เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: เล่ห์รักเทวาสวรรค์ บทที่49 บทส่งท้าย(จบ) ตอนที่24 (P.24วันที่ 1/12/58)  (อ่าน 197336 ครั้ง)

ออฟไลน์ RoseBullet

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1027
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-2
Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
«ตอบ #60 เมื่อ06-09-2015 20:27:26 »

ลู่เฟยยังซิง ฮี่ๆๆ เก็บซิงไว้ชิงโชค เอ้ย เก็บไว้รอชงหยวนใช่มั้ยจ๊ะ
รู้สึกว่ายิ่งนานวันเข้าก็จะยิ่งเจอศัตรูที่ร้ายกาจมากขึ้นทุกที
ตอนนี้ยังกระอักเลือดแถมเจอพิษโหดซะขนาดนี้ ต่อไปจะอันตรายมากขนาดไหนเนี่ย
ลู่เฟยรีบๆจำให้ได้มากขึ้นไวๆนะ มาช่วยกันสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับชงหยวนด้วย
แต่ตอนลงมาโลกมนุษย์นี่ลู่เฟยก็ยังไม่สามารถใช้พลังได้เหมือนตอนเป็นเทพใช่ไหม เป็นมนุษย์ธรรมดาก็มีขีดจำกัดเนอะ
ดีแล้วที่ชงหยวนรู้ใจตัวเองแน่ชัดแล้วว่ารักชอบใคร อีกคนเค้าจะได้ไม่ต้องมีความหวัง จะเจ็บเปล่าๆ
ต่อจากนี้คงไม่ได้เห็นฮาเร็มหนุ่มของชงหยวนแล้วเน้อ มีเจ้าของตัวจริงแล้วนิ อิอิ
 :katai3:

ออฟไลน์ DeShiWa

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +150/-9
Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
«ตอบ #61 เมื่อ06-09-2015 21:55:35 »

ตอนแรกก็กลัวว่านายเอกของเราสู้ไม่ได้

ปลื้มฉากที่ลู่เฟยรักษานายเอกมากๆ

เป็นฉากที่จินตนาการไปไกลมากๆ

ติดตามเสมอจ้า

ออฟไลน์ onekiss

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 109
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
«ตอบ #62 เมื่อ07-09-2015 15:26:13 »

 :mew1: :mew1: :mew1:
รักคนแต่ง
รอตอนต่อไปคร้าาาาาาา

ออฟไลน์ lingfang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 151
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +99/-0
 บทที่ 29 ค่ายกลตะข่ายฟ้า ตอนที่ 3 เล่ม 2 จ้า


         ช่วงสายจิวชงหยวนตื่นขึ้นมาด้วยความเหนื่อยล้า ใบหน้าแดงระเรื่อมองคนที่กอดตัวเองแน่นด้วยความเคอะเขิน แม้สติจะเลือนรางแต่ก็รู้ว่าลู่เฟยเป็นคนช่วยชีวิตเขาเอาไว้ ร่างโปร่งบางพยายามลุกขึ้นนั่งใบหน้าแดงก่ำเมื่อร่างกายตอนนี้เปล่าเปลือยและคนข้างๆ ก็มีสภาพไม่ต่างกัน ก่อนจะรีบหันหลังให้ลู่เฟยเมื่อเจ้าตัวลืมตาขึ้นมามอง
    “เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” น้ำเสียงห่วงใยและแววตาอาทรส่งมาให้ จิวชงหยวนเหลือบตามองเล็กน้อยก่อนจะบอกเสียงเรียบพยายามตีสีหน้าให้นิ่งที่สุด
    “ข้าหายดีแล้วกำลังภายในหายไปนิดหน่อยแต่ไม่นานก็กลับคืนมา” ลู่เฟยยกยิ้มยินดีที่คนรักไม่เป็นอะไรมาก นิ้วเรียวลูบไล้แผ่นหลังเนียนอย่างแผ่วเบา แต่กลับทำให้จิวชงหยวนขนกายลุกชันสองเท้าเร็วกว่าความคิดกว่าจะรู้ตัวร่างสูงก็นอนหงายตกเตียงไปแล้ว
    “เจ้า! เจ้าทำกับคนที่ช่วยชีวิตเจ้าเช่นนี้หรือไง” ลู่เฟยลุกขึ้นต่อว่าอย่างงอนๆ จิวชงหยวนอ้าปากค้างมองร่างสูงหนาโชว์ซิกแพคอย่างน่าอิจฉาแต่ที่ทำให้เขาหน้าแดงเพราะส่วนล่างนั้นมันแข็งขืนขึ้นมาท้าทายเขา
    “เจ้าลามกไปใส่เสื้อผ้าเดี๋ยวนี้” จิวชงหยวนร้องลั่นเมื่อสติกลับคืนมาหมอนใบเล็กสองใบโยนใส่คนตัวสูงด้วยความอาย ลู่เฟยยกยิ้มที่มุมปากอย่างชอบใจแต่ก็เดินไปใส่เสื้อผ้าให้ตามที่ร่างโปร่งบางต้องการ แม้จะอยากแกล้งอยู่แต่วันนี้พวกเขายังมีเรื่องให้จัดการอีกมาก
    ผ่านไปครึ่งชั่วยามจิวชงหยวนกับลู่เฟยมาปรากฏตัวที่หน้าโรงยากับศาลเจ้าอีกครั้ง และดูเหมือนทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมเพราะยังไม่มีใครรู้ว่าเซียนรักษาโดนสังหารไปแล้ว และเหมือนจะเป็นเรื่องปกติจนน่าแปลกใจ จิวชงหยวนหยิบหน้ากากสีทองมาสวมบนใบหน้าเพื่อป้องกันคนจำได้แล้วเดินเข้าไปถามคนบริเวณนั้นด้วยความสงสัย
    “ท่านป้าทำไมวันนี้ไม่มีเข้าแถวไปหาท่านเซียนหรอกหรือ”
    “เปล่าหรอกจอมยุทธน้อย ท่านเซียนนานๆ ทีถึงจะมาแถวนี้ ส่วนมากที่ช่วยรักษาให้ชาวบ้านก็เป็นลูกศิษย์ จอมยุทธน้อยมาช้าไปเมื่อวานนี้ท่านเซียนมาช่วยรักษาชาวบ้านด้วยและยังมีเซียนกระบี่สหายของเซียนรักษาจิวชงหยวนมาที่นี่ด้วยนะ” ท่านป้าเล่าด้วยความตื่นเต้น จิวชงหยวนพยักหน้ารับและกล่าวขอบคุณก่อนจะขอตัวจากมา
    “เจ้าจะเอาไงต่อ”
    “ข้าจะเข้าไปในเรือน ไม่แน่เหล่าจืออาจอยู่ที่นี่ก็ได้” จิวชงหยวนสะบัดพัดในมือที่ได้มาจากเจียนเจียนไปมาอย่างครุ่นคิด
    “เจ้าคิดว่าเหล่าจือยังไม่ตายหรือ”
    “ใช่ หากตายวิญญาณต้องปรากฏที่ยมโลก และสวรรค์ต้องรู้แจ้งแล้วว่ามีเทพเซียนตายแต่นี่ยังปล่อยให้ตาแก่มีชีวิตอยู่หมายความว่าสวรรค์ยังไม่รู้เรื่องนี้” จิวชงหยวนตอบกลับอย่างมั่นใจ ลู่เฟยพยักหน้าเห็นด้วยก่อนจะใช้วิชาตัวเบาทะยานหลบเข้าไปภายในเรือนหลังใหญ่ตามร่างโปร่งบางไปอย่างว่าง่าย
    ภายในเรือนด้านหลังดูเงียบๆ จนทั้งคู่ต้องเพิ่มความระวังตัวมากขึ้น ก่อนจะพากันทะยานขึ้นไปหลบอยู่บนขื่อไม้ด้วยความเร็วเมื่อเสียงแว่วๆ ดังใกล้เข้ามา
    “เจ้าว่าอาจารย์ออกเดินทางไปแล้วจริงๆ ไหม” ชายร่างท้วมเอ่ยถามสหายร่างผอมสูงด้วยความสงสัยขณะเดินเข้ามาในเรือนหลังใหญ่หยิบถาดธูปเทียนส่งให้สหายอีกสองคนที่ตามมาเอาข้าวของ
    “จริงอยู่แล้วล่ะ อาจารย์ชอบหายไปบ่อยๆ เดี๋ยวก็กลับมา” ชายร่างผอมตอบพร้อมก้มลงหยิบถาดมาช้อนกันอีกใบ
    “ท่านพี่ แต่ข้าสงสัยว่าด้านหลังตำหนักเย็นที่อาจารย์ห้ามพวกเราเข้าไปมันคือสิ่งใดกัน” ชายร่างเล็กสุดเอ่ยถามพร้อมช่วยถือถาดธูปจากทั้งสอง
    “อ้อ เป็นที่พำนักของอาจารย์เวลาเข้าฌาน บางครั้งอาจารย์ก็เข้าไปเป็นเดือนแต่ละครั้งไม่แน่นอน อาจารย์แค่ไม่อยากให้ผู้ใดรบกวน” ชายร่างท้วมเอ่ยตอบเท่าที่รู้ก่อนจะพากันเดินออกไป
    จิวชงหยวนโหนตัวลงมายืนอยู่บนพื้นแล้วถอนหายใจอย่างโล่งอกที่ไม่โดนจับได้ซะก่อน โดยมีลู่เฟยลงมายืนอยู่ข้างๆ
    “ไปกันเถอะเหล่าจืออาจอยู่ที่นั่นก็ได้” จิวชงหยวนหันไปบอกลู่เฟย ก่อนจะทะยานไปยังตำหนักดังกล่าว แต่แล้วต้องพลิ้วตัวหลบใต้พุ่มไม้ด้วยความเร็วเมื่อหน้าตำหนักเย็นมีชายร่างยักษ์ยืนเฝ้าอยู่สองคน ลู่เฟยที่ตามมาติดๆ ก็หลบตามด้วยความเร็วไม่แพ้กัน
    จิวชงหยวนมองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะสะบัดเข็มพิษยาสลบใส่ทั้งคู่ด้วยความเร็ว เพียงไม่นานผู้เฝ้าตำหนักก็ล้มสลบลงไปด้วยฤทธิ์ยา เขาจึงเดินออกมาพร้อมลากร่างนั้นไปหลบไว้ด้านหลังกำแพงโดยมีลู่เฟยช่วยลากอีกคนไปหลบเช่นกัน ทั้งคู่เดินเข้าไปภายในตำหนักที่ดูวังเวง
    “ข้าจะไปหาดูทางนั้น ส่วนเจ้าไปทางนี้แล้วกัน ระวังตัวด้วยนะ” ลู่เฟยหันมาบอกเพื่อจะได้หาเป้าหมายเร็วขึ้นกว่าเดิม จิวชงหยวนพยักหน้ารับก่อนจะแยกไปคนละทางกับลู่เฟย เขาเดินผ่านห้องต่างๆ มาเรื่อยๆ ทว่าขณะเดินผ่านก็ยกมือขึ้นลูบกำแพงห้องมาตลอดเส้นทางเช่นกัน เพราะความเจ้าเล่ห์ของตาแก่นั่นทำให้เขาไม่ไว้ใจ จนกระทั่งมาถึงห้องรับแขกที่น่าแปลกข้าวของเครื่องใช้มีน้อยกว่าห้องอื่นจนน่าแปลกใจ มีเพียงชั้นหนังสือขนาดกลางที่ตั้งอยู่ริมห้อง นอกนั้นก็โต๊ะเก้าอี้นิดหน่อย ทั้งๆ ที่ห้องอื่นจะประกอบไปด้วยข้าวของที่มีค่าทำมาจากทองคำทั้งนั้น
     ครืดดด
    ฝ่ามือที่ลูบกำแพงมาเรื่อยหยุดชะงักตรงข้างชั้นหนังสือพร้อมกลไกบางอย่างทำให้ชั้นหนังสือขนาดกลางเลื่อนออกอัตโนมัติเผยให้เห็นบันไดลงไปยังชั้นล่างที่มืดทึบจนไม่อาจรู้ได้ว่าใต้ล่างนี้มีสิ่งใด
    วีดดดด
    จิวชงหยวนผิวปากยาวๆ หนึ่งครั้งเพียงไม่นานลู่เฟยก็มาปรากฏตัวตรงหน้า ใบหน้าคมคายหงิกเล็กน้อยพร้อมบ่นเบาๆ อย่างไม่จริงจังมากนัก
    “ข้าไม่ใช่หมาจะได้ผิวปากเรียกอย่างนั้น” จิวชงหยวนยิ้มให้อย่างไม่ถือสาแล้วตอบกลับอย่างหยอกเย้า
    “หรือเจ้าจะให้ข้าเป่าขลุ่ยเรียกล่ะ จะได้แห่กันมาทั้งตำหนักเลย”
    “เปล่าซะหน่อย” ลู่เฟยตอบกลับเบาๆ แล้วขยี้หัวคนตัวเล็กกว่าตนอย่างหมั่นไส้ที่ชอบเถียง และเดี๋ยวนี้เริ่มจะตอบโต้เขาได้แล้วหลังจากเมื่อก่อนโดนเขาแกล้งมาเนิ่นนาน
    “หัวยุ่งหมดแล้ว” จิวชงหยวนปัดมือออกอย่างงอนๆ ลู่เฟยหัวเราะในลำคออย่างชอบใจแล้วหยิกแก้มป่องด้วยความหมั่นไส้
    “ใช่เวลาเล่นไหมนี่” จิวชงหยวนมองคนเล่นไม่เป็นเวลาตาเขียวปั้ด จนลู่เฟยยกมือออกอย่างยอมแพ้ก่อนชะเง้อมองทางลับที่มืดมิดจนมองไม่เห็นเบื้องล่าง แต่ไม่ใช่สำหรับเขาเพราะตั้งแต่ความทรงจำเริ่มกลับคืนมาเขาจะมองเห็นกลางคืนเหมือนในเวลากลางวันไม่มีผิด
    “ไปเถอะ” ลู่เฟยหันมาบอกพร้อมจูงมือคนงามตามหลังมา ทว่าเมื่อลงมาลึกเท่าไรยิ่งต้องระวังตัวมากขึ้นเนื่องจากสิ่งผิดปกติภายใน ทั้งคู่เดินเข้ามาระยะทางไกลมากจนไม่น่าเชื่อว่าตาแก่นั่นจะสร้างทางใต้ดินไว้ใต้เมืองเจียงหนานได้ และยิ่งเดินมาลึกเท่าไรความอับชื้นก็มีมากขึ้นเท่านั้น การเดินทางในที่มืดและอับชื้นเช่นนี้ทำให้จิวชงหยวนลำบากไม่น้อยเพราะมองไม่เห็นเส้นทางได้เหมือนลู่เฟย
    ฟิ้วววว~
    เสียงแหวกอากาศดังเข้ามาทำให้สัญชาตญาณเอาตัวรอดทำงาน สองร่างพลิ้วตัวตีลังกาหลบห่าธนูที่อาบยาพิษไปมาอย่างคล่องแคล่ว โดยที่ลู่เฟยพยายามปัดป้องช่วยคนรักด้วยความเร็ว เพียงไม่นานห่าธนูชุดแรกก็เงียบไปทว่าทั้งคู่ยังไม่กล้าขยับไปไหนเพราะเริ่มรู้แล้วว่าเข้ามาในเขตค่ายกล
    “ลู่เฟยพอจะเห็นกลไกอะไรที่ทำให้ไฟมันสว่างไหม” จิวชงหยวนเอ่ยถามคนที่จับมือตัวเองแน่นด้วยความหวังเพราะตอนนี้เขามองไม่เห็นนอกจากอาศัยสัญชาตญาณเอาตัวรอดเท่านั้น
    ลู่เฟยกวาดมองตามพื้นผนังห้องใต้ดินในอุโมงค์ที่กว้างขวางไม่น้อย ดูลักษณะภายนอกไม่น่าจะมีค่ายกลอะไรซุกซ่อนอยู่ แต่จากเหตุการณ์เมื่อครู่ทำให้ประมาทไม่ได้เช่นกัน ดวงตาคมกริบสะดุดกับรูปปั้นอินทรียักษ์ที่อยู่เหนือศีรษะไปสามเมตรและมีไข่มุกสีขาวลูกใหญ่อยู่ตาซ้ายของอินทรียักษ์
    “ยืนรออยู่นี่อย่าเพิ่งขยับไปไหน” ลู่เฟยบอกพร้อมโคจรลมปราณมาที่เท้าแล้วดีดตัวขึ้นไปโดยอาศัยกำแพงปีนป่ายขึ้นไปด้วยความเร็วพร้อมฝ่ามือซัดเข้าไข่มุกสีขาวที่เป็นนัยน์ตาของอินทรี เพียงแค่สัมผัสคบเพลิงที่วางไว้ในจุดต่างๆ กลับมีไฟลุกขึ้นโซนอย่างน่าอัศจรรย์ ลู่เฟยพลิ้วตัวลงมายืนข้างกายคนรัก
    จิวชงหยวนมองดูรอบกาย ก่อนจะเก็บพัดในมือพร้อมเรียกกระบี่ออกมาเตรียมพร้อม เส้นอักขระที่วาดเขียนภายในนี้ดูคุ้นตาพยายามนึกข้อมูลที่มีอยู่ในหัวและอ่านผ่านตา ดวงตาเรียวเบิกกว้างเมื่อคิดได้ว่าอักขระที่ถูกวาดตรงกำแพงพวกนี้มันคืออะไร
    “อักขระพวกนี้ทำไมข้าคุ้นจัง” คำพูดของลู่เฟยยิ่งตอกย้ำความมั่นใจมากขึ้น
    “มันคือค่ายกลตะข่ายฟ้าที่ไว้ใช้สำหรับกักขังเทพเซียนและปีศาจ” ลู่เฟยหันขวับมามองจิวชงหยวนด้วยความตกใจเล็กน้อยและเอ่ยถามเพื่อความแน่ใจ
    “เจ้าแน่ใจหรือ”
    “อืม ข้าเคยอ่านเจอตอนที่อาจารย์เอามาให้อ่านตอนที่อยู่หุบเขาแห่งเซียน” จิวชงหยวนบอกเสียงมั่นใจ ดวงตาเรียวมองรอบกายโดยยังไม่ขยับไปไหน
    “หากเป็นเช่นนั้นใครกันที่มาสลักอักขระอาคมตะข่ายฟ้า หรือจะเป็นพวกนักพรตลัทธิเต๋า” ลู่เฟยออกความเห็นเพราะหลายแคว้นจะมีพวกนักพรตประจำอยู่
    “ก็มีความเป็นไปได้ แต่ที่ข้ามั่นใจเหล่าจือต้องอยู่ที่นี่แน่ๆ” จิวชงหยวนบอกอย่างมั่นใจแล้วก้าวเดินนำไป ทว่ามือหนากลับยึดแขนเอาไว้เขาจึงหันไปเลิกคิ้วถาม ก่อนจะยกยิ้มที่มุมปากนิดๆ เมื่อลู่เฟยดึงเขามาไว้ด้านหลังและเป็นคนก้าวเดินนำทางไปเอง
    ฟิ้ววว~
    ธนูพิษพุ่งมาทุกทิศทุกทางจนไม่สามารถหลบได้พ้น นอกจากใช้กระบี่ตัดป้องและตัดให้ขาดด้วยความเร็วเท่านั้น ลู่เฟยเองก็ปล่อยมือจิวชงหยวนให้เป็นอิสระเพื่อจะได้ถนัดป้องกันตัวเองมากขึ้น ผ่านไปครึ่งก้านธูปทุกอย่างก็เงียบลง แต่ความเงียบเหมือนเป็นภัยครั้งยิ่งใหญ่
    “วิ่งเร็ว!” ลู่เฟยตะโกนดังลั่นพร้อมลมปราณสะกิดปลายเท้าวิ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็ว จิวชงหยวนเองก็เร็วไม่แพ้กัน ทั้งคู่วิ่งไปไกลกว่าสามเมตรก่อนจะหยุดวิ่งเมื่อไม่ได้ยินเสียงตามมาแล้ว เขาหันกลับไปมองด้านหลังแล้วต้องกลืนน้ำลายด้วยความหวาดเสียว ขวานขนาดใหญ่นับสิบอันแกว่งไปมาหากพลาดท่าและชักช้าอีกนิดเดียวร่างของเขาคงโดนตัดขาดเป็นชิ้นๆ แน่ ดวงตาเรียวหันไปมองลู่เฟยที่มีสีหน้าเคร่งเครียดไม่แพ้กัน
    ก่อนจะเบิกตากว้างมากขึ้นกว่าเดิมเมื่อหินขนาดใหญ่กำลังร่วงลงมา จิวชงหยวนคว้ามือลู่เฟยวิ่งหลบด้วยความเร็ว
    ตูม!
    หินน้ำหนักกว่าพันตันร่วงหล่นลงจนพื้นสะเทือน แต่คาดว่ามันคงไม่สะเทือนไปถึงด้านบนผิวดินเนื่องด้วยตอนนี้เขาอยู่ลึกและออกนอกเมืองเจียงหนานมาไม่น้อย
    แฮ่กๆๆ
    จิวชงหยวนหอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน ใบหน้างดงามซีดเผือดเพราะเพิ่งผ่านพ้นความตายมาได้อย่างหวุดหวิด
    “ข้าว่านี่ไม่ใช่ค่ายกลตะข่ายฟ้าอย่างเดียวแล้วล่ะ ข้าว่ามันเป็นค่ายกลนรกมากกว่า” จิวชงหยวนกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด หวังว่าเขาคงจะไม่มาจบชีวิตอยู่ใต้ดินกับของเล่นตาแก่เจ้าเล่ห์ที่ตายไปแล้วยังหาเรื่องให้เขาไม่เลิกหรอกนะ
      ครืดดดด
    ยังไม่ทันได้หายเหนื่อย จิวชงหยวนต้องกวาดมองรอบๆ กายอย่างตื่นตัว และคราวนี้ไม่ต้องให้ใครเอ่ยเตือน สองร่างวิ่งพลิ้วหลบคมดาบ หลบลูกตุ้มหนามแหลมขนาดใหญ่ที่กลิ้งเข้ามาหาได้อย่างทันท่วงที
    “ผ่าพิภพ”
    ตูม!
    จิวชงหยวนหันกลับมาตวัดผ่าลูกตุ้มยักษ์ที่กลิ้งเข้ามาหาด้วยความเร็วแล้วทะยานขึ้นฟ้าหลบการแตกกระจายของมัน
    เคร้ง เคร้ง เคร้ง...
    ลู่เฟยเองก็ตีลังกาหลบพร้อมคอยตวัดกระบี่ตัดคมหอกคมกระบี่ที่พุ่งออกมาด้วยความเร็วเช่นกัน หลังจากทำลายอาวุธลับที่พุ่งเข้ามาหาหมดแล้วแต่ทั้งคู่ไม่ได้คลายความหวาดระแวงลงเลย เมื่อผ่านมาได้สักพักยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นจึงเริ่มเดินไปตามอุโมงค์ซึ่งมีคบไฟจุดตามรายทางไปเรื่อยๆ
    จิวชงหยวนมองคนนำทางที่บาดเจ็บเล็กน้อย ก่อนจะหายาแก้พิษยื่นให้เพราะไม่รู้ว่าข้างหน้าจะเจออะไรซึ่งเจ้าตัวก็รับมากินอย่างว่าง่าย ดวงตายังกวาดมองรอบกายอย่างหวาดระแวงกระบี่ในมือคือกระบี่มารที่ลู่เฟยหยิบติดมือมาระหว่างโยนหินไฟใส่ร่างของตาแก่เจ้าเล่ห์ แม้เขาจะไม่เห็นด้วยเพราะกระบี่มารนั้นหากจิตใจไม่แข็งแกร่งพออาจจะโดนครอบงำได้ แต่ลู่เฟยกลับยืนยันที่จะใช้มันเพราะกระบี่ของลู่เฟยถูกทำลายไปเมื่อคืน เขาจึงปล่อยเลยตามเลยอีกอย่างเขามั่นใจว่าคนที่เคยเป็นถึงแม่ทัพสวรรค์คงไม่มาพ่ายแพ้กับกระบี่มารแค่นี้แน่หรอกมั้ง
    ครืดดดด
    เสียงที่ไม่ได้ยินมาสักพักดังขึ้นอีกครั้ง จากนั้นสองร่างก็พุ่งทะยานไปด้านหน้าด้วยความเร็วเมื่อใบเลื่อยวงเดือนขนาดใหญ่กว่าตัวเขาสองเท่าพุ่งเข้ามาหา สองร่างพลิ้วไหวตีลังกาหลบและแล้วเอนกายหลบคมใบเลื่อยวงเดือนไปได้อย่างเฉียดฉิว จิวชงหยวนเบิกตากว้างเมื่อเส้นผมถูกตัดออกไปปอยใหญ่ ร่างโปร่งบางเอนหลังหลบคมใบเลื่อยวงเดือนได้อย่างฉิวเฉียดพอๆ กับลู่เฟย
    แฮ่กๆๆ
    จิวชงหยวนถึงกับหอบแฮกสองมือจับเข่าค้ำไว้ด้วยความเหนื่อย สายตากวาดมองอาวุธสังหารที่ตาแก่สร้างขึ้นมาแล้วกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคออย่างหวาดเสียว วันนี้เขาเสี่ยงตายมาหลายครั้งจนไม่น่าเชื่อว่าจะมายืนอยู่ตรงนี้ได้
    พรึบ!
    แต่แล้วร่างของทั้งคู่ก็ร่วงตกอย่างไม่ทันตั้งตัวลู่เฟยอาศัยความเร็วตวัดอุ้มร่างโปร่งบางไว้ พร้อมใช้ร่างตัวเองรับแรงกระแทกจากเบื้องล่าง จิวชงหยวนเบิกตากว้างมองคนที่เอาตัวเองเป็นฐานด้วยความตกใจ
    ตุ้บ!
    เสียงกระแทกลงพื้นเมื่อสิ้นสุดหลุมที่ดึงสองร่างลงมา จิวชงหยวนรีบลุกขึ้นจากร่างหนาด้วยความเร็ว มือเรียวพยายามฉุดร่างหนาให้ลุกขึ้นตาม ดีแต่ว่ามันไม่ลึกมากแต่คนที่เป็นฐานเขาก็จุกไปไม่น้อย
    “เป็นไงบ้าง ตายหรือยัง” จิวชงหยวนเอ่ยถามอย่างร้อนรน มือเรียวสำรวจร่างหนาอย่างถือวิสาสะ จนคนจุกต้องจับมือเรียวเอาไว้
    “เจ้าไม่ต้องรีบแช่งข้าให้ตายก็ได้ ตราบใดที่ข้ายังไม่ได้เจ้าเป็นเมียข้า ข้าไม่ยอมตายหรอก” แม้คนพูดจะมีสีหน้าซีดเผือดเล็กน้อยแต่จิวชงหยวนก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกที่ไม่ได้เป็นอะไรมาก ทว่าใบหน้ากลับแดงระเรื่อเมื่อคำพูดชวนให้คิดของลู่เฟยทำให้เขาเก้อเขิน
    “แล้วเอาไงต่อ” จิวชงหยวนเอ่ยถามแก้เก้อเขิน ลู่เฟยเองก็กวาดตามองรอบกายคบเพลิงในนี้ยังสว่างไสวหมายถึงมันเชื่อมมาหากันได้
    “ไปทางนั้นก่อนแล้วกัน” ลู่เฟยบอกพร้อมลุกขึ้นตามแรงฉุดของคนตัวเล็กก่อนเดินนำทางไปเช่นเดิมเพราะไม่ว่าอย่างไรเขาจะต้องปกป้องคนรักเอาไว้ให้ได้
    ทั้งคู่เดินเข้าไปด้านในอย่างระวังตัวแจ ความเงียบในนี้ทำให้พวกเขาไม่ไว้ใจเมื่อผ่านมาได้สักพักกลับได้ยินเสียงขู่จากสัตว์บางชนิด แต่เมื่อดวงตาเรียวมองเห็นถึงกลับเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ร่างโปร่งบางเบียดเข้าหาร่างหนาอย่างลืมตัว
    ฟ่อ ฟ่อออ ~
    เสียงขู่ฟ่อๆ ของสัตว์เลื้อยคลานหากมีแค่ตัวสองตัวจิวชงหยวนจะไม่กลัวเลยสักนิด แต่นี่มันเล่นอยู่กันเป็นกลุ่มก้อนนับร้อยตัว แต่ละตัวเป็นอสรพิษที่มีพิษร้ายกันทั้งสิ้น
    ลู่เฟยมองคนเกาะแขนตัวเองอย่างเข้าใจ แม้แต่ตัวเขาเองยังรู้สึกขยะแขยง
    “เจ้ามียาอะไรทำให้มันตายหรือไม่ก็สลบไหม” จิวชงหยวนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะฉีกยิ้มออกมาเมื่อนึกถึงระเบิดควันที่ผสมยานอนหลับไว้อย่างรุนแรง มันน่าจะได้ผลกับอสรพิษพวกนี้นะ ลู่เฟยมองตามรอยยิ้มของจิวชงหยวนแล้วรู้สึกหวาดระแวงไม่ไว้ใจ
    “ปิดจมูกไว้ดีๆ ล่ะ ห้ามสลบไปก่อนพวกอสรพิษพวกนี้นะ” จิวชงหยวนหันไปบอกคนข้างกายที่เขาเบียดเข้าหาจนจะรวมร่างกันอยู่แล้ว แต่ช่วยไม่ได้จริงๆ ก็เขาขยะแขยงจนไม่กล้าขยับเดินไปต่อกลัวว่าจะไปเหยียบมันเข้า
    พรึบ!
    ตูม!
    ระเบิดควันลูกแรกถูกโยนเข้ากลางกลุ่มของอสรพิษ เมื่อควันฟุ้งเลือนหายไปจำนวนอสรพิษก็นอนทับถมกันเต็มทางเดินไปหมด ลู่เฟยมองตามแล้วยกยิ้มบางเมื่อเห็นสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกของจิวชงหยวน มือหนาตวัดอุ้มร่างโปร่งบางก่อนจะสะกิดปลายเท้าพุ่งออกไปข้างหน้าด้วยความเร็ว จนพ้นเขตของอสรพิษจึงยอมปล่อยร่างโปร่งบางลงซึ่งตอนนี้ใบหน้างดงามแดงระเรื่ออย่างเก้อเขิน
    โครกกก
    จิวชงหยวนหน้าแดงก่ำมากขึ้นเมื่อท้องร้องประท้วงความหิวที่เวลานี้พลบค่ำมากแล้ว หลังจากที่เผชิญกับดักร้อยแปดของค่ายกลตะข่ายฟ้าและค่ายกลวิญญาณพิษหลังจากตกลงมาเบื้องล่าง ลู่เฟยยิ้มบางพร้อมหยิบหมั่นโถวที่ซื้อติดตัวมาไว้ให้จิวชงหยวนโดยเฉพาะ ทั้งคู่นั่งกินหมั่นโถวเงียบๆ แต่สายตากลับกวาดมองรอบกายด้วยความหวาดระแวงเพราะไม่รู้ว่าจะเจออะไรอีก เบื้องหน้าตอนนี้เป็นห้องโล่งที่สิ้นสุดเส้นทาง ทว่าจิวชงหยวนและลู่เฟยก็ไม่ได้รีบร้อนเข้าไปเพราะด่านสุดท้ายอาจมีลูกเล่นอะไรอีก


     

 เอาตอนใหม่มาเสิร์ฟจ้า ขอให้มีความสุขกับการอ่านนะคะ รักเค้าก็เมนท์ให้เค้าด้วยนะคะ เค้าจะได้รู้ว่ายังมีคนอ่าน ^^__^^

ขอบคุณทุกคอมเมนท์มากเลยจ้า ที่ทำให้ฟางมีแรงใจปั้นต่อไป รักนะ จุ๊บๆๆ

                                                           :mew2:

ออฟไลน์ jamesnaka

  • วิหคเหมันต์
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 152
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
«ตอบ #64 เมื่อ08-09-2015 15:29:55 »

มาเป็นกำลังใจให้คนแต่งจ้า   :L2:

รอตอนต่อไปจ้า  :pig4:

ออฟไลน์ fay 13

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5635
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +286/-44
Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
«ตอบ #65 เมื่อ08-09-2015 16:59:07 »

 :mew1:

ออฟไลน์ ชัดเจนกาบ

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1695
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-23
Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
«ตอบ #66 เมื่อ08-09-2015 17:10:51 »

อย่าพึ่งน้อยใจนะครับ  อย่าน้อยก็มีผมอีกคนที่ติดตามเรื่องนี้  ถ้าใครชอบแนวจีนโบราณถือว่าพลาดเลยแหละครับ ผมว่าเรื่องมันน่ารักดี ถึงพระเอกจะหื่นแต่มีความสภาบุรุษเต็มเปี่ยม แบบใสๆแต่ไม่ใส คึคึ มาต่อเร็วๆนะครับ

ออฟไลน์ buathongfin

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1244
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-3
Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
«ตอบ #67 เมื่อ08-09-2015 18:16:33 »

อ้ากกกก ทำไมมันเยอะอย่างนี้ล่ะ เสียดายผมสวยๆของหมอ  :katai1:

ออฟไลน์ Benzyza

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 26
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
«ตอบ #68 เมื่อ08-09-2015 21:39:25 »

 :mew1: :mew1: :mew1:

รออยู่นะคะ นิยายสนุกมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

 :กอด1 :กอด1: :กอด1: :กอด1: :กอด1: :L1: :L1: :L1: :L1:

ออฟไลน์ wan_sugi

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 587
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-2
Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
«ตอบ #69 เมื่อ09-09-2015 15:44:05 »

สนุกค่ะ ตามอ่านอยู่นะ ++

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
« ตอบ #69 เมื่อ: 09-09-2015 15:44:05 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ DeShiWa

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +150/-9
Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
«ตอบ #70 เมื่อ09-09-2015 19:51:58 »

เอากำลังใจมาส่งจ้า

ปล เวลามาลงแล้วระบุวันที่ด้วยจ้า คนอ่านจะได้รู้ว่า มาลงแล้วนะอะไรอย่างนี้

ออฟไลน์ DeShiWa

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +150/-9
Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
«ตอบ #71 เมื่อ09-09-2015 22:29:07 »

อ่านตอนนี้เหมือนอ่านเรื่องผจญภัยยังไงๆไม่รู้

รู้แต่ว่าอ่านสนุกมากๆ

ออฟไลน์ lingfang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 151
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +99/-0

บทที่ 30
คาถากักวิญญาณ ตอนที่ 4 เล่ม 2 (P.4 11/9/58)

        หลังจากได้เติมพลังงานจนอิ่มแล้วจิวชงหยวนตอนนี้ได้แต่มองพื้นโล่งข้างหน้าเงียบๆ โดยไม่คิดจะก้าวเข้าไปแม้แต่น้อย ลู่เฟยเองก็ยืนนิ่งมองสำรวจหาสิ่งผิดปกติเช่นกัน
    “เจ้าว่ามันจะมีอะไรอีกไหม” จิวชงหยวนเอ่ยถามคนข้างตัว คิ้วขมวดมุ่นมองภาพเบื้องหน้าเหมือนกลัวว่าจะมีตัวอะไรโผล่ออกมาอีก
    “ค่ายกลตะข่ายฟ้ามันครอบคลุมพื้นที่ค่ายกลวิญญาณพิษจนหมด มันน่าจะมีอะไรสักอย่าง” ลู่เฟยกล่าวตอบ ก่อนจะลองโยนหินข้างตัวเข้าไปด้านในลองพิสูจน์ดูเป็นอันดับแรก
     ฟิ้วววว
    ก้อนหินที่ถูกโยนใส่ผนังกำแพงอุโมงค์ทะลุผ่านเข้าไปต่อหน้าต่อตาคล้ายกับว่ามีอีกมิติหนึ่ง หรือไม่ก็นี่เป็นแค่ภาพลวงตาเท่านั้น จิวชงหยวนเลิกคิ้วอย่างฉงนก่อนจะสร้างกระบี่จากลมปราณพุ่งไปที่กำแพงอุโมงค์ตามก้อนหินลู่เฟยอีกครั้ง
    ตูม!
    เพียงแค่มีลมปราณผ่านเข้าไป ภาพที่เห็นเป็นผนังอุโมงค์ในคราแรกกลับเปลี่ยนไป จิวชงหยวนมองภาพตรงหน้าอย่างสยองเมื่อสิ่งที่ปรากฏออกมาไม่ได้เป็นอย่างที่คิด ชายหญิงมากมายต่างตายตกอย่างน่าเวทนา บางศพก็แห้งเผือด บางศพก็เหลือแต่โครงกระดูก และบางศพชิ้นส่วนถูกแยกออกจากกันมีทั้งเน่าอืด จนอาหารที่กินไปจะออกทางเดิมอีกครั้ง ใบหน้างดงามเบือนหน้าหนีจากภาพที่เห็น จากที่เห็นเดาได้ไม่ยากว่าสิ่งเหล่านี้ถูกนำมาสร้างกระบี่มารเล่มที่ลู่เฟยถืออยู่ และบางศพโดนดึงดูดพลังลมปราณจนหมดสิ้น
    “ลู่เฟยข้าว่าเจ้าทำลายกระบี่มารนี่เถอะเห็นวิธีการสร้างข้ารู้สึกสะอิดสะเอียนนัก” จิวชงหยวนหันไปบอกคนข้างตัวที่ก้มมองกระบี่มารในมือแล้วพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย จนเขามองอย่างแปลกใจ
    “หืม ทำไมบอกง่ายจัง” จิวชงหยวนเอ่ยถามอย่างสงสัย ลู่เฟยหันมามองแล้วยกยิ้มบาง
    “ข้าแค่อยากได้จูบเจ้าเป็นรางวัลอีกครั้ง” จิวชงหยวนนิ่งอึ้งไปกับคำตอบ สรุปแล้วจูบเขามีค่าเท่ากับกระบี่มารใช่ไหม แล้วเขาจะไปเปรียบเทียบกับกระบี่ทำไมกัน และเขาคงทำหน้าตาเอ๋อๆ ออกมาลู่เฟยถึงหัวเราะในลำคอ แต่นี่มันใช่เวลามาจีบเขาไหมนี่
    “เอาไงต่อ ข้างหน้าก็เป็นที่เก็บศพไปแล้ว” จิวชงหยวนเอ่ยถามแก้เก้อ ลู่เฟยมองภาพตรงหน้านิ่งๆ ก่อนจะเดินเข้าไปดูใกล้ๆ เขาจึงเดินตามเงียบๆ พร้อมพยายามหาสิ่งผิดปกติ แม้จะไม่ค่อยชอบกับภาพสยดสยองแต่ตอนนี้เขาก็ไม่มีทางเลือกมากนัก
    “ในนี้ไม่มีสิ่งผิดปกติ นอกจากวัตถุในการสร้างกระบี่มารนี่” จิวชงหยวนพยักหน้าเห็นด้วย มองกระบี่มารสีแดงอมส้มแล้วขนลุกชันไม่ใช่มันน่ากลัวแต่เขารู้สึกกลัวกับสิ่งที่ใช้สร้างมันมา
    “กระบี่เจ้าทำลายมันได้ไหม” จิวชงหยวนเงยหน้ามองคนถามขณะที่เดินกลับมาหาเขาอีกครั้ง
    “ได้อยู่นะ แต่ต้องเพิ่มลมปราณสิบสองส่วน”
    “ถ้าเช่นนั้นก็เก็บแรงไว้ก่อนค่อยทำลายเจ้านี่ทีหลัง” ลู่เฟยบอกพร้อมใช้กระบี่กดลงช่องที่ดูผิดปกติช่องหนึ่งที่ลักษณะคล้ายไว้เสียบกระบี่โดยเฉพาะ
     ครืดดดด
    ประตูเปิดออกอย่างไม่น่าเชื่อว่าจะมีเส้นทางออกไปได้อีก และภายในห้องนี้ดูเงียบวังเวงและโล่งจนผิดสังเกตที่สำคัญอักขระตะข่ายฟ้าที่ไม่ได้เห็นมาระยะหนึ่งปรากฏขึ้นอีกครั้งและมีจุดหนึ่งที่มุมห้องมีตะปูแหลมขนาดใหญ่ตอกทับผ้ายันต์สีแดงเอาไว้
    “ข้าสัมผัสได้ว่ามีไอเทพหลงเหลืออยู่ในนี้” จิวชงหยวนหันไปบอกลู่เฟยที่กำลังสำรวจผ้ายันต์ตรงหน้าอย่างเคร่งเครียด
    “ใช่เหล่าจือต้องอยู่ที่นี่แน่ แต่ว่าข้าไม่แน่ใจว่าพลังปราณของข้าตอนนี้จะพอปลดคาถาตะปูกักวิญญาณนี่ได้หรือเปล่า” จิวชงหยวนเดินมาดูข้างๆ อย่างสนใจอักขระมากมายในผ้ายันต์ล้วนแล้วคุ้นตาทั้งๆ ที่เคยเห็นครั้งแรก
    “เจ้าจำคาถาปลดผ้ายันต์นี้ได้หรือ” จิวชงหยวนเอ่ยถามพร้อมเอามือหมายจะจับผ้ายันต์นั้นดู ทว่ามือหนากลับยึดข้อมือไว้
    “อย่าจับมั่ว มันสามารถดูดพลังลมปราณเราได้ หากจะปลดต้องใช้ลมปราณที่มากกว่าเพียงครั้งเดียว ไม่เช่นนั้นก็ไปเหมือนเพิ่มพลังให้กับมัน”
    “วิชามารเช่นนี้ ใครกันที่กล้าทำ”
    “ผู้มีวิชาความรู้พวกนี้ได้ก็คงเป็นพวกนักพรตหรือไม่ก็พวกหมอผีปีศาจจากชนเผ่ามองโกล” ลู่เฟยอธิบายเสียงเรียบ พร้อมพยายามนึกถึงคาถาที่ติดมาจากความทรงจำที่เริ่มกลับคืนมามากทุกครั้งหลังจากที่เขาแตะเนื้อต้องตัวจิวชงหยวน และเมื่อวานนี้ยิ่งทำให้ความทรงจำในอดีตกลับมาได้ถึงแปดส่วน
    จิวชงหยวนขยับถอยห่างออกมาเมื่อรู้ว่าลู่เฟยจะทำอะไร พลังลมปราณสีขาวนวลแผ่ออกมาตามแรงบีบเคล้นเพื่อปลดผนึกผ้ายันต์นี้
    “ปาเรเย กาเรยานี...”
    เปรี๊ยะ!
     ลู่เฟยท่องคาถาที่ไม่รู้จักแต่กลับรู้สึกคุ้นเคย จากนั้นตะปูที่กระชากออกมาพร้อมคาถาปลดผนึก ทำให้ม่านพลังบางๆ แตกร้าวทันที เผยให้เห็นร่างของชายชราผมขาวโพลนเนื้อตัวมอมแมนสกปรก ผิวขาวซีดถูกตะปูอาคมตอกติดกำแพงเอาไว้อย่างน่าเวทนา ทว่ารัศมีเทพยังคงหลงเหลือแม้จะเจือจางมากก็ตาม อาจเป็นเพราะโดนลูกศิษย์ทรยศดูดพลังทิพย์ออกไป
    จิวชงหยวนเดินเข้ามาประคองร่างลู่เฟยที่เหนื่อยหอบเหงื่อแตกพลั่กเต็มใบหน้า เพราะคนที่สร้างผ้ายันต์นี้และกักขังเทพเหล่าจือได้มีมากกว่าสองคน แต่เขาเชื่อว่าจากนิสัยตาแก่เจ้าเล่ห์แล้วคงไม่ปล่อยให้ใครรอดชีวิตออกไปป่าวประกาศแน่ๆ หากเดาไม่ผิดต้องอาศัยตอนพวกนั้นหมดแรงและลอบโจมตีอีกครั้ง ดูได้จากพู่เชือกสีขาวสองเส้นที่วางอยู่มุมห้องและไม้เท้ารูปหัวกะโหลกที่อยู่ในห้องเก็บศพเมื่อครู่
    “ไหวไหมนั่งพักก่อนนะ” จิวชงหยวนบอกอย่างเป็นห่วงพร้อมหยิบยาเสริมลมปราณออกมาให้ ลู่เฟยแค่รับยามากินแต่ไม่ได้นั่งพักตามที่เขาต้องการ ดวงตาคมมองตะปูอาคมที่เสียบตามร่างกว่าสี่อันอย่างเคร่งเครียด เพราะเมื่อครู่ถอนอันใหญ่ไปแค่อันเดียวยังหมดลมปราณไปแทบจะเกลี้ยง เหลือเพียงไม่ให้ตัวเองล้มทั้งยืนแค่นั้นเอง
    จิวชงหยวนฉุดร่างสูงให้นั่งพักแล้วมองตาดุที่ยังดื้อดึง ลู่เฟยหันมายิ้มให้บางๆ ใบหน้าคมคายซีดเผือดเพราะสูญเสียพลังไปเกือบหมด ถึงแม้จะเคยเก่งกาจแค่ไหน ทว่าตอนนี้อย่างไรก็เป็นแค่มนุษย์ที่มีขีดจำกัดอยู่เช่นเดียวกับเขา แต่เขาอาจจะพิเศษมากกว่านิดหน่อยในเวลานี้
    จิวชงหยวนกลับมาที่เหล่าจือถูกตรึงไว้กับกำแพงอีกครั้ง ดวงตาเรียวมองสำรวจตะปูอาคมสี่จุด ก่อนจะรีดเคล้นพลังตัวเองออกมาและท่องคาถาเดียวกับลู่เฟยอย่างไม่มีผิดเพี้ยน
    “ปาเรเย กาเรยานี...” แสงสีขาวนวลเจิดจ้าเต็มห้อง จิวชงหยวนใช้แรงทั้งหมดที่มีกระชากตะปูอาคมออกมาพร้อมกันด้วยความเร็ว
    เคร้ง!
    อึก!
    ตะปูตกหล่นลงกับพื้นพร้อมร่างของเทพเหล่าจือร่วงลงมาด้วย ส่วนจิวชงหยวนหลังจากใช้พลังลมปราณไปจนหมดเกลี้ยงถึงกลับกระอักโลหิตออกมา ใบหน้าซีดเผือดพร้อมเหงื่อแตกพลั่กไปทั้งตัว
    “ชงหยวน!” ลู่เฟยตะโกนเรียกชื่อคนรักด้วยความตกใจพร้อมพุ่งเข้ามารับร่างที่โงนเงนจะล้มทั้งยืนเอาไว้ได้อย่างเฉียดฉิว และไม่คิดว่าร่างโปร่งบางจะทำอะไรที่เกินตัวขนาดนี้ มือหนาสั่นระริกด้วยความกลัวเมื่อเห็นใบหน้าที่งดงามซีดเผือด
    “ทำไมถึงทำแบบนี้ เจ้าเป็นอะไรไปข้าจะมีชีวิตอยู่เพื่ออะไรกัน” ลู่เฟยบอกเสียงสั่นมือหนากอดร่างโปร่งบางแนบอกด้วยความหวาดกลัว กลัวว่าจะสูญเสียดวงใจไปอีกครั้ง หลังจากที่เฝ้ารอมาเนิ่นนาน นานจนลืมไปแล้วว่าครั้งหนึ่งเคยมีหัวใจ เคยมีความรู้สึก แต่ตอนนี้คนในอ้อมกอดกลับทำอะไรที่ทำให้หัวใจเขาแทบสลาย
    จิวชงหยวนลืมตาขึ้นมองลู่เฟยที่ดวงตาสั่นไหวด้วยรอยยิ้มบาง มือเรียวยกขึ้นลูบใบหน้าหล่อคมคายอย่างปลอบโยน
    “ข้าอยู่ตรงนี้ไง ไม่ได้ไปไหนสักหน่อย” จิวชงหยวนตอบกลับด้วยเรี่ยวแรงที่เหลือน้อยนิดแต่คนฟังกลับไม่ได้รู้สึกดีตามที่เจ้าตัวบอกเลย เพราะตอนนี้ร่างโปร่งบางของคนรักซีดเผือดและตัวเย็นเฉียบจนหัวใจหวาดกลัว สองมือที่กอดประคองร่างโปร่งบางที่นอนเอนพิงอกสั่นระริก
    จิวชงหยวนมองลู่เฟยแล้วยิ้มบาง เพราะตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมาพวกเขาต่างร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกันมาโดยตลอดและสองวันนี้ต่างก็เฉียดความตายมาหลายครั้ง ใบหน้าเคร่งเครียดและดวงตาหวาดกลัวที่ฉายออกมาทำให้จิวชงหยวนทำใจกล้ายื่นใบหน้าไปจูบแก้มสากเบาๆ อย่างปลอบโยน ลู่เฟยชะงักกึกก้มมองคนรักด้วยใบหน้าแดงก่ำ
    “เจ้ายั่วข้าอีกแล้วนะ” จิวชงหยวนหลบสายตาอย่างเก้อเขินเขาไม่ได้ยั่วซะหน่อยแค่อยากแสดงความรักให้ลู่เฟยรู้เท่านั้นเองหลังจากที่ผ่านความตายมาหลายครั้งหลายคราภายในวันเดียวและทำให้เขารู้ว่าทุกนาทีมีค่าหากไม่บอกความในใจออกไปทุกอย่างอาจจะสายเกินไปที่จะแก้ไข
    แค่กๆๆ
    เสียงไอดังมาจากข้างหน้าทำให้ทั้งคู่หันไปสนใจอีกครั้ง
    “ท่านเหล่าจือ ท่านเป็นเช่นไรบ้าง” จิวชงหยวนเอ่ยถามอย่างเป็นห่วงเมื่อเห็นเหล่าจือเริ่มได้สติกลับคืนมา
    “ข้ายังไม่ตาย พวกเจ้าบอกรักกันก่อนก็ได้นะ ข้ารอได้” จิวชงหยวนอึ้งไปกับคำตอบไม่รู้ว่าเทพเหล่าจือประชดหรือพูดจริงแต่ที่แน่ๆ เขาอายจนอยากมุดดินหนีอายอีกครั้ง ก่อนจะล้วงเข้าในอกเสื้อหยิบยารักษาให้ตัวเองและเทพเหล่าจือเพื่อให้ฟื้นพลังมาบ้าง
    หลังจากที่ทั้งสามคนกินยาฟื้นพลังลมปราณแล้วจึงนั่งเดินลมปราณกันต่อเพราะแต่ละคนมีสภาพที่ไม่มีทางจะหลุดออกไปจากค่ายกลมรณะนี้ไปได้แน่ มันมีชื่อว่าค่ายกลตะข่ายฟ้ากับค่ายกลวิญญาณพิษแต่จิวชงหยวนเรียกว่าค่ายกลมรณะเพราะหากไม่เก่งจริงคงตายตั้งแต่ปากทางเข้ามาแล้ว
    จิวชงหยวนเดินลมปราณไปถึงสามวันสามคืนกว่าที่ลมปราณจะกลับคืนมาเช่นเดิม แต่เมื่อลืมตาขึ้นมาเทพเหล่าจือยังคงนั่งนิ่งเดินลมปราณเทพตัวเองอยู่และเริ่มมีไอเทพออกมามากกว่าเดิมบ้างแล้ว เขาจึงหันไปมองคนนั่งข้างๆ ก่อนจะเริ่มถ่ายทอดพลังลมปราณไปช่วยเพราะพลังลมปราณของเขากับลู่เฟยกำเนิดมาจากที่เดียวกัน และที่เขาฟื้นพลังลมปราณได้เร็วกว่าเนื่องมาจากลู่เฟยตอนเป็นเทพได้ถ่ายทอดลมปราณไปซ่อนไว้ตามจุดต่างๆ ของร่างกาย ทำให้เวลาสูญเสียลมปราณไปจะฟื้นขึ้นเร็วกว่าคนปกติ
    และวันต่อมาลู่เฟยก็พักฟื้นลมปราณจนเต็ม จิวชงหยวนได้มอบยาดอกเหมยหมื่นปีที่ปรุงไว้ตอนอยู่บนหุบเขาแห่งเซียนให้กับเทพเหล่าจือ จึงทำให้พลังเทพกลับคืนมาอีกครั้งแม้จะไม่มากเท่าเดิมก็ตาม และนั่นทำให้พวกเขาทำลายกระบี่มารและค่ายกลตะข่ายฟ้าได้สำเร็จ
    หลังจากนั้นเทพเหล่าจือก็ได้แปลงร่างเป็นลูกศิษย์ผู้ทรยศพร้อมได้สั่งทำลายรูปปั้นบูชาเซียนรักษา อีกทั้งได้มอบข้าวของแจกจ่ายคืนให้ชาวบ้านและเงินที่เหลือเล็กน้อยก็มอบให้ลูกศิษย์ที่มีใจคุณธรรม จากนั้นทุกอย่างจึงผ่านพ้นมาได้ดีเพราะเทพเหล่าจือช่วยจัดการทุกอย่างที่ลูกศิษย์ก่อเรื่องเอาไว้ ทำให้จิวชงหยวนสบายอารมณ์และได้นั่งเรือท่องทะเลอยู่บนเรือขนาดกลางเช่นในเวลานี้
    เทพเหล่าจือเป็นลูกศิษย์ของเทพโอสถเหล่าจวินอีกทีจึงทำให้มีสูตรยาสวรรค์มากมายอีกทั้งความฉลาดของลูกศิษย์ผู้ทรยศจึงทำให้เกิดเรื่องวุ่นวายตามมา และเวลาในโลกมนุษย์กับสวรรค์ไม่เท่ากันจึงทำให้สวรรค์ไม่รับรู้ว่ามีเทพเซียนหายไป
    “คิดอะไรอยู่” เสียงที่เอ่ยถามพร้อมนิ้วเรียวจิ้มระหว่างกลางคิ้ว ทำให้จิวชงหยวนมองตามแล้วส่ายหน้าเบาๆ อากาศบนเรือตอนนี้ร้อนแต่ใช่ว่าจะมีเขาที่ร้อนคนเดียวเพราะในเรือลำนี้บรรจุคนตั้งสิบห้าคนและส่วนมากจะเป็นจอมยุทธพเนจร บ้างก็บัณฑิตที่ออกท่องยุทธจักร และมีชายชราอีกคนที่นั่งอยู่มุมเสาเรือ ซึ่งเขาสาบานว่าไม่จำเป็นจะไม่เข้าไปทักเด็ดขาดเพราะรู้สึกหวาดระแวงชายแก่จริงๆ ช่วงนี้ เขาขอเวลาทำจิตใจให้สงบก่อนเถอะ
    “ไหนบอกว่าไม่คิด หน้านิ่วคิ้วขมวดขนาดนี้” ลู่เฟยกล่าวย้ำอีกครั้ง ตอนนี้เขานั่งพิงข้างขอบเรือทางท้ายเรือโดยมีลู่เฟยนั่งข้างๆ
    “ข้าแค่กำลังคิดว่า อนาคตข้าจะเจอสิ่งใดอีก” ลู่เฟยนิ่งไปกับคำตอบก่อนจะจับมือเรียวไว้แน่น
    “ไม่ว่าเจ้าจะเจอสิ่งใด ข้าสัญญาจะอยู่ข้างๆ เจ้าเสมอ” คำมั่นสัญญาอย่างจริงจังของคนข้างตัวทำให้จิวชงหยวนหน้าแดงก่ำด้วยความเคอะเขิน ก่อนจะเอนศีรษะพิงคนข้างตัวอย่างขอบคุณ แม้ไม่ได้มีคำพูดมากมาย แต่กลับเข้าใจกันดี บางครั้งมีคนรักเป็นผู้ชายอาจจะดีกว่าที่คิดเพราะลู่เฟยก็ไม่ได้งี่เง่าเหมือนใครบางคน ใครบางคนที่กวนประสาทเขาและไม่ได้เจอมาเป็นปีแล้ว ‘หมิงอี้ฟาน’ ว่าไปเจ้าเด็กนั่นจะโตขึ้นบ้างยังไงนะ...

    ม่านเมฆบดบัง...สะพานรัก      ให้หม่นหมอง
    สายน้ำหยดสู่...สายนที        ชั่วชีวี...มิอาจไหลย้อนคืน
    ชายหนุ่มร่างสูงใบหน้าคมคาย ทว่านัยน์ตากลับนิ่งสงบไม่ว่าจะมีเรื่องวุ่นวายหรือคอขาดบาดตายอย่างไร แววตานี้กลับนิ่งเรียบเฉยเมยต่อทุกสิ่ง ร่างสูงในอาภรณ์สีเขียวแก่ด้านหลังสะพายกระบี่ยืนนิ่งมองดูสายน้ำในท้องทะเลพร้อมกล่าวบทกลอนอย่างแผ่วเบา ดวงตานิ่งเรียบฉายแววเศร้าหมองเพียงชั่วครู่ก่อนจะเลือนหายไป
    ‘ข้าขอโทษจิวชงหยวน ให้อภัยให้ข้าสักครั้งได้ไหม ข้าตามหาเจ้ามาหนึ่งปีแล้ว เมื่อไหร่กันจะสิ้นสุดและพบเจอสักที’
    หมิงอี้ฟานได้แต่พร่ำคิดอยู่ในใจ โดยมิอาจป่าวประกาศให้ใครได้รู้ เขาตามหาและติดตามข่าวทุกอย่างเกี่ยวกับหมอเทวดาแต่ทำไมกัน เขาถึงไม่มีวาสนาได้พบเจออีกครั้ง...
    “ศิษย์พี่ เรือจะออกอีกทีก็เช้าพรุ่งนี้ เห็นเถ้าแก่บอกว่ามันเพิ่งจะออกไปได้ครึ่งชั่วยามนี้เอง เรามาช้าไปนิดหนึ่งขอรับ” หมิงอี้ฟานหันไปมองศิษย์น้องที่ตัวเล็กกว่าตนซึ่งอาสาติดตามมาด้วยพร้อมศิษย์พี่อีกคนหนึ่งซึ่งกำลังไปจัดหาโรงเตี๊ยม
    “ค่อยไปพรุ่งนี้ก็ได้ ว่าแต่ได้ข่าวหมอเทวดาที่นี่อีกไหม”
    “ยังขอรับ แต่ศิษย์พี่ไปพักโรงเตี๊ยมข้ารับรองว่าเราต้องได้ข่าวท่านหมอจิวแน่ๆ ขอรับ” ใบหน้ายิ้มแย้มตอบกลับมาอย่างมั่นใจแม้จะดูสดใส ทว่าหัวใจที่มอบให้คนผู้เดียวจึงไม่อาจชายตาแลใครได้อีก ถึงแม้จะน่ารักและดีเพียงไหน แต่เรื่องของหัวใจก็ไม่อาจสั่งห้ามกันได้
    “ไปเถอะ” หมิงอี้ฟานตอบรับแล้วเดินนำไปยังโรงเตี๊ยมที่ศิษย์พี่เตรียมการไว้ให้โดยที่ร่างเล็กเดินตาม หากหันกลับไปมองสักนิดจะได้เห็นแววตาเศร้าหมองจากคนที่ทำตัวร่าเริงสดใส ก่อนจะก้าวตามไปด้วยหัวใจหดหู่ได้แต่หวังว่า ศิษย์พี่หมิงอี้ฟานจะเห็นตนอยู่ในสายตาบ้างสักเล็กน้อยก็ยังดี...

 

  ขอบคุณทุกคอมเมนท์มากนะคะ และขอบคุณสำหรับคำแนะนำค่ะ ฟางเล่นเว็ตนี้ไม่ค่อยเป็นขอบคุณมากค่ะ
  ที่ทำให้ฟางรู้เรื่องรู้ราวมากขึ้น หลังจากงมโข่งกับมันมานาน - -
  สำหรับคนที่สนใจสั่งซื้อ เริ่มเปิดสั่งจองในวันที่ 15กันยายนนี้ - 30 พ.ย. 58 จ้า สำหรับ 100 คนแรกที่โอนเงินได้สุดพิเศษโปรสการ์ดสุดฟินนนน  เข้าไปสอบถามรายละเอียดในเฟนเพจฟางได้นะคะ ในนี้ก็ลงให้ไม่เป็นเหมือนกัน แหะๆ :mc4:

ออฟไลน์ fay 13

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5635
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +286/-44
Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
«ตอบ #73 เมื่อ11-09-2015 14:45:53 »

 :mew1:

ออฟไลน์ jamesnaka

  • วิหคเหมันต์
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 152
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
«ตอบ #74 เมื่อ11-09-2015 18:40:57 »

โอ้ นึกว่านู๋อี้ฟานจะเลิกหวังแล้วซะอีก ที่ไหนได้ยังไม่ตัดใจแฮะ  :hao3:

รอตอนต่อไปจ้า  :pig4:

ออฟไลน์ buathongfin

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1244
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-3
Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
«ตอบ #75 เมื่อ11-09-2015 18:54:36 »

พี่หมิงคะ พี่ไปหาคนใหม่เถอะค่ะ หมอมีคนติดตามแล้วค่ะ พี่ลู่เฟยยย  :mc4:

ออฟไลน์ DeShiWa

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +150/-9
Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
«ตอบ #76 เมื่อ11-09-2015 19:32:38 »

มาตามอ่านจ้า

ขอตัวไปอ่านก่อน

ออฟไลน์ DeShiWa

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +150/-9
Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
«ตอบ #77 เมื่อ11-09-2015 19:50:31 »

ดีใจด้วยที่ทั้งลู่เฟย จวน และเทพเหล่าจือปลอดภัย

อ่านตอนนี้แล้วคู่พระนายหวานเบาๆ

แต่ก็แอบสงสารอี้ฟานเหมือนกัน

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
«ตอบ #78 เมื่อ11-09-2015 19:51:02 »

มันส์มากเลย

ออฟไลน์ wonderbe

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 754
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-2
Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
«ตอบ #79 เมื่อ12-09-2015 06:27:53 »

สนุกมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ชอบแนวนี้ นายเอกเก่งๆ  :hao7:
 อยากอ่านต่อแล้ววววว  :z3: :z3: :z3:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
« ตอบ #79 เมื่อ: 12-09-2015 06:27:53 »





ออฟไลน์ ชัดเจนกาบ

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1695
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-23
Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
«ตอบ #80 เมื่อ12-09-2015 09:27:31 »

อืม จากเจอคำพูดตัดเยื้อใยครั้งนั้นทำให้อีฟานเย็นชาไร้หัวใจ  กับคู่รักกำลังเริ่มลึกซึ้งกัน  ฮ่าๆๆท่าจะมัาดุเดือด

ออฟไลน์ lingfang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 151
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +99/-0
บทที่ 31
พิษผงกระดูกปีศาจกระดูกขาว
ตอนที่ 5 เล่ม 2 (P.5 13/9/58)


        จิวชงหยวนก้าวลงจากเรือด้วยความตื่นเต้นหลังจากนั่งตากแดดบนเรือมานานกว่าสามชั่วยามจนกระทั่งถึงชายฝั่งของเมืองฝูเจี้ยน การค้าแถวนี้ต่างครึกครื้นไม่ต่างจากแผ่นดินใหญ่ ร่างโปร่งบางในอาภรณ์สีทองดูมีสง่าราศี ด้านหลังคือลู่เฟยซึ่งในวันนี้อยู่ในชุดสีเขียวใบไม้แก่ ลักษณะทวงท่าเหมือนคุณชายพลัดถิ่นเนื่องจากครั้งนี้เจ้าตัวไม่ได้มีกระบี่ติดตัวมาด้วย
     "เจ้าจะไปที่ใดก่อน" ลู่เฟยเอ่ยถามพร้อมก้มหน้ามามอง จิวชงหยวนเหลือบตามองเล็กน้อยแล้วตอบกลับเสียงเบาพอให้ได้ยินกันสองคน
    "ข้าได้ยินว่าแคว้นฝูเจี้ยนมีช่างทำกระบี่ที่ยอดเยี่ยมมาก ข้าเลยอยากให้เขาสร้างกระบี่ให้เจ้าสักเล่มแทนของเก่าที่หักไป"
    "อืม" ลู่เฟยตอบรับสั้นๆ จิวชงหยวนหันไปมองคนเงียบแล้วยกยิ้มบาง
     "เจ้าไม่ดีใจหน่อยหรือ นี่ข้าพาเจ้ามาสร้างกระบี่เป็นอันดับแรกเชียวนะ" คำถามของจิวชงหยวนทำใหลู่เฟยยกยิ้มบางยกมือลูบศีรษะคนตัวเล็กกว่าอย่างรักใคร่
     "สิ่งใดที่เจ้าตั้งใจให้ข้า ข้าย่อมดีใจอยู่แล้ว" จิวชงหยวนหน้าแดงระเรื่ออย่างเก้อเขินรู้สึกว่าช่วงนี้ลู่เฟยจะรุกเขาหนักขึ้นทุกวัน ก่อนจะรีบจ้ำอ้าวเดินนำหน้าไปโดยมีเสียงหัวเราะในลำคอของคนขี้แกล้งตามหลังมาแว่วๆ ก่อนจะหยุดชะงักเมื่อคิดได้ว่าเขายังไม่รู้ว่าช่างกระบี่อยู่ที่ใด
    "ท่านลุง ท่านพอจะทราบช่างกระบี่ชื่อดังเฟิงอวี้ไหมขอรับ" จิวชงหยวนเดินเข้าไปถามพ่อค้าซึ่งขายตะกร้าสานซึ่งอยู่ใกล้เขาที่สุดในเวลานี้
     "หืม คุณชายอยากพบช่างตีกระบี่หรอกหรือ เวลานี้เฟิงอวี้ป่วยหนักมาหลายเดือนแล้วจึงหยุดตีกระบี่ไป แต่หากคุณชายอยากพบให้เดินไปทางนั้นแล้วเลี้ยวขวา เดินไปจะเจอสะพานแม่น้ำสายเล็กแล้วก็เลี้ยวซ้ายอีกทีก็ถึงบ้านของช่างเฟิงอี้แล้ว" จิวชงหยวนพยักหน้ารับและพยายามทำความเข้าใจกับเส้นทางดังกล่าว
    "ขอบคุณมากขอรับท่านลุง" จิวชงหยวนกล่าวขอบคุณก่อนจะเดินไปตามเส้นทางตามที่บอก ทั้งคู่เดินออกนอกหมู่บ้านจนกระทั่งมาเจอบ้านหลังใหญ่หลังหนึ่งซึ่งดูเงียบๆ
    ก๊อกๆๆ
    จิวชงหยวนเคาะประตูหน้าบ้านหลังใหญ่อย่างมีมารยาท เพียงไม่นานหญิงวัยกลางคนก็เดินออกมาเปิดประตู นางเลิกคิ้วมองพวกเขาอย่างสงสัย
    “ท่านมีกิจอันใดกับบ้านข้าหรือ” หญิงวัยกลางคนเอ่ยถามดวงตาฉายแววงุนงงเล็กน้อย อาจเพราะนานมากแล้วที่ไม่มีคนมาเคาะประตูหน้าบ้าน
    “ข้าเป็นหมอขอรับท่านป้า ข้าได้ยินมาว่าท่านเฟิงอวี้ไม่สบายและเลิกตีกระบี่มานานหลายเดือนแล้ว ข้าจึงอยากมาดูอาการเสียหน่อยขอรับ” จิวชงหยวนยกมือคารวะเล็กน้อยพร้อมกล่าวคำแนะนำตัวด้วยรอยยิ้มบาง
    “พวกท่านกลับไปซะเถอะ ข้าไม่มีเงินจ่ายหรอก” คำประเสธอย่างไร้เยื้อใย ทำให้จิวชงหยวนชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
    "ท่านป้า ข้ามาช่วยรักษาไม่ได้หวังเงินทองของท่านหรอกขอรับ" จิวชงหยวนบอกด้วยรอยยิ้มบาง ทว่าท่านป้ากลับมองอย่างหวาดระแวง
     "ใครๆ ก็บอกข้าเช่นนี้ แต่พอเข้าไปกลับรักษาไม่ได้และยังมาเรียกร้องค่าเสียเวลา แบบนี้ข้าจะไว้ใจพวกท่านได้อย่างไร" น้ำเสียงคลางแคลงใจของท่านป้าทำให้จิวชงหยวนหันไปปรึกษากับลู่เฟย
    "ท่านป้าจิวชงหยวนปรารถนาที่จะช่วยรักษาเฟิงอวี้โดยไม่ได้หวังสิ่งใดตอบแทน เพียงแต่หากจิวชงหยวนรักษาเฟิงอวี้ได้แล้วข้าแค่อยากให้ตีกระบี่ให้สักเล่ม" ลู่เฟยหันไปบอกตามความเป็นจริง ทว่าคำพูดนั้นกลับทำให้ท่านป้ามีสีหน้าเบื่อหน่ายออกมา
     "เอาเถอะ ใครๆ ก็อ้างตนเป็นหมอเทวดาจิวชงหยวนทั้งนั้น หากจะเพิ่มพวกท่านอีกคนคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง แต่ขอบอกก่อนว่าข้าไม่มีเงินให้พวกท่านสักแดงเดียวหรอกนะ” จิวชงหยวนถึงกลับยิ้มแห้ง เพราะชื่อเขามันโหลไปแล้วจริงๆ ก่อนจะเดินเข้าไปในบ้านหลังใหญ่ตามคำเชื้อเชิญที่ไม่ค่อยเต็มใจนัก
    ท่านป้าพาเดินลัดเลาะสวนไผ่ที่แห้งแล้งเพราะขาดการเอาใจใส่ อาจเป็นเพราะไม่มีคนมาดูแลแล้ว สภาพบ้านอาจดูใหญ่โตแต่กลับดูวังเวงร้างไร้ผู้คน ทั้งคู่เดินไปจนถึงด้านหลังของบ้านก่อนจะมาหยุดที่ห้องใหญ่ห้องหนึ่ง ท่านป้าเปิดประตูพร้อมให้พวกเขาเข้าไป
     จิวชงหยวนมองรอบห้องที่ข้าวของเครื่องใช้ถูกนำไปขายหมดแล้วเหลือเพียงร่องรอยเก่าๆ เท่านั้น บนเตียงนอนมีร่างผอมโซของชายหนุ่มผู้หนึ่งนอนอยู่พร้อมเสียงไอค๊อกแค่ก ใบหน้าผอมแห้งที่หันมาดวงตาลึกโบ๋ดูน่ากลัว ทว่ายังดูออกว่ายังหนุ่ม เขาเลิกขึ้นมองอย่างแปลกใจเพราะช่างเฟิงอี้ที่ได้ยินมาไม่คิดว่ายังอยู่ในวัยหนุ่ม เขาคิดว่าจะแก่มากกว่านี้เสียอีก
    "ท่านเฟิงอวี้ข้าพาหมอมาดูอาการท่าน" ท่านป้าบอกคนที่นอนอยู่ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
     "ท่านป้า ให้กลับไปเถอะข้าไม่มีเงินรักษาหรอก" จิวชงหยวนเดินเข้าไปใกล้ ก้มมองคนป่วยอย่างฉงนเพราะไม่เคยเจอใครอาการเช่นนี้มาก่อน เสียงหัวใจเต้นช้าเร็วตามปกติของคนป่วยธรรมดาแต่จากที่เห็นสภาพกลับไม่เป็นธรรมดาอย่างที่คิด
     "ข้าไม่ได้หวังเงินทองจากท่าน สบายใจเถอะ" จิวชงหยวนบอกคนป่วย ก่อนจะขยับไปใกล้ร่างที่นอนโทรมมากขึ้นอีก ลู่เฟยเลิกคิ้วมองอย่างไม่ค่อยชอบใจนักแต่ก็ยืนกอดอกมองจิวชงหยวนตรวจรักษาอาการคนป่วยตรงหน้า จิวชงหยวนจับชีพจรของอีกฝ่ายอย่างครุ่นคิด รู้สึกว่าตัวเองกำลังเจอเรื่องประหลาด
    “ท่านมีอาการเช่นไรบ้าง” จิวชงหยวนเอ่ยถามคนป่วยขณะมือยังจับชีพจร เฟิงอวี้เหลือบตามองเล็กน้อยก่อนจะเบือนหน้าหนีเพราะใบหน้าที่งดงามนั้นทำให้ใจเต้นแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
    “อยู่ๆ ข้าก็ไร้เรี่ยวแรงและผอมลงทุกวัน ไม่ว่าจะกินข้าวปลาอาหารอย่างไรก็ไม่เป็นผลมิหน้ำซ้ำข้ายังรู้สึกหิวตลอดเวลา” จิวชงหยวนเลิกคิ้วมองอย่างฉงนสงสัยเพราะอาการที่เล่ามานั้นนับว่าเป็นเรื่องแปลกใหม่ที่พบเจอ หรือว่าจะมีปีศาจ แม้จะยังไม่เคยเจอแต่มีเทพเซียนไฉนเลยจะไม่มีสิ่งเหล่านี้
    “ก่อนหน้าท่านจะเจ็บป่วย ท่านไปทำสิ่งใดมาหรือ”
    “ข้าจำไม่ได้หรอก ข้าป่วยมาหลายเดือนแล้วและไม่ได้ลุกออกจากเตียงมานานกว่าหกเดือนแล้ว” คำตอบที่ได้รับยิ่งทำให้รู้สึกยากต่อการรักษา จิวชงหยวนหันหน้าไปมองลู่เฟยที่ยืนกอดอกอยู่หน้าประตูมองเขานิ่งๆ เช่นกัน
    “ตอนนี้ข้าเป็นมนุษย์” ลู่เฟยกล่าวออกมานิ่งๆ เหมือนจะรู้ว่าจิวชงหยวนจะถามอะไร เขาส่งยิ้มแห้งๆ เหมือนคิดได้ในข้อนี้ ก่อนจะหันกลับมามองคนไข้อีกครั้ง
    “ท่านมีคนรักหรือไม่”
    “เจ้าถามทำไม ข้าไม่มีหรอก” เสียงแหบแห้งที่ตอบกลับมา ท่านป้าจึงรินน้ำชามาให้จิบก่อนจะถอยไปยืนอยู่ห่างๆ เงียบ นั่นทำให้จิวชงหยวนรู้ว่าท่านป้าเป็นเพียงคนรับใช้ที่ภักดีเท่านั้น และที่เขาเอ่ยถามเช่นนั้นเพราะกลัวว่าจะเป็นโรคใจและตรอมใจที่คนรักจากไป
    “พวกท่านออกไปก่อนได้ไหม” จิวชงหยวนหันไปขอร้องทั้งคู่ที่ยืนมองเขาอยู่ ความจริงอยากตรวจร่างกายละเอียดมากกว่านี้ แต่ถูกจ้องนานๆ จากสองคนก็ทำให้ไม่มีสมาธิเหมือนกัน แม้จะเคยชินแต่ครั้งนี้เขาจำเป็นต้องถอดเสื้อผ้าคนป่วยจริงๆ และกลัวว่าลู่เฟยจะทำเสียเรื่อง
    “ข้าเชื่อใจเจ้า” ลู่เฟยตอบรับพร้อมเดินจากไป ทว่าคำกล่าวนั้นทำให้เขานิ่งอึ้งไป รู้สึกคิ้วกระตุกอย่างไรชอบกล นี่ขนาดคนป่วยผอมแห้งจนไม่มีแรงลุกขึ้นยังมีหน้ามาหึงเขาอีก
    “ท่านป้าออกไปก่อนเถอะ” เสียงของเฟิงอวี้บอกท่านป้า ซึ่งเงยหน้าสบตาเขาครู่หนึ่งก่อนจะยินยอมออกไป จิวชงหยวนก้มมองคนป่วยที่ไม่มีแรงลุกขึ้นอีกครั้งพร้อมจับชีพจรช่วงลำคอไปด้วย
    “ข้าอยากให้ท่านถอดเสื้อเพื่อตรวจดูรายละเอียดมากกว่านี้” จิวชงหยวนบอกคนไข้ที่หน้าและใบหูแดงก่ำแม้จะผอมโซขนาดไหนแต่ก็ยังมองเห็นได้ชัด อีกอย่างตอนนี้เจ้าตัวขาวซีดไปทั้งตัว มือที่เคยหยาบกร้านเพราะตีกระบี่เริ่มจางหายไป
    “คือข้าไม่มีแรงถอด” เสียงที่ตอบรับมาแผ่วเบาใบหน้าแดงระเรื่อ จิวชงหยวนพยักหน้ารับอย่างเข้าใจก่อนจะช่วยถอดเสื้อผ้าออกให้จนหมด สายตากวาดมองตามร่างอย่างพินิจทว่าตอนนี้คนป่วยหลับตาปี่ไปแล้ว เขามองตามอย่างขำๆ มือเรียวจับดูชีพจรตามจุดร่างกาย
    “พิษกระดูกปีศาจผงขาวหรือ” จิวชงหยวนพึมพำเมื่อเห็นช่วงขาอ่อนมีรูปกระดูกสีขาวแต้มอยู่ หากไม่ถอดเสื้อผ้าจะไม่มีทางเห็นเป็นอันขาด
    “มันคือสิ่งใด” เฟิงอวี้ลืมตาขึ้นมาถามหลงลืมความอายไปชั่วขณะ แม้จะรู้สึกปั่นป่วนช่องท้องแปลกๆ ก็ตาม
     “มันคือผงกระดูกของปีศาจกระดูกขาว เจ้าจำไม่ได้หรือว่าก่อนหน้านี้ไปทำอะไรมา” จิวชงหยวนจับตามร่างกายและกดตามจุดต่างดูความเสียหายภายในร่าง ซึ่งดูแล้วเสียหายไปไม่น้อย ร่างกายจะไม่เจ็บแต่จะมีชีวิตเหมือนตายทั้งเป็นเพราะเรี่ยวแรงจะหายไปและยังหิวโหยตลอดเวลา
    “ข้าจำอะไรไม่ได้เลย แต่ท่านหมอข้ามีโอกาสจะหายหรือไม่” น้ำเสียงและดวงตาที่หม่นแสงมีแววความหวังออกมา จิวชงหยวนยิ้มให้บางๆ
    “วิธีรักษาข้าพอมีแต่คงต้องใช้เวลาหน่อยเพราะผงกระดูกขาวเป็นของปีศาจจึงยากต่อการรักษา เจ้าไม่ได้ลองกินน้ำมนต์ที่วัดดูหรอกหรือ”
    “ข้าลองมาหมดแล้ว แต่ไม่ได้ผล” คำตอบที่ได้รับทำให้จิวชงหยวนพยักหน้ารับ อาจเป็นเพราะเจ้าของผงกระดูกนี้มีอายุมานานหลายร้อยปี จิวชงหยวนดึงเสื้อมาปกปิดส่วนสำคัญของร่างกายไว้ ก่อนจะหันมาบอกคนไข้ที่จ้องมองเขาด้วยสายตาแปลกๆ
    “เดี๋ยวข้าจะจดของบางอย่างที่ต้องใช้ให้คนของข้าออกไปซื้อหา จากนั้นข้าจะมาฝังเข็มให้เจ้าก่อน” จิวชงหยวนบอกคนไข้ก่อนจะลุกเดินออกไปด้านนอก เพียงแค่ประตูเปิดสองคนที่ยืนรออยู่ข้างนอกก็หันมามองทันที
    “เป็นเช่นไรบ้าง” ลู่เฟยเดินเข้ามาหา จิวชงหยวนยิ้มให้บางก่อนจะหยิบกระดาษเขียนใบสั่งยาให้ลู่เฟยไปหาซื้อมาให้
    “เฟินอวี้เป็นอะไร ทำไมต้องใช้พวกแมงป่อง งูเจ็ดสี และตะขาบด้วย” ลู่เฟยเอ่ยถามขณะอ่านใบสั่งซื้อของ
    “พิษผงกระดูกของปีศาจกระดูกขาว ข้าจึงอยากได้พวกนี้มาต้มผสมกับยาที่ข้ามี เจ้าก็น่าจะรู้ว่าสมุนไพรจากหุบเขาแห่งเซียนที่ข้าเอามาเริ่มหมดแล้ว และที่ข้ามีตอนนี้ไม่พอจะรักษารายการพวกนั้นจะช่วยข้าได้อีกแรง
    “ยาลูกกลอนเจ้าก็ไม่แหลือหรือ”
    “ยาพวกนั้นใช้ไม่ได้ผลกับพิษของปีศาจหรอก ข้าเคยอ่านเจอแต่ข้าไม่ได้ปรุงเป็นเม็ดไว้เพราะใช่ว่าจะมีคนเจอง่ายๆ และนี่แสดงว่าเฟิงอวี้ดวงตกสุดๆ ถึงมาเจอพิษชนิดนี้ได้” ลู่เฟยพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ พร้อมยกมือขยี้หัวของจิวชงหยวนอย่างรักใคร่ ก่อนจะทะยานออกไปด้วยความเร็ว
    “ท่านหมอท่านรักษาท่านเฟิงอวี้ได้จริงหรือเจ้าคะ” ท่านป้าเดินเข้ามาจับมือจิวชงหยวนด้วยความตื้นตัน จิวชงหยวนยิ้มให้บางๆ
    “ขอรับท่านป้า แต่คงต้องใช้เวลาสักหน่อยขอรับ แต่ข้าอยากให้ท่านป้าปิดเรื่องนี้เป็นความลับจนกว่าข้าจะไปจากเมืองนี้นะขอรับ”
    “เจ้าค่ะ ข้าจะทำตามที่ท่านหมอต้องการเพียงแค่ท่านเฟิงอวี้หายก็เพียงพอแล้วเจ้าค่ะ”
    “ท่านป้าพอจะทราบไหมขอรับว่าท่านเฟิงอวี้ไปทำอะไรมาก่อนที่จะป่วยหนัก” จิวชงหยวนเอ่ยถามที่ทำให้ท่านป้ามีสีหน้าลำบากใจเล็กน้อย
    “เมื่อหนึ่งปีก่อนมีคนของพรรคหมื่นพิษมาให้ท่านเฟิงอวี้ตีกระปีที่ทำมาจากเหล็กไหลพันปีให้ แต่หลังจากทำเสร็จได้หนึ่งเดือนท่านเฟิงอวี้ก็ล้มป่วยลง ข้าไม่รู้ว่าเป็นฝีมือของพรรคหมื่นพิษหรือไม่เจ้าค่ะ แต่คนที่มารักษาล้วนมีแต่หลอกลวงจนทุกวันนี้ข้าไม่รู้แล้วว่าผู้ใดคือหมอจริงและผู้ใดคือหมอปลอมกันแน่ ข้าวของเครื่องใช้ถูกนำไปขายเพื่อมารักษาแต่ก็ไม่อาจรักษาได้ บ่าวไพร่ก็พากันหนีหายไปหมดเจ้าค่ะ ท่านเฟิงอวี้น่าสงสารมาก บิดามารดาก็ตายจากเหลือทิ้งไว้แค่วิชาความรู้และที่ดินผืนนี้เท่านั้นเจ้าค่ะ ท่าหมอโปรดเมตตาท่านเฟิงอวี้ด้วยเจ้าค่ะ” จิวชงหยวนพยักหน้าเข้าใจกับคำบอกเล่าที่ยาวเหยียดและเป็นครั้งแรกที่ท่านป้าผู้นี้พูดคุยกับเขายาวขนาดนี้ ใบหน้าแดงระเรื่อเล็กน้อยกับคำอ้อนวอน
    “ข้าเข้าใจแล้ว ท่านป้าไปเตรียมหม้อดินไว้ให้ข้าต้มยาเถอะ เดี๋ยวข้าจะเข้าไปฝังเข็มให้ท่านเฟิงอวี้ก่อน” จิวชงหยวนบอกพร้อมเดินกลับเข้ามาหาคนป่วยอีกครั้ง มือเรียวหยิบถุงย่ามและเข็มที่ใส่กล่องปิดคาถาไว้อย่างซึ่งเป็นของที่อาจารย์ให้มา เขาท่องคาถาภายในใจพร้อมกล่องเปิดออกมาให้เห็นเข็มเงินเรียงรายเป็นพันเล่มอย่างมีระเบียบ ทว่าทุกอย่างอยู่ในสายตาเฟิงอวี้ตลอดเวลา
    “ท่านเป็นหมอเทวดาจิวชงหยวนหรอกหรือ” น้ำเสียงอ่อนแรงที่เอ่ยถามทำให้จิวชงหยวนเงยหน้าหันไปมองแล้วยิ้มบางให้
    “จะว่าเช่นนั้นก็ได้ แต่ท่านเรียกข้าว่าหมอจิวก็พอ” จิวชงหยวนบอกพร้อมเดินเข้ามาหาก่อนจะเริ่มจับชีพจรต่างๆ ตามร่างกายอีกครั้ง
    “ท่านนอนหลับตานิ่งๆ เถอะอีกครึ่งชั่วยามกว่าข้าจะถอดเข็มให้ท่านได้” จิวชงหยวนมองคนลืมตาหน้าแดงด้วยความอายอีกครั้งหลังจากที่เขาเลิกผ้าที่ปิดของสงวนออก เมื่อเห็นคนไข้หลับตาลงอย่างว่าง่ายจึงเริ่มฝังเข็มทันที เริ่มจากจุดหย่งจงใต้จมูก จุดซูหลิน ข้างจมูกและตามมาด้วยจุดเทียนถังตรงหน้าผากและตามด้วยอีกหนึ่งร้อยแปดจุดตามชีพจรของเส้นเลือดที่จะช่วยขับพิษออกมาได้ สองมือลงมืออย่างคล่องแคล่วว่องไวเพียงไม่นานก็ครบหนึ่งร้อยแปดจุด
    จิวชงหยวนถอยออกมานั่งมองอยู่ห่างๆ รอดูผลการเปลี่ยนแปลง ก่อนจะหยิบสมุนไพรฟื้นฟูลมปราณและยารักษาพวกปอด ตับไตที่เสียหายมาเตรียมไว้อีกขั้นหนึ่ง ยาที่เขาเตรียมไว้นี้ไม่ได้วิเศษอะไรมากมายแต่ในเมื่อเขาเป็นคนปรุงจึงทำให้มีคุณสมบัติพิเศษขึ้นกว่าคนทั่วไปเท่านั้นเอง
    “ผ่านไปครึ่งชั่วยามจิวชงหยวนจึงดึงเข็มออกอย่างคล่องแคล่ว เมื่อดึงเข็มออกจนหมดแล้วจึงยื่นเม็ดยาฟื้นฟูกำลังภายในให้กินอีกหนึ่งเม็ดตามด้วยยารักษาอวัยวะภายในอีกสองเม็ด ร่างผอมโซพยายามลุกขึ้นกินยาจิวชงหยวนจึงช่วยพยุงนั่งพิงหมอนอิงใบใหญ่พร้อมรินน้ำเปล่าให้
    และเวลาต่อมาลู่เฟยก็มาปรากฏตัวพร้อมรายการที่สั่ง จิวชงหยวนจึงปล่อยให้คนป่วยพักผ่อน จากนั้นจึงไปห้องครัวเพื่อปรุงยาแก้พิษผงกระดูกขาวโดยเฉพาะ โดยมีลู่เฟยค่อยช่วยเหลืออยู่ใกล้ๆ ส่วนท่านป้าหลังจากที่แนะนำส่วนต่างๆ ภายในบ้านเสร็จแล้วจึงไปคอยดูแลอาบน้ำเปลี่ยนชุดในเฟิงอวี้
    จิวชงหยวนหลังจากต้มยาสูตรของตัวเองให้เฟิงอวี้กินพร้อมฝังเข็มทุกวันเป็นเวลากว่าสามวันที่เขาหมกตัวอยู่กับคนไข้จนอาการดีขึ้นลุกนั่งเองได้แล้วและเดินได้บ้างแต่ไม่ไกลมากนัก แม้ที่นี่จะดูวุ่นวายทว่าภายนอกไม่มีคนรับรู้เลยว่าช่างตีกระบี่เฟิงอวี้ได้หายจากอาการป่วยแล้ว เหลือเพียงกินอาหารให้ครบมื้อและอาหารบำรุงร่างกายเท่านั้นก็กลับมาหายดีได้เช่นเดิมแล้ว
    “ท่านจะออกเดินทางแล้วจริงๆ หรือ” เฟิงอวี้เอ่ยถามด้วยความเศร้าใจ มองคนที่ช่วยชีวิตตัวเองด้วยความรักและเทิดทูนแต่น่าเสียดายที่ท่านหมอเทวดาผู้นี้มีคนรักแล้วเพราะจากที่สังเกตมาตลอดสามวันที่อยู่ด้วยกัน คนที่ชื่อลู่เฟยจะดูแลและห่วงใยอีกทั้งหึงออกบ่อยๆ
    “อืม ข้าอยู่ไหนนานๆ ไม่ได้หรอก แต่เจ้าเองก็อย่าลืมกินยาตามที่ข้าสั่งและอาหารบำรุงร่างกายให้มากๆ ส่วนกระบี่ข้าจะกลับมาเอาอีกครั้งหลังจากที่เจ้าสร้างมันได้” จิวชงหยวนบอกด้วยรอยยิ้มตอนนี้พวกเขายืนอยู่หน้าห้องของเฟิงอวี้เพราะเจ้าตัวยังเดินเหินยังไม่คล่องเพราะเรี่ยวแรงเพิ่งจะกลับมาได้ไม่นาน
    “ขอรับข้าจะไม่ลืม และข้าจะจะพยายามสร้างกระบี่ให้ท่านอย่างสุดความสามารถ” จิวชงหยวนพยักหน้ารับแล้วบอกด้วยรอยยิ้ม
    “คนที่เจ้าจะสร้างกระบี่ให้คือลู่เฟย ไม่ใช่ข้าหรอก” เฟิงอวี้ชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มบางๆ ตอบรับอย่างเข้าใจ
    “รักษาตัวด้วย” ลู่เฟยที่เงียบมาตลอดสามวันบอกสั้นๆ แล้วจูงมือคนงามเพื่อออกเดินทางต่อไป โดยเฟิงอวี้มองตามด้วยรอยยิ้มเศร้า มีวาสนาที่ได้พบเจอแต่กลับไร้วาสนาที่จะได้ติดตาม
    “ท่านเฟิงอวี้กลับไปพักผ่อนเถอะนะเจ้าคะ หากท่านหายดีเดี๋ยวท่านหมอจิวกับท่านลู่เฟยต้องกลับมาหาท่านแน่นอนเจ้าค่ะ” เสียงปลอบใจคนที่อยู่เคียงข้างและดูแลตนตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาทำให้เฟิงอวี้ยิ้มบางก่อนจะเดินไปสวมกอดร่างอ้วนท้วมของท่านป้าเอาไว้ด้วยความรักและเทิดทูน
    “ข้าทราบท่านป้า แต่ข้าแค่อยากให้ท่านหมอเทวดาผู้นั้นอยู่ด้วยนานกว่านี้สักหน่อย แม้จะไม่มีวาสนาได้ติดตามแต่ข้าจะรอท่านหมอจิวกลับมารับกระบี่จากข้าอีกครั้ง” เฟิงอวี้พึมพำเบาๆ ก่อนจะเดินตามแรงพยุงของท่านป้าเข้าไปในห้องนอน พักผ่อนมากๆ ตามคำสั่งเพื่อจะได้หายเร็วยิ่งขึ้น เมื่อนั้นหวังว่าหมอจิวจะกลับมาเยี่ยมเขาอีกสักครั้งในเร็ววัน...




        ขอบคุณทุกคอมเมนท์มากเลยนะคะ  :กอด1:


     


       
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-09-2015 17:06:16 โดย lingfang »

ออฟไลน์ lingfang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 151
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +99/-0
Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
«ตอบ #82 เมื่อ13-09-2015 16:34:31 »

เนื้อหาไม่ครบหรือหายไปแจ้งฟางด้วยนะคะ เล่นซนไปๆ มาๆ เริ่มจะแก้ไขไม่เป็น  แหะๆ - -  :z3:

ออฟไลน์ lingfang

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 151
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +99/-0
บทที่ 31
พิษผงกระดูกปีศาจกระดูกขาว
ตอนที่ 5 เล่มที่ 2 (P.5 13/9/58)
   

          ขอลงอีกรอบเหมือนเนื้อหาจะหายไป ใครอ่านซ้ำต้องขออภัยด้วยค่ะ ฟางมือใหม่เลยไปเล่นซนอะไรเข้า ^^


          จิวชงหยวนก้าวลงจากเรือด้วยความตื่นเต้นหลังจากนั่งตากแดดบนเรือมานานกว่าสามชั่วยามจนกระทั่งถึงชายฝั่งของเมืองฝูเจี้ยน การค้าแถวนี้ต่างครึกครื้นไม่ต่างจากแผ่นดินใหญ่ ร่างโปร่งบางในอาภรณ์สีทองดูมีสง่าราศี ด้านหลังคือลู่เฟยซึ่งในวันนี้อยู่ในชุดสีเขียวใบไม้แก่ ลักษณะทวงท่าเหมือนคุณชายพลัดถิ่นเนื่องจากครั้งนี้เจ้าตัวไม่ได้มีกระบี่ติดตัวมาด้วย
     "เจ้าจะไปที่ใดก่อน" ลู่เฟยเอ่ยถามพร้อมก้มหน้ามามอง จิวชงหยวนเหลือบตามองเล็กน้อยแล้วตอบกลับเสียงเบาพอให้ได้ยินกันสองคน
    "ข้าได้ยินว่าแคว้นฝูเจี้ยนมีช่างทำกระบี่ที่ยอดเยี่ยมมาก ข้าเลยอยากให้เขาสร้างกระบี่ให้เจ้าสักเล่มแทนของเก่าที่หักไป"
    "อืม" ลู่เฟยตอบรับสั้นๆ จิวชงหยวนหันไปมองคนเงียบแล้วยกยิ้มบาง
     "เจ้าไม่ดีใจหน่อยหรือ นี่ข้าพาเจ้ามาสร้างกระบี่เป็นอันดับแรกเชียวนะ" คำถามของจิวชงหยวนทำใหลู่เฟยยกยิ้มบางยกมือลูบศีรษะคนตัวเล็กกว่าอย่างรักใคร่
     "สิ่งใดที่เจ้าตั้งใจให้ข้า ข้าย่อมดีใจอยู่แล้ว" จิวชงหยวนหน้าแดงระเรื่ออย่างเก้อเขินรู้สึกว่าช่วงนี้ลู่เฟยจะรุกเขาหนักขึ้นทุกวัน ก่อนจะรีบจ้ำอ้าวเดินนำหน้าไปโดยมีเสียงหัวเราะในลำคอของคนขี้แกล้งตามหลังมาแว่วๆ ก่อนจะหยุดชะงักเมื่อคิดได้ว่าเขายังไม่รู้ว่าช่างกระบี่อยู่ที่ใด
    "ท่านลุง ท่านพอจะทราบช่างกระบี่ชื่อดังเฟิงอวี้ไหมขอรับ" จิวชงหยวนเดินเข้าไปถามพ่อค้าซึ่งขายตะกร้าสานซึ่งอยู่ใกล้เขาที่สุดในเวลานี้
     "หืม คุณชายอยากพบช่างตีกระบี่หรอกหรือ เวลานี้เฟิงอวี้ป่วยหนักมาหลายเดือนแล้วจึงหยุดตีกระบี่ไป แต่หากคุณชายอยากพบให้เดินไปทางนั้นแล้วเลี้ยวขวา เดินไปจะเจอสะพานแม่น้ำสายเล็กแล้วก็เลี้ยวซ้ายอีกทีก็ถึงบ้านของช่างเฟิงอี้แล้ว" จิวชงหยวนพยักหน้ารับและพยายามทำความเข้าใจกับเส้นทางดังกล่าว
    "ขอบคุณมากขอรับท่านลุง" จิวชงหยวนกล่าวขอบคุณก่อนจะเดินไปตามเส้นทางตามที่บอก ทั้งคู่เดินออกนอกหมู่บ้านจนกระทั่งมาเจอบ้านหลังใหญ่หลังหนึ่งซึ่งดูเงียบๆ
    ก๊อกๆๆ
    จิวชงหยวนเคาะประตูหน้าบ้านหลังใหญ่อย่างมีมารยาท เพียงไม่นานหญิงวัยกลางคนก็เดินออกมาเปิดประตู นางเลิกคิ้วมองพวกเขาอย่างสงสัย
    “ท่านมีกิจอันใดกับบ้านข้าหรือ” หญิงวัยกลางคนเอ่ยถามดวงตาฉายแววงุนงงเล็กน้อย อาจเพราะนานมากแล้วที่ไม่มีคนมาเคาะประตูหน้าบ้าน
    “ข้าเป็นหมอขอรับท่านป้า ข้าได้ยินมาว่าท่านเฟิงอวี้ไม่สบายและเลิกตีกระบี่มานานหลายเดือนแล้ว ข้าจึงอยากมาดูอาการเสียหน่อยขอรับ” จิวชงหยวนยกมือคารวะเล็กน้อยพร้อมกล่าวคำแนะนำตัวด้วยรอยยิ้มบาง
    “พวกท่านกลับไปซะเถอะ ข้าไม่มีเงินจ่ายหรอก” คำประเสธอย่างไร้เยื้อใย ทำให้จิวชงหยวนชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
    "ท่านป้า ข้ามาช่วยรักษาไม่ได้หวังเงินทองของท่านหรอกขอรับ" จิวชงหยวนบอกด้วยรอยยิ้มบาง ทว่าท่านป้ากลับมองอย่างหวาดระแวง
     "ใครๆ ก็บอกข้าเช่นนี้ แต่พอเข้าไปกลับรักษาไม่ได้และยังมาเรียกร้องค่าเสียเวลา แบบนี้ข้าจะไว้ใจพวกท่านได้อย่างไร" น้ำเสียงคลางแคลงใจของท่านป้าทำให้จิวชงหยวนหันไปปรึกษากับลู่เฟย
    "ท่านป้าจิวชงหยวนปรารถนาที่จะช่วยรักษาเฟิงอวี้โดยไม่ได้หวังสิ่งใดตอบแทน เพียงแต่หากจิวชงหยวนรักษาเฟิงอวี้ได้แล้วข้าแค่อยากให้ตีกระบี่ให้สักเล่ม" ลู่เฟยหันไปบอกตามความเป็นจริง ทว่าคำพูดนั้นกลับทำให้ท่านป้ามีสีหน้าเบื่อหน่ายออกมา
     "เอาเถอะ ใครๆ ก็อ้างตนเป็นหมอเทวดาจิวชงหยวนทั้งนั้น หากจะเพิ่มพวกท่านอีกคนคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง แต่ขอบอกก่อนว่าข้าไม่มีเงินให้พวกท่านสักแดงเดียวหรอกนะ” จิวชงหยวนถึงกลับยิ้มแห้ง เพราะชื่อเขามันโหลไปแล้วจริงๆ ก่อนจะเดินเข้าไปในบ้านหลังใหญ่ตามคำเชื้อเชิญที่ไม่ค่อยเต็มใจนัก
    ท่านป้าพาเดินลัดเลาะสวนไผ่ที่แห้งแล้งเพราะขาดการเอาใจใส่ อาจเป็นเพราะไม่มีคนมาดูแลแล้ว สภาพบ้านอาจดูใหญ่โตแต่กลับดูวังเวงร้างไร้ผู้คน ทั้งคู่เดินไปจนถึงด้านหลังของบ้านก่อนจะมาหยุดที่ห้องใหญ่ห้องหนึ่ง ท่านป้าเปิดประตูพร้อมให้พวกเขาเข้าไป
     จิวชงหยวนมองรอบห้องที่ข้าวของเครื่องใช้ถูกนำไปขายหมดแล้วเหลือเพียงร่องรอยเก่าๆ เท่านั้น บนเตียงนอนมีร่างผอมโซของชายหนุ่มผู้หนึ่งนอนอยู่พร้อมเสียงไอค๊อกแค่ก ใบหน้าผอมแห้งที่หันมาดวงตาลึกโบ๋ดูน่ากลัว ทว่ายังดูออกว่ายังหนุ่ม เขาเลิกขึ้นมองอย่างแปลกใจเพราะช่างเฟิงอี้ที่ได้ยินมาไม่คิดว่ายังอยู่ในวัยหนุ่ม เขาคิดว่าจะแก่มากกว่านี้เสียอีก
    "ท่านเฟิงอวี้ข้าพาหมอมาดูอาการท่าน" ท่านป้าบอกคนที่นอนอยู่ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
     "ท่านป้า ให้กลับไปเถอะข้าไม่มีเงินรักษาหรอก" จิวชงหยวนเดินเข้าไปใกล้ ก้มมองคนป่วยอย่างฉงนเพราะไม่เคยเจอใครอาการเช่นนี้มาก่อน เสียงหัวใจเต้นช้าเร็วตามปกติของคนป่วยธรรมดาแต่จากที่เห็นสภาพกลับไม่เป็นธรรมดาอย่างที่คิด
     "ข้าไม่ได้หวังเงินทองจากท่าน สบายใจเถอะ" จิวชงหยวนบอกคนป่วย ก่อนจะขยับไปใกล้ร่างที่นอนโทรมมากขึ้นอีก ลู่เฟยเลิกคิ้วมองอย่างไม่ค่อยชอบใจนักแต่ก็ยืนกอดอกมองจิวชงหยวนตรวจรักษาอาการคนป่วยตรงหน้า จิวชงหยวนจับชีพจรของอีกฝ่ายอย่างครุ่นคิด รู้สึกว่าตัวเองกำลังเจอเรื่องประหลาด
    “ท่านมีอาการเช่นไรบ้าง” จิวชงหยวนเอ่ยถามคนป่วยขณะมือยังจับชีพจร เฟิงอวี้เหลือบตามองเล็กน้อยก่อนจะเบือนหน้าหนีเพราะใบหน้าที่งดงามนั้นทำให้ใจเต้นแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
    “อยู่ๆ ข้าก็ไร้เรี่ยวแรงและผอมลงทุกวัน ไม่ว่าจะกินข้าวปลาอาหารอย่างไรก็ไม่เป็นผลมิหน้ำซ้ำข้ายังรู้สึกหิวตลอดเวลา” จิวชงหยวนเลิกคิ้วมองอย่างฉงนสงสัยเพราะอาการที่เล่ามานั้นนับว่าเป็นเรื่องแปลกใหม่ที่พบเจอ หรือว่าจะมีปีศาจ แม้จะยังไม่เคยเจอแต่มีเทพเซียนไฉนเลยจะไม่มีสิ่งเหล่านี้
    “ก่อนหน้าท่านจะเจ็บป่วย ท่านไปทำสิ่งใดมาหรือ”
    “ข้าจำไม่ได้หรอก ข้าป่วยมาหลายเดือนแล้วและไม่ได้ลุกออกจากเตียงมานานกว่าหกเดือนแล้ว” คำตอบที่ได้รับยิ่งทำให้รู้สึกยากต่อการรักษา จิวชงหยวนหันหน้าไปมองลู่เฟยที่ยืนกอดอกอยู่หน้าประตูมองเขานิ่งๆ เช่นกัน
    “ตอนนี้ข้าเป็นมนุษย์” ลู่เฟยกล่าวออกมานิ่งๆ เหมือนจะรู้ว่าจิวชงหยวนจะถามอะไร เขาส่งยิ้มแห้งๆ เหมือนคิดได้ในข้อนี้ ก่อนจะหันกลับมามองคนไข้อีกครั้ง
    “ท่านมีคนรักหรือไม่”
    “เจ้าถามทำไม ข้าไม่มีหรอก” เสียงแหบแห้งที่ตอบกลับมา ท่านป้าจึงรินน้ำชามาให้จิบก่อนจะถอยไปยืนอยู่ห่างๆ เงียบ นั่นทำให้จิวชงหยวนรู้ว่าท่านป้าเป็นเพียงคนรับใช้ที่ภักดีเท่านั้น และที่เขาเอ่ยถามเช่นนั้นเพราะกลัวว่าจะเป็นโรคใจและตรอมใจที่คนรักจากไป
    “พวกท่านออกไปก่อนได้ไหม” จิวชงหยวนหันไปขอร้องทั้งคู่ที่ยืนมองเขาอยู่ ความจริงอยากตรวจร่างกายละเอียดมากกว่านี้ แต่ถูกจ้องนานๆ จากสองคนก็ทำให้ไม่มีสมาธิเหมือนกัน แม้จะเคยชินแต่ครั้งนี้เขาจำเป็นต้องถอดเสื้อผ้าคนป่วยจริงๆ และกลัวว่าลู่เฟยจะทำเสียเรื่อง
    “ข้าเชื่อใจเจ้า” ลู่เฟยตอบรับพร้อมเดินจากไป ทว่าคำกล่าวนั้นทำให้เขานิ่งอึ้งไป รู้สึกคิ้วกระตุกอย่างไรชอบกล นี่ขนาดคนป่วยผอมแห้งจนไม่มีแรงลุกขึ้นยังมีหน้ามาหึงเขาอีก
    “ท่านป้าออกไปก่อนเถอะ” เสียงของเฟิงอวี้บอกท่านป้า ซึ่งเงยหน้าสบตาเขาครู่หนึ่งก่อนจะยินยอมออกไป จิวชงหยวนก้มมองคนป่วยที่ไม่มีแรงลุกขึ้นอีกครั้งพร้อมจับชีพจรช่วงลำคอไปด้วย
    “ข้าอยากให้ท่านถอดเสื้อเพื่อตรวจดูรายละเอียดมากกว่านี้” จิวชงหยวนบอกคนไข้ที่หน้าและใบหูแดงก่ำแม้จะผอมโซขนาดไหนแต่ก็ยังมองเห็นได้ชัด อีกอย่างตอนนี้เจ้าตัวขาวซีดไปทั้งตัว มือที่เคยหยาบกร้านเพราะตีกระบี่เริ่มจางหายไป
    “คือข้าไม่มีแรงถอด” เสียงที่ตอบรับมาแผ่วเบาใบหน้าแดงระเรื่อ จิวชงหยวนพยักหน้ารับอย่างเข้าใจก่อนจะช่วยถอดเสื้อผ้าออกให้จนหมด สายตากวาดมองตามร่างอย่างพินิจทว่าตอนนี้คนป่วยหลับตาปี่ไปแล้ว เขามองตามอย่างขำๆ มือเรียวจับดูชีพจรตามจุดร่างกาย
    “พิษกระดูกปีศาจผงขาวหรือ” จิวชงหยวนพึมพำเมื่อเห็นช่วงขาอ่อนมีรูปกระดูกสีขาวแต้มอยู่ หากไม่ถอดเสื้อผ้าจะไม่มีทางเห็นเป็นอันขาด
    “มันคือสิ่งใด” เฟิงอวี้ลืมตาขึ้นมาถามหลงลืมความอายไปชั่วขณะ แม้จะรู้สึกปั่นป่วนช่องท้องแปลกๆ ก็ตาม
     “มันคือผงกระดูกของปีศาจกระดูกขาว เจ้าจำไม่ได้หรือว่าก่อนหน้านี้ไปทำอะไรมา” จิวชงหยวนจับตามร่างกายและกดตามจุดต่างดูความเสียหายภายในร่าง ซึ่งดูแล้วเสียหายไปไม่น้อย ร่างกายจะไม่เจ็บแต่จะมีชีวิตเหมือนตายทั้งเป็นเพราะเรี่ยวแรงจะหายไปและยังหิวโหยตลอดเวลา
    “ข้าจำอะไรไม่ได้เลย แต่ท่านหมอข้ามีโอกาสจะหายหรือไม่” น้ำเสียงและดวงตาที่หม่นแสงมีแววความหวังออกมา จิวชงหยวนยิ้มให้บางๆ
    “วิธีรักษาข้าพอมีแต่คงต้องใช้เวลาหน่อยเพราะผงกระดูกขาวเป็นของปีศาจจึงยากต่อการรักษา เจ้าไม่ได้ลองกินน้ำมนต์ที่วัดดูหรอกหรือ”
    “ข้าลองมาหมดแล้ว แต่ไม่ได้ผล” คำตอบที่ได้รับทำให้จิวชงหยวนพยักหน้ารับ อาจเป็นเพราะเจ้าของผงกระดูกนี้มีอายุมานานหลายร้อยปี จิวชงหยวนดึงเสื้อมาปกปิดส่วนสำคัญของร่างกายไว้ ก่อนจะหันมาบอกคนไข้ที่จ้องมองเขาด้วยสายตาแปลกๆ
    “เดี๋ยวข้าจะจดของบางอย่างที่ต้องใช้ให้คนของข้าออกไปซื้อหา จากนั้นข้าจะมาฝังเข็มให้เจ้าก่อน” จิวชงหยวนบอกคนไข้ก่อนจะลุกเดินออกไปด้านนอก เพียงแค่ประตูเปิดสองคนที่ยืนรออยู่ข้างนอกก็หันมามองทันที
    “เป็นเช่นไรบ้าง” ลู่เฟยเดินเข้ามาหา จิวชงหยวนยิ้มให้บางก่อนจะหยิบกระดาษเขียนใบสั่งยาให้ลู่เฟยไปหาซื้อมาให้
    “เฟินอวี้เป็นอะไร ทำไมต้องใช้พวกแมงป่อง งูเจ็ดสี และตะขาบด้วย” ลู่เฟยเอ่ยถามขณะอ่านใบสั่งซื้อของ
    “พิษผงกระดูกของปีศาจกระดูกขาว ข้าจึงอยากได้พวกนี้มาต้มผสมกับยาที่ข้ามี เจ้าก็น่าจะรู้ว่าสมุนไพรจากหุบเขาแห่งเซียนที่ข้าเอามาเริ่มหมดแล้ว และที่ข้ามีตอนนี้ไม่พอจะรักษารายการพวกนั้นจะช่วยข้าได้อีกแรง
    “ยาลูกกลอนเจ้าก็ไม่แหลือหรือ”
    “ยาพวกนั้นใช้ไม่ได้ผลกับพิษของปีศาจหรอก ข้าเคยอ่านเจอแต่ข้าไม่ได้ปรุงเป็นเม็ดไว้เพราะใช่ว่าจะมีคนเจอง่ายๆ และนี่แสดงว่าเฟิงอวี้ดวงตกสุดๆ ถึงมาเจอพิษชนิดนี้ได้” ลู่เฟยพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ พร้อมยกมือขยี้หัวของจิวชงหยวนอย่างรักใคร่ ก่อนจะทะยานออกไปด้วยความเร็ว
    “ท่านหมอท่านรักษาท่านเฟิงอวี้ได้จริงหรือเจ้าคะ” ท่านป้าเดินเข้ามาจับมือจิวชงหยวนด้วยความตื้นตัน จิวชงหยวนยิ้มให้บางๆ
    “ขอรับท่านป้า แต่คงต้องใช้เวลาสักหน่อยขอรับ แต่ข้าอยากให้ท่านป้าปิดเรื่องนี้เป็นความลับจนกว่าข้าจะไปจากเมืองนี้นะขอรับ”
    “เจ้าค่ะ ข้าจะทำตามที่ท่านหมอต้องการเพียงแค่ท่านเฟิงอวี้หายก็เพียงพอแล้วเจ้าค่ะ”
    “ท่านป้าพอจะทราบไหมขอรับว่าท่านเฟิงอวี้ไปทำอะไรมาก่อนที่จะป่วยหนัก” จิวชงหยวนเอ่ยถามที่ทำให้ท่านป้ามีสีหน้าลำบากใจเล็กน้อย
    “เมื่อหนึ่งปีก่อนมีคนของพรรคหมื่นพิษมาให้ท่านเฟิงอวี้ตีกระปีที่ทำมาจากเหล็กไหลพันปีให้ แต่หลังจากทำเสร็จได้หนึ่งเดือนท่านเฟิงอวี้ก็ล้มป่วยลง ข้าไม่รู้ว่าเป็นฝีมือของพรรคหมื่นพิษหรือไม่เจ้าค่ะ แต่คนที่มารักษาล้วนมีแต่หลอกลวงจนทุกวันนี้ข้าไม่รู้แล้วว่าผู้ใดคือหมอจริงและผู้ใดคือหมอปลอมกันแน่ ข้าวของเครื่องใช้ถูกนำไปขายเพื่อมารักษาแต่ก็ไม่อาจรักษาได้ บ่าวไพร่ก็พากันหนีหายไปหมดเจ้าค่ะ ท่านเฟิงอวี้น่าสงสารมาก บิดามารดาก็ตายจากเหลือทิ้งไว้แค่วิชาความรู้และที่ดินผืนนี้เท่านั้นเจ้าค่ะ ท่าหมอโปรดเมตตาท่านเฟิงอวี้ด้วยเจ้าค่ะ” จิวชงหยวนพยักหน้าเข้าใจกับคำบอกเล่าที่ยาวเหยียดและเป็นครั้งแรกที่ท่านป้าผู้นี้พูดคุยกับเขายาวขนาดนี้ ใบหน้าแดงระเรื่อเล็กน้อยกับคำอ้อนวอน
    “ข้าเข้าใจแล้ว ท่านป้าไปเตรียมหม้อดินไว้ให้ข้าต้มยาเถอะ เดี๋ยวข้าจะเข้าไปฝังเข็มให้ท่านเฟิงอวี้ก่อน” จิวชงหยวนบอกพร้อมเดินกลับเข้ามาหาคนป่วยอีกครั้ง มือเรียวหยิบถุงย่ามและเข็มที่ใส่กล่องปิดคาถาไว้อย่างซึ่งเป็นของที่อาจารย์ให้มา เขาท่องคาถาภายในใจพร้อมกล่องเปิดออกมาให้เห็นเข็มเงินเรียงรายเป็นพันเล่มอย่างมีระเบียบ ทว่าทุกอย่างอยู่ในสายตาเฟิงอวี้ตลอดเวลา
    “ท่านเป็นหมอเทวดาจิวชงหยวนหรอกหรือ” น้ำเสียงอ่อนแรงที่เอ่ยถามทำให้จิวชงหยวนเงยหน้าหันไปมองแล้วยิ้มบางให้
    “จะว่าเช่นนั้นก็ได้ แต่ท่านเรียกข้าว่าหมอจิวก็พอ” จิวชงหยวนบอกพร้อมเดินเข้ามาหาก่อนจะเริ่มจับชีพจรต่างๆ ตามร่างกายอีกครั้ง
    “ท่านนอนหลับตานิ่งๆ เถอะอีกครึ่งชั่วยามกว่าข้าจะถอดเข็มให้ท่านได้” จิวชงหยวนมองคนลืมตาหน้าแดงด้วยความอายอีกครั้งหลังจากที่เขาเลิกผ้าที่ปิดของสงวนออก เมื่อเห็นคนไข้หลับตาลงอย่างว่าง่ายจึงเริ่มฝังเข็มทันที เริ่มจากจุดหย่งจงใต้จมูก จุดซูหลิน ข้างจมูกและตามมาด้วยจุดเทียนถังตรงหน้าผากและตามด้วยอีกหนึ่งร้อยแปดจุดตามชีพจรของเส้นเลือดที่จะช่วยขับพิษออกมาได้ สองมือลงมืออย่างคล่องแคล่วว่องไวเพียงไม่นานก็ครบหนึ่งร้อยแปดจุด
    จิวชงหยวนถอยออกมานั่งมองอยู่ห่างๆ รอดูผลการเปลี่ยนแปลง ก่อนจะหยิบสมุนไพรฟื้นฟูลมปราณและยารักษาพวกปอด ตับไตที่เสียหายมาเตรียมไว้อีกขั้นหนึ่ง ยาที่เขาเตรียมไว้นี้ไม่ได้วิเศษอะไรมากมายแต่ในเมื่อเขาเป็นคนปรุงจึงทำให้มีคุณสมบัติพิเศษขึ้นกว่าคนทั่วไปเท่านั้นเอง
    “ผ่านไปครึ่งชั่วยามจิวชงหยวนจึงดึงเข็มออกอย่างคล่องแคล่ว เมื่อดึงเข็มออกจนหมดแล้วจึงยื่นเม็ดยาฟื้นฟูกำลังภายในให้กินอีกหนึ่งเม็ดตามด้วยยารักษาอวัยวะภายในอีกสองเม็ด ร่างผอมโซพยายามลุกขึ้นกินยาจิวชงหยวนจึงช่วยพยุงนั่งพิงหมอนอิงใบใหญ่พร้อมรินน้ำเปล่าให้
    และเวลาต่อมาลู่เฟยก็มาปรากฏตัวพร้อมรายการที่สั่ง จิวชงหยวนจึงปล่อยให้คนป่วยพักผ่อน จากนั้นจึงไปห้องครัวเพื่อปรุงยาแก้พิษผงกระดูกขาวโดยเฉพาะ โดยมีลู่เฟยค่อยช่วยเหลืออยู่ใกล้ๆ ส่วนท่านป้าหลังจากที่แนะนำส่วนต่างๆ ภายในบ้านเสร็จแล้วจึงไปคอยดูแลอาบน้ำเปลี่ยนชุดในเฟิงอวี้
    จิวชงหยวนหลังจากต้มยาสูตรของตัวเองให้เฟิงอวี้กินพร้อมฝังเข็มทุกวันเป็นเวลากว่าสามวันที่เขาหมกตัวอยู่กับคนไข้จนอาการดีขึ้นลุกนั่งเองได้แล้วและเดินได้บ้างแต่ไม่ไกลมากนัก แม้ที่นี่จะดูวุ่นวายทว่าภายนอกไม่มีคนรับรู้เลยว่าช่างตีกระบี่เฟิงอวี้ได้หายจากอาการป่วยแล้ว เหลือเพียงกินอาหารให้ครบมื้อและอาหารบำรุงร่างกายเท่านั้นก็กลับมาหายดีได้เช่นเดิมแล้ว
    “ท่านจะออกเดินทางแล้วจริงๆ หรือ” เฟิงอวี้เอ่ยถามด้วยความเศร้าใจ มองคนที่ช่วยชีวิตตัวเองด้วยความรักและเทิดทูนแต่น่าเสียดายที่ท่านหมอเทวดาผู้นี้มีคนรักแล้วเพราะจากที่สังเกตมาตลอดสามวันที่อยู่ด้วยกัน คนที่ชื่อลู่เฟยจะดูแลและห่วงใยอีกทั้งหึงออกบ่อยๆ
    “อืม ข้าอยู่ไหนนานๆ ไม่ได้หรอก แต่เจ้าเองก็อย่าลืมกินยาตามที่ข้าสั่งและอาหารบำรุงร่างกายให้มากๆ ส่วนกระบี่ข้าจะกลับมาเอาอีกครั้งหลังจากที่เจ้าสร้างมันได้” จิวชงหยวนบอกด้วยรอยยิ้มตอนนี้พวกเขายืนอยู่หน้าห้องของเฟิงอวี้เพราะเจ้าตัวยังเดินเหินยังไม่คล่องเพราะเรี่ยวแรงเพิ่งจะกลับมาได้ไม่นาน
    “ขอรับข้าจะไม่ลืม และข้าจะจะพยายามสร้างกระบี่ให้ท่านอย่างสุดความสามารถ” จิวชงหยวนพยักหน้ารับแล้วบอกด้วยรอยยิ้ม
    “คนที่เจ้าจะสร้างกระบี่ให้คือลู่เฟย ไม่ใช่ข้าหรอก” เฟิงอวี้ชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มบางๆ ตอบรับอย่างเข้าใจ
    “รักษาตัวด้วย” ลู่เฟยที่เงียบมาตลอดสามวันบอกสั้นๆ แล้วจูงมือคนงามเพื่อออกเดินทางต่อไป โดยเฟิงอวี้มองตามด้วยรอยยิ้มเศร้า มีวาสนาที่ได้พบเจอแต่กลับไร้วาสนาที่จะได้ติดตาม
    “ท่านเฟิงอวี้กลับไปพักผ่อนเถอะนะเจ้าคะ หากท่านหายดีเดี๋ยวท่านหมอจิวกับท่านลู่เฟยต้องกลับมาหาท่านแน่นอนเจ้าค่ะ” เสียงปลอบใจคนที่อยู่เคียงข้างและดูแลตนตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาทำให้เฟิงอวี้ยิ้มบางก่อนจะเดินไปสวมกอดร่างอ้วนท้วมของท่านป้าเอาไว้ด้วยความรักและเทิดทูน
    “ข้าทราบท่านป้า แต่ข้าแค่อยากให้ท่านหมอเทวดาผู้นั้นอยู่ด้วยนานกว่านี้สักหน่อย แม้จะไม่มีวาสนาได้ติดตามแต่ข้าจะรอท่านหมอจิวกลับมารับกระบี่จากข้าอีกครั้ง” เฟิงอวี้พึมพำเบาๆ ก่อนจะเดินตามแรงพยุงของท่านป้าเข้าไปในห้องนอน พักผ่อนมากๆ ตามคำสั่งเพื่อจะได้หายเร็วยิ่งขึ้น เมื่อนั้นหวังว่าหมอจิวจะกลับมาเยี่ยมเขาอีกสักครั้งในเร็ววัน...





        ขอบคุณมากจ้า ใครอ่านซ้ำก็ขอโทษด้วยนะคะ^^

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
«ตอบ #84 เมื่อ13-09-2015 17:13:26 »

ไปที่ใดก็มีแต่คนรักคนหลงเลย

ออฟไลน์ jamesnaka

  • วิหคเหมันต์
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 152
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-1
Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
«ตอบ #85 เมื่อ13-09-2015 17:50:42 »

โอ้ว ท่านหมอจิวช่างบาปหนายิ่งนัก  ทำให้ผู้อื่นต้องใจแตกสลายไปกี่มากน้อยแล้วหนา อิอิ   :hao7:

รอตอนต่อไปจ้า   :pig4:

ออฟไลน์ fay 13

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5635
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +286/-44
Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
«ตอบ #86 เมื่อ13-09-2015 18:52:29 »

 :mew1:

ออฟไลน์ DeShiWa

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +150/-9
Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
«ตอบ #87 เมื่อ13-09-2015 19:29:45 »

ขอตามไปอ่านก่อน

ออฟไลน์ wonderbe

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 754
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-2
Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
«ตอบ #88 เมื่อ13-09-2015 21:44:33 »

อยากอ่านต่อแล้วววว  :ling1:

ออฟไลน์ DeShiWa

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4332
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +150/-9
Re: เล่ห์รักเทวาสวรรค์
«ตอบ #89 เมื่อ13-09-2015 21:45:06 »

หมอจิวเก่งมากรักษาคนได้ตลอดและทุกโรคจริงๆ

ส่วนคนไข้เข้าใจละว่าเขิล จะไม่อายเลยซิแปลก

เพราะหมอจิวน่ารักซะขนาดนั้น

ส่วนลู่เฟยพระเอกของเราตอนนี้บทน้อยไปหน่อย

ตอนหน้าขอฉากหวานๆนะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด