47794
ครั้งสุดท้าย
เคยรู้สึกกันบ้างรึเปล่า รู้สึกเหมือนกับว่ามีใครอยู่ข้างกายตลอดเวลาทั้งที่เขาคนนั้นไม่ไม่มีตัวตนอยู่ข้างกายอีกแล้ว
ชีวิตของผมมันเป็นอย่างนั้น ผ่านมาสามปีแล้วที่ภายใต้จิตสำนึกของผมยังคงมีพี่ธาราอยู่
ความทรงจำในช่วงเวลาไม่นานที่เราเข้าใจกันและมีกันแบบคนรักได้ถูกกักเก็บเอาไว้
ทุกครั้งเวลาที่มองคลื่นทะเลถูกซัดเข้ามาที่ฝั่ง ผมจะต้องนึกถึงเขา นึกถึงวันแรกที่เราพบกัน
มันเป็นเรื่องตลกที่ครั้งแรกที่เราเจอกันผมกลับคิดว่าเขาเป็นโจรและไม่เชื่อในสิ่งที่เขาพูดกับผมเลย
มันก็ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว ใครล่ะจะไปเชื่อเรื่องราวพวกนั้นได้
“แม่มณี พี่สินแกล้งน้องมีนาอีกแย้ว”เสียงเจื้อยแจ้วของสุดธาราเรียกมาแต่ไกล
ร่างจ้ำม่ำของเด็กวัยสามขวบวิ่งย้ำบนผืนทรายมาเกาะขาผมให้ผมก้มลงไปมองแล้วชี้ไปทางพี่ชายฝาแฝดที่กำลังจับแขน
เด็กตัวเล็กผิวขาวซีดอีกคน
มีนาหรือสุวรรณสินธุ์ลูกชายของพี่วรรณกับชลาสินธุ์ ผิวขาวซีดกับตัวที่เล็กกว่าเด็กวัยเดียวกันเกิดจากการฟักตัวออกจากไข่
ช้ากว้ากำหนดถึงเจ็ดวัน
ผมเดินไปยังกองทรายกองใหญ่เต็มไปด้วยของเล่นวางเกลื่อนกลาดอยู่รอบๆ
“ว่าไงครับสินสมุทร แกล้งน้องอีกแล้วใช่ไหม”
“ไม่ใช่สักหน่อยสุดขี้ฟ้อง สินไม่ได้แกล้ง มีนาไม่ให้หอมแก้ม”สินสมุทรแก้ตัว
ตามเคย เวลาที่จับมารวมอยู่ด้วยกันสามคน ไม่สิ จะเรียนว่าตนก็ไม่ใช่ คนก็ไม่เชิง ลูกครึ่งด้วยกันทั้งนั้น
ครึ่งคนครึ่งยักษ์กับครึ่งคนครึ่งปลา เวลาอยู่ด้วยกันทีไร ไม่ใช่แค่สินสมุทรคนพี่จะเป็นฝ่ายแกล้งมีนาคนเดียว
สุดธาราเองก็ใช่ย่อย บางครั้งก็ร่วมกันแกล้งบางครั้งก็แย่งกันแกล้ง แต่มีนาเองก็ไม่ได้ร้องไห้โยเยหรืออะไร กลับยิ้มรับทั้ง
สองคนราวกับว่าชอบใจซะงั้น
ถ้าตัดเรื่องแกล้งไปสินสมุทรกับสุดสาครนับเป็นพี่ที่ดีเลยทีเดียว คอยช่วยเหลือและปกป้องตลอดทั้งที่ตัวแค่นี้
“แล้วทำไมต้องหอมแก้มน้องล่ะ”ผมถามพลางนั่งลงบนผืนทรายข้างๆเด็กๆ
“แก้มมีนานุ่ม”
“งั้นเปลี่ยนจากแก้มมีนาเป็นหอมแก้มแม่มณีได้ไหมล่ะ”ผมยิ้ม
เจ้าตัวแสบทั้งสองหันไปมองหน้ากันทำท่าคิดสักพักก่อนพนักหน้า
ปีนขึ้นมาบนตักผมแล้วหอมแก้มกันคนละข้างฟอดใหญ่
“แก้มแม่มณีหอมจัง”สินสมุทรชม
“แก้มแม่มณีหอมที่สุด”สุดธาราเองก็ไม่ยอมแพ้
“งั้นห้ามแกล้งมีนาอีกนะครับ เล่นกันดีดี”ผมต่อรอง
“ฮับ/ฮับ”เจ้าสองตัวพยักหน้า
เดินไปนั่งขนาบข้างลูกเงือกตัวเล็กผิวซีดแล้วเล่นก่อกองทรายตามเดิม
ถึงแม้จะมีดื้อไปบ้าง แต่ก็ยังคุยง่ายตกลงกันง่ายจึงทำให้ไม่เหนื่อยนักกับการที่ต้องเลี้ยงลูกสองคนไปพร้อมๆกัน
ตอนนี้ผมเปิดคลาสเรียนเล็กๆสอนศิลปะนาฏศิลป์อยู่ที่บ้านหลังจากเรียนจบ การมีลูกทำให้ผมต้องติดอยู่กับบ้านไปไหนไม่
ได้ไกลเลย
ผมเริ่มเรียนรู้อะไรหลายๆอย่างจากพ่อเพื่อรับช่วงต่อสืบสารสิ่งที่บรรพบุรุษสืบทอดต่อกันมา
แค่ช่วงกลางวันเท่านั้นที่ผมจะอยู่ที่คลาสสอนกับโรงฝึกลิเก แต่พอตกเย็นผมก็พาเด็กๆกลับไปที่บ้านของพี่ธารา บ้านที่
หลงเหลือเพียงแค่ความทรงจำ
จนถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่หยุดคิดถึงพี่ธารา และไม่มีวันที่จะเลิกล้มความตั้งใจที่จะรอ รอว่าสักวันพี่ธาราจะกลับมา
“มณีลูก ทำไมไปนั่งบนทรายอย่างนั้นล่ะ”เสียงแม่เรียกมาจากส่วนที่เอาไว้นอนอาบแดด
จริงๆแล้ววันนี้จะเรียกว่าเป็นวันพักผ่อนของครอบครัวก็ได้ ทุกคนอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา
พ่อแม่ พี่วรรณ ชลาสินธุ์ และเด็กๆ ที่ขาดไม่ได้เลยคนที่เป็นเหมือนส่วนหนึ่งของครอบครัวก็คือหมอทศ คนที่คอยดูและสิน
สมุทรและสุดธาราเรื่อยมา
ทุกคนมารวมอยู่ที่รีสอร์ทเปิดใหม่ซึ่งเจ้าของเป็นคนรู้จักของพ่ออีกทีจึงได้สิทธิมาพักฟรีในวันเปิดตัว
“มาดูเด็กๆน่ะแม่”ผมตอบกลับแล้วลุกขึ้นปัดทรายเดินไปยังวงปิกนิกไม่ไกลจากกองทราย
“ไปซื้อน้ำแข็งให้แม่หน่อยสิ อากาศร้อนๆแบบนี้ เผลอแปบเดียวหมดอีกแล้ว”แม่ชี้ไปยังร้านสะดวกซื้อที่อยู่อีกฟากของ
ถนน
ส่วนที่ติดทะเลของรีสอร์ทค่อนข้างจะอยู่ใกล้กับหาดที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวทำให้คนค่อนข้างเยอะ
ผมพยักหน้ารับแล้วเดินออกมา
โชคไม่ค่อยดีที่วันนี้เป็นวันหยุดนักท่องเที่ยวจึงค่อนข้างเยอะ ทำให้มีบ้างที่ต้องเดินเบียดเสียดกัน
ผมรอสัญญาณไฟคนข้ามถนน มองไปยังข้างหน้ามองดูผู้คนเดินผ่านไปมาเรื่อยๆระหว่างรอสัญญาณไฟ
ผมเริ่มอยากรู้แล้วว่า ร้อยคนพันคนที่เดินผ่านหน้าผมไป จะมีใครพบเจอชะตาชีวิตแบบผมบ้าง
พบเจอคนที่รักจากชาติที่แล้ว ที่ไม่ใช่มนุษย์ รักกัน มีลูกด้วยกัน แล้วก็จากกันไปในที่สุด
เรื่องราวมันค่อนข้างจะบ้ามาก หากเล่าให้ใครฟังคงไม่มีใครเชื่อ
สัญญาณไฟสีเขียวปรากฏ ผมเดินข้ามถนนไปพร้อมๆกับคนที่ไม่รู้จักอีกหลายสิบคน
ผมจ้องมองไปยังเบื้องหน้า อย่างไม่มีจุดหมาย ไม่สนใจสิ่งใดที่อยู่รอบตัว
หากแต่สายตาของผมก็ไปสะดุดกับแผ่นหลังที่คุ้นเคย แผ่นหลังกว้างที่เคยซบ
ผมชะงัก กระพริบตาเพื่อเรียกสติ บางทีมันอาจจะเป็นภาพลวงตา
แต่เปล่าเลย แผ่นหลังนั้นยังคงเคลื่อนไปเรื่อยๆท่ามกลางผู้คนนับร้อย
มันเป็นเหมือนแรงดึงดูดและแรงผลักดันจากความหวังอันเล็กน้อย เรือนผมสีดำขลับที่เคยยาวเคลียต้นคอ ผิดกับคนที่ผม
เดินตาม ผมของเขายาวเลยไหล่จนเกือบถึงกลางหลัง
ผมเดินตามมาจนถึงแหล่งขายของฝากที่คนค่อนข้างแออัด พยายามชะเง้อมองกลัวว่าเขาจะคลาดสายตา ระยะห่างของผม
กับใครคนนั้นห่างกันอยู่หลายสิบก้าว
ผมเดินเบียดเสียดผ่านผู้คนมาเรื่อยๆ เข้าลึกมาในแหล่งรวมของฝาก คนเริ่มซาลง
ในระหว่างนั้นเอง ตอนที่ลมพัด ผมของเขาลู่ไปตามแรงลมเผยให้เห็นเสี้ยวหน้ากับดวงตาที่คุ้นเคย
หัวใจของผมราวกับถูกกระตุ้นด้วยแรงที่มองไม่เห็น ร่างกายของผมแทบจะชาดิกไม่มีแรงยกขาให้ก้าวออกไป
พี่ธารา!!
ผมเฝ้าเรียกชื่อนี้อยู่ในใจซ้ำไปซ้ำมา
เร่งฝีเท้าเดินตามมาจนสุดพื้นที่ มีเพียงซอยเล็กๆที่ค่อนข้างเงียบต่างจากเมื่อครู่ลิบลับอยู่เบื้องหน้า
ดวงตาของผมร้อนผ่าวราวกับว่าน้ำที่คลอเคลียอยู่นั้นกำลังจะเอ่อลงมาเต็มทน
ผมเดินตามเข้ามาในซอย
ทว่ากลับหายไปแล้ว มีเพียงความว่างเปล่า ทางตันและก็ตรอกเล็กๆแคบๆ
ผมพยายามมองหาทางอื่น ทาที่จะไปต่อได้ แต่กลับไม่มี
ในเมื่อมาถึงขนาดนี้แล้ว สิ่งที่ผมเห็นมันไม่ผิดแน่ ผมไม่มีลืมใบหน้าของคนที่ผมรักได้แน่นอน ผมเชื่ออย่างนั้น
ผมเดินเข้ามาในตรอกเล็กๆอย่างระมัดระวัง
ค่อนข้างที่จะกังวลว่าจะจำทางกลับไปที่หาดไม่ได้ อีกทั้งโทรศัพท์มือถือก็ไม่ได้หยิบติดมือมา
ในตรอกแคบๆมันเริ่มที่จะมีแสงสว่างผ่านเข้ามาน้อยลงเมื่อผมเดินเข้ามาลึกขึ้น
ข้างในนี้เงียบงันและอับชื้นต่างจากทางเมื่อครู่ที่เดินเข้ามา
แล้วความหวังที่ผมตั้งเอาไว้มันก็เหมือนกับพังทลายลง ทางเบื้องหน้ากลับเป็นทางตันอีกครั้ง ไม่มีแม้แต่ประตูทางเข้าหรือ
อะไรเลย มันเป็นเพียงแค่ตรอกแคบๆที่เกิดจากการสร้างตึกมาปิดกั้นแค่นั้น
ผมถอนหายใจ ผมคงจะตาฝาดไปจริงๆ มันอาจจะเกิดจากภาพหลอนหรือภาพที่มาจากจิตใต้สำนึก
ผมคงคิดไปเอง มันคงเป็นไปไม่ได้ที่คนคนหนึ่งจะหายไปดื้อๆ ถ้าไม่ใช่ภาพลวงตา
ผมหันหลังเตรียมจะเดินกลับ
“กล้ามากนะ ที่ตามฉันมา”
แว่วเสียงทุ้มต่ำกระซิบข้างหู
น้ำเสียงที่คุ้นเคยทำให้ผมสะดุ้งเฮือก
ลมหายใจที่เป่ารดหูจากทางด้านหลังทำให้ผมรีบหันกลับไปมอง
แต่กลับไม่มี มีเพียงแต่ความว่างเปล่าเท่านั้นที่อยู่เบื้องหน้า
หรือผมจะหูฟาดไป เป็นเพราะความคาดหวังหรือเพราะอะไรกันแน่
ทำไมชีวิตของผมมันถึงได้น่าตลกขนาดนี้
“ฟู่”
เสียงลมหายใจรดหูจากทางด้านหลังอีกครั้ง
ไม่ผิดแน่ ผมรีบหันกลับมาอีกที
แต่คราวนี้ร่างของผมลอยหวือไปปะทะกับผนังตึก มันค่อนข้างจะรวดเร็วและรุนแรงมากจนผมต้องหลับตา
แผ่นหลังของผมแนบชิดกับผนังตึกสูง แสงสว่างอันน้อยนิดที่ส่องเขามาทางมุมตึกทำให้ผมมึนงง
ผมถูกดันด้วยแรงที่มากจนแทบจะรู้สึกว่าถูกบีบอัดด้วยแรงที่มองไม่เห็น
“อะ อื้อ”
ยังไม่ทันที่จะพูดอะไร ริมฝีปากก็ถูกปิดลงมาอย่างหยาบโลน มันต่างจากทุกทีที่ผมเคยเจอ
ผมหลับตาแน่น ร่างกายราวกับถูกตรึงเอาไว้ เรียวลิ้นชื้นถูกหยอกเย้า ตวัดให้คล้อยตาม
หากแต่สัมผัสที่ต่างไปจากทุกทีทำให้ผมปฏิเสธ
ผมลืมตาขึ้นมองไปยังเบื้องหน้า
เสี้ยวหน้าที่คุ้นเคยกับดวงตาสีเขียวมรกตทำให้ผมใจเต้นแรงอีกครั้ง
พี่ธารา!!
เป็นพี่ธาราจริงๆ
ลิ้นร้อนชื้นสอดเข้ามาตวัดรัด ลึกขึ้นและเร่าร้อนขึ้น
เพียงแค่สบตาคู่นั้น เรี่ยวแรงที่มีของผมก็แทบจะเหือดหาย ผมยกมือขึ้นคล้องคอของพี่ธาราอย่างดีใจ น้ำตาที่กักเก็บเอาไว้
เอ่อล้นลงมาอย่างห้ามไม่อยู่
ทว่าดวงตาสีเขียวเข้มมองมาอย่างเจ้าเล่ห์ พี่ธาราถอนจูบออกไปทำให้ผมต้องหอบหายใจเอาอากาศเข้าปอด
“ฮึก พี่ธารา”ผมเรียกเสียงแผ่ว
หากแต่เรียวปากของเขายกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ มันต่างจากทุกที ทั้งดวงตาที่ส่งผ่านมา
“ดูท่านายจะรู้จักฉันดี”
คำพูดของเขาที่พูดออกมา ทำให้ผมได้รู้ว่า
เขาไม่ใช่พี่ธาราคนที่ผมรู้จัก!!
จบ การชดใช้หนี้ครั้งสุดท้าย ขอบคุณที่สนับสนุนเรื่อยมาค่ะ
เจอกันอีกทีในภาคสอง ทวงรัก….นายยักษ์จอมหื่น นะคะ
=================================================================
คือมันเหมือนแปลกๆใช่ไหมที่จู่ๆแบบเฮ้ย มาเปิดภาคสอง เนื่องด้วยคาแรคเตอร์ของธาราอาจจะเลี่ยนไปเพราะความจำเสื่อม
เลยคิดว่าไหนไหนก็ไหนไหน ขึ้นภาคสองให้ทุกคนมาเริ่มกันใหม่ก็แล้วกัน เหมือนกับตามใจฉันยังไงไม่รู้ 555 แต่ไม่วุ่นวายเท่ากับ
ภาคแรก ยังไงก็อย่าลืมดู น้องมณีตามจีบพี่ธารา เอะ ยังไง ส่วนพี่ธาราคาแรคเตอร์ใหม่ก็แสนจะหื่น เจอเป็นจูบ
อย่าลืมตามติดกันนะคะ เด็กๆโตกันหมดแล้ว มาลุ้มกันว่าขุ่นพ่อจะจำลูกน้อยได้หรือไม่ (ลึกๆแล้วก็ลงโทษมณีให้เลี้ยงลูกคนเดียว
สามปีนั่นแหละ555)