Heartless แค้นนี้...มิอาจห้ามรัก >> ตอนพิเศษ 3 60% => (05/10/61) P.34 <=
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Heartless แค้นนี้...มิอาจห้ามรัก >> ตอนพิเศษ 3 60% => (05/10/61) P.34 <=  (อ่าน 228214 ครั้ง)

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2685
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
ว้าว อินเปิดใจแล้ว ให้โอกาสแล้วด้วย มีความสุขล่ะสิ

รามก็พยายามมาก มีลูกเล่น อย่าทำพลาดอีกนะ

น่ารักดี หลังจากนี้จะหวานขนาดไหนนะ

ออฟไลน์ lovewannabe

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 371
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +15/-0
ตีกันตายไปหรือยังนะ แต่ก็แอบห่วงนะ คนยังปองร้ายอินอยู่ใช่ไหมเนี่ย :hao4:

ออฟไลน์ SawachiYuki

  • แค่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 461
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +261/-38
    • Fanpage
Heartless แค้นนี้...มิอาจห้ามรัก
ตอนที่ 55
พบพ่อแม่




“คุณจอม...”

“จักร...”

“ทำไมไม่โทรมาล่ะครับ ผมจะได้ไปรับที่สนามบิน” ร่างสูงที่เดินมาเปิดประตูหลังได้ยินเสียงออดดัง พอมาเปิดก็เห็นว่าเป็นคนรักของตัวเองเสียนี่

“ฉันก็มาเองได้ นายก็พักผ่อนไปเถอะ” ร่างเล็กตอบพลางส่งกระเป๋าสัมภาระของตนให้คนตรงหน้า ก่อนจะเดินแทรกร่างแกร่งเข้าไปในตัวคอนโดอย่างเคยชิน แม้จะมาที่นี่นับครั้งได้ก็ตาม แต่ในเมื่อมันเป็นบ้านของคนรักก็เหมือนเป็นบ้านของเขาด้วยนั่นแหละ

จริงมะ!

“หิวน้ำจัง”

“ผมมีเครื่องดื่มอยู่ในตู้เย็นเยอะเลยครับ เพิ่งจะซื้อมาเตรียมไว้เพราะคุณจอมบอกว่าจะมา”

“เหรอ...ของที่ฉันชอบทั้งนั้นเลยใช่ไหม”

“ครับ...คุณจอมชอบอะไร ไอ้จักรก็ชอบแบบเดียวกันนั่นแหละครับ”

เจ้าจอมยิ้มแต่ไม่ตอบอะไรเดินเข้าไปในโซนห้องครัวทันทีด้วยความกระหายน้ำ เขาเดินทางแบบไม่หยุดพักเลย ลงจากเครื่องก็ตรงมาหาแท็กซี่เลย หยุดซื้อน้ำดื่มเขาก็ไม่ยอมทำ ทั้งๆ ที่ใช้เวลาไม่นานแท้ๆ แต่เจ้าจอมกลับคิดว่ามันเสียเวลา เพราะความคิดถึง อะไรที่รีบได้ ร่างเล็กก็ทำมันหมดนั่นแหละ

“ฉันชอบที่นี่จัง”

ร่างเล็กพูดแล้วทิ้งตัวนอนลงบนโซฟาตัวใหญ่ ส่วนร่างแกร่งที่เอากระเป๋าคนรักไปเก็บในห้องแล้วก็เดินมานั่งโซฟาตัวเล็กแทน มองร่างคนรักที่กำลังนอนหลับตาอย่างเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง

“อินมันบอกว่า ถ้าผมทำงานกับมันครบสิบปีมันจะยกที่นี่ให้”

“ไหนว่าจะหักจากเงินเดือนไง”

“ครับ แต่ก็หักไม่เยอะหรอก เพราะถ้าจะผ่อนคอนโดนี้จริงๆ สิบปีผมก็ว่าไม่น่าหมด”

“แล้วนายคิดว่ายังไง”

“ผมคิดเอาไว้ว่าผมจะอยู่ทำงานให้มันจนกว่าจะตายเลยล่ะครับ พระคุณของไอ้อินมันเยอะมากจนผมไม่อยากจะทิ้งมันไปเลย แล้วผมก็ชอบงานที่ทำอยู่ด้วย”

เจ้าจอมพยักหน้าทั้งๆ ที่หลับตาอยู่แบบนั้น ร่างบางไม่ได้รู้สึกเสียใจที่ได้ยินคนรักพูดแบบนี้ อยู่กรุงเทพก็ไม่ได้เสียหายอะไรนักหรอกเพราะยังไงที่นี่ก็คือบ้านเกิดของเขาอยู่แล้ว เจ้าจอมคิดว่าตัวเขาก็คงต้องย้ายกลับมาที่นี่ในสักวันหนึ่งอยู่ดี

“ดี...ฉันเองก็อยากให้เป็นแบบนั้นนะ เอาเป็นว่าถ้าฉันเคลียร์เรื่องพ่อกับแม่เสร็จเมื่อไหร่ ฉันจะมาเรียนต่อที่นี่และทำงานในโรงแรมของพี่รามก็แล้วกัน”

“จริงหรือครับ” จุลจักรถามอย่างดีใจ

ที่กรุงเทพนี้มีโรงแรมของรามินทร์อยู่ประมาณสามสี่แห่งแต่ไม่ใช่โรงแรมหรูสำหรับลูกค้าระดับสูงๆ แต่เป็นเพียงโรงแรมระดับสามและสี่ดาวเท่านั้น เจาะกลุ่มลูกค้าระดับกลางที่เดินทางมาประชุมสัมมนาที่กรุงเทพฯ หรือมาท่องเที่ยวและที่มาพักแบบไม่นานเท่านั้น

หากก็อยู่ในทำเลที่ดี สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำให้กับรามินทร์อีกทางหนึ่ง

“ใช่ๆ แต่ก็ต้องรอดูพี่รามกับพี่อินเขาก่อนนะ ถ้าทั้งสองยังไม่สมหวัง ฉันก็ไม่กล้าทิ้งพี่รามให้เฮิร์ทอยู่คนเดียวหรอก”

“ผมว่ามีลุ้นนะ”

พรึ่บ!!

ร่างเล็กดีดตัวลุกขึ้นนั่ง สบตากับตาคมของคนรักอย่างแวววาวเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น

“รู้อะไรดีๆ เล่ามาซิ!”

“เดี๋ยวอีกไม่กี่นาทีก็จะเห็นเองล่ะครับ ไอ้อินชวนเราสองคนไปกินข้าวที่ห้องของมันน่ะ”

อาจจะดูแปลกๆ ที่ดันเรียกเจ้านายตัวเองว่าไอ้ พูดคำหยาบ แต่ตอนอยู่ที่ทำงานเขาก็พูดเพราะกับมันนะ ผม คุณตลอดเวลาเพราะอินทัชไม่อยากให้ใครมามองว่าจุลจักรใช้เส้นเข้าทำงาน แต่คนหน้าสวยก็ขอร้องว่าถ้าอยู่กันตามลำบางก็ให้เรียกกันปกติ เพราะยังไงเราก็เป็นเพื่อนกัน

จุลจักรก็ไม่คัดค้านอะไร

“นายเห็นอะไรดีๆ ตลอดหลายวันมานี้ใช่ไหม”

“ครับ บางวันผมก็ไปกินข้าวกับมันแล้วก็ไปดูอาการมันตลอดนั่นแหละครับ”

“เหรอ...เป็นไง ทะเลาะกัน กัดกัน หรือว่าหวานใส่กัน?”

“อันสุดท้ายนี่เป็นไปได้ยากหน่อยนะครับ ทั้งๆ ที่คุณรามเป็นคนหวานๆ โรแมนติกนะ แต่กับไอ้อินคุณรามกวนประสาทมาก ยั่วโมโหไอ้อินตลอดเวลาเลยล่ะครับ”

“เป็นปกติของผู้ชายเวลาอยู่กับคนที่ตัวเองรักนั่นแหละ ชอบหาเรื่องแกล้ง เหมือนนายแต่ก่อนไง ชอบจีบฉันดังๆ ยิงมุกเสี่ยวๆ ต่อหน้าคนงานจนฉันอับอายมาก” เจ้าจอมพูด ใบหน้าเปื้อนยิ้ม จุลจักรเองก็หัวเราะน้อยๆ

ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดหรอกว่าเจ้าจอมจะอาย แค่ทำตามที่ใจเรียกร้องเท่านั้น

ไม่คิดด้วยซ้ำว่าจะเด็ดดอกฟ้าได้...

“จริงๆ คุณจอมก็แกล้งผมไม่ใช่หรือไง”

“ฮ่าๆ ถือว่าเจ๊างั้นไง ถ้าฉันไม่ทำแบบนั้น นายจะมาชอบฉันเหรอ นายบอกพี่รามเองนี่ว่านายชอบผู้หญิง ฉันแอบได้ยินแบบนั้นนี่ท้อไปแล้ว คิดจะไม่ทำอะไรแล้วด้วย วันที่ฉันไปช่วยนายวันนั้นก็บังเอิญจริงๆ จะร้องไห้จริงๆ นะ พอหลายวันถัดมาจู่ๆ นายก็เริ่มเข้าหาฉัน ฉันก็มีความหวัง คิดแผนใหม่เสร็จสรรพ”

“แผนคุณจอมนี่ใช้เวลาตั้งสองปีเลยนะครับ ถ้าผมรู้ตั้งแต่แรกจับทำเมียไปนานแล้ว”

“บ้า...”

“คืนนี้นะครับ” ร่างสูงขอร้องด้วยสีหน้าและน้ำเสียงออดอ้อน

“ไม่เอา พรุ่งนี้ต้องไปหาพ่อแม่ เดี๋ยวนั่งไม่ได้”

“ผมสัญญาว่าจะทำเบาๆ”

“ไม่เชื่อหรอก...นายมันพวกหื่นกาม ทำเบาๆ อย่างที่พูดไม่ได้หรอก จนกว่าจะจบเรื่องพรุ่งนี้ ยังไงก็ไม่!!” ก็ถือว่าเป็นคำสั่งเด็ดขาดที่จุลจักรต้องทำตามอย่างเคร่งครัด

ฝืนไม่ได้เด็ดขาดเลย

“โถ่...ผมคิดถึงคุณจอมนี่ครับ”

“ฉันก็คิดถึง แต่ไม่เห็นอยากจะทำเรื่องอย่างว่าเลย”

“ก็ผมอยากรักคนที่ผมรัก ผิดหรือไงครับ”

“เดี๋ยวนี้ต่อปากต่อคำเก่งนะ”

“ขอบคุณครับ”

“ไม่ได้ชมเถอะ!”

Rrrrrr…

เสียงโทรศัพท์ของร่างแกร่งดังขึ้นมาขัดการสนทนาของทั้งคู่ แต่ร่างสูงก็หยิบโทรศัพท์เครื่องหรูของตนมาแล้วรับสายคนที่โทรมาทันที

“ครับคุณราม...มาถึงแล้วครับ ครับ พวกเราจะไปเดี๋ยวนี้แหละครับ”

เป็นอันรู้กันว่าคนที่โทรมาคือรามินทร์ที่อยู่คอนโดห้องใกล้กันของอินทัช บอกให้เขากับเจ้าจอมรีบไปที่ห้องนั้นเลยเพราะอาหารเตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว

“พี่รามให้ไปแล้วเหรอ”

“ครับ...เราไปกันเถอะครับ”

“อื้อ...ฉันหิวแล้วล่ะ”

เจ้าจอมเดินทางมาช่วงเย็นเลยทันทานอาหารเย็นพอดี ทั้งสองลุกขึ้นเดินไปหารามินทร์กับอินทัชทันที สิ่งแรกที่เจ้าจอมอยากจะทำคือการกอดอินทัช ซึ่งเมื่อได้เจอหน้า เขาก็ทำแบบนั้นจริงๆ

ชนิดที่พี่ชายลูกพี่ลูกน้องอย่างรามินทร์ถึงกับมองด้วยความหมั่นไส้

“พี่อิน จอมคิดถึงพี่อินมากเลย”

“ฮ่าๆ พี่ก็คิดถึงน้องจอมนะครับ”

“พี่อยู่นี่ไหมเจ้าจอม”

“อ้าว? พี่ราม...ไม่เจอกันตั้งหลายวันแหนะ ดูอารมณ์ดีขึ้นนะ”

“ถ้าจะทักพี่แบบนี้ก็ไม่ต้องหรอกทีหลัง”

“ฮ่าๆ งอนเหรอ”

“เปล่านี่ พี่จะงอนทำไม กินข้าวกันดีกว่า ไปที่โต๊ะเลย เดี๋ยวพี่จะพาไอ้อินตามไป”

“คร้าบ...ไปจักร”

“ครับ”

เจ้าจอมกับจุลจักรเดินไปนั่งรอเจ้าของห้องและรามินทร์ก่อนอย่างที่รามินทร์บอก ก่อนจะตามมาด้วยอินทัชที่นั่งวิลแชร์มาโดยมีร่างสูงใหญ่เข็น

เมื่อทุกอย่างพร้อม พวกเขาทั้งสี่คนก็เริ่มลงมือรับประทานอาหารที่สั่งมาจากร้านอาหารร้านโปรดของเจ้ามือเลี้ยงวันนี้ นั่นก็คืออินทัช ทุกคนพูดคุยกันสนุกสนาน โดยเฉพาะอินทัชนี่เผาจุลจักรซะจนเจ้าตัวแยกเขี้ยวใส่

“พอๆ เลิกผากูเถอะ แค่นี้ก็อายจะตายห่าอยู่แล้ว”

“คิดดูสิ ตอนที่มันพรีเซ้นท์งานครั้งแรกนะองจอม มันนี่โคตรประหม่าเลย ฮ่าๆ พี่คิดถึงตอนนั้นทีไรพี่ก็ตลกตลอดเลย ยิ่งตอนที่พี่ประเมินมันนะ ไม่รู้จะตื่นเต้นอะไรนักหนา ดีที่ไม่ทำเสียเรื่องจนพี่ต้องหักคะแนน” หากแต่อินทัชก็ยังไม่หยุดพูดต่อไป

“ฮ่าๆ ขนาดนั้นเลยเหรอครับพี่อิน จอมอยากเห็นจัง”

“คงยากแล้วล่ะน้องจอม เพราะเดี๋ยวมันเก่งมาก พูดคล่อง พูดดีขึ้น ก็นะคนเรามันมีประสบการณ์อยู่แล้ว แต่พอต้องมาพรีเซ้นท์ต่อหน้าคนเยอะๆ มันก็เลยประหม่าน่ะ เดือนกว่าๆ เองนะ แต่มันพัฒนาได้เยอะมาก เห็นทีว่าสามเดือนก็ผ่านฝึกงานแล้วล่ะ แล้วก็ไปฝึกงานที่ต่างประเทศอีกสามเดือนรวมเป็นหกเดือน กลับมาก็รับตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายออกแบบงานสถาปัตยกรรมภายในเลย”

“ส่วนนี้ไม่ใช่ต้องให้คนที่จบสายตรงมาทำเหรอครับ”

“ไม่เป็นไรหรอกงานนี้มันทำเป็นทีม เพราะยังไงฝ่ายออกแบบภายในก็ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของสถาปนิกกับวิศวกรอยู่ดีซึ่งในส่วนนี้จะอยู่ที่บริษัทของคุณอัคนีน่ะ บริษัทพี่จะรับแค่งานออกแบบและตกแต่งเท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ฐานลูกค้าของบริษัทพี่กับบริษัทคุณอัคนีก็เยอะมาก โชคดีที่เราดีลกันเพราะบริษัทพี่จะได้เปรียบและโดดเด่นในวงการของการออกแบบมานานตั้งแต่รุ่นพ่อพี่แล้วล่ะ ทางคุณอัคนีเลยยกเลิกฝ่ายนั้นในบริษัทโอนพนักงานมาให้พี่แล้วหันมาจ้างเราแทน”

“โห...พี่อินนี่เก่งจัง จอมรู้มาว่าคุณอัคนีทำธุรกิจร่วมกับคนอื่นได้ยากมาก”

“พี่ก็อาศัยว่าพี่เป็นเพื่อนไอ้ธีร์มันนั่นแหละ รู้จักใช่ไหม มันเป็นเพื่อนรักพี่แล้วก็เป็นลูกน้องคนสนิท คนสำคัญของคุณเพลิงเขาน่ะ”

“เพราะพี่อินเก่งด้วยแหละ”

“ยังไงก็เก่งสู้คุณเพลิงไม่ได้หรอก”

“แล้วคุณดินล่ะครับ พี่อินไม่รู้จักเหรอครับ”

“งานเราคนละสายน่ะ ฝั่งนั้นเขาผลิตและส่งออกรถ พี่เลยไม่ได้เกี่ยวข้องกับฝั่งคุณดินเขา” อินทัชตอบทุกอย่างที่เจ้าจอมถามโดยมีรามินทร์กับจุลจักรนั่งทานอหารพร้อมกับฟังอย่างตั้งใจไปด้วย

รามินทร์ทึ่งในความเก่งกาจของอินทัชมากๆ เลยตอนนี้

“เออจริงสิ...สรุปมึงจะเรียนต่อไหมจักร จริงๆ แล้วจะทำงานส่วนนี้ต้องจบสายตรง แต่กูใช้อำนาจให้มึงเข้ามาแบบไม่ต้องเรียนสายนั้นมา กะให้มึงดูเรื่องออกแบบสวน แต่เห็นแววของมึงแล้วเสียดายฝีมือว่ะ มึงเรียนเกษตรทำไมวะ ทำไมไม่เรียนพวกสถาปัตยกรรม”

“ตอนนั้นกูก็ไม่รู้ ชีวิตก็ทำแต่นาทำแต่ไร่ก็เลยเลือกเรียนที่ตัวเองถนัดไม่ได้รู้เลยว่าชอบอะไร มารู้ว่าตัวเองชอบออกแบบก็ช่วงปีสามจะให้ซิ่วเรียนใหม่ก็ใช่เรื่องป่ะ คนไม่มีเงินอยู่นะเว้ย” จุลจักรตอบเครียดๆ

ใช่ว่าตนไม่อยากเรียน แต่เรียนมันมีค่าใช้จ่ายเยอะ เขาก็เลยเรียนเท่าที่ไหว...

“แล้วแกอยากเรียนหรือเปล่าล่ะ” รามินทร์ถาม

“อยากครับ”

“ก็แค่นี้” รามินทร์ว่า ก่อนที่จะให้อินทัชพูดต่อ

“งั้นก็เรียน บริษัทจะให้ทุนเรียนต่อกับพนักงานที่สนใจจะเรียนต่อ แต่จบแล้วต้องมาทำงานใช้ทุน มึงจะเรียนต่อในหรือต่างประเทศล่ะ”

“กูโง่อังกฤษ”

“ฮ่าๆ แกนี่ตอบไม่คิดเลยนะไอ้จักร” รามินทร์หัวเราะ “เรื่องภาษามันฝึกกันได้”

“งั้นก็เรียนต่อเลย เรียนไปด้วยทำงานไปด้วยหวังว่าจะไหวนะ อืม...มึงอยากจะเรียนด้านไหนล่ะ”

“แล้วแต่มึงเลย ยังไงกูก็ได้ทำงานที่กูชอบแล้ว”

“โอเค เดี๋ยวกูจะให้เลขากูจัดการหาที่เรียนในไทยให้ก็แล้วกัน เกรดเฉลี่ยมอปลายมึงเท่าไหร่วะ” ร่างโปร่งบางถามเพื่อน

“อืม...สี่”

ทุกคนอยู่ในสภาวะตกตะลึงไปชั่วขณะจนจุลจักรต้องรีบเรียกสติทุกคนกลับมา เขาเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าการที่เขาเรียนได้เกรดดีๆ แบบนี้มันเป็นเรื่องน่าตกใจ

“ไหนบอกว่าตัวเองโง่ไงวะ ไอ้ตอแหล”

“เดี๋ยวนะจักร ไม่ใช่เกรดมอหกอย่างเดียวนะ คือทั้งหกเทอมของมอปลายน่ะเฉลี่ยรวมเท่าไหร่” เจ้าจอมบอกแล้วถามอีกครั้งเพราะไม่เชื่อว่าจะจบมาด้วยเกรดสี่

“สี่ครับ...แต่ถ้าไม่เชื่อผมไปเอามาให้ดูก็ได้”

จุลจักรทำท่าลุกขึ้น แต่เจ้าจอมก็ห้ามเอาไว้ก่อนทำให้ร่างสูงต้องนั่งลงกับที่เหมือนเดิม

“ไม่ต้องๆ ฉันเชื่อๆ แล้วตอนที่นายเรียนมอเกษตรนายจบมาด้วยเกรดเท่าไหร่”

“ตอนเรียนอยู่ผมได้เอทุกเทอมครับ เฉลี่ยตอนจบก็สี่ เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง” ตอบออกมาด้วยหน้าตาที่ซื่อๆ แต่ทำเอาชายหนุ่มสามคนที่เหลือนั่งยิ้มแหยๆ กันเพราะไม่มีใครเลยที่จบแล้วได้เกียรตินิยม แค่จบออกมาได้ก็ถือว่าดีแล้วล่ะนะ แต่จุลจักรรักษาเกรดอันเพอร์เฟ็คของตัวเองเอาไว้ได้

เหลือเชื่อจริงๆ

“ฮะๆ ยอมใจมึงเลยว่ะจักร”

“หึหึ...นี่กูรับมึงมาทำงานโดยไม่ได้ดูเกรดเลยนะเนี่ย” รามินทร์ว่า

เจ้าจอมก็ได้แต่หัวเราะออกมา มองคนรักด้วยสายตาที่ปลาบปลื้มแทน

“งั้นกูจะให้มึงเรียนสถาปัตยกรรมภายในเลยก็แล้วกัน เดี๋ยวให้เลขาจัดการให้ ส่วนเวลาในการเรียนน่าจะประมาณห้าปี ทำงานไปด้วย แต่ปีนี้คงไม่ทันแล้วล่ะ ก็เลื่อนเป็นปีหน้าไปเลยก็แล้วกัน มึงจะได้ไปต่างประเทศก่อน”

“อือ...แล้วแต่มึงเลย”

“งั้นช่วงเย็นกูจะจัดคอร์สเรียนภาษาอังกฤษให้พนักงานวันละสองชั่วโมงให้ มึงก็ไปเข้าด้วยก็แล้วกัน”

“ได้...”

“นายได้รับโอกาสเยอะมากเลยนะจักร”

“ครับคุณจอม ต้องขอบคุณไอ้อินมัน”

“หึหึ ไม่ต้องขอบคุณหรอกน่า มึงต้องทำงานให้กูเยอะเลยจักร” อินทัชว่า

“นั่นสินะ”

“เอาล่ะๆ เลิกพูดเรื่องงาน แล้วกินข้าวต่อได้แล้ว เดี๋ยวมันจะเย็นหมด” รามินทร์เอ่ยขึ้นมา

ทุกคนมองหน้ากันนิดๆ ก่อนที่พวกเขาก็ลงมือรับประทานอาหารกันต่อ...พูดกันซะเกือบลืมไปเลยว่าพวกเขากำลังทานข้าวอยู่ ส่วนรามินทร์กับจุลจักรน่ะหรือข้าวพร่องเกือบหมดแล้ว สงสัยจะกินช่วงที่เจ้าจอมกับอินทัชกำลังคุยกันอย่างออกรสอยู่แน่ๆ

พอทานข้าวกันเสร็จแล้วพวกเขาก็ย้ายกันไปนั่งคุยที่ห้องนั่งเล่นกันต่อจากนั้นก็แยกย้ายกันพักผ่อนเพราะตอนเช้าพวกเขาจะต้องเดินทางไปบ้านของเจ้าจอมกัน ซึ่งไม่สามารถเดาล่วงหน้าได้ว่า เหตุการณ์มันจะเป็นไปในทางที่ดีหรือทางที่เลวร้าย แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น จุลจักรจะไม่มีทางปล่อยมือเจ้าจอมเด็ดขาด

เราสองคนจะก้าวผ่านมันไปด้วยกัน...

...

...

...





มีต่อค่า

V

V

V

ออฟไลน์ SawachiYuki

  • แค่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 461
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +261/-38
    • Fanpage
ต่อ

V

V

V


“สวัสดีครับ”

ทุกคนนั่งพร้อมหน้าพร้อมตากันที่ห้องรับแขกในบ้านของเจ้าจอมที่ตอนนี้พ่อกับแม่รวมถึงผู้ชายหน้าตาดีคนหนึ่งก็นั่งอยู่ก่อนแล้ว พ่อกับแม่มองทุกคนอย่างพิจารณาโดยเฉพาะจุลจักรกับอินทัชที่พวกเขาไม่เคยเห็นหน้าค่าตามาก่อน

“สวัสดี...ได้ข่าวว่าฉันบอกให้แกมาคนเดียวนะเจ้าจอม” พ่อของเจ้าจอมรับไหว้ทุกคนด้วยการพยักหน้ารับรู้ แล้วก็หันมาเอาเรื่องลูกชายของตน

“ดูข้อความดีๆ ก่อนดีไหมครับ...ในข้อความไม่เห็นจะบอกเลยว่าให้มาคนเดียว ผมก็พาพี่ชายกับแฟนมาด้วยไง”

“เจ้าจอม!!” คนเป็นพ่อขึ้นเสียงดุลูกชาย

“คุณอาครับ” รามินทร์ปรามเสียงราบเรียบทำเอาพ่อของเจ้าจอมถึงกับสงบลงแต่ยังคงสีหน้าไม่พอใจอยู่

“คนไหนล่ะแฟน คนที่ขาเดี้ยงหรือว่าคนที่นั่งข้างแก”

“คนไหนพ่อก็น่าจะรู้อยู่แล้วนี่ครับ”

“งั้นอีกคนแกพามาทำไม?”

จอมพลซักไซ้จะเอาคำตอบจากลูกชายให้ได้ แต่คนเป็นภรรยาก็แทรกขึ้นมาก่อน

“วันนี้แม่กับพ่อนัดคนที่จะให้ลูกดูตัวมาด้วย พี่เขาชื่อมาวิน เขาทำงานเป็นผู้จัดการทั่วไปด้านการผลิตของบริษัทชั้นแนวหน้าของประเทศไทยนะเจ้าจอม รู้จักกันไว้สิ” เจนจิราพูดกับลูกชายแนะนำคนที่นั่งข้างเธอโดยไม่สนว่าลูกจะพาแฟนมาด้วยก็ตาม

ถ้าเธอไม่อนุญาตก็อย่าหวังว่าจะได้สมหวัง

“ยินดีที่ได้รู้จักนะครับน้องจอม” มาวินยิ้มทักทายเจ้าจอมไปด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน เจ้าจอมเห็นแบบนั้นก็ไม่อยากจะเสียมารยาทยิ้มกลับไป

“สวัสดีครับ”

“เจอตัวจริงน่ารักกว่าในรูปเยอะเลยนะครับเนี่ย”

“จ้ะ” เจนจิรารับคำยิ้มๆ พอใจที่ลูกชายไม่ได้เอ่ยขัดอะไรด้วย แต่เหมือนว่าเธอจะดีใจได้ไม่นานเพราะเจ้าจอมก็พูดขึ้นมาว่า

“นี่จักรครับ เป็นคนรักของจอมเอง”

“สวัสดีอีกครั้งนะครับคุณพ่อ คุณแม่” จุลจักรไม่ได้ตั้งใจจะกวนประสาทคนอายุมากกว่าแต่อย่างใดหรอกนะ แต่อินทัชบอกให้เขาพูดแบบนี้ เขาก็ต้องทำตามที่มันบอกน่ะสิ

“ใครเป็นพ่อแม่แก” จอมพลสวนกลับมาด้วยความไม่พอใจ มองร่างสูงใหญ่ตั้งแต่หัวจนปลายเท้าด้วยสีหน้าที่เหยียดหยามอย่างเห็นได้ชัด

อินทัชที่นั่งดูเหตุการณ์อยู่ก็กระตุกยิ้มเย็นพอจะรู้วิธีการรับมือบ้างแล้ว แต่ก็ยังไม่เริ่มทำอะไร

“ก็จักรเป็นแฟนของจอมเรียกพ่อกับแม่ก็ถูกแล้วนี่ครับ” เจ้าจอมตอบ

“ฉันไม่ยอมรับไอ้บ้านนอกแบบนี้หรอกนะ” จอมพลพูด

“นี่มันอะไรกันครับคุณน้า” มาวินหันมาถามเจนจิราอย่างเอาเรื่อง ไม่พอใจเป็นอย่างมากที่เจ้าจอมแสดงกริยาแบบนี้ต่อหน้าเขา

“ใจเย็นๆ นะจ้ะมาวิน น้องเขากำลังโดนหลงผิดน่ะ”

“เหรอครับ” มาวินก็เชื่อคนง่ายเหลือเกิน หันกลับมามองเจ้าจอมด้วยสีหน้าที่ดูเห็นใจแล้วก็มองรามินทร์ อินทัชและจุลจักรอย่างเหยียดๆ แล้วพูด “น้องจอมครับ ฟังคุณพ่อคุณแม่หน่อยนะครับ ท่านหวังดีกับน้องจอมอยู่แล้วล่ะ”

เจ้าจอมเริ่มไม่พอใจผู้ชายคนนี้เสียแล้วสิ รู้จักกันได้แค่ไม่กี่นาทีก็ทำเป็นสอนเขาแล้ว นี่คิดว่าตัวเองวิเศษวิโสมาจากไหนหรือคิดว่ามีพ่อแม่ของเขาให้ท้ายแล้วจะพูดอะไรก็ได้งั้นเหรอ

ไม่มีทางหรอก!!

“คุณจะไปรู้อะไรล่ะครับ”

“เจ้าจอม พูดกับพี่เขาดีๆ หน่อย” จอมพลสั่ง หากแต่เจ้าจอมก็ไม่คิดจะเชื่อฟัง

“ไม่ครับ ทีพ่อแม่ยังพูดจาดูถูกคนที่จอมรักเลย ทำไมจอมต้องพูดดีๆ กับคนที่จอมไม่รู้จักด้วย”

“ที่แกนิสัยเสียแบบนี้คงเป็นเพราะอยู่ในที่ที่มีแต่คนนิสัยแบบนี้สินะ”

“คุณอาจะพูดอะไรก็ให้เกียรติคนที่ส่งเสียให้เจ้าจอมเรียนหน่อยก็ดีนะครับ เพราะผมก็ถือว่าเป็นผู้ปกครองของเจ้าจอม และก็ถือว่าเป็นเจ้านายของคุณอาด้วย” รามินทร์ไม่อยากพูดแบบนี้กับญาติผู้ใหญ่หรอกนะ แต่เขาพาดพิงรามินทร์ก่อนเอง

“อาขอโทษด้วย อาไม่ได้ไม่ถึงรามนะ อาหมายถึงใครบางคนต่างหาก” จอมพลหันไปจ้องหน้าจุลจักรที่ตอนนี้ก็มองหน้าแบบไม่หวั่นเกรงอะไรทั้งนั้น

อินทัชเหมือนถูกลืม...แต่ก็ช่างเถอะยังไม่ถึงเวลาล่ะมั้ง

“หมายถึงผมหรือครับ” จุลจักรถาม

“ก็รู้ตัวนี่”

“พ่อเลิกว่าจักรสักทีเถอะครับ พ่อยังไม่รู้นิสัยที่แท้จริงของจักรเลยก็ว่าเขาเอาว่าเขาเอา กับคุณมาวินอะไรนี่พ่อกับแม่รู้จักดีเหรอครับถึงได้ชอบเข้านักหนา”

“เถียงคำไม่ตกฟากจริงๆ ว่าแต่แกแห่มาทำไมตั้งเยอะแยะ แล้วคนที่ใส่เฝือกนี่ใคร” จอมพลถามมองหน้าอินทัชอย่างต้องการคำตอบ

“สวัสดีครับ ขอแนะนำตัวอย่างเป็นทางการเลยก็แล้วกันนะครับ ผมชื่ออินทัช ชยอัมรินทร์ นี่เป็นนามบัตรของผมครับ” ร่างโปร่งตอบแล้วยื่นนามบัตรที่ใช้กับลูกค้าหรือคู่ติดต่อทางธุรกิจให้กับจอมพลไป ด้านพ่อของเจ้าจอมที่ได้ยินชื่อก็คุ้นหูมากพออยู่แล้วพอเอานามบัตรไปดูก็เบิกตาโพลง มองหน้าของอินทัชสลับกับนามบัตรก่อนจะส่งนามบัตรให้กับภรรยาตนเองที่นั่งข้างๆ

อินทัช ชยอัมรินทร์

ประธานกรรมการอัมรินทร์ กรุ๊ป

เจนจิราอ่านแล้วก็ตกใจเหมือนกัน เก็บนามบัตรนั้นเอาไว้อย่างดี สร้างความแปลกใจให้กับมาวินและสร้างความพึงพอใจให้กับเจ้าจอมและจุลจักร

“ผมเป็น ‘เพื่อน’ สนิทของจักรแล้วก็เป็นเจ้านายของจักรด้วย ในวันนี้มาเป็นเถ้าแก่สู่ขอน้องจอมให้กับจักรน่ะครับ วันนี้ก็มาคุยดูว่าทางคุณจอมพลกับคุณเจนจิราจะว่ายังไง แล้วค่อยพูดกันเรื่องสินสอดทองหมั้น” อินทัชพูดไปตามบทบาทหน้าที่ที่ตนได้รับมา

“เอ่อ...ครับ” เมื่อทุกอย่างไม่เป็นไปตามที่ตัวเองคิดและต้องการสองภรรยาก็มองหน้ากันทันทีเมื่อรู้ว่าคนที่ไมมีหัวนอนปลายเท้า เป็นแค่คนจนๆ คนหนึ่ง ที่พวกเขาได้สืบหาข้อมูลมา จะเป็นถึงเพื่อนและลูกน้องของนักธุรกิจระดับนี้ไปได้

“ผมเชื่อว่าเงินเดือนของจักรจะไม่ทำให้น้องจอมต้องลำบากแน่นอนครับ เพราะตอนนี้จักรมีคอนโดอยู่แถว XX เป็นโครงการของ PLEUNG ราคาก็ตกประมาณแปดห้าสิบล้าน” สิ้นคำพูดของอินทัชก็ทำให้จุลจักรรู้ถึงราคาของคอนโดที่ตนอยู่ทันที เขาหันไปมองเพื่อนอย่างตกใจ

ตอนแรกก็คิดอยู่ว่ามันต้องหลักสิบล้านแน่ๆ เพราะทั้งชั้นมีแค่ห้องของเขากับอินทัช ห้าสิบล้านอัพ ชาติไหนจะใช้หมดวะเนี่ย แต่เงินเดือนที่เขาได้ก็ไม่ธรรมดาเหมือนกันนะ ตอนแรกก็แย้งว่ามันเยอะไป แต่อินทัชบอกว่าสมน้ำสมเนื้อกับความสามารถของเขาแล้ว จุลจักรก็เลยไม่คัดค้านอะไร

“เอ่อ...นายคนนี้น่ะเหรอคะ”

“ครับ...คนนี้แหละครับที่มีคอนอยู่หลักห้าสิบล้าน เงินเดือนหลักแสน” แม้ว่าตอนนี้จะได้หลักหมื่นเพราะเป็นแค่พนักงานทดลองงานอยู่ก็ตามแต่ก็เกินห้าหมื่นล่ะนะ

อภิสิทธิ์ของอินทัชมอบให้จุลจักรเป็นพิเศษ

“หลักแสน!!” สองภรรยาอุทานออกมาพร้อมกันเสียงดัง คนที่เธอจะให้ลูกได้แต่งงานด้วยอย่างมาวินเงินเดือนยังแค่ห้าถึงหกหมื่นต้นๆ เท่านั้นเอง แต่จุลจักรได้หลักแสน

หลักแสน...ก็ยังไม่บอกว่าหนึ่ง สอง สามแสนหรืออาจจะมากกว่านี้ก็ได้

จะว่าไปถ้าให้เลือกทางฐานะการเงิน คนที่จะดูแลลูกชายของเขาได้ดีก็น่าจะเป็นจุลจักร และลูกชายของพวกเขาก็รักนายคนนี้ด้วย

ทั้งสบาย ทั้งมีความสุขแน่ๆ

“คุณน้าครับไหนว่าให้ผมมาพบกับน้องจอมไงครับ แล้วนี่มันอะไรกัน บอกว่าน้องจอมไม่มีแฟน อยากฝากฝังให้ผมดูแล แต่น้องเขาก็มีแฟนแล้วนี่ครับ แถมยังรวยกว่าผมด้วย ถ้างั้นผมก็คงจะไม่มีความหมายสำหรับคุณน้าแล้ว ขอตัวเลยก็แล้วกันนะครับ พี่กลับก่อนนะครับน้องจอม” มาวินพูดกับจอมพล เจนจิราด้วยความไม่พอใจเพราะเหมือนโดนหักหน้าต่อหลายๆ คน ลุกขึ้นเตรียมจะเดินออกจากบ้านหลังขนาดกลางนี้ไป แต่ก็ไม่ลืมที่จะบอกลาเจ้าจอม ร่างเล็กเห็นแบบนั้นก็คิดว่ามาวินไม่ใช่คนนิสัยไม่ดีเท่าไหร่ ยิ้มให้บางๆ แล้วยกมือไหว้

“สวัสดีครับ”

“ครับ...ไม่ต้องห่วงนะครับคุณน้าผมจะเรียนคุณพ่อคุณแม่ใหม่เอง ว่าผมกับน้องจอมเราเข้ากันไม่ค่อยได้ จะไม่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวเราต้องแตกหักแน่นอนครับ” ยิ้มให้กับเจ้าจอมแล้วทำหน้าเรียบๆ ให้กับผู้ใหญ่ทั้งสองคน...

“ขอบใจนะจ้ะมาวิน น้าขอโทษด้วย”

“ไม่เป็นไรครับ แต่คุณน้าครับ...ถึงคุณน้าจะหวังดีกับน้องจอม แต่อย่าลืมความสุขของน้องจอมด้วยนะครับ พ่อแม่ผมบอกกับผมเสมอว่าเราเลี้ยงลูกมาได้แต่ตัว ชีวิตของลูกก็ให้ลูกเลือกและตัดใจเอาเอง เพราะในวันที่ไม่มีพ่อแม่อยู่แล้วเขาจะสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้ด้วยตัวเอง ผมลาล่ะครับ สวัสดีครับ”

มาวินออกไปแล้ว ทิ้งประโยคให้ผู้ใหญ่ที่เคารพได้ฉุกคิด ซึ่งรามินทร์กับเจ้าจอมก็หันมายิ้มให้กันที่เห็นความลังเลของจอมพลและเจนจิรา

“ถ้าฉันอนุญาตให้แต่งกันได้ สินสอดลูกชายฉันเท่าไหร่” เจนจิราถามขึ้น

ยังไงนิสัยกับมุมมองก็ไม่สามารถเปลี่ยนง่ายๆ ได้ภายในวันเดียว แต่ถึงจะได้รักกันเพราะเงิน อย่างน้อยก็ได้อยู่ด้วยกัน...

พ่อแม่ของเจ้าจอมไม่ได้ต้องการเงิน แต่ต้องการหน้าตา...จะให้ใครมาดูถูกไม่ได้

“แล้วแต่คุณพ่อคุณแม่จะเรียกเลยครับ”

“ทำงานในอัมรินทร์กรุ๊ป ถ้าเงินเดือนหลักแสนจริงๆ ภายในห้าปี สินสอดฉันขอเป็นเงินสดยี่สิบล้านมากองตรงหน้าในวันหมั้น เดี๋ยววันหมั้นฉันจะหาฤกษ์ให้ แต่ถ้าไม่มียี่สิบล้านมาวันนั้นก็เลิกคบ เลิกเจอกัน ส่วนตอนนี้ฉันฉันจะให้ลูกชายคบกับนายก็ได้” เจนจิรายื่นข้อเสนอเด็ดขาดที่ทำเอาจุลจักรนั่งทำหน้าเครียด ใจเต้นแรงด้วยความกังวลปนดีใจ

ห้าปีต้องหาเงินมาเป็นสินสอดยี่สิบล้าน ยังไม่ท่าทีว่าจะได้เลย แต่ถ้าเขาเรียนตามที่ได้ตกลงกับอินทัชเมื่อคืนก็จะใช้เวลาห้าปี ยังไงก็ยังไม่เห็นว่าจะมีทีท่าจะหาได้เลย

แต่อะไรที่คิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ มันก็เป็นไปได้หมดสำหรับเขา จุลจักรจะไม่มีทางยอมแพ้เด็ดขาด

“ได้ครับ...ผมตกลง”

“งั้นพวกเราก็ไม่มีอะไรคัดค้าน จะปล่อยให้คบกันไปก่อนห้าปี” จอมพลเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่ยังเรียบนิ่ง เย็นชาอย่างเดิม หากแต่ประโยคที่ว่ายอมให้เราคบกันก็ทำให้เจ้าจอมกับจุลจักรยิ้มออกมาอย่างดีใจ ทั้งสองมองหน้ากันมอบรอยยิ้มให้กัน...

และนั่น มันทำให้จอมพลกับเจนจิราได้เห็นรอยยิ้มของลูกชาย ที่ไม่ได้เห็นมานานแล้ว...

“ขอบคุณนะครับ” เจ้าจอมกับจุลจักรยกมือไหว้ขอบคุณทั้งรอยยิ้มดีใจแบบเด็กๆ

พวกเขาเห็นรอยยิ้มนั้นใสซื่อเหมือนเด็กๆ พาลทำให้นึกถึงเจ้าจอมตอนเด็กๆ ที่เอาแต่ยิ้ม หัวเราะอย่างมีความสุข เด็กใสซื่อบริสุทธิ์ที่พวกเขาประคบประหงมเลี้ยงดูมาด้วยความรัก ความเอาใจใส่ ตอนนี้มีแต่ความหมางเมินห่างเหิน นั่นมันก็เพราะคนเป็นพ่อแม่เอง ที่อยากให้ลูกทำในสิ่งที่ตนอยากให้ทำ เป็นคนในแบบที่พ่อแม่อยากให้เป็น ไม่ได้สนใจเลยว่า...ลูกชายของพวกเขาจะมีความสุขหรือเปล่า

และเพราะความดันทุรัง ครอบครัวเราจึงไม่มีความสุข

“ถ้าอย่างนั้นก็ตกลงตามนี้นะครับ ภายในห้าปี จักรจะต้องหาเงินค่าสินสอดให้ได้ยี่สิบล้านบาทแล้วอีกห้าปีผมจะให้ผู้ใหญ่มาเป็นเถ้าแก่ให้จักรมัน เราไม่อยากให้โดนว่าผมไม่ให้เกียรติท่านทั้งสองน่ะครับ” อินทัชพูดขึ้นมา มองหน้าสองสามีภรรยาที่กำลังจ้องลูกชายคนเดียวยิ้มกับจุลจักรอย่างมีความสุขอยู่แบบนั้น

ดวงตาของท่านฉายชัดถึงความคำนึงโหยหา แต่ก็เป็นคนปากแข็งมีทิฐิกันทั้งคู่

“ไม่เป็นไรหรอกครับ แค่คุณอินทัชก็ให้เกียรติพวกเรามากพออยู่แล้ว”

“ขอบคุณนะครับ”

“ขอบคุณเช่นเดียวกันนะคะที่เอ็นดูลูกชายของดิฉัน”

“เจ้าจอมเป็นเด็กดี เป็นน่ารัก ผมก็รักและเอ็นดูเจ้าจอมเหมือนน้องชายคนหนึ่งน่ะครับ”

“ทำไมถึงได้รู้จักกับรามกับเจ้าจอมได้ล่ะครับ”

“ผมเจอตอนที่ไปพักที่รีสอร์ทน่ะครับก็เลยรู้จักกัน ส่วนจักรนี่เป็นเหมือนผู้มีพระคุณสำหรับผมมากเลย ถ้าไม่มีมัน ผมเองก็ไม่รู้จะมีชีวิตรอดมาจนถึงทุกวันนี้หรือเปล่า”

ถ้าไม่มีจุลจักร อินทัชคงจะเป็นบ้า ประสาทแตกแน่ๆ เพราะอย่างน้อยที่ที่โหดร้ายนั้น เขาก็มีเพื่อนอย่างมันและมีเพื่อนอย่างหมอเงิน รวมทั้งเจ้าจอมอีกด้วย

ส่วนตอนนี้...คนที่ขึ้นเป็นอันดับหนึ่งในหัวใจมันเป็นไอ้บ้าข้างๆ นี้ไปได้

“ขอบคุณ” รามินทร์กระซิบข้างหู จนใบหน้าสวยเบี่ยงออกอย่างต้องการเว้นระยะห่าง

“ห่างๆ ไปเลย”

“ทำเป็นรังเกียจ”

จอมพลสังเกตเห็นรามินทร์กับอินทัชที่กำลังกระซิบกระซาบด้วยท่าทางที่ไม่เหมือนเพื่อนปกติก็ขมวดคิ้วอย่างฉงนใจ หากแต่ก็ไม่ได้เอ่ยถามออกไปเพราะจะเป็นการเสียมารยาทต่ออินทัชเอาได้

“คุณอินครับ ผมอยากจะถามอะไรหน่อยได้หรือเปล่าครับ”

“ครับคุณจอมพล”

“ขาคุณอินไปโดนอะไรมาหรือครับ ถึงต้องใส่เฝือก”

“ซุ่มซ่ามน่ะครับคุณอา...ขาก็เลยแพลง”

คนที่ตอบดันไม่ใช่คนที่ถูกโดนถามแต่เป็นคนที่นั่งข้างๆ กับอินทัชต่างหากล่ะ

“อาถามคุณอิน รามจะตอบแทนทำไม”

“ก็ได้คำตอบเหมือนๆ กันนั่นแหละครับ”

“ตามนั้นแหละครับคุณจอมพล ผมซุ่มซ่ามเอง แต่ตอนนี้ผมคิดว่าผมคงต้องขอตัวก่อนนะครับ พอดีมีงานจะต้องไปเคลียร์ให้เสร็จ ยังไงขอลาตรงนี้เลยก็แล้วกันนะครับ” อินทัชพูดแล้วยิ้มบางๆ ส่งให้ด้วย

“ครับ...ขอบคุณนะครับที่ให้เกียรติมา เลยไม่มีน้ำท่าต้อนรับเลย คราวหน้าเราจะต้อนรับคุณอินอย่างดีเลยนะครับ ต้องขออภัยด้วย”

“ไม่เป็นไรครับ สวัสดีครับคุณจอมพล คุณเจนจิรา…ราม ไปได้แล้ว” ประโยคสุดท้ายหันมาสั่งร่างแกร่งที่นั่งข้างๆ รามินทร์ลุกขึ้นเอ่ยปากลาผู้ใหญ่ทั้งสองท่านแล้วพาอินทัชกลับคอนโดไป ทิ้งไว้เพียงเจ้าจอมกับจุลจักรที่ยังคงอยู่ยังไม่กลับไปไหน...

“จะกินอะไรก่อนไหมเจ้าจอม” น้ำเสียงอ่อนโยนของคนเป็นแม่ถามขึ้นมา มันเป็นน้ำเสียงที่เจ้าจอมไม่ได้ยินมันมานานจนตอนนี้ดวงตาร้อนผ่าว น้ำตาจะไหลออกมาด้วยความดีใจ

เจ้าจอมรู้...ว่าแม่กำลังพยายามปรับเข้าหาเขาโดยทิ้งทิฐิที่มีออกไป ส่วนพ่อ เจ้าจอมรู้...ว่ายังไงก็ยากที่จะกลับมาอ่อนโยนเหมือนเมื่อก่อน ก่อนที่จะรู้ว่าเขาเป็นเกย์…แต่ก็รู้สึกได้ในท่าทีที่อ่อนลง

เป็นเพราะเงิน...ที่ทำให้ครอบครัวของเรากำลังประสานรอยร้าวของแก้วเข้าด้วยกัน แม้ว่าแก้วจะไม่เหมือนเดิมก็ก็สามารถทำให้น้ำไม่รั่วไหลได้...

“กินข้าวด้วยกันก่อนไหมลูก” เธอถามย้ำอีกที

“จอมไม่ได้รบกวนเหรอครับ” ถามเสียงสั่น

ทั้งเสียงทั้งประโยคที่ถามมันสะเทือนใจคนเป็นพ่อแม่มากแค่ไหน...เจ้าจอมอาจจะไม่รู้ แต่จอมพลกับเจนจิรารู้...

“พ่อกับแม่...กล้านั่งร่วมโต๊ะกับคนน่ารังเกียจ เป็นตัวสกปรกคนนี้ด้วยเหรอครับ”

เจ้าจอมถามกลับด้วยคำครหาด่าทอที่ผู้เป็นพ่อกับแม่เคยว่าตนเอาไว้ จุลจักรทำได้แค่บีบมือคนรักเอาไว้ให้แน่นส่งกำลังใจผ่านสัมผัสที่อบอุ่นนี้ บอกกับคนรักว่ายังมีเขาอยู่ และจะไม่มีวันทิ้งไปไหน

แต่แล้วเจ้าจอมกับจุลจักรก็ไปนั่งร่วมโต๊ะรับประทานอาหารโดยที่มื้อนี้แม่ของเจ้าจอมเป็นคนทำมาให้ลูกชาย เจ้าจอมที่เห็นว่าแม่ทำของโปรดมาให้ก็กลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ ตักอาหารตรงหน้ารับประทานทั้งที่น้ำตาไหลอยู่ทั้งอย่างนั้น คนเป็นพ่อหันหน้าหนีไม่มองภาพของลูกชายที่กำลังร้องไห้ ส่วนคนเป็นแม่ก็นั่งร้องไห้มองลูกชายที่ก้มหน้าก้มตาทานอาหารฝีมือเธออย่างเอร็ดอร่อยแม้ว่าจะเต็มไปด้วยน้ำตาที่ใบหน้านั้นก็ตาม

“ฮึก...” เสียงสะอื้นของหญิงสาวและเจ้าจอมดังเป็นระยะ พอกินข้าวเสร็จแล้ว เจ้าจอมก็นั่งร้องไห้มองจานที่เกลี้ยงเกลาเหมือนไม่เคยใช้อย่างนั้นไม่ลุกไปไหน

พวกเขาไม่อยากให้ลูกชายลำบาก...เพราะรักมาก จึงไม่อาจทนเห็นลูกชายต้องตกระกำลำบาก แต่ในเมื่อจุลจักรในตอนนี้สามารถที่จะดูแลลูกชายของพวกเขาไม่ให้ลำบากได้ มันก็ไม่มีอะไรที่จอมพลกับเจนจิราจะต้องคัดค้านอีกต่อไป

อยากให้ลูกได้รู้...ว่าต่อให้พ่อกับแม่ใจร้ายแค่ไหน แต่ก็รัก...

รักมากกว่าชีวิตของตัวเองเสียอีก

“ไม่มีพ่อแม่ที่ไหน ไม่รักลูกของตัวเองหรอกนะ...”

และประโยคสุดท้ายแสนสั่นเครือที่ออกมาจากหัวหน้าครอบครัวก็ยิ่งทำให้เจ้าจอมปล่อยโฮร้องไห้เสียงดังออกมาอย่างไม่อายใคร หันไปซบไหล่คนรักเพื่อเช็ดน้ำตาของตัวเอง จุลจักรก็ลูบไหล่สั่นเทาของร่างเล็ก สลับกับมองพ่อแม่ของเจ้าจอมไปด้วย...

สายตาที่เต็มไปด้วยความรัก ความหวังดีและอยากขอโทษ...

แม้วันนี้จะยังไม่สามารถเป็นเหมือนเดิมได้ แต่จุลจักรเชื่อว่าสักวันความสัมพันธ์ของทั้งสามคนจะประสานต่อกันติดในที่สุด ยังซะ...สายสัมพันธุ์ทางสายเลือดก็ไม่มีวันตัดขาดได้
   
“ฝากดูแลหัวใจของเราด้วย”






100%

 :katai5: :katai5: :katai5: :katai5: :katai5:

มาแล้วจ้า นานเลย 5555 เป็นเพียงจินตนาการของยูกิน้า ข้อมูลอะไรผิดพลาด เวอร์วังเกินจริง ขออภัยด้วยจ้า

ที่ผ่านมา ชีวิตวุ่นวายกับสัมมนามาก แต่ก็ผ่านพ้นไปแล้วด้วยดีไม่ต้องซ่อมด้วย เย้ๆ ส่วน อาทิตย์นี้ก็สอบไฟนอลค่า ตั้งแต่เสาร์นี้ก็จะปิดเทอมแรกแล้ว ซึ่งปิดแป๊บเดียวก็เริ่มเทอมสองซึ่งเจอวิจัย ฉะนั้น บอกเอาไว้ก่อนล่วงหน้าว่าคงหายไปอีก ^_^

มีอะไรก็ไปพูดคุย สอบถาม ติดตามข่าวสารที่แฟนเพจได้เลยนะคะ https://www.facebook.com/sawachiyuki/ 

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
 :เฮ้อ: โล่งใจแทนเจ้าจอมแล้วก็จักร์
ส่วนราม ก็เป็นเบี้ยล่างอินต่อไปนะ สมควร

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
 :monkeysad: ตอนนี้กินใจคนแก่เต็ม ๆ ซึ้งจังเลย

ออฟไลน์ gackmanas

  • I Remember your Eyes..
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 661
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
ไรท์ ทำซะน้ำตาซึมเบย...  :hao5:

ออฟไลน์ little_munoi

  • ++ singular ++
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-3
อิน..คือดีงาม
นายนี่มันน่ารักจิงๆ
ปล. จักร บ้าจิง คนบ้า เรียนยังไงให้ได้4.0ว่ะ
นายเป็นเอเลี่ยนใช่ไม๊!!

ออฟไลน์ chaaem

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 9
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ในที่สุดพ่อแม่จอมก็ยอมรับสักที  :o12: :o12:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ SawachiYuki

  • แค่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 461
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +261/-38
    • Fanpage
Heartless แค้นนี้...มิอาจห้ามรัก
ตอนที่ 56
ลอบทำร้าย




รามินทร์พาอินทัชขับรถออกจากบ้านของเจ้าจอมโดยมุ่งหน้ากลับสู่คนโดที่อยู่ไกลจากที่นี่พอสมควร ระหว่างทาง ร่างโปร่งก็ถามคนขับจำเป็นไปด้วยว่า

“อามึงนี่พูดง่ายกว่าที่คิดนะ”

“ถ้าไม่มีเงินก็ไม่ง่ายหรอก”

“กูเชื่อ...แต่ท่านก็ดูรักเจ้าจอมมากนะ”

“รัก...รักลูกพอๆ กับรักหน้าตาของตัวเองนั่นแหละ” รามินทร์พูดแขวะอาทั้งสองที่เป็นญาติผู้ใหญ่ของตนเล็กน้อย เพราะที่เขาพูดมันก็คือเรื่องจริง

จอมพลกับเจนจิรารักลูกชายมากและก็รักหน้าตาตัวเองมากเหมือนกัน

“มึงนี่นะ”

“กูทำไมวะอิน?”

“ก็มึงว่าญาติผู้ใหญ่ตัวเองอยู่นะเมื่อกี้”

“กูไม่ได้ว่า แค่พูดความจริง ผิดตรงไหนวะ?” คิ้วเข้มขมวดกันอย่างสงสัย

“มันบาปเว้ย”

“แล้วทีมึงไล่อาแท้ๆ ของตัวเองออกจาบริษัทล่ะ นี่ไม่บาปเลยสินะ” รามินทร์ย้อมถามกลับไป ทำเอาร่างโปร่งบางถึงกับสงสัยขึ้นมาทันทีว่าร่างสูงรู้ได้ยังไง เรื่องนี้มีแค่คณะกรรมการบริษัท ธีรไนยแล้วก็จุลจักรที่รู้เท่านั้น

ไม่ธีรไนยก็จุลจักรนั่นแหละ

“ใครบอกมึง”

“กูก็รู้เองได้มะ” หันมายักคิ้วกวนๆ ให้ ทำเอาได้รับรางวัลเป็นฝ่ามือนุ่มๆ ตบเข้าที่หัวอย่างแรง จนร้องโอ้ยออกมาเพราะเจ็บ

ผลัวะ!!

“โอ้ย!! ตบมาได้ เขาห้ามเมียตบหัวผัวนะอิน ไม่รู้เหรอว่ามันจะไม่เจริญ”

“ชีวิตคนเป็นเมียนี่น่าสงสารเนอะ ทำอะไรนิดๆ หน่อยๆ ก็จะไม่เจริญ” ประชดประชันกลับไป เรียกเสียงหัวเราะจากคนตัวใหญ่กว่าทันที

“ฮ่าๆ ยอมรับแล้วเหรอว่าเป็นเมีย”

“ถึงกูไม่ยอมรับมึงก็ยัดเยียดมาให้กูอยู่ดี ไม่ใช่เหรอวะ” ตอบอย่างไม่พอใจ

“หึหึ...ก็มึงเป็นเมียกูจริงๆ นี่”

“หุบปากแล้วขับรถดีๆ ไปเลย”

“คร้าบๆ คุณเมียสุดที่รัก”

“ยังไม่หยุดอีก” ใบหน้าสวยเตรียมจะวีนเต็มที่กับความอารมณ์ดีเกินเหตุของรามินทร์ทำให้เขาหมั่นไส้

“หยุดแล้วๆ เอามือลงนะ ทุบมาหัวกูแบะ พามึงรถคว่ำตายทำไงอ่ะ ไม่ได้นะเว้ย เราต้องครองรักบนโลกมนุษย์ให้นานๆ ก่อน แล้วค่อยไปครองรักกันต่อบนสวรรค์”

ปึก!!!

กำปั้นที่กำเตรียมไว้ทุบคนปากหมาก็ไม่เป็นหม้าย เพราะทันทีที่รามินทร์พูดจบเขาก็ทุบมันลงบนไหล่แกร่งแรงๆ ไม่สนใจเลยว่ามันจะขับรถอยู่ แต่การทุบแค่นี้คงไม่ทำให้รามินทร์เจ็บจนขับรถไม่ได้หรอกนะ...

“อย่างมึงน่ะลงนรกอย่างเดียวเถอะไอ้ราม”

“ถ้างั้นที่นรกก็มีมึงด้วยใช่ไหม”

“เรื่องอะไร กูมันคนดีเว้ย ต้องขึ้นสวรรค์อยู่แล้ว” ร่างสูงโปร่งตอบด้วยความมั่นอกมั่นใจ

“ถ้าอย่างนั้นกูจะฉุดมึงมาอยู่กับกู จะไม่ปล่อยไปไหนอีกด้วย มึงต้องอยู่กับกู ไม่ว่าจะนรกหรือสวรรค์ มึงก็ต้องอยู่กับกู...”

อินทัชส่าหน้าไปมาอย่างระอาใจ หันหน้าหนีอีกคนไปยังกระจกฝั่งตัวเอง มองออกไปข้างนอกแก้เขิน...เขาไม่อยากให้มันเห็นว่าตัวเองกำลังหน้าแดงอยู่ ไม่งั้นโดนล้อตายห่า

แต่ระหว่างที่รามินทร์กลับเปลี่ยนเส้นทางไปทางซ้ายไม่ใช่ทางขวาอย่างที่ควรเป็น อินทัชก็หันมามองคนขับรถด้วยความสงสัยแล้วถามออกไปเสียงเครียด

“มึงจะไปไหน”

“ชลฯ”

“ไปทำไมชลฯ?”

“พามึงไปเที่ยวไง พักผ่อนบ้าง อยู่แต่ในคอนโดมีแต่บรรยากาศเดิมๆ น่าเบื่อออก” ร่างสูงตอบแต่เป็นคำตอบที่ทำให้อินทัชโมโหสุดๆ เนื่องจากเขาต้องสะสางงานที่เอามาทำให้เสร็จเรียบร้อย

“ไอ้เหี้ยราม!! กูมีงานเยอะแยะเลยนะเว้ย”

“แล้ว?”

“พากูกลับคอนโดเดี๋ยวนี้”

“ไม่กลับ!!” ร่างสูงขัดคำสั่งของอินทัชเป็นครั้งแรก ส่งผลให้คนตัวขาวหน้าแดงแต่คราวนี้ไม่ใช่เพราะเขินแต่เป็นเพราะความโกรธ ไม่พอใจต่างหาก

“ไอ้ราม!! กูมีงานต้องเคลียร์ มึงอย่าดื้อ อย่าทำตัวงี่เง่าเป็นเด็กสิวะ”

“กูไม่ได้งี่เง่า แต่กูอยากให้มึงพัก แล้วไม่ต้องห่วง กองเอกสารของมึงกูเอามาให้หมดแล้ว ทุกอย่างเลยอยู่หลังรถ ส่วนเสื้อผ้าของมึงกูก็เก็บมาให้หมดแล้ว”

“นี่กะอยู่กี่วัน”

“กูมีรีสอร์ทที่นั่น จะพักกี่วันก็ได้ แต่ว่านี่กูจะพาไปบ้านพักริมทะเลของกู เป็นบ้านที่กูเอาไว้พักผ่อนถ้ามาทะเลน่ะ แล้วกูคิดว่ามึงจะชอบมากด้วย” ร่างสูงอวดใหญ่

ปากสวยเบะด้วยความหมั่นไส้

“ทำมาเป็นรู้ใจกู...”

“กูรู้หมดนั่นแหละ มึงคิดว่าที่เราห่างกันกูจะอยู่เฉยๆ ไง กูให้คนหาข้อมูลของมึงมาให้กูอ่าแก้คิดถึง มึงรู้บ้างไหม”

“ทำไมต้องรู้?”

“ไอ้สัตว์...ปากดี จับจูบตอนนี้ได้ไหมวะ”

“เสื่อม!!” ร่างโปร่งด่าสั้นๆ แต่ปากก็แอบยิ้ม รามินทร์เองก็แอบเห็นด้วย เลยผิวปากขับรถอย่างอารมณ์ดี ส่วนอินทัชก็ไม่รู้หรอกว่ารามินทร์อารมณ์ดีเรื่องอะไร

ใช้เวลาในการขับรถไม่นานมากนักจากกรุงเทพมาชลบุรี ก็ถึงบ้านพักที่รามินทร์บอกไว้ มันอยู่ริมทะเลจริงๆ แล้วก็ค่อนข้างเงียบ แต่ใช่ว่าจะไม่มีคนเลย มีนักท่องเที่ยวอยู่บ้างแต่ไม่เยอะเท่าไหร่นัก แต่ก็ถือว่าเงียบสงบสำหรับอินทัชล่ะ ส่วนตัวบ้านก็ไม่ใหญ่มาก ขนาดมาตรฐานของบ้าน จำนวนสองชั้น แต่ด้านในตกแต่งสวยลักษณะเหมือนโรงแรมแต่ว่าเป็นบ้านส่วนตัวที่น่าอยู่มาก

“กูไม่นอนกับมึงแน่ๆ”

“แล้ว? ก็ที่นี่มีห้องเดียว ข้างบนมีห้องนอนห้องใหญ่ ห้องทำงาน ไม่นอนด้วยกันมึงจะไปนอนที่ไหน”

“มึงบอกเองว่ามีรีสอร์ท ให้กูไปนอนรีสอร์ทมึงก็ได้ กูจ่ายเงินเอง”

“ไม่ได้ นอนกับกูที่นี่แหละ”

“ไม่เว้ย!!”

“แล้วใครจะช่วยเหลือมึง คิดบ้างสิวะ ขาตัวเองยังไม่หายเลยแท้ๆ อวดเก่งจะอยู่คนเดียว” อินทัชสะอึกเถียงไม่ออก ก็เลยนั่งเงียบๆ อยู่บนโซฟาแทน

“เออ!! ขนกระเป๋ากับเอกสารของกูไปเก็บเลยไป”

“คร้าบๆ”

ร่างโปร่งนั่งมองคนตัวใหญ่ที่เดินเข้าออก ขึ้นข้างบนสองรอบ ก็ได้แต่ยิ้ม...ที่ผ่านมามีแต่มันที่สั่งที่บังคับให้เขาทำในสิ่งที่มันต้องการมาตลอด แต่มาในวันนี้ รามินทร์มันยอมเขาเกือบทุกอย่างเลย

มันยอม...ทั้งๆ ที่ไม่น่าจะยอมได้

“เสร็จยัง พากูไปทำงานเลย”

“อะไรวะ มาถึงก็ทำงานนี่นะ มึงไม่โดนวิว บรรยากาศชักนำให้ขี้เกียจบ้างเลยเหรอ?” ร่างสูงถาม

“กูมีความรับผิดชอบ ถ้างานไม่เสร็จกูก็ไม่มีอารมณ์จะทำอะไรทั้งนั้นแหละ เพราะฉะนั้นพากูไปทำงานให้เสร็จเดี๋ยวนี้!!”

“เออๆ”

พรึ่บ!

อินทัชชินแล้วล่ะที่จะต้องถูกอุ้ม ชินแล้วที่จะต้องเอาแขนตัวเองคล้องคออีกคนกันไม่ให้ตก แต่มีอย่างเดียวที่เขาไม่ชินคือสายตาตอนที่มันอุ้มเข้านี่แหละ

มองเหมือนกูเป็นเจ้าสาวของมึงไปได้...เหี้ยเอ้ย เขินชะมัด

“มองไร?” ถามกลบเกลื่อนความอายไปงั้นแหละ

“มองมึง...เมื่อไหร่จะได้จูบเสียที”

“ไอ้บ้า! คิดแต่เรื่องแบบนี้หรือไงวันๆ”

“มึงคิดว่ากูตายด้านเหรอ...อยู่กับมึงทุกวันแต่ทำอะไรไม่ได้ กอดก็ไม่ได้ จูบก็ไม่ได้ แม้แต่หอมแก้มมึงยังไม่ให้กูเลยอ่ะ กูป็นผู้ชายนะเว้ย มีความต้องการเหมือนกัน มึงจะสงเคราะห์ ทำบุญให้กูบ้างไม่ได้เหรอวะ?”

“อ้าว? คิดว่าตายด้านเสียอีก หึหึ...ไม่ได้เว้ย!! ไม่ให้ทำเด็ดขาด เข้าใจนะ?”

“ไม่เข้าใจ...กูจะทำ แล้วจะแอบทำด้วย อย่าเผลอก็แล้วกัน”

ถ้าจะแอบทำแล้วจะบอกกู ให้กูระแวงเพื่อ?

รามินทร์อุ้มอินทัชขึ้นไปข้างบนแล้วพาไปยังห้องๆ หนึ่ง พอเข้าไปก็พบว่ามันเป็นห้องทำงานเหมือนกับห้องทำงานที่บริษัทของเขาแต่มันเป็นกระจกด้านเดียว เห็นวิวทะเลอย่างชัดเจน ดวงตาสวยมองมันด้วยประกายแวววาว ดีใจและชอบใจที่สุด

ที่มันบอกว่าเขาจะชอบ...ก็ชอบจริงๆ ด้วย

“ชอบล่ะสิ นี่เป็นห้องทำงานของกูเองแต่กูจะยกให้มึงก็แล้วกัน หวังว่าจะทำให้มึงผ่อนคลายนะ กูเห็นมึงนั่งทำงานด้วยหน้าเครียดๆ ทุกวันเลย”

ความเอาใจใส่ของรามินทร์ทำให้ร่างโปร่งบางหวั่นไหวเอามากๆ หัวใจเต้นแรง มองคนตัวสูงกว่าด้วยสายตาที่เขาเองก็ไม่รู้ว่ามองอีกคนยังไง ส่วนร่างสูงก็พาเขาไปนั่งบนเก้าอี้ทำงานตัวใหญ่ของตน ที่มีงานของเขาอยู่เต็มโต๊ะของเจ้าของบ้านไปแล้วเรียบร้อย

“อืม...กูชอบ ขอบคุณนะ”

“คำขอบคุณนี่ขอดีพคิสแทนได้ป่ะ” ถึงจะถามแบบเล่นๆ แต่ก็อยากได้จริงๆ นะ ถ้าได้ก็จะดีใจมากๆ เลยล่ะ ทุกวันนี้เขาดูแลอินทัช ถามว่าเหนื่อยไหม ก็เหนื่อยแหละ แต่มีความสุขมากกว่า อินทัชมีความสุขที่อยู่กับอินทัช แม้จะโดนด่า โดนจิกใช้อยู่ตลอดเวลา แต่ก็มีความสุข

ได้ทำอะไรให้คนที่รักแบบนี้ รามินทร์มีความสุขที่สุดแล้ว

“ขอมากไปแล้วมึง”

“มากตรงไหนวะ ทำอย่างกับมึงไม่เคยจูบใครงั้นแหละ จะอายอะไร”

“เพราะมึงไง...มึงมันไม่น่าไว้ใจ”

“กลัวกูไม่จบที่จูบ? ไม่ต้องห่วง มึงก็ปฏิเสธกูดิวะ หรือว่ากลัวเคลิ้มจนปฏิเสธไม่ได้กัน แบบนั้นก็ดีนะเว้ย ดีสำหรับกูเลย หึหึ” ร่างสูงพูด ดวงตามคมมองร่างโปร่งอย่างจาบจ้วง เลียริมฝีปากของตัวเอง อินทัชหันหน้าหนีภาพนี้เพราะร่างแกร่งดูเซ็กซี่จนเกิดอาการวูบวาบเลย

อินทัชเป็นคนที่ไม่ค่อยมีความอดทนต่อการยั่วยวนเท่าไหร่นัก เพราะถ้าใครยั่วยวนหรือเสนอตัวมา เขาก็รับไว้แบบไม่มีข้อกังขา แต่ก็เลือกบ้างไม่ใช่ทุกคน

ยิ่งคนที่ตัวเองรักยั่วแบบนี้...ร้อยทั้งร้อยก็ยั่วขึ้นนั่นแหละ

“เป็นอะไร?”

รามินทร์ถาม ขมวดคิ้วแน่นอย่างสงสัยที่เห็นว่าอินทัชทำหน้านิ่งๆ แล้วหันหน้าหนีด้วย ไม่มองหน้า ไม่มองตาเขาก็ชักจะแปลกใจว่าไปทำอะไรให้โกรธหรือเปล่า

“เปล่า”

“แล้วหนีหน้ากูทำไม?”

“กูแค่กำลังรวบรวมสมาธิทำงาน”

“เหรอ...ทำไมกูรู้สึกว่ามึงกำลังหลบหน้ากูมากกว่ารวบรวมสมาธิวะ”

“ถ้าว่างมากนักก็ไปหาอะไรให้กูกินไป ไม่ต้องมายืนจับผิดกันแบบนี้” อินทัชเห็นว่าถ้าจะแย่เพราะตอนนี้ตัวเองก็ยังไม่กล้ามองหน้าของรามินทร์เลย กลัวว่าร่างสูงจะเห็นอะไรบางอย่างในแววตาของเขา

คนอย่างอินทัชถ้าหากว่าต้องการแล้วจะแสดงออกทางแววตาได้ชัดเจนมากๆ ไม่งั้นไม่หนุ่มๆ สาวๆ ไม่หลงใหลเขาหรอก เพราะสายนี้ของอินทัช ไม่ว่าใครเห็นก็ต้านไม่ไหวหรอก...

“กูไม่เคลียร์ว่ะ”

“โอ้ย!!! วุ่นวายจังวะ!”

“หิวเหรอ” รามินทร์ถามเสียงอ่อยที่เห็นร่างโปร่งหงุดหงิด “ไม่หงุดหงิดดิ เรามาพักผ่อนนะ”

“มึงก็อย่าทำให้กูหงุดหงิดดิ” ไหนๆ ก็เข้าใจว่าเขาหงุดหงิดไปแล้วก็เลยตามเลยก็แล้วกัน

“ขอโทษๆ เดี๋ยวจะไปหาอะไรมาให้กินนะ นั่งทำงานไป ถ้าต้องการอะไรก็โทรไป กูจะไปซื้อของข้างนอก” รามินทร์ยอมแล้ว เพราะไม่อยากให้คนที่ตัวเองรักโมโห

เดี๋ยวจะเสียบรรยากาศเปล่าๆ

“เอาคาปูเย็นมาให้ด้วยก็แล้วกัน”

“กาแฟอีกแล้ว”

“ถ้าไม่ให้กูกินกาแฟ จะให้กูกินอะไรไม่ทราบ” ถามร่างสูงกลับไป

“นม...หรือไม่ก็โกโก้”

“ไม่เอา! กูจะกินกาแฟ”

“โอเค กาแฟก็กาแฟ”

“รีบมาด้วยล่ะ กูอยากกินแล้ว”

“คร้าบ...” รามินทร์ออกไปจากห้องทำงานทันที ทิ้งให้ร่างโปร่งบางอยู่คนเดียวตามลำพังในบ้านหลังนี้ แม้ว่าเจ้าของบ้านจะไม่ค่อยมาอยู่เท่าไหร่ แต่ก็มีคนดูแลบ้านให้และทำความสะอาดตลอด ซึ่งจะพร้อมใช้ตลอดเวลา โดยไม่ต้องเสียเวลาสั่งล่วงหน้าเลย

“ถ้ามีไม้ช่วยพยุงก็ดีสิ” ร่างโปร่งพึมพำ มองไปยังวิวข้างหน้า โต๊ะทำงานหันหน้าเข้าหากระจกบานใหญ่ที่ทำให้สามารถมองเห็นวิวทะเลรอบๆ นี้ได้ ส่วนหลังก็หันให้ประตูแทน ไม่เหมือนกับที่ทำงานในบริษัท จะหันหลังให้วิวข้างนอก หันหน้าหาประตูห้อง

มันก็ให้ความรู้สึกผ่อนคลายไปอีกแบบ เพราะเขาทำงานไปด้วย เงยหน้ามองทะเลไปด้วย มันทำให้เขารู้สึกว่างานที่ทำอยู่มันง่ายขึ้นเยอะเลย

เพราะสมองของเขาผ่อนคลายสินะ...


Rrrrrr…

“เบอร์ใครวะ?” อินทัชพึมพำ แต่ก็กดรับสายเผื่อเป็นรามินทร์ เพราะเขาเองก็เคยเห็นว่าร่างสูงมีโทรศัพท์หลายเครื่องก็คิดว่าคงใช้เบอร์ที่ไม่ได้บันทึกให้เขาโทรมา

(สวัสดีหลานรัก...ไม่ได้คุยกันนาน สบายดีนะ)

ใบหน้าหวานเผยความเครียดออกมาอย่างชัดเจน หยุดงานทุกอย่างแล้วตั้งใจกับปลายสายที่โทรมา

“ผมสบายดีครับอา ตั้งแต่ที่อาทำให้ผมขาเดี้ยงเนี่ย ผมก็สบายสุดๆ ไปเลยล่ะครับ” ร่างโปร่งตอบกลับไปแบบประชดประชัน แต่ปลายสายกลับหัวเราะอย่างมีความสุข

ตั้งแต่วันที่รามินทร์มาจนวันนี้ก็ประมาณอาทิตย์กว่าได้ที่เทพากรไม่มีความเคลื่อนไหวเลย แต่ดันมาเคลื่อนไหวในวันที่เขาออกนอกสถานที่ แสดงว่าอินทัชถูกจับตามองใกล้ๆ ตลอดเวลาสินะ

(ฉันก็ดีใจที่แกสบายดีอยู่ เพราะนับจากวันนี้ไป...แกจะไม่ได้สบายดีอย่างนี้แล้ว)

“ทำไมครับ อาจะทำอะไร”

(บอกไปแกก็รับมือได้น่ะสิ แกมันพวกเก่งและฉลาดนี่ แล้วเรามาคอยดูกันว่าความต่างของอายุใครมันจะได้เปรียบเสียเปรียบ ฉันรู้จักโลกนี้มาก่อนแกตั้งนาน รู้หมดว่าเล่นสกปรกน่ะมันต้องทำยังไง ไอ้คนที่ทำงานแบบเด็กๆ อย่างแกน่ะ ไม่มีทางสู้ฉันได้หรอก)

“ครับ...ผมเล่นสกปรกไม่เป็น แต่ผมสามารถนำบริษัทพัฒนาไปได้ไกลกว่าอาก็แล้วกัน”

(ไอ้เด็กนี่...)

“อานี่ยังไม่สำนึกอีกนะครับ ว่าการที่ผมยกหนี้ให้ทั้งหมดโดยไม่ฟ้องร้องอาเนี่ย มันเป็นเพราะผมเห็นแก่หน้าของอา แต่อาก็ยังทำร้ายผม คิดว่าผมจะเป็นคนดีมากพอไม่เอาเรื่องกลับเหรอครับ”

(เฮอะ!! คิดว่ามีผู้ชายคู่ขาของแกอยู่ด้วยแล้วฉันจะทำอะไรไม่ได้ แกคิดผิดแล้วล่ะ)

ใจของอินทัชกระตุกวาบที่เทพากรู้ว่ารามินทร์อยู่กับเรา แสดงว่าตอนนี้ก็คงจับตาดูอยู่ใกล้ๆ

“อาคิดจะทำอะไร ถ้าจะเล่นสกปรกก็ทำที่ผมคนเดียว อย่ายุ่งกับคนที่เขาไม่รู้เรื่องด้วย” อินทัชร้อนใจจนเผยจุดอ่อนออกไป เรียกเสียงหัวเราะสะใจจากปลายสายได้ทันที

(ฮ่าๆ มันสำคัญกับแกจริงๆ สินะ โง่ชะมัดเลย นี่แหละฉันถึงได้บอกว่าแกมันอ่อนหัด)

ไอ้โง่อินเอ้ย!!!

ถึงได้บอกไงว่าถ้ามีความรักเมื่อไหร่ คนที่เคยเก่งกาจ ทำอะไรก็ชนะ สำเร็จไปซะทุกเรื่อง ก็สามารถอ่อนแอจนเผยให้เห็นจุดอ่อนของตนเองได้

“ผมขอร้อง”

(ทีฉันขอร้องแกล่ะ แกยังไม่เห็นใจฉันเลยไอ้อิน!!)

ทีใครทีมันสินะ...

“ถ้าอาทำอะไรมันแม้แต่นิดเดียวผมก็จะไม่เห็นแก่ความเป็นญาติของเราจริงๆ ด้วย” อินทัชพูดบอกไปด้วยน้ำเสียงจริงจัง ใบหน้าของเขาตอนนี้ถ้าใครได้เห็นคงจะต้องกลัวจนไม่กล้าเข้าใกล้แน่ๆ

อินทัชเป็นคนที่สุภาพ แต่ถ้าโกรธแล้วก็น่ากลัว เพราะความน่ากลัวของเขามันอยู่ลึกมาก ใครก็เดาไม่ได้ว่าอินทัชคิดอะไรอยู่ และเห็นอ่อนโยนแบบนี้ เขาก็เลือดเย็นเป็นเหมือนกัน

(ฉันก็ไม่เคยเห็นแกเป็นญาติมาตั้งแรกแล้วไอ้อิน!! แกเป็นศัตรูของฉันตั้งแต่แกเกิดมาแล้ว!!!)

อินทัชไม่ได้นึกเสียใจหรอกที่ได้ยินประโยคแบบนี้ออกมาจากปากของผู้เป็นอา เพราะเขาก็รู้มาตลอดว่าอาไม่ชอบขี้หน้าของเขาเท่าไหร่ ตั้งแต่จำความได้ก็ไม่ค่อยได้คุยกับผู้เป็นอาเท่าไหร่ แม้ว่าจะทำงานอยู่ในบริษัทก็ตามเขาก็ไม่คิดที่จะพูดคุยกับอามากไปกว่าถามเรื่องงานเพียงเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น

“ถ้าอย่างนั้นก็ดีครับ...ผมจะได้ไม่เกรงใจ”

(ทำให้ได้อย่างที่ปากว่าก็แล้วกัน อ้อ!! ฉันมอบของขวัญเป็นการเปิดศึกของเรานะหลานรัก...หวังว่าแกจะชอบของขวัญที่ฉันมอบให้ อ้อ!! ฉันดูแกอยู่ใกล้ๆ นี่แหละ แล้วไม่ต้องมองหา แกไม่มีทางรู้...บอกใบ้ให้นิดๆ ก็ได้ว่าของขวัญคืออะไร คนที่แกรัก...ฮ่าๆ) ปลายสายพูดจบก็วางสายไปทันที ทิ้งให้เขามองโทรศัพท์ด้วยความเครียดและกังวล เห็นทีว่าเรื่องนี้จะใหญ่กว่าที่คิด

“คนที่รักงั้นเหรอ? หมายถึงใครวะ” ร่างโปร่งพยายามคิดว่าของขวัญที่ฝากเอาไว้กับคนที่เขารักมันคืออะไร แล้วคือใคร...

พ่อ...แม่...พี่แอน...ไอ้ธีร์...

“ไอ้ราม...”





มีต่อ
.......
.....
...
.


ออฟไลน์ SawachiYuki

  • แค่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 461
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +261/-38
    • Fanpage
.............
........
...
.


“ไอ้ราม...” อินทัชพึมพำออกมาแล้วเปิดโทรศัพท์หาเบอร์ของรามินทร์ที่ถูกเจ้าของเบอร์แอบบันทึกเอาไว้ด้วยความร้อนใจ...เมื่อเจอแล้วเขาก็กดโทรออกทันที ไม่ได้สนใจเลยว่ามันจะบันทึกไว้ในชื่ออะไร เพราะความเป็นห่วงของเขามันมีมากกว่าที่จะมาสนใจเรื่องเล็กๆ น้อย

‘ที่รักของอิน’

“รับสายกูสิไอ้ราม รับสิ...”

เขาโทรออกจนสายตัดไปห้ารอบร่างสูงก็ไม่ยอมรับสาย จนอินทัชกังวลจนแทบบ้า ลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วพยายามเดินอย่างช้าๆ ไม่ให้ขาที่แพลงต้องรับน้ำหนักมากๆ แต่เมื่อถึงประตูห้อง มันก็ถูกเปิดออกก่อนที่อินทัชจะเป็นคนเปิด ปรากฏให้เห็นรามินทร์อยู่ตรงหน้าของเขาพอดี

“ลุกมาทำไม?” ถามเสียงดุๆ ตวัดกายบางขึ้นอุ้มแล้วพาเดินลงไปข้างล่าง

อินทัชตกใจแต่ก็โล่งใจเพราะรามินทร์ยังอุ้มเขาได้แบบนี้แสดงว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น...ตาสวยมองสำรวจที่ใบหน้าของรามินทร์ที่ดูนิ่งๆ เหงื่อเกาะเต็มใบหน้าราวกับไปวิ่งมา...หากแต่ก็ไม่มีรอยแผลอะไรเลย

“เฮ้อ...”

“ถอนหายใจ เป็นอะไร แล้วเมื่อกี้มึงลุกทำไม ไม่อยากหายเหรอ” น้อยครั้งมากที่รามินทร์จะกล้าดุอินทัชแบบนี้ แต่คราวนี้รามินทร์ไม่พอใจจริงๆ เพราะอินทัชทำอะไรไม่นึกถึงขาของตัวเองเลย ถ้าเจ็บกว่านี้จะทำยังไง...

“เปล่า...กูโทรหามึงตั้งห้าครั้งแต่มึงไม่รับสายกูเลย กูก็แค่อยากจะลงไปข้างล่าง”

“กูเอาอีกเครื่องไป เครื่องที่บันทึกไว้ให้มึงกูลืมไว้ในกระเป๋าน่ะ”

“อ๋อ...ราม” ร่างโปร่งครางเข้าใจ ก่อนจะเรียกร่างสูงเบาๆ

“ว่าไงหืม”

“ไม่มีอะไรเกิดขึ้นใช่ไหม” สิ้นคำถามนี้ร่างสูงชะงักเล็กน้อยก่อนจะเดินลงบันไดต่อไป เพียงเท่านี้อินทัชก็รู้แล้วว่ารามินทร์ต้องเจออะไรมาแน่ๆแต่ไม่ยอมบอกเขา

“ไม่มีอะไรนี่”

“แล้วทำไมเหงื่อเต็มหน้า มึงไม่มีรถขับหรือไง” ร่างโปร่งคาดคั้น หากแต่ร่างสูงก็ไม่ตอบ กระทั่งวางเขาลงบนเก้าอี้ตรงโต๊ะรับประทานอาหารนั่นแหละ เขาถึงได้ตอบอินทัชให้หายสงสัย

“กูแค่รีบมาเพราะมึงดูเหมือนจะหิว”

เป็นคำตอบที่คิดมาแล้วสินะ...อินทัชรู้ว่านี่ไม่ใช่คำตอบที่แท้จริงของร่างสูง แต่ก็เงียบเอาไว้ก่อน เขาใช้สายตาสำรวจความผิดปกติเองเอาก็ได้...

ร่างสูงกว่าก็จัดการตักข้าวให้กับเขา ยื่นคาปูชิโน่เย็นมาให้กับอินทัชแล้วยิ้มออกมาเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งๆ ที่มันดูเหมือนมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นแท้ๆ

รามินทร์มันโกหกไม่เก่ง ไม่มีใครบอกมันหรือไงกัน...

“กินได้เลย อาหารของร้านนี้อร่อยมากนะ กูแนะนำเลย แล้วถ้ามึงชอบ ตอนเย็นเราไปนั่งกินที่ร้านกัน บรรยากาศดีอย่างนี้เลย” ร่างสูงบอกกับคนตรงหน้า สีหน้าเป็นเหมือนปกติแล้ว แต่ก็กลบสายตาที่มีแต่ความกังวลนั่นไม่ได้

“แล้วแต่มึง”

“กินเยอะๆ นะ”

“อื้อ”

ทั้งสองลงมือรับประทานอาหารกลางวัน โดยที่มีรามินทร์คอยตักนั่นตักนี่ให้เหมือนเดิม ใบหน้าหล่อเต็มไปด้วยรอยยิ้มมีความสุข ดูแลร่างบางอย่างไม่ขาดตกบกพร่องอย่างเดิม...

หรือว่าอาเทพจะไม่ได้ทำอะไร แค่พูดให้เราพะวงไปงั้นๆ

ไม่สิ! ท่าทางตอนแรกของรามมันบอกว่ามีชัดๆ


ทานข้าวเสร็จก็กลับมาที่ห้องทำงานอีกครั้ง ร่างแกร่งทำท่าจะผละออกมาหากแต่เจ้าของใบหน้าสวยกลับสั่งให้หยุดอยู่กับที่ กลายเป็นว่าตอนนี้รามินทร์กำลังยืนค้ำหัวของอินทัชอยู่อินทัชที่นั่งเก้าอี้อยู่เอื้อมมือไปเปิดเสื้อของอีกคนทันที แต่รามินทร์กลับเร็วกว่าคว้าข้อมือขาวเอาไว้

หมับ!

“ทำอะไรวะอิน”

“ปล่อย...กูจะดู”

“ดูอะไร มึงนี่ลามกเนอะ อยากจะดูก็บอกดีๆ กูก็เปิดให้มึงดูแล้วน่า” ร่างสูงแซวอย่างอารมณ์ดี

“ปล่อย...” แต่อินทัชไม่ได้สนุกด้วย เขาสั่งเสียงเข้ม แบบที่รามินทร์จำเป็นต้องยอมปล่อย ให้คนสวยดูหน้าท้องใต้ร่มผ้าของตน

“ไหนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วรอยช้ำที่ท้องหมายความว่ายังไง มึงโดนซ้อม...แต่มึงก็ปิดกู นี่เหรอคือคนที่บอกว่ารักกู อยากอยู่กับกู แค่เรื่องนี้มึงยังไม่บอกกูเลย แล้วถ้าเราคบกันไป มึงจะไม่โกหกกูหนักกว่านี้เหรอวะราม” อินทัชเอ่ยเสียงราบเรียบ เงยหน้าสบตากับคนที่ยืนอยู่ด้วยความรู้สึกน้อยใจและผิดหวัง

ผิดหวังที่มันโกหกเขา...

“ไม่ใช่อย่างนั้นนะอิน กูขอโทษ...อย่าโกรธกูเลยนะ” รามินทร์ที่รู้ตัวว่าผิดก็ทรุดนั่งคุกเข่าที่พื้น คว้ามือขาวมากุมเอาไว้แล้วยกมันขึ้นจูบเบาๆ ที่หลังมืออย่างง้องอน

อินทัชใจอ่อน...เม้มปากแน่น

“กูไม่อยากให้มึงกังวลหรือเครียด เพราะทุกวันนี้มึงก็เครียดมากอยู่แล้ว”

“แต่ที่มึงเจ็บตัวมันเป็นเพราะกู ไม่ได้การแล้ว มึงกลับเพชรบูรณ์ไปเลยนะราม ไม่ต้องมาอยู่ใกล้กูแล้ว เดี๋ยวกูจะให้คนมาดูแลแทน มึงอยู่แล้วจะได้รับอันตรายไปด้วย”

อินทัชไล่ร่างสูงด้วยความเป็นห่วง แต่คนตัวสูงกว่าสติหลุดไปตั้งแต่โดนไล่แล้ว ประโยคหลังๆ ก็เลยไม่เข้าหัว เขาสบตากับดวงตาอย่างก้าวร้าว

“ไม่ไป กูจะอยู่กับมึง...อินอย่าไล่กูนะ กูขอโทษที่โกหก กูขอโทษ จะไม่ทำอีกแล้วนะ แต่อย่าไล่กูนะ กูขอร้อง กูรักมึง อิน...กูรักมึง” ร่างสูงเอ่ยร้อง คว้ามือของเขาเข้าไปจับเอาไว้แน่น ทั้งเขย่า ทั้งจูบ จนร่างโปร่งนิ่งไปอย่างตกใจ

“เดี๋ยวราม...มึง ฟังที่กูพูดจบหรือเปล่า?” ทำไมถึงได้สติแตกไปขนาดนี้วะ

“ไม่...อย่าไล่กูนะ กูอยากอยู่กับมึง ให้กูอยู่กับมึงนะอิน นะครับ อย่าไล่กันเลยนะ”

อินทัชพอจะเข้าใจแล้ว...รามินทร์ได้ยินแค่ช่วงแรกแน่ๆ ส่วนหลังๆ ที่เขาพูดมันคงไม่ได้ฟังเพราะสมาธิหลุดไปแล้ว แบบนี้มันทำให้เขารู้ว่ารามินทร์อ่อนไหวได้ง่ายกับเรื่องของเขามากขนาดไหน

แล้วดูตอนนี้สิมันไม่พร้อมที่จะฟังอะไรทั้งนั้นแหละ...เฮ้อ!

“ราม...โอเคๆ ไม่ไล่ ไม่ต้องไปไหนแล้ว อยู่ด้วยกันเนี่ยแหละ ลุกขึ้นๆ”

“จริงๆ นะ มึงไม่ไล่กูแล้วนะ”

“อือ...แต่ถ้ามึงยังโกหกกูอีก ก็ไม่ต้องมาเจอกันอีก โอเคนะ”

“ไม่โกหกแล้ว จะไม่โกหกแล้ว ขอบคุณนะ ขอบคุณ”

จุ๊บ!

ขอบคุณก็จูบมือ ขอโทษก็จูบ ขอร้องก็จูบ...

“ลุกขึ้นเถอะ แล้วเจ็บมากไหมที่ท้องน่ะ มันช้ำมากเลย มึงไปหาหมอเถอะ หรือไปเอาน้ำแข็งมาประคบ หายามาทาเอา” อินทัชสั่ง สีหน้าดูเป็นห่วงรามินทร์มากและก็รู้สึกผิดด้วยที่เป็นต้นเหตุทำให้รามินทร์ต้องเจ็บตัว

“กูจะไปเอายามา แต่มึงทาให้ได้ไหม” รามินทร์เงยหน้าถามทั้งขอร้องและอ้อนวอนอยู่ในที จนอินทัชใจอ่อนแล้วก็อ่อนใจด้วย

เหมือนเด็ก...ไอ้รามตอนที่กำลังกลัวเหมือนเด็กมากๆ

นี่มันรักเราขนาดไหนกันนะ ถึงได้แสดงท่าทางแบบนี้ได้

“อืม...” พยักหน้ารับนิดๆ แต่คนที่เจ็บตัวก็ยิ้มกว้างอย่างดีใจก่อนจะลุกขึ้น แต่ลุกรวดเร็วไปหน่อยเลยเซไปข้างหลังนิดๆ มือกุมท้องเพราะสะเทือน แต่ก็ยังยิ้มหวานให้กับอินทัชแล้วรีบออกจากห้องไปทันที

ส่วนอินทัชก็หันไปหยิบโทรศัพท์ตัวเองก่อนจะโทรออกไปเบอร์ของเทพากรทันที

“ผมปลื้มกับของขวัญมากครับ ขอบคุณที่ฝากมานะครับ แต่คราวหลังไม่ต้อง ผมไม่ต้องการ เอาไว้แจกให้กับคนของคุณอาเถอะ อ้อ! เอาไว้มีโอกาสเหมาะๆ เมื่อไหร่ ผมจะส่ง ‘ของขวัญ’ กลับไปคืนให้นะครับ”

(ฮ่าๆ เอาสิ อาจะรอนะหลานรัก หึหึ นี่แค่ทักทายนะ อาจจะมีคอมโบเซ็ทไปให้)

“ผมไม่อยากได้หรอกครับ เอาไว้ให้ตัวเองเถอะ”

(ทำไม เจ็บใจเหรอ ที่ฉันทำให้คนที่แกรักเจ็บตัวน่ะ)

“อาทำได้แค่นี้เหรอครับ จริงๆ แล้วไอ้รามมันถึกจะตายไป แค่นี้มันไม่เจ็บอะไรหรอก แล้วผมก็ไม่ได้รู้สึกอะไรเท่าไหร่ด้วย แต่คงไม่มีคราวหน้า!” อินทัชบอกกลับไป น้ำเสียงเดียวกับที่ไล่เทพากรออกวันนั้นไม่มีผิด

มันเย็นยะเยือกที่ขนาดคนที่เดินเข้ามาอย่างรามินทร์แอบกลืนน้ำลาย แต่ก็ใจเต้นดีใจที่อินทัชปกป้องเขา ตอนที่รามินทร์กำลังโดนดักทำร้ายก็คิดว่าเป็นพวกนักเลงแถวนี้ แต่ว่ามันก็ไม่ได้เอาเงิน หรือของมีค่าของเขาไปเลย ก็เริ่มแปลกใจว่าตัวเองไปทำให้ใครเขาแค้นหรือเปล่า แต่ก็รีบวิ่งหนีกลัวพวกมันจะกลับมาซ้อมอีก

พอกลับมาถึงบ้านก็ต้องทำตัวเป็นปกติทั้งๆ ที่เจ็บท้องจะตายห่า มาได้ยินว่าอินทัชไล่กลับอีก กลัวจนเขาจะเป็นบ้าไปเลย...สติสตังไม่อยู่กับเนื้อกับตัว  ทำทุกอย่างเพื่อให้อยู่ข้างๆ กับอินทัช

“คิดจะทำอะไรคนที่ผมรักไม่ว่าจะพ่อ แม่ พี่แอน รับรองได้ว่าอาได้ลงข่าวหน้าหนึ่งแน่ๆ สารพัดเลยล่ะครับที่สังคมเขาจะครหาอา ที่แน่ๆ คือความชั่ว ที่ทำกับพี่ชาย พี่สะใภ้ แล้วก็หลานแท้ๆ ของตัวเอง”

(แกนี่ปากจัดดีนะ แต่เอาเถอะ ปล่อยให้แกดีแต่ปากไป)

“อาก็คอยดูแล้วกันครับ ว่าอินทัชคนนี้...มีดีแต่ปากหรือเปล่า”

ร่างสูงโปร่งวางสายไปแล้วหมุนเก้าอี้กลับมาเผื่อว่ารามินทร์จะมาแล้ว พอหันมาก็สะดุ้ง ผงะไปด้านหลังที่เห้นว่าร่างสูงยืนยิ้มกรุ้มกริ่มส่งมาให้ตัวเอง

“มองอะไร ยิ้มทำไม เข้ามาตอนไหน”

“ทีละคำถามได้ไหม ตอบไม่ทัน”

มึงแพ้แล้วอิน แพ้อะไรกูก็ไม่รู้เหมือนกัน หรือแพ้ใจตัวเองนี่แหละ

“ไม่อยากรู้แล้ว เอายามา รีบทาจะได้ไปพักซะ”

“ครับผม”

ร่างแกร่งเดินเอายามาให้อินทัช มือขาวหยิบมาเปิดบีบยาใส่นิ้วแล้วเปิดเสื้อยืดของรามินทร์ขึ้น แล้วสั่งให้ร่างสูงกว่าจับมันไว้ รามินทร์ก็ทำตามที่สั่งอย่างว่าง่าย

“หุ่นกูดีมะ”

“งั้นๆ”

“หึหึ จริงๆ ก็แอบหวั่นไหวล่ะสิ”

ทำมาเป็นรู้ดี...แค่ทายาตอนนี้มือกูก็สั่นจะตายห่าอยู่แล้ว คนบ้าอะไรมีกล้ามหน้าท้องเป็นลอนเลย ทำไมกูไม่มีแบบนี้บ้างวะ เห็นทีว่าจะต้องเข้าฟิตเนสบ้างแล้วล่ะมั้ง

ปลายนิ้วแต้มยาแล้วลูบไปทั่วๆ รอยช้ำวงใหญ่จนน่ากลัวเบาๆ 

“เสร็จแล้ว...”

“ขอบคุณมากนะครับ”

“ไม่ต้องมาพูดเพราะ”

“หวั่นไหวล่ะสิ กูรู้ว่ามึงจะใจอ่อนก็ต่อเมื่อกูพูดเพราะๆ”

“ใครๆ ก็ชอบคนพูดเพราะๆ ทั้งนั้นแหละ หรือว่ามึงไม่ชอบ?” อินทัชถามกลับไป รามินทร์ใช้สะโพกหนาของตนพิงกับโต๊ะทำงาน ก้มหน้ามองอินทัชที่เลื่อนเก้าอี้ถอยให้ห่างจากรามินทร์ออกไป

“กูชอบ...”

“นั่นไง”

“ชอบทุกอย่างที่เป็นมึง รักทุกอย่างที่มึงเป็น”

“จะอ้วกว่ะ ไปนอนพักไป กูจะทำงานต่อ”

“ก่อนไปนอนกูขอถามหน่อยนะว่ามึงจะเอาไงต่อกับอาของมึง” รามินทร์ถามอย่างจริงจัง ส่วนอินทัชก็กอดอกสบตากับคนตัวใหญ่ แววตาราบเรียบ เอาจริงเอาจังจนร่างสูงคิดว่ามันน่าหลงใหล

“เดี๋ยวมึงก็รู้เองแหละ”

“ให้กูช่วยอะไรไหม”

“ไม่เป็นไร เรื่องภายในครอบครัว กูจัดการได้” แม้จะเป็นการปฏิเสธแบบทันทีและไม่รักษาน้ำใจ แต่รามินทร์ก็ไม่ได้เสียความรู้สึกเพราะเข้าใจว่ามันเป็นเรื่องในครอบครัว ถ้าหากว่าเขาเป็นอินทัช เขาก็คงจะทำแบบเดียวกัน...

รามินทร์ทำได้แค่อยู่ข้างๆ และเป็นกำลังใจให้เท่านั้น






100%

 :katai4: :katai4: :katai4: :katai4:

รามเป็นคนหลงเมียเข้าขั้นรุนแรงมากกกกก อ่านแล้วเม้นท์ให้ด้วยเด้อ

มีอะไรพูดคุยกันได้ที่แฟนเพจนะคะ https://www.facebook.com/sawachiyuki/

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ little_munoi

  • ++ singular ++
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-3
ทั้งรัก ทั้งหลง รามเอ๊ยย
ลูกไก่ในกำมืออินมากๆ
อยากเห็นอินร้าย!!!

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
อิน สู้ๆ นะ มีรามอยู่ข้างๆ ไม่ต้องกลัวอะไรแล้ว
ส่วนอีตาคุณอานะเหรอ  :beat: :beat: :beat:

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19
 :เฮ้อ:


เหนื่อยยยยยยยยยยยแทนนนนนน

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
อาของอินคนนี้ ท่าทางจะเลวสุด ๆ ไปเลย ทำไมคนแก่ไม่อยากให้หลานอินกับหลานรามไปยุ่งด้วย แต่อยากให้หลานธีร์ช่วยไปยุ่งแทน  :m26:

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3709
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2685
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
รามอาการหนักนะ ฟังอย่างอื่นบ้างเหอะ แต่ก็ได้ใจอิน

อินทัชน่าสงสารนะ คนในครอบครัวแท้ๆ ยังทำกันได้ลง

รามโดนจัดไปเต็มๆ แต่ก็ดี ทำให้รู้ว่าห่วงกัน

จักรจอมมีโอกาสแล้ว คืบหน้ามากค่ะ ยี่สิบล้านไม่ยากแล้ว

ออฟไลน์ kobyp_lu

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 193
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
รามอาการหนักไปปะ  เฮ้อเข้าใจนะ  ต้องง้ออิน ทำไมอาของอินเป็นแบบนี้ ไม่สำนึกเลยสินะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ little_munoi

  • ++ singular ++
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-3

ออฟไลน์ little_munoi

  • ++ singular ++
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-3
ยูกิ เราคิดถึง...

ออฟไลน์ SawachiYuki

  • แค่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 461
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +261/-38
    • Fanpage
Heartless แค้นนี้...มิอาจห้ามรัก
ตอนที่ 57
รักเปิดเผย





เขาค้อ, เพชรบูรณ์

ขรรค์ลุกขึ้นจากเตียงกว้างที่ว่างเปล่าไร้คนนอนข้างกายเนื่องจากคนรักอยู่เวรดึกจนตอนนี้เจ็ดโมงเช้าก็ยังไม่ออกเวร ร่างแกร่งเลยตื่นขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวเพื่อจะรับคนรัก มันเป็นแบบนี้ตั้งแต่กลับมาจากกรุงเทพแล้วที่เวรของหิรัญถูกเปลี่ยนใหม่ มันเป็นเหตุมาจากเขานั่นแหละ ที่ขรรค์โดนยิงแล้วหิรัญก็ลากะทันหันไปอาทิตย์กว่า ก็เลยทำหิรัญถูกเปลี่ยนเวรให้เข้าดึกแทน

ทั้งขรรค์และหิรัญก็มีความเป็นผู้ใหญ่มากพอที่จะยอมรับในข้อนี้ได้ แม้ว่าจะไม่ได้นอนด้วยกันในตอนกลางคืนก็ตามที เวลาอยู่ด้วยกันก็น้อยลงเพราะขรรค์นอนตอนกลางคืน หิรัญนอนตอนกลางวัน มีเวลาอยู่ด้วยกันแค่ไม่กี่ชั่วโมงต่อวันเท่านั้น

“มารับหมอเงินเหรอคะ” พยาบาลคนหนึ่งเดินเข้ามาถามเมื่อเห็นว่าร่างสูงใหญ่มานั่งรอหิรัญอย่างเช่นทุกวัน ซึ่งมันเป็นภาพที่หมอ พยาบาล คนไข้ และพนักงานทุกคนเห็นจนชินตาไปแล้ว

“ใช่ครับ”

“แหม...น่ารักจังเลยนะคะ รู้ไหมคะว่าฉันเป็นแฟนคลับของพวกคุณเลยนะคะ นี่กว่าจะกล้าเข้ามาคุยด้วยก็ทำใจมาตั้งนานแหนะค่ะ อยากถ่ายรูปพวกคุณเอาไว้ด้วย ได้ไหมคะ” เธอถาม ลักษณะเหมือจะเป็นพยาบาลใหม่เพราะขรรค์ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนเลย

“ได้ครับ แต่ต้องรอให้เงินออกมาก่อนนะครับ”

“ขอบคุณนะคะ”

รอไม่นานหิรัญก็เดินตรงมายังตรงจุดที่ขรรค์กับพยาบาลคนนั้นนั่งอยู่ ตอนแรกก็ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย แต่เมื่อเห็นพยาบาลคนนั้นชัดๆ ก็ร้องอ๋อเบาๆ

น้องพยาบาลใหม่ที่เคยขอถ่ายรูปเขากับขรรค์แต่ว่ายังไม่มีโอกาสเสียที

“มาทำงานแต่เช้าเลยนะเรา”

“หมอเงิน...อรุณสวัสดิ์ค่ะ”

“อรุณสวัสดิ์ครับ”

“มารอถ่ายรูปค่ะ” เธอบอกพลางทำหน้ามีความสุข มองร่างสูงใหญ่กับร่างโปร่งยืนด้วยกันแล้วหน้าแดง ทั้งเขินทั้งชอบ จนทำหน้าไม่ถูกแล้ว

อย่าว่าแต่พยาบาลสาวเลยที่ทำตัวไม่ถูก เพราะขรรค์กับหิรัญก็วางตัวไม่ถูกเหมือนกันที่จู่ๆ ก็ต้องมายืนให้คนอื่นถ่ายรูปแบบนี้

“งั้นก็ถ่ายกันเถอะ ว่าแต่ต้องโพสท่าอะไรเนี่ย” หิรัญถามพยาบาลคนนั้นออกไป รู้สึกเขินๆ ยังไงก็ไม่รู้

“โพสยังไงก็ได้ค่ะ”

“เอาเป็นว่ายืนอยู่เฉยๆ นะขรรค์แล้วยิ้มให้กล้องด้วยนะ” หันไปบอกคนรัก ซึ่งก็ได้รับพยักหน้าเป็นคำตอบกลับมา

พวกเขายืนตัวตรงมองที่เลนกล้องของโทรศัพท์ขรรค์กับหิรัญยิ้มบางๆ ให้ แอบเห็นสีหน้าฟินๆ ของเธอด้วย ไม่คิดเลยว่าความรักของพวกเขาจะได้รับการยอมรับที่ดีเกินคาดแบบนี้ แต่มันก็ดีกว่ามีคนมาคอยห้ามหรือแอนตี้ล่ะนะ

“ขอบคุณนะคะ”

“ยินดีครับ”

“พลอยลงเฟซได้ไหมคะหมอเงิน”

“ตามสบายเลยครับ แต่อย่าทำให้เราเสียหายก็พอ” หิรัญตอบ

“ได้ค่า ยังไงขอตัวไปทำงานก่อนนะคะ ขอบคุณที่ให้ถ่ายรูปค่า”

“ครับ”



“วันนี้กินอะไรดีคะหนุ่มๆ” ป้าเจ้าของร้านอาหารตามสั่งที่เปิดตั้งแต่เช้าถามชายหนุ่มทั้งสองคนด้วยความเคยชิน และสนิทสนมกันดีเพราะขรรค์กับหิรัญจะมาทานข้าวที่นี่บ่อยๆ หากไม่อยากทำกินเองที่บ้าน เพราะอยู่ใกล้ สะดวก เป็นทางผ่านตอนกลับบ้านอีกด้วย

“วันนี้ผมขอเหมือนเดิมแล้วกันนะครับ”

“ท่าทางจะหิวมากๆ เลยนะคะหมอเงิน”

“สุดๆ เลยครับ เพราะงั้นช่วยทำให้ผมเยอะๆ หน่อยนะครับ”

“สำหรับคุณหมอสุดหล่อ ป้าจัดให้เต็มที่ค่า แล้วคุณล่ะคะเอาเหมือนเดิมหรือเปล่า” ป้าเจ้าของร้านหันมาถามร่างสูงที่ยืนอยู่ข้างๆ

“เอาแบบเดิมก็ได้ครับ” ขรรค์ไม่เรื่องมาก เลือกทานอะไรเดิมๆ เหมือนกับคนรักที่สั่งแบบเดิมกิน พวกเขาสองคนสั่งอาหารเสร็จแล้วก็เดินไปนั่งที่โต๊ะ

“เป็นไงเงิน เหนื่อยไหม ง่วงหรือเปล่า”

“ถามทุกวันเลยนะ”

“ก็เป็นห่วง”

“รู้แล้วครับ...ตอนนี้เงินทนได้ เดี๋ยวไปถึงบ้านจะอาบน้ำแล้วทิ้งตัวนอนเลย เหนื่อยมาก ง่วงสุดๆ รู้ไหมเมื่อคืนมีอุบัติเหตุด้วยล่ะ คนเจ็บเยอะมาก แล้วก็มีคนที่มาตายที่โรงพยาบาลด้วย ทุกคนทั้งหมอทั้งพยาบาลวิ่งวุ่นกันไปหมดเลย เมื่อยมากๆ”

อยู่เวรกลางคืนนี่ไม่ได้สบายเลยนะ...

“บ่นเหรอ?”

“เปล่า...แค่เล่าบอกเฉยๆ”

“หึหึ...เดี๋ยวขรรค์กลับไปนวดให้ก็แล้วกัน” ร่างสูงบอก

“จริงนะ!!”

คนตัวใหญ่ส่ายหน้าอย่างระอาเพราะเสียรู้ให้กับคนรักอีกแล้ว ชอบทำเป็นน่าสงสารให้เขาต้องยอมอยู่เรื่อย แต่ขรรค์ก็เต็มใจที่จะทำมันล่ะนะ ชดเชยกับเวลาที่ผ่านมา

“อื้อ...ขรรค์จะนวดให้แล้วค่อยออกไปทำงานก็ได้”

“จริงสินะ ขรรค์ต้องไปทำงานนี่นาเพราะคุณรามน้องจอมก็อยู่กรุงเทพกันทั้งคู่เลย งั้นไม่เป็นไรก็ได้นะขรรค์เอาไว้ช่วงเย็นๆ ที่ขรรค์เลิกงานแล้วดีกว่า”

“ตามใจเงินก็แล้วกัน”

“ขรรค์น่ารักที่สุดเลย”

“น่ารักอะไรกันเงิน ไม่พูดแบบนี้ได้ไหม มันไม่เข้าเลย” ร่างสูงขอร้อง

ลองคิดภาพสิว่า ‘น่ารัก’ มันเหมาะกับเขาแล้วจริงๆ งั้นหรือ ทั้งตัวก็ใหญ่ สูงเกือบสองเมตร ผิวออกคล้ำๆ หน้าตานิ่งๆ ถ้าจะให้น่ารักก็คงจะน่ารักกับร่างโปร่งบางคนเดียวเท่านั้นแหละ

“ฮ่าๆ ทีอยู่บ้านขรรค์ไม่เห็นจะว่าอะไรเลย”

“ก็นั่นมันอยู่บ้าน เรารู้กันสองคน แต่นี่มันข้างนอกนะเงิน...”

“ทำไมต้องจริงจังด้วยล่า ล้อเล่นนิดๆ หน่อยๆ เอง”

“งอนเหรอ?” ร่างสูงถามเมื่อเห็นว่าใบหน้าของคนรักเง้างอบ่งบอกว่าไม่พอใจในสิ่งที่เขาดุไป แต่ก็ไม่ได้งอนหนักมากเพราะอยู่ในระดับที่รับได้ แต่อีกผลหนึ่งก็คือร่างโปร่งวางตัวเป็นด้วยแหละ ด้วยหน้าที่การงานจะมางอนคนรักต่อหน้าสาธารณะได้ยังไงกัน เขาทำเขาก็รักษาระดับเอาไว้อยู่นะว่าทำข้างนอกแล้วไม่น่าเกลียด

“เปล่า...ไม่ได้งอน”

“นี่แหละคืองอน”

“ขรรค์มั่วแล้ว...เงินจะไปงอนขรรค์ทำไม?”

ยังทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้อยู่อีก แต่จะให้ง้องอนคนรักตรงนี้ก็แปลกๆ เพราะไม่ได้มีเพียงแค่เขาสองคนที่นั่งอยู่ในร้าน ยังมีลูกค้าอีกหลายโต๊ะเลยที่พร้อมจะยุ่งเรื่องของพวกเขาน่ะ

“เอาไว้ง้อที่บ้านนะ”

“ชิ! ก็บอกว่าไม่ได้งอนไง” ร่างโปร่งเถียงกลับมา ตาสีหน้าก็ยังเหวี่ยงๆ เหมือนเดิม จนกระทั่งป้าเจ้าของร้านเอาอาหารมาเสิร์ฟนั่นแหละ ถึงสงบศึกของทั้งคู่ลงได้

“ได้แล้วหนุ่มๆ นี่ทะเลาะอะไรกันจ้ะ เป็นเด็กๆ เชียว”

“ไม่มีอะไรหรอกครับป้า” ขรรค์ตอบ

“ยังไงก็อย่าทะเลาะกันรุนแรงนะลูก ชีวิตคู่ต้องประคับประคองกันไป อะไรที่เข้ากันไม่ได้ ก็อย่าดื้อดึงนะลูก ให้เข้าหากันคนละครึ่งทางนะลูก แล้วทุกอย่างมันจะเดินไปได้สวย เชื่อป้าๆ เอ้า! กินให้อร่อยนะหนุ่มๆ” พูดจบป้าแกก็เดินกลับไปทำออเดอร์อื่นๆ ของลูกค้าต่อไป

ปล่อยให้ขรรค์กับหิรัญมองหน้ากันแล้วหัวเราะออกมาเบาๆ

โถ่ป้า...ป้ายังเลิกกับสามีเลยครับ

ขรรค์พาคนรักกลับบ้านหลังจากทานข้าวเช้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว เมื่อรถมาจอดที่หน้าบ้าน หิรัญก็เปิดประตูลงไปอย่างเพลียๆ แต่ขรรค์ก็ทำให้ได้เปิดประตูแล้วยืนลาคนรักอยู่ตรงนั้น เพราะจะต้องรีบไปทำงานที่รีสอร์ทต่อ

“หลับฝันดีนะเงิน เดี๋ยวตอนเย็นขรรค์จะรีบกลับมา อยากกินอะไรเป็นพิเศษไหม เดี๋ยวขรรค์จะซื้อกลับมาให้”

“เอาอะไรมาก็ได้ เงินไม่อยากกินอะไรเป็นพิเศษหรอก”

“โอเคครับ เข้าบ้านไปอาบน้ำนอนเถอะ พักผ่อนเยอะๆ นะเงิน”

“ขรรค์ตั้งใจทำงานล่ะ อย่าอู้นะ”

“ครับ...”

เป็นเพียงบทสนทนาสั้นๆ เหมือนทุกวันก่อนจะแยกย้ายกันไปทำงาน ไปนอนพัก

ตั้งแต่ได้รับการยอมรับจากแม่ของหิรัญ ขรรค์กับหิรัญก็กลับมาบ้านสวนที่เพชรบูรณ์ ขรรค์พักได้สามวันก็เริ่มทำงาน ส่วนหิรัญก็ทำงานตั้งแต่วันที่สองที่มาถึงเลย ชีวิตของทั้งคู่มันทั้งเรียบง่าย ไม่มีปัญหาอะไรเลย เพราะขรรค์มักจะเงียบๆ ฟังคนรักพูดอย่างเดียวก็เลยไม่มีทะเลาะกันเท่าไหร่ แต่ไม่มีเลยก็ไม่ใช่ เถียงกันเรื่องเล็กๆ น้อยจะเป็นส่วนใหญ่

“พี่ขรรค์ มาแล้วเหรอพี่”

“ไม่มาจะเห็นฉันเหรอวะ”

“ตอบกวนนะเดี๋ยวนี้ ตั้งแต่คืนดีกับแฟนเนี่ย”

“เรื่องของฉัน แล้วนี่มาทำอะไรตรงนี้ ไม่ไปทำงานทำการวะ”

“ก็แอบอู้นิดๆ หน่อย ไม่เป็นหรอกน่าพี่ เดี๋ยวฉันก็จะไปทำงานแล้ว” ลูกน้องตอบแบบไม่สนใจว่าจะด่าเลยสักนิด เพราะการกวนประสาทเจ้านายเป็นความสุขของคนงานที่นี่

ขรรค์มีความเป็นเองในแบบของตัวของเขา แม้ว่าจะน่านิ่งๆ ดูดุ แต่ก็ใช่ว่าพวกคนงานจะกลัวหรือเกรงขามเลยสักนิด จะมีบ้างก็ตอนที่จริงจังๆ เท่านั้น

“เออๆ ถ้าแกไม่รีบไปทำงานล่ะก็ ฉันอาจจะรายงานความประพฤติกับคุณรามนะ”

“โหยพี่...ฉันล้อเล่น คุณภพให้มาตามน่ะพี่”

“ตามทำไม?” ร่างสูงใหญ่ถามลูกน้องกลับไป

ขรรค์ค่อนข้างจะแปลกใจนิดหน่อยที่ผู้จัดการรีสอร์ทเรียกเขาตอนเช้าแบบนี้ เพราะไม่บ่อยครั้งนักหรอกที่พิภพจะเรียกเขาปาแบบนี้ถ้าหากว่าไม่มีเรื่องด่วนหรือเรื่องสำคัญอะไร

“ไม่รู้ดิพี่ แต่พี่รีบไปดีกว่า”

“เออๆ แกก็ไปทำงานต่อได้แล้วไป อย่าอู้ งานไม่ใช่น้อยๆ เลยนะ”

เพราะลูกค้าเยอะพนักงานในแต่ละส่วนก็ค่อนข้างงานยุ่ง เขาจะเป็นหัวหน้าส่วนควบคุมการทำงานของพนักงานแผนกแม่บ้าน แผนกครัว แผนกรักษาความปลอดภัย คนงานดูแลสวน ส่วนผู้จัดการอย่างพิภพก็จะดูแลในส่วนหน้า ดูแลการทำงานของทุกแผนก แต่จะอยู่ส่วนหน้าที่ต้องเจอกับลูกค้าโดยตรง ส่วนแผนกบัญชี แผนกการตลาดจะอยู่สำนักงานแยกออกมาซึ่งเป็นที่ทำงานเดียวกับเจ้าของรีสอร์ท

ที่อื่นเป็นยังไงขรรค์ไม่รู้ แต่รีสอร์ทนี้รามินทร์บริหารแบบนี้...จริงๆ แล้วงานของเขาจะเรียกว่าเป็นผู้จัดการก็ไม่เชิงหรอก แต่เพราะเขาขอเอาไว้ว่าจะไม่รับหน้าที่เป็นผู้จัดการเนื่องจากก็มีพิภพอยู่แล้ว เขาไม่อยากจะไปแย่งงานของพิภพเขา แม้ว่าพิภพจะบอกเองว่าไม่เป็นไรเพราะงานมันเยอะ แบ่งๆ กันไปก็ดีกว่า แต่ขรรค์ก็ไม่ยอม รามินทร์ก็เลยให้งานผู้จัดการบางส่วนกับขรรค์แต่ให้ตำแหน่งหัวหน้าคนงานแทน ขรรค์จะอยู่เบื้องหลังส่วนพิภพจะอยู่เบื้องหน้า

ที่นี่มีผู้จัดการสองคน...ทุกคนก็รู้ๆ กันหมด แต่ก็ทำเป็นไม่รู้เพราะเจ้านายเจ้าชีวิตสั่งเอาไว้อย่างเด็ดขาดว่าห้ามให้ขรรค์รู้ ปล่อยให้เจ้าตัวทำหน้าที่ที่ตัวเองคิดว่ามันไม่ใช่หน้าที่ของผู้จัดการต่อไป...

“คร้าบๆ”

ขรรค์ก้าวเท้ายาวๆ ของตนไปหาผู้จัดการที่ห้องด้านหลังเคาท์เตอร์แผนกตอนรับของรีสอร์ททันที เมื่อเห็นพิภพเขาก็ถามอย่างสุภาพ

“มีอะไรให้ช่วยหรือครับคุณภพ”

“คุณขรรค์ครับ ผู้จัดการรีสอร์ทที่ภูทับเบิกเกิดไม่สบายขึ้นมา ผมจำเป็นต้องไปดูแลที่นั่นตามคำสั่งของคุณราม แล้วทีนี้ก็จะไม่มีใครคอยดูแลที่นี่ อยากให้คุณขรรค์ช่วยมาดูแลให้หน่อยน่ะครับ”

“ได้ครับ...เดี๋ยวผมจะจัดการให้” เรื่องนี้เขาไม่ได้มีปัญหาเพราะเขาก็ทำอยู่บ่อยๆ เวลาที่พิภพต้องไปทำงานให้รามินทร์ ร่างสูงก็จะมาอยู่ส่วนหน้า

“ช่วงนี้ลูกค้าเข้าพักเยอะมาก ห้องเต็มทุกห้องเลยล่ะครับ ยังไงคุณขรรค์ช่วยดูแลทีนะครับ”

“ได้ครับ ไม่มีปัญหาอะไร คุณภพไปที่นั่นเถอะครับ ที่นั่นเองก็วุ่นวายไม่แพ้ที่นี่หรอกครับ”

“นั่นสินะ ฝากด้วยนะครับ”

“ครับ”

หลังจากที่พิภพรีบร้อนออกไป ขรรค์ก็เข้าไปในห้องของเขาที่รามินทร์จัดเอาไว้ให้ เพื่อเปลี่ยนชุดเป็นชุดยูนิฟอร์มของพนักงานต้อนรับ แต่ติดป้ายชื่อที่อกบ่งบอกว่าเป็นผู้จัดการ

ขรรค์คิดว่าป้ายชื่อที่ตัวเองได้รับนี้มันเป็นป้ายชื่อสำหรับตอนที่เขามารักษาการแทนเท่านั้น ไม่ได้คิดเลยว่าจะเป็นตำแหน่งจริงๆ ของเขาเอง...

“พี่ขรรค์คะ ช่วยหน่อยค่ะ ลูกค้าไม่ยอมเชื่อว่าเราไม่มีห้องเหลือแล้ว จะเข้าพักให้ได้เลยค่ะ” นักงานต้อนรับเปิดประตูเข้ามาหาด้วยความร้อนใจ ขรรค์ที่ยังไม่ทันจะได้เตรียมตัวเท่าไหร่นักงานก็เข้ามาทันที

“โอเคๆ เดี๋ยวพี่ออกไป”

“เร็วๆ นะคะพี่”

“ได้...ไม่นานหรอก”

ร่างสูงจัดระเบียบตัวเองทั้งหน้าทั้งผมเสื้อผ้าจนเรียบร้อยดีแล้วก็ออกจากห้องไปยังเคาท์เตอร์ด้านหน้าเพื่อเคลียร์ปัญหาที่เกิดขึ้น

“สวัสดีครับคุณลูกค้า ไม่ทราบว่ามีอะไรให้ช่วยเหลือหรือครับ”

“ฉันต้องการเข้าพักที่นี่ มีห้องว่างให้ฉันไหม” เธอตอบแบบติดจะเหวี่ยง แต่สีหน้าของขรรค์ก็ไม่ได้รู้สึกกังวลหรือว่าหวานกลัวอะไรเลย มันนิ่งมาก ขนาดที่อารมณ์ของลูกค้าก็นิ่งตามลงด้วย

“ขอประทานอภัยนะครับ ห้องพักของเราเต็มหมดแล้วจริงๆ ครับ จะมีว่างพรุ่งนี้ตอนสิบโมง หากลูกค้าประสงค์ที่จะเข้าพักในวันพรุ่งนี้ทางเราจะจองห้องไว้ให้ท่านนะครับ”

“แล้วคืนนี้ฉันจะนอนที่ไหน ลำพังฉันไม่เท่าหรอก แต่ลูกๆ ของฉันล่ะ ตอนนี้เขาเหนื่อยกับการเดินทางมานะ ตอนแรกก็โทรถามว่าห้องว่างไหม ก็บอกว่าว่างเลยมานี่ไง พอมาก็ไม่ว่างแล้วเหรอ”

“คุณลูกค้าได้จองเอาไว้หรือเปล่าครับ” ถามกลับไปอย่างใจเย็น

“ไม่ได้จอง...แต่คิดว่าจะว่างก็เลยรีบมา”

“ถ้าอย่างนั้นลูกค้าสะดวกที่จะพักรีสอร์ทอื่นไหมครับ ผมจะให้พนักงานเช็คว่ามีที่ไหนว่างบ้างแล้วผมจะให้พนักงานรับส่งขับรถไปส่งคุณผู้หญิงที่นั่นแล้วรับกลับมาตอนเช้าเพื่อมาเข้าพักที่นี่ โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมครับ”

แม้จะไม่ใช่ความผิดของรีสอร์ทแต่รามินทร์บอกเอาไว้ว่าให้บริการเพื่อดึงลูกค้าเข้ามาให้มากที่สุด จะเสียกำไรเล็กๆ น้อยๆ ไปก็ไม่มีปัญหา

“แบบนั้นก็ได้ค่ะ แล้วค่าห้องจะเท่ากันใช่ไหมคะ” เธอถามด้วยน้ำเสียงอ่อนลง

“เดี๋ยวผมเช็คให้ สักครู่นะครับ” ขรรค์หันไปบอกพนักงานให้ช่วยเช็คตามรีสอร์ทอื่นๆ ในเครือของรามินทร์ว่ามีที่ไหนมีห้องพักเหลืออยู่บ้าง ไม่นานเขาก็ได้คำตอบ

“มีห้องว่างนะครับ อยู่ห่างจากที่นี่ประมาณสามสิบนาที ว่างอยู่สองห้องลูกค้าต้องการจองกี่ห้องครับ”

“ห้องเดียวค่ะแต่เสริมเตียงให้ด้วยนะคะ”

“รับทราบครับเดี๋ยวผมจะจัดการให้”

“ขอบคุณนะคะ”

“ด้วยความยินดีเลยครับคุณผู้หญิง ยังไงคุณผู้หญิงรบกวนนั่งรอสักครู่ เดี๋ยวผมจะให้พนักงานพาคุณผู้หญิงไปส่งให้ถึงที่เลยนะครับ”

“ได้ค่ะ” เธอเดินกลับไปนั่งที่โซฟาด้วยความดีใจและมีความสุข

ทางด้านขรรค์เองก็หันมาพูดกับพนักงานด้วยความเป็นกันเอง

“ติดต่อไปยังที่นั่นแล้วจองห้องไว้ห้องหนึ่ง อีกประมาณห้าสิบนาทีจะไปส่งลูกค้าที่นั่น แล้วถ้ามีกรณีแบบนี้อีก ทำตามเมื่อกี้ได้เลยนะ แล้วถ้ามีปัญหาอะไรเข้าไปเรียกพี่ได้ตลอด เดี๋ยวพี่ขอไปดูค่าใช้จ่ายก่อน ตั้งใจทำงานนะทุกคน ปีนี้ลูกค้าเยอะกว่าปีที่แล้ว มีโอกาสที่จะได้โบนัสเยอะ”

พอได้ยินคำว่าโบนัสพนักงานทุกคนก็ทำตาแวววาวมีความหวัง มีกำลังฮึกเหิมที่จะทำงานมากขึ้นทันที

“อย่าทำหน้าไม่รับแขกนะ ยิ้มเข้าไว้ จะโดนด่าก็ต้องทน...เราทำให้คนอื่นเข้าใจเราไม่ได้หรอก แต่เราต้องเข้าใจตัวเราเอง และจำไว้ เราไม่จำเป็นที่จะต้องคิดว่าลูกค้าคือพระเจ้า แต่ลูกค้าคือคนที่เราต้องบริการให้ดีที่สุดในขณะที่เขายังใช้บริการรีสอร์ทของเรา ทำให้เขาประทับใจจนกลับมาใหม่ เข้าใจนะ สู้ๆ นะ”

“ค่ะ/ครับ พี่ขรรค์”

นี่แหละคือเหตุผลว่าทำไม รามินทร์ถึงอยากให้ขรรค์เป็นผู้จัดการที่นี่ เพราะการจัดการกับปัญหาได้เฉียบขาดและสงบนิ่งนี่แหละ สมควรที่จะเป็นผู้นำ

ทุกคนในรีสอร์ทนี้รักขรรค์มาก เพราะขรรค์เหมือนกับพี่น้องเหมือนญาติของพนักงานหลายๆ คน แม้ว่าจะดุบ้างแต่ขรรค์ก็หวังดีและจริงใจ...

เป็นหัวหน้าที่อายุน้อยกว่าใครหลายๆ คนก็จริง แต่ก็ได้รับการยอมรับสูง บางคนที่อายุมากกว่ายังเรียกขรรค์ว่าพี่เลย...











(มีต่อ)

ออฟไลน์ SawachiYuki

  • แค่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 461
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +261/-38
    • Fanpage
(ต่อ)

...

...

...





ห้าโมงเย็น

หิรัญตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกเหมือนว่าหัวจะระเบิด ความปวดหัวของการนอนกลางวันใครที่เคยนอนจะรู้ดีว่ามันปวดหัวขนาดไหนตอนตื่นขึ้นมา ร่างโปร่งรู้สึกไม่อยากลุกจากที่นอนเลย แต่ก็จำเป็นที่ต้องลุกขึ้นมาจากที่นอนเพราะถ้านอนนานกว่านี้อาจจะกลายเป็นศพอยู่บนที่นอนได้

“ปวดหัวชะมัด”

กรอด....

“อ่า...หิวจัง ขรรค์กลับมายังนะ” หิรัญลุกขึ้นเดินไปล้างหน้าล้างตาในห้องน้ำ แล้วเดินลงไปข้างล่าง ที่สว่างไสวบ่งบอกว่ามีคนอยู่ในบ้าน ถ้าไม่ใช่ขรรค์ก็...

“ป้าน้อยเองเหรอครับ” หิรัญถามเมื่อเห็นว่าคนที่อยู่ไม่ใช่ขรรค์คนรักของตน แต่เป็นป้าน้อยคนดูแลบ้านที่อยู่กับเด็กสาวคนหนึ่งที่คาดว่าอายุไม่เกินสิบห้าปี

“ค่ะหมอเงิน ป้ามาเปิดไฟบ้านน่ะค่ะ เห็นว่าหมอเงินยังไม่ตื่น”

“แล้วขรรค์ล่ะครับ กลับมาหรือยัง”

“ขรรค์ยังไม่กลับหรอกค่ะ รายนั้นโทรมาบอกป้าว่าต้องอยู่จนดึกเลยเพราะผู้จัดการไปดูแลที่สาขาภูทับเบิกก็เลยต้องรักษาการแทน”

“ขรรค์เนี่ยนะครับ?”

“ค่ะ ขรรค์บอกป้าแบบนี้ ป้าก็พูดตามทุกคนเลย”

“รักษาการแทนผู้จัดการเนี่ยนะ?”

หิรัญคิดภาพไม่ออกเลยว่าผู้ชายที่จบเกษตรมา วันๆ เขาเห็นเอาแต่ทำสวน ขลุกอยู่แต่กับเหงื่อไคลทุกๆ วันอย่างขรรค์จะรักษาการแทนผู้จัดการ...

โห...โคตรน่าเหลือเชื่อเลย

“ใช่ค่ะ อ้าว? หมอเงินไม่รู้เหรอ ว่าคุณรามให้ตำแหน่งหัวหน้าคนงานไปงั้นๆ แหละค่ะเพราะขรรค์เขาไม่ยอมรับตำแหน่งผู้จัดการ แต่จริงๆ แล้วขรรค์เขาเป็นผู้จัดการอีกคนของรีสอร์ทต่างหากแต่เรื่องนี้หมอเงินอย่าไปบอกขรรค์เขานะคะ ขรรค์เขาไม่รู้”

ร่างโปร่งบางขมวดคิ้วแน่นเข้าไปอีกเมื่อได้ยินแบบนั้น

“ครับ...ไม่บอกหรอก”

ไม่รู้เนี่ยนะ...อยู่มาตั้งหลายปีไม่เอะใจอะไรเลยหรือไง แต่ก็อย่างว่าแหละ ถ้าไม่มีใครพูดขรรค์ก็ไม่รู้

“ดีมากค่ะ แล้วนี่หิวไหมคะ ป้าจะทำกับข้าวให้”

“ไม่ดีกว่าครับ เดี๋ยวผมจะไปหาขรรค์ที่รีสอร์ท แล้วจะแวะทานข้าวที่นั่นเลย”

“อ๋อ...งั้นเดี๋ยวป้าขอไปอาบน้ำก่อนนะคะ แล้วจะกลับมาอยู่บ้านให้ จริงสิ...นี่ชะเอมหลานสาวป้าเองค่ะ ชะเอมไหว้หมอเงินสิลูก” ป้าน้อยหันไปบอกหลานสาวของตน ซึ่งเด็กสาวก็ไหว้เสียงดงามดูน่ารัก

“สวัสดีครับคนสวย”

“เอ้าๆ เขินคุณหมอเขาล่ะสิ เจอคนหล่อๆ ไม่ได้เลยนะ” ป้าน้อยแซวหลานสาวตัวเอง ซึ่งเด็กหญิงชะเอมก็ยิ้มหน้าแดงๆ หลบเขากับหลังของคุณยาย

“อายุเท่าไหร่ครับ”

“สิบสามปีค่ะ อยู่มอหนึ่งแล้ว”

“เด็กสมัยนี้โตวัยจัง ผมคิดว่าอายุสิบห้าซะอีก”

“จะบอกว่ามันแก่แดดก็ได้ค่ะ ป้าไม่ว่า ฮ่าๆ”

“ไม่หรอกครับ น้องยังดูเหมือนวัยตัวเองอยู่ยังน่ารักครับ แต่ต้องดูช่วงมอสองมอสามว่าจะเปลี่ยนไหม แรกๆ ยังไม่ค่อยเริ่มหรอก”

“ป้าล่ะกลัวมันจะแรด”

“โถ่...ป้าน้อยครับ เด็กผู้หญิง เราก็ต้องเข้าใจนะครับ สอนเขา เตือนเขาดีๆ”

“ป้าเข้าใจค่ะ นี่ก็พามาอยู่ด้วย เรียนแถวๆ นี้เอา ป้าฝากชะเอมให้ทำงานบ้านที่นี่ได้ไหมคะ” ป้าน้อยถามหิรัญเอาจริงเอาจังไม่มีแววล้อเล่น

“ยาย...เอมไม่ทำงานนะ ไม่เอา!” เด็กหญิงปฏิเสธทันที เพราะไม่ชอบที่จะลำบาก แล้วตัวเองวัยขนาดนี้เองจะมาทำงานได้ยังไง อดเล่นกับเพื่อนๆ น่ะสิ

“ไม่ได้! ถ้าเอ็งไม่ทำงานเอ็งก็จะเหลวไหลน่ะสิ”

“แต่เอมไม่อยากทำ เอมเหนื่อย เรียนการบ้านก็เยอะจะตาย”

“ยายไม่เห็นเอ็งจะเคยทำการบ้านเลย”

“ทำสิ!! ยายไม่เคยเห็นเองต่างหาก ชอบหาเรื่องเอม” เด็กหญิงทำหน้าบูดบึ้ง ไม่พอใจ

หิรัญมองท่าทีของเด็กหญิงชะเอมก็รู้สึกว่าน่าเอ็นดูและดูเหมือนจะเป็นเด็กดีด้วย แต่ชอบเถียงยายของตนไปงั้นๆ แหละ ตามวัยที่ไม่ยอมใครแบบนี้

“ชะเอมไม่อยากมีเงินกินขนมเหรอครับ พี่ให้เงินด้วยนะ” พอได้ยินคำว่าเงินกินขนม เด็กหญิงชะเอมก็มองหน้าหมอสุดหล่อทันที แต่ก็ต้องหลบตาอย่างเขินๆ

“อยากค่ะ” ตอบเบาๆ

“งั้นก็ทำงานให้พี่ เลิกเรียนกี่โมงล่ะหืม” หิรัญถามเสียงอ่อนโยน

“บ่ายสามครึ่งค่ะ”

“งั้นสี่โมงครึ่งมาทำงานบ้าน เราทำอะไรเป็นบ้างล่ะ”

“ตอบหมอเงินเขาไปสิ”

“หนู...กวาดบ้าน ซักผ้า ทำอาหาร ล้างจาน หนูทำได้หมดค่ะ”

หิรัญได้ยินคำตอบแบบนั้นแล้วหัวเราะเบาๆ ป้าน้อยท่าทางจะกลัวอะไรที่เกินเหตุไปนะ แต่สอนหลานมาได้ดีเป้นแม่ศรีเรือนได้ขนาดนี้เลย

เป็นทุกอย่างที่ผู้หญิงสมัยนี้ไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่...

“เก่งจังครับ ทำเป็นหมดเลย ถ้าอย่างนั้นชะเอมมาทำงานให้พี่ เริ่มจากสี่โมงครึ่งเลย พี่ให้ชั่วโมงละสี่สิบบาท วันละไม่เกินสามชั่วโมง อยากอยู่ทำกี่ชั่วโมงก็แล้วแต่ชะเอม แต่ไม่เกินทุ่มครึ่งนะ แล้วก็ต้องทำงานทุกอย่างที่เราทำเป็นด้วย ต้องทำเต็มชั่วโมงนะ พี่ถึงจะนับชั่วโมงให้ พี่จะให้ป้าน้อยบันทึกเวลาให้ด้วย แล้วก็รับเงินกับพี่เป็นรายสัปดาห์ แต่ถ้าชะเอมจะทำเสาร์อาทิตย์ด้วย เสาร์อาทิตย์พี่จะให้วันละสามร้อยบาท แปดชั่วโมง สิบโมงถึงหกโมงเย็น ถ้าทำทั้งเจ็ดวันเต็มชั่วโมงชะเอมจะได้เลยหนึ่งพันสี่ร้อยยี่สิบบาท เป็นไงล่ะ อยากทำไหม ได้เงินด้วย ได้ช่วยแบ่งเบางานยายด้วย”

หิรัญพูดข้อเสนอให้กับเด็กหญิงฟังอย่างใจเย็นและอารมณ์ดี ตอนเด็กน้อยได้ยินตัวเงินที่จะได้ก็ตาโต น่ารักน่าเอ็นดูเชียว แถมยังทำหน้านับนิ้วด้วย

“หนึ่งเดือนมีสี่สัปดาห์ หนึ่งพันสองร้อยสี่สิบบาทคูณสี่ เป็น...เป็นเท่าไหร่นะ” เด็กน้อยยืนครุ่นคิด พึมพำออกมาเบาๆ แต่เขาก็ได้ยินอยู่ดี ส่วนป้าน้อยตอนนี้ยืนยิ้มไปแล้ว

“สี่พันเก้าร้อยหกสิบบาทครับ เกือบห้าพันแหนะ เสียดายออก...ถ้าชะเอมทำงานนี้นะ เพื่อนๆ จะต้องอิจฉาชะเอมแน่ๆ ที่หาเงินเองได้ตั้งแต่อายุสิบสามน่ะ” หิรัญช่วยตอบให้ ทำเอาเด็กหญิงเบิกตาโตมองหน้ายายตัวเองอย่างตื่นเต้น

“ว่าไงเอม...เอ็งจะทำไหม บอกหมอเงินเขาไปสิลูก” ป้าน้อยถามหลานยิ้มๆ

“ทำค่ะ...หนูจะทำงานนี้ แต่เงินให้กับยายเลยนะคะ เดี๋ยวหนูจะเบิกกับยายเอง” เด็กหญิงชะเอมตอบแบบยิ้มตาหยี เรียกรอยยิ้มเอ็นดูจากหมอหนุ่มได้ดีเลย

นิสัยน่ารักอีก...หิรัญแพ้เด็กน่ารักๆ เสียด้วย

“โอเค ตกลงตามนี้...ป้าน้อยครับ ตามนี้เลยนะครับ”

“ขอบคุณหมอเงินมากนะที่เอ็นดูชะเอมมัน”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ชะเอมเป็นเด็กดีก็ควรจะได้รับสิ่งดีๆ ว่าแต่ถ้าได้เงินไปแล้วชะเอมจะทำอะไรครับ” หิรัญถามอีก ตอนนี้เด็กหญิงไม่ประหม่าร่างโปร่งแล้ว เพราะเป็นเด็กมนุษยสัมพันธ์ดีและหมอหนุ่มก็เป็นกันเองไม่ดุ แถมยังใจดีอีก เด็กหญิงเลยเลิกประหม่า แต่ก็เขินๆ อยู่

“หนู...จะเอาฝากธนาคารไว้ ยังคิดไม่ออกว่าจะทำอะไรค่ะ แต่หนูเอาไว้เผื่อยายไม่พอใช้”

“โถ่...เอมเอ้ย!”

“ดีแล้วครับชะเอม เป็นเด็กดีแบบนี้ตลอดไปนะครับ งั้นเดี๋ยวผมจะไปอาบน้ำแต่งตัว ป้าน้อยกลับไปอาบน้ำได้เลยนะครับ เดี๋ยวผมจะไปตอนที่ป้าน้อยมา” ประโยคหลังหันมาบอกกับป้าน้อยอีกครั้ง

“ได้ค่ะ ป่ะเอม กลับบ้านกัน”

“จ้า...สวัสดีค่ะหมอเงิน”

“เรียกพี่หมอก็ได้ครับ”

“ค่ะพี่หมอ...”

หิรัญยิ้มมองตามสองยายหลานเดินออกจากบ้านไป ก่อนจะหมุนตัวเองกลับขึ้นบันไดไปอาบน้ำแต่งตัว...


“มาหาพี่ขรรค์เหรอคะหมอเงิน” พนักงานต้อนรับหน้าเคาท์เตอร์ถามขา แม้ว่าจะไม่ค่อยได้มาที่รีสอร์ทเท่าไหร่นักแต่ทุกคนก็รู้จักเขา และรู้ว่าขรรค์กับหิรัญเป็นคนรักกัน

พวกเราไม่คิดปิดบังใครได้รับการยอมรับจากครอบครัว พวกเขาก็ไม่กลัวอะไรแล้ว...และพวกเขาก็คิดว่าว่าการที่รักกันแบบเปิดเผยมันไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน...หลายคนจะมองด้วยความไม่ชอบหรือรังเกียจก็มองไป...พวกนั้นมันเป็นพวกที่เดือดร้อนกันเอง และเขาสองคนก็ไม่ขอพวกนั้นมันกิน ส่วนคนที่เฉยๆ ก็มี เป้นกำลังใจให้พวกเขาอย่างออกนอกหน้าก็มี...

ฉะนั้น...ใส่ใจคนที่รักและหวังดีกับเราดีกว่า

“ใช่ครับ...ตอนนี้ขรรค์อยู่ไหนหรือครับ”

“พี่ขรรค์อยู่ที่ห้องอาหารค่ะ น่าจะไปดูเรื่องของขาด”

“ลูกค้าเยอะมากไหมครับ”

“เยอะมากค่ะ พี่ขรรค์วุ่นทั้งวันเลย”

“อ่า...คงเหนื่อยแย่เลยสินะครับ” หิรัญถามยิ้มๆ

“หมายถึงใครเหรอหมอเงิน แหม...อย่าทำให้เราคิดเข้าข้างตัวเองสิ”

“ฮ่าๆ ผมก็ถามทุกคนนั่นแหละครับ” หมอสุดหล่อหัวเราะแล้วยิ้มให้กับพนักงานทุกคนที่นั่งอยู่ตรงนี้ สาวๆ ที่นั่งอยู่ก็ใจละลายเลย แม้ว่าคนๆ นี้จะมีเจ้าของแล้วก็ตาม

แต่เป็นอาหารตาสำหรับพวกเธอได้ดีเลยนะ ยิ่งอยู่ข้างกับขรรค์แล้วก็ดูฟินๆ ยังไงก็ไม่รู้ เอ๊ะ! หรือพวกเธอจะเข้าสู่วงการสาววาย?

“งั้นผมขอตัวไปหาขรรค์ก่อนนะครับ”

“ตามสบายเลยค่ะหมอเงิน”

“ครับ”

ร่างโปร่งบางเดินตรงไปที่ห้องอาหารของรีสอร์ทที่ตอนนี้มีลูกค้าอยู่เต็มไปหมดกำลังทานอาหารอยู่ วันนี้คงจะเป็นบุฟเฟต์อาหารเย็นตามโปรโมชั่นที่เขาได้อ่านตรงหน้าเคาท์เตอร์เมื่อสักครู่ ร่างโปร่งหยุดชะงักกับที่เพื่อหาว่าคนรักของตนอยู่ที่ไหน พอเห็นก็อดยิ้มไม่ได้ แต่ที่ดูมีเสน่ห์ก็คือการที่ขรรค์ทำอะไรในสิ่งที่เขาไม่เคยเห็น นั่นคือการเดินคุยกับลูกค้าตามโต๊ะต่างๆ แม้จะมีเพียงรอยยิ้มบางๆ แต่ก็ได้รับคำชมจากลูกค้าเป็นอย่างดี ดูจากสีหน้าของลูกค้าที่ยิ้มแย้มมีความสุขแล้ว

พอหิรัญเห็นว่าคนรักเดินหายเข้าไปในครัว สองเท้าก็รีบเดินตามไปทันที

“ขอเข้าไปหาขรรค์หน่อยนะครับ”

“หมอเงินนี่เอง เชิญเลยครับ พี่ขรรค์เพิ่งเข้าไป”

“ขอบคุณครับ” เมื่อได้รับอนุญาตจากพนักงานบริการ ร่างสูงโปร่งก็เดินเข้าไป เห็นคนรักกำลังยืนหันหลังให้ยืนคุยกับป้ารีหัวหน้าแผนกครัวกับหัวหน้าบริการอยู่ เขาไม่ขัดแต่แอบฟังแทน

“งั้นพรุ่งนี้เชียร์อย่างอื่นไปก่อน จนกว่าของจะมาส่ง ตอนเช้าผมไม่มีปัญหาอะไรหรอก เพราะเป็นข้าวต้มกับกับข้าวไม่กี่อย่าง เราก็เปลี่ยนเมนูเลยนะถ้าวัตถุดิบไม่พอ ทำเมนูที่คิดว่าจะพอกับลูกค้านะครับป้ารี ผมไม่อยากให้เกิดปัญหาลูกค้าได้ทานอาหารต่างกัน ทั้งๆ ที่จ่ายเท่ากัน ส่วนลูกค้าห้อง Deluxe กับ Suite ก็จัดอาหารแบบเดิมเลยนะครับ แล้วเช็คบัตรลูกค้าดีๆ ว่าลูกค้าใช้ห้องแบบไหน ก็จัดอาหารให้ถูก แยกเป็นส่วนตามปกติ อย่าเผลอพาลูกค้าไปนั่งผิดฝั่งนะครับ กำชับกับพนักงานบริการคนอื่นๆ ให้ดีด้วย”

“ได้เลยขรรค์ พี่จะกำชับพวกพนักงานให้” หัวหน้าบริการรับคำสั่ง

“ป้าเองก็จะให้เด็กๆ เช็ควัตถุดิบดีๆ อีกครั้ง”

“โอเคครับ งั้นเดี๋ยวเราออกไปข้างนอกเถอะพี่กร” ร่างสูงหันกลับมาก่อนจะเบิกตากว้างที่เห็นคนรักยืนยิ้มอยู่ หัวหน้าบริการเห้นว่าขรรค์มีแขกมาหาถึงที่ก็ยิ้มแซวๆ แล้วขออกไปอ่อน ร่างสูงใหญ่เดินเข้าไปหาร่างโปร่งบางทันที

“มาตั้งแต่เมื่อไหร่อ่ะเงิน”

“ตั้งนานแล้วล่ะ พอจะเห็นอีกมุมหนึ่งของขรรค์เลย” หิรัญพูดแล้วหัวเราะ ทำเอาขรรค์หมดความมั่นใจไปในทันทีเลย เพราะกลัวว่าตัวเองจะทำได้ไม่ดี จนคนรักเห็นว่ามันตลก

“มันตลกเหรอ”

“เปล่าๆ มันดูดีมากต่างหาก แต่ที่เงินหัวเราะเพราะไม่คิดว่าขรรค์จะมีมุมนี้ด้วย”

“ก็มันเป็นงานที่ได้รับมอบหมาย ขรรค์ก็ต้องทำให้ดีที่สุดสิเงิน”

“ครับๆ เงินก็ไม่ได้ว่าอะไร”

“ขรรค์ก็กลัวว่ามันจะดูตลกจนหมดความมั่นใจไปเลยนะเนี่ย”

“เท่ดีออก...” หิรัญพูด ยิ้มแล้วส่งสายตาที่สื่อความหมายบางอย่างไปให้คนรัก

มันเท่มาก...ตอนที่ขรรค์แบกจอบ ขุดดิน มีเหงื่อไหลเต็มหน้าเต็มตัวก็คิดว่าเท่และเซ็กซี่แล้วนะ พอมาเห็นอีกมุมหนึ่งที่ดูสะอาด นิ่งขรึม เป็นผู้นำ มันก็ดูเท่มีเสน่ห์ไปอีกแบบ แต่ไม่ว่าจะแบบไหน หิรัญก็รักขรรค์ทั้งนั้นแหละ

“ชอบไหม?”

“ชอบสิ...แต่ชอบขรรค์ตอนมีเหงื่อเต็มตัวมากกว่า”

“ก็เหมือนที่ขรรค์ ชอบเงินในชุดกาวน์สินะ” จ้องคนรักกลับไปด้วยสายตาที่ร้อนแรงอย่างปิดไม่มิด ทำเอาหิรัญต้องหันหน้าหนีเพราะกลัวจะรู้สึก...

“เงินหิว...หาอะไรให้กินหน่อย”

“ป่ะ...เดี๋ยวพาไปกิน”

“กินได้เหรอ?”

“อื้อ...ใช้ชาร์จของขรรค์เอง ปกติไม่ใช้หรอก แต่เงินมาก็ใช้เลี้ยงเงินดีกว่า”

“แหม...ลงทุนเนอะ” ร่างโปร่งประชด แต่ก็ยอมจับมือกับร่างสูงแล้วออกไปสั่งอาหารทานกัน ก็ถือว่าดินเนอร์...ที่ไม่ค่อยโรแมนติกเท่าไหร่ก็แล้วกันนะ

แต่ต่อให้โรแมนติกหรือไม่เขาก็รักอยู่ดี...







100%
 :ling2: :ling2: :ling2: :ling2:

อัพต่อแล้วนะคะ และมีเรื่องจะแจ้งด้วย ว่ายูกิเปิดเทอมแล้วนะคะ เป็นโค้งสุดท้ายของชีวิตปีสี่แล้ว
ก็คงจะยุ่งๆ วุ่นๆ มาๆ หายๆ อีกตามเคยก็ขออภัยไว้ล่วงหน้าด้วยนะคะ
ขนาดได้ปิดเทอมยังต้องทำงานให้อาจารย์อีก ไหนจะกิจกรรมของสาขาที่จัดให้พี่บัณฑิตอีก
นี่ปิดเทอมแล้วถูกมะ? 5555 มีอะไรพูดคุยกับยูกิได้ที่แฟนเพจเลยนะคะ
https://www.facebook.com/sawachiyuki/

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
มดตอมไปหมดแล้ว หวานหยดย้อยเลยคู่นี้

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ดู ๆ ไปแล้ว คู่นี้น่าจะลงตัวมากกว่า 2 คู่ที่เหลืออีกนะ  o13

ออฟไลน์ little_munoi

  • ++ singular ++
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-3
ขรรค์ความสามารถล้นเหลือจิงๆ

ออฟไลน์ little_munoi

  • ++ singular ++
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-3
เราคิดถึงคุณ!!

ออฟไลน์ K3n0

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +17/-0
รอแล้วรอเล่าเฝ้าแต่รอ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด