23.2 ความเดิม
“ยายครับ ทำไมเราต้องมาที่นี่ด้วยล่ะครับ”เด็กชายผิวซีดในชุดเสื้อผ้าแขนขายาวปิดมิดชิดกับหมวกไหมพรมที่สวมคลุมศีรษะเอาไว้เงยหน้าถามผู้เป็นยายที่อยู่ในชุดสุภาพดูมีฐานะ
“ยาวคิดถึงบรรยากาศเก่าๆน่ะ แล้วที่สำคัญหลานเองก็บังไม่ค่อยได้ออกมาข้างนอกใช่ไหมล่ะ”
“อื้ม พ่อกับแม่บอกว่าไม่ให้ออกไปไหน”เด็กชายตอบ
ตั้งแต่จำความได้ก็นับครั้งได้เลยที่จะได้มีโอกาสออกมาภายนอกบ้าน เพราะว่าตัวของเด็กชายนั้นเป็นโรคโลหิตที่ยังไม่มีวิธีการรักษาที่ระบุแน่ชัด
ผมที่น่าจะขึ้นดกดำก็กลับร่วงโลนจนเหลือแต่หนังศีรษะที่ขาวซีดต้องใส่หมวกไหมพรมปิดไว้ตลอด
พ่อแม่ที่เป็นนักเภสัชก็เอาแต่หมกมุ่นกับการคิดค้นยารักษาเพื่อให้ลูกชายรอดพ้นจากการทรมานจากโลกร้ายนี่สักที
เก้าอี้ด้านหน้าถูกจองเอาไว้ด้วยผู้มีศักดิ์เป็นยายเอาไว้ก่อนหน้า เวทีที่ตกแต่งไปด้วยผ้าที่เป็นฉากคล้ายกับท้องพระโรงใน
หนังจักรๆวงศ์ๆปรากฏแก่สายตาทำให้เด็กชายตื่นเต้น
เรียกระนาดทุ้มหูเสียงกลองก้องกังวานเสียงฉิ่งดังแว่วแหลมสูงคล้ายกับปลุกใจดวงเล็กที่เต้นอย่างเอื่อยเฉื่อยให้มีชีวิต
ชีวา
“อันนี้เขาเรียกว่าอะไรครับยาย”เด็กชายวัยสิบสามหันไปถาม
“อันนี้เขาเรียกว่าลิเกจ๊ะ หลานคงไม่เคยดู สมัยก่อนยายชอบมาดูประจำทุกๆปี แต่ตั้งแต่มีหลานก็ไม่ได้มาดูเลย ปีนี้เห็นที
เลยพาหลานมาดูด้วย หลานน่าจะชอบ”
“อื้ม”เด็กชายพยักหน้า
เสียงร้องบทกลอนออกแขกเริ่มต้นขึ้นเรียกให้เด็กชายฟังอย่างตั้งใจกับบทกลอนแปลกที่ไม่เคยได้ยิน
การแสดงต่างบทบาทเริ่มดำเนินไปเรื่อยๆโดยที่เด็กชายนั้นยังไม่ละสายตาจากเวที
แล้วตัวตลกที่เรียกว่าตัวโจ๊กฝ่ายพระเอกก็โผล่มาตามแบบฉบับของเนื้อเรื่องลิเก
แต่ตัวตลกครั้งนี้กลับเป็นเด็กผู้ชายตัวเล็กรูปร่างจ้ำม่ำผิวขาวดูน่ากอด
เสียงร้องที่ยังไม่ประสีประสากับรอยยิ้มและท่าทีที่เรียกเสียงตลกให้บรรดาคนดูที่แน่นขนัดทำให้หัวใจที่เต้นอย่างเชื่องช้า
เต้นแรงราวกับผืนกลองที่ถูกกระหน่ำตีอย่างไม่เคยเป็น
มือเล็กยกขึ้นกุมหน้าอกอย่างแปลกใจ ทำไมเขาถึงต้องใจเต้นแรงเวลาที่เด็กคนนั้นยิ้มแล้วหัวเราะด้วย
“เป็นอะไรรึเปล่า เจ็บหัวใจเหรอ”คนเป็นยายหันมาถามด้วยความห่วงใยเกรงว่าอาการของหลานจะกำเริบ
“เปล่าครับ ไม่เป็นอะไร”เด็กชายส่ายหน้า
“เดี๋ยวหลานนั่งรออยู่ในรถก่อนนะ ยายจะไปทักทายเจ้าของคณะสักหน่อย ยายถูกใจเจ้าตัวเล็กที่เล่นเป็นตัวตลกจังเลย
หลานชอบไหม”
หญิงสูงวัยถามหลานชายหลังจากดูลิเกเสร็จก็พาหลานชายมานั่งรอในรถ
“ชอบครับ”
“เดี๋ยวยายมานะ อย่าออกไปไหนล่ะ”
“อื้อ”เด็กชายรับปาก
ด้านนอกหน้าโรงลิเก เด็กชายทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่างรถคันหรูมองเห็นร้านขายขนมแปลกตากับของเล่นที่
ไม่เคยเห็น
ใจหนึ่งก็อยากจะทำเป็นไม่สนใจ แต่อีกใจก็คิดว่าคงจะไม่มีโอกาสมาอีกแล้ว จึงตัดสินใจเปิดประตูรถแล้วเดินลงไป
เด็กชายไปหยุดยืนอยู่หน้าร้านขายขนมเบื้อง พ่อค้าละเลงแป้งเป็นแผ่นลงบนกระทะแล้วเอาน้ำตาลที่ตีจนฟูป้ายลงไปตาม
ด้วยฝอยทอง กลิ่นหวานกระทบเข้ามาในจมูกพาลให้น้ำลายสอ
น้ำย่อยที่อยู่ในกระเพาะเริ่มทำงานส่งเสียงร้องขึ้นมาทันที เด็กชายกุมท้องด้วยความหิวและอยากลองกินขนมที่มันกลิ่น
หอมหวานดูบ้าง
แต่ติดที่ว่าไม่มีเงินมาเลย ถึงจะขอผู้เป็นยายให้ซื้อให้ก็คงไม่ได้กินแน่ เพราะอาหารแต่ละอย่างจะต้องแน่ใจว่าไม่เป็น
อันตรายต่อร่างกาย ทำให้จะกินอะไรมั่วซั่วไม่ได้
“นี่นี่ หิวเหรอ อยากกินใช่ไหมล่า”ชายเสื้อแขนยาวถูกกระตุกจากทางด้านข้างให้หันไปมองเด็กชายตัวเตี้ยป้อมที่ได้เห็น
บนเวที
ท่าทางซกซนกับรอยยิ้มบนใบหน้าทำให้ใจนั้นพาลเต้นแรงอีกรอบ ชุดที่ปักเพชรลายเลื่อมนั้นดูสะดุดตา แต่ก็ไม่เท่ากับ
รอยยิ้มที่ดูจริงใจที่ส่งมาให้
“ว่าไง อยากกินอ่าดิ”เด็กชายในชุดลิเกถามหน้าทะเล้น
“อืม”เด็กชายพยักหน้า
“แล้วไม่มีตังเหรอ”ตากลมโตมองมาด้วยท่าทางสงสัย
“ไม่มี”เด็กชายส่ายหน้า
“กะแล้ว อ่ะนี่ เดี๋ยวเลี้ยงเอง อันนี้อร่อยมากเลยนะแล้วจะติดใจที่ซู๊ด”เจ้าของร่างจ้ำม่ำตัวกะเปี๊ยกทำท่าทางอร่อยทั้งที่ยัง
ไม่ทันจะกิน
ว่าแล้วก็จัดการดึงเอาเงินที่ติดพวงมาลัยที่แม่ยกคล้องให้ดึงออกมา
“ลุงๆ เอาที่ใส่เส้นเหลืองๆให้ยี่สิบหน่อยจ๊ะ”เจ้าตัวเล็กเขย่งตัวตะโกนสั่ง กลัวว่าพ่อค้าจะไม่เห็นหัวที่ยังไม่โพล่เลยออกมา
จากโต๊ะ
“กินอีกแล้วเหรอ เมื่อก่อนหน้าก็กินไป”พ่อค้าบ่นด้วยความเอ็นดู
“เปล่าจ๊ะ มณีซื้อเลี้ยงพี่คนนี้”ว่าแล้วก็ชี้ไปที่เด็กชายใส่ชุดมิดชิดที่อยู่ด้านข้าง
“แล้วไป ถ้าอิ่มแล้วไม่กินข้าวกินปลาเดี๋ยวตาสุทัตจะมาว่ากับลุงเอา”
“อ่ะนี่ กินดู อร่อย”ถึงจะบอกอย่างนั้นแต่ตัวเองก็หยิบขนมในถุงกระดาษหนังสือพิมพ์พับเป็นซองขึ้นมากินก่อนคนที่ถูก
ชวนเสียอีก
เด็กชายลิงหยิบขนมที่ดูท่าทางจะหวานลิ้นขึ้นมาชิม แป้งกรอบหอม กับครีมนุ่มฟูละมุนลิ้นกับฝอยทองรสหวานทำเอา
ใบหน้าเรียบนิ่งผุดยิ้มออกมาเล็กๆอย่างชอบใจ
“ชอบไหมอร่อยล่ะซี้”เจ้าตัวเล็กหันมาถามส่งยิ้มทะเล้น
ทั้งสองพากันมานั่งกินที่ม้านั่งไกลจากหน้าเวที กลายเป็นว่าคนที่บอกว่าเลี้ยงกินเยอะกว่าคนที่ถูกเลี้ยงไปซะแล้ว
“ขอบใจนะ”เด็กชายบอกเสียงเบา
“อื้อ ไปดูของเล่นกัน มีรถลายใหม่มาด้วย ไปกัน ไปกัน”ว่าแล้วเจ้าตัวเล็กสูงแค่ครึ่งตัวเด็กชายก็จูงมือเด็กชายไปไม่บอก
ไม่กล่าวทำให้ต้องจำใจเดินตาม
จะว่าจำใจก็ไม่ถูก ต้องบอกว่าเต็มใจต่างหาก
ร้านขายของเล่น รถไขลานกำลังถูกสาธิตโดยคนขายให้เด็กคนอื่นดู เจ้าตัวเล็กมองตาโตอย่างตื่นเต้นไม่รีรอดึงเอาแบงค์แดงๆออกมาจากพวงมาลัยแล้วยื่นให้คนขาย
“ลุงๆ เอาอันแบบนั้นสองอันเลย”
“เอาไปทำไมสองอัน เดี๋ยวแม่ก็ตีเอาหรอก”คนขายเตือน
“ไม่ตีหรอกจ๊ะ เก็บไว้อันเดียว อีกอันให้พี่คนนี้”ว่าแล้วก็ชี้ไปที่เด็กชายที่ยืนข้างๆ
“งั้นก็แล้วไป”คนขายยื่นรถไขลานให้สองคันแล้วทอนเงินให้
“เอ้านี่ ให้ เก็บไว้ดีดีนะ รุ่นนี้ออกใหม่เลย”เจ้าตัวเล็กยิ้มเผล่
“ขอบใจนะ”เด็กชายบอก
ตลอดมาทั้งชีวิตไม่เคยมีเพื่อนหรือใครเข้ามาคุยด้วยแบบนี้เลย เพราะว่าศีรษะที่ไร้เส้นผมแตกต่างจากเด็กคนอื่นๆเลยไม่มี
ใครกล้าเข้ามาใกล้เพราะเห็นว่าแปลก
มีก็แต่เด็กคนนี้ที่เข้ามาใกล้ หนำซ้ำยังทำเรื่องที่คิดว่าแปลกกับเขาอีก หัวใจดวงเล็กกระหน่ำรัวอย่างบอกไม่ถูก
รู้สึกว่าความสุขมันเอ่อล้นขึ้นมาในจิตใจ
“นี่นี่ เดี๋ยวต้องไปก่อนนะ ถ้ากลับช้าพ่อจะตี”เจ้าตัวเล็กสะกิด
“อื้ม”
“ไปแล้วนะ”เจ้าตัวเล็กโบกมือ
“เดี๋ยวสิ”
“อะไรเหรอ”
“บอกชื่อหน่อยได้ไหม ชื่ออะไร”
“ชื่อมณี มณีสุดหล่อ ไปแล้วๆ พ่อจะตีเอา”ว่าแล้วก็วิ่งหายเข้าไปหลังเวทีทิ้งให้เด็กชายจ้องมองรถสังกะสีไขลานคันเล็ก
ในมือ
===================================================================
ใครทันขนมเบื้องรุ่นถุงกระดาษที่พับมาจากหนังสือพิมพ์บ้าง ว่าแล้วก็คิดถึง หื้มมมมมม ดักแก่
เรียกละเวงไปปรับทัศนะคติด่วน เดินเรื่องช้าเนอะ เก็บรายละเอียดมากไป๊ 555 พยายามเดินเรื่องเร็วที่สุดแระ ได้แค่นี้ หุหุ