35743
ครั้งที่ 24 ปิดฉากหัวขโมย “ฉันไม่มีวันปล่อยเธอไปจากฉันเป็นครั้งที่สองเด็ดขาด”
เพล้ง!!!!!
เสียงกระจกด้านนอกแตกทำเอาผมสะดุ้งหันไปมองทางประตูห้องที่กำลังปิดสนิท
“เสียงอะไรน่ะ ผมคิดว่าคุณน่าจะไปดูก่อนดีกว่าไหม”
ผมพยายามพูดชักจูงเจ้าของใบหน้าที่กำลังโน้มลงมาใกล้
ใบหน้าของเขาดูเคร่งเล็กน้อยก่อนจะกลับมาเป็นนิ่งเฉยเหมือนไม่ใส่ใจดังเดิม
“สิ่งเดียวที่ฉันให้ความสำคัญมากที่สุดตอนนี้ก็คือเธอ”
“คุณบ้าไปแล้วรึไงครับ ลุกออกไปจากตัวผมดีกว่า ก่อนที่ผมจะเรียกให้คนอื่นช่วย”
“เธอคิดว่าแถวนี้จะมีคนผ่านมารึไง”เขายิ้มมุมปาก
จริงอย่างที่เขาพูด บ้านริมทะเลหลังนี้ของเขาค่อนข้างจะห่างไกลจากผู้คนจนแทบไม่ค่อยมีใครผ่านมาแถวนี้
“แต่ว่า”
ผมคิดคำพูดไม่ออกเมื่อถูกเขาปฏิเสธ มือข้างหนึ่งของผมถูกผ้าห่มทับเอาไว้ ส่วนอีกข้างก็ได้แต่ดันไหล่คุณวาลีเอาไว้ไม่
ให้เข้ามาใกล้ไปกว่านี้
ปัง!!
ในระหว่างที่ใบหน้าของคุณวาลีโน้มเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ ประตูห้องนอนถูกเปิดออกแล้วกระแทกกับผนังห้องอย่าง
รุนแรงเรียกให้ผมสะดุ้งแล้วหันไปมองด้วยความตกใจ
คุณวาลีเองก็เช่นกัน
ร่างสูงที่คุ้นตาปรากฏอยู่ตรงหน้าของผม แต่ไม่ใช่เขาคนที่ผมหวังจะให้มาช่วยเหมือนในทุกๆครั้ง
“ให้ตายเถอะ นายบังอาจมากนะที่มายุ่งกับคนไข้ของฉัน รู้ตัวบ้างไหม ไอ้งี่เง่าเอ้ย”คำพูดที่แฝงไปด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดใจ
พร้อมกับบุหรี่ที่ถูกสูบจนเกือบถูกโยนทิ้งลงบนพื้นแล้วขยี้ด้วยเท้า
“นายเป็นใคร เข้ามาได้ยังไง”คุณวาลีถามด้วยท่าทีตกใจก่อนที่จะพละออกจากตัวผม ทำให้ผมถอนหายออกมาด้วยความ
โล่งใจ
อย่างน้อยคุณหมอทศกัณฐ์ก็มาช่วยผมเอาไว้ได้ทันเวลา ถึงแม้ว่าผมจะไม่รู้ว่าเขามาได้ยังไงก็เถอะ
หรือว่าเขาสะกดรอยตามผมกันนะ?
“เข้ามาได้ยังน่ะเหรอ พอดีประตูมันล็อก ฉันก็เลยพังกระจกเข้ามา ถ้าไม่มีเงินซ่อมก็ตามไปเก็บเอาทีหลังแล้วกัน”
“นี่มันจะมากเกินไปแล้ว คุณจะเข้ามาในนี้ตามอำเภอใจไม่ได้ ผมมีสิทธิแจ้งตำรวจมาจับคุณข้อหาบุกรุกได้”คุณวาลีทำท่า
จะหยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะมุมห้องมา
“ก็ไม่ได้ห้ามนี่ แต่ก่อนอื่น คงจะต้องจัดการกับหัวขโมยอย่างนายก่อน ไหนจะกุหลาบสีน้ำเงิน ไหนจะคนไข้ของฉัน นายก
ล้ามากที่เข้ามายุ่งย่ามกับงานคนอื่นเขาแบบนี้”
ร่างสูงใหญ่ที่พึ่งจะเข้ามาโดยได้รับเชิญย่างก้าวเข้าไปหาคุณวาลีด้วยท่าทีคุกคามทำให้คุณวาลีก้าวถอยหลังอย่างช่วยไม่
ได้เพราะดูจากรูปร่างแล้ว หมอทศกัณฐ์ชนะขาด
“จะหนีไปไหนล่ะ มีเรื่องอยากจะถามหน่อย”ไม่ทันจบคำพูดร่างของคุณวาลีก็ถูกเหวี่ยงไปกระแทกกับผนังห้องจนผมสะดุ้ง
เป็นรอบที่เท่าไรก็จำไม่ได้แล้ว
มันแรงจนคุณวาลีนั่งคุดคู้ลงกับพื้นแล้วกุมท้องด้วยความจุก
“มันจะมากไปแล้วนะ”เขาบอกด้วยน้ำเสียงแหบที่แฝงไปด้วยความไม่พอใจ พยายามจะยันตัวเองลุกขึ้นมา
“ดะ เดี๋ยวสิครับ”ผมร้องห้ามหมอกัณฐ์ที่ดูท่าทางจะเอาเรื่อง
“เธอไม่ต้องยุ่ง นี่มันเป็นเรื่องของฉันกับไอ้หัวขโมยนี่”
แล้วคุณวาลีไปขโมยอะไรมาตอนไหนกัน
ผมหันไปมองที่คุณวาลีที่ยังนั่งอยู่ที่พื้นริมห้อง สิ่งที่ผมเห็นทำให้ผมตกใจมากกว่าเดิมเมื่อคุณวาลีมีเลือดออกมาจากริม
ฝีปาก
มันไม่ใช่เลือดที่มาจากแผลกัดปากหรือปากแตก มันเป็นลักษณะที่ออกมาจากในร่างกาย
เมื่อกี้ที่กระแทกไม่น่าจะทำให้เขาไอเป็นเลือดขนาดนั้นนี่
“คุณหมอ แต่ผมว่า”ผมห้ามเมื่อคุณหมอยังมีท่าทีว่าจะทำร้ายคุณวาลีต่อ
“บอกว่าอย่ามายุ่งยังไงล่ะ เจ้าหัวขโมยนี่มันสมควรจะโดนซะบ้าง บอกฉันมาว่าไปได้กุหลาบสีน้ำเงินพวกนี้มาจากไหน”
คุณหมอถามด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นแล้วย่อตัวเสมอกับคนที่นั่งฟุบอยู่กับพื้น
“ทำไมฉันต้องบอกนายด้วย แค่กๆ”คุณวาลีพูดพร้อมกับไอออกมาเป็นเลือดอีกรอบ
หรือว่าเขาจะป่วย งั้นแสดงว่าดอกกุหลาบสีน้ำเงินพวกนั้นเขาเก็บมันเอาไว้ใช้เองสินะ
นิ้วมือของหมอยักษ์สิบหน้าปาดเข้าที่เลือดบนมุมปากของคุณวาลีแล้วยกขึ้นมาชิมหน้าตาเฉย
“จะตายแล้วยังมาปากดีอีกนะ”
“นั่นมันก็เรื่องของฉัน”
“แต่ของที่นายมีอยู่มันไม่ใช่ของนาย ฉันจะถามอีกรอบว่านายได้มันมาจากไหน ตอบมาก่อนที่นายจะตายเร็วกว่าที่นายคิด”
“จากไหนก็ชั่ง รู้แค่ว่าไม่ได้ขโมยมาก็น่าจะพอ”
“พวกมนุษย์นี่มันพูดยากพูดเย็นจริงๆ จะบอกดีดีหรือว่าอยากกลายเป็นอาหารว่างกัน ห่ะ!!”
เสียงตะหวาดดังก้องพร้อมกับมือใหญ่กระชากคอเสื้อของคุณวาลีลุกขึ้นเข้ามาหาตัว
“แค่กๆ”คุณวาลีไอเป็นเลือดออกมาอีกรอบ มันทำให้ผมยิ่งตกใจเข้าไปอีก
“เดี๋ยวสิ ผมว่าพอก่อนดีกว่า เขาเลือดออกตั้งเยอะ ผมว่าปล่อยเขาก่อนจะดีนะครับ”ผมผลุดลุกขึ้นไปทั้งที่ยังมีผ้าห่มพันกายเอาไว้
ผมดึงรั้งมือใหญ่ที่กำคอเสื้อของคุณวาลีแน่นให้ไม่รุนแรงไปกว่านี้
กลายเป็นว่าตอนนี้ผมกำลังคั่นกลางอยู่ระหว่างคุณวาลีกับคุณหมอ
“ฉันบอกว่าอย่ามายุ่ง เธออยากให้ฉันบอกเรื่องนี้กับไอ้บ้าธารารึไง”
“มะ ไม่ใช่สักหน่อย แต่ผมไม่อยากให้คุณรุนแรงกับเขา เขาเลือดออก อีกอย่าง คุณ เอ่อ คุณเองก็เป็นหมอ ต้องเป็นคน
รักษาสิ ไม่ใช่คนทำคนอื่นเจ็บ”
ผมกล่าวเตือน พอหันไปมองหน้าคุณหมอก็ต้องขนลุกเกรียว ดวงตาสีดำสนิทของเขากำลังวาวโรจน์และที่สำคัญ มันกำลัง
เป็นสีเหลืองอำพันอย่างน่ากลัว
“ฉันต้องรู้ให้ได้ว่าเจ้าหัวขโมยนี่มันได้กุหลาบสีน้ำเงินนี่มาได้ยังไง กุหลาบพวกนั้น เป็นสมบัติของพ่อฉัน แต่เจ้าหัวขโมยก็
ไปขโมยเอามันมา ทำให้หลายตนต้องล้มตายโดยไม่มียารักษา”น้ำเสียงกราดเกรี้ยวดังก้องพร้อมกับมือที่ออกแรงกำคอเสื้อแน่น
ขึ้น
“ฉันไม่ได้เป็นคนขโมยมัน”คุณวาลีแย้งด้วยน้ำเสียงราบเรียบพลางเบือนหน้าหนี ยกมือขึ้นเช็ดเลือดที่ไหลย้อนลงมาที่มุม
ปาก
“ถ้านายไม่ได้ขโมยแล้วใครขโมย อย่ามาโกหกไปหน่อยเลย ฉันไม่โง่เหมือนพวกมนุษย์งี่เง่าหรอกน่า”
“มันเป็นของพ่อกับแม่ของฉัน เขาสองคนเจอมันเลยนำมันมาขยายพันธุ์เพื่อทำวิจัยยารักษาโรคเลือดที่ยังไม่ถูกค้น
พบ”คุณวาลีตอบด้วยสีหน้าดูจะเจ็บปวด
จริงสิ หมอทศกัณฐ์ก็เคยบอกว่ามันหายไปหลายสิบปีที่แล้ว ซึ่งคุณวาลีก็คงยังอายุไม่กี่ขวบไม่ใช่รึไง เด็กที่ไหนจะไป
ขโมยไอ้อะไรพรรค์นี้ได้
“งั้นพ่อกับแม่ของนายก็เป็นคนขโมยมันไปสินะ”คราวนี้หมอทศกัณฐ์พูดข่มเสียง เสียงขบฟันดังกรอดทำเอาผมขนลุก
เกรียว
ตาของคุณหมอสีเหลืองชัดเจนยิ่งกว่าเก่า ทำให้ผมรู้ว่าเขาค่อนข้างที่จะโกรธมาก
บรรยากาศอึมครึมเริ่มแผ่กระจาย หากว่ายักษ์ตนนี้จะอาละวาดหรือจะทำร้ายคุณวาลีขึ้นมา ผมคงจะช่วยอะไรไม่ได้
ใจหนึ่งก็คิดว่าสมควรแล้วที่คนเจ้าเล่ห์อย่างคุณวาลีจะโดนสั่งสอน แต่อีกใจก็ไม่คิดว่าเขาจะทำเรื่องทุกอย่าโดยที่ไม่มี
เหตุผล
“ทำไมพ่อแม่ของคุณวาลีถึงได้ขโมยมันมาล่ะ”ผมถามแทนคุณหมอที่กำลังโกรธจัดและพยายามจะข่มอารมณ์ตัวเอง
“เขาเอามันมาเพื่อที่จะทำยารักษาโรคที่เกี่ยวกับเลือดที่ยังไม่มีใครรู้ว่ามันคือโรคอะไร”คุณวาลีบอกด้วยน้ำเสียงเบาก่อนจะ
เบือนหน้าหนี
“อย่าบอกนะว่าโรคที่คุณกำลังเป็นอยู่”
“ฉันเป็นโรคที่ไม่มีทางรักษา ไม่มีใครรู้ว่ามันคือโรคอะไร เป็นได้ยังไง พ่อกับแม่ของฉันพยายามหาทุกวิถีทางเพื่อที่จะ
รักษาฉันให้ได้ ดอกกุหลาบสีน้ำเงินนั่นสามารถบรรเทาอาการได้ ทำให้ฉันมีชีวิตอยู่ต่อมาจนถึงทุกวันนี้ แต่ก่อนที่จะคิดค้นวิธีการ
รักษาแบบถาวร เขาสองคนก็ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต ฉันจึงต้องพึ่งดอกไม้พวกนั้นมาตลอด”
มิน่าถึงมีมันจนเต็มเรือนกระจก
“พ่อกับแม่นายก็สมควรตายแล้วล่ะ มีพวกอื่นมากมายที่ต้องตายเพราะไม่มีกุหลาบนั่นไปทำยารักษา มันเทียบไม่ได้กับชีวิต
มนุษย์โง่เง่าอย่างนาย”
คุณหมอทศกัณฐ์ตะคอก
“นั่นสินะ ฉันควรจะตายไปตั้งนานแล้ว เพราะฉัน พ่อแม่ถึงต้องตายเพราะมั่วแต่หมกมุ่นอยู่กับวิจัย”
“งั้นก็ตายไปซะเลย ดีไหมล่ะ”
ยังไม่ทันที่ผมจะตั้งตัวกับประเด็นที่เกิดขึ้น เมือที่กำคอเสื้อก็เปลี่ยนเป็นกำรอบคอของคุณวาลีแล้วบีบแน่น
ดวงตาสีเหลืองอำพันวาวโรจน์จนน่าตกใจ
“ไม่ได้นะ จะมาฆ่าใครง่ายๆได้ยังไง”ผมพยายามดึงมือคุณหมอออก
“แค่กๆ”
“ผมของร้องคุณหมอ ตอนนี้คุณจะเอาดอกไม้นั่นไปก็ได้นี่ มันมีตั้งเยอะ ใช่ไหมล่ะ อย่าให้ใครต้องตายอีกเลย คุณเป็นหมอ
คงไม่อยากจะให้ใครตายด้วยมือตัวเองใช่ไหมล่ะ”
ผมหาข้ออ้างเพื่อโน้มน้าว ก็เข้าใจอยู่ว่าคุณหมอทศกัณฐ์อาจจะโมโหเพราะมีหลายคน ไม่ใช่สิ หลายตน ต้องตายเพราะ
ไม่มีกุหลาบนั่น ด้วยความเป็นหมอจึงทำให้ความโกรธแค้นมันมากกว่าปกติ
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าชีวิตของคนจะเป็นผักเป็นปลา อีกอย่าง คุณวาลีเองก็ไม่ไดเป็นคนขโมยมา แต่เป็นพ่อแม่ของเขา
ซึ่งมันไม่เกี่ยวกัน
“นะครับ ปล่อยมือก่อนเถอะครับ ผมขอร้อง คุณวาลีเขาไม่ผิด”
“ทำไมถึงได้ช่วยมันล่ะ เจ้านี่มันต้องการอะไร นายน่าจะรู้ดีไม่ใช่รึไง”
“เอ่อ เรื่องนั้น”ผมอ้ำอึ้ง ยังไงก็ยังโกรธที่เขาทำไม่ดีเอาไว้จริงๆ ไหนจะเรื่องลูกของผม ไหนจะเรื่องวางยาและถ่ายรูปผม
ตอนหลับไป
“ผมขอให้คุณลบรูปที่ถ่ายเอาไว้ทิ้งได้ไหม แล้วก็ยกเลิกสัญญาที่เซ็นไปด้วย แล้วผมจะถือว่าเรื่องพวกนี้ไม่เคยเกิดขึ้น”ผม
บอก
“ต่อให้ทำยังไง ฉันคงจะไม่ได้นายมาอยู่แล้วนี่ ของพวกนั้นคงไม่มีประโยชน์อีกแล้วล่ะ”เขาว่า
มือที่กำรอบคอค่อยๆคลายออกแล้วปล่อยลงจนคุณวาลีทรุดลงไปกับพื้นอีกครั้งแล้วเช็ดเลือดที่เลอะอยู่มุมปาก
คราวนี้เรื่องทุกอย่างจะได้จบลงสักที ผมถอนหายใจอย่างโล่งใจ
“ผมขอถามอย่างหนึ่งได้ไหม ทำไมคุณถึงต้องทำแบบนี้กับผมด้วย เอ่อ ผมหมายถึง ทำไมจะต้องเจาะจงว่าเป็นผม”
“นั่นสินะ เธอคงจะจำไม่ได้ ว่าเราเคยเจอกันมาก่อน”
แล้วเรื่องราวทั้งหมดก็ถูกถ่ายทอดออกจากปากของคุณวาลี มันทำให้ผมยิ่งงงเข้าผมเคยเจอเขาตอนเด็กๆตอนไหน ทำไม
ผมถึงจำอะไรไม่ได้เลย
อาจเป็นเพราะผมเซ่อซ่าแบบนี้ตั้งแต่เด็กล่ะมั้ง เขาอาจจะต้องกรผมเพียงเพราะผมเป็นคนที่ทำดีกับเขาเมื่อตอนนั้น
แต่มันเป็นไปไม่ได้ ถึงแม้จะรู้ถึงเหตุผลของการกระทำของเขา แต่ผมเองไม่ชอบวิธีการที่เขาใช้บังคับผม
ผมเริ่มปักใจเชื่อว่าคุณวาลีเองก็เป็นหนึ่งในเมียของผมในชาติที่แล้วเหมือนๆกับพี่อเลน ที่ชาตินี้ผมจะต้องชดใช้ให้
“ในเมื่อเธอรู้ทั้งหมดแล้ว เธอรู้สึกโกรธกับสิ่งที่ฉันทำไหมล่ะ”คุณวาละแสยะยิ้ม
“ครับผมโกรธ”ผมตอบ ไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย ผมโกรธที่เขาใช้วิธีสกปรก ใช้เล่ห์เหลี่ยมกับผม แต่
“ก็สมควรแล้วล่ะ”
“แต่ผมก็หายแล้วล่ะ ผมมันเป็นพวกขี้ลืม เดี๋ยวพอนอนหลับผมก็ลืมแล้ว ขอแค่คุณไม่ทำแบบนี้อีก แล้วก็ เอ่อ ไม่มายุ่งกับ
ลูกของผม”ผมว่าพร้อมกับลูกท้องตัวเองผ่านผ้าห่มที่พันตัวอยู่
“นั่นสินะ ยังไงเธอก็ยังเป็นเธอ ไม่เคยจำอะไรได้”เหมือนจะโดนว่าเล็กๆยังไงก็ไม่รู้
จนบัดนี้ผมก็ยังมองหาเสื้อผ้าตัวเองไม่เจอ และที่สำคัญ ผมไม่รู้จะบอกเรื่องพวกนี้กับพี่ธารายังไงดี
ถึงแม้ว่าเรื่องราวทั้งหมดมันจะจบลงไปด้วยดีแล้วก็เถอะ
ในระหว่างที่ผมกำลังมองหาเสื้อผ้าของตัวเอง คุณหมอที่ยืนสังเกตการณ์อยู่ไม่ไกลก็เดินเข้าไปหาคุณวาลีแล้วย่อตัวลงไป
หาอีกครั้ง
“จากนี้ไป ดอกไม้พวกนั้นจะเป็นของฉันทั้งหมด”
“ตามสบาย ในเมื่อมันไม่ใช่ของฉันตั้งแต่แรกอยู่แล้ว”
ถ้าหมอทศกัณฐ์เอาดอกไม้พวกนั้นไปหมด แล้วคุณวาลีจะเอาอะไรใช้ล่ะ ถ้าไม่มีดอกไม้พวกนี้ คุณวาลีจะแย่เอา
“เดี๋ยวสิ มันจะดี อะ”ยังไม่ทันจะแย้งได้จบคำ
มือของหมอทศกัณฐ์ก็ทาบลงบนหน้าผากของคุณวาลี
“หลับไปซะ”เสียงกระซิบดังแผ่วเบา ไม่นานคุณวาลีก็ฟุบนอนลงไปบนพื้นห้องทันที
“คุณทะ ทำอะไรน่ะ”ผมตาโต ร้องถามด้วยความไม่เข้าใจ เอาอีกแล้ว ไอ้พวกยักษ์ที่ชอบใช้เวทมนต์เป็นพ่อมดไปได้
“เธออย่าพูดมากน่ารำคาญ ไปหาเสื้อผ้าใส่ได้แล้ว โรคแค่นี้ พวกมนุษย์นี่โง่จริงๆ”หมอทศกัณฐ์ส่ายหน้าอย่าเหนื่อยหน่าย
แต่นั่นก็ทำให้ผมยิ้มออกมา เพราะมันหมายถึงเขาจะช่วยรักษาคุณวาลีให้หายจากโรคร้ายสักที
“เมื่อกี้ยังใจร้ายเป็นยักษ์เป็นมารอยู่เลย”ผมพึมพำแต่ก็เดินไปหาเสื้อผ้าใส่
“แต่อย่างน้อยเจ้านี่ก็ต้องโดนลงโทษข้อหาที่มายุ่งกับคนไข้ของฉันอยู่ดี ต้องดัดนิสัยขี้ขโมยที่ติดมาจากพ่อแม่ให้หายก่อน
ที่จะปล่อยไปซะก่อน”
พูดอย่างกับคุณวาลีเป็นสัตว์ไปได้ แล้วอีกอย่าง ลงโทษนี่มันหมายความว่ายังไง แล้วใครเป็นคนไข้
ยังไงเรื่องที่ผมไม่เข้าใจมันก็มีเยอะกว่าเรื่องที่ผมเข้าใจอยู่ดี
==================================================================
“เอ่อ พี่ ธารา ผม คือผม มีเรื่องจะบอก”ผมกระแซะมานั่งเบียดพี่ธาราที่เพิ่งจะกลับมาระหว่างที่เรากำลังนั่งอยู่ในห้องนอน
ของพี่ธาราเพราะคุณหมอดันเอาผมมาทิ้งไว้ที่นี่ก่อนจะหายไปไหนพร้อมกับร่างของคุณวาลีที่หลับไม่รู้เรื่อง
ถึงจะอยากแย้งแต่ก็คงแย้งไม่ได้เพราะคิดว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัวที่ผมไม่เข้าใจของพวกเขา
ส่วนพี่อเลนก็ไปหาเพื่อนที่เคยเรียนด้วยกันแก้เบื่อ เพราะว่าผมไม่ว่างพาไปข้างนอก แต่ผมคิดว่าพี่อเลนดูแปลกๆ เหมือน
ไม่อยากจะอยู่ที่นี่เวลาที่มีหมอทศกัณฐ์อยู่ด้วย แต่ผมก็ไม่กล้าถาม
“มีอะไรจะบอกข้าก็ว่ามา”พี่ธาราถามเสียงแข็งพลางอ่านนิตยสารอะไรสักอย่าง
“คือว่า”ผมอ้ำอึ้ง
“มีอะไรก็ว่ามา อย่าชักช้า ก่อนที่ข้าจะอดทนไม่ไหว”
ยังไม่ทันที่ผมจะคิดหาคำแก้ตัว ร่างก็ถูกกดลงบนเตียงนอนหลังใหญ่ให้นอนราบลงไปพร้อมกับพี่ธาราคร่อมตามลงมา
ผมหน้าร้อนวูบ หลบตาหนีดวงตาสีดำสนิทที่จ้องมาอย่างตกใจ เอาอีกแล้ว พี่ธาราในโหมดถึงเนื้อถึงตัวมาอีกแล้ว
“ผมจะบอกว่า อื้อ”
ในที่สุดผมก็แก้ตัวไม่ทันริมฝีปากที่ทาบลงมาอยู่ดี
ไม่กี่คืนที่ผ่านมาผมยังจำติดตาไม่หาย ตอนที่พี่ธาราจับมือให้ผมไปจับเจ้าธารายักษ์แล้วทำให้ธารายักษ์พ่นลาวาออกมา
ไหนจะยังโดนพี่ธาราแกล้งมณีน้อยอีก
แล้วคราวนี้จะอะไรอีก ยังบ่ายๆอยู่เลย แล้วที่สำคัญ วันนี้ไม่ใช่วันพระจันทร์เต็มดวงสักหน่อย พวกยักษ์นี่ไม่ได้หื่นแค่วัน
เพ็ญรึไง
ลิ้นร้อนๆดุนเข้ามาก่อนที่จะกวาดต้อนเอาลิ้นผมไปดูดดึงจนอ่อนแรง
เสื้อเชิ้ตตัวบางถูกเลิกขึ้น ผมสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อมือใหญ่ร้อนลูบไปมาบนท้องน้อยทำเอาเสียววาบ
เสียงจูบดังเข้ามาในโสตประสาทพร้อมกับความวาบหวามในท้องน้อยที่เกิดขึ้น
ความแข็งขืนร้อนผ่าวเสียดสีเข้าที่ต้นขาของผมทำเอาใจเต้นแรงแทบไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
นี่ขนาดท้องพี่ธารายังหื่นขนาดนี้ แล้วถ้าผมไม่ได้ท้องป่านนี้คงโดนจับกลืนกินแบบวันนั้นไปอีกหลายรอบ ไม่อยากจะคิด
เลยว่าชีวิตผมจะรอดจากพี่ธารายักษ์หื่นไปอีกนานแค่ไหน
“อะ อือ ดะ เดี๋ยวสิ”ผมเบือนหน้าหนีดึงมือที่เลื่อนต่ำมุดหายเข้าไปในกางเกงเอาไว้ไม่ให้ซนไปมากกว่านี้
ร่างกายมันรู้สึกร้อนผ่าว วูบวาบไปหมดโดยเฉพาะมณีน้อยที่ถูกกุมเอาไว้ในมือยักษ์เจ้าเล่ห์
“อย่าขัดใจข้า หากเจ้าไม่อยากถูกข้ากลั่นแกล้งไปมากกว่านี้”
คำพูดของพี่ธาราทำเอาผมกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ แล้วปล่อยมือออกจากมือที่ธาราให้มันจับมณีน้อยได้คล่อง
ผมสะดุ้งอีกครั้งเมื่อมือนั้นกำลังเค้นคลึงมณีน้อยใจมา จูบร้อนๆเฝ้าวนจูบซับบนหน้าผากและบนใบหน้าของผม
แต่ดวงตาคมกริบนั้นก็ยังไม่คลายแววตาดุดันอยู่ดี ตั้งแต่วันนั้นแล้วที่ผมยังไม่รู้เลยว่าพี่ธาราโกรธอะไร
จะถามก็กลัวโกรธหนักเข้าไปใหญ่ อีกทั้งเรื่องที่ผมยังไม่ได้บอกอีก
แต่ทว่า
โครกกกกกกกกกกก
เสียงร้องดังกังวานพร้อมกับแรงสั่นสะเทือนทีท้องหลายริกเตอร์เรียกให้พี่ธาราเงยหน้าขึ้นมองผมอยากขัดใจ
“หะ หิว”ผมยิ้มแห้งๆส่งไปที่พี่ธารา
“รออีกเดี๋ยว”พี่ธาราตอบห้วน พยายามจะคลึงมณีน้อยมากกว่าเดิม
“ตะ อะ แต่ลูกๆหิวแล้วนะครับ”ผมอ้าง แต่ก็จริง ผมไม่ได้โกหกเลย
ลูกๆในท้องเนี่ยตัวดี กินเก่งจนผมเองยังตกใจ
พออ้างถึงลูกพี่ธาราถึงกับชักสีหน้าแล้วยันตัวออก พอพี่ธาราลุกออกไปผมถึงกับโล่งใจ ที่มณีน้อยยังคงหลับสนิทอยู่ดี
ครั้งนี้ต้องยกความดีความชอบให้ลูกๆจอมกินเก่งที่ช่วยเอาไว้
“ลูกเจ้านี่ช่างดื้อเหมือนเจ้าไม่มีผิด”
“เกี่ยวอะไรกับผม ถ้าดื้อเหมือนผมก็กินเก่งเหมือนพี่นั่นแหละ”ผมเถียงแล้วลุกขึ้นจัดเสื้อผ้าเตรียมลงไปหาอะไรกิน
ในระหว่างที่กำลังจะเดินออกไปจากห้องเพื่อลงไปข้างล่าง ตัวผมก็ถูกพี่ธาราที่เดินตามมาดึงเข้าไปสวมกอดจากทางด้าน
หลัง
“มีอะไรรึเปล่า จู่ๆมากอดผมทำไม”ผมถามอย่างไม่เข้าใจ เพราะปกติแล้วพี่ธาราไม่เคยเป็นแบบนี้ แล้วนี่มันก็ผ่านมาหลาย
วันแล้ว
“ข้ารักเจ้า”
คำพูดที่แผ่วเบาหลุดออกมาจากปากยักษ์ตัวโตทำเอาผมใจสั่น น้อยครั้งที่พี่ธาราจะบอกรัก แต่ผมก็ยังต้องการที่จะฟังมัน
บ่อยๆอยู่ดี
“บอกข้าสิว่าเจ้าก็รักข้า”
อย่างที่ผมคิดจริงๆว่ามันแปลกๆ เพราะว่าพี่ธาราไม่เคยถามอะไรที่เหมือนไม่มั่นใจแบบนี้มาก่อนหลังจากที่เราคุยกันรู้เรื่อง
ในคืนทำลูก?
“ผม เอ่อ ทำไมจู่ๆถึงถามล่ะ”
“บอกข้ามาสิว่าเจ้ารักข้าหรือไม่”
“ผม รักพี่”ผมตอบ
ไอร้อนที่แผ่มาจากอ้อมกอดทางด้านหลังทำให้ผมรู้สึกอบอุ่น แต่ในความอบอุ่นนั้นผมคงจะคิดไปเองว่ารู้สึกถึงความไม่ไว้
วางใจอยู่ข้างใน
“ข้ากลัวเหลือเกิน กลัวว่าใครจะมาแย่งเอาเจ้าไปจากข้า….อีกครั้ง”
หัวใจของผมกระตุกวูบ อีกครั้งที่เขาหมายถึงมันทำให้ผมคิดถึงเรื่องวันนี้ หากคุณหมอไม่เข้ามาช่วย ในระหว่างที่พี่ธาราไม่
อยู่ ผมคงจะถูกแย่งไปจริงๆถึงแม้ว่าผมจะไม่เต็มใจก็ตาม
“ผมอยู่กับพี่ตลอด พี่อย่าคิดมากดิ ลูกไม่ชอบ”ถึงจะกระดากปาก แต่ผมก็เริ่มรู้สึกว่าการเอาลูกมาอ้างก็เห็นผลดีไม่น้อย
“นั่นสินะ ลูกๆที่ดื้อเหมือนเจ้าคงจะไม่ชอบที่ข้ากอดเจ้า จูบเจ้าแบบนี้ เรื่องที่เจ้าปิดบังข้าครั้งนี้ข้าจะยกโทษให้”
ว่าแล้วพี่ธาราก็ระดมจูบระดมหอมอีกครั้ง ว่าแต่เรื่องทั้งหมดเขารู้อยู่แล้วสินะ แล้วรู้ได้ยังไง
“ดะ เดี๋ยว เมื่อกี้ยัง อื้อ หิว”ผมพยายามปัดป้องมือและปากปลาหมึกที่ลวนลามไม่หยุดหย่อน
เมื่อกี้ยังทำซึมทำโกรธอยู่เลย แล้วทำไมจู่ๆถึงกลับมาเป็นเหมือนเดิมล่ะ
หรือเป็นเพราะว่าผมบอกรักกันนะ?
จะยังไงก็แล้วแต่ หวังว่าคงจะไม่มีใครโผล่มาทำให้ผมวุ่นวายและทำให้ผมกับพี่ธาราและลูกๆเครียดอีก
ตอนนี้ผมควรจะเอาความสนใจมาลงที่ลูกยักษ์ที่อยู่ในท้องผมมากกว่า ไม่รู้ว่าจะเริ่มบอกพ่อกับแม่ยังไงดี
===================================================================
เปลือกตาที่ปิดสนิทกระพริบตาถี่ๆด้วยความยากลำบาก ความรู้สึกหนักอึ้งทำให้รู้สึกแปลกใจจนต้องมองไปรอบๆเมื่อลืมตา
ขึ้นมาได้
สถานที่แปลกตาและไม่คุ้นเคยทำให้เขาแปลกใจไม่น้อย
เขาไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าหลับไปตอนไหน อาจจะไม่ได้หลับไปเองซะด้วยซ้ำ
การที่เขาศึกษาหาข้อมูลมาโดยตลอดทำให้รู้ว่าโลกนี้ไม่ได้มีแค่สิ่งมีชีวิตธรรมดาตามที่มนุษย์เข้าใจเท่านั้น
พวกยักษ์ พวกเงือกหรือสิ่งมีชีวิตในตำนาน วรรณคดี หรือพงศาวดารยังคงมีอยู่
แสงที่ส่องเข้ามาผ่านทางระเบียงห้องทำให้ต้องหรี่ตาลงเพื่อปรับสายตารับกับแสง
แต่แล้วดวงตาคมนิ่งก็เบิกกว้างเมื่อสีของน้ำทะเลที่เคยเห็นนั้นไม่เหมือนเก่า มันมีสีที่เข้มและใสกว่าเป็นหลายเท่า
ไม่เหมือนกับอยู่บนฝั่งทะเลทั่วไป ความรอบรู้ทำให้รู้ได้ทันทีว่าที่นี่ไม่ใช่แผ่นดิน หากแต่เป็นเกาะ
แล้วเขาอยู่ที่ไหนกัน
“ตื่นแล้วรึ เจ้าหลับไปนานมาก ทศกัณฐ์คงจะเคืองเจ้าอยู่ไม่น้อย”
เสียงทักทายจากยักษ์สูงวัยแต่รูปกายยังคงเยาว์เรียกให้วาลีหันไปมองก่อนจะขมวดคิ้ว
“ที่นี่ที่ไหน”
“ข้าไม่จำเป็นต้องตอบเจ้า และข้าคงจะไม่ต้องบอกเจ้าว่าข้าคือใครสินะ”
“ผมต้องการจะกลับบ้าน”เขาบอกพร้อมกับมองสำรวจคนที่ไม่น่าจะเป็นเหมือนคนทั่วไปเดินเข้ามาในตัวห้อง
ใบหน้าคมคร้ามในแบบไทยสมัยก่อนกับดวงตาสีดำสนิทจ้องมองมาที่เขา คนตรงหน้าดูท่าทางอายุประมาณสามสิบปลายๆ
หรือไม่น่าจะเกินนั้น แต่เขาก็ไม่สามารถรู้ได้ว่าอายุที่แท้จริงแล้วของคนคนนี้จะอายุเท่าไร
“เจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปจากที่นี่หากยังไม่ถึงเวลา ตื่นขึ้นมาก็ดีแล้ว ที่นี่ไม่มีคนคอยดูแล ต่อจากนี้ไป เจ้าจะต้อง
เป็นคนดูแลงานบ้านที่นี่ทั้งหมด”
วสินกล่าวด้วยท่าทีไม่ได้ใส่ใจก่อนจะเดินออกไปทิ้งให้วาลีขมวดคิ้วมุ่นกับคำสั่งที่เขาเองก็ยังไม่เข้าใจดีว่าคืออะไร
ยังไงซะนิสัยของหัวขโมยจะต้องถูกสั่งสอนให้เข็ด จะได้ไม่ไปขโมยของรักของคนอื่นเหมือนที่พ่อแม่ที่เคยทำเอาไว้
การมีตัวตนที่ฝืนโชคชะตาในครั้งนี้ ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการเกิดครึ่งยักษ์ครึ่งมนุษย์
เขาจะปล่อยให้มันเกิดเรื่องผิดพลาดขึ้นไม่ได้
===================================================================
===================================================================
รู้ตัวอีกทีก็เผลอปล่อยให้วาลีอยู่มาหลายตอนเกิน ยืดดดดด