Heartless แค้นนี้...มิอาจห้ามรัก >> ตอนพิเศษ 3 60% => (05/10/61) P.34 <=
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Heartless แค้นนี้...มิอาจห้ามรัก >> ตอนพิเศษ 3 60% => (05/10/61) P.34 <=  (อ่าน 228220 ครั้ง)

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ bun

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2374
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-5
หลังจากกันแล้วจะเป็นอย่างไรต่อไปนะ

ออฟไลน์ little_munoi

  • ++ singular ++
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-3
หลวงพ่อคงเรียกรามไปสั่งสอน
ฟ้าหลังฝนของรามกำลังจะมา หรือพายุกำลังจะมากันแน่นะ?

ออฟไลน์ patsakon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 236
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-2
มันยืดไปหรือเปล่าคัฟอ่านมา3อาทิตย์แล้วก็ยังไม่ไปไหนเลย :t3:

ออฟไลน์ SawachiYuki

  • แค่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 461
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +261/-38
    • Fanpage
ตอนที่ 44 ครึ่งหลัง






“ฮ่าๆ พี่ฝากด้วยก็แล้วกัน”

“ได้ครับพี่ ผมจะดูแลเพื่อนพี่รามให้ดีที่สุดเลยครับผม”

“หึหึ”

ร่างสูงยิ้มให้กับอินทัชเล็กน้อยก่อนจะเดินออกไปจากตรงนั้น ปล่อยให้เด็กหนุ่มกับอินทัชอยู่ตรงนั้นกันตามลำพังพอไม่มีรามินทร์อยู่ เด็กลี่ก็เกิดอาการเขินอินทัชเสียงั้น

“พี่ชื่ออินนะ พี่เพิ่งมาเที่ยวน่ะ ไม่ค่อยรู้จักแถวนี้หรอก” อินทัชชวนคุยแล้วฉีกยิ้มหวานให้ ทำเอาเด็กหนุ่มถึงกับหน้าแดงด้วยความเขิน

เพิ่งจะบอกไอ้รามไปเองว่าอยู่วัดอย่าโกหก แต่ดันโกหกเสียเอง

“พี่มาจากกรุงเทพหรือเปล่าครับ” เด็กหนุ่มถามอย่างกระตือรือร้น เดินมานั่งข้างๆ อินทัชด้วยความสนใจ จนร่างโปร่งแปลกใจว่าทำไมเด็กคนนี้ถึงได้ตื่นเต้น

“ใช่แล้ว พี่มาจากกรุงเทพ”

“โห...ดีจัง ผมนี่อยากจะลองไปเห็นกรุงเทพสักครั้งจริงๆ คงแต่มีที่น่าเที่ยวๆ ทั้งนั้นแน่ๆ”

“ถ้าสำหรับคนต่างจังหวัดถ้าได้ไปเที่ยวล่ะก็คงจะแปลกใหม่ ตื่นตาตื่นใจ แต่สำหรับคนที่ใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นไม่มีใครชอบเท่าไหร่หรอกครับ มันทั้งร้อน แออัดสุดๆ วุ่นวายด้วย ที่นี่ดีกว่าเห็นๆ เลยครับ” อินทัชพูด

“จริงเหรอครับ แต่ผมไม่คิดว่างั้นน้า...ผมเห็นพวกลูกคนรวยที่มาวัดชอบพูดบ่อยๆ ว่าไม่เห็นที่นี่จะดีไปกว่ากรุงเทพเท่าไหร่เลย อะไรทำนองนี้บ่อยมากครับ”

อินทัชหัวเราะเบาๆ ให้กับความใสซื่อของเด็กหนุ่ม

“มันก็แล้วแต่คนชอบนั่นแหละ ถ้าเป็นพี่ พี่ชอบที่สงบๆ แบบนี้มากกว่า คนกรุงเทพส่วนใหญ่ ถ้ามีเวลาพัก เขาก็จะมาเที่ยวต่างจังหวัดกันทั้งนั้นแหละ แต่ถ้าลี่อยากไปกรุงเทพ ถ้ามีโอกาสก็แค่ไปเที่ยว ไปชมวิถีชีวิตพอนะ ไม่ต้องคิดไปอยู่ถาวร พี่แนะนำเฉยๆ”

“จริงๆ แล้วผมก็ชอบที่จะอยู่ที่นี่แหละครับ แต่อีกสามปีผมก็ต้องไปจากที่นี่แล้ว”

“หืม...?”

“พ่อแม่ของผมเอาผมมาอยู่วัดจนกว่าจะเรียนจบมอปลายน่ะครับให้ผมฝึกฝนกับหลวงพ่อ แล้วจบมอปลายผมก็ต้องย้ายไปเรียนกรุงเทพต่อน่ะครับ”

อ่า...ไม่ใช่เด็กกำพร้า แต่เป็นเด็กที่พ่อแม่เอามาฝากให้ทางวัดช่วยอบรมสั่งสอนสินะ

แปลกดีจริงๆ แล้วเด็กคนนี้ก็ท่าทางจะเป็นเด็กดีมากๆ ด้วย ผิดกับวัยรุ่นสมัยนี้เยอะเลย

“อย่างนี้นี่เอง”

เด็กหนุ่มยิ้ม เปลี่ยนเรื่องคุยโดยที่แนะนำสถานที่เกี่ยวกับที่ที่ตัวเองรู้ให้อินทัชฟังด้วยความตั้งอกตั้งใจ เพราะไม่ค่อยจะมีโอกาสได้พูดคุยกับนักท่องเที่ยวแบบนี้หรอก

สามสิบนาทีผ่านไป รามินทร์ก็กลับมา ก่อนจะบอกลาเด็กหนุ่มที่นิสัยดีน่ารักอย่างลี่แล้วออกจากวัดแห่งนี้ไป โดยที่รามินทร์ไม่ลืมให้เงินค่าขนมกับลี่ไปด้วยอย่างที่เคยทำ นั่นทำให้อินทัชได้เห็นอีกมุมหนึ่งของรามินทร์ที่ไม่รู้ว่าเป็นแบบนี้มาตลอดหรือว่าเป็นเพราะว่าเขาอยู่ที่นี่ด้วยกันแน่ แต่ความรู้สึกมันเป็นอย่างแรกมากกว่า เพราะลี่เองก็ดูรักและเคารพรามินทร์มากพอตัวเลย

กระทั่งช่วงเย็น รามินทร์พาเขาไปเดินตลาดที่ดูเหมือนคนจะเริ่มเยอะตั้งแต่ฟ้ายังไม่มืดสนิทเท่าไหร่นัก

“คนมาเดินที่นี่เยอะเหรอ”

“อืม...ก็เยอะนะ มันมีครบทุกอย่างนี่”

“เหรอ...”

“มึงอยากได้อะไรไหม หรืออยากกินอะไรหรือเปล่า”

“กูหิวแล้วล่ะ อยากกินลูกชิ้นนึ่งสมุนไพรอ่ะ” อินทัชบอกพร้อมกับชี้นิ้วไปยังจุดที่ร้านมันตั้งอยู่ ร่างสูงมองตามก่อนจะหันมายิ้มให้

“เดี๋ยวกูไปซื้อให้”

“อือ...ไม่เอาลูกชิ้นเนื้อนะ กูไม่กินเนื้อ”

“รับทราบ มึงรออยู่ตรงนี้ก็แล้วกัน ห้ามไปไหนล่ะ” รามินทร์กำชับ ซึ่งเขาก็พยักหน้ารับ

จะให้ไปไหนได้ล่ะ ทางก็ไม่รู้ เงินก็ไม่มี...

“หืม...ร้านสร้อยเหรอ?” อินทัชพึมพำเมื่อเห็นร้านเครื่องประดับอยู่ทางด้านซ้ายมือซึ่งห่างจากตัวเขาไม่เกินสามเมตร อินทัชก็เลยมองไปยังร่างสูงที่กำลังยืนเลือกซื้อลูกชิ้นนิดๆ แล้วตัดสินใจเดินไปยังร้านเครื่องประดับด้วยความสนใจ เพราะเท่าที่ดู ร้านมันก็อยู่ในเขตที่รามินทร์พอจะเห็นเขาอยู่

“สนใจอันไหนสอบถามได้นะคะ”

“ขอโทษนะครับ นั่นสร้อยอะไรหรือครับ ผมไม่เคยเห็นน่ะ” อินทัชถามทันทีด้วยความอยากรู้

“เป็นสร้อยดอกไม้ในขวดโหลน่ะค่ะ ดอกไม้ในขวดโหลเป็นดอกไม้จริงนะคะ สามารถอยู่ได้เป็นสิบปีเลย แล้วความหมายแต่ละดอกก็ดีมากๆ ด้วยค่ะ” คนขายแนะนำด้วยท่าทีที่กระตือรือร้นในการขายสุดๆ

“ราคาเท่าไหร่ครับ”

“หนึ่งร้อยเจ็ดสิบเก้าบาททุกแบบเลยจ้า”

“ราคาไม่แพงด้วย ผมชอบนะครับ แต่ไม่ได้เอาเงินมานี่สิ” อินทัชยิ้มแห้งๆ บอกคนขายไป ซึ่งเธอก็ไม่ได้ว่าอะไร ยิ้มกลับมาอย่างไม่โกรธด้วย

“ไม่เป็นไรค่า สนใจก็ดีใจแล้วค่ะ”

“อยากได้เหรอ เดี๋ยวกูซื้อให้” เจ้าของเสียงที่ถามเดินมายืนข้างๆ กับเขา ซึ่งลูกค้าไม่เยอะเท่าไหร่เลยทำให้ไม่ค่อยแออัดเหมือนร้านของกิน

รามินทร์ที่ซื้อลูกชิ้นเสร็จเดินมาหาอินทัชก็ได้ยินว่าร่างโปร่งชอบพอดี และแน่นอนว่าถ้าเขารู้ว่าอินทัชชอบอะไรแล้ว รามินทร์จะหามาให้ทุกอย่าง

“ไม่เป็นไรอ่ะ”

“เออน่า อยากได้อันไหน เลือกเลย”

“บอกว่าไม่ไง” ร่างโปร่งปฏิเสธเสียงแข็ง จนรามินทร์ไม่อยากจะเซ้าซี้คนปากแข็งเลยหันไปพูดกับคนขายแทน

“พี่ครับ ดอกอะไรที่มีความหมายรักที่มั่นคง รักตลอดไป อะไรทำนองนี้ มีไหมครับ” ร่างสูงหันมายิ้มสื่อความหมายให้กับอินทัช ซึ่งเจ้าตัวก็หันหนีแบบไม่อยากจะมองหน้า แต่ความเป็นจริงคือกำลังเขินอยู่ต่างหาก

“มีจ้า อันนี้เลย ดอกสโนไวท์ หมายถึงความรักนิรันดร์ ความรักที่มั่นคงตลอดไป มีหลายสีให้เลือก อยากได้สีไหนคะ” เธอหยิบตัวที่แนะนำออกมาให้รามินทร์เลือก ส่วนอินทัชก็มองตามและแอบเลือกสีไว้ในใจ

“ชื่อสโนไวท์ ก็ต้องสีขาวสิครับ เอาสีขาว ส่วนโหลเอาแบบนี้ครับ” รามินทร์เลือก ซึ่งเหตุผลในการเลือกสีดอกไม้ที่เจ้าตัวพูดออกมาเรียกความสนใจจากอินทัชได้ทันที

ทำไมมันคิดเหมือนกันกับเรา

“โอเคค่า สนใจอะไรอีกไหมเอ่ย”

“แล้วดอกอะไรที่มีความหมายลืมไม่ลงหรือเป็นความทรงจำของเรา แบบนี้มีไหมครับ”

“มีค่า อันนี้สวย...ดอกแคสเปียร์ หมายถึงความทรงจำหรือการรำลึกถึงใครสักคนที่ไม่อาจลืมเลือน”

แม่ค้าเหมือนจะท่องจำมาดี...

“งั้นผมเอาอันนี้ด้วยครับ เป็นสองอย่าง คิดเงินเลยครับ”

รามินทร์จ่ายเงินไปแล้วก็รับของมาถือไว้กับตัวเอง ก่อนจะพาร่างโปร่งที่ยืนนิ่งไม่พูดไม่จากออกจากตรงนั้น แล้วพาเดินไปตามทางที่มีแผงขายของจัดตั้งอยู่ตลอดแนว เผื่อว่าจะมีของที่อินทัชสนใจอีก เขาจะได้ซื้ออีก แม้ว่าเจ้าตัวจะปากแข็งก็ตามทีเถอะ

“เป็นไง อร่อยไหมล่ะ กินอยู่คนเดียว” ถามแบบแขวะๆ ที่อินทัชเอาแต่เดินกินลูกชิ้นอยู่คนเดียวไม่แบ่งคนซื้อมาเลยสักนิด

“ก็ของกู มึงซื้อมาให้กูนี่”

“แต่กูก็อยากกินด้วย”

“ก็ไปซื้อใหม่ดิ” อินทัชทำท่าเหมือนเด็กหวงของ เรียกรอยยิ้มเอ็นดูจากคนตัวสูงที่อายุน้อยกว่าอีกด้วย

“เชิญกินไปเถอะ มองมึงกินกูก็อิ่มแล้ว”

กึก!

หงุดชะงักความอร่อยของอินทัชได้ด้วยประโยคเลี่ยนๆ มือขาวยื่นถุงลูกชิ้นให้กับรามินทร์ทันทีทั้งๆ ที่ยังทานมันไม่หมดเลย แต่เหมือนจะทานไม่ลงแล้ว

“หึหึ อิ่มแล้วหรือไง”

“เปล่า...กูเบื่อ อยากกินอย่างอื่น”

“แสดงว่ามึงเป็นห่วงกูสินะ ถึงได้ยื่นมาให้กูกินเนี่ย”

“อย่าหลงตัวเองได้ป่ะ กูอยากกินเครป ไปซื้อมาหน่อย เอาสตรอเบอร์รี่ปั่นด้วย” สั่งอย่างกับเป็นเจ้านาย แถมยังกอดออกวางมาดคุณชายเรียบร้อย

ถ้าเป็นแต่ก่อนรามินทร์คงจะหมั่นไส้มากแน่ๆ แต่ตอนนี้ไม่ว่าร่างบางจะทำอะไร ก็น่าดู น่ารักไปหมดสำหรับเขา

หลงเข้าขั้นรุนแรงจริงๆ


ระหว่างที่กำลังเดินจากที่จอดรถไปยังบ้านพัก ร่างสูงก็จับข้อมือบางให้เดินมาตรงโขดหินที่เป็นเหมือนที่ดูดาวตอนกลางคืนของรามินทร์ เพราะนอกจากจะได้ดูดาวแล้วมันยังมีเสียงของน้ำไหลให้รู้สึกผ่อนคลายด้วย รามินทร์คิดว่านับจากพรุ่งนี้เป็นต้นไป เขาคงต้องมายืนตรงนี้ทุกวันแน่ๆ

แค่คิดก็ใจหายแล้ว...ใจหายจนแทบอยากจะร้องไห้

“คืนสุดท้ายแล้ว”

เสียงของรามินทร์ฟังแล้วรู้สึกได้เลยว่าอีกคนเจ็บปวดแค่ไหน อินทัชตอนนี้ก็รู้สึกใจหายแล้วอึดอัดในหัวใจแปลกๆ เหมือนกัน

ไม่น่า...อย่าบอกนะว่าเราผูกพันกับมันน่ะ

“มึงคงจะดีใจมากล่ะสิ”

“อืม...แน่นอนอยู่แล้ว”

“อ่ะ...กูให้ กูให้ดอกสโนไวท์กับมึง เป็นเหมือนความรู้สึกของกู...กูอยากจะขอร้องให้มึงใส่ แล้วจากวันพรุ่งนี้...มึงจะทำอะไรกับมันก็ได้ ส่วนแคสเปียร์ กูจะเก็บไว้ เพราะมันเป็นเหมือนความทรงจำที่กูจะไม่มีวันลืม...ถึงแม้ว่าช่วงเวลาดีๆ ของเรามันจะน้อยกว่าช่วงเวลาเลวร้าย แต่มันก็มีความสุขที่สุดแล้วสำหรับคนอย่างกู”

อินทัชยืนนิ่ง มองหน้ารามินทร์แต่ก็ไม่ได้จับจ้อง มองแบบเหม่อลอย เพราะกำลังจัดการกับความรู้สึกของตัวเองอยู่...

“ขอโทษนะ”

ร่างสูงขยับมายืนใกล้ๆ ก่อนจะสวมสร้อยให้กับอินทัชจากด้านหน้า อินทัชก้มหน้ามองตัวจี้ที่เป็นดอกสโนไวท์ด้วยความรู้สึกหลากหลาย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาอย่างรวดเร็วที่ได้ยินประโยคสั่นคลอนหัวใจจากปากของรามินทร์

“กูรักมึง...”

จุ๊บ!!

ริมฝีปากของเราสัมผัสกันเบาๆ และนิ่งค้างอยู่อย่างนั้น ไม่มีการลุกล้ำ มีเพียงความอ่อนนุ่มที่สัมผัสกันเบาๆ เราสบตากันนิ่งๆ มือใหญ่คว้ามือของร่างโปร่งบางไปจับเอาไว้แน่น สอดประสานเอาไว้แล้วบีบมือขาวอย่างแรง รามินทร์ทำราวกับว่านี่เป็นครั้งสุดท้าย...ที่เขาจะมีโอกาสได้ทำแบบนี้

ได้จับมือของคนที่เขารักเอาไว้แนบแน่น ได้ส่งมอบความรู้สึกรักจากใจออกไปผ่านแววตา เวลาผ่านไปหลายนาที รามินทร์ก็ผละริมฝีปากออก พร้อมๆ กับคลายมือที่จับอินทัชไว้

ขวับ!!

ร่างแกร่งรีบหันหลังให้อินทัชทันทีที่น้ำตาของตัวเองหลั่งริน “ฝันดี” ประโยคที่แสนจะสั่นเครือกลั่นออกมาจากความรู้สึกรวดร้าว ก่อนที่รามินทร์จะเดินเข้าบ้านพักไป ปล่อยให้ร่างโปร่งยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นโดยที่รามินทร์ไม่รู้เลยว่า อินทัชจะแสดงสีหน้าอย่างไร เพราะตอนนี้...เขากำลังร้องไห้

เจ็บปวด...ทรมานเจียนตายเป็นยังไง เขาเพิ่งจะรู้ซึ้งในความหมายของมันก็ตอนนี้...

“กูรักมึง...”

แต่รามินทร์รู้ตัวเองดี...ว่าไม่อาจจะเป็นคนที่อินทัชรักได้ และเพื่อคนที่รามินทร์รักแล้ว ความสุขของเขาถือว่าสำคัญกว่าความสุขของตัวเอง...

รักแค่ไหน...ก็ต้อง ‘จำใจ...ปล่อยมือ’


อินทัชยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นปล่อยให้ความรู้สึกต่างๆ มันถาโถมใส่แบบไม่ปิดกั้นมันอีก...

“ฮึก...” เสียงสะอื้นของตัวเองเรียกสติของอินทัชให้คืนกลับมา จึงได้รู้ว่า ตนเองกำลังร้องไห้อยู่ น้ำตาที่ไหลรินไม่หยุดอยู่ตอนนี้...ผสมกับความหน่วงที่หัวใจ ทำให้มือข้างที่อินทัชโดนบีบต้องเอามาจับที่หัวใจเอาไว้ หวังว่ามันจะช่วยบรรเทาความรู้สึกได้

เจ็บปวด...

ทรมาน...

แต่อินทัชก็ไม่รู้...ว่าจะจัดการกับความรู้สึกนี้ยังไง มันสับสนไปหมดแล้ว...น้ำตาของรามินทร์ ครั้งนี้...อินทัชยอมรับว่ามันสะท้านหัวใจเหลือเกิน

อยากจะโอบกอดอีกคนเอาไว้...แต่ไม่รู้ว่าจะทำแบบนั้นไปเพื่ออะไร เพราะถ้าทำแบบนั้น มันจะกลายเป็นการให้ความหวังกับรามินทร์หรือเปล่า

เขาจะกลายเป็นคนใจร้ายหรือไม่...

“ฮือ...” ได้แต่ระเบิดความรู้สึกออกมาเพราะไม่สามารถทานทนมันได้ เขาต้องการอะไร หัวใจต้องการอะไร สมองต้องการแบบไหน อินทัชไม่เข้าใจสักอย่าง

คนฉลาดอย่างอินทัช มักจะเจอทางออกที่ดีอยู่เสมอ แต่ทำไมปัญหานี้ ทางถึงได้ตัน ทำไมมันตัน ทำไมมันมืด เขามองไม่เห็นช่องทางที่จะออกไปได้เลยสักนิด

“ขอโทษ...ฮือ กูขอโทษ...กู...ฮึก”

คำพูดที่อยากจะบอก อินทัชก็ได้แต่บอกผ่านสายลม หวังว่ามันจะช่วยพัดพาไปถึงรามินทร์ ว่าเขาอยากขอโทษ...ขอโทษเรื่องอะไร...เขาเองก็ไม่รู้

รู้เพียงแค่อยากจะพูดคำนี้ รู้แค่นี้จริงๆ

อินทัชได้แต่หวังว่า...เวลาจะช่วยรักษาพวกเรา

มือขาวกับสร้อยตรงอกไว้แน่น...แหงนหน้ามองท้องฟ้า ปล่อยห้ำตามันไหลอย่างที่มันอยากจะเป็น ไม่ฝืนมัน ไม่ปิดกั้นมัน...

แค่ปล่อยมันตามที่มันต้องการ...


พรุ่งนี้...ที่นี่จะกลายเป็นเพียงแค่อดีตสำหรับอินทัช...






100%

:mew2: :mew2: :mew2:

ไม่รู้จะสงสารหรือสมน้ำหน้ารามดี แต่ยูกิว่าน่าสงสารนิดๆ นะ ฮ่าๆ อ่านแล้วเม้นท์ให้ยูกิด้วยนะคะ เป็นกำลังใจให้กันต่อไปน้า....

ถ้ามีอะไรสงสัย อยากสอบถาม หรืออยากพูดคุย ติดตามข่าวสารก็ไปที่แฟนเพจเลยนะคะ ^^ https://www.facebook.com/sawachiyuki/

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
 :laugh:


เห็นเสียน้ำตาแล้วมีความสุข โรคจิตเบาๆ

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ Chattcha

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 111
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
สงสารทั้งคู่ เมื่อไหร่จะกลับมาเข้าใจกัน

ออฟไลน์ little_munoi

  • ++ singular ++
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-3
อื้ออออ สงสารทั้งสองคนเลยตอนนี้
แค่อยากให้อินรู้ใจตัวเอง


ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3709
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ fay 13

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5635
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +286/-44

ออฟไลน์ gackmanas

  • I Remember your Eyes..
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 661
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
 :sad4: :sad4: :sad4:
่มันหน่วงหัวใจเหลือเกิน..

ออฟไลน์ SawachiYuki

  • แค่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 461
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +261/-38
    • Fanpage
Heartless แค้นนี้...มิอาจห้ามรัก
ตอนที่ 45
กำลังใจสำคัญ





ก๊อก ก๊อก ก๊อก

แกรก!!

“มีอะไร...เฮ้ย!”

ปัง!!!

ยังไม่ทันที่อินทัชจะถามเสร็จก็ต้องส่งเสียงร้องตกใจเมื่อคนตัวใหญ่กว่ากำลังผลักเขาเข้าไปในห้องคืนจนกระทั่งล้มลงบนเตียงโดยมีร่างสูงกว่าคร่อมทับอยู่ข้างบน ก่อนที่รามินทร์จะจู่โจมเขาอย่างไม่ทันได้ตั้งตัวด้วยริมฝีปากของคนที่บุกเข้ามาตอนตีหนึ่งกว่าๆ แบบนี้

“อ่ะ...อื้อ อัมอะไอ” อินทัชส่งเสียงอู้อี้พยายามหันหนีริมฝีปากที่บดขยี้อย่างรุนแรง มือไม้ก็พยายามดันอกแกร่งออกไปแต่ก็ไม่เป็นผล จนรามินทร์ต้องใช้มือของตัวเองยึดแขนทั้งสองข้างของอินทัชไว้เหนือศีรษะของเจ้าตัว ร่างบางกว่าเลยสู้ได้เพียงหันหน้าหนีเท่านั้น

รามินทร์ทำเหมือนตัวเองขนาดสติ แต่ไม่ใช่...ทุกอย่างเขารู้ตัวเองดี หลังจากนอนร้องไห้ ทบทวนความคิดทั้งหมดแล้ว เขาก็ตัดสินใจที่จะเดิมพันครั้งสุดท้าย...เลยบุกมาหาอินทัชตอนตีหนึ่งแบบนี้

“ร่ะ...ราม หยุดนะ! มึง อย่าทำแบบนี้ อ๊ะ!” เสียงน่าอายดังออกมาเป็นช่วงๆ เมื่อโดนรามินทร์ซุกไซ้ซอกคออย่างรุนแรง แต่มันก็ทำให้อินทัชรู้สึกขนลุกได้

แรงขบเม้มที่ซอกคอทำให้คนโดนกระทำรู้สึกเจ็บแปลบ รู้เลยว่ามันต้องมีรอยหลายรอยแน่ๆ รามินทร์ที่กำลังจูบไปทั่วทั้งคอก็จูบโดนสร้อยที่ตนซื้อให้ ที่เวลาสัมผัสโดนแล้วรู้สึกดีทุกครั้งเพราะอินทัชไม่ได้ถอดมันออกไป ทั้งๆ ที่จะถอดออกไปก็ได้

“ไอ้ราม!! อื้อ” แล้วก็โดนปิดปากอีกครั้ง คราวนี้ทุกความรู้สึกที่อินทัชกำลังรู้สึกสับสนมันก็ทะลักออกมาเป็นสายน้ำตาอีกครั้ง คราวนี้ถึงกับหยุดชะงักการกระทำอันป่าเถื่อนของรามินทร์ได้ทันที

ร่างแกร่งจ้องตาแดงก่ำของอินทัชด้วยความรู้สึกเจ็บปวด แต่มันก็เต็มไปด้วยความจริงจัง อินทัชเองก็มองตารามินทร์ทั้งๆ ที่มีน้ำตาบังเอาไว้อยู่

มันทั้งกลัวความรู้สึกแบบวันที่โดน ‘ย่ำยี’ และมันก็มีทั้งความรู้สึกที่ทั้งขัดขืนผสมกับอยากจะยอมอยู่ในอารมณ์ มันสับสน สับสนจนอินทัชทนไม่ไหว

“ฮึก...” อินทัชหันหน้าหนีทั้งน้ำตา พังความหวังที่เหลือทลายลงในพริบตา

“มึงเกลียดกูจริงๆ สินะ” ถามเสียงสั่นเครือ

อินทัชกัดปากตัวเองแรงๆ ไม่รู้จะตอบกลับไปอย่างไร และไม่รู้ว่าจะหันไปองหน้าร่างสูงดีไหม บอกตามตรงว่าเขากำลังกลัวรามินทร์

กลัวว่ามันจะเป็นเหมือนวันนั้น จนใจสั่นไปหมด

“ลุก...ออกไป” สั่งเสียงแข็งเน้นเสียงทุกคำ แต่อินทัชก็ไม่ได้ทำให้รามินทร์รู้สึกกลัวได้

“ไม่เกลียดกูไม่ได้เหรอ” ถามด้วยน้ำเสียงเว้าวอน

“กู...กูไม่ได้เกลียด” ตอบเสียงเบา แต่มันก็ทำให้หัวใจของรามินทร์มีชีวิตชีวามากขึ้น หากก็คิดได้ว่า ไม่ได้เกลียด แต่ก็ใช่ว่าจะรักหรือชอบได้

“งั้นมึงรู้สึกยังไงกับกู ไหนๆ กูก็ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว ถ้าการทำแบบนี้ของกูจะทำให้มึงไม่ชอบหรืออะไรก็ตาม กูก็จะทำมันทุกวิถีทาง ถ้ามึงเกลียด รังเกียจกู มึงก็แค่บอกมา พูดมา แล้วก็มองตากูด้วย กูจะได้เลิกหวังลมๆ แล้งๆ”

เลิกหวัง...ไม่ได้จะตัดใจ คนละความหมาย อย่าเข้าใจผิด

“ตอบกู แล้วกูจะปล่อยมึง”

อินทัชค่อยๆ หันหน้ามาเผชิญกับรามินทร์ที่ตอนนี้ใบหน้าของร่างสูงอยู่ห่างไม่ถึงคืบ ดวงตาสวยที่มีหยาดน้ำพยายามที่จะจ้องตากับรามินทร์แต่ก็ยังลอกแลกไม่กล้ามองตรงๆ

“ว่าไง...มึงรังเกียจกูเหรอ”

“ป่ะ...เปล่า”

“แล้วทำไม ถึงปฏิเสธสัมผัสจากกู ทำไมไม่รับความรู้สึกของกู โกรธในสิ่งที่กูทำกับมึงกูเข้าใจ แต่กูเชื่อว่ามึงสี่วันมานี้ ความรู้สึกมึงเปลี่ยนไปแล้ว”

รามินทร์เห็นความวูบไหวในดวงตาตอนที่เขาพูดว่าอินทัชเปลี่ยนไป แสดงว่าที่เขาคิดมันไม่ใช่เรื่องที่คิดไปเอง อินทัชโอนอ่อนให้กับเขาบ้างแล้ว

“กูตอบไปแล้ว ลุกจากตัวกูซะ กูเจ็บ” อินทัชพยายามดิ้น

“มองตากูอิน...แล้วตอบออกมาว่ามึงไม่ได้รู้สึกอะไรกับกู”

อินทัชสบตากับรามินทร์ด้วยความจำใจ หากแต่ปากและเสียงก็ไม่ยอมพูดออกมาตามที่ใจคิด ได้แต่อึกๆ อักๆ จนรามินทร์ดีใจกับความลังเลนี้

“กู...คือ...กู”

“กูรักมึง รักมึงนะอิน”

ร่างโปร่งนิ่งค้างไปกับประโยคบอกรัก รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังละลาย ไม่มีรงที่จะต่อต้านอะไรรามินทร์อีกแล้ว แม้แต่พูด อินทัชยังไม่อยากพูดเลย รามินทร์ที่เห็นแบบนั้นก็แนบริมฝีปากลงไปประทับที่ริมฝีปากของอินทัชเบาๆ รามินทร์เสี่ยงครั้งสุดท้ายคือค่อยๆ ปล่อยมือจากแขนทั้งสองข้างของอินทัช แต่ริมฝีปากก็ยังแนบอยู่กับปากบางแบบนั้น

อินทัชนิ่ง ไม่ดิ้นรน ไม่ขัดขืน หนำซ้ำยังปิดตาลงเหมือนกำลังยอมให้รามินทร์ทำตามใจชอบ ซึ่งเมื่อทันทีที่อินทัชหลับตา รามินทร์ก็ค่อยสอดแทรกปลายลิ้นเข้าไปในโพรงปากที่เขาเคยรุกล้ำมันมาแล้วหลายครั้งอย่างอ่อนโยนที่สุด

แขนขาวค่อยๆ ยกขึ้นมาโอบรอบคอแข็งแรง ปล่อยความรู้สึกให้ไปตามที่ใจรู้สึก รามินทร์เองก็ถ่ายถอดความรักออกไปด้วยความอ่อนโยนที่สุด หวังว่า ‘กอด’ ครั้งนี้ จะทดแทนความรู้สึกเลวร้ายนั่นให้กับอินทัชได้ จนสักวันหนึ่ง อินทัชจะเปิดโอกาสให้กับเขา

ให้เขาได้เป็นคนรัก...

ทั้งคู่กอดกัน สัมผัสกันและกันทั้งน้ำตา มันทั้งสุขและเจ็บปวดไปคราเดียวกัน รามินทร์ทำไปเพราะรัก...ส่วนอินทัช ยอมเพื่อล่ำลา

“จำเอาไว้...ว่ากูรักมึงขนาดไหน”

อินทัชไม่สนแล้วว่าวันพรุ่งนี้จะสู้หน้ารามินทร์ได้ไหม จะทำเป็นไม่รู้อะไรได้ไหม แต่สัมผัสที่แสนอ่อนโยนและอบอุ่นของรามินทร์ บวกกับความรู้สึกบางอย่างในใจ มันทำให้อินทัช...เลือกที่จะปล่อยมันไปตามที่มันอยากจะเป็น มากกว่าไปฝืนความรู้สึก

พรุ่งนี้มันเป็นเรื่องของอนาคต ยังไง เขาก็ต้องไป

ยังไงเขาก็ต้องกลับบ้าน ต้องไปจากที่นี่...

ที่นี่...ไม่ใช่ที่ของเขาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว...

...

...

...


ทางด้านของหมอเงินกับขรรค์ที่วันนี้ก็ผ่านไปอย่างเรียบง่ายไม่มีอะไรมาก แม่ของหมอเงินก็ทำหน้าที่เลี้ยงหลานไปด้วยบรรยากาศธรรมชาติของบ้านสวนของจักรโดยไม่มีทีท่าขัดขวางอะไรเลย แต่ก็ไม่ค่อยจะคุยกันเหมือนเดิม หากแต่บรรยากาศระหว่างขรรค์กับแม่ของเงินก็ดีมากขึ้น

มากกว่าเมื่อก่อนเยอะเลย

“พรุ่งนี้อินก็จะกลับแล้วใช่ไหม เงินไม่ค่อยได้คุยกับอินเลยช่วงนี้ แต่โชคดีที่พรุ่งนี้มีเวรดึก เงินจะไปหาอินแต่เช้าเลยคอยดู เอ...หรือจะตามไปส่งที่กรุงเทพแล้วนั่งเครื่องกลับมาดี” หมอหนุ่มที่กำลังนอนอยู่ข้างๆ กับขรรค์บนเตียงพูดขึ้นเพราะยังนอนไม่หลับกันทั้งๆ ที่เข้าสู่เช้าวันใหม่แล้วก็ตาม

“จะดีหรือเงิน กลับมาทันก็จริง แต่มันจะไม่ล้าเหรอ”

“ไม่รู้สิ ก็ล้านั่นแหละ แต่ทำไงได้ ช่วงนี้เราไม่ได้ไปที่รีสอร์ท เพราะแม่เงินมาเราก็ต้องมานอนที่นี่ทุกวัน เงินเลยไม่มีโอกาสได้เจอกับอินเลย เบอร์ติดต่อก็ยังไม่ได้ขอ ถ้าหากอินกลับไปแล้ว เกิดเงินคิดถึง เงินจะติดต่อยังไงล่ะ โทรเข้าบริษัทต้องยุ่งยากมากแน่ๆ”

“พรุ่งนี้เช้าเราค่อยไปก็ได้ คุณรามบอกว่าจะออกเดินทางสายๆ หน่อยน่ะ”

“นี่คุณรามจะไปส่งเองเลยเหรอ”

“ใช่...จะขับรถไปเองด้วย”

“ทำไมไม่ขึ้นเครื่องนะ เร็วกว่าขับรถไปเองด้วย” เงินถามอย่างไม่เข้าใจ ลืมไปสนิทเลยว่ารามินทร์น่ะตกหลุมรักอินทัชไปแล้ว เหตุผลที่รามินทร์ต้องการขับรถไปส่ง ก็คือ...

“คุณรามต้องการอยู่กับอินให้ได้นานที่สุดน่ะ”

“อ๋อ...เงินลืมไปเลยนะ จริงๆ แล้วคุณรามก็น่าสงสารอยู่นะ ถ้าเอาเหตุผลมาชั่งดูแล้วก็น่าสงสาร แต่ถ้าถามว่าเห็นด้วยไหมกับการแก้แค้น เงินไม่เห็นด้วยอยู่แล้ว แต่ถ้าถามว่าเข้าใจไหม เงินก็เข้าใจแหละ เงินเข้าใจว่าทำไมคุณรามถึงได้ทำลงไป”

เงินพูดออกมา นับว่าเป็นคนที่เป็นกลางมาก มีเหตุผลเสมอ ส่วนขรรค์ บอกตามตรงว่าเอนเอียงไปทางรามินทร์มากกว่า เพราะยังไงแล้ว รามินทร์ก็เป็นเจ้านายของตน แม้จะรู้แก่ใจว่าสิ่งที่เจ้านายทำมันผิดก็ตามที

“ขรรค์ก็เข้าใจ เข้าใจดีด้วย ช่วงนั้น...คุณรามดูไม่ใช่คุณรามจนขรรค์อดหวั่นๆ ไม่ได้ เหมือนกัน อินมันก็ควรจะเข้าใจด้วยไม่ใช่หรือไง”

“เฮ้อ...ก็ต้องปล่อยเป็นเรื่องของเขาทั้งสองล่ะนะ เงินรู้ ว่าขรรค์เป็นห่วงความรู้สึกของคุณราม แต่ขรรค์ต้องนึกถึงความรู้สึกของคนถูกกระทำบ้างนะ ถ้าขรรค์โดนแบบอินบ้าง ขรรค์จะรู้สึกยังไง โดนทำทั้งๆ ที่ไม่ได้ผิดอะไรเลย” คนรักของเขาย้อนถามกลับ

“ขรรค์รู้ ขรรค์ก็เข้าใจ”

แต่ที่ไม่เข้าใจคือ...การเปิดใจรับรามินทร์ มันเป็นเรื่องที่ยากและเป็นไปไม่ได้เลยหรือไง

ก็แค่ทิ้งอดีตแล้วทำความรู้จักกันใหม่ คนเรามันก็ต้องผิดพลาดกันบ้าง...ขนาดขรรค์เอง ก็ยังตัดสินใจผิดและทำผิดมาแล้วตั้งหลายครั้ง

“เงินคิดว่าอินรู้สึกยังไงกับคุณราม” ขรรค์ถามคนรักเพราะอยากจะรู้

“ไม่รู้สิ...สามสี่วันมานี้เงินยังไม่เคยเห็นอินเลย ถ้าไม่ได้เห็นสายตา เงินก็คงพูดไม่ได้หรอก แต่ที่เงินรู้ คืออินเป็นคนใจอ่อนนะ แต่ที่ไม่ยอมคุณรามง่ายๆ อาจเป็นเพราะทิฐิบางอย่าง”

“อืม...ขรรค์อยากเห็นคุณรามมีความสุข”

“เงินก็อยากเห็นอินมีความสุขเหมือนกัน”

“ทำได้แค่เป็นกำลังใจให้เท่านั้นแหละ” ขรรค์ว่า

“ก็จริงนะ เอาล่ะ นอนได้แล้วนะขรรค์ พรุ่งนี้เราจะไปหาอินแต่เช้า”

“ครับ...ฝันดีนะเงิน”

“ฝันดีครับ”


“จะไปไหนกันแต่เช้าล่ะลูก” หญิงวัยกลางคนที่มีศักดิ์เป็นมารดาของหมอเงินเอ่ยถามลูกชายที่วันนี้แต่งตัวพร้อมออกไปข้างนอกแต่เช้า ทั้งๆ ที่บอกเธอเอาไว้เมื่อวานว่ามีเวรดึก

“วันนี้เพื่อนของเงินจะกลับกรุงเทพแล้วครับ ก็เลยอยากไปส่ง กลัวจะไม่ได้เจอกันอีก”

“หืม...ก็เวลาเงินไปประชุม ไปสัมมนาก็ค่อยนัดเพื่อนมาเจอได้นี่ลูก”

“ไม่ง่ายขนาดนั้นหรอกครับ เพื่อนของเงินคนนี้น่ะ พบตัวได้ยากมากเลย”

“เอ๊ะ! แม่งงนะเนี่ย ถ้าเจอตัวยากขนาดนั้น ไม่ใช่ว่าทำงานผิดกฎหมายนะลูกนะ” เธอแสดงสีหน้าเป็นกังวลจนลูกชายต้องเดินไปสวมกอดคนเป็นแม่ด้วยความรัก หัวเราะน้อยๆ กับความกังวลของแม่ตนเอง

“ไม่ใช่หรอกครับแม่ เพื่อนผมคนนี้เขาเป็นนักธุรกิจน่ะครับ”

“อ๋อ...แม่ตกใจแทบแย่ ว่าแต่ลูกมีเพื่อนเป็นนักธุรกิจตั้งแต่เมื่อไหร่”

“ตั้งแต่ตอนอยู่ที่นี่แหละครับ จริงๆ แล้วเขาเป็นเพื่อนของขรรค์ แล้วเงินก็มารู้จักอีกทีน่ะครับ” ร่างโปร่งอธิบายให้แม่ฟัง เธอก็พยักหน้าอย่างเข้าใจ

“นายขรรค์ก็จะไปด้วยด้วยสินะ”

“ครับ”

เอาจริงๆ แล้วเงินรู้สึกว่าแม่ตัวเองจะเริ่มถูกใจขรรค์ขึ้นมาบ้างแล้วแหละ แต่ยังทิฐิอยู่ ไม่ใช่เพราะขรรค์มีร่ำรวย มีบ้าน มีสวนใหญ่โตหรอกนะ แต่เป็นเพราะความเจียมตัวและความติดดินของขรรค์ต่างหาก

เป็นเจ้าของบ้าน เป็นเจ้านาย แต่ก็ทำตัวเหมือนไม่ใช่...จนบางทีเธอเองก็คิดว่าลูกชายเธอเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้เสียเอง เพราะคนงานจะเรียกขรรค์พี่อย่างสนิทสนม ไม่มีคำว่าคุณอย่างที่ควร แต่กับเงิน คนงานต่างก็พากันเคารพมากกว่าอีก

“จะกลับมาตอนไหนล่ะลูก”

“แม่อยากไปไหนหรือครับ”

“เปล่าจ้า แค่อยากรู้ไปนานไหม กลัวตารักษ์จะคิดถึง”

“แหม...เงินก็คิดว่าอะไร เงินจะกลับมาทันทีที่ส่งเพื่อนแล้วนะ บอกน้องรักษ์ไม่ต้องงอนพ่อนะครับแม่ ฮ่าๆ”

“ตาเงินนี่นะ...แล้วนี่เมื่อไหร่จะไปกันล่ะ”

“รอขรรค์อาบน้ำแต่งตัวอยู่ครับ”

“อืม...หิวไหมลูก กินอะไรก่อนไหม แม่จะทำให้”

“ไม่เป็นไรครับแม่ เดี๋ยวเด็กก็มาทำอาหารแล้ว แม่ไม่ต้องทำเองนะครับ ให้เด็กๆ ทำไป ตอนกลางวันเงินจะพาแม่ไปทานอาหารข้างนอกนะครับ”

ร่างโปร่งยิ้มหวานให้กับแม่ ผู้หญิงที่เขารักมากที่สุดในชีวิต

“จ้า...แม่มาพักผ่อนนี่นะ อยู่สบายๆ ดีกว่า”

“โอ๊ะ...ขรรค์มาแล้วครับ คงต้องไปแล้วล่ะครับแม่” เงินอุทานเมื่อเห็นว่าคนรักเดินลงบันไดลงมาในชุดธรรมดาเหมือนทุกๆ วัน ร่างสูงใหญ่เดินเข้ามาหาคนรักและแขกคนสำคัญด้วยสีหน้าเรียบนิ่งเป็นปกติ ก่อนจะเอ่ยทักทายคนอายุมากกว่าที่มีศักดิ์เป็นแม่ของคนรัก

“อรุณสวัสดิ์ครับ”

“อืม...อรุณสวัสดิ์”

นับว่าเป็นปฏิกิริยาที่น่าพึงพอใจแล้วสำหรับเจ้าของบ้านที่ทำตัวไม่เหมือนเจ้าของบ้านอย่างขรรค์ อย่างน้อย แม่ของเงินก็ไม่ได้อึดอัดใจที่จะต้องอยู่ร่วมบ้านกับเขา

“รบกวนฝากดูแลบ้านด้วยนะครับ” ขรรค์มักจะพูดแบบนี้ก่อนออกจากบ้านทุกวัน จนเป็นความเคยชินไปแล้ว ซึ่งตรงนี้แหละมั้งที่ทำให้แม่ของหมอเงินรู้สึกชื่นชม

ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าที่ผ่านมาเธออคติอะไรในตัวของขรรค์กัน ทั้งๆ ที่ขรรค์ก็เป็นคนดี เจียมเนื้อเจียมตัว และไม่เคยลืมตัวเลยแม้ตอนนี้จะรวยไปแล้วก็ตาม...

หากแต่เธอก็ไม่กล้าที่จะทำดีกับขรรค์อย่างตรงไปตรงมานัก

“ได้ๆ ฉันจะดูบ้านให้ ไปทำงานเถอะ”

“ขอบคุณครับ”

“ไปนะครับแม่”

“จ้า”

ขรรค์กับเงินเดินทางออกจากบ้านสวนด้วยรถยนต์ส่วนตัวที่ต้องขับอ้อมไปยังรีสอร์ท เพราะถ้าเดินเท้าทะลุผ่านป่าจะใช้เวลาเร็วกว่าการขับรถไป เพราะทางป่าเป็นทางตรงกว่า แต่ไม่มีทางให้รถสัญจรได้เลยต้องเลือกที่จะเดินกับเลือกเสียเวลาเพิ่มขึ้นโดยการขับรถอ้อม

แต่พวกเขาก็เลือกที่จะขับรถดีกว่า เพราะช่วงนี้อยู่ในช่วงฤดูฝน เดินผ่านป่าไม่น่าจะปลอดภัยเท่าไหร่นัก

“ขรรค์ รู้สึกไหม...แม่ของเงินเหมือนจะเอ็นดูขรรค์ขึ้นมาแล้วนะ” ชวนคนรักคุยระหว่างทาง

“ไม่รู้สิ ขรรค์คิดว่าบรรยากาศดีกว่าเมื่อก่อนก็จริง แต่ใช่ว่าท่าจะยอมรับขรรค์ได้ง่ายๆ นะเงิน” ร่างสูงตอบตาก้ตั้งใจมองถนนไม่ลอกแลก

“จริงๆ ท่านไม่ได้เกลียดขรรค์นะ แค่ไม่ยอมรับความรักอย่างเราเท่านั้นเอง เงินคิดว่าท่านคงจะยอมรับได้บ้างแล้วล่ะ ก็โลกมันไปถึงไหนแล้วนี่นะ แม่ของเงินคงไม่มานั่งหัวโบราณได้ตลอดเวลาหรอก ทัศนคติคนเรามันเปลี่ยนได้เสมอแหละ หากว่ามันสมเหตุสมผลพอ”

“ขรรค์ก็ขอให้เป็นแบบนั้นนะ”

“มันต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว นอกจากเราจะเป็นกำลังใจให้กันและกันแล้ว ขรรค์ไม่รู้สึกเหรอว่า น้องรักษ์ก็เป็นกำลังใจให้เราเหมือนกัน กามเทพตัวน้อย น้องรักษ์ไง”

ขรรค์นึกภาพเด็กน้อยที่เป็นเหมือนเป็นเทวดาองค์น้อยที่เวลามองหรือได้เล่นด้วยแล้ว รู้สึกมีพลังขึ้นเยอะ นั่นอาจจะเป็นเพราะได้รับพลังงานความบริสุทธิ์ของเด็กน้อยมาล่ะมั้ง...

ทำไมขรรค์ถึงได้รู้สึกรักและผูกพันกับน้องรักษ์มากถึงขนาดนี้ ทั้งๆ ที่ไม่ใช่สายเลือดเดียวกัน แต่นั่นอาจจะเป็นเพราะน้องรักษ์...มีสายเลือดของเงินอยู่ ซึ่งเป็นคนที่เขารักมากที่สุดในตอนนี้...

พ่อกับแม่คือคนที่เขารักและคำนึงถึงตลอดเวลา แต่ท่านก็ไม่ได้อยู่ในขรรค์ได้ตอบแทน ขรรค์ก็เลยปฏิญาณกับตัวเองไว้ ว่าจะรักและดูแลเงินไปตลอดทั้งชีวิตนี้...ทุ่มทุกอย่างที่มีเพื่อเงินกับลูก

“จริงสินะ รักของเรามันจะสิบปีแล้วนะเงิน จากความรักแบบเด็กๆ จนวันนี้...เรากลายเป็นคู่ชีวิตกันแล้ว”

“อ่า...วันนี้ขรรค์พูดเลี่ยนจัง” แม้ว่าหมอเงินจะว่าแบบนั้น แต่การที่ไม่มองหน้าขรรค์แล้วยังหน้าแดงหูแดงอีกแบบนี้ คำตอบคือเขินจัด

เพราะนานๆ ครั้งที่ขรรค์จะพูดอะไรหวานๆ เลี่ยนๆ ออกมา






50%

 :hao6: :hao7: :mew1: :mew2:

เป็นยังไงบ้างคะ อ่านแล้วเม้นท์ให้ยูกิด้วยน้า จะติชมหรือว่าจะด่าจะว่ายังไงยูกิก็ได้ แล้วเจอกันวันศุกร์นะคะ ถ้ามีอะไรสามารถติดต่อยูกิได้ที่แฟนเลยจ้า ^^ https://www.facebook.com/sawachiyuki/

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11
หวายยยย. อินกะรามทำไรกันอะ อิอิ




ออฟไลน์ gackmanas

  • I Remember your Eyes..
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 661
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
 :katai2-1: รอๆ อีก 50%
หลังจากนี้ รามกะอิน จะเป็นยังไงน๊าาา..
แอบลุ้นจุง... :katai5:

ออฟไลน์ little_munoi

  • ++ singular ++
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-3
แล้วจะเป็นไงต่อ

ออฟไลน์ lovewannabe

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 371
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
รออ อยากรู้ อินจะกล้ามองหน้ารามหรือไม่ :katai2-1:

ออฟไลน์ SawachiYuki

  • แค่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 461
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +261/-38
    • Fanpage
ตอนที่ 45 ครึ่งหลัง




“ไม่ชอบหรือ?”

แล้วก็เป็นแบบนี้ พอปล่อยประโยคเสี่ยวๆ ก็ทำเป็นใสซื่อ ไม่รู้เรื่องรู้ราวปล่อยให้ร่างโปร่งบางอายและเขินอยู่คนเดียว

“ขับรถเงียบๆ ไปเลย เงินไม่คุยด้วยแล้ว”

“หึหึ”

ใครบอกว่าหมอเงินจะสามารถเอาชนะขรรค์ได้อยู่คนเดียว คนที่รู้จักมาสิบกว่าปี รักกันมาเกือบสิบปี คบกันมาเจ็ดปี...เป็นไปไม่ได้ที่ขรรค์จะไม่รู้ว่าอะไรที่จะทำให้เงินแพ้ หากแต่ว่าขรรค์ชอบที่จะยอมร่างโปร่งมากกว่า จะหยอดๆ เป็นครั้งคราวเท่านั้น

และก็จะทำเป็นไม่รู้เรื่อง ทั้งๆ ที่ตัวเองก็เขินเหมือนกัน

เห็นแบบนี้...พวกเราจีบกันทุกวันนะ แม้ว่าจะคบกันแล้วก็ตาม แต่สิ่งที่พวกเขาทำคือการจีบกันเหมือนตอนแรกๆ มันไม่ใช่กฎ แต่มันเป็นความเคยชินต่างหาก


“พี่ขรรค์ เงิน มาแต่เช้าเลยนะครับ” เจ้าจอมทักทาย

“อ้าว? น้องจอม จะไปไหนแต่เช้าครับ” หมอเงินทักทายอย่างสนิทสนม เจ้าจอมได้แต่ยิ้มให้อย่างน่ารัก

“จะแปดโมงแล้วพี่เงิน ถึงเวลาทำงานแล้วครับ”

“ก็เช้านะ”

“ฮะๆ พี่เงินไม่ได้ดูนาฬิกาเลยใช่ไหมเนี่ย” เจ้าจอมหัวเราะน้อยๆ

“ดูสิครับ แหม...แซวพี่นะเรา ว่าแต่อินอยู่ไหนล่ะครับน้องจอม”

“อยู่ที่บ้านพักนั่นแหละครับ แต่เดี๋ยวก็จะไปทานข้าวที่ห้องอาหาร พี่ขรรค์กับพี่เงินก็ไปด้วยนะครับ จอมกับจักรเองก็จะไปเหมือนกัน มื้อสุดท้ายกับพี่ชายที่น่ารัก”

เจ้าจอมดูเศร้าลงทันทีที่คิดว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้กินข้าวกับอินทัช

“พูดอะไรแบบนั้นล่ะครับน้องจอม ถ้าอินมาได้ยินเข้าคงเสียใจแย่เลย เวลาน้องจอมเข้ากรุงเทพ พี่เชื่อว่าถ้าน้องจอมอยากเจออิน อินก็จะมาหาน้องจอมเลย มิตรภาพของเรามันตัดไม่ขาดกันง่ายๆ หรอกนะ”

คำพูดของหมอเงินทำให้เจ้าจอมกลับมาดูสดใสเหมือนเดิม

“นอกจากจะเป็นหมอรักษาคนไข้แล้ว คำพูดของพี่เงินยังช่วยรักษาจิตใจคนอื่นได้อีกนะครับ”

“ก็พี่เป็นหมอนี่นา” เงินยืดอกอย่างภูมิใจที่ได้พูดว่าตนเป็นหมอ เรียกสายตาเอ็นดูจากคนตัวใหญ่ที่ยืนฟังยืนมองทั้งคู่สนทนากันแบบเงียบๆ

“จริงด้วยสินะ...งั้นพี่เงินกับพี่ขรรค์รอไปพร้อมจอมก็ได้ ขอจอมไปลงเวลาเข้างานก่อนนะฮะ เดี๋ยวถูกพี่รามตัดเงินเดือน”

“ครับ พี่สองคนจะรอเราอยู่ตรงนี้แหละ”

ขรรค์กับเงินยืนรอเจ้าจอมที่ไปลงเวลาเข้างานไม่นาน ทั้งสามคนก็เดินไปที่ห้องอาหารทันที และเมื่อไปถึงก็ปรากฏว่าอินทัชอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีดำปลดกระดุมสองเม็ดกับกางเกงสแลคเข้ารูปชุดเดียวกับที่เขาใส่ตอนรามินทร์จับตัวเขามา แต่นั่นมีเนคไทกับสูทนอกด้วย หากแต่เขาก็ไม่ใส่...

เล่นทำเอาทุกคนจ้องมองด้วยความตกตะลึงในความหล่อเหลาและสง่างามของอินทัช ไม่เว้นแม้กระทั่งพนักงาน ลูกค้าที่พากันเหลียวหลังมองเวลาเดินผ่าน

“อิน...”

“อ้าว? หมอเงิน เชิญนั่งครับ”

ทั้งสามคนที่มาใหม่นั่งลงตรงที่ที่ว่างทันที ก่อนที่หมอเงินจะเอ่ยทักด้วยความทึ่ง

“อิน...ดูดีมากเลยอ่ะ”

“หมอก็ชมผมเกินไป สภาพนี้ดีตรงไหนล่ะครับ ผมยังรู้สึกเลยว่าผิวตอนนี้ไม่เข้ากับชุดสุดๆ” อินทัชมองผิวที่คล้ำขึ้นของตัวเองอย่างหน่ายใจ เพราะปกติเวลาที่เขาใส่สีดำที่เป็นเชิ้ตแบบนี้มันจะทำให้ผิวตัวเองขาวมาก แต่นี่...หมองลงอย่างเห็นได้ชัดเลย

“แล้วนี่ทำอะไรอยู่หรือครับ”

“รอทุกคนนั่นแหละครับ เหลือไอ้จักรคนเดียวนี่แหละ”

“เดี๋ยวมาครับพี่อิน นั่นไง มาพอดีเลย” อินทัชหันไปมองคนมาใหม่ด้วยรอยยิ้มทักทาย ซึ่งจักรเองก็ยิ้มและยักคิ้วให้ก่อนจะนั่งลงตรงข้ามกับเจ้าจอม

“ครบแล้วนะ ลงอาหารได้เลย”

“ครับคุณราม” พนักงานรับคำสั่งของเจ้านาย แล้วเดินไปจัดการเอาอาหารมาเสิร์ฟบนโต๊ะ

แม้ว่าอินทัชจะยิ้มเป็นปกติแต่เงินกลับรู้สึกได้ว่าบางอย่างมันดูแปลกๆ เพราะอินทัชกับรามินทร์นั่งตรงข้ามกันแท้ๆ แต่ไม่มองหน้ากันเลย ไม่สิ...อินทัชไม่มองหน้ารามินทร์เลย มีแต่ร่างสูงที่นั่งมองอยู่ฝ่ายเดียว

เกิดอะไรขึ้นอีก?

เงินได้แต่เก็บความสงสัยนี้เอาไว้ เพราะถึงตัวเองจะอยากรู้แค่ไหน และต่อให้ถามออกไปก็ไม่น่าจะได้รับคำตอบจากทั้งคู่แน่ๆ

“เอาล่ะ ทานได้เลยทุกคน”

พวกเขาทั้งหกคนได้แต่ทานอาหารเช้าอย่างเงียบๆ ไม่พูดไม่จากันเพราะป้องกันไม่ให้บรรยากาศมันแย่ กลัวว่าคำพูดของใครสักคนมันขัดหูใครบางคนเข้าแล้วจะทำให้อินทัชจดจำเรื่องไม่ดีไปเปล่าๆ

เงินเองก็อยากให้เพื่อนต่างวัยคนนี้ มีความทรงจำที่ดีกลับไป

“จะเดินทางกี่โมงหรืออิน”

“กินข้าวเสร็จก็จะไปเลยน่ะครับหมอเงิน” รามินทร์เป็นคนตอบแทน

“เร็วจัง”

อินทัชทำได้แต่แค่นยิ้มบางเบา ก้มหน้าก้มตาทานข้าวต่อไป จนกระทั่งเวลาที่ไม่มีใครอยากให้มาถึงโดยเฉพาะรามินทร์...

หลังจากที่อินทัชไปลาป้ารีแล้ว พวกเขาก็มารวมตัวส่งอินทัชที่รถ ทั้งพนักงาน ทั้งคนที่เคยร่วมงานกัน แต่ละคนทำหน้าเศร้าที่อินทัชจะต้องไปแล้ว...แม้ว่าจะเป็นเวลาไม่กี่เดือน แต่ความดีของอินทัชเป็นที่น่าจดจำ...

“ขับรถดีๆ นะพี่ราม” ร่างสูงพยักหน้าตอบรับเจ้าจอม เข้าไปนั่งประจำที่คนขับทันที ปล่อยให้อินทัชได้ล่ำลาทุกคนอย่างที่ต้องการต่อไป

“อย่าลืมจอมนะพี่อิน”

“พี่จะลืมน้องชายพี่ได้ยังไง โทรหาพี่ได้นะ ให้เบอร์ไปแล้ว” อินทัชยิ้มหวาน ทำเอาเจ้าจอมน้ำตารื้นอย่างช่วยไม่ได้ ซบหน้าที่ไหล่กว้างของคนรักทันทีเมื่อกำลังจะร้อง ส่วนหมอเงินก็ได้แต่ยิ้มให้ ยิ้มที่เรารู้ความหมายกันแค่สองคน

ยิ้มที่หมายถึง ‘แล้วเจอกัน’

“เดินทางปลอดภัย ขอให้มีความสุขนะ” ขรรค์อวยพร ซึ่งอินทัชก็พยักหน้ายิ้มๆ

“ขอบคุณมากนะ”

“แล้วเจอกันนะมึง”

“แล้วเจอกัน กูให้เวลามึงแค่สามเดือนเท่านั้นนะ ไม่งั้น...กูจะส่งคนมาลาก โอเค้?” อินทัชพูดกับจักร เรียกเสียงหัวเราะจากเพื่อนผิวเข้มได้ทันที

“ฮ่าๆ เออน่า...”

“โชคดีนะทุกคน ผมขอตัวกลับก่อน บ๊ายบาย ไปหาพี่ได้นะน้องจอม หมอเงิน”

อินทัชส่งยิ้มที่แสนจริงใจให้อีกครั้ง ก่อนที่พวกเขาจะเห็นเพียงรถที่แล่นออกไป ปล่อยให้บรรยากาศในรีสอร์ทดูหดหู่ไม่มีชีวิตชีวา...หมอเงินอยากจะร้องไห้นะ แต่มันไม่ใช่ที่ที่เขาจะอ่อนแอได้

ผมขอให้อินโชคดี...อย่าปิดกั้นหัวใจตัวเอง ความสุขของอิน...อยู่ใกล้แค่นี้เอง อย่าพยายามที่จะทิ้งมันไปเลยนะ…หมอเงินก็ได้แต่หวังว่า คำอวยพรจากเขาจะส่งถึงใจของอินทัช...

“ไปทำงานต่อได้แล้วทุกคน” ขรรค์สั่งคนงาน ซึ่งเหล่าพนักงานคนงานก็ต่างแยกย้ายกันไปเพื่อทำงานของตัวเอง แม้ว่าจะยังรู้สึกเศร้าๆ อยู่ หากแต่หน้าที่ของเราก็ต้องดำเนินไปให้ดีที่สุด


“สรุปว่าเงินคิดว่ายังไง...อินมันรู้สึกยังไงกับคุณราม”

“เงินนึกว่าขรรค์จะลืมไปแล้วเสียอีก”

“ไม่หรอก ก็เงินบอกว่าขอดูสายตาไม่ใช่หรือ นี่ไง...ได้เห็นแล้ว ขรรค์แค่อยากรู้ว่า เงินเห็นเหมือนที่ขรรค์เห็นหรือเปล่าก็เท่านั้นเอง”

“หือ?”

“พวกเขา...”

“ใช่...คุณรามกับอินรักกัน ไม่ใช่แค่คุณรามรักอินข้างเดียวนะ แต่พวกเขา...รักกัน”

ที่หมอเงินพูดออกไป เขามั่นใจร้อยเปอร์เซ็นเลยว่ามันคือความจริง...มันเป็นความรัก

“ขรรค์หวังว่า คุณรามจะสมหวัง”

“เงินก็หวังเอาไว้อย่างนั้น”

บอกตามตรง ว่าหมอเงินกับขรรค์ไม่อยากเห็นรามินทร์กลับมาด้วยสภาพที่ผิดหวังเท่าไหร่...เพราะนั่นมันหมายความว่า อีกคนที่อยู่ที่นั่น ก็จะเจ็บปวดไม่ต่างกัน

ต่างคนต่างเจ็บปวด

“เราผ่านมันมาแล้วขรรค์  คราวนี้ เราก็ต้องลุ้นให้พวกเขาผ่านมันไป ผลจะเป็นยังไง ท้ายสุดแล้ว มันก็คือสิ่งที่พวกเขาเลือกเอง”

“ใช่...ผลมันจะเป็นยังไง พวกเขาก็ต้องยอมรับมัน”

ขรรค์คิดว่าตัวเองโชคดี...ที่เงินยังมั่นคงอยู่ที่เขา และกลับมาหาเขา เพราะถ้าเช่นนั้น วันนี้คงจะไม่มีกันและกันอยู่อย่างนี้ ตอนนั้น ขรรค์ตัดใจที่จะได้อยู่กับเงินไปแล้ว แต่ไม่ได้คิดจะเปิดใจรับเข้ามาใหม่

หัวใจของขรรค์เหมือนถูกกำหนดมาให้รักได้แค่คนๆ เดียว








“คุณสร้อยยังไม่นอนหรือครับ” ขรรค์ถามเมื่อเห็นว่ามารดาของคนรักยังนั่งดูโทรทัศน์อยู่ที่ห้องนั่งเล่นอยู่เลย ขรรค์ที่เพิ่งเสร็จจากการไปคุยกับคนทำบัญชีของสวนผักเขาเป็นประจำทุกสัปดาห์

“ฉันไม่ค่อยง่วงน่ะ”

“น้องรักษ์หลับแล้วหรือครับ”

“หลับแล้วล่ะ ตอนนี้มันจะสามทุ่มแล้วนะ เด็กต้องนอนแต่หัวค่ำนั่นแหละ”

“ครับ...คุณสร้อยน่าจะไปพักผ่อนนะครับ วันนี้คงจะดูแลน้องรักษ์เหนื่อย แล้วยังจะออกไปข้างนอกมากับเงินอีก”

“ฉันไม่เป็นอะไรง่ายๆ หรอกน่า”

น้ำเสียงของมารดาคนรักติดจะรำคาญจนร่างสูงรู้ตัวว่าตัวเองพูดมากและก้าวก่ายเกินไป เลยรีบยกมือไหว้ขอโทษ ทำเอาหญิงอายุมากกว่าตกใจที่จู่ๆ ก็โดนขอโทษ

“ขอโทษนะครับ”

“ขอโทษทำไม?”

“ที่ผมก้าวก่ายคุณสร้อยเกินไป ผมแค่เป็นห่วงน่ะครับ เงินรักคุณสร้อยมาก ถ้าคุณสร้อยไม่สบายขึ้นมา เงินต้องทำงานไม่รู้เรื่องแน่ๆ เลยครับ”

เธอลอบยิ้มเบาๆ รู้สึกดีใจที่ขรรค์เป็นห่วงเธอ ความรู้สึกมันเหมือนกับที่เธอรู้สึกกับลูกชายของเธอเอง

“ก็ไม่ได้ก้าวก่ายอะไรนี่ ฉันไม่ได้ว่าอะไรหรอก ฉันเข้าใจว่านายเป็นห่วงความรู้สึกลูกชายฉัน”

“ผมเป็นห่วงคุณสร้อยด้วยครับ”

สร้อยมองหน้าคนรักของลูกชายทันที เธอรู้สึกว่าตัวเองอยากจะยิ้มเหลือเกิน แต่มันก็เหมือนยังมีอะไรมันกั้นขวางอยู่ อยากจะเปิดใจยอมรับแต่มันก็รู้สึกอายเกินกว่าที่จะทำได้

ที่ผ่านมาเธอทำร้ายจิตใจขรรค์เอาไว้มาก ทำร้ายทั้งลูกตัวเอง ทำร้ายทั้งคนที่ลูกชายเธอรัก เธอรู้แล้ว...ว่าการที่เงินกับขรรค์รักกัน มันไม่ใช่เรื่องผิด...

“ขอบใจที่เป็นห่วง เอาเป็นว่าฉันจะไปนอนพักก็แล้วกัน ว่าแต่ นายเลี้ยงเด็กเป็นใช่ไหม”

“พอได้ครับ” ขรรค์ตอบทั้งๆ ที่ทำหน้าสงสัย

“ก็ดี...ถ้านายอยากฉันพักจริง เอาตารักษ์ไปนอนด้วยก็แล้ว ไม่ต้องห่วง ตารักษ์ไม่ตื่นมากลางดึกหรอก เด็กคนนี้ชอบนอน จะตื่นก็ตอนหิวนั่นแหละ”

“เอ่อ...จะดีหรือครับ”

“ทำไม? ไม่ชอบเด็กหรือไง”

“เปล่าครับ ผมกลัวว่าถ้าน้องรักษ์ร้อง ผมจะทำอะไรไม่ถูก”

“ก็แค่เรียกฉัน ถ้าอยากจะใช้ชีวิตกับตาเงินแล้วก็ตารักษ์ นายต้องหัดเลี้ยงตารักษ์เอาไว้ตั้งแต่ตอนนี้ เพราะความผูกพันจะทำให้นายกับตารักษ์ตัดกันไม่ขาด นายต้องเข้าใจว่าความรักของนายกับเงินมันไม่ปกติ เด็กเมื่อโตไปแล้วอาจจะรู้สึกไม่ดี รับไม่ได้ แต่นั่นแหละ ถ้ามีความผูกพัน มันจะตัดกันไม่ขาดหรอก”

ขรรค์คิดว่านี่เป็นการยอมรับในตัวของเขาได้ไหม แต่ไม่รู้หรอกว่ามันใช่หรือไม่ใช่ ขรรค์ไม่กล้าถาม แต่เขาขอคิดเข้าข้างตัวเอง...

“ไปยกเตียงของตารักษ์ที่ห้องฉัน เดี๋ยวฉันจะอุ้มตารักษ์ให้”

“ค่ะ ครับ...”

ร่างสูงเดินตามแม่ของคนรักไป ก่อนจะยกเตียงเด็กทารกมาไว้ที่ห้องของตน ข้างเตียงนอนของตัวเองที่วันนี้ต้องนอนคนเดียว หากแต่ตอนนี้มีเพื่อนตัวน้อยมานอนด้วยอีกคน

“ตารักษ์เลี้ยงง่าย ไม่ต้องห่วงหรอก ถ้าไม่มีอะไรจริงๆ แกจะไม่ตื่นกลางดึกหรอก แต่ถ้าร้องก็ลองอุ้มกล่อมแกดู ถ้าไม้หยุดก็ให้นม ชงเป็นอยู่ใช่ไหม? ถ้านานเกินก็ตามฉันได้ ฉันไปนอนก่อนล่ะ”

“ครับ ฝันดีนะครับ”

และขอบคุณสำหรับโอกาสด้วยครับ แต่ประโยคนี้เขาไม่ได้พูดออกไป เมื่อแม่ของคนรักออกไปจากห้องนอนของเขาแล้ว ร่างสูงก็เดินไปปิดไฟแล้วเปิดไฟที่หัวเตียงแทนเพราะกลัวเด็กน้อยจะรำคาญ

นี่เป็นครั้งแรกเลยนะ...ที่ขรรค์ได้อยู่ใกล้กับน้องรักษ์ขนาดนี้

“เหมือนเงินจริงๆ โตขึ้นมา ขอให้เป็นคนดี เก่งและฉลาดเหมือนกับคุณพ่อนะครับน้องรักษ์” ขรรค์นั่งอยู่ข้างเตียงเล็กที่มีมุ้งป้องกันยุงด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยเอ็นดู

ไม่ได้รังเกียจเลยว่าน้องรักษ์จะเกิดมาจากผู้หญิงอื่น แต่เขาไม่ได้สนใจเรื่องนี้หรอก เพราะยังไงน้องรักษ์เป็นลูกชายของคนที่เขารัก และตอนนี้เขาเองก็รักน้องรักษ์มากเหมือนกัน

“เราน่ะ...เป็นกำลังใจให้อาใช่ไหมครับ เป็นกำลังให้อากับพ่อของหนูนะตัวเล็ก ฝันดีครับ...น้องรักษ์”

อาจจะเป็นมุมที่ไม่ค่อยจะเข้ากับผู้ชายร่างใหญ่เท่าไหร่ แต่ถ้าหมอเงินมาเห็น รับรองว่าต้องเห็นเป็นภาพที่น่ารักมากแน่ๆ






100%

:katai5: :katai5: :katai5:

   ครึ่งหลังมาช้าไปหน่อย ทั้งๆ ที่แจ้งไว้ว่าวันศุกร์แท้ๆ พอดีศุกร์เสาร์ติดธุระน่ะค่ะ ก็เลยมาลงวันนี้พร้อมกับพ่อเลี้ยงแทน อ่านแล้วเม้นท์ๆ ให้ด้วยนะคะ
   พูดคุย สอบถาม ทวงนิยายหรือติดตามข่าวสารของยูกิก็ไปที่แฟนเพจเลยนะคะ ^^ https://www.facebook.com/sawachiyuki/

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3709
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ lovewannabe

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 371
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
รอตอน หมอเงินมาเห็นภาพลูกชายนอนอยู่กะอาขรรค์

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ K3n0

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
พี่ขรรค์มุ้งมิ้งจัง

ออฟไลน์ lovewannabe

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 371
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0

ออฟไลน์ SawachiYuki

  • แค่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 461
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +261/-38
    • Fanpage
Heartless แค้นนี้...มิอาจห้ามรัก
ตอนที่ 46
รามินทร์คนใหม่




“ให้กูส่งที่ไหน”

เป็นคำถามที่รามินทร์ไม่อยากจะถามออกไปเลย เพราะเวลาที่เขาจะได้อยู่กับอินทัชมันน้อยลงทุกทีแล้ว ยิ่งตอนนี้ อยู่ในกรุงเทพมหานครซึ่งเป็นจังหวัดที่อินทัชเกิดและอาศัยอยู่ แม้ว่าจะยังไม่ใช่ในส่วนที่อินทัชอยู่ แต่ก้ใช่ว่ามันจะไกลไปมากกว่านี้

ยังไงก็ต้องจาก...

“คอนโด”

“อืม...”

“รู้เหรอว่าอยู่ตรงไหน”

“ก็...รู้นิดหนึ่ง”

“อ๋อ...” อินทัชส่งเสียงในลำคอเมื่อคิดได้ว่าก่อนที่รามินทร์จะจับตัวเขาไปนั้น ร่างสูงจะต้องศึกษาและหาข้อมูลเกี่ยวกับเขามาหมดแล้วแน่ๆ

“ทำไมมึงไม่กลับบ้าน”

ที่ถามเพราะเห็นว่าอินทัชมักจะบ่นว่าคิดถึงพ่อแม่และพี่สาวเสมอ แต่พอมาถึงแล้วแทนที่จะกลับไปบ้านก่อน ดันไปคอนโดก่อนเสียได้

“ให้กูกลับบ้านสภาพนี้น่ะหรือ กูค่อยกลับไปตอนเย็นๆ น่ะ มีอะไรต้องจัดการก่อน”

“งั้นเหรอ...”

“หวังว่ามึงจะไม่ลืมข้อตกลงของเรานะ” อินทัชพูดขึ้นมา

รามินทร์นิ่งไป แต่ก็มีสติที่จะขับรถอยู่ เพียงแต่กำลังทำเป็นไม่ได้ยินก็เท่านั้น...จะมีข้อตกลงอะไรเขาก็ปล่อยให้มันพูดไปคนเดียว เพราะถ้าหากว่าเขาไม่อาจจะทนอยู่ได้โดยไม่มีอินทัช

วันนั้นเขาจะกลับมา...แน่นอนว่าจะทำทุกอย่างให้อินทัชใจอ่อนให้ได้

“อย่าทำเป็นหูทวนลม กูจะถือว่ามึงเงียบๆ เนี่ยคือการตกลงนะ”

คิดเองเออเองไปเถอะ กูไม่มีวันเอออกับมึงแน่ๆ ไม่มีทาง!!!


เมื่อรามินทร์มาจอดรถที่ด้านหน้าคอนโดของอินทัช ร่างโปร่งก็ทำท่าจะเปิดประตูออกไปทันทีโดยไม่คิดจะล่ำลาอะไรกันเลยสักนิด

หมับ!

“เดี๋ยว...ไม่คิดจะลากันหน่อยหรือไง หรือไม่คิดจะชวนกันขึ้นไปพักผ่อน ดื่มน้ำบ้างเหรอ กูขับรถมาตั้งไกล พักก็ไม่ได้พัก ใจคอจะให้กับทั้งแบบนี้จริงๆ นะหรือ”

“ถ้ากูจำไม่ผิดข้างทางก็มีจุดพักรถอยู่นะ จอดเซเว่นซื้อน้ำดื่มเอา หรือว่าไม่มีเงิน กูจะได้ให้เงินมึงไว้เป็นค่าขับรถพากูมา”

“กูไม่ต้องการ ที่กูอยากได้คือน้ำใจของมึง”

“ถ้าอย่างนั้นกูก็ไม่มีให้หรอก” อินทัชทำท่าเปิดประตูอีกครั้ง

“เดี๋ยว...แค่แป๊บเดียวก็ได้นะ”

“ไม่!!”

“ใจคอจะใจร้ายกับสามีแบบนี้เหรอ ได้กันแล้วก็ทิ้งแบบนี้อ่ะนะ”

ผลัวะ!!

หมัดลุ่นๆ กระแทกเข้าที่ใบหน้าหล่อคมเข้มของรามินทร์อย่างแรง ไม่นึกถึงคนโดนเลยว่าจะเจ็บขนาดไหน แต่นั่นมันก็เป็นสิ่งที่อินทัชคิดว่าสมควรโดนแล้ว เพราะดันพูดเรื่องที่เขาไม่ชอบออกมา

“ปากหมา!!”

“กูแค่พูดความจริง”

เหมือนว่ารามินทร์จะไม่กลัวเลยว่าตัวเองจะโดนอีกหมัด มือแกร่งบีบปากตัวเองเพื่อบรรเทาความเจ็บ แต่สีหน้าก็ไม่ได้ดูหวาดกลัวหรือตกใจอะไร

ก็รู้อยู่แล้วว่าต้องโดนซัด

“ปล่อยมือกูเลยไอ้สัตว์ กูไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับมึงแล้ว” ร่างโปร่งบิดข้อมือข้างที่ถูกจับไว้แน่นอย่างต้องการที่จะหลุดพ้นไปจากคนตรงหน้า

“ทำไม? รับไม่ได้หรือไง ที่เป็นเมียกูน่ะ”

“เมีย? เมียที่เกิดจากการขืนใจอ่ะนะ กูไม่นับเว้ย!!”

“แต่เมื่อคืนกูไม่ได้ฝืนใจมึง” รามินทร์สวนขึ้นมาทันควัน ร่างโปร่งทำท่าจะเถียงแต่รามินทร์ก็ไม่ปล่อยให้พูดได้หรอก “หรือมึงจะเถียงว่ามึงไม่ได้เต็มใจ?”

อินทัชนิ่งเงียบเพราะเถียงไม่ออก หลบสายตาที่ทอดมองมาอย่างสื่อความหมายด้วยความรู้สึกหวั่นไหว หลากหลาย

ใช่...เขาเถียงไม่ได้ เพราะสิ่งที่รามินทร์พูดมันถูกต้องแล้ว เขายินยอมเอง และด้วยความเต็มใจด้วย...แต่ไม่คิดว่ามันจะเอามาอ้างแบบนี้

“แล้วไง”

“มันหมายความว่ามึงเองก็รู้สึกดีๆ กับกูไง”

อินทัชทำสมาธิสักพักก่อนจะพูดประโยคที่มันตรงข้ามกับหัวใจออกไป

“แน่ใจได้ยังไง? เมื่อคืน...กูถือว่าให้ทาน เพราะยังไงกูก็เสียมันไปแล้ว จะเสียอีกก็คงไม่เป็นไร ได้บุญด้วย มึงคิดว่างั้นไหม”

รามินทร์ก็คิดไว้แล้วว่าต้องได้ยินประโยคทำนองนี้ เลยทำใจไว้บ้างแต่พอมาได้ยินจริงๆ กลับรู้สึกเจ็บปวดจนไม่มีแรงจะยื้ออินทัชเอาไว้ได้อีก

เขาค่อยๆ ปล่อยแขนขาวของร่างโปร่งออกให้เป็นอิสระ ก่อนจะหันหน้าไปมองพวงมาลัยรถเพราะไม่อยากให้อินทัชเห็นแววตาเจ็บปวดของตนเอง

ความหวัง...ริบหรี่ลงแล้วสินะ ทำใจยอมรับมันได้แล้ว ต่อให้อินจะรู้สึกอะไรกับมึงจริงๆ แต่ถ้ามันไม่อยากสานต่อ...ก็คงจะไปฝืนใจมันไม่ได้...

“ขอให้มึงมีความสุขนะ ดูแลตัวเองดีๆ แล้วก็ขอบคุณสำหรับที่ผ่านมาด้วย”

รามินทร์จะไม่พูดคำว่าลาก่อน...เพราะเขาไม่คิดจะล่ำลากับอินทัช แม้ว่าอีกคนอยากจะลาขาดจากเขาไปมากขนาดไหนก็ตาม

“อืม...ขอบคุณที่มาส่ง มึงเองก็ขับรถกลับดีๆ ก็แล้วกัน”

อินทัชลงมาจากรถหลังจากพูดประโยคที่เป็นเหมือนให้ความหวังกับรามินทร์ไปทันที อินทัชกัดฟันเดินออกจากตรงนั้นแล้วเข้าไปด้านใน...ส่วนรามินทร์เองก็นั่งมองแผ่นหลังของอินทัชจนหายไปจากสายตา น้ำตาก็ไหลลงมาอย่างไม่อาจจะห้ามมันได้

หมับ!!!

“โธ่เว้ย!!” รามินทร์จับพวงมาลัยรถแน่น กระแทกหน้าผากกับมันแรงๆ

ตอนนี้นอกจากที่หัวใจแล้ว...ก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะเจ็บตรงไหนมากไปกว่าตรงนี้เลย

“กูรักมึง กูรักมึง ได้ยินไหม! กูรักมึง ไอ้อิน!! กูรักมึง ฮึก…”

ได้แต่พร่ำประโยคนี้ซ้ำๆ หวังว่าจะส่งไปถึงอีกคน...

จนถึงตอนนี้ รามินทร์มั่นใจแล้วว่า เขารักอินทัชมากกว่าที่เคยรักใคร...รักมาก...จนคิดภาพไม่ออกว่าตัวเองจะเลิกรักอินทัชได้เลย...


บ้านชยอัมรินทร์

“อินขอโทษครับพ่อ แม่ พี่แอน” ร่างสูงโปร่งก้มกราบแทบเท้าพ่อแม่ของตัวเอง แล้วหันไปไหว้ขอโทษพี่สาว ที่ตอนนี้ทั้งสามไม่ได้โกรธที่อินทัชหายไปเลย มีแต่น้ำตาแห่งความดีใจที่ได้ลูกชายและน้องชายกลับสู่อ้อมอก

“อินขอโทษ...ที่อินทำหน้าที่หัวหน้าครอบครัวได้ไม่ดี บกพร่องในการบริหารบริษัท อินขอโทษนะครับ”

“ไม่เป็นไรลูก ไม่เป็นไร แค่ลูกกลับมา ฮึก แม่ก็ดีใจมากแล้วนะลูก” คนเป็นแม่ทรุดตัวลงมากอดลูกชายที่พื้น ร้องไห้ออกมาไม่หยุดตั้งแต่เห็นหน้าลูกชายที่หายไปหลายเดือนจนเธอกังวลว่าอินทัชจะเป็นอะไรไป

และบางครั้ง เธอก็ยังคิดว่า ลูกชายเธอได้จากโลกนี้ไปแล้วด้วยซ้ำ

“ฮึก...ขอโทษครับ พ่อ...ผมขอโทษนะครับ ผมขอโทษ”

“พ่อไม่โกรธลูกหรอก แต่บอกพ่อได้ไหมว่าอินมีปัญหาอะไรถึงได้หนีไปแบบนี้ พ่อไปบริษัทแทนเราก็ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไรเลยนี่”

ร่างโปร่งพูดไม่ออก ไม่รู้ว่าจะตอบพ่อตัวเองยังไง ถึงสิ่งที่เตรียมมาพูดเขาจะเตรียมและคิดมาดีแล้ว แต่ว่า ไม่เคยมีครั้งไหนที่อินทัชจะโกหกคนเป็นพ่อได้สำเร็จ

“ขอโทษครับ...มันเป็นเรื่องเข้าใจผิดนิดหน่อย”

แม้จะบอกตัวเองว่าที่ไม่พูดความจริงออกไปเป็นเพราะไม่อยากจะพูดถึง ไม่อยากนึกถึงมัน...แต่ความเป็นจริง อินทัชกำลังปกป้องรามินทร์อยู่ต่างหาก

ปกป้องผู้ชายใจร้ายคนนั้น...

“พ่อจะไม่ซักไซ้ลูกมาก เพราะพ่อเห็นสภาพลูกตอนนี้ พ่อคิดว่าเราคงเหนื่อย ถ้าพร้อมจะเล่าเมื่อไหร่ ก็บอกพ่อได้ตลอดเวลานะ”

อินทัชซาบซึ้ง...ในคามรักของพ่อแม่ อ้อมกอดของท่าทั้งสองเป็นสิ่งที่เขาโหยหามาตลอดหลายเดือน ตอนนี้ อินทัชได้รับมันแล้ว

เขาได้กลับบ้าน ได้อยู่กับครอบครัว...แต่ทำไม ถึงไม่มีความสุขเลยนะ

ดีใจ...แต่ไม่มีความสุข

“จริงๆ แล้วการที่อินหายไปน่ะ มันก็มีส่วนดีเรื่องหนึ่งนะ” พี่สาวของอินทัชพูดขึ้นมา เรียกความสนใจจากน้องชายที่กำลังกอดพ่อแม่อยู่ทันที

“ทำไมครับ?”

“เพราะมันทำให้พี่รู้ ว่าอินต้องแบกรับอะไรไว้บ้าง...มันทำให้พี่รู้ว่าที่ผ่านมาพี่เห็นแก่ตัวที่ได้ทำความฝันแต่อินกลับต้องเหนื่อยสารพัดแบบนี้”

“อินเหนื่อย...แต่อินมีความสุขนะพี่แอน เพราะความฝันของอิน...คือการที่ได้เห็นคนที่อินรักมีความสุข ซึ่งอินก็ได้ทำมันแล้ว และก็ทำลายมันลงไปแล้วเหมือนกัน” ประโยคสุดท้าย อินทัชพูดด้วยน้ำเสียงเบาๆ ใบหน้าเศร้าหมองลง เมื่อคิดว่าตลอดเวลาที่เขาอยู่เพชรบูรณ์ พ่อ แม่ พี่สาวเขาต้องทุกข์ใจขนาดไหน

“พี่รักอินนะ แล้วก็ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง”

“อินต่างหากที่ต้องขอบคุณ ที่ตอนอินไม่อยู่ พี่ช่วยดูแลพ่อกับแม่แล้วก็บริษัทของเรา”

“มันเป็นหน้าที่ของลูกและพี่ที่ดีอยู่แล้วล่ะ อินกลับมาอย่างปลอดภัย พวกพี่ก็ดีใจแล้ว คราวหน้า...ถ้าเหนื่อย ท้ออะไร ปรึกษาพี่ได้ตลอดเวลาเลยนะ พี่ไม่อยากให้เราหายไปแบบนี้อีกแล้ว”

“ขอโทษครับพี่แอน ขอโทษครับ”

“พอแล้วๆ พี่ได้ยินคำขอโทษมาเป็นร้อยครั้งได้แล้วมั้ง...เอาล่ะ ลืมเรื่องร้ายๆ แล้วเรามามีความสุขกันดีกว่า อินหิวไหม พี่กับแม่จะไปทำของโปรดมาเลี้ยงฉลองให้”

“หิวครับ”

“งั้นเราเข้าครัวกันเถอะค่ะคุณแม่” พี่สาวคนเดียวของอินทัชหันไปชวนแม่ที่กำลังกอดลูกชายออยู่ ซึ่งคนเป็นแม่กพยักหน้ารับเพราะเห็นด้วย

เธอเองก็อยากจะทำอาหารให้ลูกชายทานเหมือนกัน อินทัชต้องคิดถึงมันมากแน่ๆ

“จ้ะ! แม่ไปทำของโปรดของอินนะลูก คุยกับคุณพ่อไปก่อนนะ”

“ครับ”

กับข้าวฝีมือแม่กับพี่แอน จะต้องอร่อยมากและเป็นมื้อที่อร่อยสุดๆ แน่นอนเลย ร่างโปร่งยิ้มบางเบาออกมา มองแม่กับพี่สาวที่เดินไปยังห้องครัวด้วยความรู้สึกขอบคุณ ที่ไม่มีใครโกรธเขา

ที่สำคัญยังเข้าใจเขาด้วย

“ขึ้นมานั่งกับพ่อซิ” พ่อของอินทัชที่ลุกขึ้นไปนั่งบนโซฟาก่อนแล้วสั่งพร้อมกับตบที่นั่งข้างๆ อินทัชเองก็ขึ้นไปนั่งด้วยความรู้สึกที่กังวลเล็กน้อย แต่ในเมื่อพ่อบอกว่าจะไม่ถาม ไม่บังคับ ไม่พูดถึง เขาก็ไม่จำเป็นที่จะต้องกลัวอะไร

ร่างโปร่งขึ้นไปนั่งข้างๆ กับพ่อของตนทันที

“คิดเอาไว้หรือยังว่าจะจัดการกับเรื่องที่บริษัทยังไง”

พอคิดถึงเรื่องนี้อินทัชก็หนักใจ แต่ก็พอเตรียมข้อมูลมาบ้างแล้ว

“สถานการณ์เป็นยังไงผมพอจะรู้มาจากเลขาบ้างแล้วครับ วันนี้ผมโทรไปถามสถานการณ์ช่วงหลายเดือนมานี้แล้วครับ แต่ผมจะยังไม่เข้าบริษัทเลย วานคุณพ่อช่วยดูแลส่วนของผมต่อไปอีกนิดได้ไหมครับ ผมขอเวลาอีกสามวันผมจะตรวจสอบเอกสารที่วานเลขาให้เอามาให้ที่คอนโดน่ะครับ”

“ลูกกำลังสงสัยใช่ไหม ว่าระหว่างที่ลูกไม่อยู่...”

“ครับ ก็คนเดิมนั่นแหละ ถ้าไม่ติดว่าเป็นญาติผมไม่เอาไว้หรอก”

“พ่อตรวจบัญชีดีแล้วนะ ไม่เห็นมีอะไรน่าสงสัยเลย” อดีตผู้บริหารหลายสิบปีลูบคางอย่างครุ่นคิด

“ดุที่บัญชีที่เดียวไม่ได้หรอกครับพ่อ เดี๋ยวนี้อาเก่งกว่าเดิม”

“งั้นหรือ แล้วแต่ลูกเลยก็แล้วกัน สามวันใช่ไหม พอสามวันแล้วอย่าลืมให้เงินเดือนพ่อด้วยล่ะ”

“ฮ่าๆ ทำไมพ่อพูดแบบนี้ล่ะครับ”

“เอ้า! ก็พ่อเข้าไปดูแลงานให้ลูกตั้งกี่เดือน นี่เงินเดือนก็ไม่ได้สักบาท จ่ายย้อนหลังให้พ่อเลยนะ พ่อลงเวลาเข้าออกงานทุกวัน ไปเช็คก็โอนเงินเข้าบัญชีให้พ่อด้วย” พ่อของอินทัชสามารถทำให้ลูกชายอารมณ์ดีขึ้นมาได้เสมอๆ ถ้าถามว่าคุยกับใครได้มากกว่าระหว่างพ่อกับแม่ สำหรับอินทัชแล้ว น่าจะเป็นพ่อมากกว่า เพราะเขาสองคนมีอะไรที่เหมือนกันเยอะมากๆ แน่นอนแหละ ก็เขาสองคนเป็นพ่อลูกกันนี่นา ไม่เหมือนกันสิแปลก

ส่วนกับแม่และพี่สาวนั้น อินทัชจะสนิทเหมือนกัน แต่คุยได้ไม่ทุกเรื่องเหมือนกับที่คุยกับพ่อ

“เค็มไปไหนเนี่ย”

“พ่อแก่แล้วไง จะเอาเงินพาแม่ลูกไปเที่ยวนั่นแหละ”

“จริงสิ! พ่อกับแม่อยากไปเที่ยวยุโรปช่วงหน้าหนาวนี่นา อีกเดือนกว่าก็จะเข้าช่วงหน้าหนาวแล้ว พ่อกับแม่จะไปเลยไหมล่ะครับ ผมจะให้เลขาจองตั๋ว จองที่พักเอาไว้เลย” อินทัชถาม

“ยังดีกว่า พ่อรอให้ลูกจัดการเรื่องที่บริษัทเรียบร้อยก่อน เพราะอาของเราเหมือนอยากจะเขี่ยลูกออกจากบริษัทเต็มทีแล้ว แต่โชคดีกรรมการเกินครึ่งที่ยังยอมรับในเรื่องการบริหารและรอให้ลูกเอาเหตุผลไปอธิบายอยู่”

“ผมเข้าใจครับพ่อ เพราะสิ่งที่ผมทำให้บริษัทมันก็ไม่ได้น้อยๆ เลย แต่ที่ผมหายไปแบบนี้ก็ส่งผลกระทบไม่น้อยเหมือนกัน”

“พ่อรู้น่าลูก ใครๆ ก็รู้ นี่ได้พนักงานมาช่วยเอาไว้เหมือนกันนะ ช่วงที่อาเรากำลังหาแนวร่วมที่จะให้มาพากันออกเสียให้ไล่ลูกออกน่ะ พวกพนักงานรักลูกน่าดูเลยนะ ออกมาประท้วงกันทั้งบริษัทเลย เล่นทำเอาพ่อต้องมาไกล่เกลี่ยแต่เช้า” พ่อของอินทัชเล่า ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ทำให้อินทัชเริ่มมีกำลังใจในการต่อสู้ต่อไป

ไม่ว่าข้างหน้าจะมีอุปสรรคอะไรรออยู่ก็ตาม เพราะถ้าเป็นคนอื่นคงจะโดนให้ออกไปแล้ว แต่โชคดีที่หุ้นส่วนใหญ่มันเป็นของเขากับครอบครัว

“กลับมาแล้วก็อย่าหักโหมงานล่ะลูก แล้วก็กลับบ้านนานๆ บ้าง ไม่ใช่อยู่แต่คอนโด แม่ลูกคิดถึงมากนะ แต่ก่อนก็บ่นๆ ว่าตัวเองความสำคัญน้อยกว่าที่เที่ยวพวกนั้น”

ที่เที่ยวในความหมายของพ่อของเขาก็คือพวกคู่ควง คู่นอนนั่นแหละ

“กำลังทำให้รู้สึกผิดอีกแล้วนะครับ”

“อ้าวเหรอ? แต่พ่อก็พูดเรื่องจริงนี่นา”

“ขอโทษครับ คราวหน้าผมจะไม่เที่ยวบ่อยๆ แล้ว จะมาหาพ่อกับแม่ให้บ่อยกว่านี้ดีไหมครับ” อินทัชถามอย่างเอาใจ แต่เขาก็หมายความตามนั้นจริงๆ

เขาจะเลือกเที่ยวพร่ำเพรื่อแล้ว...เพราะต่อให้เที่ยวไป เขาก็คงจะกอดใครไม่ได้อีกแล้ว ในเมื่อสัมผัสของรามินทร์มันยังคงชัดเจนอยู่ในความรู้สึกแบบนี้

“ได้ยินแบบนี้พ่อกับแม่ก็ดีใจแล้ว”

“รับรองว่าพ่อกับแม่จะต้องเบื่อขี้หน้าผมไปเลยแน่ๆ” อินทัชว่าอย่างติดตลก

“ฮ่าๆ ไม่มีพ่อแม่ที่ไหนจะเบื่อลูกตัวเองหรอกน่า”

อินทัชหัวเราะเสียงดังเมื่อเห็นว่าพ่อของตนหัวเราะ...

“นี่บอกตาธีร์หรือยัง ว่ากลับมาแล้ว?” ผู้เป็นพ่อถามเมื่อนึกขึ้นได้

“ยังเลยครับ กะว่าจะเซอร์ไพรส์”

“พ่อกลัวว่าตาธีร์จะโกรธเอาน่ะสิ รู้หรือเปล่าว่ารายนั้นเขาตามหาลูกวุ่นวายขนาดไหน ขนาดต้องเอาลูกน้องลงสืบหาเลยนะ ตอนแรกก็จับที่อยู่เอาจากเบอร์ที่ลูกใช้โทรมา เห็นอยู่ที่เขาค้อที่เดียวที่ใช้เป็นที่แต่งงานของของคุณดินคุณเพลิง แต่พอไปก็ไม่เจอ”

จะเจอได้ยังไงล่ะครับ ผมถูกไอ้รามมันพาหนีไปอยู่ที่เลยน่ะสิ

แต่คิดในใจ แต่ไม่กล้าตอบออกไป

“ผมว่ามันต้องโกรธอยู่แล้วล่ะ แต่ก็มีแผนง้อเหมือนกัน”

“พ่อดีใจที่เรามีเพื่อนอย่างตาธีร์”

“ตอนนี้ผมก็มีเพื่อนแท้เพิ่มมาอีกสองคนนะพ่อ ตอนที่ผมลำบากก็คอยช่วยเหลือผมตลอดเลย มันชื่อจักร อีกประมาณหนึ่งเดือนมันจะมาที่กรุงเทพ มาทำงานกับเรา ฝีมือการทำงาของมันเยี่ยมมากพ่อ แล้วอีกคนชื่อหมอเงิน อายุมากกว่า แต่เราก็เป็นเพื่อนกัน”

“ดีแล้ว มีเพื่อนแบบนี้บ้าง อย่ามีแต่เพื่อนเที่ยว เพื่อนกินเหล้ามาก มันไม่ดี”

“คร้าบ” ลากเสียงยาว

เพื่อนพวกนี้ก็เที่ยวได้ กินเหล้าได้เหมือนกันครับ...

ช่วงเวลาแห่งครอบครัวที่อินทัชรอมานานตอนนี้แม้จะรู้สึกเหมือนกับความฝันอยู่ แต่ก็รู้สึกดี เขารู้สึกอยากจะอยู่ที่นี่มากกว่าแต่ก่อน เพราะรู้ซึ้งถึงความทรมานที่อยากจะมาแต่ไม่ได้มาดี ที่ผ่านมาคิดว่าบ้าจะกลับตอนไหนก็ได้ แต่ตอนนี้...มาบ่อยๆ ได้จะดีมากเลย

เพราะไม่มีที่ไหนสุขใจเท่าที่บ้านของเราอีกแล้ว

...

...

...






60%

 :katai5: :katai5: :katai5: :katai5: :katai5:

ยูกิว่างานงอกแล้วล่ะค่ะ ฮือ ทำไมในตอนนี้ยูกิเขียน น้าไปได้ล่ะ แสดงว่าตัวหนังสือเองก็เป็นเวอร์ยังไม่ได้แก้สินะ จริงๆ เป็นอานะคะ (ซึ่งเปลี่ยนแล้ว) กรี๊ด...เสียใจ ดูไม่ดีเอง จริงๆ คนพิสูจน์อักษรเป็นเพื่อนของยูกิ ไม่ได้ทำเองเลยไม่ได้ดูและลืมแก้ คนที่ซื้อหนังสือไปยูกิขอโทษนะคะ แง...

มีอะไรสอบถามพูดคุยกันได้ที่แฟนเพจนะคะ https://www.facebook.com/sawachiyuki/

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ บูมเบส

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1740
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-4

ออฟไลน์ little_munoi

  • ++ singular ++
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-3
ต่อค่าาาา รออ่านต่อ
ใครคิดถึงธีร์เหมือนกันนะเนี่ย
แต่อยากรู้รามอินทร์มากกว่า
ใครจะทนคิดถึงกันไม่ได้มากกว่า

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3709
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
 :mew4: ฉากแยกกัน หน่วงดีแท้

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด