Heartless แค้นนี้...มิอาจห้ามรัก >> ตอนพิเศษ 3 60% => (05/10/61) P.34 <=
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Heartless แค้นนี้...มิอาจห้ามรัก >> ตอนพิเศษ 3 60% => (05/10/61) P.34 <=  (อ่าน 228232 ครั้ง)

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
หึหึ


ง่ายไปไหม ?

ออฟไลน์ satiara

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
คือนี่ยังจำฉากข่มขืนได้อยู่เลย
เป็นฉากที่เกิดในเรื่องแล้วแต่ละครั้งคือรุนแรงมาก...
ถ้าดีกันได้ง่ายๆจริงๆนี่จะสะเทือนใจมากจริงๆ (_ _)

ออฟไลน์ K3n0

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
ตื่นเต้น รอต่อครับ

ออฟไลน์ SawachiYuki

  • แค่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 461
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +261/-38
    • Fanpage
Heartless แค้นนี้...มิอาจห้ามรัก
ตอนที่ 38
ทุกนาทีมีค่า





“พ่ะ พี่รามคะ” รินลณีรวบรวมความกล้าเดินเข้าไปหาพี่ชายที่กำลังนั่งกอดอกครุ่นคิดอะไรอยู่นานสองนานคนเดียวตรงโซฟาที่เอาไว้รับรองลูกค้าหลังจากที่เจ้าตัวยอมปล่อยให้อินทัชไปพักผ่อนที่ที่ตัวเองอยากจะไป โดยให้ขรรค์ หมอเงินและจักรตามไปด้วย

ส่วนเจ้าจอมกับรินลณีก็ยืนอยู่ห่างๆ จากพี่ชายของตนเอง แต่ก็รวบรวมความกล้าเข้าไปหา ไม่อยากปล่อยให้มันคาราคาซังแบบนี้

“มีอะไร” ถามห้วนๆ

หญิงสาวหน้าเสียไปเพราะไม่เคยมีสักครั้งที่พี่ชายจะใช้น้ำเสียงและสีหน้าแบบนี้ตอบรับหรือคุยกับเธอเลย แต่รินลณีก็เข้าใจดีว่าเธอเป็นต้นเหตุความแค้นของพี่ชาย

“ริน...ขอโทษนะคะ”

“เรื่องอะไรอีกล่ะ พี่เห็นว่ารินขอโทษไปเยอะแล้วนี่ ยังไม่หมดเหรอ” รามินทร์อดที่จะประชดประชันน้องสาวตัวเองไม่ได้ แม้จะรู้ว่าน้องต้องเสียใจก็ตามที

“พี่ราม” เรียกพี่เสียงเครือ น้ำตาไหลรินออกมาอีกครั้งจนรามินทร์ต้องเบือนหน้าหนี เจ้าจอมที่ยืนข้างๆ กับลูกพี่ลูกน้องวัยเดียวกัน ก็เอื้อมไปจับมือบางแล้วบีบเบาๆ เพื่อส่งผ่านกำลังใจ

“ที่จริงแล้วรินก็สำนึกผิดแล้วนะพี่ราม และเรื่องนี้ก็ไม่ได้มีรินที่ผิดคนเดียวด้วย” เจ้าจอมพูดขึ้นเพราะทนไม่ได้ที่รามินทร์เหมือนจะไม่รับฟังอะไรใครทั้งนั้น

“จะบอกว่าจอมก็มีส่วนผิดงั้นสิ”

“เปล่า...จอมไม่ได้ผิด เพราะที่ผ่านมาจอมพยายามบอกพี่รามหลายครั้งแล้ว แต่พี่รามต่างหากที่ไม่เชื่อ ไม่คิดจะฟังจอมเลย อีกคนที่ผิดก็คือพี่ราม พี่รามต่างหาก ถ้าพี่รามปล่อยให้เรื่องมันผ่านไป ไม่แค้น ไม่เคืองอะไรพี่อิน เรื่องก็ไม่เป็นแบบนี้หรอก” เจ้าจอมว่า

ร่างแกร่งนั่งฟังอย่างเงียบๆ คิดตามในสิ่งที่น้องชายพูด

“พี่โกหกกับพี่อินว่ารินตายแล้ว แล้วเพราะอะไรรู้ไหมที่พี่อินยอมให้พี่แก้แค้น เพราะพี่อินมีจิตสำนึกที่ดี มีความรับผิดชอบ แค่ได้ยินว่าชื่อตัวเองเกี่ยวข้องกับการตายของใครสักคน พี่อินก็ยอมรับผิดชอบแต่โดยดี แม้ตัวเองรู้ดีแก่ใจว่าไม่มีความผิดก็ตามเถอะ ถ้าจอมเป็นพี่อิน จอมก็จะทำแบบเดียวกัน”

ที่เจ้าจอมพูดมามันถูกหมดทุกอย่าง น้องไม่มีความผิดอะไร เพราะเจ้าจอมทั้งเตือน ทั้งคอยบอกว่ามันไม่ใช่อย่างที่คิดมาเสมอ คนที่ผิดคือเขาเอง ที่เจ้าคิดเจ้าแค้นอินทัช

พอทุกอย่างมันพลิกกันไปหมด รามินทร์ก็รู้สึกเคว้ง

มันไม่ต่างอะไรกับการที่จับคนบริสุทธิ์มาฆ่า...เป็นแพะรับบาปให้กับรินลณี

“พี่เอง...ก็อยากให้เข้าใจพี่ด้วย หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้น พี่ฝันร้ายมาตลอด พี่ฝันว่ารินไม่อยู่กับพี่แล้ว รินฆ่าตัวตายและตายต่อหน้าพี่ พี่ฝันแบบนี้อยู่บ่อยๆ และยิ่งรินไปอยู่ต่างประเทศ มันยิ่งทำให้พี่รู้สึกว่ารินไม่อยู่แล้วจริงๆ พี่เลยไปหาหมอ ปรึกษาหมอ และทานยาตามที่หมอสั่ง...แม้มันจะดีขึ้นแต่ก็ไม่หายขาด พี่เลยคิดว่าถ้าพี่แก้แค้นอินมันได้ พี่คงจะหายจากไอ้ฝันร้ายบ้าๆ นี้แน่นอน...” เจ้าของรีสอร์ทสารภาพออกมาเสียงเบาหวิวคล้ายคนจะหมดแรง

เจ้าจอม รินลณีตกใจ ไม่รู้มาก่อนว่าพี่ชายตนจะมีอาการทางปราสาทขนาดต้องปรึกษาหมอ ต้องทานยาแบบนี้ แต่พอเจ้าจอมนึกกลับไปเมื่อสองปีก่อนที่เห็นว่าช่วงหนึ่งรามินทร์มักจะทานยาอยู่เสมอ

นึกว่าป่วย เป็นไข้หวัด ที่ไหนได้ มันเป็นยารักษาอาการนั่นเอง

“พี่ราม...หายดีหรือยังคะ”

“ไม่รู้สิ พี่ไม่ได้ทานยา ไม่ได้ไปหาหมอมานานแล้วด้วย แต่ไม่ค่อยฝันแล้วล่ะ ล่าสุดก็เมื่อมี่กี่สัปดาห์ก่อน แต่อินมันเข้ามาช่วยพี่ก่อน พี่เลยสงบได้”

ทั้งสองมองหน้ากันอย่างเห็นใจพี่ชาย

ทุกคนมีเหตุผลในการกระทำของตัวเองทั้งหมด แต่เหตุผลนั้นจะนำมาซึ่งการกระทำที่ดีหรือการกระทำที่เลวร้าย คนที่จะตัดสินเรื่องนี้คืออินทัช

“ขอโทษนะคะ ขอโทษสำหรับที่ผ่านมา ที่รินปิดบัง รินโกหก รินไม่อยากให้พี่รามกับพ่อแม่ต้องผิดหวัง”

“เอาเถอะ พี่ไม่ถือโทษโกรธอะไรรินแล้ว ถ้าน้องเปลี่ยนตัวเองได้แล้วพี่ก็จะไม่รื้อฟื้นมันขึ้นมา ผ่านไปแล้ว ก็ให้มันหายไปกับอดีตนั่นแหละ” รามินทร์ว่า

“ขอบคุณนะคะ”

“แต่สิ่งที่รินต้องทำคือขอโทษอินมัน และพี่ก็จะทำเหมือนกัน ของพี่อาจจะต้องพยายามหน่อย เพราะที่อยากได้ไม่ใช่แค่คำว่าให้อภัย แต่มันมีคำว่ารักด้วย”

“ค่ะ รินต้องทำอยู่แล้ว แต่รินก็จะคอยช่วยพี่รามด้วย มันถึงเวลาที่รินต้องทำอะไรเพื่อพี่รามบ้างแล้ว”

“ดีใจที่รินคิดได้นะ ส่วนเรื่องที่ผ่านมาก็ช่างมันเถอะ พี่โกรธเราไปก็แก้ไขอดีตไม่ได้ ไม่อยากจะทำผิดซ้ำสองอีก ไปพักผ่อนเถอะ พี่เองก็อยากพักเหมือนกัน”

“จะให้รินพักที่ไหนคะ ที่ห้องเล็ก?” หญิงสาวหมายถึงห้องเล็กในบ้านพักของรามินทร์ที่ตอนนี้อินทัชเป้นคนอยู่

“ห้องนั้นพี่ให้อินมันอยู่ไปแล้ว รินไปบอกพนักงานให้เปิดห้องให้เลยนะ ว่าแต่แฟนของรินไม่ได้มาด้วยหรือ” ร่างแกร่งถามหาคนรักของน้องสาวที่เจ้าตัวอวดนักอวดหนาตอนที่ยังอยู่ฝรั่งเศส

“รินเปิดห้องให้พี่ฟรองซัวนอนพักน่ะค่ะ แต่เดี๋ยวจะเปิดอีกห้องไม่นอนด้วยกันแน่นอนค่ะ”

“ครับ ดีแล้ว เดี๋ยวพนักงานจะมองเราไม่ดี”

“รินรู้ค่ะ ขอบคุณนะคะที่ไม่โกรธริน รินรักพี่รามนะคะ” หญิงสาวเข้าไปสวมกอดพี่ชายอย่างแนบแน่น รามินทร์เองก็กอดร่างของรินลณีกลับเช่นกัน

พี่น้องสายเลือดเดียวกัน...ไม่ว่าจะผิดยังไง ก็ตัดกันไม่ขาดหรอก ก็เรามีอยู่กันแค่นี้

“จอมดีใจนะที่ทุกอย่างมันคลี่คลาย ผู้บริสุทธิ์ได้รับความเป็นธรรม รินได้สารภาพและขอโทษ พี่รามเองก็จะได้ตาสว่าง...” เจ้าจอมพูดขึ้นมายิ้มๆ แล้วเดินไปนั่งอีกฝั่งของรามินทร์ ก่อนจะสวมกอดเอวหนาอย่างรักใคร่เช่นเดียวกัน

“มันจะเป็นบทเรียนราคาแพงของพี่เลยล่ะ”

“จอมรักและภูมิใจในตัวพี่รามเสมอนะครับ ต่อให้พี่จะทำผิดไปบ้าง แต่จอมก็รักและเคารพพี่ราม เพราะจอมรู้ว่าไม่มีใครจะดีร้อยเปอร์เซ็นได้ขนาดนั้น ทุกคนต้องมีผิดมีพลาดกันบ้าง”

“พี่ก็ต้องขอโทษจอมและขอบคุณจอมกับทุกเรื่องด้วยนะ” ร่างสูงว่า

“ไม่เป็นไรหรอกครับ จอมไม่โกรธ แค่ตอนนี้จอมได้พี่รามคนเดิมกลับมา จอมก็ดีใจสุดๆ แล้วครับ” ร่างเล็กพูดด้วยรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า

สามพี่น้องกอดกันแน่น เป็นภาพที่แสนประทับใจของเหล่าพนักงานและลูกค้าที่วันนี้ได้เห็นกันหลายภาพ หลายอิริยาบถเหลือเกิน

“พี่รักรินกับจอมนะครับ น้องสาวน้องชายของพี่”

“รินก็รักพี่รามกับจอมนะ”

“จอมก็รักพี่รามกับรินเหมือนกัน”

ต่อให้อีกสามวันรามินทร์จะพบเจอกับอะไร จะดีใจ เสียใจ เศร้าใจ ผิดหวัง ร้องไห้ แต่เขาจะยังมีน้องสาวน้องชายคอยเป็นกำลังใจและอยู่ข้างๆ เสมอ

ครอบครัว ยังไงก็คือครอบครัว...

รักแท้...ที่แสนจะมั่นคงและยั่งยืนนาน


ช่วงเย็น รามินทร์พาอินทัชมายังสวนที่ถูกจัดสถานที่เอาไว้อย่างสวยงามราวกับเป็นงานเลี้ยงต้อนรับแต่ความเป็นจริงรามินทร์ก็แค่อยากจัดให้กับอินทัชเท่านั้น

“กูแค่คิดว่ามึงน่าจะชอบ”

“ทำไมกูต้องชอบ ที่จริงกูชอบที่จะกินในครัวกับพวกคนงานมากกว่า” ตอบแบบไม่คิดจะรักษาน้ำใจของรามินทร์เลยสักนิด หากแต่รามินทร์ก็ยิ้มให้น้อยๆ

“ไม่ต้องมายิ้ม กูไม่ได้ชม”

“อะไรที่มึงพูดกับกู กูจะคิดว่ามันเป็นเรื่องดีหมดนั่นแหละ”

“หึ...ทำมาเป็นมองโลกในแง่ดี ทีเมื่อก่อนนะ กูพูดอะไรก็เลวไปหมด”

ไม่อยากจะรื้อฟื้นหรอก แต่มันอดไม่ได้ที่จะประชดประชันออกไป

“มันก็เป็นเรื่องของอดีตนี่ ไปนั่งเถอะ เขารอมึงกินข้าวอยู่” รามินทร์ทำเป็นไม่รู้ร้อนรู้หนาว ไม่รู้สึกอะไรกับคำพูดถากถาง เสียดสีนั่น เพราะมันยังเจ็บได้ไม่เท่ากับสิ่งที่เขาเคยทำลงไปด้วยซ้ำ

ร่างแกร่งเดินนำร่างโปร่งไปยังโต๊ะอาหารโต๊ะยาวที่มีคนนั่งรออยู่ก่อนหน้านี้แล้ว ทั้งเจ้าจอม จักร ขรรค์ หมอเงิน รินลณี และฟรองซัว ทุกคนนั่งเป็นคู่ในรูปแบบของการนั่งตรงกันข้ามกัน รามินทร์กับอินทัชเดินไปนั่งที่เก้าอี้ว่างทันที บรรยากาศคลอไปกับดนตรีคลาสสิกเบาๆ ที่เปิดเอาไว้ไม่ให้บรรยากาศเงียบ

“ขอแนะนำอย่างเป็นทางการอีกครั้งนะคะ นี่พี่ฟรองซัวค่ะ แฟนของรินเอง...พี่ฟรองซัวคะ นี่พี่ชายของรินค่ะ พี่ราม ที่นั่งตรงข้ามคือพี่อิน นี่ก็พี่ขรรค์กับหมอเงินค่ะ” รินลณีแนะนำแฟนตัวเองให้รู้จัก และแนะนำคนที่ฟรองซัวยังไม่รู้จักให้กับคนรักด้วย

“ยินดีที่ได้รู้จักครับ” ฟรองซัวพูดเป็นภาษาอังกฤษออกมา ซึ่งทุกคนก็ยิ้มรับน้อยๆ ยกเว้นอินทัชที่นั่งหน้านิ่งตลอดเวลา ไม่สนใจใคร ไม่มองหน้าใคร จนฟรองซัวต้องสังเกตดีๆ ว่าอินทัชเป็นอะไรหรือเล่า ไม่ชอบอะไรตน แต่กลับต้องเบิกตากว้างอย่างตกใจ

“อิน? อินทัช ใช่อินหรือเปล่า” ภาษาฝรั่งเศสออกมาจากปากของฟรองซัวเรียกความสนใจจากอินทัชได้ทันที แต่เมื่อเห็นหน้าของคนที่ถามเขาแล้วก็ยิ้มออกมาอย่างยินดี

นับว่าเป็นรอยยิ้มแรกของวันเลยก็ว่าได้

“ฟรองซัว? นี่นายเองเหรอ” อินทัชเองก็ถามกลับไปเป็นภาษาฝรั่งเศส ทำเอาคนที่ฟังไม่ออกอย่างรามินทร์ เจ้าจอม จักร ขรรค์และหมอเงินถึงกับมองหน้ากันอย่างมึนงง

“ใช่น่ะสิ โลกกลมชะมัดเลย ช่วงนี้ไม่เคยเห็นบินไปฝรั่งเศสเลย ที่แท้ก็มาขลุกตัวอยู่นี่เอง รู้ไหมว่าข่าวการหายตัวไปของนายน่ะ มันกระจายไปทั่วโลกแล้วนะ บริษัทคู่แข่งนายต่างก็พากันกอบโกยเละเลย” ฟรองซัวพ่นภาษาฝรั่งเศสต่ออีก คราวนี้ยาวเหยียด ชนิดเหมือนฟังภาษาต่างด้าวอยู่ก็ไม่ปาน

“ไม่เป็นไรหรอก ฉันมีวิธีกอบกู้วิกฤตน่า สบายดีนะ ไม่เจอกันนานเลย ตั้งแต่เมื่อปีก่อนที่ฉันไปดูงานที่ฝรั่งเศส”

“ก็สบายดีนั่นแหละ แต่เหมือนว่านายคงไม่สบายเท่าไหร่นะอิน” พอถึงประโยคนี้อินทัชก็นิ่งไป กลับมาสีหน้าราบเรียบเหมือนเดิม

“ค่อยคุยกันนะฟรองซัว เอาไว้ฉันกลับกรุงเทพก่อน นายค่อยไปหาฉันที่บริษัท”

“ก็ได้ ตามนั้น”

ทั้งคู่ตกลงกันเสร็จก็กลับมาต่างคนต่างนั่งนิ่งเหมือนเดิม รินลณีมองหน้าของอินทัชสลับกับคนรักไปมาอย่างสงสัย แปลกใจที่ทั้งสองคนรู้จักกัน คนอื่นๆ ที่ไม่รู้ว่าทั้งคู่คุยอะไรก็ได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้

จักรมองเพื่อนอย่างทึ่งในความสามารถ จนนึกอิจฉาที่เขากับมันแตกตางกันขนาดนี้ ถ้ามันกลับไปในที่ของมัน จักรคงไม่กล้าเรียกอินทัชว่าเพื่อนอีกต่อไปแน่ๆ

“He is my friend. We do business together and I respect his ability. He was so good and all employees loved him. The company's problems, He will be on hand to advise me.”

ฟรองซัวออกปากชมร่างโปร่งด้วยภาษาอังกฤษเป็นชุด ทำให้รามินทร์ หมอเงิน และขรรค์กระจ่างในข้อสงสัยทันที แต่จักรที่ฟังไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่ก็ได้แต่ก้มหน้าก้มตาอย่างนึกสมเพชตัวเอง

“Shut up!!” อินทัชหันไปสั่งเสียงดุ ทำให้ฟรองซัวรีบเม้มปากแน่นทันที ไม่ได้กลัวจริงหรอก แต่ก็ไม่อยากจะขัดอินทัชเทาไหร่ เราเป็นเพื่อนกันมานานมาก...

“ทานข้าวเถอะครับ” รามินทร์ชวน ซึ่งทุกคนก็พยักหน้าแล้วเริ่มทานอาหารกันทันที ต่างคนก็ต่างเอาอกเอาใจคนรักที่อยู่ตรงหน้า สลับกันตักอาหารให้กันและกัน แต่รามินทร์กับอินทัชก็ยังต่างคนต่างทาน หากร่างสูงก็ลอบมองใบหน้าหวานของอินทัชอยู่ตลอด

“พี่อินอยากได้ปลาไหมครับ” เจ้าจอมถาม

“ไม่เป็นไรครับน้องจอม พี่กินเฉพาะแค่ตรงหน้าก็ได้ แค่นี้ก็ไม่หมดแล้วล่ะ” อินทัชยิ้มให้คนข้างๆ ตัวเอง

“ตามสบายเลยครับ พี่อินอยากกินอะไรถ้าตักไม่ถึงบอกจอมได้ เดี๋ยวจอมตักให้”

“ได้ครับ ถ้าพี่อยากได้อะไร พี่จะบอกให้จอมช่วยนะ”

“ครับ”

แต่อินทัชก็เลือกที่จะทานแต่ของที่ตัวเองตักถึงเพราะไม่อยากจะรบกวนใคร ระหว่างที่ทานอาหารกันอยู่ไม่มีการพูดคุยอะไรกันอย่างที่ควรจะเป็น เพราะอินทัชทำตัวเย็น จนใครๆ ก็ไม่กล้าที่จะเอ่ยปากคุยด้วย โดยเฉพาะรินลณีที่อยากจะคุยแต่ก็ไม่มีความกล้าเสียที

“อ่ะ...อันนี้อร่อยนะ มึงลองกินดู”

“ขอบใจนะจักร” อินทัชยิ้มให้เพื่อนตัวใหญ่ของตนที่ตักอาหารมาใส่จานของเขาทั้งๆ ที่นั่งกันคนละฝั่งและไม่ได้นั่งตรงกันอีก

“อือ...กูแค่อยากให้มึงกินหลายๆ อย่าง จะได้รู้ว่ามีอะไรที่อร่อยถูกปาก อะไรไม่ถูกปาก”

“ยังไงก็ขอบใจนะ”

รามินทร์กำมือแน่นอย่างอิจฉา ตวัดสายตามองจักรที่อยู่ข้างๆ ตัวเองทันทีแบบไม่พอใจ ทำเอาจักรต้องยิ้มมุมปากให้กับเจ้านาย ซึ่งเป็นครั้งแรกที่จักรทำแบบนี้กับรามินทร์ ทั้งๆ ที่ผ่านมาตัวเองจะให้เกียรติและเคารพเจ้านายเสมอ แต่ตอนนี้ขอหน่อยเถอะ...

มีอย่างที่ไหนทำร้ายเพื่อนของเขาเสียขนาดนั้น แม้จะเพิ่งรู้จักกัน แต่เพราะความเป็นกันเอง ความไม่ถือเนื้อถือตัวของอินทัช ก็ทำให้จักรผูกพันได้ไม่ยาก

“พี่รามทำไมมองจักรอย่างนั้นล่ะครับ” เจ้าจอมถามขึ้น

“เปล่า พี่ก็ไม่ได้มองนี่ แค่หันไปดูอะไรเฉยๆ”

“เหรอครับ”

“ครับ...พี่จะโกหกจอมทำไมล่ะ” รามินทร์ยิ้ม

บางครั้ง คนเราก็ต้องรู้จักโกหกเพื่อเอาชีวิตตัวเองให้รอด

“แล้วไป”

“อาหารอร่อยไหมครับคุณฟรองซัว” รามินทร์ถามแขกที่เป็นชาวต่างชาติอย่างกังวลเพราะกลัวว่าจะไม่ชินกับอาหารไทยแบบนี้

“อร่อยมากเลยครับ ผมชอบ”

“ดีใจที่ชอบนะครับ ถ้าชอบก็ทานเยอะๆ เลยนะครับ คิดว่าจะทานอาหารไทยไม่ได้เสียแล้ว”

“ผมกินได้ครับ ยิ่งอาหารไทยผมยิ่งชอบ พอดีตอนมาหาอินที่ไทย ทุกครั้งอินก็จะพาไปกินอาหารไทยนี่แหละครับ” ฟรองซัวตอบตามจริง ไม่ได้คิดอะไร ไม่ได้มีเตนาแอบแฝงอะไร เพียงแต่เจ้าของรีสอร์ทกลับคิดมากหนักเข้าไปแล้ว

อิจฉา ไม่พอใจ ที่ฟรองซัวรู้จักอินทัชมาก่อนเขา ไหนจะความสนิทสนมนั่นอีก

ฮึ่ย! ถ้าโลกมันจะกลมขนาดนี้...

“ดีครับ ปรับตัวได้เข้ากับทุกที่ได้ดีเลย”

อินทัชส่ายหน้านิดๆ เพราะเข้าใจท่าทีของรามินทร์ดีว่าเจ้าตัวกำลังรู้สึกอะไรอยู่ เล่นแสดงออกมาทางหน้าตาหมดเลยแบบนั้น...

พอกลายเป็นคนที่มันรัก...อะไรๆ ก็ดูเปลี่ยนไปหมด ถามว่าดีไหม มันก็ดี...แต่ก็ไม่ดีไปทั้งหมดหรอก เพราะการกระทำพวกนี้อาจจะมีผลต่อความรู้สึกในภายภาคหน้าได้

ความรู้สึกเป็นสิ่งที่เข้าใจยาก ขนาดที่ตัวของเราเองยังไม่เข้าใจมันในบางครั้งเลย...ไม่รู้จะส่งผลกระทบที่ความรู้สึกไหน แต่แน่นอนว่ามันต้องมีบ้าง...เขาไม่อาจจะพูดได้ว่าจะไม่หวั่นไหวกับรามินทร์ เพราะนั่นมันเป้นความรู้สึก นึกคิดที่เป็นไปอย่างธรรมชาติ และธรรมชาติก็ไม่มีใครฝืนหรือเปลี่ยนมันได้

หลังจากรับประทานอาหารเย็นเสร็จแล้ว ขรรค์กับหมอเงินก็ขอตัวกลับบ้านไปพักผ่อนเพราะหมอเงินต้องเข้าเวรเช้า จักรกับจอมเองก็อยู่คุยกันสักพักแล้วก็ขอตัวกลับตามไปอีกคู่ เหลือเพียงแค่รามินทร์ อินทัช รินลณีและฟรองซัว สองพี่น้องอัครสิงหบดีนั่งมองอินทัชกับฟรองซัวพูดภาษาฝรั่งเศสกันอย่างสนุกสนาน

“ฮ่าๆ จริงเหรอวะ เอาไว้ว่างๆ นายพาฉันไปดูหน่อยสิ อยากจะเห็นเหมือนกันนะ”

“ได้สิ แต่คงต้องเป็นคราวหน้านะ เพราะฉันกลับกรุงเทพคราวนี้มีงานที่ต้องเคลียร์เยอะเลยล่ะ”

“อืม...ฉันเข้าใจ ฉันเองก็พอรู้เรื่องจากรินมาบ้างแล้ว เห็นใจนายนะ ไม่ได้ผิดอะไรแต่ต้องมาทนรับกรรมอยู่แบบนี้  แต่นายก็ต้องฟังเหตุผลของคุณรามเขาดูด้วยนะ ทุกการกระทำมันมีเหตุผลเสมอ นายสอนฉันเองนะอิน” ร่างโปร่งบางนิ่งไป ก่อนจะหันไปมองรามินทร์และรินลณีอย่างครุ่นคิด

เหตุผล? อินทัชก็แค่คนๆ หนึ่งที่มีเลือด มีเนื้อ มีความรู้สึก และแน่นอนว่าไม่ใช่เทวดาที่จะให้อภัยคนได้ง่ายขนาดนั้น...ไม่ถือโทษ เอาความ แต่ใช่ว่าจะลืมเรื่องเลวร้ายพวกนั้น

“อืม...จะพยายามก็แล้วกัน”

“และขอร้องนะอิน เรื่องมันผ่านไปแล้ว แก้ไขอะไรไม่ได้ แล้วศาสนาของนายก็สอนไว้ไม่ใช่เหรอ ว่าการให้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือการให้อภัย ถ้านายยึดติดอยู่แบบนี้ นายจะไม่มีความสุขนะ” ฟรองซัวพูดเตือนสติ ทำเอาอินทัชถึงกับหัวเราะออกมา

“นี่นายนับถือคริสต์ไม่ใช่หรือ”

“ก็ใช่ ฉันนับถือคริสต์ แต่ว่าก็ไม่มีใครห้ามไว้นี่ว่าจะนับถือศาสนาได้แค่ศาสนาเดียว อย่างคำสอนของศาสนานายฉันก็ชอบนะ สอนและเตือนสติได้ดีทีเดียว”

“ถ้านายไปพูดให้คนอื่นที่ไม่ใช่ฉันฟัง รับรองคนไทยบางคนมีอายน่ะ”

“ไม่ขนาดนั้นหรอกน่า”

“ฮ่าๆ”

“หัวเราะแล้ว” ฟรองซัวว่า

ร่างสูงโปร่งยิ้มให้เพื่อนต่างชาติของตน เข้าใจในความหมายของประโยคที่ฟรองซัวพูด...แสดงว่าที่ผ่านมาเขาทำหน้าไม่มีความสุขอยู่ตลอดเวลาสินะ ฟรองซัวถึงได้ดีใจที่เห็นเขาหัวเราะได้

“ไม่คุยกับนายแล้ว ไปพักผ่อนเถอะ ฉันเองก็จะไปนอนแล้วเหมือนกัน”

“พรุ่งนี้เราจะเจอกันไหม?”

อินทัชหันมองสองพี่น้องรามินทร์ รินลณีที่จ้องมองเราสองคนอยู่เพื่อตัดสินใจอะไรบางอย่าง ก่อนจะตอบออกไปเป็นภาษาอังกฤษเพื่อให้รามินทร์เข้าใจในคำตอบของเขาด้วย

ขี้เกียจพูดซ้ำหลายรอบ

“ไม่ต้องเจอกันหรอก นายค่อยไปเจอฉันที่กรุงเทพแล้วกัน ส่วนสามวันต่อจากนี้ ฉันมีนัดแล้ว คงไม่มีเวลามาเจอนายหรอกนะ”

นับว่าเป็นประโยคที่ให้ความหวังกับรามินทร์สุดๆ จนร่างสูงใหญ่ฉีกยิ้มกว้างมีความสุข นั่นมันทำให้หัวใจของร่างบางกระตุกไปด้วย

คิดผิดหรือถูกที่พูดแบบนั้นออกไป...แต่ที่พูดไปอย่างนั้นไม่ใช่ว่าอยากจะอยู่กับรามินทร์หรอก แค่ทำตามคำพูดที่ได้สัญญาไปแล้วต่างหาก...






50%

 :katai4: :katai4: :katai4: :katai4:


   มาแล้วค่า ขอโทษที่ให้รอนานนะจ้ะ อ่านแล้วเม้นท์ให้ด้วยนะคะ เป็นกำลังใจให้ยูกิ

   พูดคุยกับยูกิ ติดตามข่าวสารได้ที่แฟนเพจเลยค่า https://www.facebook.com/sawachiyuki/

ออฟไลน์ Mynun

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-2
ผู้บริสุทธิ์ได้รับความเป็นธรรม #กลอกตาบนรัว
ยังไม่เห็นได้รับอะไรเลยอ่ะจากที่อ่านๆมา
โอ้ยตาย เบะปากกกก

ออฟไลน์ little_munoi

  • ++ singular ++
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-3
ยังอีกยาว รามเอ๊ย...
กว่าจะสุข นายคงทุกข์เยอะเลย
สู้ๆนะ #อันตัวเราก้อรอฟ้าหลังฝนเช่นกัน

ออฟไลน์ mam.nalok

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 247
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ตอนนี้เห็นใจ สงสารรามสุดๆ สู้ๆอย่ายอมแพ้นะก็รักไปแล้วนิ

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
มีโทษติดตัวยังไม่พอ มีแอบหึงเขาไปทั่วอีก
ยังไง อิน ก็ให้อภัยเร็วๆ นะ สงสาร

ออฟไลน์ bun

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2374
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-5
รอดู 3 วันหลังจากนี้ รามจะเอาใจอย่างไรบ้าง

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ SawachiYuki

  • แค่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 461
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +261/-38
    • Fanpage
ตอนที่ 38 ครึ่งหลัง





“ร้ายกาจ” กระซิบข้างหูของอินทัชเบาๆ จนอินทัชต้องยกมือปัดใบหน้าของฟรองซัวให้ออกห่างไป ความจริงแล้วฟรองซัวอายุมากกว่าอินทัชถึงสองปี แต่ในวงการธุรกิจอินทัชเหมือนเป็นรุ่นพี่ของฟรองซัว เลยตกลงจะเป็นเพื่อนกันดีกว่า แต่ก็ไม่ใช่เพื่อนรักเพื่อนสนิทแบบธีรไนยที่สามารถพูดทุกอย่างออกไปได้ ไม่ได้ไว้ใจขนาดนั้น แค่เพื่อนที่สานสัมพันธ์เอาไว้ เวลามีปัญหาอะไรเราจะช่วยเหลือกันและกันได้

“หุบปากน่าฟรองซัว แต่นายก็แน่เหมือนกันนะ สยบผู้หญิงคนนี้ได้ด้วย”

“หึ...สุดๆ น่ะ คิดภาพออกเลยว่านายเจออะไรมาบ้าง”

“แล้วทำไมถึงรักกันได้ล่ะ”

“ผู้หญิงที่รู้ถึงข้อเสียของตัวเองและพยายามเปลี่ยนแปลงน่ะ มันก็สมควรที่เราจะยกย่อง ชื่นชมนะ ที่สำคัญฉันให้โอกาสเธอ เพราะที่ผ่านมาฉันก็เคยทำตัวแบบนั้น แต่ตลกนะ ตอนนั้นฉันคิดว่าถ้าทำให้รินเปลี่ยนความคิด เปลี่ยนนิสัยได้ เธอจะตามจีบฉันต่อไปด้วยวิธีอื่น แทนการกรี๊ด วี้ดว้าย พูดจาข่มคนอื่นไปทั่ว กลับกันเลย เธอหายออกไปจากชีวิตของฉัน และช่วงนั้นฉันก็อยู่ในช่วงใกล้จบป.โทและต้องเรียนรู้งานพร้อมๆ กันด้วย เลยไม่มีเวลาจะตามหา โลกกลมว่ะ รินมาสมัครเป็นเลขาให้ฉัน ฉันเลยตั้งใจแน่วแน่ว่าไม่มีทางปล่อยให้เธออกไปจากชีวิตได้เป็นครั้งที่สอง จนรู้เหตุผลนั่นแหละว่าทำไมถึงหายออกไป ทำไมต้องหนีหนา เพราะรินคิดว่าตัวเองสกปรก ไร้ค่า เกินกว่าจะเข้าใกล้กับฉัน ตลกว่ะ...บทจะคิดได้ แม่งก็คิดได้ดีเกินกว่าที่คาด เสียเวลาไปปีกว่าเต็มๆ ไม่งั้นมีแฟนไปนานแล้ว” ฟรองซัวเล่าไปยิ้มไปอย่างมีความสุข ทำเอาอินทัชต้องหันกลับไปมองหญิงสาวอีกทีอย่างพิจารณา จนคนสวยสง่าอย่างรินลณีสะดุ้ง หลบสายตาไปหาพี่ชายตัวเองทันที

เฮ้อ...ผู้หญิงคนนี้ เปลี่ยนแปลงตัวเองได้จริงๆ สินะ จะว่าไปก็ควรชื่นชมและควรให้โอกาสอย่างที่ฟรองซัวว่านั่นแหละ คนเราไม่เคยไม่มีผิดพลาด และสิ่งที่คนเคยผิดพลาดต้องการมากที่สุดคือโอกาส...

“ยินดีด้วยก็แล้วกัน ทีนี้ก็เที่ยวด้วยกันไม่ได้แล้วสินะ”

“เที่ยวด้วยได้ แต่มั่วหญิงไม่ได้แล้ว มีตัวจริงแล้ว” ฟรองซัวยักคิ้วให้กวนๆ ทำเอาอินทัชหมั่นไส้ในความกวนของเพื่อนชาวต่างชาติ

“เออ...มีข่าวดีเมื่อไหร่อย่าลืมชวนแล้วกัน”

“แน่นอน มีเพื่อนเป็นถึงคุณอินทัชคงไม่ชวนไม่ได้”

“เวอร์...”

“งั้นฉันไปนอนดีกว่า ว่าจะไปนานแล้ว มัวแต่ถามอยู่นั่นแหละ” ฟรองซัวลุกขึ้นยืน

“ฉันผิด?”

“หึหึ ฝันดีนะ…คุณรามครับผมขอตัวไปนอนพักผ่อนก่อนนะครับ จะได้ตื่นมาดูพระอาทิตย์ขึ้นตอนเช้า” ฟรองซัวหันไปบอกรามินทร์ที่ก็ยืนขึ้นตาม

“ครับ ถ้ามีอะไรขาดเหลือ แจ้งพนักงานได้เลยนะครับ”

“ขอบคุณนะครับ ริน...เธอจะไปกับฉันหรือเปล่า หรือว่าจะคุยกับคุณรามต่อ” เมื่อขอบคุณเจ้าของรีสอร์ทที่มีศักด์เป็นพี่แฟนก็หันมาถามคนรักบ้าง

“รินยังไม่ไปหรอกค่ะ พี่ฟรองซัวไปนอนก่อนเถอะ เจอกันตอนเช้าเลย”

“อืม...เอาแบบนั้นก็ได้ ฝันดีนะ”

“ฝันดีค่ะพี่ฟรองซัว”

สามคนที่ยังอยู่มองส่งร่างสูงของฟรองซัวจนกระทั่งไม่เห็นอยู่ในสายตา อินทัชก็ลุกขึ้นบ้างเพื่อจะไปเดินเล่นย่อยอาหาร หากแต่ร่างสูงเรียกไว้ก่อน

“อิน!”

“มีธุระอะไร ตามข้อตกลงคือสามวัน ซึ่งมันเริ่มพรุ่งนี้ วันนี้กูจะอยู่เงียบๆ คนเดียว” ดักเอาไว้ก่อนเผื่อว่าร่างสูงจะพาไปไหนมาไหน แต่กลับเป็นว่าไม่ใช่ในแบบที่เขาคิดเอาไว้เลย

“รู้น่า...แต่รินมีเรื่องอยากจะคุยกับมึง”

“จะคุยอะไรอีก ทุกอย่างกูก็รู้เรื่องหมดแล้ว คำขอโทษก็ฟังแล้ว ยังจะมีอะไรอีกงั้นหรือ?” ถามอย่างเย็นชา ทำเอาหญิงสาวหน้าเจื่อนไปเลย หลบสายตาของร่างโปร่งอย่างประหม่า

อากัปกิริยาตอนนี้ยิ่งทำให้อินทัชรู้ว่าเธอเปลี่ยนไปแล้ว จากสาวมั่นใจ ตาต่อตา ฟันต่อวัน วันนี้มีเพียงแค่ผู้หญิงที่ขี้กลัวคนหนึ่ง ความผิดที่ทำกับเขาจริงๆ แล้วมันก็ไม่ได้ใหญ่อะไรด้วย มันก็เป็นเรื่องที่เจอบ่อยๆ ติดจะชินเสียอีก เขาไม่ได้โกรธรินลณี เพราะถ้าจะต้องมานั่งโกรธคนที่ทำแบบนั้นกับเขา อินทัชก็คงต้องเสียเวลาในการทำงานของตัวเองมากเพราะก็ไม่ได้มีแค่รินลณีคนเดียวที่เขาปฏิเสธไปมีลูกเศรษฐีเอาแต่ใจบางคนที่เขาก็ไม่ขอยุ่งเกี่ยวเหมือนกัน

“มีค่ะ”

“งั้นก็พูดมาสิ”

“เอ่อ...คือว่า”

“อ้าว? ทำไมติดอ่างล่ะ มีอะไรก็พูดมาสิ ฉันรอฟังอยู่” อินทัชเร่ง แสดงสีหน้าติดรำคาญให้หญิงสาวรู้สึกกลัวเข้าไปอีก ทั้งๆ ที่ในใจก็ไม่ได้รำคาญอย่างที่ออกสีหน้า

แค่อยากจะเห็นท่าทีเพื่อประเมินอะไรบางอย่างเท่านั้น สิ่งที่เขาเคยเจอกับตอนนี้มันแตกต่างกัน ไม่แปลกหรอกที่อินทัชจะไม่ค่อยเชื่อว่ารินลณีตรงหน้าคือเปลี่ยนไปจริงๆ หรือว่าแค่เสแสร้งแกล้งทำ ช่วยไม่ได้ มันเป็นวิธีของเขาที่จะใช้สังเกตท่าทีของของคน

“ขอโทษนะคะ”

อินทัชถอนหายใจ หันไปมองหน้ารามินทร์ก่อนจะเอ่ยปากไล่ร่างสูงออกไป

“มึงจะไปไหนก็ไป ขอกูคุยกับน้องสาวมึงสองคน”

“แต่ว่า...”

“งั้นกูไม่คุยแล้ว ขอตัวนะ”

“โอเคๆ กูไปก็ได้ พี่ไปก่อนนะริน” ก่อนที่อินทัชจะเดินออกไป รามินทร์ก็ต้องรีบยอมทำตามในสิ่งที่คนหน้าสวยต้องการทันทีเพราะกลัวว่าน้องสาวจะไม่มีโอกาสได้เคลียร์ตัวเอง

พออยู่กันสองคนตามลำพัง อินทัชก็นั่งลงบนเก้าอี้เช่นเดิม หญิงสาวเองก็ค่อยๆ เดินมานั่งฝั่งตรงข้ามกับร่างสูงโปร่งด้วยท่าทางที่ไม่มั่นใจสุดๆ

“ว่ามา”

“ค่ะ คือ...รินต้องขอโทษอีกครั้งนะคะสำหรับเรื่องในตอนนั้น และเป็นสามเหตุที่ทำให้พี่รามจับตัวพี่อินมา รินไม่มีอะไรจะแก้ตัว เพราะทุกอย่างมันเป็นเพราะรินคนเดียวจริงๆ รินผิดคนเดียว พี่อินให้อภัยพี่รามนะคะ จะโกรธจะเกลียดรินก็ได้ แต่พี่รามทำไปเพราะรักรินมาก...มันอาจจะดูแย่ที่รินพูดเหตุผลแบบนี้นะคะ”

อินทัชนั่งฟังนิ่งๆ ไม่ใช่ว่าไม่เข้าใจในเหตุผลที่รามินทร์ทำไป เพราะถ้ามีใครมาทำพี่สาวของเขาแบบนี้ เขาก็ไม่มีทางปล่อยไว้แน่ๆ แต่คงจะไม่ได้ทำแบบวิธีจับตัวมาแบบนี้ อะไรที่สามารถเอาผิดทางกฎหมายได้เขาก็จะทำ แต่ถ้ามันเป็นเรื่องที่ไม่กระทบพี่เขาจนเลือดตกยางออก อินทัชก็จะปล่อยให้เวรกรรมเป็นตัวจัดการแทน

“ประเด็นมันไม่ได้อยู่ตรงนั้น มันหลอกใช้ความรู้สึกผิดของฉันที่คิดว่าตัวเองเป็นต้นเหตุทำให้ใครสักคนต้องฆ่าตัวตาย ทั้งๆ ที่คนนั้นไม่ได้ตาย มันสมเหตุสมผลหรือเปล่า มันใช่สิ่งที่คนเขาทำกันเหรอ จริงๆ แล้วเรื่องแบบนี้ ‘สัตว์’ มันยังไม่ทำเลยนะ”

รินลณีพูดไม่ออก เพราะมันก็จริงอย่างที่อินทัชพูดเลย เธอไม่ได้ตายจริงๆ แต่พี่ชายเธอกลับเอามาอ้างเพื่อให้อินทัชยอมชดใช้ มันเป็นสิ่งที่เลวร้าย ใจร้ายไปจริงๆ

“พี่รามเล่าให้รินฟังว่าพี่รามมีอาการทางจิตอยู่ช่วงหนึ่งหลังจากที่รินไปฝรั่งเศส พี่รามจะฝันเรื่องเดิมซ้ำๆ นั่นคือ ฝันว่ารินฆ่าตัวตายต่อหน้าต่อตา แล้วยิ่งรินอยู่ห่างจากสายตาพี่ราม ไม่ค่อยโทรติดต่อพี่ราม มันเลยยิ่งทำให้พี่รามรู้สึกว่าฝันนั่นมันคือเรื่องจริง เรามีอยู่กันสองพี่น้องและตอนที่คุณแม่จะเสียพี่รามก็เป็นคนสุดท้ายที่อยู่กับคุณแม่จนท่านสิ้นลมไปต่อหน้าต่อตา...เรื่องสะเทือนใจนี้มันเคยกระทบจิตใจพี่รามมาครั้งหนึ่งแล้ว และยิ่งรินมาทำแบบนั้นกับพี่รามอีก เลยกลัวว่าจะเสียรินไปอีกคน และโกรธที่พี่เป็นต้นเหตุ”

คิ้วสวยขมวดแน่นเพราะพึ่งจะเคยได้ยินเรื่องแบบนี้ คิดกลับไปในวันที่เขาได้เห็นรามินทร์ละเมอบอกไม่ให้น้องสาวทิ้งไป ใบหน้าคมเข้มที่ดูเจ็บปวดทรมานในยามที่หลับฝันร้ายยังติดอยู่ในความทรงจำ เห็นใจไหมก็เห็นใจ มันคงจะผ่านเรื่องเจ็บปวดมาเยอะ ทั้งเรื่องของแม่ และน้องสาวดันมาทำเป็นฆ่าตัวตายต่อหน้าอีก มันเป็นเรื่องที่อ่อนไหวมาก เขาเข้าใจก็แล้วกัน

“อาการทางจิต?”

“ค่ะ พี่รามไปหาหมอ ไปปรึกษาหมอแล้ว...แม้ว่ามันจะดีขึ้น แต่ก็ไม่หายขาด...พี่รามเลยไปจับพี่อินมาแก้แค้นเพราะคิดว่าจะทำให้เลิกนอนฝันร้ายน่ะค่ะ”   

“แต่ก็ไม่หายสินะ”

“ทำไมพี่อินรู้ล่ะคะ”

“ช่างมันเถอะ ฉันจะรู้หรือไม่รู้ก็ไม่เห็นจะเกี่ยวอะไร” อินทัชบอกปัด

“ถ้างั้นพี่อินให้โอกาสพี่รามนะคะ รินยอมรับผิดชอบแทนพี่รามทุกอย่างเลย”

“จะรับผิดชอบอะไรฉัน? ต่อให้เอาอะไรมาชดใช้ก็เรียกความรู้สึกให้เหมือนเดิมไม่ได้หรอกนะ ความรู้สึกไม่ใช่นาฬิกาที่จะซ่อมได้เมื่อมันพังน่ะ”

“รินเข้าใจค่ะ รินขอโทษนะคะ”

เข้าใจน่ะมันก็เข้าใจ แต่ให้ลืมไปเลยก็คงทำไม่ได้หรอกนะ เพราะเขาเป็นคนที่ไม่ได้มีความผิดอะไรเลย แต่ทำไมต้องมาโดนทำแบบนี้ด้วย อินทัชไม่ใช่นางฟ้าเทวดานะ ไม่ใช่คนที่แสนดีขนาดนั้น ช่วยเข้าใจกันบ้างได้ไหม ที่ผ่านมาทำอะไรไว้บ้าง เขาทั้งขอ ทั้งอ้อนวอน...เคยสนใจกันบ้างไหม

เคยเห็นใจจำเลยแค้นคนนี้บ้างหรือเปล่า...

“อืม...ก็เข้าใจแล้วกัน แต่การให้อภัยน่ะมันต้องใช้เวลา”

“พี่อินไม่เชื่อหรือคะ”

“เชื่อ...ฉันจะเชื่อ” ร่างโปร่งตอบ เป็นคำตอบที่ให้ริลณีรู้สึกเหมือนกับว่าอินทัชแค่ตอบว่าเชื่อไปอย่างนั้นแต่ไม่ได้เชื่อจริงๆ จนเธอร้อนรน

“ถ้าพี่อินคิดว่ารินพูดแก้ตัวให้พี่ราม รินจะลองหาใบประวัติการเข้ารักษามาให้พี่อินดูนะคะ รินคิดว่าพี่รามต้องเอาไว้สักที่แน่ๆ ค่ะ”

ชายหนุ่มส่ายหน้าปฏิเสธ

“ไม่ต้องหรอก ฉันบอกว่าเชื่อก็คือเชื่อ...เอาเป็นว่าฉันเข้าใจเธอ เข้าใจไอ้รามก็แล้วกัน ส่วนเรื่องให้อภัยมันก็เป็นเรื่องของเวลา แต่สบายใจไว้เลย ฉันสัญญากับพี่ชายเธอไว้แล้วว่าถ้าฉันได้กลับบ้าน ฉันจะไม่เอาเรื่อง ไม่แจ้งความ ไม่ดำเนินคดีอะไรทั้งนั้น พวกเราจะเป็นเพียงแค่คนแปลกหน้าเท่านั้น ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน” ประโยคที่ออกมาจากปากของอินทัชทำให้ริลณีหัวใจกระตุก สงสารพี่ชายขึ้นมาจนน้ำตาเอ่อคลอ

พี่ชายของเธอรักอินทัช แล้วอินทัชก็มีความตั้งใจแน่วแน่ที่จะไป และจะลืม...

พี่ชายของเธอก็จะต้องเสียใจอีกครั้ง และครั้งนี้จะเป็นครั้งที่รามินทร์เสียใจมากที่สุดในชีวิต เสียใจมากกว่าครั้งไหนๆ เพราะรักคน...ที่ทำเอาไว้กับเขาอย่างมากมาย

“พี่อิน...ไม่ให้โอกาสพี่รามหน่อยหรือคะ”

“โอกาส? โอกาสอะไร มันขอสามวันฉันก็ให้แล้วไง” เขาทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ทั้งๆ ที่เข้าใจดีว่าหญิงสาวต้องการจะสื่อความหมายถึงเรื่องไหน

“พี่รามรักพี่อิน รินรู้...พี่รามรักพี่อินจริงๆ และรักพี่อินมากด้วยนะคะ”

“อืม...แล้วยังไงล่ะ ฉันไม่ได้รักมันนี่”

“พี่อิน...รินขอร้องนะคะ รินไม่อยากเห็นพี่ชายรินเสียใจ ที่ผ่านมารินปล่อยให้พี่ชายเสียใจกับเรื่องโกหกที่รินแสดงหลอกมาแล้ว รินไม่อยากให้มันเป็นอีก”

“นั่นมันต้องแก้ที่เธอ ฉันไม่เกี่ยว”

“เกี่ยวสิคะ เพราะพี่อินจะเป็นคนเดียวที่ทำให้พี่รามมีความสุขได้”

“แน่ใจได้ยังไง ถ้าฉันกลับไปแล้ว ไม่นานหรอกเดี๋ยวมันก็ลืม...แล้วมันก็จะมีคนเข้ามาใหม่ มีรักใหม่ และนั่นอาจจะเป็นคู่แท้ของมันก็ได้ แต่ฉัน...ฉันไม่ ไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวกับมันไปมากกว่านี้แล้ว เรื่องที่จะคุยมีแค่นี้ใช่ไหม ฉันขอตัวก่อนก็แล้วกัน” ร่างโปร่งลุกขึ้นยืน ก้มมองหน้าสวยของหญิงสาวครู่เดียวก่อนจะเดินออกจากตรงนั้น ไม่สนใจว่าเธอจะทำหน้าแบบไหน ไม่สนว่าเธออ้าปากจะพูดอะไรต่อ

แต่เขาไม่อยากได้ยินว่ารามินทร์รักเขาอีกแล้ว

ไม่อยากได้ยิน...ไม่อยากฟัง ไม่อยากรับรู้…


“มาทำอะไรตรงนี้” เสียงทุ้มคุ้นหูดังมาจากด้านหลัง แต่อินทัชไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่าใคร ก็เลยยืนนิ่งกอดอกมองดาวบนท้องฟ้าอยู่แบบนั้น ทำเอาร่างหนายิ้มเบาๆ แล้วเดินไปยืนข้างๆ กับอินทัช สายตาของร่างโปร่งบางมองที่ท้องฟ้าแต่สายตาของรามินทร์จ้องใบหน้าสวยของอินทัช

ผู้ชายที่หน้าหวาน หน้าสวยกว่าผู้หญิงบางคนเสียอีก แต่กลับเป็นใบหน้าที่ผู้หญิงผู้ชายต่างก็ชอบ และหลงใหล ไม่แปลกใจเลยที่รามินทร์จะเห็นว่าอินทัชมีผู้หญิงผู้ชายควงไม่เคยขาดมือ

พอคิดย้อนกลับไปก็รู้สึกเหมือนจะหึงย้อนหลังยังไงก็ไม่รู้...

“มึงนั่นแหละ มารบกวนเวลาของกูทำไม คิดจะโกงเวลาหรือไง มึงนี่มันพวกขี้โกงจริงๆ”

“มันก็ควรมีกำไรให้กูบ้าง ถึงกูจะไม่ได้บริหารบริษัทใหญ่เหมือนมึงแต่กูก็เป็นนักธุรกิจนะ มึงเองก็เหมือนกันอย่าพูดว่าตัวเองไม่เคยโกง เพราะกูไม่เชื่อ”

“หึ...อวดรู้”

“ทำไมไม่นอน”

“กูไม่อยากนอน ไม่ง่วง”

“แต่มึงต้องตื่นแต่เช้า เพราะพรุ่งนี้เป็นต้นไปสามวัน เวลาของมึงเป็นของกู และทุกวินาทีมีค่า กูจะไม่ปล่อยให้มันเสียไปแม้แต่วินาทีเดียวแน่ๆ” เสียงทุ้มน่าฟังขึ้นมากเพราะมันเป็นครั้งแรกที่รามินทร์พูดกับเขาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น ตั้งใจและจริงจังขนาดนี้

“ไม่ต้องกลัวหรอกน่า ที่ผ่านมากูนอนเที่ยงคืนตื่นตีสามตีสี่ทุกวันกูยังทำได้เลย”

“นี่ประชดกันใช่ไหม ตอกย้ำความเลวกูจังนะ”

“ความจริงทั้งนั้น”

“กูต้องทำยังไง อิน...กูต้องทำยังไง” อินทัชไม่สนใจประโยคนั้น นิ่งสยบทุกอย่าง เพราะถ้าพูดคุยไปมากกว่านี้ มันจะทำให้ที่เขาตั้งใจมันเปลี่ยนแปลงไป

“ทำใจว่ะราม...แล้วก็เผื่อใจเอาไว้ด้วย เพราะมันจะไม่เป็นตามที่มึงต้องการ”

ร่างสูงกว่ายืนนิ่ง รู้สึกเหมือนหมดสิ้นความหวังจนไม่อาจจะขยับไปไหนได้

“อย่างน้อยก็โกหกให้กูมีหวังสักนิดก็ยังดี”

“กูไม่ทำอะไรแบบนั้นหรอก เพราะกูไม่ชอบทำร้ายจิตใจใคร แค้นมันไม่ได้ล้างได้ด้วยการเอาคืน เพราะการทำแบบนั้นมันจะเป็นการสร้างความแค้นต่อไปอีกไม่รู้จบ จำเอาไว้ด้วยล่ะ...”

อินทัชเดินกลับไปยังบ้านพักทันทีหลังที่ทิ้งประโยคแสนจะแทงใจดำให้รามินทร์ได้ยินเคว้งคว้างอยู่ตรงนั้นคนเดียวอย่างนั้น เงยหน้ามองท้องฟ้าด้วยความรู้สึกเจ็บปวด เสียใจกับการกระทำที่ไม่ว่าตอนไหนก็ยังตามหลอกหลอนให้รู้สึกแทบบ้าอยู่แบบนี้

เวลาที่เหลืออยู่นี้...จะขอใช้ให้คุ้มค่าที่สุดก็แล้วกัน





100%

 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

มาต่อแล้วค่า เม้นท์ๆ ด้วยนะคะ ^_^

มีอะไรพูดคุยกันได้ที่ https://www.facebook.com/sawachiyuki/ ค่า

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
 :katai2-1:


สาแก่ใจจริงๆ

ออฟไลน์ kp

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 544
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-3
สงสารทั้งคู่ อินทัชต้องรักคนที่ทำร้ายจิตใจ ย่ำยีร่างกาย ของตัวเอง ส่วนรามินทร์ก็คงรู้สึกผิดที่ทำอะไรลงไปเพราะตอนนี้คงปฏิเสธไม่ได้ว่าทั้งคู่รักกัน แต่ความรักจะชนะทุกอย่างจริงไหม หืมมม... สงสาร

ออฟไลน์ บูมเบส

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1740
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-4
สั้นจังเลยแต่แอบสะใจ

ออฟไลน์ little_munoi

  • ++ singular ++
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-3
อยากอ่านอีก อยากอ่านต่อ..
หน่วงจัง
อยากรู้จัง รามจะชนะใจอินได้ยังไง

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6774
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
ไม่รักจริงๆเหรอ

ออฟไลน์ Jessiebier

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 357
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
รามจะชนะใจอินได้ไหม อินดูไม่ค่อยใจอ่อนง่ายๆเลย :katai2-1:

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
ตอนนี้ถึงแม้ว่าอินจะเอาคืนได้
แต่เราก็หน่วงๆ แทนรามซะงั้น
สู้ๆ นะ

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2685
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
เปลี่ยนกันชกนำแล้วค่ะ ใครจะอยู่ใครจะรอด

สงสารทุกคนเลย ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเปิดใจ ไม่ใช่แค่บอกว่ารักแล้วทุกอย่างจะจบ

ทุกอย่างตอนนี้อินทัชได้เปรียบมากค่ะ รามจะพังไม่พังก็เพราะโอกาสจากอินแล้วนะ
แต่ก็ไม่แปลกถ้าอินทัชจะไม่รับ เพราะที่ผ่านมา ถือว่าโหดมาก

เอาใจช่วยทั้งคู่เลยนะคะ

แล้วแม่หมอเงินจะมาหาทำไมตอนนี้นะ ถ้ามาร้าย ขรรค์ต้องสู้แล้วนะ อย่าปล่อยมือไปอีก

ออฟไลน์ fay 13

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5635
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +286/-44

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ soya29

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 1
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

ออฟไลน์ little_munoi

  • ++ singular ++
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-3
ต่อเหอะ คิดถึง

ออฟไลน์ patsakon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 236
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-2
หายไปไหนคัฟ  รออ่านต่อคัฟ คิดถึงมาก :call:

ออฟไลน์ K3n0

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
รออยู่นะครับ

ออฟไลน์ lovewannabe

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 371
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
สามวัน สองคนนั้น เขาไปถึงไหนกันแล้วเนี่ยย :mew2:

ออฟไลน์ SawachiYuki

  • แค่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 461
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +261/-38
    • Fanpage
Heartless แค้นนี้...มิอาจห้ามรัก
ตอนที่ 39
ไม่คู่ควร



“ทำหน้าแบบนี้ตั้งแต่กลับจากกรุงเทพแล้วนะนายจักร มีอะไรให้คิดงั้นเหรอ ดูเครียดๆ ว่าจะถามตั้งนานแล้ว แต่ไม่มีโอกาสถามเสียที” เจ้าจอมที่กำลังนั่งเช็ดผมอยู่ปลายเตียงถามร่างแกร่งที่ขนาดจะนอนแล้วยังทำหน้าเครียดๆ อยู่ได้

จักรเป็นคนซื่อ คิดอะไรก็แสดงออกทางสีหน้าแบบนั้น ถ้าเครียดคิ้วก็จะขมวดกัน เหม่อๆ เหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างตลอดเวลา ถ้ามีความสุขก็นั่งยิ้มมองทุกอย่างแบบไม่มีจุดมุ่งหมาย

“เปล่าครับ”

“ปฏิเสธทั้งๆ ที่มีน่ะ คิดว่าจะโดนโทษอะไรงั้นหรือ”

“ผมไม่ได้คิดอะไรจริงๆ นะครับ”

“โกหกฉันอีกแล้วนะ อยากให้โกรธจริงๆ ใช่ไหม”

“ไม่ใช่นะครับ ผมไม่ได้อยากให้คุณจอมโกรธ แต่ว่า...เอ่อ คือว่าผม” จักรมีสีหน้าอึดอัด จนเจ้าจอมรู้สึกน้อยใจแต่ก็เข้าใจว่าบางเรื่องเขาก็ไม่ควรเข้าไปยุ่ง

ร่างเล็กพยักหน้าน้อยๆ ก่อนเอ่ยเสียงเบา

“ฉันเข้าใจๆ มันเป็นเรื่องส่วนตัวสินะ ฉันไม่คาดคั้นแล้ว แต่ถ้าอยากให้ฉันช่วยอะไรก็บอกมาได้เลยนะ ฉันยินดีที่จะช่วย...ยังไง เราสองคนก็คบกันแล้วนี่”

จักรยิ้มให้อย่างซึ้งใจที่เจ้าจอมเข้าใจเขา

“ขอบคุณที่เข้าใจนะครับ”

“หึหึ...ไม่ต้องมาขอบคุณหรอกน่า เห็นฉันเอาแต่ใจอย่างนี้แต่ถ้าเป็นเรื่องส่วนตัวที่บอกใครไม่ได้ ฉันก็ไม่คะยั้นคะยอที่จะรู้หรอกน่า เพราะถ้าเป็นฉันก็คงอึดอัดเหมือนนาย”

“คุณจอมทำให้ไอ้จักรตกหลุมรักอีกแล้ว” ร่างสูงพึมพำเพ้อๆ มองใบหน้าน่ารักของคนตัวเล็กกว่าอย่างรัหใคร่และหลงใหล

ยิ่งได้รู้ว่าคนตรงหน้าเป็นของเขาทั้งตัวและหัวใจ อะไรบางอย่างก็ทำให้จักรต้องเริ่มทำอะไรสักอย่างอย่างจริงจังเสียแล้ว อย่างน้อยก็ให้เป็นคนที่คู่ควร...

ไม่ใช่สถานะเจ้านายกับลูกน้องแบบนี้

จักรอยากจะเป็นฝ่ายดูแลเจ้าจอม อยากที่จะช่วยเหลือเจ้าจอมในทุกๆ เรื่องได้ อยากจะเป็นที่พึ่งพาให้กับเจ้าจอม อยากจะคุยทุกเรื่องกับเจ้าจอมได้โดยที่เขาเองก็รู้เรื่องนั้น

“บ้า! ปิดไฟแล้วมานอนได้แล้วไป”

“เช็ดผมยังไม่แห้งเลยนะครับ เดี๋ยวก็เป็นหวัดหรอก”

“ขี้เกียจแล้ว ง่วงมาก อยากนอนเลย เดินทางมาถึงก้ยังไม่ได้พัก มัวแต่เคลียร์ปัญหาวุ่นวายของพี่รามกับพี่อินแล้วก็รินนี่แหละ เฮ้อ...นึกว่าพี่รามจะอาละวาดรินเสียอีก”

“มาครับ เดี๋ยวผมเช็ดให้” จักรเดินมาหาร่างบางที่นั่งอยู่ คว้าเอาผ้าเช็ดตัวแล้วเริ่มเช็ดผมให้กับเจ้าจอมอย่างเบามือที่สุด

“ขอบคุณนะ”

“จริงๆ แล้ว ผมคิดว่าคุณรามน่าจะอาละวาดนะครับ แต่ว่านี่มันมีเรื่องของไอ้อินเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย แล้วมันก็ไม่ได้ผิดอะไรเลย ไม่แปลกหรอกครับที่เรื่องที่ตัวเองทำกับอินมันจะน่าเสียใจกว่าเรื่องที่คุณรินปิดบังมาตลอดทั้งชีวิต” จักรพูดขณะที่มือก็เช็ดผมให้กับเจ้าจอมไปด้วย

“ฉันก็คิดแบบนายนะ”

“สงสารนะครับ ผมไม่รู้ว่าจะสงสารใครดี”

“อืม...พอมาได้รู้เหตุผลของแต่ละคน ฉันก็เห็นใจทั้งสามนั่นแหละ แต่ถ้ารินมันยังนิสัยเหมือนเดิมฉันก็ตัดมันออกจากกลุ่มคนน่าสงสาร”

“ทำไมดูเหมือนคุณจอมกับคุณรินไม่ถูกกันเลยล่ะครับ”

“ใครว่าไม่ถูกกัน?”

“ก็ผมเห็นพวกคุณทะเลาะกันตั้งแต่เจอเลย”

“ฮ่าๆ มันเป็นการทักทายของเราน่ะ แต่ก็รักกันนั่นแหละ ให้มาพูดจาหวานๆ กับเพื่อนที่เล่นด้วยกันมาตั้งแต่เด็กๆ เนี่ยนะ ขนลุกตายเลย” ตอบพลางทำท่าประกอบการขนลุกไปด้วย เรียกเสียงหัวเราะเบาๆ ในลำคอจากจักรได้เป็นอย่างดี

“คุณรินนี่เก่งนะครับ พูดได้ตั้งหลายภาษา”

“ก็เรียนต่างประเทศไง สถานที่มันบังคับให้เราต้องพูดได้น่ะ แต่ถ้าเราอยากจะเป็นโดยไม่ต้องไปที่ประเทศนั้นๆ ก็ต้องมีความใฝ่รู้ อดทน ตั้งใจมากๆ เลยล่ะ จริงอยู่ที่ภาษามันไม่ง่าย แต่ก็ไม่ยากเกินไปสำหรับความสามารถของคนเราหรอก”

“ก็จริงนะครับ ขนาดผมเรียนจบป.ตรี ยังพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้เลย พอฟังออกได้นิดหน่อย แต่พูดนี่ยังกล้าๆ กลัวๆ อยู่เลยครับ”

“ภาษาน่ะ จะภาษาไหนก็ตามแต่ ต้องอาศัยความกล้า ต้องลองพูดจริง ต้องลองผิดลองถูก อย่ากลัวที่จะพูด เพราะนั่นมันจะทำให้เราพัฒนาช้า ที่ถามแบบนี้เนี่ย สนใจจะเรียนภาษาเพิ่มเติมเหรอ”

“ครับ” ตอบเจ้าจอมเบาๆ

พอเห็นเจ้าจอมพูดภาษาอังกฤษได้ปร๋อ ฟังออกได้สบายแล้วก็รู้สึกว่าตัวเองด้อยค่ามากๆ แล้วยิ่งมาเห็นอินทัชพูดฝรั่งเศสอย่างไม่ติดขัดนั่นอีก

คนเราน่ะ...ถูกปูทางชีวิตมาไม่เหมือนกัน

“ก็ดีนะ เข้าสู่อาเซียนแล้วด้วย ฉันคิดว่าทางรีสอร์ทควรจัดอบรมภาษาอังกฤษให้พนักงานดีไหม แล้วก็ทำการโปรโมทให้ชาวต่างชาติมาพักมากขึ้น”

“เป็นความคิดที่ดีนะครับ คุณจอมลองเสนอมคุณรามดูนะครับ”

“ได้สิ” เจ้าจอมตอบรับยิ้มๆ

ไม่นานผมของเจ้าจอมก็แห้งพอที่จะนอนได้แล้ว จักรเดินเอาผ้าไปตากที่ราวก่อนจะเดินเข้ามาในห้องปิดไฟแล้วเดินไปนอนบนเตียงข้างๆ กับเจ้าจอมอย่างรู้งาน

วันไหนที่ต้องมานอนกับเจ้าจอม เขาต้องนอนบนเตียง นอนข้างๆ กับร่างเล็กที่เดี่ยวนี้เป็นหมอนข้างให้เขากอดโดยไม่อยากจะห่างไปไหนแม้สักวินาทีเดียว

หมับ!!

“ผมชอบที่จะกอดคุณจอมแบบนี้”

“เหมือนกัน”

“จะไม่มีใครพรากคุณไปจากผมใช่ไหมครับ” ถามคนในอ้อมแขนเสียงแผ่วเบา แต่ติดสั่นกลัวอยู่ด้วย

“ไม่มีทางหรอกน่า นอกเสียจาก นายจะเดินออกไปจากฉันเอง”

“ไม่มีวันครับ”

“อืม...”

“ไม่มีวันมีวันนั้นแน่นอนครับ”

“ให้มันจริง”

ผมจะจับมือคู่นี้ ไม่มีวันปล่อย แม้ว่าอุปสรรคข้างหน้าจะมากมายขนาดไหน แค่มีคุณจอม ผมก็พร้อมที่ลุยฝ่ามันไป และจะปกป้องคุณจอม ไม่ให้มีรอยแผล แม้แต่รอยขีดข่วน...


“เงินเก็บแค่นี้ไม่พอแน่ๆ เราต้องมีมากกว่านี้ ต้องมีบ้านเป็นของตัวเอง จะให้ใครมาว่าเรามาเกาะคุณจอมไม่ได้เด็ดขาด” จักรมองตัวเลขในสมุดบัญชีของตนแล้วถอนหายใจ แม้จะมีอยู่เจ็ดหลัก แต่แค่นี้มันก็หมดไปเร็วจะตายไป ยิ่งของทุกวันนี้ราคาแพงขึ้นด้วยแล้ว

จะสร้างบ้านทั้งทีก็อยากให้มันสวยและใหญ่โตสมกับฐานะเจ้าจอม

“อีกกี่ปีถึงจะเก็บเงินถึงขนาดนั้นได้นะ”

เพราะตอนที่รามินทร์จะขึ้นเงินเดือนให้ ตัวเขาก็ปฏิเสธ เพราะชีวิตเหลือตัวคนเดียวแล้ว ไม่มีญาติพี่น้องที่ไหนจะต้องเลี้ยง ต้องส่งเงินดูแล ไม่คิดไม่ฝันด้วยว่าตัวเองจะสมหวังกับเจ้าจอม

“เฮ้อ...ต้องรับงานข้างนอกอีกแล้วสินะ”

ถ้าเป็นไปได้ จักรก็ไม่อยากรับงานข้างนอกหรอก เพราะมันเหนื่อย เนื่องจากจักรค่อนข้างมีชื่อเสียงในเรื่องของการจัดสวน ทั้งทางบริษัทบางแห่งที่ต้องการจัดสวนบริษัท เหล่าเศรษฐีใหม่ นักธุรกิจหรือกระทั่งคนทั่วไปที่กำลังสร้างบ้านหรือต้องการเปลี่ยนรูปแบบสวนใหม่ก็ต้องการจะให้เขาไปออกแบบสวนและจัดสวนให้อยู่เยอะมาก จนเขาต้องหยุดรับงานไป  เพราะถ้าเขาจะรับ เขาก็อยากจะทำทุกเคส ไม่ใช่จะรับเฉพาะงานใหญ่ได้เงินเยอะ แต่เขาก็อยากจะจัดให้คนที่ต้องการแบบเล็กๆ งบน้อยๆ ด้วย

“ฮัลโหลพี่เสก ผมจะรับงานน่ะ ช่วยหาลูกค้าให้หน่อยนะพี่” แต่ต่อให้เหนื่อยขนาดไหน จักรก็ต้องทำและต้องทนเท่านั้นแหละ ค่าตอบแทนแต่ละงานของเขาก็ค่อนข้างจะสูงกว่าคนอื่นด้วย นับว่าโชคดีทีสั่งสมประสบการณ์เอาไว้อย่างมากมายจนได้รับความนิยมแบบนี้

(ได้ยินแบบนี้พี่ชื่นใจจังเลยว่ะจักร มีลูกค้ารายใหญ่ที่ให้จัดสวนปริษัทติดต่อของคิวของมึงเอาไว้อยู่สามบริษัท แต่อยู่ต่างจังหวัดนะ แล้วก็มีบ้านพักตากอากาศของพลโทนฤทธิ์ด้วยนะ อืม...จริงๆ ก็มีรายเล็กๆ อยู่ประมาณสามสี่รายนะ ขอดูรายละเอียดก่อน ทั้งหมดที่กูพูดมาเนี่ย ยินดีจองคิวมึงแบบที่กูก็บอกไปแล้วว่าไม่รู้เมื่อไหร่มึงจะรับงานอีก) ปลายสายเป็นรุ่นพี่มหาวิทยาลัยที่เขาเคยทำงานด้วยช่วงหนึ่ง แกเปิดบริษัทรับจัดสวนเล็กๆ

“ส่งรายละเอียดการติดต่อมาทั้งหมดเลยพี่ ฉันจะทำทั้งหมดนั่นแหละ”

(ไหวเหรอวะจักร มันเยอะมากเลยนะเว้ย)

“ฉันทำไหวน่ะพี่”

(ตามใจ เดี๋ยวเข้ามาเอาเองได้ไหมล่ะ อยากเจอพอดี จะได้คุยงานกันนิดๆ หน่อยๆ ด้วย)

“ก็ได้พี่ เดี๋ยวประมาณบ่ายๆ ฉันจะเข้าไปก็แล้วกัน ขอไปทำงานแล้วบอกคุณรามก่อน”

(เออๆ บอกคุณรามให้เรียบร้อยนะเว้ย เจอกันเว้ยจักร)

“ครับพี่”

ร่างแกร่งวางสายไป ก่อนจะเก็บสมุดบัญชีเข้าลิ้นชักเหมือนเดิม ถอนหายใจเรียกกำลังใจจากตัวเองแล้วอาบน้ำแต่งตัวออกไปทำงานของตัวเอง

ยังคิดไม่ออกเลยว่าถ้าเขาไม่มีเวลาให้เจ้าจอมหลายๆ เดือน เจ้าจอมจะเลิกรักเขาหรือเปล่า แต่ทุกอย่างที่ทำไป จักรก็ทำเพื่อคำว่า ‘เรา’ ในอนาคตทั้งนั้น


“เอาไป ฉันให้ทิพย์ติดต่อไปยังลูกค้าที่คอนเฟิร์มจริงๆ แล้ว มึงจะได้ไม่ต้องติดต่อไปเอง ส่วนนี่เป็นตารางนัดคุยงานของลูกค้าแต่ละคน ถ้ามึงคุยกับลูกค้าคนไหนเสร็จแล้วมึงรีบบอกกูนะ กูจะได้เตรียมคนงานให้มึง”

“ได้ครับพี่”

“ว่าแต่ร้อนเงินหรือมึง ถึงได้รับงานเยอะขนาดนี้”

“ไม่ได้ร้อนหรอกพี่ แต่จะรีบเก็บเงินสร้างบ้านน่ะ”

“อ๋อ...ดีแล้วๆ แต่ไม่ควรรีบหรือเปล่า มึงก็อายุไม่เท่าไหร่เอง”

“โหยพี่ ถ้าไม่รีบตอนนี้แล้วจะเก็บเงินได้ตอนไหนล่ะพี่ ก็ต้องเก็บไปเรื่อยๆ แหละ” จักรตอบจริงจัง รุ่นพี่ของเขาก็เลยได้แต่หัวเราะน้อยๆ

“จะสร้างกี่บ้านกี่ล้านวะมึง”

“ก็เอาที่มันดีที่สุดน่ะพี่”

“เป็นกำลังใจให้ก็แล้วกันนะเว้ย เอาเป็นว่าคราวนี้มึงไม่ต้องแบ่งเงินมาให้กูก็ได้ ยังไงเราก็คนกันเอง มึงก็เหมือนน้องชายกู มึงช่วยให้บริษัทกูมาถึงตรงนี้ได้ แต่กูยังไม่เคยตอบแทนมึงเลยนะ คราวนี้ไม่ต้องให้เปอร์เซ็นบริษัทหรอก แต่ค่าคนงานก็ตามปกติเลย”

“จะบ้าเหรอพี่ เอาแบบเดิมนั่นแหละนะ”

“มึงแม่งจริงๆ เลยว่ะจักร” เสกสรรส่ายหน้าอย่างระอา

“ยังไงฉันก็ได้เยอะอยู่แล้วน่า เก็บไปเรื่อยๆ ไม่เร่งรีบอะไรหรอก พี่เองก็ต้องใช้เงินจ่ายลูกน้อง ลงทุนในบริษัทอีก ฉันไม่อยากจะเอาเปรียบพี่หรอก”

“เอาเปรียบที่ไหนกันวะ มึงก็เป็นอย่างนี้ตลอด กูให้อะไรก็ไม่เคยเอา”

“แค่มีพี่เป็นพี่ฉันก็ไม่ต้องการอะไรแล้ว สำหรับฉันพี่เป็นเหมือนญาติคนเดียวในชีวิตที่ฉันมีนะพี่ แค่ตอนที่ฉันยังเรียนอยู่ พี่คอยช่วยเหลือฉันมาตลอด แค่นี้ฉันยังทดแทนพี่ไม่หมดด้วยซ้ำ”

“ทดทงทดแทนอะไรวะจักร เราพี่น้องกันนะเว้ย ไม่ใช่สายเลือด แต่ก็เหมือนใช่ เพราะกูเองก็มีมึงเป็นเหมือนญาติคนเดียวเหมือนกัน”

เพราะพวกเขาเหมือนกัน เราเลยเข้าใจกัน

“ขอบคุณนะพี่ แล้วนี่พี่ทิพย์กับหลานไปไหนล่ะ”

“ทิพย์เลี้ยงเจ้าแสบอยู่ด้านหลังนั่นแหละ จะเข้าไปหาหลานไหมล่ะ”

“ไม่ล่ะพี่ ฉันจะไปทำงานต่อ”

“ไปทำงานหรือมีนัดกับใคร? กับคุณเจ้าจอมไปถึงไหนแล้ววะ” เป็นคำถามที่จักรยิ้มให้อย่างเดียว เพราะไม่รู้จะตอบว่าอะไร แต่เสกสรรเห็นแบบนั้นก็เข้าใจนัยยะที่จักรสื่อได้ทันที

ปุบๆ

ตบไหล่แกร่งของจักรด้วยความยินดี

“ดีใจด้วย มิน่าล่ะ เก็บเงินสร้างบ้านแล้ว ขอให้มึงประสบความสำเร็จนะเว้ย มีความสุขกับชีวิตคู่นะ ที่สำคัญอย่าโง่ให้มันมาก เข้าใจ๋?”

“ฮ่าๆ”

หัวเราะเสียงดังกับคำว่าโง่ที่พี่ชายตอกย้ำมา...ไม่ได้โกรธหรอก เพราะชินแล้วกับเรื่องที่โดนเสกสรรเอาเรื่องซื่อบื้อของเขามาล้อว่าโง่

“ไปๆ แล้วเจอกันนะ”

“สวัสดีครับพี่” จักรยกมือไหว้ลา ก่อนจะเดินออกจากสำนักงานบริษัทที่ชั้นล่างสำนักงาน ชั้นบนเป็นบ้านของเสกสรรกับภรรยาและลูกตัวน้อย

จักรเดินทางกลับมาถึงรีสอร์ทก็ไปทำงานของตัวเองต่อทันที ระหว่างนั้นก็เจอเข้ากับรามินทร์และอินทัชที่กำลังจะพากันออกไปข้างนอก

“จักร...”

“ครับคุณราม”

“กลับมาจากทำธุระแล้วเหรอ ฉันกับอินจะออกไปข้างนอก ยังไงฝากดูแลความเรียบร้อยช่วยขรรค์มันหน่อยนะ อยากได้อะไรหรือเปล่าจะซื้อมาให้”

“ไม่เป็นไรครับคุณราม เชิญคุณรามกับอินทำธุระตามสบายเลยครับ”

“เย็นนี้มากินข้าวด้วยกันนะ ฉันสั่งให้คนให้รอเตรียมตอนเย็นแล้ว มีอะไรก็ค่อยไปพูดกันตอนเย็นเลย วันนี้ฉันไม่ค่อยว่าง” รามินทร์พูด

“ครับ”

เรื่องที่จักรรับงานจากข้างนอกยังไม่ได้พูดกับรามินทร์เลย เพราะตอนที่โทรไป เจ้านายบอกไม่ว่างกำลังติดธุระอยู่ ถ้าเดาไม่ผิดก็คงจะอยู่กับอินทัช เหมือนจะไม่ให้เวลาที่มีอยู่สูญเปล่าเลยจริงๆ

อินทัชพยักหน้าแล้วยิ้มทักทายจักร ส่วนจักรเองก็ยิ้มทักทายกับอินทัช จะว่าไปแล้วเขาก็ไม่ค่อยรู้จักอะไรในตัวเพื่อนของเขาคนนี้มากนัก เป็นนักธุรกิจ...และโดนจับตัวมาแก้แค้น รู้อยู่แค่นั้น แต่ด้วยความสามารถด้านภาษาฝรั่งเศสนั่น ก็คงจะไม่ใช่นักธุรกิจธรรมดาๆ สินะ


“จอมจะทำอะไรมันก็เรื่องของจอม พ่อเลิกบงการชีวิตของจอมสักทีได้ไหม!!”

กึก!

เท้าแกร่งชะงักนิ่ง เมื่อจักรมาหาคนรักตามปกติก็ได้ยินเสียงเจ้าจอมคุยโทรศัพท์ด้วยน้ำเสียงเหวี่ยงๆ โมโหที่เขาไม่เคยได้เห็นเลย

“ถ้าพ่อไม่คิดจะเลิกบังคับจอมก็อย่าหวังว่าจอมจะกลับบ้านเลย ที่ที่เต็มไปด้วยกฎหลัก กฎเกณฑ์ เอาแต่บังคับให้ทำนู่นนี่นั่นอย่างกับลูกไม่มีหัวใจ ไม่มีความรู้สึก จอมไม่มีทางกลับไปหรอก และจะไม่ทำตามที่พ่อต้องการด้วย!!!”

จักรไม่รู้จะทำยังไงดี จะเข้าไปหา จะแอบฟังหรือว่าจะเดินออกไปก่อนดี แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจที่จะยืนฟังต่อไป จะได้รู้ปัญหาของคนรักด้วย และเขาก็เพิ่งจะมารู้เอาตอนนี้แหละ ว่าเจ้าจอมมีปัญหากับครอบครัวรุนแรงแบบนี้

“ถ้ารู้ว่าพ่อโทรมาพูดเรื่องบ้าๆ พวกนี้ จอมไม่รับให้เสียเวลาหรอก เลิกบังคับกันสักที ก็แล้วไงล่ะ จอมเป็นลูกชายคนเดียวของพ่อก็จริง แต่พ่อเองก็หลานรักอยู่แล้วนี่ ก็คาดหวังที่พวกมันแทนสิ”

ใบหน้าน่ารักของเจ้าจอมตอนนี้บิดเบี้ยวด้วยอารมณ์โกรธ โมโห...แต่ก็ไม่น่าตกใจเท่ากับประโยคต่อมาหรอก

“จอมรักจักร!!! จอมจะอยู่กับจักร จะอยู่กับพี่รามที่นี่!!” ลั่นวาจาออกมาจริงจัง แม้ว่าจะดีใจที่ได้รู้ว่าเจ้าจอมรักเขามากจริงๆ แต่ก็อดรู้สึกผิดไม่ได้ที่เป็นต้นเหตุให้พ่อของเจ้าจอมโดนลูกชายขึ้นเสียงใส่

“จักรไม่รวยก็จริง แต่จักรเป็นคนดี เขาไม่ได้มาเกาะจอมอย่างที่พ่อคิดหรอก ก็แล้วแต่ครับ เงินที่พ่อส่งมาให้ทุกเดือน บัตรเครดิตทุกใบ จอมก็ไม่เคยใช้อยู่แล้ว ทุกวันนี้จอมทำงาน ใช้เงินเดือนของตัวเอง ก็มีความสุขดี ไม่จำเป็นต้องมีเงินทองมากมายมากองให้ท่วมหัวตัวเองแต่ไม่มีความสุขหรอกครับ จอมอยู่ที่นี่ มีเงินใช้แค่นี้ จอมมีความสุขที่สุดแล้ว!! ที่สำคัญ...จอมได้รับความรัก แบบที่จอมไม่เคยได้รับมันจากพ่อกับแม่!! แค่นี้นะครับ สวัสดี!!” เจ้าจอมวางสายอย่างหัวเสีย รู้ตัวเองดีว่าที่ทำตัวแบบนี้มันไม่เหมาะสม มันบาป

การที่ขึ้นเสียงใส่บุพการี ใช่ว่าเจ้าจอมอยากจะทำเสียเมื่อไหร่...แต่ทุกครั้งก็โดนบิดาหาเรื่องตลอด จากที่จะพูดกันดีๆ ก็เปิดฉากทะเลาะกันทุกครั้งไป

...

...

...

มีต่อ

ออฟไลน์ SawachiYuki

  • แค่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 461
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +261/-38
    • Fanpage
ตอนที่ 39 ครึ่งหลัง




“ทำไมพ่อกับแม่ถึงไม่เคยเข้าใจอะไรจอมเลยนะ” ร่างเล็กตัวสั่น เสียงสั่นเครือ ร้องไห้ออกมาอย่างสุดแสนจะอดกลั้น...ทำเอาร่างสูงแทบจะถลาเข้าไปโอบกอด แต่จักรรู้ดีว่าเจ้าจอมไม่อยากให้เขาเห็นด้านนี้ของตัวเองแน่ๆ เลยได้แต่อดทนยืนรอเวลาเหมาะสมก่อนค่อยเข้าไป

อย่างน้อยก็ทิ้งช่วงจากการวางสายโทรศัพท์ของเจ้าจอมหน่อยจะได้ไม่มีพิรุธ

จักรเป็นคนที่เข้าใจอะไรช้าก็จริง โง่ ซื่อบื้อ แต่ก็ไม่ขนาดที่จะฟังไม่รู้เรื่องว่าเขาโดนต่อต้านจากครอบครัวของคนรัก แน่นอนแหละในเรื่องของฐานะ ส่วนในเรื่องชอบเพศเดียวกัน จักรคิดว่าทางครอบครัวก็คงรู้ดีอยู่แล้วเพราะร่างเล็กไม่เคยปิดบังว่าตัวเองชอบผู้ชายกับใคร

“คุณจอมครับ” จักรเดินไปหยุดที่ด้านหลังของเจ้าจอมก่อนจะเรียกคนรัก จนเจ้าจอมต้องรีบเช็ดน้ำตาออกไปอย่างรวดเร็ว แล้วหันมายิ้มหวานให้กับจักรเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

จักรรู้ดีว่าเจ้าจอมอยากให้เข้าสบายใจเลยไม่แสดงมุมอ่อนแอออกมา

“มาแล้วเหรอ หิวหรือยัง”

“นิดหน่อยครับ”

“งั้นก็ไปกันเถอะ ฉันหิวมากๆ เลยล่ะ”

“คุณจอมครับ...” จักรเรียก

“ว่าไง”

“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ ตาแดงๆ นะ” ชั่ววูบหนึ่งเขาเห็นความวูบไหวในดวงตาสวยก่อนจะหายไปอย่างรวดเร็ว เพราะเจ้าจอมปรับอารมณ์ตัวเองได้ไว

“ไม่เป็นไรหรอกน่า ฝุ่นมันเข้าตาเฉยๆ”

มันช่างเป็นมุขที่ไม่ว่านิยายหรือละครเรื่องไหนก็ต้องมีประโยคนี้ ‘ฝุ่นเข้าตา’ ไม่มีใครเคยบอกหรือไงว่าเหตุผลนี้มันเชื่อไม่ได้

“ไม่เป็นอะไรแน่นะครับ คุณจอมมีอะไรบอกผมได้นะครับ อย่าเก็บเอาไว้คนเดียวเลย”

เจ้าจอมยิ้มหวานให้ แล้วส่ายหน้าน้อยๆ ก่อนจะเดินมาควงแขนแกร่ง ดึงรั้งให้เดินตามตนออกไปจากสำนักงานของรีสอร์ท

“ถ้าเป็นห่วงฉันก็ช่วยพาไปกินข้าวเร็วๆ หน่อย ฉันหิวมาก”

“ครับ…”

เจ้าจอมทำได้ยังไง ที่พยายามแสร้งทำเป็นเข้มแข็งทั้งๆ ที่อยากจะร้องไห้ออกมาเต็มทีแล้ว ร่างเล็กไม่รู้หรอกว่าจักรกำลังรู้สึกยังไง อยากจะช่วยคลายความทุกข์ แต่ก็ไม่อยากพูดออกไปให้เจ้าจอมไม่สบายใจถ้ารู้ว่าเขาได้ยินหมดทุกอย่าง

เจ้าจอมกลัวว่าจักรจะยอมถอย ไม่ยอมสู้

โดยไม่รู้เลยว่า ต่อให้เจอเรื่องหนักหนาสาหัสกว่านี้ จักรก็ไม่วันปล่อยมือ...กว่าจะได้ความรักตอบกลับมามันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ แล้วจะให้เห็นแก่ตัวทิ้งเจ้าจอมง่ายๆ จักรทำไม่ได้

และไม่มีวันทำด้วย...


“รับงานข้างนอกเหรอ ตามใจแกสิ...แต่ว่ามันจะไม่หนักไปเหรอ ถึงงานที่รีสอร์ทจะไม่หนักเท่าไหร่ก็ตาม แต่คิวแกเยอะขนาดนี้ จอมมันยอมเหรอ” รามินทร์ถาม ส่วนอินทัชเองที่นั่งอยู่ด้วยก็กอดอกมองจักรอย่างพิจารณาอะไรบางอย่าง

พวกเขานั่งกันอยู่ในห้องอาหารของรีสอร์ทสามคน รอเจ้าจอมที่ตอนนี้ไปอาบน้ำที่บ้าน ส่วนขรรค์กับเงินไม่ได้มาร่วมโต๊ะด้วยเนื่องจากว่ามีแขกคนสำคัญมาหาอย่างกะทันหันไม่บอกไม่กล่าว เลยต้องไปต้อนรับและอยู่กับทางนั้น รินลณีกับฟรองซัวไปเที่ยวเลยจะทานข้างนอกก่อนกลับมา วันนี้เลยมีแค่สี่คนที่ร่วมโต๊ะเท่านั้น

จักรที่เห็นว่าเจ้าจอมยังไม่มาก็เลยรีบบอกเจ้านายทันที เขาไม่อยากให้เจ้าจอมรู้ว่ารับงานข้างนอก ไม่งั้นอาจจะโดนถามถึงเหตุผลได้ ให้เขาหาเรื่องมาโกหกก็ทำไม่เป็นด้วยสิ ไม่ใช่ว่าดีซะจนโกหกใครไม่เป็น แต่โกหกทีไรโดนจับได้ตลอดเลยต่างหาก

“คุณจอมไม่รู้ครับ แล้วก็ไม่อยากให้รู้ด้วยน่ะครับ ขอร้องคุณรามอย่าบอกคุณจอมนะครับ” จักรอ้อนวอน

“ทำไมล่ะ มีอะไรหรือเปล่า หรือว่าแกเดือดร้อนเรื่องเงิน ให้ฉันช่วยได้นะ ยังไงแกก็เป็นลูกน้องคนสนิทของฉัน” รามินทร์ออกตัว ทำเอาจักรมองเจ้านายด้วยสายตาซาบซึ้ง

ถึงแม้ว่ารามินทร์จะทำไม่ดีกับอินทัช ทำเรื่องเลวร้ายที่เขาไม่อยากจะเชื่อ แต่ที่ผ่านมาตั้งแต่ที่เขาทำงานที่นี่จนถึงวันนี้ รามินทร์เป็นเจ้านายที่แสนดีเสมอ...และเขาก็จะจงรักต่อไป

“ผมไม่ได้เดือดร้อนเงินหรอกครับ แต่มีเหตุผลส่วนตัวนิดหน่อย” เลี่ยงหลบสายตาจากรามินทร์และอินทัช พอรามินทร์ได้ยินแบบนั้นก็ถอนหายใจออกมา

“เฮ้อ...เอาเป็นว่าฉันจะไม่บอกเจ้าจอมก็แล้วกันนะ”

“ขอบคุณครับ”

รอไม่นานเจ้าจอมก็มาถึงห้องอาหารพอดีกับอาหารเสิร์ฟครบพอดี ทั้งสี่คนลงมือทานอาหารทันที แต่ก็ทานไปคุยไปอย่างไม่รีบร้อน บรรยากาศระหว่างรามินทร์กับอินทัชดูไม่มีอะไรเปลี่ยนไป เพราะเจ้าของใบหน้าสวยยังคงมีท่าทีที่เย็นชาเหมือนเดิม ผิดกับรามินทร์ที่เอาใจใส่ ตักอาหารให้อินทัชอยู่ตลอดเวลา

จักรกับเจ้าจอมเองก็ดูแลกันและกันตามปกติเวลาที่ทานอาหาร พอมื้อเย็นเสร็จแล้ว รามินทร์กับอินทัชก็ขอตัวกลับไปก่อน เหลือเพียงจักรกับเจ้าจอมที่ยังนั่งอยู่ไม่ไปไหน

“วันนี้ดูเราจะไม่ค่อยได้คุยกันเลยนะ”

“ครับ ก็เราเจอกันแค่ตอนกลางวันและตอนนี้นี่ครับ คุณจอมงานยุ่งผมเลยไม่อยากจะกวน”

“กวนอะไรล่ะ นายไม่อยู่นี่แหละที่มันกวนใจฉัน”

“ผมก็ต้องทำงาน”

“ฮ่าๆ นั่นสินะ ลืมไปเลยว่านายก็ต้องทำงาน” เจ้าจอมว่าเสียงกลั้วหัวเราะ

รอยยิ้มและเสียงของเจ้าจอมตอนมีความสุขเป็นเหมือนน้ำชโลมหัวใจของจักรให้สดชื่น มีกำลังใจที่จะสู้ต่อไป ดวงตาคมดุจ้องมองดวงหน้าน่ารักของเจ้าจอมอย่างเหม่อลอย

ไม่รู้ว่า...รอยยิ้มนี้จะยังคงอยู่ไหมหากเจ้าจอมอยู่กับคนจนๆ อย่างเขา

มันจะหายไปไหม ถ้าหากว่าวันหนึ่งเราต้องเจอกับความลำบากมากมาย

“จักร...นายจักร!!! เหม่ออะไรน่ะ ได้ยินที่ถามไหม”

“ฮะ...ครับ คุณจอมว่าอะไรนะครับ” ร่างหนาสะดุ้งเมื่อเจ้าจอมเรียกเขาเสียงดังลั่น ทำเอาพนักงานกับลูกค้าต่างพากันมามองอย่างสนใจ พอเจ้าจอมหันไปโค้งขอโทษเท่านั้นแหละ ถึงได้เลิกเป็นจุดสนใจ

“นายดูแปลกๆ นะช่วงนี้ แต่ฉันคาดคั้นไปนายก็ไม่พูดหรอกใช่ไหม”

“ผม...แค่รู้สึกว่าจะไม่สบายน่ะครับ”

“หืม...งั้นไปกินยาแล้วนอนพักเถอะ เดี๋ยวฉันจะไปส่งที่บ้านนายเอง”

“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมไปส่งคุณจอมก่อนก็ได้”

“ได้ยังไงล่ะ ถ้าปล่อยนายกลับคนเดียวแล้วไม่ยอมกินยาล่ะ ไม่รู้แหละ ฉันจะไปส่ง จนกว่าจะเห็นนายกินยาฉันถึงจะกลับ” ร่างเล็กบอกอย่างเด็ดขาด จักรก็เลยไม่กล้าขัด กล้าแย้ง

“ครับ”

“ที่บ้านนายมียาไหม”

“มีครับ”

“มียาอะไรบ้าง”

“ก็มี...พาราครับ” ตอบเสียงเบา

“มีแค่นี้?”

“ครับ”

“แล้วเวลาที่ป่วยล่ะ อย่าบอกนะว่ากินแต่พารา” จักรพยักหน้าแทนที่จะตอบ ทำเอาเจ้าจอมทำหน้าเอือมระอาทันที ร่างเล็กกว่าเลยลุกขึ้นยืนเดินมาหาจักรก่อนจะฉุดแขนแกร่งให้ลุกขึ้น จักรเองก็เดินตามแรงดึงที่ไม่มากของร่างเล็กกว่า ก่อนที่ตนจับมือของเจ้าจอมออกจากแขน แล้วสอดประสานนิ้วมือทั้งห้าเข้ากันแทน

หมับ!

เจ้าจอมก้มมองมืออย่างแปลกใจ แต่ก็ยิ้มออกมาด้วยความสุขใจเช่นกัน ก่อนจะกระชับมือให้แนบแน่นกว่าเดิม เดินเคียงคู่กันไป ไม่สนว่าจะมีใครมองมาหรือเปล่า แต่เวลานี้...มันเป็นเวลาของเรา

ไม่ว่าใคร...ก็พรากเราจากกันไม่ได้

หากจักรถูกพรากเจ้าจอมออกไปจากอ้อมแขนของเขา ชีวิตนี้...จักรก็ไม่เหลืออะไรอีกแล้ว ถ้ามันมีวันนั้น เขาจะยังมีชีวิตอยู่ไปได้ยังไง...

เขาตอบตัวเองไม่ได้ว่าทำไมถึงได้รักเจ้าจอมมากมายถึงเพียงนี้...

“ยาอยู่ตรงไหน”

“เดี๋ยวผมหาเองดีกว่าครับคุณจอม บ้านผมมันรก หาของยาก”

“รู้ว่ารกแล้วทำไมไม่รู้จักเก็บ ไม่รู้จักทำความสะอาด”

“ผม...ไม่ค่อยมีเวลาน่ะครับ”

“เฮ้อ...จริงๆ เลยนะนาย รีบไปกินยาซะ อ้อ เอามากินให้ฉันเห็นด้วยนะ ฉันจะนั่งรออยู่ตรงนี้แหละ” เจ้าจอมสั่ง แล้วทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาตัวเก่าที่เคยมานั่งแล้วอยู่บ่อยครั้ง จนกระทั่งจักรเดินกลับมาพร้อมกับกินยาโชว์เจ้าจอมตามคำสั่ง ก่อนจะวางขวดเอาไว้แถวๆ นั้น

“ผมกินแล้วครับ”

“อืม...ดีมาก”

“คุณจอม...ให้ผมเดินกลับไปส่งไหมครับ”

“ไม่ต้องหรอกน่า ฉันเดินกลับเองได้ จะกลัวอะไร ฉันก็ผู้ชายเหมือนกับนายนะจักร”

“ทุกวันนี้ผู้หญิงผู้ชาย ถ้าอยู่คนเดียวก็อันตรายพอๆ กันนั่นแหละครับ” เจ้าของใบหน้าโหดเถียงกลับอย่างเป็นห่วงและกังวลว่าเจ้าจอมจะได้รับอันตราย

และถ้าเขาไม่ได้เห็นว่าเจ้าจอมถึงบ้านแล้ว เขาก็ไม่มีทางเลิกกังวลแน่ๆ

“แต่ที่นี่มันถิ่นรีสอร์ทนะจักร ไม่มีใครกล้าเข้ามาทำอะไรหรอกน่า”

“แต่ว่า...”

“ไม่สบายก็ไปพักไป”

“ผมแค่รู้สึกเหมือนว่าจะไม่สบายครับ ยังไม่ได้ไม่สบายจริงสักหน่อย”

“มันก็เหมือนๆ กันนั่นแหละ อย่าเถียงนะ ฉันว่ายังไงก็อย่างนั้น แต่ว่าขอนั่งเล่นที่นี่สักพักก็แล้วกัน พึ่งจะมาถึงจะให้หลับเลยหรือไง”

“ป่ะ เปล่าครับ คุณจอมนั่งเล่นก่อนก็ได้ครับ” จักรยืนอยู่กับที่แบบนั้น มองหน้าของเจ้าจอมไม่วางตา ส่วนคนถูกมองก็ไม่ได้รู้เลยว่าคนรักกำลังมองตนเองอยู่ เพราะสายตาของเจ้าจอมมองไปรอบๆ ห้องอย่างสังเกต เหมือนทุกๆ ครั้งที่มานั่นแหละ แต่ครั้งนี้ใบหน้าของเจ้าจอมดูจะไม่พอใจ คิ้วขมวดกันแน่น ถอนหายใจอย่างเหนื่อยใจ ส่ายหน้าไปมา เป็นท่าทางที่ทำให้จักรรู้สึกไม่ดี

ใจวูบโหวงกังวล คิดเอาเองว่าคนตัวบางกำลังไม่ชอบสภาพบ้านของเขา ก็แน่ละ ทั้งเล็ก ทั้งรก แล้วก็มีแต่ข้าวของเครื่องใช้เก่าๆ ดูยังไงแล้วก็แตกต่างจากสิ่งของที่เจ้าจอมใช้และมีอยู่ในปัจจุบันมาก

“คุณจอมกลับเลยดีไหมครับ อยู่ที่นี่ก็สกปรกเปล่าๆ”

“รู้ด้วยเหรอว่าสกปรก แล้วนายอยู่ไปได้ยังไงฮึ?” เจ้าจอมถามด้วยความไม่พอใจ ไม่ได้รู้สึกเลยว่าทำให้คนรักคิดไกลไปแล้ว

“ผมมันคนจน ตัวก็อยู่กับดินมาตั้งแต่เกิด เลยชินกับที่สกปรกๆ น่ะครับ” ตอบอย่างน้อยอกน้อยใจ คราวนี้แหละเจ้าจอมถึงได้รู้สึกถึงความผิดปกติจากน้ำเสียงและรูปประโยค

พอเห็นหน้าเศร้าๆ ของจักรเท่านั้นแหละ เจ้าจอมก็เข้าใจทันทีว่าคนรักคิดอะไรอยู่ และกำลังรู้สึกยังไงอยู่ในตอนนี้

“จักร...ฉันว่านายกำลังเข้าใจฉันผิดนะ”

“ครับ?” มีสีหน้างงงวยจนดูตลก หากแต่เจ้าจอมกลับหัวเราะไม่ออก ถ้าไม่พูดอธิบายให้จักรเข้าใจเขาใหม่ให้ได้ก่อน

“นายกำลังคิดว่าฉันรังเกียจที่นี่?”

“เอ่อ...คือว่า ก็คุณจอมทำเหมือนไม่ชอบใจเวลามองไปรอบๆ บ้าน”

“เหอะ! นี่นายคิดว่าฉันเป็นคนยังไงกัน ที่ฉันไม่พอใจกับสภาพบ้านแบบนี้ของนายเพราะฉันเป็นห่วงสุขภาพของนาย ไม่ได้หมายความว่าฉันรังเกียจ ขยะแขยงที่จะอยู่ในที่แบบนี้นะนายจักร เข้าใจเอาไว้ใหม่ด้วย อย่าได้คิดว่าฉันจะพวกดูถูกคนอีก”

“ผมเปล่านะครับคุณจอม ผมไม่ได้คิดแบบนั้นนะครับ ขอโทษครับ ไอ้จักรขอโทษ ผมแค่กลัวว่าคุณจอมจะลำบากกับที่แบบนี้” จักรรีบเดินเข้าไปอธิบาย แต่ก็ถูกเจ้าจอมเมินหน้าหนีอย่างเกี่ยงงอน หากจักรกลับมองว่าเจ้าจอมโกรธมากกว่า

“ชอบตัดสินใจแทนฉันจริงๆ”

“ขอโทษนะครับ อย่าโกรธนะครับ นะครับคุณจอม”

กายใหญ่ทรุดนั่งข้างๆ กับเจ้าจอม จนร่างบางต้องหันหนีไปอีกข้างเพื่อหลบหน้าจักร

“ฉันไม่ได้โกรธ” ตอบห้วนๆ

“ไม่ได้โกรธก็มองหน้าผมสิครับ”

“ไม่อยากมอง”

“โถ่...คุณจอม” เขาครางเสียงอ่อนแรง ขยับหน้าเข้าไปหาคนตัวเล็กกว่าเพราะไม่กล้าจับบังคับให้ร่างบางหันมาหาตน เลยเลือกที่จะเข้าใกล้แทน

“คุณจอมครับ ยกโทษให้ผมนะครับ”

“ก็บอกว่าไม่ได้โกรธ...”

จุ๊บ!!

ร่างเล็กกว่าหันมาตอบจักรอย่างรวดเร็ว จักรที่ไม่ทันจะตั้งตัวหลบออกไป ริมฝีปากของเราก็ปะทะกันเบาๆ ทันที และค้างเอาไว้แบบนั้นไม่ผละออกไป ดวงตาของทั้งคู่สบกันในระยะประชิด ริมฝีปากสัมผัสกันบางเบา จมูกก็คลอเคลียกันไปมา เจ้าจอมต้องเงยหน้าขึ้นนิดๆ เนื่องจากตัวเตี้ยกว่าจักรที่ตอนนี้ก็ก้มลงมาให้ปากเราสัมผัสกันแน่นกว่าเดิม

“จะทำอะไร” ถามเสียงเบาทั้งๆ ที่ริมฝีปากก็ยังแนบกัน เวลาเจ้าจอมพูด มันก็เสียดสีกับตามจังหวะเปิดปาก

“คุณจอมนั่นแหละครับที่หันมาเอง” จักรผละออกมานิดๆ เพื่อให้พูดสะดวกมากขึ้น

“แต่เมื่อกี้นายบดปากลงมานะ ไม่ใช่ฉัน” พอจบประโยคนี้จักรก็พูดไม่ออก ได้แต่หน้าแดงเพราะเขินๆ กับการกระทำของตัวเอง แต่จะทำยังไงได้ล่ะ

ยิ่งได้สัมผัสร่างกายนี้มากแล้ว มันก็ยิ่งละโมบอยากจะครอบครองร่างกายนี้เอาไว้ข้างกายตลอดเวลา

“ฉันกลับบ้านดีกว่า” เจ้าจอมทำท่าจะลุกขึ้น หากแต่มือแกร่งกลับยึดร่างของเจ้าจอมให้นั่งอยู่กับที่พร้อมกับโน้มหน้าเข้าหาใกล้จนปลายจมูกแตะกัน

หมับ!!

“อะไร...มารั้งฉันไว้ทำไม เมื่อกี้ยังเห็นอยากให้ฉันรีบกลับจะตายไป” เจ้าจอมบ่น แต่กลับส่งยิ้มเจ้าเล่ห์ให้ร่างแกร่ง ขัดกับรูปประโยคแปลกๆ

“ถ้าคุณจอม...ไม่ได้รังเกียจจริงๆ นอนที่นี่นะครับ” ขอเสียงอ่อน ซึ่งเจ้าจอมจะคิดว่านี่เป็นการออดอ้อนของผู้ชายอย่างจักรก็แล้วกัน

“นอนจริงๆ หรือว่าทำอะไร”

เพราะเจ้าจอมรู้ทันจุดประสงค์ของเขา ก็เลยเลือกตอบออกไปสั้นๆ ก่อนจะประกบริมฝีปากเข้าที่กลีบปากบางอ่อนนุ่มทันทีอย่างเร่าร้อนรุนแรง 

“ไอ้จักร ‘อยาก’ กอดคุณจอม”

ร่างเล็กถูกช้อนขึ้นมาในอ้อมแขนแล้วถูกพาไปยังเตียงนอนที่ไม่ใหญ่มากของผู้เป็นเจ้าของบ้าน...จากนั้นก็เริ่มบรรเลงเพลงรักอันเร่าร้อนขึ้น...





100%

 :katai4: :katai4: :katai4: :katai4:

   ไม่ได้อัพเดือนหนึ่ง ขอโทษด้วยนะคะ อ่านต่อในตอนต่อไปเลยค่ะ คราวนี้ลงให้เต็มๆ 2 ตอน โทษฐานที่หายไปเดือนหนึ่งเต็มๆ ค่ะ

   https://www.facebook.com/sawachiyuki/


ออฟไลน์ SawachiYuki

  • แค่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 461
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +261/-38
    • Fanpage
Heartless แค้นนี้...มิอาจห้ามรัก
ตอนที่ 40
อุปสรรคสุดท้าย





“แอ้ แอ้ แอ้”

“อะไรน้องรักษ์ คิดถึงพ่อเหรอครับ คิดถึงเหรอครับ หืม”

ร่างโปร่งบางของหมอหนุ่มสุดหล่อประจำโรงพยาบาลที่ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็มีเสน่ห์ต่อเพศตรงข้ามเสมอ ตอนนี้กำลังอุ้มเด็กทารกวัยห้าเดือนกว่าที่เป็นลูกชายของตัวเอง ทั้งคุยเล่นกับลูกชายที่ยืนแขนร้องอ้อแอ้ราวกับดีใจที่ได้เจอคุณพ่อของตัวเอง

มันเป็นภาพที่ตรึงตาตรึงใจขรรค์อย่างบอกไม่ถูก คนรักของขรรค์มีความสุขและดูบริสุทธิ์ที่ได้อยู่กับเด็กน้อยที่ขาวสะอาด ยิ่งทำให้ขรรค์รู้สึกรักเงินมากเข้าไปอีก

“พ่อก็คิดถึงน้องรักษ์น้า คิดถึงมากๆ เลย ไม่งอนพ่อนะครับ เดี๋ยวอีกไม่นานเราก็จะได้อยู่ด้วยกันแล้วน้า”

“ทำไมเหรอตาเงิน ลูกจะกลับไปอยู่บ้านกับแม่เหรอ” หญิงอายุห้าสิบต้นๆ มีศักดิ์เป็นแม่ของหมอเงินถามขึ้นมาเรียกความสนใจจากขรรค์และเงินให้หันไปมองทันที

“อาบน้ำเสร็จแล้วเหรอครับ”

“จ้ะ แม่อาบน้ำเสร็จแล้ว” เธอตอบลูกชายยิ้มๆ

คนเป็นแม่ได้เห็นลูกชายเพียงคนเดียวของเธอ ก็ทำให้เธอมีความสุขมากแล้ว แม้ว่าที่ผ่านมาเงินจะทำตามในสิ่งที่เธอต้องการตลอด แต่เธอก็ไม่เคยมีความสุขสักครั้ง นั่นก็เป็นเพราะ...ลูกชายเธอไม่เคยมีความสุขเช่นกัน

สร้อยหันมามองขรรค์ที่เป็นเจ้าของบ้านหลังนี้ด้วยสายตาที่ไม่อาจจะแปลความหมายได้

“ห้องที่จัดให้อยู่ได้ใช่ไหมครับ” ขรรค์ถามเกร็งๆ

“อืม...อยู่ได้ ใหญ่โตและมีครบทุกอย่างดี ไม่น่าเชื่อว่านายจะทำมันได้”

“ขอบคุณครับ”

แม่ของหมอเงินเบือนหน้ามามองลูกชายตัวเองที่ตอนนี้อุ้มลูกชายเดินไปรอบๆ ห้องรับแขกแล้วยิ้มดีใจที่ได้เห็นรอยยิ้มของเงิน

ขรรค์นึกย้อนกลับไปตอนที่รู้ว่าแม่ของเงินมาที่รีสอร์ทแบบไม่บอกกล่าวใครกระทั่งลูกชายของตนยังไม่โทรมาบอกก่อนกะจะเซอร์ไพรส์ หารู้ไม่ว่าไม่ได้เซอร์ไพรส์ลูกชายของเธอคนเดียว แต่เซอร์ไพรส์ขรรค์ด้วย เขาไปต้อนรับอย่างประหม่า ไม่กล้าสบตาแต่ก็ทำความเคารพทักทายตามมารยาทที่ควรเป็น

ยิ่งเห็นหน้าของสร้อย ขรรค์ก็ยิ่งได้ยินเสียงประโยคพวกนั้นวนเวียนอยู่ในหัวอีกครั้ง...

ใจสั่นไหว และกลัวกังวลไปหมดว่าการมาครั้งนี้ เขากับเงินจะต้องพรากจากกันแบบตลอดไป

ถ้าเป็นแบบนั้น เขาจะไม่หนีอีก คราวนี้สู้เป็นสู้ ตายเป็นตาย ให้สมกับความเสียสละของเงินที่ทำเพื่อเขา เพื่อเรามาตลอดมาโดยที่เขาไม่ได้ทำอะไรเพื่อเราบ้างเลย...


สร้อยแม่ของเงินเดินทางมาถึงที่รีสอร์ทของรามินทร์เมื่อช่วงเย็นพอดีโดยที่ไม่ได้บอกลูกชายเอาไว้ล่วงหน้าว่าจะมาวันนี้ โชคดีที่เงินส่งที่อยู่ไปให้ก่อนหน้านี้แล้ว ขรรค์ที่อยู่รีสอร์ทเลยพาแม่ของคนรักมาที่บ้านสวนของตน และต้องยกเลิกคำชวนรับประทานอาหารจากเจ้านายไปเพราะมีแขก

ตอนนั้นคนรักก็ยังไม่ออกเวรอีก จะให้รออยู่ที่นี่แล้วรอไปพร้อมกันก็เสียเวลาเปล่าๆ

โชคดีที่ไม่ต้องนั่งรถคันเดียวกันเพราะขรรค์ขับรถมอเตอร์ไซด์ของลูกน้องนำรถแวนของสร้อยที่มีลูกชายของเงิน คนติดตามอีกหนึ่งคนและคนขับรถหนึ่งคน เมื่อมาถึงสร้อยดูเหมือนจะไม่ค่อยเชื่อสายตากับสิ่งที่ตัวเองเห็นสักเท่าไหร่ เพราะมันดูสวยงามและลองตีราคาดูก็ไม่น่าจะใช้เงินน้อยๆ ในการสร้าง

‘บ้านนายจริงๆ เหรอ’ เป็นคำถามที่เหมือนจะดูถูกแต่ขรรค์ก็ชินแล้วล่ะ

‘ครับ บ้านของผมเอง’

‘อืม...’ ชั่วขณะหนึ่ง

‘ผมให้เด็กเตรียมห้องให้คุณสร้อยแล้ว ส่วนพี่คนขับรถกับพี่ที่ติดตามของคุณสร้อย ผมเตรียมห้องไว้อยู่ชั้นล่าง ด้านหลังนะครับ’

‘ขอบใจ ยังไงช่วยหยิบเปลหลังรถมาด้วย ถ้าประกอบเป็นก็ประกอบให้ด้วยนะ จะให้ตารักษ์นอน’

‘ครับ’

ขรรค์ไปยกเปลที่ถูกถอดชิ้นส่วนเก็บไว้มาถือแล้วเป็นคนพาสร้อยที่อุ้มน้องรักษ์อยู่ไปที่ห้องพักแขกด้านบนบ้าน ส่วนคนติดตามกับคนขับรถให้เด็กพาไปยังห้องหลังบ้าน

พอเข้ามาตัวบ้านแล้ว คนที่เคยด่าว่า ดูถูกขรรค์สารพัดถึงกับตะลึงอึ้งค้าง แม่ของคนรักก็ชะงักนิดหนึ่งแต่ก็เดินตามเขามาแต่โดยดี

จากนั้นไม่นานคนรักของเขาก็กลับมา วิ่งเข้ามาในตัวบ้านอย่างเร่งรีบ ไม่ทันได้ทักทายเขาเหมือนอย่างทุกวันเพราะเจ้าตัววิ่งไปไหว้มารดาของตนแล้วเอาตาหนูมาอุ้มในอ้อมแขนด้วยความคิดถึง ก่อนที่เงินจะบอกให้แม่ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ส่วนตัวเองก็ปลุกลูกชายมาเล่นด้วย ขรรค์เห็นแบบนั้นก็คิดเอาไว้แล้วว่าเด็กน้อยจะต้องแผดเสียงร้องไห้ที่โดนขัดการนอน แต่มันกลับไม่ใช่อย่างนั้น

น้องรักษ์ส่งเสียงแอ้ แอ้ ตามนิสัยเด็กอารมณ์ดี ที่ไม่ค่อยร้องไห้เท่าไหร่ถ้าไม่ได้ป่วย หิว หรือเจออะไรที่ตัวเองกลัว เสียงของน้องรักษ์ทำให้เงินยิ้มกว้างอย่างมีความสุข และไม่เพียงแค่เงินที่สุข เขาเองก็มีความสุขและรู้สึกเอ็นดูน้องรักษ์ไม่ต่างจากที่เป็นลูกเป็นหลานของขรรค์เอง


“แม่หิวหรือยังครับ”

“ก็พอหิวบ้างแล้วล่ะ”

“ขรรค์ อาหารตั้งหรือยังน่ะ” เงินหันมาพูดกับขรรค์เป็นประโยคแรกตั้งแต่กลับมาถึงบ้าน ร่างสูงใหญ่ยิ้มเบาๆ ให้กับคนรักแล้วเอ่ย

“เดี๋ยวขรรค์ไปดูก่อนนะ”

“ฝากด้วยนะขรรค์”

“ครับ เดี๋ยวมาเรียกนะ”

“ครับ” หมอเงินยิ้มหวานให้ขรรค์ จนขรรค์เดินออกจากห้องรับแขกมาตรงไปที่ห้องครัวเพื่อดูว่าป้าน้อยกับเด็กๆ จะทำอาหารเสร็จหรือยัง…

ที่สำคัญ เขาปล่อยให้สองแม่ลูกได้มีเวลาคุยกันต่างหาก รู้ดีว่าเงินคิดถึงแม่ขนาดไหนและรู้ว่าแม่ของเงินก็คิดถึงลกชายตัวเองขนาดไหน เขาเข้าใจดี แม้ว่าจะไม่เคยมีพ่อแม่มานั่งคิดถึงแบบนี้เหมือนคนอื่นเขาก็ตาม...


“แม่ชอบที่นี่ไหม”

“ก็สวยดี บรรยากาศดี พื้นที่กว้างใหญ่ดี เหมาะกับที่จะให้เด็กมาวิ่งเล่น”

“ครับ...ตอนแรกที่เงินมาหาขรรค์นะ เงินยังไม่รู้หรอกว่าขรรค์สามารถสร้างบ้านในฝันที่เงินอยากจะได้ได้เร็วขนาดนี้ ช่วงเวลาแค่สามปีเองแต่มีเงินสร้างได้ขนาดนี้ มันบ่งบอกได้ดีเลยว่าเจ้าของบ้านทำงานหนักขนาดไหน แม่ว่าไหมครับ ขนาดเงินยังทำไม่ได้เลย ทั้งๆ ที่เงินมีงานทำที่ดีกว่า มั่นคงกว่าและอาจจะได้เงินเดือนเยอะกว่าด้วยซ้ำ” ระหว่างที่พูดเงินก็ยิ้มไป ดวงตาทอดมองลูกชายในอ้อมแขนอย่างอ่อนโยน

สร้อยคิดตามที่ลูกชายพูด ก็เข้าใจในสัจธรรมทันที...คนที่เคยรวยล้นฟ้า ก็มีวันที่จะร่วงสู่ดินได้ และคนที่จนแสนจน มีแต่คนดูถูกก็อาจจะกลายเป็นเศรษฐีได้ ถ้ามีความอดทน มุมานะ และซื่อสัตย์

บ้านส่วนแห่งนี้เป็นคำตอบได้ดีเลยว่า...ขรรค์ต้องทำงานหนักมากแค่ไหนที่จะทำได้อย่างนี้

“เงิน...แม่มีลูกคนเดียวนะ”

“ครับ เงินก็มีแม่แค่คนเดียวเหมือนกัน”

ประโยคของเงินทำให้เธอคิดอะไรได้หลายอย่าง เธอชอบอ้างกับลูกชายว่าตนมีลูกชายแค่คนเดียว เลยคาดหวังไว้ที่ลูก อยากให้ลูกเป็นอะไร ลูกก็ทำให้ อยากให้เงินแต่งงาน เงินก็แต่ง อยากให้มีลูก เงินก็มีให้ เพราะคำพูดเดียวที่ว่าเธอมีลูกแค่คนเดียวนี่แหละ ที่ทำให้เงินไม่อยากขัดใจ ไม่ใช่ไม่กล้า แต่เขาก็รักแม่มากเกินกว่าที่จะทำร้ายความรู้สึกของท่าน จนลืมนึกในทางกลับกันว่าลูกชายของเธอ ก็มีเธอเป็นแม่แค่คนเดียวเหมือนกัน แต่นอกจากให้กำเนิด เลี้ยงดูลูกมาจนเติบโต เธอยังไม่เคยให้อะไรที่ลูกชายอยากได้เลยแม้แต่น้อย

ลูกอยากเล่นหุ่นยนต์ แต่เธอซื้ออุปกรณ์การแพทย์ที่เป็นของเล่นให้แทน

ลูกอยากอ่านการ์ตูน เธอก็จะซื้อแต่หนังสือการ์ตูนที่เกี่ยวกับเรื่องการเป็นหมอให้กับลูกชายเสมอ

ลูกอยากเล่นกีฬากับเพื่อนตอนเย็นๆ เธอกลับบังคับให้เงินเรียนพิเศษทุกวันหลังเลิกเรียน

ยี่สิบหกปีที่ผ่านมา เธอบังคับ ฝืนใจลูกมาตลอด โดยไม่รู้เลยว่า สิ่งที่เธอคิดว่าทำไปเพราะรักลูก จริงๆ แล้ว สร้อยแค่รักตัวเองมากกว่า...

“แม่อย่าคิดมากเลยครับ เงินรักแม่มาก พระคุณของแม่นั้น ต่อให้ตอบแทนทั้งชีวิตก็ไม่มีวันหมดลงได้ เงินยินดีทำทุกอย่างที่แม่ต้องการ เงินจะมีความสุขหรือไม่มีความสุขก็ช่าง แต่แม่มีความสุขเงินก็ภูมิใจแล้ว” ลูกชายว่า รอยยิ้มอ่อนโยนปรากฏบนใบหน้าอย่างจริงจัง ไม่ได้ประชดประชันอะไร

“เงินก็รู้...แม่รักเงินมากที่สุด คนเป็นแม่น่ะ อยากเห็นลูกได้ดีกันทุกคนนั่นแหละ แต่ก็ลืมไปว่า การที่ลูกไปได้ดี ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน ไม่ได้หมายความว่าลูกจะมีความสุข”

ร่างโปร่งนิ่งไป เพราะไม่คิดว่าผู้เป็นแม่จะพูดแบบนี้ หากแต่เขาก็ยังคงหยอกเล่นกับลูกชายไปด้วย สลับกับสบตาแม่ของเขา

“แม่...ทำร้ายลูกมากเลยสินะ”

“ไม่เลยครับ แม่ไม่ได้ทำร้ายเงิน ถ้าใครสักคนจะเป็นคนที่ทำร้ายเงินนั่นก็คงจะเป็นตัวเงินเอง ที่รักผู้หญิงไม่ได้...เงินผิดเองที่เกิดมาเป็นแบบนี้...เงินผิดที่รักผู้ชายเหมือนกันกับตัวเอง” ต่อว่าตัวเองเสียงสั่นเครือ ดวงตาเศร้าสร้อยแต่ก็ฝืนยิ้มออกมาบางเบาจ้องมองลูกชายเพียงคนเดียวของเขาที่ไม่ได้เกิดจากความรัก แต่ก็รักจนสุดหัวใจ...

พ่อขอโทษนะลูก ขอโทษที่พ่อมีแม่ให้ลูกไม่ได้...แต่พ่อสัญญา พ่อจะเติมเต็มในส่วนของแม่ให้กับลูกเอง หนูไม่มีแม่ แต่ไม่ใช่ว่าแม่จะไม่รักหนู...ขอโทษนะครับ น้องรักษ์ พ่อขอโทษ...

“อาหารพร้อมแล้วครับ” ขรรค์เข้ามาขัดจังหวะสองแม่ลูกโดยไม่รู้ตัว แต่ก็เป็นการดีเพราะตอนนี้ทั้งคู่รู้สึกว่าบรรยากาศมันกำลังอึมครึม หากคุยกันแต่เรื่องที่ผ่านมาก็คงจะหมดสนุกเปล่าๆ

“งั้นเหรอขรรค์...แม่ครับ เราไปทานข้าวเถอะ”

“จ้ะ...”

“คุณเงินคะ มาค่ะ เดี๋ยวพิกุลดูคุณหนูต่อเองค่ะ” คนติดตามที่มีหน้าที่ช่วยแม่ของเงินเลี้ยงน้องรักษ์และเป็นคนสนิทของสร้อย เดินเข้ามาหาร่างโปร่งก่อนจะรับเด็กน้อยมาอุ้มเอาไว้แทน

“สวัสดีครับพี่พิกุล” พอมือว่าง หมอเงินก็ยกมือไหว้ผู้ที่มีอายุมากกว่าทันทีอย่างที่เคยปฏิบัติมาตลอด

“สวัสดีค่ะคุณเงิน”

“ฝากน้องรักษ์ด้วยนะครับ ผมทานข้าวเสร็จจะกลับมาเล่นด้วย”

“ได้ค่ะ คุณหนูคิดถึงคุณพ่อมากๆ เลยรู้ไหมคะ”

“หือ...ห้าเดือนนี่รู้ประสาขนาดนั้นเลย?”

“ได้ความฉลาดมาจากคนเป็นพ่อแน่ๆ เลยค่ะ”

“อ่าๆ พี่พิกุลก็ชอบผมเกินไป แต่ก็ขอบคุณนะครับ”

“ค่า...”

ขรรค์เดินนำสองแม่ลูกไปยังโต๊ะอาหารที่ตอนนี้มีอาหารมากมายจัดวางอยู่บนโต๊ะ เงินเห้นแบบนั้นก็น้ำลายสอ เงยหน้ามองคนทำทันที

“ป้าน้อย น่ากินมากๆ เลยครับ”

“ถ้าน่ากินก็ทานเยอะๆ เลยนะคะ เชิญคุณสร้อยเลยค่ะ ไม่รู้ว่าจะถูกปากหรือเปล่า”

“ดิฉันทานได้หมดแหละค่ะ” สร้อยตอบยิ้มๆ เงินเลื่อนเก้าอี้ข้างๆ ให้กับแม่ของตัวเอง ส่วนขรรค์ก็เลื่อนเก้าอีกให้ป้าน้อยที่วันนี้ขอให้มาร่วมทานอาหารที่โต๊ะด้วย แม่ของเงินจะได้ไม่รู้สึกว่าตัวเองมานั่งเป็นส่วนเกิน เลยจัดให้ครบคู่ดีกว่า แต่มันก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร เพราะป้าน้อยเองก็ร่วมทานอาหารกับขรรค์และเงินบ่อยๆ

ป้าน้อยไม่ใช่แค่ลูกจ้าง แต่เป็นเหมือนผู้ใหญ่ของขรรค์ที่มีอยู่แค่ไม่กี่คน

“อันนี้อร่อยนะครับ ฝีมือป้าน้อยอร่อยอย่างนี้เลย แม่ลองกินดูนะ แล้วจะติดใจ” ร่างโปร่งเอาอกเอาใจมารดาแต่ก็ชมป้าน้อยไปด้วย

“อร่อยจริงๆ ด้วยค่ะ”

“ขอบคุณนะคะ” ป้าน้อยตอบรับคำชมด้วยการขอบคุณกลับไปอย่างจริงใจ ส่วนขรรค์เองก็นั่งนิ่งๆ เพราะโดยปกติแล้วก็ไม่ใช่คนพูดมากอะไร แต่สิ่งที่ขรรค์ทำเป็นปกตินั่นคือ ตักกับข้าวให้คนรักแล้วก็ป้าน้อยที่นั่งข้างๆ

แม้ว่าจะไม่มีเสียงพูดคุยร่วมกับใคร แต่การกระทำของขรรค์อยู่ในสายของทุกคนอยู่ดี...

“ขรรค์จะเอาข้าวเพิ่มไหม ป้าจะไปตักให้” ป้าน้อยถามเจ้านายที่เอ็นดูเหมือนหลาน รู้ดีเลยว่าในทุกๆ เย็นขรรค์จะทานข้าวเยอะกว่ามื้ออื่นๆ

“เดี๋ยวผมลุกตักเองป้าน้อย ป้านั่งกินสบายๆ แบบนี้แหละ ยังไงผมก็อยู่ใกล้หม้อกว่า” ขรรค์บอกก่อนจะลุกขึ้นไปตักข้าวใส่จานตัวเองเพิ่มอีก

“คุณสร้อยจะมาพักกี่วันหรือคะ ป้ากับเด็กๆ จะได้จัดเวลาทำความสะอาดน่ะค่ะ” ป้าน้อยถามขึ้นมา

“ก็ดูก่อนน่ะค่ะ ถ้าติดลมก็น่าจะอยู่นานหน่อย ดิฉันก็ไม่ได้ทำงานอะไร กลับไปก็อยู่แต่ในบ้านน่ะค่ะ”

“น่าเบื่อแย่เลยสินะคะ”

“ไม่เบื่อหรอกค่ะ ดีที่มีหลานเลี้ยง” สร้อยตอบกลับยิ้มๆ

“น้องรักษ์เนี่ย หน้าตาเหมือนหมอเงินมากเลยนะคะ โตมาฉลาดและเก่งเหมือนพ่อแน่ๆ” ป้าน้อยชม เรียกเสียงหัวเราะเบาๆ จากสร้อยได้เป็นอย่างดี

“ฮะๆ ก็มีแต่คนพูแบบนั้นเลยค่ะ แต่ต้องรอดูก่อนว่าโตขึ้นมาเขาอยากจะเป็นเหมือนพ่อของเขาไหม”

“ดีแล้วค่ะ จริงๆ แล้วเป็นหมอกันหมดเลยก็ไม่ดีนะคะ ทั้งครอบครัวก็จะรู้แต่เรื่องเดียว ถ้ามีลูกหลานเยอะก็ให้กระจายเรียนไม่เหมือนกันน่ะจะดีกว่านะคะ หากมีปัญหาอะไรเราจะได้ไม่ต้องพึ่งพาคนอื่นมาก” ในฐานะที่ป้าน้อยอายุมากกว่าค่อนข้างมากเลยกล้าพูดแนะนำ บวกกับป้าน้อยเป็นคนมองโลกเป็น เลยทำให้ทุกประโยคมีน้ำหนักและน่าเชื่อถือ ไม่แปลกใจเลยที่สร้อยจะคิดตาม

จะว่าไปแล้วทางครอบครัวของเราก็เป็นหมอหรือไม่ก็ทำงานในโรงพยาบาลเกือบทั้งหมด ทั้งพ่อของเงินที่ตอนนี้เป็นผอ.เจ้าของโรงพยาบาลเอกชน ญาติพี่น้องก็เป็นหมอ เป็นพยาบาลกันหมดเพราะจะได้ทำงานในโรงพยาบาลของญาติ ไม่ต้องลำบากในการทำงานเท่าไหร่

“ยังไงหรือคะ”

“ดิฉันโชคดีที่มีลูกสามคน แต่ละคนก็ไปกันคนละด้านและประสบความสำเร็จทุกคน คนหนึ่งเป็นทนายความ อีกคนหนึ่งเป็นครูมหา’ลัย และอีกคนก็เป็นผู้จัดการธนาคาร พวกเขามักจะเอาความรู้มาแบ่งปันกันเวลามีปัญหากันน่ะค่ะ”

“ดีจังเลยนะคะ ดิฉันมีลูกชายคนเดียวน่ะค่ะ พอคลอดตาเงินเสร็จมดลูกมีปัญหาเลยทำให้มีลูกไม่ได้อีกเลย แต่โชคดีที่เรามีญาติเยอะ หลานๆ ของสร้อยก็จะเรียนแพทย์ เรียนพยาบาลหมด มันเหมือนกับว่าเป็นอาชีพประจำตระกูลไปแล้วน่ะค่ะ”

“แสดงว่าเป็นค่านิยมที่ผู้ใหญ่ปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กๆ”

ยิ่งพูดก็ยิ่งจี้ใจดำของสร้อยเหลือเกิน เพราะไม่ว่าป้าน้อยจะพูดอะไรออกมา มันก็ตรงกับสิ่งที่เธอและตระกูลของเธอกับสามีก็เป็นอย่างนั้น

เราปลูกฝังลูกๆ หลานๆ ให้โตมาเป็นหมอ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีใครที่แหวกแนวออกไป หากแต่ก็น้อยคนนัก เพราะคนส่วนใหญ่ก็ชอบเข้าทำงานโดยใช้เส้นทั้งนั้น

“ค่ะ...ตระกูลของสามีดิฉัน พ่อของตาเงินน่ะค่ะ เป็นเจ้าของโรงพยาบาล... สืบทอดกันมานานแล้ว ก็ต้องเป็นอย่างนั้นต่อไป”

“หมายความว่าหมอเงินก็ต้องกลับไปบริหารโรงพยาบาลสินะคะ” เป็นคำถามที่ขรรค์เองก็อยากจะรู้คำตอบเหมือนกัน ร่างสูงเลยได้แต่นั่งตัวตรง ฟังเสียงหัวใจที่เต้นแรงของตัวเองอย่างหวั่นๆ

“มันก็ต้องเป็นอย่างนั้นค่ะ”

เคล้ง!

มือใหญ่ทำช้อนหลุดมือกระทบจานเสียงดัง เรียกความสนใจจากทุกคนได้ทันที เงินกับป้าน้อยยิ้มให้ส่วนสร้อยก็ได้แต่มองดีสีหน้านิ่งๆ

แม้จะไม่มีความเกลียด ชิงชัง ดูถูกดูแคลนเหมือนแต่ก่อน แต่ความเรียบเฉยและความว่างเปล่าในดวงตาก็ไม่อาจจะทำให้สบายใจได้เท่าไหร่นัก

ยิ่งได้ยินว่าเงินต้องกลับไปบริหารงานที่กรุงเทพอีก...มันก็เลยกลัวไปหมด

“มันก็ต้องเป็นแบบนั้นค่ะ แต่ดิฉันคุยกับตาเงินไว้นานมากแล้ว ตาเงินชอบที่จะเป็นหมออยู่กับคนไข้มากกว่าที่จะเป็นหมอที่บริหารโรงพยาบาล ฉันกับสามีเลยไม่อยากจะขัดใจตาเงินน่ะค่ะ”

เพราะตอนนี้ทางโรงพยาบาลมีผู้ที่เตรียมสืบทอดอยู่แล้วนั่นก็คือลูกพี่ลูกน้องของหมอเงินที่มีอายุมากกว่าเขาหกปี เป็นแพทย์ชื่อดังและมีความสามารถมากๆ เป็นที่ยอมรับ เป็นคนเก่ง ขนาดที่เงินยังเอาเป็นบุคคลแบบอย่าง

“อย่างนี้นี่เอง ดีแล้วล่ะค่ะ ดิฉันเองก็นึกภาพหมอเงินเป็นเจ้าของโรงพยาบาลไม่ออกเลย แต่ถ้าให้นึกภาพหมอเงินที่กำลังตรวจคนไข้ตามชนบทแบบนี้ดูจะเห็นภาพชัดกว่านะคะ”

“งั้นหรือคะ ดิฉันไม่เคยได้เห็นลูกชายทำงานเท่าไหร่ ตอนอยู่ที่นี่เงินเป็นยังไงบ้างคะ” สร้อยแสดงท่าทางอยากรู้สุดๆ ทำให้ป้าน้อยรู้ได้ทันทีว่าผู้เป็นแม่คงไม่เคยเห็นลูกชายในรูปแบบของหมออาสาสมัคร

เงินจ้องตาคนรักอย่างต้องการปรึกษาว่าสถานการณ์แบบนี้จะเอายังไง ถ้าผู้ใหญ่ยังคุยกันอยู่แบบนี้ เขาสองคนก็ไม่กล้าจะลงมือทานอาหารต่อ หากแต่ขรรค์กับเงินที่ทำงานมาเหนื่อยๆ ก็อยากจะทานอาหารให้เต็มที่กับพลังงานที่เสียไป เห็นอาหารน่ากินก็ตาลุกวาว แต่ต้องมาสะดุดกับสร้อยและป้าน้อยนี่สิ







มีต่อ

ออฟไลน์ SawachiYuki

  • แค่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 461
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +261/-38
    • Fanpage
ตอนที่ 40 ครึ่งหลัง




เอาไงดี... เงินพยักเพยิดหน้าทาทางแม่ของตนกับป้าน้อยให้ขรรค์อ่านการกระทำว่าเงินต้องการอะไร หากแต่ร่างแกร่งก็ทำเป็นถอนหายใจแล้วส่ายหน้าเบา

ไม่รู้

“ป้าน้อย แม่ครับ ตอนนี้กินข้าวให้เสร็จก่อนดีกว่านะครับ เวลาคุยกันยังมีอีกเยอะเลย พรุ่งนี้แม่ค่อยคุยต่อนะ” เงินเลือกที่จะขัดคอของทั้งคู่ดีกว่าเพราะดูท่าทางแล้วว่าจะไม่จบง่ายๆ เพราะเรื่องของเขาจบก็ถามนั่น พูดนี่ไปเรื่อยๆ อย่างสถานที่ท่องเที่ยว ในละแวกนี้มีอะไร บลาๆ

“จริงสินะ พรุ่งนี้พี่น้อยมาคุยกับสร้อยอีกนะคะ”

“พี่มาอยู่แล้วค่ะ มาเตรียมอาหารให้กับขรรค์กับหมอเงินเขา”

พูดคุยจนแทนตัวกันอย่างสนิทสนมไปแล้ว...

“กินข้าวต่อเถอะครับ เงินหิวมากๆ เลยตอนนี้”

“ตายจริง!” สร้อยอุทานเอามือทาบอก “แม่ขอโทษนะลูก เอาล่ะๆ กินต่อค่ะ”

จากนั้นทั้งสี่คนก็เริ่มทานอาหารต่อ มีพูดคุยบ้างเล็กน้อยไม่ทำให้โต๊ะอาหารเงียบ ซึ่งร่างโปร่งกับขรรค์ก็ได้แต่ยิ้มๆ ที่อย่างน้อยสร้อยก็เข้ากับป้าน้อยได้ดี

เข้าใจแล้วว่า เงินได้นิสัยอัธยาศัยดีมาจากใคร ได้มาจากแม่นี่เอง ขรรค์คิดแล้วก็นั่งยิ้มอยู่คนเดียว

แค่ไม่ได้ยินคำพูดครหาดูถูก ดูแคลนเหมือนเมื่อสามปีที่แล้ว มันก็เริ่มที่จะทำให้ขรรค์มีกำลังใจที่จะสู้ต่อไปแล้ว ไม่ว่าแม่ของเงินจะมาเที่ยวโดยมีวัตถุประสงค์แอบแฝงหรือไม่มีก็ตาม

ขรรค์พร้อมที่จะพิสูจน์ตัวเองและจับมือพาคนรักผ่าน ‘อุปสรรค’ สุดท้ายไปให้ได้


“เงินไม่อยากไปนอนกับลูกหรือ?” ขรรค์ถามขึ้นเมื่อเห็นว่าหมอหนุ่มคนรักขึ้นมานอนบนเตียงโดยที่ปิดไฟเรียบร้อยจนมีแค่ไฟตรงหัวเตียงส่องสว่างเท่านั้น

“อยากสิ...แต่เงินเพลีย กลัวดูแลลูกได้ไม่ดีถ้าน้องรักษ์งอแงกลางดึก ให้นอนกับคุณแม่นั่นแหละดีแล้ว ขรรค์เองก็รีบนอนเถอะ พรุ่งนี้ต้องไปทำงานแต่เช้าไม่ใช่หรือ”

“อือ...แต่ขรรค์ยังไม่ง่วงหรอก”

“ทำไมล่ะ กังวลเรื่องแม่เหรอ” เงินถามอย่างรู้ทัน

“ครับ...ขรรค์แค่กลัวว่าคุณสร้อยจะไม่ยอมอีก”

“สบายใจได้เลยนะขรรค์ แม่ยังยอมรับได้ไม่เต็มร้อยก็จริงแต่ท่านไม่ได้มาขัดขวางเราหรอกนะ เพราะเงินทำตามเงื่อนไขหมดทุกอย่างแล้ว...ตอนนี้เงินทำตามที่ตัวเองคิดและอยากได้แล้ว”

“แต่เงินจะแน่ใจได้ยังไงว่าแม่ของเงินจะไม่รู้สึกเสียใจ”

“อืม...มั่นใจสิ ท่านก็แค่ทิฐิน่ะ ก็จริงที่ยังไม่ยอมรับเราเต็มร้อย แต่ท่านก็ไม่คิดจะทำอะไรให้เงินไม่มีความสุขแล้วล่ะ แม่รักเงินมาก ขรรค์ก็รู้ใช่ไหม”

“รู้สิ...ไม่งั้นท่านคงไม่มาบังคับให้คนที่ไม่มีอะไรเลยอย่างขรรค์ออกไปจากชีวิตเงินหรอก ที่สำคัญรักของเรามันไม่ปกติ เพราะเราเป็นผู้ชายทั้งคู่ เรื่องแบบนี้ไม่มีพ่อแม่ที่ไหนจะกล้าเชิดหน้าชูตาได้หรอกนะ”

“มันก็จริงนั่นแหละขรรค์ แต่ว่าเราจะใช้ชีวิตที่ต้องคอยระแวงสายตาของคนอื่นไม่ได้นะขรรค์ ชีวิตมันเป็นของเราก็ต้องเป็นเราที่เลือกเอง และทุกวันนี้ทุกอย่างมันเปิดกว้างมากแล้วนะ รักของผู้ชายกับผู้ชายเงินก็เห็นเขาทำหนังทำละครเยอะแยะไป จากที่แต่ก่อนนะ ไม่มีเลยด้วยซ้ำ”

“ทำไมถึงมาพูดเรื่องหนังได้ล่ะเงิน”

“ฮ่าๆ แค่อยากจะยกตัวอย่างเฉยๆ น่ะ แล้วมันจริงไหมล่ะ ขนาดเงินประกาศทั้งโรงพยาบาล ก็ยังไม่เห็นจะมีใครพูดถึงเราในทางที่ไม่ดีเลย”

“เงินนี่น้า เป็นคนที่ชอบทำอะไรไม่ปรึกษาขรรค์เลย”

“ก็ถ้าเงินปรึกษา ขรรค์จะยอมให้เงินทำในสิ่งที่เงินอยากทำไหมล่ะ เอาเถอะน่า เงินมีวุฒิภาวะมากกว่าขรรค์ รู้ดีว่าอะไรทำแล้วดีอะไรทำแล้วมีผลเสีย”

“จะเอาอายุที่มากกว่ามาข่มขรรค์เหรอ”

“ไม่ได้ข่มสักหน่อย แค่บอกว่าเงินมีความคิด จะยี่สิบเจ็ดแล้วนะขรรค์ วัยนี้คงจะไม่ทำอะไรให้มันผิดพลาดอีกแล้วล่ะ” ร่างโปร่งที่นอนอยู่ข้างๆ กับขรรค์พูดเสียงเบา

“ตั้งแต่รู้จักกับเงินมาสิบปีกว่า ขรรค์ยังไม่เคยเห็นว่าเงินจะทำอะไรผิดพลาดเลยสักครั้ง เห็นจะมีก็แต่ขรรค์เองแหละที่เป็นคนทำผิด ทำพลาดมาทั้งหมด”

“อย่ารื้อฟื้นเลยขรรค์ ทุกอย่างมันผ่านไปแล้ว พูดขึ้นมาตอนนี้ก็แก้ไขอดีตไม่ได้ แต่ขรรค์ก็เก็บเอาไว้เตือนใจว่าไม่ให้ไปผิดพลาดซ้ำสองอีกก็พอ”

เงินพลิกกายเข้าหาคนรักที่นอนตะแคงมาหาเงินอยู่ก่อนแล้วทันที เราสองคนสบตาผ่านความมืดที่มีแสงไฟจากโคมไฟอันน้อยนิด

“ขรรค์คิดย้อนกลับไปก็เจ็บใจ ที่ปล่อยให้เงินต่อสู้อยู่คนเดียวตั้งสามปี”

ขรรค์เผยความเจ็บปวดออกมาทางดวงตา จนคนรักต้องเอื้อมมือมาลูบศีรษะของขรรค์อย่างปลอบใจ พร้อมๆ กับพึมพำบอกว่าไม่เป็นไรซ้ำๆ

“ขรรค์มันเป็นคนเห็นแก่ตัวจริงๆ ขี้ขลาด และยิ่งต้องให้เงินเป็นฝ่ายมาขอดทา มาง้อก่อนแล้ว ขรรค์ก็ยิ่งละลายใจตัวเอง ว่าทำไมขรรค์ถึงได้ทำให้เงินเจ็บซ้ำๆ ซากอยู่แบบนั้น” เสียงของขรรค์สั่นเครือราวกับกำลังจะอดกลั้นความเสียใจเอาไว้ไม่ไหว

“เงินไม่เป็นไร เพราะเงินใช้ชีวิตอย่างมั่นใจว่าขรรค์ไม่มีทางเลิกรักเงิน เงินจะบอกตัวเองตลอดสามปีว่าขรรค์จะไม่ลืมเงิน ขรรค์ยังคงรักเงิน”

“ขรรค์ขอโทษ...ตลอดเวลาที่ขรรค์หนีออกมา ขรรค์ไม่เคยลืม ไม่เคยไม่รักเงิน ขรรค์ยังรักเงินอยู่ตลอดเวลาและยังคาดหวังว่าเราสองคนจะได้เจอกันอีก ใครต่อใครที่เข้ามา ขรรค์ก็ไม่เคยคิดที่จะตัดใจจากเงินแล้วเริ่มใหม่กับคนอื่นเลยนะ เพราะตัวเองสัญญากับตัวเองเอาไว้แล้ว ว่าถ้าชาตินี้เราจะไม่ได้อยู่ด้วยกัน ขรรค์ก็จะไม่ขอมีใครไปตลอดชีวิต”

หมอเงินได้ยินคำสารภาพที่เต็มไปด้วยความจริงใจ ความจริงจังก็น้ำตารื้นอย่างปิติยินดี เขารู้ว่าเรารักกันมากกว่าเกินกว่าที่จะตัดใจจากกันได้

เวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมา มันไม่ใช่น้อยๆ การจะลืมคนที่เรารักมากที่สุดมันไม่มีทางทำได้ง่ายๆ

“ขรรค์ขอโทษนะเงิน ขอโทษที่ไล่เงิน ขอโทษที่ปฏิเสธเงิน ถ้าเงินไม่กระโดดน้ำวันนั้น ขรรค์ก็ยังตัดสินใจที่จะไม่จับมือเริ่มต้นใหม่กับเงิน แต่ขรรค์ทนเห็นเงินเสียใจอีกไม่ได้แล้ว”

เขาไม่อยากจะเห็นน้ำตาของคนๆ นี้อีกแล้ว

เขาไม่อยากให้คนๆ นี้เจ็บปวด เสียใจอีกครั้ง

“ไม่เป็นไร แค่ขรรค์ไม่เคยเลิกรักเงินเลยสักวินาทีเดียวเงินก็ดีใจแล้ว” เงินพูดตอบเสียงอ่อนโยน ไม่มีเค้าความไม่พอใจเลย

ต่อให้ขรรค์จะทำให้เงินรู้สึกผิดหวังกี่ครั้ง...

เงินก็ไม่เคยโกรธหรือโทษเขาเลยสักครั้ง...

“ทำไมเงินถึงไม่เคยโกรธอะไรขรรค์แบบจริงจังสักครั้งล่ะ” ขรรค์ถามเสียงอ่อนโยน เรียกเสียงหัวเราะในลำคอเบาๆ จากหม่อหนุ่ม

“ถ้าการโกรธแล้วมันทำให้เรามึนตึงใส่กัน ไม่พูดกัน แล้วต้องเสียเวลาที่จะได้อยู่ด้วยกันไปทำไม เงินไม่อยากให้มันเป็นแบบนั้นหรอก” ร่างผอมตอบกลับไป

ไม่มีคำไหนที่จะตอบแทนและสื่อถึงอีกคนได้เท่ากับคำๆ นี้...

“ขรรค์รักเงินนะ”

จุ๊บ!

คนตัวใหญ่บอกรักด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนก่อนก่อนจะจูบหน้าผากของเงินเบาๆ และเป็นการบอกฝันดีไปในตัวอีกด้วย...

“เงินก็รักขรรค์ ฝันดีนะ”

“ครับ…”

มือแกร่งเอื้อมไปปิดไฟบนหัวเตียงแล้วกลับมานอนสวมกอดเงินเอาไว้ในอ้อมแขนเหมือนที่ทำทุกวัน นอกจากจะเป็นการมอบความรักให้กันและกันแล้ว มันยังเป็นการตอกย้ำ ว่าวันนี้เราอยู่ด้วยกัน…

และมันจะอยู่แบบนี้...ตลอดไป

...

...

...


ทางด้านรีสอร์ทของรามินทร์ ในบ้านพักส่วนตัวของเจ้าของรีสอร์ทเดินเล่นอยู่ด้านนอกหน้าบ้านพักของตนที่มีน้ำตกยามค่ำคืนให้ชม หากก็ไม่คิดว่าจะได้เจอกับร่างโปร่งบางของอินทัชที่กำลังยืนกอดอกอยู่บนโขดหิน ดวงตาเหม่อมองท้องฟ้านิ่งๆ

อินทัชไม่รับรู้อะไรเลย แม้แต่รามินทร์ที่เดินมาหยุดอยู่ด้านหลัง...

“ทำไมไม่นอน” เสียงทุ้มเปล่งออกไป ทำให้เจ้าของร่างตรงหน้าสะดุ้งด้วยความตกใจที่มีคนมาหยุดอยู่ด้านหลังโดยที่เจ้าตัวไม่รู้สึกอะไรเลย เพราะมัวแต่เหม่อมองท้องฟ้า

“กูนอนไม่หลับ”

“ทำไมนอนไม่หลับ”

“ก็มีอะไรให้คิดนิดหน่อย”

“มึงคิดอะไรอยู่” ร่างสูงกว่าเดินไปยืนข้างๆ กับร่างสูงผอมที่แม้ว่าจะเตี้ยกว่าเขาแต่ก็สูงกว่ามาตรฐานของผู้ชายไทยอยู่ดี

ตัวก็ผอม เอวก็คอด หน้าท้องก็แบนราบ...

เผลอคิดถึงเรือนร่างของอินทัชที่เขาเคยเห็นมาแล้วด้วยความรู้สึกโหยหาและต้องการ หากแต่ก็ไม่มีสิทธิ์แตะต้องร่างกายนี้ ถ้าเจ้าของไม่อนุญาต

และอินทัชเองก็ไม่อยากจะฝืนใจของอินทัชให้เรื่องระหว่างเรามันแย่ไปกว่านี้แน่ๆ

อดทนเว้ยราม อดทน...อินมันไม่ใช่คนใจแข็ง เพียงแต่มันเป็นคนที่อดทนเก่งมาก และตอนนี้ มันก็แค่อดทนไม่ให้ใจอ่อนกับมึงเท่านั้น

ถ้าทำลายกำแพงนั่นได้ มันจะเป็นเรื่องที่ดีสำหรับรามินทร์มาก

“กูจำเป็นต้องตอบมึงหรือเปล่า?”

“มึงอยากบอกมึงก็บอก แต่ถ้าไม่อยาก กูก็จะไม่อยากรู้แทนเอง”

“งั้นกูเลือกอย่างที่สองก็แล้วกัน”

“หึหึ...วันนี้เป็นยังไงบ้าง” รามินทร์ถามถึงตลอดทั้งวันที่เราสองคนไปเดินเที่ยวในสถานที่ต่างๆ ของจังหวัดมา แม้ว่าจะไปได้ไม่กี่ที่แต่เขาก็พยายามที่จะทำให้บรรยากาศมันเต็มไปด้วยความทรงจำที่ดีระว่างเรา แต่อินทัชกลับปิดกั้น ไม่สนุกไปด้วย เดินตามนิ่งๆ เงียบๆ ไม่พูดไม่จาก จนรามินทร์แทบจะท้อแท้ หากแต่ว่ามันก็เป็นเพียงการเริ่มต้น

ยังเหลืออีกสองวัน...

วันนี้ไม่ได้อะไรก็จริง แต่อีกสองวันมันต้องดีกว่านี้ มันต้องเปลี่ยนไปในทางที่ดีกว่านี้...เขาไม่อยากผิดหวังจากอินทัช เพราะรู้ดีว่าถ้าเขาผิดหวังคราวนี้

มันจะรู้สึกเจ็บปวดเจียนตายจนไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไปเลยก็ได้ รามินทร์เป็นคนจริงใจ รักใครก็ทุ่มไปเต็มที่ แต่กับอินทัช เขารู้สึกว่ากลับสามารถให้ได้มากกว่าคนอื่นๆ ที่เขาเคยรักมา รู้สึกต่างจากคนอื่นแบบที่ไม่เคยรู้สึกกับใครมาก่อน...มันเป้นความรัก ที่มีอย่างอื่นในความรู้สึกที่ไม่ใช่รักอย่างเดียว...

“ก็ไม่เป็นไง”

“ทำไมตอบสั้นๆ แบบนี้ล่ะ”

“ก็ไม่รู้จะตอบให้ยาวยังไงนี่”

“ถามจริงๆ มึงไม่สนุกเลยสักนิดหรือ ไม่รู้สึกว่ามันมีความสุขบ้างเหรอ? มึงรู้สึกเฉยๆ เหมือนกับที่มึงแสดงออกผ่านทางสีหน้าและท่าทางจริงๆ หรือเปล่า”

รามินทร์บังคับร่างของอินทัชให้หันมาเผชิญหน้ากันก่อนที่ตัวเองจะถามคำถามพวกนั้นไปอีกครั้งด้วยสีหน้าที่จริงจัง และคาดหวังกับคำตอบสุดๆ

อินทัชใจเต้นแรง...แต่ก็แสร้งทำเป็นไม่รู้สึกอะไร มองสบตาคมอย่างแน่นแน่ ไม่หวั่นกลัวอะไรทั้งนั้น

“จะให้กูตอบว่ายังไงล่ะ ก็กูไม่ได้รู้สึกอะไร กูรู้สึกเฉยๆ รู้สึกเสียเวลามาก”

อินทัชอยากจะตอบให้มันถนอมน้ำใจนะ แต่ถ้าไม่ทำแบบนี้ เราสองคนจะตัดกันไม่ขาด...ไม่สิ...เขาเองนั่นแหละที่จะตัดรามินทร์ออกจากชีวิตไม่ได้

รามินทร์พยายามทำทุกอย่างให้อินทัชได้มีความทรงจำที่ดีกลับไป แต่อินทัชกลับทำทุกอย่างเพื่อที่จะไม่ทำให้เราทั้งคู่ถลำลึกไปมากกว่านี้

จากตอนแรกที่คิดว่าจะทำได้ ทนได้...ก็รู้สึกเหมือนว่ากำแพงในใจของเขานั่นสั่นคลอนขึ้นทุกที และสักวันมันมันจะต้องทลายลงมาจนรามินทร์เข้ามาอยู่ในใจของเขาเต็มตัวใจแน่ๆ

“ไม่เป็นไร” ไม่รู้ว่าบอกตัวเองหรือว่าตอบอินทัชกลับไปกันแน่

“พรุ่งนี้เอาใหม่...กูไม่เชื่อว่ามึงจะไม่รู้สึกอะไรเลย”

“จะมารู้ดีกว่าใจกูได้ยังไง”

“ใช่...ใจของเรา ก็ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าตัวเราเองหรอก แต่มึงอย่าลืมสิอิน...คนเราน่ะ ปากไม่ตรงกับใจ บางทีคิดแบบหนึ่งก็พูดอีกแบบหนึ่งก็ได้นี่”

“แต่ไม่ใช่กับกู!!” อินทัชสวนกลับเสียงดัง หากแต่รามินทร์ทำได้แค่หัวเราะเบาๆ แล้วยิ้มน้อยๆ ออกมาเท่านั้น ต่อให้อินทัชมันจะเก่งมากขนาดไหน ก็ไม่มีใครปิดบัง ปิดซ่อนมันเอาไว้ได้ตลอดเวลาหรอก

อย่างตอนนี้ไง...

“ตามึงกำลังบอกอะไรบางอย่างกับกู”

“บอกอะไร!”

“ก็บอกว่ามึงโกหกไง ที่บอกว่าไม่รู้สึกอะไรเลยกับวันนี้ที่เราไปกัน”

“หลงตัวเองจริงๆ เลยนะ” เบะปากอย่างหมั่นไส้ใส่คนตัวสูงกว่า พร้อมกับหันหน้าหนีไปยังทางน้ำตกคืนอีกด้วย ที่ทำแบบนั้นไม่ใช่ว่ากลัวรามินทร์

แต่กลัวว่าดวงตาของเขา มันจะเผยอะไรออกไปอีกต่างหาก...

“กูคิดเข้าข้างตัวเองแล้วกูมีความสุข กูมีความหวัง”

“กูบอกแล้วไง” ร่างโปร่งหันกลับมาสบตาคมอย่างเดิมเมื่อควบคุมความรู้สึกของตัวเองได้แล้ว...ความเย็นชาในดวงตาเสียดแทงหัวใจจนรู้สึกล้มทั้งยืน

“ต่อให้มึงจะบอกกูกี่ครั้ง กี่หนก็ตาม...ก็ไม่มีวันทำให้กูรู้สึกหมดหวังได้หรอก มันยังมีเวลาอีกสองวันอิน มึงอย่าเพิ่งด่วนสรุปตัดสินกูดีกว่า ไม่แน่...มันอาจจะเป็นไปอย่างที่กูต้องการก็ได้”

อินทัชนิ่งอึ้ง เพราะไม่เข้าใจว่าคนตัวใหญ่ไปเอากำลังมาจากไหน จะต้องคิดแบบไหนที่จะมองเขาด้วยสายตามุ่งมั่น แน่วแน่โดยไม่มีความรู้สึกหวั่นไหว หวาดกลัวในดวงตาเลยสักนิด...

น่ากลัว...

“มึงมัน...” ร่างโปร่งพูดไม่ออก ก็เลยหมุนตัวหนีเพื่อที่จะเดินกลับไปยังบ้านพักคืน หากแต่กลับโดนรั้งแขนเอาไว้อย่างแน่นหนา อินทัชก็เลยหยุดอยู่ด้วยท่านั้น ไม่หันไปมอง ไม่หันไปสนใจ

“มึงบอกให้กูเตรียมใจ...มึงเองก็เตรียมตัวด้วยก็แล้วกัน เพราะตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป กูจะรุกมึงแบบไม่ให้มึงมีเวลาปั้นสีหน้า ระงับอารมณ์แน่นอน...”

“พูดจบยัง” ถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ หากแต่ดวงตาที่รามินทร์ไม่สามารถมองเห็นได้กำลังสั่นคลอนอย่างน่ากลัว...

รามมันน่ากลัวเกินไป เราคิดตื้นไป

“หมดแล้ว”

“ถ้างั้นก็ปล่อย...จะไปนอน”

“อืม...ฝันดีนะ” รามินทร์ปล่อยแขนเล็กแล้วมองแผ่นหลังบางที่เดินหนีไปด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรักและโหยหา...อยากจะโอบกอด อยากจะบอกรัก...

แม้อยู่ใกล้ แต่ก็เอื้อมไม่ถึง...




100%

 :ling2: :ling2: :ling2: :ling2:

ติดตามตอนต่อไปต่ออาทิตย์หน้านะคะ

ขอโทษที่ไม่ลงเรื่องนี้เลย แต่ยังไงอ่านแล้วก็เม้นท์ให้ยูกิด้วยนะคะ อย่าหนีหายกันไปเลย อัพช้าบ้างแต่ไม่ทิ้งแน่นอนค่ะ ยูกิลงจนจบแน่ๆ ค่ะ

https://www.facebook.com/sawachiyuki/

ออฟไลน์ angelhani

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 205
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด