินแล้วมีพลัง
  :z10: :z13: :z2: :katai4: :a5: (เป็นเสตป)

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ double9JH

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1809
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-7
รีบตามหาหมอเร็วๆนะ

เป็นเพราะเสียงขลุ่ยตอนนั้นเปล่าอ่ะ  :mew2:

ออฟไลน์ Jibbubu

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3385
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +77/-6
เลือดยักษ์ตาย!! หมายความว่า พี่ธาราจะเป็นมนุษย์ยังงั้นหรอก!?

ออฟไลน์ Appman

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 195
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3
บวกเป็ดนะ.....รีบฟื้นได้แล้วพี่ธารา

ออฟไลน์ Min*Jee

  • เอวรี่ติงจิงกะเบล
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2797
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-5
ทำไมคุณอาไม่ไปตามคะะะะะะ?
ถ้าตามแล้วน้องมณีจะมีบทไหมเล่า!!!!!!!
พี่ธาราเป็นอะไร รอตอนต่อไปนะะะะะ

ออฟไลน์ ben

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 501
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +49/-3
ต้องเป็นเพราะเสี่ยงขลุ่ยแน่ๆเลยอะ ต่อนอีกกก

ออฟไลน์ Alone Alone

  • ขอตายในอ้อมกอดฮยอกแจ
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +40/-0
พี่คะตื่นเถอะ เมียมาหาถึงบ้านแล้วนะ

ออฟไลน์ Celestia

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 833
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
เพราะโน้ตเพลงนั่นแหง ๆ พี่ธาราเลยนอนซมงี้

ออฟไลน์ noksamsee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 144
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
 :katai1:หมอจะคู่ใคร

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ กบกระชายไทยนิยม

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 502
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1
มณีเกือบจะเป็นหม้ายตั้งแต่ยังไม่คลอดเสียแล้ว

ออฟไลน์ azure

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 772
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-2
ทำไมต้องเป็นมณีที่ต้องไปตามหมอ
ทำไมไม่ให้อาสินที่เป็นยักษ์ด้วยกันไปตาม.......
แล้วทำไมเลือดในกายธาราถึงไพ้ค่อยๆตาย?!
ใครเป็นคนทำ?! :katai1:

ออฟไลน์ บูมเบส

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1740
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-4
เป็นเพราะเพลงนั้นเหรอ

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3704
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
ธาราป่วยเพราะอะไร เพลงปี่นั้นหรือเปล่า  :m28:

ออฟไลน์ โซ อึน

  • อยากให้โลกนี้มีเท่ากัน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 472
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +144/-4
    • แฟนเพจเจ้าค่ะ

ออฟไลน์ patchylove

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1585
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +134/-4

ออฟไลน์ Mouse2U

  • บังเอิญ'โลกกลม'..
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3531
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +223/-10
อาการของพี่ธาราจะเกี่ยวข้องอะไรกับเพลงที่น้องมณีเป่าไหมล่ะนี่

ออฟไลน์ white_destiny

  • รักไม่เคยมีจริง
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 873
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +378/-199
ตกลงธาราเป็นอะไรถึงได้ป่วย
ใครเป็นคนทำ
แล้วมณีไปตามหาหมอที่ไหน
ท้องแล้วใช่ไหม

ออฟไลน์ yowyow

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4188
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +139/-7

ออฟไลน์ โซ อึน

  • อยากให้โลกนี้มีเท่ากัน
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 472
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +144/-4
    • แฟนเพจเจ้าค่ะ
27690


ตอนที่ 20.2 ตามหาหมอ


ถึงจะสงสัยว่าทำไมคุณอาวสินของพี่ธาราถึงไม่เป็นคนมาตามหมอเองกลับเป็นผมที่มาตาม

   แต่คุณอาวสินก็บอกว่าอาการของพี่ธาราต้องดูแลอย่างใกล้ชิดเขารู้ดีว่าควรทำอย่างไรจึงกลายเป็นผมที่ตอนนี้มาหยุดอยู่
ที่คลินิกขนาดใหญ่

   แต่จะว่าไปมันเป็นเหมือนกับโรงพยาบาลมากกว่า

   คนขับรถที่คุณอาวสินจัดไว้ให้จอดรถรออยู่ด้านนอกทำให้ผมต้องเดินเข้าไปภายในคลินิกที่ดูเหมือนโรงพยาบาลนั้นคนเดียว

   ในระหว่างเดินเข้าไปมือก็กำจดหมายที่คุณอาวสินเขียนฝากมาไว้แน่น

   น่าแปลกที่คลินิกใหญ่ขนาดนี้แต่กลับมีคนไข้แค่สองสามคน ซึ่งตอนนี้กำลังจ้องผมตาเป็นมัน

   ถ้าจะไม่ให้คิดไปเองละก็ หวังว่าคนไข้สองสามคนที่อยู่จะไม่ใช่ยักษ์ใช่เงือกอะไรหรอกนะ

   “มีอะไรให้ช่วยค่ะ”พยาบาลที่เค้าเตอร์ถามพร้อมกับส่งรอยยิ้มหวานให้มาให้

   ซึ่งถ้าผมไม่มีพี่ธาราอยู่แล้วผมคงต้องขอเบอร์หรือขออะไรสักอย่างจนได้

   สมกับเป็นที่ที่แปลกจริงๆ พยาบาลที่นี่สวยเหมือนนางไม้ทุกคน แต่ละคนก็จ้องมาที่ผมเหมือนกับว่าผมเป็นเหยื่อหรืออะไร
ที่หลงทางเข้ามา

   “เอ่อ คือว่า มาพบคุณหมอกัณฐ์น่ะครับ ไม่ทราบว่าเขาอยู่รึเปล่า”ผมตอบไป เริ่มรู้สึกระแวงแล้วเมื่อพยาบาลสุดสวยคนนี้มี
ท่าทีแปลกใจ

   “นัดเอาไว้รึเปล่าค่ะ”พยาบาลคนนั้นยื่นหน้าเข้ามาใกล้

   “เอ่อ ไม่ครับ”ผมผงะเมื่อเธอเข้ามาใกล้ผมเกินไป

   แต่อะไรก็ไม่เท่ากับกลิ่นกายที่หอมเหมือนดอกไม้ของเธอ มันไม่ใช่หอมแบบน้ำหอม แต่มันหอมเหมือนดอกไม้ต้นไม้
อะไรประมาณนั้น

   ดูเหมือนว่าโลกนี้จะมีสิ่งมีชีวิตที่ผมไม่รู้จักอยู่เยอะเกินไปแล้ว

   “ถ้าไม่ได้นัดก็คงเข้าพบไม่ได้หรอกค่ะ  คุณหมอทศกัณฐ์จะไม่รักษาคนไข้ที่ไม่ได้นัด แล้วยิ่งคนไข้ที่เป็น คนอย่างเธอ
ด้วยเนี่ย ยิ่งแล้วไปใหญ่ เสียใจด้วยนะจ๊ะ”พยาบาลสุดสวยพูดพร้อมกับเอื้อมมือมาลูบใบหน้าของผม ทำเอาขนลุกขนชันไปทั้ง
ตัว

   แต่ผมคงจะยอมให้พี่ธาราเป็นอะไรไม่ได้เด็ดขาด!!

   “แต่ ผมมีจดหมายมาด้วย หวังว่าคุณหมอกัณฐ์จะดูมันก่อน”

   ผมยื่นจดหมายพลางหดคอหลบจมูกของพยาบาลที่เริ่มใกล้เข้ามาแล้วดูเหมือนว่าเธอกำลังสูดดมกลิ่นผมอยู่

   

   “มีอะไรกันหรือเปล่ามักกะลี แล้วคนคนนี้มีอะไรให้ช่วยทำไมถึงปล่อยให้เขาเข้ายืนรอล่ะ”

   “ไม่มีอะไรค่ะคุณหมอทศกัณฐ์”พยาบาลที่ชื่อมักกะลียิ้ม

   อย่าบอกนะว่ามักกะลีที่ว่าคือมักลีผล ไม่จริงน่า โลกนี้มันชักจะแปลกเกินไปแล้ว

   แล้วที่บอกว่าไม่มีนี่หมายความว่ายังไง

   คนนี้สินะคุณหมอกัณฐ์หรือทศกัณฐ์ที่ว่า ว่าแต่ชื่อมันคุ้นๆ แต่ก็ช่างเถอะ

   ผมมองไปยังผู้ชายร่างสูงในชุดกราวสีสะอาดตา ร่างของเขาสูงใหญ่ต่างจากคนอื่นๆ รูปร่างพอพอกับพี่ธารา

   แต่ว่าทำไมเสื้อผ้าที่เขาใส่มันถึงได้ออกแนวแฟชั่นอย่างกับพวกดารา ถ้าไม่ติดว่ามีเสื้อกราวสวมทับ คงไม่มีใครรู้ว่าเป็น
หมอแน่

   ใบหน้าคมคายสวมแว่นแฟชั่นดันแว่นขึ้นพลางมองผมอย่างสนใจ

   “ถ้าไม่มีธุระอะไรนายก็น่าจะออกไปจากที่นี่นะ ที่นี่ไม่ใช่สถานที่สำหรับคนอย่างนาย”เขาพูดพลางยิ้มที่มุมปากแล้วมองไป
ยังคนไข้อีกสองคนที่จ้องมองผมราวกับว่ากำลังหิวกระหาย

   ทำเอาผมขนลุกขนชัน

   “เอ่อ ใครบอกว่าผมไม่มีล่ะ ผมมีธุระกับคุณนั่นแหละ”ผมว่าแต่ก็ไม่วายเขยิบตัวออกจากนางพยาบาลมักลีผลที่ยัง
ป้วนเปี้ยนอยู่รอบตัวผม แถมยังใช้จมูกดมผมเหมือนผมเป็นของแปลก

   “ไปทำงานของเธอไปมักกะลี เดี่ยวเด็กคนนี้ฉันจัดการเอง”เขาหันไปบอกกับนางพยาบาล

   ทำให้ผมถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เชื่อแล้วว่ามักกะลีผลสวยอย่างที่ว่าจริงๆ แต่เคยได้ยินบางเรื่องเล่าที่บอกว่า
ความสวยนั้นเอาไว้ล่อมนุษย์ให้เข้าไปใกล้

   พอมนุษย์เข้าไปใกล้แล้วจะถูกจับกิน แค่คิดก็สยองแล้ว

   ไหนจะคุณหมอตรงหน้าที่มองมาที่ผมอย่างมีเลศนัยน์นี่อีก หวังว่าทศกัณฐ์ที่ว่าจะไม่ใช่ยักษ์ตัวเขียวที่มีสิบมือสิบหน้า
หรอกนะ

   “เอ้า มีธุระอะไรก็ว่ามา”เขาถามพลางกอดอกหันหลังพิงเค้าท์เตอร์อย่างไม่ใส่ใจ

   “ผมอยากให้คุณช่วยไปรักษา คน เอ่อ คือ คนคนหนึ่งน่ะ”ผมพูดคำว่าคนได้ไม่เต็มปาก

   “แล้วทำไมฉันต้องไปรักษาคนไข้ให้นายด้วยล่ะ คนไข้ของนายพิเศษยังไง ถึงต้องให้ฉันทิ้งคนไข้ที่น่ารักของฉันไว้ที่นี่”

   พอเขาพูดว่าคนไข้ที่น่ารักของเขาผมถึงกลับกลืนน้ำลายแล้วหันไปมองคนไข้ที่ว่า

   แต่ละคนจ้องมองผมอย่างกับหิวกระหาย นี่ถ้าผมเผลอคงโดนจับกินซะละมั้ง

   “ผมมีจดหมายของคุณอาวสินมาฝากมาให้คุณหมอ”ผมยื่นจดหมายให้เขา

   เขามองจดหมายอย่างไม่ค่อยเชื่อใจก่อนจะรับมันไปแล้วเปิดมันอ่าน



   “เข้าไปคุยกันข้างในสิ”เขาว่าก่อนจะเดินนำไป

   “เอ่อ ตรงนี้ก็ได้ครับ”ผมแย้ง

   ใครจะกล้าไปกับเขาสองต่อสองล่ะ เกิดโดนจับกินขึ้นมาก็แย่

   “ฉันไม่ทำอะไรนายหรอกน่า ดูเหมือนว่านายจะถูกจองเอาไว้แล้วนี่”

   “คะ ครับ?”

   “เข้ามา อย่าให้ฉันต้องเปลี่ยนใจ”คุณหมอกัณฐ์บอกพร้อมกับเปิดประตูห้องตรวจเบี่ยงตัวให้ผมเข้าข้างใน

   ผมลอบกลืนน้ำลายลงคอไปอึกใหญ่แล้วปรายตามองดูหน้าคุณหมอสุดเท่ที่ไม่มีเค้าโครงว่าเป็นคุณหมอก่อนจะเดินเข้าไปในห้องตรวจด้วยความจำยอม


   “ก่อนอื่น นายจะยืนยันกับฉันได้ไหมว่าจดหมายนี่เป็นของจริง”เขาว่าพลางโยนจดหมายลงกับโต๊ะ

   “ครับ ผมยืนยัน”

   “แล้วนายรู้ใช่ไหมว่าฉันเป็นใคร”

   “ครับผมรู้ ผมถึงต้องการให้คุณช่วยรักษาพี่ธารา”ผมว่าพลางถอยหลังไปสองก้าวเมื่อใบหน้าหล่อของคุณหมอยื่นเข้ามา
ใกล้

   “ฉันคงรักษาให้นายไม่ได้หรอกนะ”คุณหมอว่าพลางทิ้งตัวลงกับเก้ากี้บุนวม

   “ทำไมล่ะครับ แต่พี่ธารากำลังแย่ มีแต่คุณเท่านั้นที่ช่วยได้ ขอร้องล่ะครับ ช่วยรักษาพี่ธาราที”

   “จะให้ฉันช่วยรักษาโรคที่มันสาบสูญไปเมื่อร้อยกว่าปีที่แล้วได้ยังไง ในเมื่อโรคนั้นจะเกิดได้ก็ต่อเมื่อถูกกระตุ้นโดนเสียง
ดนตรีที่ตอนนี้คนที่รู้จักมันก็ได้ตายไปนานแล้ว”เขากอดอกแล้วหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุด แล้วพ่นควันคนฟุ้งเต็มห้อง

   “หมายความว่ายังไงครับ ผมไม่เข้าใจ เสียงดนตรีอะไร?”

   “นายคงจะรู้จักนางผีเสื้อสมุทรสินะ  โรคเลือดตายที่ว่าเนี่ย คนสุดท้ายที่ฉันรู้จักก็มีแต่นางผีเสื้อสมุทรเท่านั้นที่เป็นและคน
เดียวที่ทำได้ก็คือพระอภัยมณี”

   “ได้ยังไงกัน”ผมพึมพำเสียงแผ่ว

   อย่างบอกนะว่าเพลงที่ว่าคือเพลงที่ผมเป่าไปตอนที่แสดงลิเกนั่น

   ผมคือคนที่ทำร้ายพี่ธาราอย่างนั้นเหรอ

   ร่างกายของผมมันรู้สึกไร้เรี่ยวแรงขึ้นมาทันที เป็นผมเองที่ทำร้ายพี่ธารา

   “ไงล่ะ ทีนี้นายเข้าใจรึยัง ถึงจะบอกว่าเป็นจดหมายโกหกเพื่อที่จะพบปะกัน แต่มันก็ดูไม่น่าจะเชื่อถือเอาเสียเลย ไปบอก
ท่านอาวสินของนายใหม่นะว่าโกหกให้มันเนียนกว่านี้หน่อย”

   เขาว่าพร้อมกับพ่นควันบุหรี่ออกจากปาก

   “เขา ไม่ได้โกหก”ผมพูดเสียงเบาทำให้เขาเลิกคิ้วมองมาที่ผม

   “ดูเหมือนนายจะยังไม่เข้าใจอะไร เอาเป็นว่านายกลับไปซะเถอะ ฉันไม่มีเวลาว่างขนาดไปเจอใครเพื่อที่จะพูดคุยได้หรอกนะ”

   “แต่เขาไม่ได้โกหก คุณอาวสินไม่ได้โกหก พี่ธาราป่วยจริงๆ”ผมพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทา

   “นายอย่าดื้อดึงไปเลยน่า มันไม่มีจริงหรอกโลกนั้นมันได้ตายไปแล้ว”

   “มีสิ ในเมื่อ ผมเป็นคนทำมันเอง”ผมพูดเสียงแผ่ว

   แต่นั่นก็ทำให้คุณหมอชะงักแล้วเงยลุกขึ้นแล้วเดินเข้ามาใกล้ผม

   “นายอย่าพูดอะไรบ้าบ้า นายจะบอกว่านายเป็นคนเป่าปี่ทำให้ธาราป่วยรึยังไง อย่ามาล้อเล่นตอนนี้ เรื่องนี้มันไม่ใช่เรื่องน่าล้อเล่น”

   “ผมไม่ได้ล้อเล่น ผมเป็นคนที่ทำให้พี่ธาราป่วยเอง เป็นผมเองที่เป็นคนทำ”ผมพูดพร้อมกับน้ำตาที่ไหลลงมา

   “นายจะทำแบบนั้นได้ยังไง เพลงนั้นมันหายสาปจากโลกนี้ไปแล้ว”

   “ทำได้สิ ในเมื่อผมเป็นพระอภัยมณีกลับชาติมาเกิด”ผมว่าพลางเช็ดน้ำตา

   “ไม่จริงน่า เป็นไปไม่ได้”

   เขาพูดก่อนที่เข้ามาประชิดตัวผมแล้วจ้องมองใบหน้าของผมใกล้ๆ

   “นี่นายไม่ได้โกหกฉันใช่ไหม”ดวงตาสีเขียวมรกตจ้องเข้ามาในตาของผมอย่างจริงจัง

   “ผมไม่ได้โกหก”ผมส่ายหน้า

   “งั้นนายก็เตรียมใจไว้ได้เลย ธาราไม่มีโอกาสรอดแน่”

   “คุณหมายความว่ายังไง คุณเป็นหมอนี่ คุณต้องช่วยได้ ทำไมถึงได้พูดว่าเขาจะไม่รอดทั้งที่ยังไม่ได้รักษาล่ะ”ผมจับแขน
คุณหมอแล้วเขย่าอย่างอ้อนวอน

   “การรักษาจำเป็นจะต้องใช้สมุนไพร แล้วสมุนไพรที่ว่ามันก็หายสาบสูญจากโลกนี้ไปหลายสิบปีแล้ว”

   “สมุนไพรอะไร บอกผมสิ ผมจะไปหาเอง”

   ถ้าหากพี่ธาราจะต้องเป็นอะไรทั้งหมดเป็นเพราะความผิดของผม เป็นความผิดของผมเองที่มันไม่รู้อะไรเลย

   “ไม่ได้หรอก ตลอดเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมาฉันพยายามหามันมาโดยตลอดแต่ก็ไม่พบแม้แต่เงาของมัน”

   “บอกผมได้ไหมว่าสมุนไพรอะไร ผมจะไปหามันเอง ผมขอร้อง ฮึก คุณช่วยรักษาพี่ธาราที”

   “ให้ฉันรักษาให้ฉันทำได้อยู่แล้ว แต่จะให้หารากของกุหลายสีน้ำเงินฉันคงต้องบอกนายไว้เลยว่าจนปัญญา”

   “กุหลาบสีน้ำเงิน ทำไมถึงหาไม่ได้ล่ะครับ ซื้อเอาไม่ได้เหรอ”

   “มันไม่ใช่กุหลาบสีน้ำเงินทั่วไป แต่มันเป็นกุหลาบที่เป็นอมตะไม่มีวันตาย ดอกของมันจะเป็นสีน้ำเงินเข้ม ไม่เหมือนสีของดอกกุหลาบทั่วไปที่นายเคยเห็นหรอกนะ”

   “กุหลาบสีน้ำเงิน?”ผมพึมพำในขณะที่เช็ดน้ำตา

   แล้วคราวนี้ผมจะทำอย่างไรดี ผมจะช่วยพี่ธาราได้ยังไงในเมื่อไม่รู้ว่าต้องไปหากุหลาบสีน้ำเงินนั่นมาจากไหน

   แต่แล้วหัวสมองผมก็ผุดภายกุหลาบสีน้ำเงินช่อใหญ่ขึ้นมา

   ผมรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาด้วยความรีบร้อนแล้วเปิดรูปที่ถ่ายในวันแสดงให้คุณหมอดู

   “นี่ใช่ไหมครับ ใช่แบบนี้รึเปล่า”ผมถามอย่างร้อนรน

   เขาจ้องดูที่หน้าจอโทรศัพท์ของผมที่ถ่ายติดดอกกุหลาบสีประหลาดนั่นก่อนจะฉกโทรศัพท์ไปจากมือของผมแล้วจ้องมองมันด้วยสายตาที่จริงจัง

   “นายไปได้มันมาจากไหน”เขาพูดทำให้ผมเริ่มใจชื้นขึ้นมา

   มันอาจจะใช่สิ่งที่กำลังหาอยู่ก็ได้

   “มีคนให้ผมมา บอกผมสิว่าเป็นกุหลาบที่คุณหมอบอกน่ะ”ผมเขย่าแขนคุณหมอ

   “ไอ้ใช่มันก็มันก็ใช่อยู่ แต่เจ้ามั่นใจได้อย่างไรว่าเขาจะมอบมันให้กับเจ้าในเมื่อมันเป็นสิ่งที่มีค่าหาอะไรเปรียบไม่ได้”

   “ผมมั่นใจ ผมจะไปเอามันมาเอง”

   รากของดอกกุหลาบที่ผมได้รับตากคุณวาลี ผมจะต้องไปเอามันมาให้ได้
   

===============================================================

เอาแล้วไง ตอนหน้าเราจะพาน้องมณีไปเข้าถ้ำเสือกัน
ไปไหมๆ

[/color]

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด